Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้?
ชาวฟูดินันต่างก็หวีดร้องด้วยความอกสั่นขวัญแขวนรีบวิ่งออกมานอกตัวบ้านด้วยความแตกตื่นเนื่องเพราะพื้นที่แถบนี้ไม่เคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาก่อน ทุกคนออกมายืนจับกลุ่มกันที่บริเวณลานกว้างจนแออัดไปหมด ต่างก็ตัวสั่นงันงกเพราะความหวาดกลัว ทันทีที่ทุกคนเห็นครอบครัวบันดาราพวกเขาก็แทบถลาเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังจนแน่นขนัด ทุกสายตาต่างก็จับจ้องด้วยความคาดหวังว่าท่านผู้เฒ่าวูจินผู้ทรงภูมิที่สุดในเผ่าจะสามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้ แม้แต่ฮารีซันและวานาอันก็ยังแอบลอบมองปู่ของตนด้วยความหวังลึก ๆ อยู่ในใจเช่นกัน แต่ยังไม่ทันทีที่ท่านผู้เฒ่าจะเอ่ยปากสารภาพถึงความไม่รู้ของตนด้วยความจนใจ ฉับพลันนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องต่ำทุ้มกังวานดังแว่วสะท้อนมาจากป่าในเขตเผ่าสมิง ชาวบ้านหลายคนเริ่มห่อตัวลีบเพราะความกลัว วานาอันกระชับมือทั้งสองข้างที่เกาะแขนปู่ไว้แน่นด้วยความหวาดหวั่นจนวูจินต้องตบมือหลานสาวเบา ๆ เพื่อปลอบขวัญ ทว่าสายตานั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่ต่างจากฮารีซันเท่าใดนัก
“เสียงอะไรน่ะท่านผู้เฒ่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนถาม
“แล้วแผ่นดินไหวเมื่อกี้ล่ะ?” ชายอีกคนถามแทรก
“สวรรค์พิโรธใช่ไหม?” หญิงชราร้องถาม
ทันใดนั้นเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับการชี้มือชี้ไม้ไปบนฟ้าฝั่งตะวันตก
“ดูนั่นสิ! ดูนั่น!” นางละล่ำละลักพูดด้วยดวงตาเบิกโพลง ปากคอสั่น และเมื่อทุกคนหันไปตามทิศทางที่นางชี้นั้น เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกก็ดังระงมขึ้นทันทีเมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเต่ายักษ์ขนาดมหึมากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าเทือกเขาคีรีบันดา
หากความตระหนกตกใจและหวาดกลัวของชาวฟูดินันนั้นสร้างความแตกตื่นขึ้นในเผ่าแล้ว ทว่ากลับยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกของชาวเผ่าสมิงที่จู่ ๆ ภูเขาที่เคยเห็นมันตั้งตระหง่านสงบนิ่งมาหลายชั่วอายุคน ภูเขาที่ใช้เป็นที่ล่าสัตว์และหาอาหาร กลับกลายเป็นเต่าบินขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา แรงลมที่เกิดขึ้นจากการกระพือปีกของเต่ายักษ์ก็มหาศาลจนต้นไม้หักโค่นระเนระนาด ปีกที่กางแผ่ออกมากวาดบ้านเรือนพังราบ เป็นแถบ ๆ บ้านบางหลังที่ยังคงสภาพอยู่ได้ก็โงนเงนจนดูเหมือนจะพังลงมาได้ตลอดเวลา ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออกเพราะเหตุการณ์ที่เกิดนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครตั้งสติได้ทัน เพียงพริบตาเดียวทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลองเหลือเพียงที่ดินร้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา
เสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของบรรดาลูกสมิงและเสียงโอดโอยของเหล่าสมิงที่บาดเจ็บดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทันทีที่คลายความตื่นตระหนกลงได้พวกนางสมิงต่างต้องเร่งช่วยกันพยาบาลคนเจ็บ ฝ่ายสมิงที่ไม่บาดเจ็บก็เร่งรื้อซากปลักหักพังมองหาข้าวของที่ยังพอใช้การได้ออกมากองรวมกันไว้ภายนอกซากอาคาร
ระหว่างที่สมิงทุกตนกำลังสาระวนอยู่กับการซ่อมแซมบ้านเรือนและลำเลียงผู้บาดเจ็บนั้นเอง ทันใดนั้นสัญชาตญาณแห่งการระวังภัยของสัตว์ป่าก็ตื่นตัวขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อจู่ ๆ จิตสังหารจำนวนมหาศาลโถมทะลักผ่านพื้นที่ว่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเข้ามาราวกับลาวาเดือดที่ปะทุออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ บรรดาสมิงต่างก็คว้าอาวุธคู่กายของตนขู่คำรามไปยังพื้นที่ว่างโล่งเบื้องหน้า เหล่านางสมิงก็เร่งพาเด็ก ๆ และสมิงที่บาดเจ็บเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าลึก เสียงขู่คำรามของบรรดานักรบสมิงดังสนั่นก้องป่าราวกับฝูงจ้าวแห่งพงไพรกำลังกู่ร้องคำรามข่มขวัญศัตรู ด้วยแรงลมที่พัดมาจากฝั่งฟีเลเซียทำให้ลานกว้างเบื้องหน้าเกิดฝุ่นคลุ้งกระจายม้วนตัวขึ้นกลายเป็นกำแพงฝุ่นหนาทึบขนาดใหญ่ แต่ด้วยสัญชาตญาณแห่งสัตว์ป่าและดวงตาที่แหลมคมยาวไกลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปทำให้เหล่านักรบสมิงสามารถมองเห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกำแพงฝุ่นนั้น
ความเครียดก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเคราะห์กระหน่ำซ้ำเติมเผ่าสมิง ที่ทำมาหากินจู่ ๆ ก็กลายเป็นเต่ายักษ์บินจากไปเหลือไว้แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ความเสียหายของบ้านเรือนและผู้คนที่บาดเจ็บ แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ กลับต้องรีบลุกขึ้นมาจับอาวุธเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายยิ่งกว่า อนิจจานักรบสมิงไม่กี่พันตนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชุลมุนจากเต่ายักษ์ไปหยก ๆ ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับกองทัพกระหายเลือดนับแสนของจักรวรรดิซาโลมได้
ทันทีที่กองทัพเพลิงเคลื่อนทัพเข้าเขตเผ่าสมิงก็เข่นฆ่าฟาดฟันนักรบสมิงอย่างดุเดือด ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเผ่าสมิงก็ถูกปล้นสะดมและเผาทำลายที่อยู่อาศัยจนวอดวาย ศพสมิงนับร้อยนับพันนอนตายกระจัดกระจายไปทั่ว เพียงแค่พริบตาเดียวทั้งเผ่าก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว เผ่าสมิงที่ถูกรุกรานอย่างน่ารักมโหดต่างต้องรีบถอยร่นเข้าไปในป่าลึกใกล้เขตเผ่าฟูดินันเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทางเลือก
ทหารซาโลมได้รับคำสั่งให้กักตุนอาหารและทรัพย์สินมีค่าทันที กษัตริย์ซาดินเดินสำรวจรอบ ๆ ลานกว้างที่ดูเหมือนจะเป็นลานชุมนุมของเผ่าสมิงท่ามกลางร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่านักรบสมิง เมื่อแลเห็นความอุดมสมบูรณ์ที่ดูเหมือนเก็บเกี่ยวเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดก็มีแต่ความชุ่มชื่นและเขียวสด ทำให้ความโลภของกษัตริย์ซาดินยิ่งโหมกระพือแรงกล้าขึ้น เมื่อคิดว่ายิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็คงยิ่งมีอาหารและความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก พวกเผ่าประหลาดครึ่งสัตว์พวกนี้ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยนิดแค่หยิบมือ นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงผ่านเทือกเขาคีรีบันดามาได้ อะไร ๆ ก็เหมือนจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเช่นนี้ การจะครอบครองผืนป่าแห่งนี้คงไม่ยากเย็นอย่างที่คิด กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ผืนป่าก่อนที่จะไปหยุดลงตรงที่ต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้าพลางยิ้มอย่างท้าทาย
“ดูสิว่าคราวนี้เทพของพวกมันจะทำยังไง?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างเย้ยหยัน