Chapter 21 กุศโลบาย
ณ เขตอุทยานภายในราชวังแห่งซาโลม
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานร่าเริงของเด็ก ๆ ดังก้องไปทั่วบริเวณ องค์ชายตัวน้อยวิ่งเล่นไล่จับกับบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาอำมาตย์อย่างสนุกสนานโดยมีนาริสยืนดูเด็ก ๆ วิ่งเล่นจากเฉลียงทางเดินของปราสาทด้วยความเอ็นดู บางครั้งก็ต้องแอบหัวเราะในลำคอขบขันกับท่าทางประหลาด ๆ ที่เด็ก ๆ ทำหยอกล้อใส่กัน เสียงหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขของเจ้าชายน้อยนั้นดังกังวานใสจนลอยไปถึงหูของผู้เป็นมารดา จึงอดไม่ได้ที่จะต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่เพื่อจะออกมาดูลูกสุดที่รัก
พระนางทรงค่อย ๆ ดำเนินลัดเลาะโถงทางเดินและห้องหับต่าง ๆ ตามเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของลูกไปเพียงลำพัง สักพักก็ทรงเลี้ยวขวาตรงหน้ามุขมุ่งสู่เฉลียงที่นำออกไปยังอุทยานใหญ่ภายในเขตพระราชฐาน จึงทรงได้เห็นมหาอำมาตย์เฒ่ายืนอยู่บนเฉลียงข้างเสาต้นใหญ่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมพอที่กำบังร่างของพระนางได้พอดี
เมื่อพระนางดำเนินเข้ามาใกล้พอ นาริสก็รู้สึกตัวและรีบทำความเคารพทันที
“กระหม่อมไม่ทราบว่าพระนางเสด็จมาจึงไม่ได้ถวายการต้อนรับ” นาริสเตรียมจะหันไปสั่งเหล่านางกำนัลให้จัดที่ให้องค์ราชินีแต่ก็ถูกพระนางห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง ท่านนาริส ข้าจะมาดูลูกข้าเท่านั้น ว่าทำไมเขาถึงหัวเราะได้อย่างสนุกสนานเพียงนี้ ข้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเต็มที่เช่นนี้ของเขามานานเท่าไหร่แล้วนะ?” ราชินีเนริมอร์ทอดพระเนตรฝ่ากิ่งไม้ที่ใช้พลางตัวออกไปยังอุทยานเบื้องหน้า เจ้าชายอิสฮานทรงกำลังวิ่งเล่นหลบไปหลบมาจากเด็กชายอีกคนหนึ่งโดยมีเด็ก ๆ อีกสี่คนวิ่งวนอยู่รอบ ๆ เสียงหัวเราะที่สดใสทำเอาพระนางเองทรงอดยิ้มตามไม่ได้
“เด็กพวกนั้น...” ราชินีเนริมอร์ ตรัสเปรยขึ้นเบา ๆ
“ลูก ๆ ของขุนนางในวังนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ เมื่อทรงหนังสือเสร็จแล้ว และยังพอมีเวลา กระหม่อมก็จะพามาให้เล่นกันที่นี่”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าพวกนี้ไม่ยอมเล่นกับลูกข้า”
“พระนาง เพราะเด็ก ๆ กลัวการลงโทษของพระองค์ ทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้ามาเล่นกับพระโอรส นี่ก็เพิ่งยอมเล่นด้วยกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้เอง”
“หึ...แล้วตอนนี้พวกมันหายกลัวแล้วรึไง?” ราชินีเนริมอร์ ทรงเหยียดพระโอษฐ์ ตรัสประชดเสียงขึ้นจมูก
“วัยเด็กเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมหัศจรรย์ ความมีน้ำใจไมตรีของพระโอรสที่หยิบยื่นให้เด็ก ๆ เหล่านี้ทำให้เอาชนะใจพวกเขาได้ไม่ยากนัก อีกทั้งด้วยความเป็นเด็ก จะโกรธ เกลียด กลัว โศกเศร้า เสียใจ ก็เพียงชั่วคราวไม่นานก็ลืมเสียหมดกลับมาคืนดีกันได้ใหม่ ผิดกับผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ที่ยิ่งโตก็ยิ่งมาด้วยทิฐิ”
ทันใดนั้นพระโอรสน้อยก็สะดุดขาเด็กอีกคนหนึ่งล้มลงจนล้มกลิ้งไปกับพื้น ราชินีเนริมอร์ดวงเนตรวาวโรจน์ขึ้นทันที อำมาตย์ชราจึงรีบคุกเข่าลงขวางทางราชินีเนริมอร์ไว้ด้วยความรวดเร็ว ราชินีเนริมอร์พยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ทรงขบฟันแน่นตรัสอย่างยากลำบากว่า “หลีกไป ท่านไม่เห็นรึว่าลูกข้าหกล้ม”
“พระนางโปรดระงับความโกรธลงก่อนเถิด พระองค์ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสนั้นอีกหรือ? ไม่ทรงอยากเห็นความเข็มแข็งของพระโอรสหรอกหรือ? นาริสแทบจะระรั่วพูดเพื่อรั้งความคิดของ องค์ราชินี
“ความเข้มแข็งอะไรกัน?!” ราชินีเนริมอร์ทรงพยายามบังคับพระองค์อย่างเต็มที่ กวาดสายพระเนตรไปยังลูกน้อยอีกครั้ง
เด็ก ๆ ทุกคนต่างหน้าตาซีดเผือดเพราะความกลัว ด้วยรู้ว่าเวลานี้พระนางเนริมอร์ เสด็จกลับมาประทับอยู่ที่ซาโลมแล้ว และหากพระโอรสเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคราวนี้พวกตนคงต้องตายเป็นแน่ เจ้าชายอิสฮานเองก็ทรงรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร จึงทรงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงเพื่อนที่ล้มลงไปด้วยกันให้ลุกขึ้นด้วย แม้จะทรงรู้สึกเจ็บเข่าเจ็บแขนอยู่บ้างแต่ก็ทรงรีบใช้พระหัตถ์น้อย ๆ ปัดเศษฝุ่นเศษดินตามเสื้อผ้าออก ซึ่งทุกคนก็รีบช่วยกันอย่างรวดเร็ว
“เห็นไหม ไม่เจ็บเลย เรามาเล่นกันต่อเถอะ” พระโอรสยิ้มกว้างให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้น และออกวิ่งนำอีกครั้ง ทุกคนจึงค่อยยิ้มออกและเริ่มวิ่งเล่นกันต่อ
ภาพที่เห็นนั้นทำให้ราชินีเนริมอร์ต้องทรงประหลาดพระทัยและอดภูมิใจไม่ได้ ความขึงโกรธพลันอ่อนยวบลงทันที “เขาเก่งนะ ไม่ร้องไห้เลยสักนิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่ารู้สึกโล่งใจขึ้น รับคำยิ้ม ๆ
“ข้าไม่อยู่เพียงไม่กี่เดือนเขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ท่านสอนเขาอย่างไรกัน?”
“มิได้พระนาง เดิมทีพระโอรสก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจดี มีความอดทนอดกลั้น และ เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงออกอย่างเต็มที่เท่านั้น”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่ท่านอำมาตย์?”
“พระนางจะทรงรับฟังคำแนะนำของตาแก่คนนี้ได้หรือไม่? เพื่อพระนางและพระโอรสเองด้วย”
“ตั้งแต่ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่ก็ได้ท่านคอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตข้าท่านก็ยังเคยช่วยไว้ ซ้ำท่านก็ยังดูแลลูกข้าอย่างดี รักอิสฮานอย่างจริงใจปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างจากลูกหลานของตนเอง ข้าซาบซึ้งใจมาก และ เคารพนับถือท่านอย่างจริงใจ ดังนั้นท่านจงพูดมาเถิด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” นาริสยิ้มอย่างซาบซึ้งก่อนจะค่อย ๆ เริ่มต้นกล่าวทูลสิ่งที่อยู่ในใจ “พระนาง จากการที่กระหม่อมเฝ้าอบรมเลี้ยงพระโอรสตั้งแต่ยังเล็กจนถึง ณ เวลานี้ หลายครั้งเหลือเกินที่ทรงฉายแววความปรีชาสามารถเกินกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเรียนการเรียนรู้ กระบวนการคิดอ่านต่าง ๆ เพียงแค่สอนครั้งเดียวก็จำได้แม่นยำ แต่ก็หลายครั้งเหลือเกินที่พระองค์ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถนี้อย่างเต็มที่นัก การที่จะให้พระโอรสพัฒนาความสามารถยิ่ง ๆ ขึ้นนั้น บางครั้งก็ต้องปล่อยให้พระองค์เผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นเองบ้าง”