Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา
เมื่อพระนางเนริมอร์ทรงแน่พระทัยว่ากษัตริย์ซาดินจะทรงทำศึกแน่แล้ว เย็นวันนั้นพระนางจึงทรงรุดเข้าไปพบกษัตริย์ซาดินภายในห้องเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเวลาที่กษัตริย์ซาดินทรงทำกิจการอื่น ๆ นอกเหนือจากการออกว่าราชการ
“ซาดิน” ราชินีเนริมอร์ทรงเอ่ยเรียกผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ
กษัตริย์ซาดินซึ่งขณะนั้นกำลังง่วนอยู่กับการดูแผนที่ภูมิประเทศทางการทหารอยู่จึงมิได้ใส่พระทัยใด ๆ มากนัก เพียงแต่เหลือบเนตรสีเข้มขึ้นทอดพระเนตรเล็กน้อย เมื่อทรงเห็นว่าเป็นมเหสีของพระองค์จึงได้ทรงยืดตัวขึ้น และยิ้มให้
“อ้า! เนริมอร์ เจ้ามาได้จังหวะดีจริงเชียว ข้ากำลังจะให้ทหารไปตามเจ้าอยู่พอดี”
“ซาดิน การศึกครั้งนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว” พระนางเนริมอร์ทรง รีบตรัสอย่างร้อนตัว
กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วลงทันที ทั้งแปลกพระทัยระคนสงสัยในตัวผู้เป็นมเหสีนัก “ทำไมรึ? ก่อนนี้เจ้าก็ยินดีที่จะร่วมทัพจับศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าด้วยทุกครั้งคราไมใช่หรือ?”
“แต่เวลานี้เรามีลูกแล้วนะ อิสฮาน ยังเล็กนักท่านจะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไร? ใครจะดูแลเขาเล่า?”
“ก็แม่นมกับพวกนางกำนัลไงเล่า เจ้าคิดว่าเรามีข้าทาสบริวารไว้ทำไมรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างมิอาทรร้อนพระทัยนัก
“ซาดิน ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ท่านไม่เคยสนใจไยดีลูกของเราเลย เมื่อคราวที่อิสฮานล้มป่วย ข้าให้คนมาตามท่านครั้งแล้วครั้งเล่าท่านก็ไม่มาดูดำดูดี” ราชินีเนริมอร์ทรงตัดพ้อ
กษัตริย์ซาดินทรงเอียงเศียรเล็กน้อยราวกับพยายามรำลึกเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสขึ้น “ในตอนนั้นถึงข้าจะอยู่หรือไม่มันก็ไม่ทำให้ อิสฮาน หายป่วยได้เพราะข้าไม่ใช่หมอ”
ราชินีเนริมอร์ทรงชะงักนิ่งอึ้งกับวาจาที่เย็นชาของสวามี กษัตริย์ซาดินทรงหันมาทอดพระเนตรดวงพักตร์ของผู้เป็นมเหสี พลางขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพระนาง
“ข้าก็ตามหมอหลวงให้แล้วอย่างไรเล่า และอีกอย่างการดูแลลูกก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่มิใช่หรือ?”
“ท่านรักลูกของเราบ้างไหม?” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนวิงวอนประหนึ่งว่าจะเป็นตัวแทนของบุตรชายร้องขอความรักจากผู้เป็นบิดาก็ไมปาน
“เหลวไหล ความรักเป็นเรื่องโง่เขลา เป็นความรู้สึกของพวกคนอ่อนแอ มันไม่มีประโยชน์อะไรต่ออนาคตของลูกเรา” กษัตริย์ซาดินทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้น และเริ่มจะไม่ชอบพระทัยการโต้ตอบกับมเหสีในเรื่องนี้มากขึ้นทุกที
คิ้วของพระนางเนริมอร์ขมวดเข้าหากันดวงเนตรเบิกกว้าง พระนางทรงจ้องมองลึกลงไปยังดวงเนตรของสวามีเหมือนจะเค้นหาความจริง
“นี่ท่านพูดอะไรออกมา” ในพระทัยของพระนางเจ็บปวดนัก ริมฝีปากเริ่มสั่น พระนางตรัสพลางจ้องมองกษัตริย์ซาดินเขม็ง
“ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อเลยหรือ?”
“ข้ากำลังทำอยู่ เจ้าคิดว่าข้าทำศึกครั้งนี้เพื่อใครกัน?” กษัตริย์ซาดินพยายามตรัสด้วยระดับน้ำเสียงปกติอย่างอดทน หากแต่แฝงการตำหนิในน้ำเสียงนั้น ดวงเนตรดุดันขึ้น “อนาคตของอิสฮานจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง มรดกที่ข้าจะให้กับเขาคือทวีปเมอร์ริเซียอย่างไรเล่า”
กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรราชินีเนริมอร์ครู่หนึ่งก่อนจะทรงทรุดกายลงประทับบนเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ “พอเถิด ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าในเรื่องนี้อีก ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้”
พระนางเนริมอร์ทรงกัดริมฝีปากแน่นเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ดวงเนตรสีอำพันวาวโรจน์ก่อนจะทรงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาล
“ไม่!! ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะอยู่กับลูกของข้า”
กษัตริย์ซาดินทรงถึงกับนิ่งอึ้งที่พระนางเนริมอร์กล้าขึ้นเสียงใส่พระองค์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องใดหรือแม้กระทั่งที่พระองค์มีฮาเร็มใหญ่โตมีสาวงามรายล้อมมากมายพระนางก็มิเคยมีปากมีเสียง แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พระนางกล้าตวาดใส่พระองค์เช่นนี้ ข้างฝ่ายราชินีเนริมอร์นั้นก็โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น ดวงเนตรสีอำพันดุดันและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พระนางทรงจ้องมองผู้เป็นสามีอย่างโกรธเกรี้ยว กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นจ้องมเหสีภรรยาด้วยสีพระพักตร์แข็งกระด้างแล้วจึงตรัสด้วยเสียงราวกับคำรามว่า “ ข้าสั่งเจ้า!! ในฐานะกษัตริย์แห่งซาโลม ”