Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง
เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่ภายในห้องทรงงานของกษัตริย์ซิกมันด์ยังคงสว่างไสวด้วยเทียนหลายสิบเล่มที่วางกระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง และในเตาผิงไฟก็ยังคงลุกโชติช่วงอยู่ บนโต๊ะขนาดใหญ่ใจกลางห้องมีแผนที่หนังสัตว์ของเมืองต่าง ๆ วางอยู่อย่างระเกะระกะ ใกล้ ๆ กันนั้นมีแบบจำลองสภาพค่ายทหารของกองทัพซาโลม และของเมืองอาวีเลียที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสมจริงอยู่ด้วย ที่อีกฟากหนึ่งของห้อง กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกำลังตาอ่านรายงานการรบและข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกส่งมาเป็นกองพะเนินด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดจนไม่ทันสังเกตว่าแม่ทัพชาร์ลได้มายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะแล้ว แม่ทัพหนุ่มแสร้งกระแอมไอเสียงดังสองสามครั้ง กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงรู้สึกพระองค์
“อ๊ะ ชาร์ล ท่านเข้ามาเมื่อไหร่กัน?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามขึ้นเมื่อเพิ่งรู้สึกองค์
“สักครู่ได้แล้วกระหม่อม พระองค์มีรับสั่งเรียกหารึพ่ะย่ะค่ะ?” ชาร์ล คลาแรนซ์โค้งคำนับก่อนจะทูลถาม
“ใช่ ขออภัยที่ต้องเรียกท่านมาในยามวิกาลเช่นนี้”
“มิได้ฝ่าบาท ขนาดพระองค์ยังทรงงานจนมืดค่ำเช่นนี้ หากกระหม่อมจะถูกเรียกใช้บ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรและกระหม่อมยินดีอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงเรียกใช้ เหล่าอัศวินและแม่ทัพคงอดภูมิใจไม่ได้ถ้าได้รู้ว่ากษัตริย์ของพวกเราทรงงานหนักจนมืดค่ำเช่นนี้” ชาร์ลเหลือบไปเห็นถาดอาหารกลางวันที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องบนโต๊ะเล็กข้างเตาผิงก็ต้องตกใจ “แต่พระองค์ควรจะพักผ่อนบ้าง พระองค์ยังไม่ได้เสวยมื้อเที่ยงเลยรึพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าลืมไปน่ะ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบไปมองถาดอาหารบนโต๊ะ
“กระหม่อมเคยสอนพระองค์ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนิพ่ะย่ะค่ะ ว่าการจะทำงานใด ๆ ให้ได้ดีจะต้องท้องอิ่ม พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ กระหม่อมเห็นว่าพระองค์ทรงละเลยข้อปฏิบัติพื้นฐานนี้ การโหมทรงงานมากเกินกำลังอาจทำให้พระองค์ประชวรได้” ชาร์ลทูลเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่ได้เรียกท่านมาเทศน์ข้านะชาร์ล ข้าเรียกท่านมาขอคำปรึกษา” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงถอดพระทัยตรัสเหน็บแต่น้ำเสียงไม่จริงจังมากนัก
แม่ทัพหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้เพราะรู้นิสัยของกษัตริย์ซิกมันด์ดีว่า พระองค์จะไม่ยอมเลิกราการกระทำนั้น ๆ จนกว่าจะสำเร็จหรือได้ผลเป็นที่น่าพอใจของพระองค์เสียก่อนนั่นก็เป็นนิสัยที่ถูกบ่มเพาะจากการฝึกอันเข็มงวดของกษัตริย์ซิกมันด์ที่2 นั่นเอง
“กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะเสวยอะไรบ้าง หลังจากที่เราหารือกันเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์อย่างเสียไม่ได้ แม่ทัพชาร์ลจึงอมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“ดีพ่ะย่ะค่ะ พระองค์คงต้องการปรึกษาเรื่องการรับมือกับกองทัพเพลิงที่มีทีท่าว่าจะเริ่มเคลื่อนทัพเร็ว ๆ นี้”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง รายงานพวกนี้ชี้ชัดว่ากองทัพเถื่อนนั้นเตรียมจะเคลื่อนพลแล้ว จำนวนทหารของพวกมันในเวลานี้ก็มากกว่าพวกเราหลายเท่านัก ข้าเกรงว่าลำพังกำแพงเมืองอาวีเลีย แม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็คงต้านกองทัพจำนวนมหาศาลขนาดนี้ไม่ไหว”
“พ่ะย่ะค่ะ แม้เราจะระดมพลจากทั่วอาณาจักรแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังเป็นรองด้านจำนวนกำลังพล ด้านฟูดินันเองก็แจ้งมาว่าอีกไม่กี่วันจะมีกองทัพจากป่าฟูดินันมาเสริมทัพอีกร่วมแสนนายพ่ะย่ะค่ะ คงจะช่วยเสริมกองทัพของเราได้อีกแรงหนึ่ง”
กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์เป็นการรับรู้โดยมิได้ตรัสใด ๆ ออกมา แต่ชาร์ลก็รู้ดีว่านี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพระองค์ทรงยอมรับกองทัพชาวป่าว่าเป็นหนึ่งในกองทัพของพระองค์ด้วย
“แล้วเสด็จพี่ล่ะ? ที่เราอนุญาตให้ไปรับกองเรือของฮารีซันนั่น ป่านนี้เดินทางถึงไหนกันแล้ว?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามต่อ ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรก ๆ อีกเช่นกันที่พระองค์แสดงออกว่าพระองค์เริ่มยอมรับในตัวของหัวหน้าเผ่าชาวฟูดินัน เพราะพระองค์ทรงเริ่มเรียกชื่อของฮารีซันแทนที่การเรียกด้วยยศหรือสรรพนามอื่น ๆ
“ฝ่าบาท เจ้าหญิงให้พลเปกาซัสมาแจ้งแล้วว่าได้เริ่มออกเดินทางจากเมืองท่าตั้งแต่เย็นวานแล้ว กระหม่อมคาดว่าหากเจ้าหญิงเร่งเคลื่อนขบวนสักหน่อยไม่เกินสัปดาห์คงมาถึงอาวีเลียพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลทูลตอบพลางเหลือบมองแผ่นที่เพื่อคะเนระยะทาง
“ข้าคิดว่าจะให้เสด็จพี่รออยู่ที่ป้อมมาซาดา ( Masada ) “ กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางวางรูปสักไม้ที่ใช้แทนเจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันไว้ตรงจุดที่เรียกว่าป้อมมาซาดาบนแผนที่หนังสัตว์อย่างช้า ๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ฝ่าบาท?!”
“ข้าคิดมาตลอดช่วงสองวันมานี้นับตั้งแต่ข่าวเตรียมบุกของกองทัพเพลิง แต่ก็ไม่มีวิธีไหนดีพอที่จะรับมือกับกองทัพจำนวนมหาศาลนั่นได้ นอกจากวิธีที่จะทำให้ข้าเจ็บปวดใจมากที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด พระพักตร์อิดโรยและหม่นหมองลง
ชาร์ลขมวดคิ้วเข้าหาหันพลางมองตัวหมากสองตัวที่กษัตริย์ซิกมันด์เพิ่งจะทรงวางลงไปบนแผนที่ สมองของเขาคิดคำนวณแผนการรบอย่างฉับไวทันที “ฝ่าบาทคงไม่ได้จะ...”
“ข้าคิดว่าพวกเราควรสละเมืองอาวีเลีย” กษัตริย์ซิกมันด์ชิงตรัสออกมาเสียก่อนแต่ก็ด้วยความยากลำบากเต็มที การที่พระองค์ทรงยอมสละเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พระองค์ทรงยื่นศักดิ์ศรีของพระองค์ให้ศัตรูย่ำยีเสียเอง ”ข้าคิดว่าหากเราให้พวกทัพซาโลมผ่านเมืองอาวีเลียเข้ามา แล้วหลอกล่อพวกมันให้ตามพวกเราเข้ามาตามช่องเขากาลาเทีย (Galatia) อันเป็นที่ตั้งของป้อมมาซาดา ช่องเขากาลาเทียซึ่งมีลักษณะหน้าเขาเป็นคอขวดจะช่วยบีบกองทัพเพลิงให้มีหน้าทัพแคบลง เช่นนี้แล้วต่อให้พวกมันมีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน พวกมันก็บุกโจมตีได้แค่เท่าที่สามารถเคลื่อนพลผ่านช่องเขามาเท่านั้น และหากเกิดพลาดท่าเสียที ช่องเขาเปิดทางด้านหลังก็ยังช่วยให้เราถอนกำลังมุ่งสู่เมืองโครีธาได้ทันทีด้วย”