Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice (การพิพากษาของพระเจ้า)
“………ความหวังก็ยังคงมีอยู่
เพียงขอให้แค่มีความเชื่อมั่น ก็ยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้สูญเสียไป
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จงเชื่อว่าต้องค้นพบกับความหวัง…………. “
ณ ยอด ดาดฟ้าของ อาคารโรงพยาบาล ตากสิน ตอนนี้การดวลของ ธนัท และ อดัม กำลังดำเนินไป
โดยมีชะตาของโลกเป็นเดิมพัน ในครั้งนี้
[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic2 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 4 ,Mystic1 Mp 0/8 Shrine 0/15 ]
“ ในรอบนี้ ให้ แตรคันที่1 Primus Tuba ทำงาน!! ด้วยผลของมันจะให้เลือกการทำงานได้ 1 ใน 3 อย่าง ”
อดัม ประกาศผลลัพธ์ของการ ร่าย แตรคันที่ 1 โดยที่ ตอนนี้ เหนือน่านฟ้า ทั่วทั้งเมือง ทั่วโลก ต่างก็ทอแสงไปด้วย
ลูกเห็บไฟผสม ค่อยๆโปรยปรายลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ
“ การ์ดนั่นเป็น มิสติกแบบไหนกัน ไม่เห็นจะเคยรู้จักเลย….ธนัท…นายจะไหวไหมเนี่ย ”
เคียว พึมพำ ในตอนนี้ เค้ามีหน้าที่จะต้องดูแล เฟรย์ คู่หมั้นของตน จึงทำให้ไม่อาขยื่นมือเข้าไปช่วย ธนัท ได้
และสำรับ ที่ ธนัท กำลังใช้อยู่นั้น ก็เป็น สำรับของเค้า ที่ ธนัท เองก็ยังไม่ค่อยจะลองใช้เลยด้วยซ้ำไป
ความกังวลเกี่ยวกับ รูปแบบของสำรับ ตนที่อาจจะไม่คุ้นมือ ธนัท คือสิ่งที่รุมเร้าใจของเค้าอยู่ในตอนนี้
“ อย่างที่ 1 คือให้ผู้เล่นทุกคนกำจัด Mystic Card ในสนามของตนเองออกจากเกม และ อย่างที่ 2 ก็เหมือนกัน
เป็นให้ทำการกำจัดใน Shrine แทน และอย่างสุดท้าย คืออันที่ ผมจะเลือก ”
อดัม อธิบายถึงความสามารถของ Primus Tuba ก่อนจะประกาศเลือกคุณสมบัติ ที่ต้องการ
“ ทิ้ง Seal บนมือไปใบ 1 สามารถเลือกทำลาย เผ่า Plant 1 ใบในสนามได้ ”
เค้า หยิบเอา ซีลการ์ดใบสุดท้ายบนมือทิ้งไป ขณะที่ ธนัท และ เคียว ได้แต่จดจ้องด้วยสายตา งงๆ กับการตัดสินใจของเค้า
เพราะเผ่า Plant ที่มีในสนามตอนนี้ก็มีแต่ เห็ดแฟนธ่อม ของเค้าเองเท่านั้น
“ ทำลายเผ่า Plant 1 ใบในสนาม…. ”
ธนัท ทวนคำพูดของอีกฝ่าย เพื่อจะเช็คให้ตัวเองแน่ใจว่า ไม่ได้ตีความหมายผิดไปจากที่ฟัง
“ ถูกต้อง และที่ผมจะทำลายก็คือ ซีล ของผมเอง เลือกเป้าหมายการทำลายไปที่ เห็ดแฟนธ่อม ”
อดัม ยืนยันอีกครั้งว่า ที่เค้าคิดอยู่นั้นถูกแล้ว เค้ากำลังจะทำลาย อสูร ของตนเอง
ทันทีที่การประกาศเสร็จสิ้น เห็ดแฟนธ่อม ก็ระเบิดร่างของมัน จนแตกสลายกลายเป็นฝุ่นสีดำ
คลุ้ง กระจายออกมาพร้อมๆกับที่ นิมิตของ ทูตสวรรค์เป่าแตร ได้สลายไป
“ และเมื่อเห็ดแฟนธ่อม ถูกทำลาย Ability ของ เห็ดแฟนธ่อม ก็จะทำงาน ”
อดัม อธิบายความสามารถของ เห็ดแฟนธ่อม ขณะที่รับเอาการ์ดผนึกของมันที่กระโน ปลิวกลับมา
ไว้ด้วยมือซ้าย ก่อนจะเก็บลงช่อง Shrine ตรงส่วนล่างของ ปลอกแขน ฝุ่นที่คลุ้งออกมาจาก การระเบิดของ เห็ดแฟนธ่อม
ก็ค่อยๆ ขยายตัวเข้าไปยังสนามฝั่งของ ธนัท
“ Ability ของ เห็ดแฟนธ่อม เมื่อมันถูกส่งไปยัง Shrine จากสนาม จะให้เลือก ซีลใบหนึ่ง
ในสนามติด Last Dance Curse เพิ่มค่า At และมีระยะเวลา ตามหน่วย LV ของซีล ที่เป็นเป้าหมายนั้นๆ
หวังใช้ประโยนช์จาก Ability นี้จนถึงกับยอมจ่าย Mp มหาศาลเพื่อทำคอบโบแบบนี้เลยงั้นเหรอ ”
ธนัท ย้อนถามขณะที่กำลังตัดสินใจหาทางรับมือกับการเล่นผสานนี้
“ ……..เป้าหมายที่ ผมจะเลือกก็คือ นินจาลมหมุน ที่มี LV 1 ”
อดัม พูดขึ้นพร้อมกับ ชี้นิ้วไปที่นินจาลมหมุน ผลันฝุ่นควันทั้งหมด ก็รวมตัวกันเข้า รม ใส่ นินจาลมหมุน ทันที
{ธนัท..จะรู้รึเปล่านะ ว่า Skil ของนินจาลมหมุน น่ะคือ…}
เคียว ลุ้นไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ธนัท จะรู้หรือไม่ถึงความสามารถของ นินจาลมหมุน
ที่อาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ แต่ทว่าตอนนี้ ฝุ่นควันเหล่านั้น ก็เข้าไปในร่างกายของ นินจาลมหมุน
ที่ดิ้นทุรนด้วยความทรมานจากการถูก รม และทันทีที่ ควันทั้งหมดซึมเข้าไปจนหมดแล้ว
นินจาลมหมุนก็เริ่มมีอาการ คลุ้มคลั่ง อยู่ไม่สุข ราวกับคนติดยา
“ ดูเหมือนนายจะพลาดไปนะ…Cost Mp2 ให้ Skill ของนินจาลมหมุนทำงานให้ตัว
นินจาลมหมุนได้รับ Ability Vanish เป็นเวลา 1 Turn ตราบเท่าที่มีธาตุลม ใบอื่นในสนาม ”
ธนัท เปรย ขึ้นก่อน จะประกาศให้ นินจาลมหมุนใช้ Skill ซึ่งตัวนินจาลมหมุน เองแม้จะยังบ้าคลั่งอยู่
เพราะต้อง คำสาปจากควันของ เห็ดแฟนธ่อม แต่ก็พยายามรวมมือประสานกันเพื่อใช้ คาถาได้สำเร็จ
ร่างของเธอก็แวบหายไปในบัลดล
“ Vanish? ”
อดัม ทวนคำสั้นๆ หลังจากเห็นการแก้เกม ของธนัท ที่สามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้ในครั้งเดียว
“ ใช่แล้ว การ Vanish จะทำให้ ซีลที่มี Ability นี้ถูกนำออกจากเกม เป็นระยะเวลาตามที่กำหนด และเมื่อ
เป็นการถูกกำจัดออกจากเกม ทั้ง มิสติก , คำสาป และ สถานะที่ติดตัว อยู่กับ ซีล ทั้งหมดนั้นก็จะถูกถอดออกไปด้วย ”
เคียว เสริมให้ถึงรายละเอียดของ ความสามารถนี้
“ เพราะฉนั้น Last Dance Curse ที่ติดอยู่ก็จะถูกกำจัดหายไป เท่านี้ เท่านี้คอมโบ ที่จะทำลายซีลของ
ฉันด้วย Curse Last Dance ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ”
ธนัท ปิดท้ายให้เป็นจังหวะเข้าคู่กันเลยทีเดียว ราวกับทั้งเค้าและ เคียว กำลังใช้สำรับ นี้ดวลร่วมกันอยู่
แม้สำรับ นี้จะไม่ใช่ของธนัทแต่เค้าก็ยังคงใช้มันได้ประหนึ่งกับเป็นสำรับของตัวเองแสดงให้เห็น
ถึงสายสัมพันธ์และประสบการณ์ที่มีมากโข กว่า อดัม อยู่หลายขุม
“ หมดรอบของ ผมแค่นี้… ”
อดัม ประกาศจบรอบของตน อย่างสงบเสงี่ยม ราวกับว่า การถูกโต้กลับก่อนนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับเค้าเลยแม้แต่น้อย
{ไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียว งั้นเหรอ….อึ้งจนพูดไม่ออกหรือ
เป็นเพราะคาดเอาไว้แล้วจงใจให้เป็นแบบนี้แต่แรกกันแน่นะ}
“ รอบของฉันจั่วไพ่ ”
ธนัท ประเมิน ท่าทางของอีกฝ่าย อยู่ก่อนจะประกาศรอบของตนพร้อมจั่วซีลและมิสติกอย่างละใบ
[Thanatativet Status; Hand:Seal 4 ,Mystic3 Mp:6/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 0 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 1/15 ]
“ Cost mp 3 อัญเชิญ เจ้าหญิง ฮิเดโกะ(Princees Hideko)ไว้ที่ Df Line และอัญเชิญ นินจาลมหมุนตัวที่สองลงสู่ At Line ”
สิ้นคำ ธนัท ก็ร่อนการ์ดผนึก Seal ในมือที่ จั่วมาแหวกฝ่าละอองเวทย์ที่คละคลุ้งออกมาจาก เฟืองของ
ปลอกแขนพร้อมๆกันนั้น ทันทีที่ผนึกแตกออก ก็เกิดแสงสว่างฉายวาบออกมาชั่วครู่ ก่อนจะจางลงพร้อมกับการ
ปรากฏของร่างแห่งเจ้าหญิงมิโกะซึ่งทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าเนื้อละเอียดแขนเสื้อกว้างยาวปิดมิดชิด
กระโปรงยาว จรดพื้น ใบหน้าอิ่มเอิบของสาววัยแรกรุ่น ที่หัวไหล่สองข้างทรงเกราะบ่าติดผ้าคลุมประจำยศ
ผมสีดินละออยาวสลวยโบกสะบัดพริ้วไปกับสายลมยามปรากฏกาย เจ้าหญิง ฮิเดโกะ
ทรงประทับอยู่ที่นี่แล้วในที่พำนักสนาม Df line และนินจาลมหมุน อีกคน ที่กระโดดลงมายืนในสนามแนวหน้า
เคียงคู่ นักรบซามูไรอัสนีบาต
“ Cost Mp 2 ให้ซามูไรอัสนีบาต โจมตีไปที่ แมลงเคฟเฟลท ”
ธนัท สั่งจบ ซามูไรอัสนีบาต ก็พุ่งทะยานออกจากที่ ขัดกับขนาดร่างเขื่องของตน มันพุ่งไปอย่างรวดเร็วจนเห็นแสงไฟแลบแปลบปลาบ ประหนึ่งประจุไฟฟ้า ที่กำลังจะปะทุตัวเป็น ฟ้าผ่า แสงแลบแปลบปลาบ อยู่ประมาณสองสามครั้งก่อนที่ ร่าง
ของแมลง เคฟเฟลท ตัวหนึ่งจะแหลกเป็นชิ้นๆ ในเสี้ยววินาที พร้อมกับ ร่างของ ซามูไร อัสนีบาต ที่กลับยืนอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตุแห็นเลยแม้แต่น้อย ทว่าชิ้นส่วนเหล็กไน ที่ปลายหางของ เคฟเฟลท กระเด็น
ไปทิ่ม โดน ซามูไรอัสนีบาต ก่อนจะซึมฝังตัวลึกลงไปอย่างรวดเร็วเสีย จนธนัท เองก็มองไม่ทันว่า ได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ขณะที่ อดัม นั้นฉีกยิ้มที่มุมปากเผยออกมาเล็กน้อย กับการถูกโจมตีในครั้งนี้
“ จากนั้น Cost mp 1 ให้ นินจาลมหมุน โจมตีต่อเนื่องเลย ”
ธนัท รีบคว้าโอกาสนี้ สั่งโจมตีต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ อีกฝ่ายตั้งตัวได้ทัน นินจาลมหมุน ที่ถูกอัญเชิญ มาใหม่นั้น
ก็ทะยานตัวไปด้วยฝีเท้าลมกรดที่วิ่งฝ่าอากาศวนไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็น พายุหมุนล้อมกรอบ ทั้งสนามเอาไว้
ก่อนที่ มีดลักษณะ โค้งของหล่อนจะเหวี่ยงออกมา จากพายุ ตรงเข้าเฉือดเฉือน ร่างของ แมลงเคฟเฟลท ไปอีกตัว
พร้อมๆกับที่ ตัวนินจาลมหมุน ได้ลงมายืนอยู่บนพื้นอีกครัง หลังจากที่ เปลี่ยนตัวแองเป็น พายุหมุนไปแล้ว
โดยที่ชิ้นส่วนเหล็กไน ที่ปลายหางของ แมลงเคฟเฟลท ซึ่งกำลังจะสลายไปได้ กระเด็น ทิ่ม โดน นินจาลมหมุน
ด้วยเช่นกัน แต่มันก็ซึเข้าไปเวมากเสียจนมองไม่ทันอีก โดยที่ ธนัท และเคียว นั้นไม่ทันสังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลง
นี้เลยแม้แต่น้อย
“ หมดรอบแค่นี้ และ ในตอนนี้ ผลของ Vanish Ability ก็จะครบรอบการทำงาน
ทำให้ นินจาลมหมุนที่ ถูกกำจัดออกไปในรอบที่แล้ว ย้อนกลับสู่สนามใน At Line ”
สิ้นคำ นินจาลมหมุน ที่หายตัวไปในรอบที่แล้ว ก็ปรากฏตัว กลับมาอีกครั้ง
“ รอบของผมล่ะนะ ”
อดัม ประกาศเสียงเรียบ ก่อนจะจั่ว ซีลการ์ด ขึ้นมา 2 ใบ
[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic3 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 2 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 3/15 ]
บรึม!!
เสียงระเบิดที่ดังสนั่นลั่นกึกก้องนี้ ทำให้ ธนัท ต้องชะงักหันไปมองรอบๆตัว บัดนี้อาณาบริเวณ ที่เคยเป็นเมือง
ซึ่งชุ่มโชก ไปด้วยฝนและ หิมะ กลับถูกดลบัลดาลให้กลายเป็น ทะเลเพลิงในพริบตา เสียงของสายฝนและพายุหิมะ ที่ยังคง
โหมกระหน่ำ ตัดกับเสียงลุกโชนเสียงปริแตกพังทลายของ อาคารต่างๆ อันเกิดจาก ถูกลูกเห็บไฟผสมเลือด
ตกลงมากระแทกระเบิด จนเกิดเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ ไม่เว้น แม้แต่ ดาดฟ้าที่พวกเค้ายืนอยู่ ก็ยังมีสะเก็ดเล็ก
สะเก็ดน้อยกระเด็นตกลงมาด้วย
“ ที่นี่เป็น ศูนย์กลางของการปล่อย คำนิมิต เพราะฉนั้นจึงได้รับผลกระทบน้อยกว่ารอบๆเยอะ แต่ก็ใช่ว่า จะไม่
มีผลกระทบเลย ตอนนี้ทั่วทั้งโลกก็คงจะกลายเป็น จุลไปหมดแล้วกระมัง ”
อดัม เปรยขณะที่ยิ้มระรื่นไปด้วยเมื่อได้ชมทัศนียภาพที่ท่วมไปด้วยเพลิง และโลหิตตกลงมากับลูกเห็บ ที่ถูกต้มจน
เดือดส่งเสียง ฉู่ฉ่า ระงมไปทั่วทั้งเมือง
“ น…นี่มันอะไรกัน!! ”
เคียว เปรยกับสภาพของเมือง ที่เห็น แม้ว่าที่ไกลๆออกไปนั้น จะยังคงเห็นการต่อสู้ ของเหล่าเทพอสูร
ที่พวก มาริน่า และทุกคนกำลัง ต่อสู้กันอยู่ ก็ตาม
“ ในรอบที่แล้วคุณพูดเองสินะ ว่าการทำคอมโบของผมนั่นมันไร้ความหมายไปแล้ว เพราะคุณก็สามารถทำลายผลลัพท์
ที่เกิดในเกมได้แต่นั่นน่ะ ไม่ใช่ที่ผมต้องการหรอกนะ ที่ผมต้องการจริงๆคือนี่ต่างหากล่ะ ”
อดัม พูดเสียงเรียบ พลางเคาะเท้าอย่างสบายใจ ในขณะที่ ธนัท นั้นดวงตาเบิกกว้างเสียจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า
ทนกัดฟัน เพื่อทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ โดยพยายามจะข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
ตอนนี้ตัวเค้าคงได้กลายสภาพและตรงเข้าทำร้ายทุกคนเหมือนเมื่อวานอีกเป็นแน่
“ ผลลัพธ์ ….ที่ต้องการจริงๆงั้นเหรอ ”
ธนัท หันกลับมาจ้องด้วยสายตาแค้นจะกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายเสียให้ได้ นั่นยิ่งทำให้ อดัม รู้สึกสนุกขึ้นไปอีกกับ
การได้ปั่นหัวเค้าเล่นเช่นนี้
“ ที่ผมสนใจน่ะไม่ใช่ การทำลาย อสูร ของคุณของหรอกนะ แค่ต้องการให้ แตรคันที่ 1 ถูกเป่าเท่านั้น นั่นแหละ คือเป้าหมายของผมล่ะ ”
อดัม ตอบเสียงร่า ราวกับว่านี่ยังเป็นแค่เกม เท่านั้น ทั้งที่พึ่งจะลากเอาชีวิตของ
คนอีกนับหมื่นหรืออีกเป็นล้านเข้ากองไฟไปเมื่อครู่นี้
“ หมายความว่า…ยังไงกัน ”
เคียว สบถถามด้วยความไม่พอใจปนกับความสงสัยในคำพูดของ อดัม ที่ฟังวกวนไปมา
“ มันไม่ได้หมายถึงอะไรเลย เคียว…เจ้านี่มันแค่ต้องการ ใช้การดวลนี้เป็นพิธีกรรม
ส่งผ่านการอัญเชิญ ที่จะทำลายล้างทุกอย่างก็เท่านั้นเอง ”
ธนัท กลับเป็นฝ่ายที่ ตอบ เคียว เสียเองเพราะตัวเค้า เองทันทีที่ได้เห็นการกระทำและการแสดงออกก็ได้รับรู้ซึ่งตัวตนของ
อีกฝ่ายแล้ว ว่าคนที่ดวลอยู่ด้วยนี้ ไม่เห็นค่าชีวิต ของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“ ม..หมายความว่า เมื่อกี้ไม่ใช่คอมโบ แต่เป็นการทำเพื่อที่จะให้ การ์ด แตร นั่นถูกร่ายออกมาเท่านั้นงั้นเหรอ! ”
เคียว ย้ำถาม อีกครั้งด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง กับคำตอบที่ได้รับ
“ เจ้านี่มันไม่ได้คิดหรือคาดอะไรไว้ก่อนแล้วทั้งนั้นนั่นล่ะ มันแค่ต้องการที่จะ
ทำลายให้ทุกอย่างพินาศไปตามที่มันต้องการ ”
ธนัท กล่าวโดยที่สายตานั้น ยังคงเอาไว้ซึ่งความขุ่นเคือง
“ ถูกอย่างที่คุณว่า เพราะงั้น ผมก็จะขอทำลายต่อไปแบบนี้เรื่อยก็แล้วกันนะครับ ”
อดัม ตอบพร้อมกับหยิบการ์ด มิสติกบนมือเตรียมร่ายต่อทันที
“ Cost Mp 3 ร่าย Primus Phialam เป้าหมายคือ ซามูไรอัสนีบาต ”
สิ้นคำ แสงสว่างเจิดจ้าส่องวาบออกมาจากการร่ายมิสติกการ์ดนั้น นิมิตของทูตสวรรค์ในชุดขาวปรอดบริสุทธิ์
ผู้มาพร้อมกับ ปีกศักดิ์สิทธิ์ ในมือถือขันทองคำรูปลักษณประณีต ประหนึ่งชามโอสถทิพย์ ในขันนั้นมีน้ำทิพย์
ทอประกายแสงอย่างที่หาไม่ได้ในโลกนี้
“ ทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งเทขันของตนลงบนแผ่นดิน คนทั้งหลายที่มีตราของสัตว์ร้ายและกราบ
นมัสการรูปปั้นของมัน ก็เกิดเป็นแผลเจ็บปวด ”
อดัม เปรยด้วยท่าทีสงบ ขณะที่นิมิต ทูตสวรรค์ ค่อยๆริน สิ่งที่อยู่ในขัน ลงสู่อากาศ ทันทีที่ของเหลวนั้นลงสู่อากาศ
ก็เกิดกระจายกลายเป็น สายฝนรดลงสู่พื้นดิน ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีเสียงร้องโอดครวญ และเสียงกรีดร้องดังออกมาจาก
ในตัวอาคาร เสียงร้องของบรรดาผู้ป่วย ในโรงพยาบาลที่พวกเค้ายืนอยู่นั่นเอง ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น คือแม้แต่
ผู้คนที่กำลัง อพยพ หนีตายอยู่บน ถนนก็โดนลูกหลงไปด้วย พวกเค้าต่างก็แสดงอาการเจ็บปวดทรมาน
ราวกับกำลังถูกเผาทั้งเป็น ตามร่างกาย ของพวกเค้าเหล่านั้น ต่างมีแผลเป็นรูปดาวห้าแฉก(Pentagram)
ปรากฏอยู่ตามจุดต่างๆของร่างกาย
[Pentagram :สัญลักษณ์ที่สื่อถึงศาสตร์แห่งซานตาน เป็นเครื่องหมายของลัทธิ์นอกรีตในสมัยกลาง ใช้เพื่อบูชา Baphomet]
“ ย….หยุดนะ นี่แกคิดจะฆ่าคนพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ!! ”
ธนัท ตะคอกให้ เค้าหยุดการกระทำอันโหดร้ายนี้
“ มนุษย์ที่ได้ความเจ็บไข้เหล่านั้น ก็เพราะพวกเค้า นมัสการ ปีศาจ ก็สมควรแล้วนี่… ”
คำตอบของ อดัม กลับเป็นการย้อนความมาเล่นลิ้นกับเค้าแทนเสีย
“ อะไรกัน นี่แกจะบอกว่า คนพวกนั้นสมควรโดนแบบนี้งั้นเหรอ พวกเค้าเป็นแค่คนที่
ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ อะไรเลยนะ!? ”
เคียว ตะคอกบ้าง ตอนนี้แม้แต่เค้าเองก็รู้ทนไม่ได้กับการดวล บ้าๆที่ต้องลากเอาชีวิตของคน
อีกหลายคน มาเล่นแบบนี้
“ ก็เพราะไม่รู้นั่นล่ะ คือบาป…บาปที่มาจากความไม่รู้ว่าตนได้ก่อกรรม อะไรไว้ถึงต้องมา
เจ็บป่วยได้ไข้กันแบบนี้ไงล่ะเดิมทีมันเป็นสัจธรรมของโลกอยู่แล้ว ใครทำอะไรก็ได้รับผลตามนั้น ”
คำตอบที่ได้จาก อดัม ยังคงยืนยันคำเดิม เค้าคนนี้คงไม่มีความรู้สึกสงสารหรือเห็นค่าของชีวิต
เป็นดั่งปีศาจที่กระหายความพินาศในสายตาของ มนุษย์เฉกเช่นพวกเค้านี่เอง
“ ก…แกมันบ้าไปแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างที่แกว่า ทุกคนก็ผิดหมดงั้นสิ พวกเราน่ะมีทั้งเรื่องที่รู้และก็ไม่เข้าใจ
อีกตั้งมากมายอยู่การที่จะต้องมารับเคราะห์ด้วยทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย แค่นี้ก็น่าจะสาสมพอแล้วนี่ แล้วทำไมถึงต้อง
ทำแบบนี้ด้วย ”
ธนัท ขึ้นเสียงโต้กลับไป เค้าโกรธเป็นที่สุด ในตอนนี้ การดวลการ์ด ที่เค้าชอบกลับถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการ
ฆ่าคน มันทำให้เค้า เสียใจอย่างสุดประมาณ และโกรธจัดจนหัวแทบจะระเบิด ออกมาเสียให้ได้
ต่อหน้า ของเด็กหนุ่มผู้ที่เห็นมนุษย์เป็นเพียงแค่ขยะที่ไร้ค่า นี่คือสิ่งน่ายินดีที่สุดยิ่งกว่าอะไร
“ สาสมงั้นเหรอ? ….กะอีแค่ โรคกระปอดกะแปดที่พวกมันเป็นกันอยู่แค่นี้น่ะก็ล้วนเกิดจากตัวพวกมันทั้งสิ้น
ยังเทียบไม่ได้กับความผิดที่พวกมันก่อเอาไว้หรอก เคยคิดบ้างไหมล่ะว่า คุณธรรม จริงๆมันเป็นยังไง
ความดีงามความถูกต้องที่พล่ามออกจากปากของ พวกคนใหญ่คนโต ที่ปลูกฝังความนึกคิดของสังคมที่พวกมันจะปกครอง
ให้เด็กๆอย่างคุณ น่ะมันคือสิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ…. ”
อดัม ยังคงร่ายต่อไป เนื้อความในประโยคยังคงเป็นการว่าร้ายมนุษย์ต่างๆนานา อคติใดที่ทำให้เค้า เกลียดชังได้ถึงขนาดนี้
คือสิ่งที่ ธนัท และ เคียว ต้องสงสัย
“ คุณธรรมจริงๆ…งั้นเหรอ ”
ธนัท เปรยโดยที่สายตายังคงแข็งกร้าวอยู่เหมือนเดิม
“ ใช่แล้ว การทำสิ่งที่ถูกต้อง การเชื่อฟังเคารพผู้ที่อาวุสโสกว่าตน ถ้ามันเป็นความถูกต้องจริงๆล่ะก็ ทำไมทุกวันนี้ถึงยังมีผู้คนที่คิดต่างกัน และไม่ยอมก้มหัวให้กัน ทั้งที่คนบางกลุ่มก็ยอมก้มหัวให้ ทั้งที่ต่างก็เป็นมนุษยเหมือน
กัน ทั้ง N.O.W และ DNA-Changer ต่างก็พากัน ถกเถียงถึงระดับชั้นของตน และพยายามข่มอีกฝ่ายให้อยู่ต่ำกว่า
การแข่งขัน เพื่อชิงความยิ่งใหญ่ ทำให้เกิดเป็นกิเลศขึ้นมา ทั้งที่มีคำสอน ว่ากิเลศ คือ บาปของมนุษย์ แล้วทำไมถึงยังมีคนทำให้กิเลศ มันเกิดอยู่อีกล่ะ ”
อดัม รับคำก่อนจะ ว่าโอวาทมาอีกชุดใหญ่ ประเด็นที่ดูเหมือนจะชักชวนให้พวกเค้า โอนอ่อนไปตาม กระแสที่สร้างขึ้นมา
“ ถ้าหากว่าความจริงแล้ว คำสอนเหล่านั้น คือคำลวงที่จะปิดกั้นหนทางสู่ความสุขของ พวกคนที่มันประสบความสำเร็จล่ะ
หากสิ่งที่เชื่อมาตลอดจนถึงวันนี้คือ ความจริงที่ว่า มันเป็นหนทางที่ยากลำบาก และน่าจะพบโอกาสสำเร็จได้ยากที่สุดแล้ว
ขึ้นมาล่ะ พอเป็นแบบนั้น ขึ้นมาสิ่งที่เป็นหนทางแก้ก็คือหาทางลงกับคนที่ต่ำชั้นกว่า อ่อนประสบการณ์กว่า
เพราะแบบนั้นไง ถึงได้เกิดเป็น โฮมุนครุส มนุษย์สังเคราะห์ที่จะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งของก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็กลายเป็นแค่ก้อนเนื้อที่มีชีวิต เพียงเพื่อแค่สนองกิเลศ ของมนุษย์ เท่านั้น ”
อดัม ร่ายมาจนจบในที่สุด ตอนนี้ ทั้งคู่ต่างก็เงียบโดยที่ไม่ปริปากโต้เถียงใดๆ
{แย้งไม่ได้เลยสินะ ก็แหงล่ะที่ ฉันพูดมามันเป็นจริงทั้งหมดนี่…..แต่ว่าถ้าสิ่งที่เกิดอยู่ตอนนี้มันเป็นจริงดวยก็ดีหรอกนะ}
อดัม คิดความรู้สึกเหิมเกริม ที่ได้อยู่เหนือมนุษย์ในตอนนนี้มันราวกับว่าตัวเค้ากำลังเป็นพระเจ้าที่
จะตัดสินชะตาของมนุษย์เลยทีเดียว มันคงจะเป็นเช่นนั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนว่าเค้ากำลังแอบแฝงบาง
อย่างเอาไว้อีกนอกเหนือจากการ ทำลายล้างนี้
“ นี่…แกเป็น โฮมุนครุส งั้นเหรอ ”
ธนัท ถามตอนนี้ดูเหมือนว่า สายตาที่จ้องอาฆาตมาเมื่อครู่มันหายไปหมดเสียแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเรื่อง
ที่เค้าพูดออกไป
“ ถูกต้อง! ผมนี่แหละเป็น โฮมุนครุส ล่ะและนั่นก็คือมุมมอง ที่โฮมุนครุสอย่างพวกเรา เห็นกัน ”
อดัม ตอบกลับอย่างไม่ลังเลทันที โดยที่ ธนัท นั้นเมื่อได้ฟังคำตอบ เค้ากลับเงียบไว้และไม่พูดโต้ตอบอะไรกลับไป
อีกเลย
“ เพราะงั้นผมถึงได้บอกยังไงล่ะว่า มนุษยน่ะมันไม่มีทาง ขึ้นมาจากความมืดได้อีกแล้ว ก็เพราะระบบสร้างกิเลศ ที่เรียกว่า สังคมมนุษย์ ยังไงล่ะ เพราะงั้น พระองค์ถึงได้เลือกหนทางนี้ เมื่อเนื้อร้ายมันลุกลาม ก็ต้องตัดมันทิ้งซะ
แล้วเหลือไว้แค่ส่วนที่ยังดีอยู่ เพราะงั้นแล้วจงเบิกตาให้กว้างพอเพื่อที่จะรับแสงสว่างจากพระองค์ ”
อดัม โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเดินเกม ต่อจากที่ค้างไว้ทันที
“ ด้วยผลของ ศีลข้อที่1 Primus Phialam จะให้เลือกผลได้ 1 อย่างระหว่าง ซีล ที่ติดตั้งการ์ดใบนี้จะต้องถูกลดค่า At ลง
ไปตามหน่วยค่าร่ายที่มากที่สุดของ ซีลในสนามฝ่ายตรงข้ามการ์ดใบนี้ หรือ ให้ยกเลิก Ability ของ ซีล ที่มีหน่วยค่าร่าย
มากกว่า ซีล ที่ติดการ์ดใบนี้อยู่ และที่ผมจะเลือกก็คือ ข้อที่ 1 ”
คำอธิบายความสามารถของ อดัม นั้นทำให้ ธนัท ต้องครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย กับการรับมือการบุกที่จะมาแน่นอน
{ ตอนนี้ บนมือเราไม่มีการ์ดไหนจะรับมือได้เลยถ้าเป็นแบบนี้ ซามูไร อัสนีบาต
ก็จะมีค่า AT เหลือ แค่ 4 เท่านั้น … แต่ว่า ในสนามของเจ้านั่นตอนนี้ก็เหลือแค่
แมลง เคฟเฟลท เพียงตัวเดียว นี่นะ คราวนี้มันคิดจะมาไม้ไหนอีกล่ะ หรือว่าแค่
คิดที่จะร่าย การ์ดนั่น ลงมาเฉยๆอีก }
ธนัท คิดหาทางรับมือ เล่ห์กลของ อีกฝ่ายที่จะมาในอีกไม่ช้า นขณะที่ อดัม นั้นยังม่แสดงทีท่าอะไรให้เห็นชัดเจน
นักว่าสำรับของ ตนเป็นรูปแบบใด
“ ผลของการที่ ไปนมัสการปีศาจร้าย ก็คือความพินาศ ที่ทำให้อ่อนแอลง…แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป พระองค์จะทรงปลดปล่อยเจ้า จากความทุกข์นั้นเอง จะทรงชี้นำทางที่ควรให้เอง Cost Mp 3 อัญเชิญ ท่านอัครเทวทูต ท่านเซอัลเทียล(Arcangel Seatiel) ”
สิ้นคำ การ์ดซีล บมมือก็ถูกร่ายออกมา แสงสาดส่องแหวกท้องนภา สีหม่นลงมาพร้อมกับ
การประทับทรงขององค์ผู้ที่เป็นดั่งคำอธิษฐาน และ
การนมัสการอันถูกควร นามของท่านมีความหมายว่า ‘คำภาวนาต่อพระเจ้า’ ตะเกียงกำยานถวายคำภาวนาต่อพระเจ้า
ชูอยู่ในมือของท่าน เพื่อที่จะคอยชี้นำให้นมัสการพระเจ้า อย่างถูกควรและเหมาะสม
[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic3 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic1 Mp /2/8 Shrine 3/15 ]
“ ท่านอัครเทวดา เซอัลเทียล ท่านเป็นอัครเทวดาแห่งการนมัสการ และ อธิษฐาน
ชื่อของท่ามมีความหมายว่า ‘คำภาวนาต่อพระเจ้า’ ท่านจะคอยชูกำยานถวายคำภาวนาต่อพระเจ้า
จะคอยชี้นำให้นมัสการพระเจ้าอย่างเหมาะสม ท่านจะชำระผู้ภาวนาและอธิษฐานให้บริสุทธิ์
คู่ควรในเวลา ที่ถวายนมัสการ ท่าน เซอัลเทียล ผู้นี้จะชำระให้เจ้า นมัสการอย่างถูกต้องจะปลดปล่อยเจ้า
จากความทุกข์บัดนี้ ”
คำประกาศตัวอันยิ่งใหญ่ต่อ มหาทูตสวรรค์ อัครเทวดา เซอัลเทียล รัศมีที่เปล่งออกมานั้น กดดันให้ ธนัท
รับรู้ได้เลยทีเดียวถึงอำนาจที่มีเหลือล้นคณา
“ แรงกดขนาดนี้….เทียบกับอสูรเทพ ได้เลยนะเนี่ยไม่สิ แค่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง…แต่ก็รุนแรงชะมัดเลย ”
เคียว สบถ ขณะที่ ย้ายร่างของ เฟรย์ เข้ามาหลบ โดยเอาหลังของเค้าบัง แรงผลักที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับ
การอัญเชิญ เอาไว้
“ Cost Mp 2 กำหนดการโจมตีไปที่ ซามูไรอัสนีบาต ขอให้อัครเทวดาทรงชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงผิดด้วย ”
อดัม ประกาศจบ อัครเทวดา เซอัลเทียล จึงจุดกำยานในมือ และชูขึ้นเหนือศรีษะ แสงสว่างเจิดจ้า
ส่องประกายเสียจน ทำให้ ธนัท ต้องยกแขนขึ้นป้องตาทันที โดยแสงนี้คือการโจมตีนั่นเอง
“ Ability ของ ซามูไรอัสนีบาต ทำงาน เมื่อต่อสู้จะเพิ่มค่า AT ตามหน่วยค่าร่ายของ ซีล ที่สู้ด้วย ”
ธนัท ประกาศใช้ Ability ของ ซามูไรอัสนีบาต แต่แม้ค่าพลังเพิ่มจาก 4 มาอีก 3 หน่วยเป็น 7 แต่ยังแพ้
เซอัลเทียลที่มีค่า At 8 อยู่ดี
“ ความดุร้ายแห่งปีศาจที่กระตุ้นพลังของเจ้าให้แข็งข้อต่อความดีงามนั้นไม่อาจขัดขวางการชำระของ ท่าน เซอัลเทียล
ได้หรอก จงเปิดใจของเจ้า และเอ่ยคำภาวนานมัสการต่อพระองค์ และรับสงสว่างจากพระองค์เถิด ”
อดัม เปรียบเปรย ก่อนที่ แสงสว่างจะกลืน ร่างของ ซามูไรอัสนีบาตจนสลายหายไปพร้อมกับแสงที่วูบดับไปด้วย
เหลือเพียง การ์ดที่รอนกลับมาสู่มือของ ธนัท เท่านั้น
“ วิญญาณของ อสูร ที่หลงผิดนั้นได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว…หมดรอบแค่นี้ ”
อดัม ประกาศจบรอบของตน เป็นการปิดท้าย
“ รอบ..ของฉัน ”
ธนัท กล่าวเสียงสั่นๆ พร้อมกับจั่ว ซีล และ มิสติกอย่างละใบ
[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 3/15 ]
{ปล่อยไว้แบบนี้ ทุกคนได้ตายหมดแน่ ต้องรีบหาทางปิดเกม ให้เร็วที่สุด }“ Cost mp 3 อัญเชิญ ซามูไร อัสนีบาต
ลงมาที่ At Line ”
ธนัท คิดโดยที่ตอนนี้ตัวเค้ายังคงเก็บเอาเรื่องที่ได้ยินมาจาก อดัม เอาไว้และพยายามจะไม่นึกถึงมัน ตอนนี้สิ่งที่เค้าควรทำคือ
หยุดยั้งการดวลนี้
“ Cost mp 2 ร่าย Secundus Phialam ด้วยผลของการ์ดใบนี้จะให้เลือกได้ 1 อย่างจาก 3 อย่าง ”
ยังไม่ทันที่อสูร ในการ์ดจะปรากฏตัวออกมา อดัมก็ร่าย การ์ดขึ้นมาขัดเสียก่อนแล้ว
นิมิตในคราวนี้คือ ทูตสวรรค์ ที่มาพร้อมกับ ขันอีกเช่นเคย แต่ในครานี้ สิ่งที่อยู่ในขันกลับเป็นโลหิตเข้มข้ม
ที่บรรจุอยู่เต็มขัน
“ การ์ดแบบทางเลือกอีกแล้วงั้นเหรอ!? ”
เคียว อุทานขึ้นเบาๆ
{คราวนี้เป็นเลข 2 งั้นเหรอ}
ธนัท คิดพลางจดจ้อง ไปยังภาพนิมิต ที่คราวนี้ก็คงนำพาเอา หายนะมาสู่มวลมนุษย์เฉกเช่น
พวกเค้าอีกเป็นแน่
“ อย่างที่ 1 คือการ์ดตก Shrine 1 ใบสูญเสีย Skil และ Ability หรือสูญเสียแค่อย่างใด
อย่างหนึ่งเป็นเป็นเวลา อนันต์ Turnหรืออย่างที่ 2 ทำให้การ์ดที่กำลังร่าย 1 ใบสูญเสีย
เหมือนข้อแรกแต่มีผลแค่ 1 Turn เท่านั้น และอย่างสุดท้าย Seal ที่มี LV ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ทุกใบใน
Shrine ได้รับ Shade of เพิ่ม เผ่าพันธ์ Fish เป็นระยะ อนันต์ Turn เช่นกัน ”
อดัม ร่ายสรรพคุณซึ่งมากไปด้วยทางเลือกของ การ์ดใบนี้ อย่างเรียบๆ
{มีความสามารถ ทำให้สูญเสีย Ability หรือ Skill ในขณะที่กำลังร่าย หรือกำลังตกสู่ Shrine ก็ได้งั้นเหรอ
แสดงว่า เล็งที่ Ability ของซามูไร อัสนีบาต ที่จะได้รับค่าพลังเพิ่มตามค่าร่ายของ Seal ที่สู้ด้วย งั้นสินะ}
ธนัท พินิจสถานการณ์จากความสามารถที่ได้ยินมา ทันที
[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 6/8 Shrine 3/15 ]
“ แน่นอนคงรู้สินะว่า ข้อที่ผมจะเลือกก็คือข้อที่ 1 อยู่แล้วน่ะ ให้ ซามูไรอัสนีบาต สูญเสีย Ability เป็น เวลา 1 Turn ”
อดัม กล่าวจบ โลหิตในขันของทูตสวรรค์ก็ถูกเทลงมา สายโลหิตที่ลงมานั้น ระเหยเหือดหายไปกลางอากาศ
ก่อนจะสลายภาพนิมิตนี้ไป
“ ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทขันของตนลงในทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดเหมือนเลือดของผู้ตาย บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ที่อยู่ในทะเลก็ตายสิ้น แน่นอนว่าตอนนี้ในทะเลน่ะกลายเป็นเลือดไปแล้ว จากตรงนี้คงมองไม่เห็นหรอก ”
อดัม ยังคงกล่าวบทวิวรณ์เปรียบเทียบตามออกมาเหมือนทุกครั้งเช่นเดิม
“ อึก.. ”
ธนัท ต้องทนกัดฟันฝืนอดกลั้นไม่ให้สมาธิหลงไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้เค้าจะไม่สามารถเห็นหรือรู้ได้ว่า
ในทะเลตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จากเหตุการณ์ก่อนนี้ ที่ผ่านมา ก็พอจะทำให้เค้านึกไปเองได้เลย ถึง
หายนะที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นที่ไหนซักแห่ง
“ ให้ ซามูไร อัสนีบาต รวมร่าง กับนินจา ลมหมุน ”{หลังรวมร่างแล้ว ซามูไรอัสนีบาต จะมีค่า At
เท่ากับ 9 ฝ่ายนั้นไม่มี มิสติกแล้ว ถ้าจัดการกับ Seal ในสนามทั้งหมดของหมอนั่นได้เราก็จะสามารถ
โจมตีขึ้นมือต่อเนื่องไปเลย}
แผนรับมือในตอนนี้ คือการบุกเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ ธนัท พึงจะทำได้ ทันทีที่คำประกาศรวมร่างดังขึ้น
นินจาลมหมุน ก็มายืนเคียงข้าง ซามูไร อัสนีบาต และพร้อมที่จะใช้ท่าผสานแล้ว
“ Cost Mp 3 ซามูไร อัสนีบาต โจมตีไปที่ อัครเทวดา เซอัลเทียล Thunder Katana(ดาบอัสนีบาต) ”
สิ้นคำ ธนัท ซามูไรอัสนีบาต ก็ตั้งดาบขึ้น ขณะที่ นินจาลมหมุน นั้นเตะเท้าวิ่งออกไปสร้างข่ายพายุอย่าง
ว่องไว และทันทีที่ ซามูไรอัสนีบาต ตวัดดาบ คาตานะในมือก็เกิดกระแสไฟฟ้า แลบแปลบปลาบ ขึ้นมา
ก่อนจะถูกพายุสูบเข้าไป พร้อมกันกับที่ นินจาลมหมุน กระดดออกมาจาก ห้วงพายุ กระแสไฟฟ้าถูกพายุดูดส่งขึ้นไป
บนเมฆ ก่อนจะกลายเป็น สายฟ้าฟาดลงมายัง อัครเทวดาจนแหลกสลายในครั้งเดียว
“ คุณไม่ประสงค์ที่จะนมัสการพระองค์เช่นนั้น หรือ เพราะคุณตกอยู่ใต้อำนาจของปีศาจร้าย ท่านเซอัลเทียล
จะช่วยชำระคุณให้บริสุทธิ เองแล้วจงถวายนมัสการแด่พระองค์เถิด….Ability ของ อัครเทวดา เซอัลเทียล ทำงาน! ”
อดัม กล่าวขณะที่ รับเอาการ์ด ซึ่งคืนกลับจาก เซอัลเทียล มาเก็บลง Shrine
{ Ability งั้นเหรอ? }
ธนัท คิดโดยคาดไม่ถึงว่า การ์ดนั้นจะมี ความสามารถอยู่อีก
“ เมื่อ อัครเทวดา เซอัลเทียล ถูกส่งไปยัง Shrine เลือก Seal ที่ไม่ใช่ Evil 1 ใบในสนาม Seal นั้นได้รับ Shade of เพิ่มเผ่าพันธ์ Mage และ ธาตุแห่งแสง เข้าไป และ Ability นี้จะยังคงส่งผลแม้ Seal นั้นจะกลายเป็น Seal ใบรองรวมร่าง
Seal ที่ได้รับเลือกก็คือ ซามูไรอัสนีบาต ”
สิ้นคำ ร่างของ ซามูไรอัศนีบาต ก็ถูกอาบไว้ด้วยแสง จนเกิดเป็นรัศมีเปล่งประกายออกมาตลอดเวลา
[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:2/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 6/8 Shrine 5/15 ]
“ Ability เพิ่ม Element ของการ์ดงั้นเหรอ? ”
เคียว เปรยขึ้นบ้าง ขณะที่จับตาดูอยู่ ห่างๆนี้
[Element ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ธาตุของการ์ดแต่หมายถึง ส่วนประกอบของการ์ด เช่น ธาตุ เผ่าพันธ์ความสามารถต่างๆ]
“ Cost mp 1 ให้นินจาลมหมุน อีกตัว โจมตีไปที่ แมลง เคฟเฟลท ”
ธนัท ไม่รอที่จะมาครุ่นคิดหรือตกหลุมพรางของ อดัม อีก เค้ารีบสั่งการโจมตีต่อเนื่องทันที
ทว่า นินจาลมหมุน ที่ไม่ได้รวมร่างด้วยกันกับ ซามูไรอัสนีบาต นั้น
กลับทรุดล้มจนไม่สามารถเข้าไปโจมตีได้
“ เอ๊ะ ทำไม ถึงไม่โจมตีล่ะ?...เป็นอะไรไปน่ะ ”
ธนัท อุทานอย่างฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาการสั่นไปทั่วทั้งตัวของ นินจาลมหมุนนั้นราวกับกำลังถูกพิษ
อะไรซักอย่างเล่นงานจนชาไปทั้งร่าง
“ ด้วย Ability ของ แมลงเคฟเฟลท ที่คุณทำลายไปในรอบที่แล้วไง เมื่อมันถูกทำลาย
สามารถเลือก Seal 1 ใบของฝ่ายตรงข้ามจากนั้นในต้น Sub-Turn ถัดไป Seal นั้นจะเป็น
Inactive Seal จนจบ Sub-Turn ”
คำตอบของ อดัม คือคำตอบที่ชิ้นส่วนของเหล็กไน ของ แมลงเคฟเฟลท นั้นกระเด็นเข้าใส่ ซีล
ที่ทำลายมันไปคือผลลัพธ์ในตอนนี้นั่นเอง
“ Cost Mp 2 อัญเชิญ ชิโรอิ ฮาโทเนะ(Shiroi Hatone) สู่ At Line หมดรอบแค่นี้… ”
ธนัท ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ในเมื่อไม่อาจบุกต่อในรอบนี้ได้เค้าจึงตัดสินใจ ขยายกำลังในสนามเพิ่มแทน
การ์ดที่ร่ายออกมา ทันทีที่ ผนึกถูกปลดออก นินจาสาววัยรุ่น ใบหน้าอ่อนวัยปรากฏกายออกมา
พร้อมกับ ตวัดมีดสั้น Kunai ในมือทั้งสองฉวัดเฉวียนจนเกิดเป็นคลื่นสุญญากาศ แหวกออกไป เป็นเสียงแหลมหวีด
“ รอบของผมล่ะนะ ”
อดัม ประกาศพรัอมกับ จั่ว มิสติกขึ้นมา 2 ใบ
[Thanatativet Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 2 Mp 6/8 Shrine 5/15 ]
“ จังหวะนี้ล่ะ! Coat Mp 3 ให้ Skill ของชิโรอิ ฮาโทเนะ ทำงานนำเอา การ์ดชิโรอิ ฮาโทเนะ
ที่เหมือนกันออกมาจากกองการ์ดหรือในมือ กี่ใบก็ได้จากนั้นนำเข้ามาในสนาม ตอนนี้บนมือของ ฉันมี อยู่ใบ 1 ”
สิ้นคำ ธนัท ก็ร่ายซีล การ์ดบนมือลงมา พร้อมกับเริ่มประกาศ คำสั่งต่อไปทันที
“จากนั้น เรียกอีกสองใบที่เหลืออกมาจาก กองการ์ด ”
ธนัท กล่าวพร้อมกับเอื้มมือไปหยิบ กองสำรับออกมาจากช่องเสียบของปลอกแขน เพื่อเอาการ์ดอีก 2 ใบนั้นมา
“ เยี่ยมไปเลย นี่แหละ เคล็ดของวิชานินจา ‘ คาถาแยกเงา ’ ”
เคียว เองก็พลอยใจชื้นขึ้นมาด้วย เพราะหากการ อัญเชิญนี้สำเร็จ ธนัทจะได้ ซีลมาไว้ใช้คุมเกม
ได้เยอะเลยทีเดียว ทว่าขณะเดียวกัน อดัมก็ ได้ร่าย มิสติกบนมืออกมาด้วยพร้อมกันนั้นเอง
/Warning, This is not Draw Step,No bring of card from deck/(คำเตือน,นี่ไม่ใช่ขั้นการจั่วการ์ด,ห้ามนำการ์ดออกจากสำรับ)
“ ท..ทำไมถึงไม่ออกมาล่ะ ”
ธนัท เอ่ยขึ้นอย่างตระหนก เมื่อ คาสเทเน็ต(Castanet)ปลอกแขนNote ของเคียว ที่เค้าสวมอยู่นั้นไม่ยอมให้
เค้าเอาสำรับออกมาเพื่อนำ ชิโรอิ เข้ามาในสนาม
“ ต้องขอบคุณ คุณจริงๆ เพราะผมเองก็กำลังหาทางที่จะทำให้การ์ดนี้ถูกร่ายออกมาอย่างมีค่าซักหน่อย
แล้วคุณก็ทำมันแทนผมซะนี่ คงต้องตอบแทนน้ำใจของคุณหน่อยแล้วล่ะ ”
อดัม กล่าวติดตลก พลางชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนให้ พวกเค้ามองตามขึ้นไป เหนือขึ้นไปนั้น นิมติของ ทูตสวรรค์
องค์ใหม่ได้ปรากฏขึ้นในครานี้ ทูตสวรรค์มาพร้อมกับ แตรมากมายที่ยื่นออกมาจากส่วนหลัง
“ น…นี่…หรือว่า ”
เคียว อุทาน
“ Cost mp 2 ร่าย Secundus Tuba ”
อดัม ประกาศให้เป็นที่กระจ่างแจ้งแก่พวกเขา นิมิตของทูตสวรรค์ ที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ คือแตรคันที่ 2
เมื่อแตร ถูกเป่า ท้องฟ้าก็เกิดเปล่ยนเป็น สีแสดพร้อมกัน ก่อนที่อุกบาตซึ่งลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง จะพุ่งผ่าน
น่านฟ้านี้ไปตกยังที่ซึ่งไกลออกไป เกินกว่าที่พวกเค้าจะได้เห็น
[Thanatativet Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 1 Mp 4/8 Shrine 5/15 ]
“ ฑูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ไฟลูกใหญ่เท่าภูเขาตกลงไปในทะเล หนึ่งในสามของทะเลกลายเป็นเลือดหนึ่งในสามของสัตว์ทะเลตาย และหนึ่งในสามของบรรดาเรือก็ถูกทำลาย
ด้วยผลของ แตรคันที่ 2 ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม จะไม่สามารถนำเอาการ์ดออกจากกองการ์ดได้
หากไม่ใช่การจั่วการ์ด ”
อดัม เฉลยถึงเหตุผลที่ เค้าไม่สามารถนำการ์ดออกมาได้ และเป็นอีกครั้งที่ ธนัท ต้องรู้สึกเจ็บปวดกับการ
ที่จะต้องมีใครมาสังเวยชีวตให้กับการดวลนี้อีก มันแทบจะทำเอาเค้าหมดกำลังใจที่จะดวลต่อละอยากจะ
ยอมแพ้เสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้มันจบลง แต่หากทำแบบนั้น สามอสูรเทพ ก็จะทำคนอีกหลายคนต้องตายแทน
ไม่ว่าจะเลือกหนทางใดก็ล้วนมีแต่ความสูญเสียอยู่ตรงหน้า
“ แย่ล่ะสิเพราะผลของการใช้ Skill ทำให้ ชิโอริ ฮาโทเนะ กลายเป็น Inactive Seal ดังนั้น
Ability Vanish จึงทำงานต้องถูกส่งออกไปนอกเกมเป็นเวลา 2 Turn แบบนี้ก็เท่ากับว่าการดิ้นรนเมื่อกี้เสียเปล่าไปเลย
เพราะได้มาแค่ ชิโอริ ที่อยู่บนมือแค่ใบเดียวเอง”
เคียว เปรย ขณะที่ ชิโรอิ ที่ใช้สกิลสำเร็จแล้ว นั้นกำลังหายตัวไป ในรอบนี้ เท่ากับว่า ธนัท
เรียก ชิโรอิ ลงมาเพิ่มได้ แค่ใบเดียว หรือก็คือเสีย Mp ไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง
{มิสติก การ์ดส่วนใหญ่ในสำรับของ เคียว เป็นแบบเน้นการเพิ่มลดพลังเพื่อการต่อสู้ แต่ถ้า ศัตรูเลี่ยงที่จะบุกแบบนี้
เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเท่านั้น แล้วยิ่งรูปแบบของ สำรับนี้ก็ดันเป็นการ ขยายกองกำลังในสนามเพื่อระดมโจมตีต่อเนื่องเน้นความฉับไว เป็นที่สุด แต่ว่า}
ธนัท สรุปการประเมินสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้
{สำรับ ของเราที่ เน้นรูปเกม ไวจะได้หมดดีก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้ เป็นประเภทที่ต้องใช้เวลาและควบคุมสถานการณ์
เพื่อสร้างคอมโบ หรือไม่ก็สำรับ บุกไวด้วยกันเพื่อชิงความได้เปรียบในเรื่องของความไว}
เคียว เอง ก็คิดเช่นเดียวกันกับ ธนัท
{แต่ว่า เจ้านี่มันไม่สนเรื่องการคุมเกม หรือการบุกอะไรอยู่แล้ว ขอแค่ร่ายลงมาได้ สนามของเราก็ป่วนไปหมด
รวมไปถึง หายนะที่จะเกิดตามมาด้วยอีก}
ความคิดของทั้งสองนั้น ตรงกันคือไม่เห็นหนทางที่จะตอบโต้กลับไปได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยทั้งอานุภาพของ
การ์ดแต่ล่ะใบ ที่ อดัม ใช้มา อีกทั้งยังเป็น การ์ดที่ไม่รู้จักหรือเคยเห็นมาก่อนจึงไม่สามารถเดารูปแบบ
หรือคาดการณ์อะไรได้เลย
“ แตรคันที่ 2 และศีลข้อที่ 2 เป็นการชำระทะเล มนุษย์ปกครองทะเล อันเป็นต้นกำเนิดของชีวิต และทำให้มัน
สกปรกโสโครก พระองค์ประทานทะเลมาให้มนุษย์ มิใช่เพื่อ ให้ใช้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ …มนุษย์ไม่มีความเมตตาปราณีถึง
ไม่สนใจชีวิต อีกมากมาย ในทะเล ที่ต้องสังเวยไป เมื่อ มนุษย์ไม่เห็นค่าก็ควรยึดเอากลับไม่ให้ ทำลายไปมากกว่านี้
ท่านจึงยึดทุกชีวิต กลับไป เพื่อไม่ให้ ทรมานด้วยน้ำมือของ มนุษย์อีก ”
อดัม ยังคงหาโอกาส คอยพูดกล่อมพวกเค้าให้ เห็นดีเห็นงามด้วยกับตนอยู่ อย่างไม่ลดละ
“ ไม่ว่าจะยังไง ในสายตาของแก มนุษย์อย่างพวกเราก็คือปีศาจร้ายสินะ… ”
เคียว ประชดแทน ธนัท ทันที เพราะเริ่มจะเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ หึ…ผิดแล้ว มนุษย์ไม่ใช่ปีศาจแต่จะเป็นปีศาจก็ต่อเมื่อหมดสิ้นซึ่งศรัธทาในพระองค์ และผู้ที่จะตัดสินได้ว่าใคร
เป็นปีศาจ หรือไม่ใช่ปีศาจก็คือท่านผู้นี้ ”
ทว่า อดัม กลับแย้งมาแทนที่จะตอบตามน้ำเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะหยิบ ซีลการ์ดร่ายออกไปโดยไม่รอฟังคำ
ของพวกเค้า
“ Cost Mp 3 อัญเชิญ ท่านอัครเทวดา จูเดียล(Arcangel Judiel) สู่ At Line ”
อัครเทวทูตองค์ที่ 2 ปรากฏนิมิตขึ้นพร้อมกับสองมือที่เชิญ ‘ พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ และเปี่ยมด้วยความรักสุดประมาณ ’
เพื่อจะนำความศรัธทาและการกลับใจมาสู่มนุษย์ โดยใส่ดวงของพระเจ้าลงในดวงใจของ มนุษย์ เพื่อให้ได้รับรู้ถึงความรักของพระเจ้า ท่าทางอันสงบเปี่ยมไปด้วยเมตตา คือสิ่งที่ประจักษ์เห็นเมื่อท่านปรากฏมา
…………………..
…………………………………
“ บ้าจริง…นี่ขนาดรวมพลังกันแบบนี้ยัง สู้มันสามตัวแทบไม่ได้เลย ”
โคทาโร่ สบถ ขณะที่ วิ่งย่ำพื้นถนน ที่ชุ่มไปด้วยน้ำซึ่งเจิงนอง มาจากแม่น้ำ เข้าไปหลบในซอกมุมของตึก
แห่งหนึ่ง ไม่ไกลจาก บริเวณ ที่เหล่า เทพอสูร กำลังปะทะกันนัก
“ แฮ่ก…แฮ่ก ตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ”
โคทาดร่ เปรยพลางหอบอย่างเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวของเค้าเปียกโชกไปด้วย น้ำฝนและ เหงื่อ ที่ไหลปน
กันมา อุณหภูมิของอากาศที่ลดต่ำลงยิ่งทำให้ เค้ารู้สึกหนาวจับใจขึ้นไปอีก ตอนนี้ตัวเค้านั้น อยู่เพียงลำพัง
เพราะ การโจมตี ของ อสูรเทพ ทำให้ กลุ่มของพวกเค้า แตกกระจัดกระจายกันไปตามส่วนต่างของ เมือง โดยที่
ยังคงมีเหลือเพียง แกรนเดครอส และ อัลคารากอน เท่านั้นที่ยังประมือ อยู่กับ สามอสูรเทพ
“ ยัย ชุติ กับประธานผีดิบ คงจะต้านได้อีกไม่นานแหงแซะ นี่ถ้ามี เทพอสูรอีกซักตัวล่ะก็ ”
โคทาโร่ รำพึงกับตัวเอง เพื่อเรียกสติไม่ให้ หลับไปเพราะอุณภูมิร่างกายที่ลดลง ก่อนจะค่อยๆยันร่าง
พิงกำแพง และหย่อนตัวลงนั่งแช่ลงไปในน้ำด้วยความอ่อนล้า น้ำที่เจิงอยู่บนพื้น ถนนั้นเดิมสูงถึงแข้ง
อยู่ พอนั่งลงไปมันก็แทบจะแช่ลงไปทั้งตัวอยู่แล้ว แต่เค้าก็อ่อนแรงเกินกว่า จะยืนไหว
ดวงตานั้น สลึมสลือ จะปิดมิปิดแหล่ หากเป็นแบบนี้เค้าคงต้องแข็งตายเป็นแน่
/Master Non-Slept/(มาสเตอร์ ห้ามหลับนะขอรับ)
มาราคัส Note ของเค้า ที่ตอนนี้เปลี่ยนกลับไปอยู่ใน โหมด สร้อยคอแล้ว ร้องเตือน
สติเพื่อไม่ให้เค้า หลับ แต่ตอนนี้ ตัวโคทาโร นั้น เหนื่อยอ่อนเกินกว่า จะแข็งใจตื่นแล้ว
งื้ด~~~ๆ
เสียงครางที่ดังแว่วมาเข้าหูของเค้า ทำให้สร่างจากอาการง่วง ขึ้นมาฉับพลัน และรีบมองหาต้นตอของ เสียงนั้น
/Master,up on!/(มาสเตอร์ ข้างบนขอรับ)
มาราคัส เรียกให้เค้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ซึ่ง เหนือหัวของเค้านั้น มีระเบียงที่ยื่นออกมาจาก ชั้นสอง
ของอาคารด้านหลังเค้าซึ่งเอียงกะเท่เล่ จากแรงพายุที่พัด
โหมเข้ามาในตรอก ที่สำคัญกว่านั้น คือที่ปลายระเบียงที่ เอียงอยู่นั้น มีลูกหมาตัวหนึ่ง แข็งใจเกาะ
ระเบียงเอาไว้และมันกำลังจะตกลงมา เพราะน้ำที่ไหล ลงมาตามรางของ ระเบียงนั้นจะพัดให้มันลื่นตกลงมาในอีกไม่นาน
“ ตรงนั้นเองสินะ… ”{ถ้าปล่อยให้ตกลงมา แล้วค่อยไปรับคงจะไม่ได้….ดูจากอาการแล้วน่าจะเกาะมาเกิน 30 นาที
ได้แล้ว ถ้าเกิดตกลงมา อาจจะช๊อค เพราะอุณหภูมิในร่างกาย ที่ลดลงเฉียบพลัน}
โคทาโร่ เปรยพร้อมกับลุกขึ้นยืนและคิดหาทางช่วย ลูกหมาตัวนี้ ทำเอาเค้าลืมความง่วงเมื่อครู่เสียสนิท
{ถ้าใช้ อสูร ก็จัดการได้ง่ายๆเลย แต่ว่ามาราคัส ไม่เหลือกำลังขับพอ แล้วตัวเราเองก็ ใช้จิตประสาทรับภาระมาเกินกว่าขีดจำกัดแล้วด้วย เรื่องใช้อสูร คงจะเป็นไปไม่ได้…ถ้างั้นจากตรงนี้ สูงขึ้นไปประมาณ 2 เมตรครึ่งเห็นจะได้
ตัวเรากระโดดสูงสุดก็ ได้แค่เกือบๆเมตร ถ้างั้น}
โคทาโร่ คิด เค้ามีเวลาไม่มากนักเพราะ ลูกหมาน่าจะทนได้อีกไม่นานแล้ว สุดท้ายการตัดสินใจของเค้าก็คือ
{ถ้างั้นก็ต้องเสี่ยงกันหน่อยล่ะ}
โคทาโร่ คิดพร้อมกันนั้นก็แปรสภาพแขนของตนให้เป็นกรงเล็บหมาป่า รวมไปถึงขาทั้งสองข้างด้วย
ก่อนจะย่อตัวลงจนสุดและกระโดดเข้าหากำแพงตึกฟากตรงข้าม
{ถ้าใช้แรงสะท้อนจากการถีบตัวกับ ผนังตึกอีกฟากล่ะก็}
โคทาโร่ คิดขณะที่พุ่งเข้าไปก่อนจะเงื้อกรงเล็บ ทั้งแขนซ้ายและขวา ฝังลงไปในผนังตึกเพื่อยึดเกาะร่างเอาไว้
ทว่าเพราะผนังตึกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้กรงเล็บของเค้า ลื่นจนฝังลงไปไม่ลึกพอ
“ ชิ!…”{เพราะน้ำเลยทำให้มือลื่น..}
โคทาโร่ คิดพลางออกแรง กดกรงเล็บลงไปในผนังตึก ขณะเดียวกับ ก็ใช้เล็บเท้า ช่วยเกาะฉลอการตกเอาไว้
เล็บของเค้าครูดกับ ผนังเลื่อนลงมาเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่เค้าต้องการ
“ ดีล่ะทีนี้ก็…ฮึบ!! ”
โคทาโร่ เปรยก่อนจะออกแรงถีบตัวถอนกรงเล็บออกจาก ผนังตึกพร้อมทั้งคือสภาพแขนซ้ายให้เป็นมือมนุษย์
เอี้ยวตัวกลับหลัง และยื่นแขนซ้ายที่คืนสภาพแล้ว คว้าตัว ลูกหมาเอาไว้ ได้สำเร็จ มันครางหงิงๆ ด้วย
ความดีใจ ที่ได้เค้าช่วยเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้แขนขวา ที่ยังเป็นกรงเล็บอยู่ร่วมกับกรงเล็บเท้า เกาะผนังตึกเอาไว้ด้วย
“ เอาล่ะ ทีนี้เราก็ลงไปกันเถอะ ”
โคทาโร่ พูดกับมัน ขณะที่ มันเลียหน้าของเค้าเพื่อที่จะตอบแทนที่ช่วยมันเอาไว้ จนค้ารู้สึกจั๊กจี้
“ ม..ไม่เอาน่าฮะๆ มันจั๊กจี้น่า ”
โคทาโร่ บอกให้มันหยุดก่อนจะเริ่มสอดส่ายสายตาหาทางลง
ก๊าซซซซซซซซ!!
เสียงคำราม ของเทพอสูร เลวีอาทาน ดังกึกก้องขึ้นมาก่อนที่ตวัดหางของมันฟาดใส่ อัลคารากอน
แต่ก็พลาดไป ทว่าปลายหางอันมหึมาของมันที่กวาดลงมา นั้นกลับกำลัง พุ่งตรงมายังอาคารที่เค้าเกาะอยู่นี้
ปลายหางของมันฟาดทั้งตึกสั่นไหวและกำลังจะพังครืนลงมา ในพริบตา
“ ส…เสร็จกัน!! ”
โคทาโร่ สบถขณะถีบตัวเพื่อที่จะกระโดดลงจากตึกที่กำลังพังทลายลง พร้อมทั้งใช้สองมือกอดลูกมาเอาไว้ในอ้อมแขน
เพื่อปกป้องมัน จากเศษซากของ อาคารที่ กำลังถล่มลงมา ทั้งสองกระเด็นตกลงไปในตรอก และถูกฝัง
ไว้ด้วย ซากคอนกรีตของอาคารที่พังลงมา
……………………
โฮ่ง!ๆๆ
ลูกหมาที่โคทาโร่ ช่วยมา มันกำลังเห่าเพื่อเรียก โคทาโร่ ที่ตอนนี้ถูกฝังอยู่ใต้ซากคอนกรีต
“ บ้า…จริง… ”
โคทาโร่ สบถ ตอนนี้ที่ด้านล่างของ ซากคอนกรีตนี้ ร่างของเค้าจมอยู่ในน้ำ โดยที่ขาทั้งสองข้างถูกซากคอนกรีตทับเอาไว้
เหลือเพียงครึ่งตัวของเค้าที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือกองซากคอนกรีตเหล่านี้
“ กลายเป็นว่า…ฉันต้องเป็นฝ่ายขอให้ช่วยแทนเหรอเนี่ย…เอาเถอะ นี่แกฉันฝากหมอนี่ด้วยนะ ”
โคทาโร่ เปรยขณะที่พยายามจะเอา มาราคัส แขวนห้อยคอของ ลูกหมา เพราะไม่อยากให้มันถูกฝังไปพร้อมกับตัวเค้า
หลังจากที่ได้ลองยกซากคอนกรีตออก แต่มันก็หนักเกินกว่าเค้าที่อยู่ด้านล่างจะยกมันขึ้นอีกทั้ง ตอนที่
อาคารถล่ม ทั้งร่างของเค้าก็ระบบไปหมดเพราะใช้ป้องกัน ลูกหมา เอาไว้จากเศษซากที่ตกลงมากระแทก
นับสิบครั้ง
{ไม่ไหว…นี่เราคงไม่รอดแล้วสินะ..}
ความนึกคิดสุดท้าย ที่ลอยขึ้นมานั้นคือปลายทางของเค้า ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะปิดลง
ด้วยความเหนื่อยอ่อน
/Master….Master!!!.....Maste!!!/
มาราคัส ที่อยู่บนคอของ ลูกหมาส่งเสียงเรียกเจ้านายของมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ
……………….
{“ โคจัง น่ะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเสมอนะ แต่ต้องรู้จักที่จะใช้มันให้ถูกต้องด้วยนะ… ”
“ Berial Jack of Destiny (เบริอาล ดิ แจ๊ค ออฟ เดสทินี่) ขุนนางแห่งชะตากรรม นายคือคนที่กุมกุญจุดท้ายแห่งผลึก
ของ เลราเจ ถ้าได้นายมาไว้ในกำมือ ก็เท่ากับได้ครอบครองโลก ”
“ ดูเหมือนว่า ตอนนี้ตัวนายเองจะยังไม่เข้าใจถึงพลังที่มีอยู่ในตัวสินะ….แต่บางทีถ้าใช้พลังของมังกรขาวล่ะก็… ”
“ เลราเจ ที่เราได้มานี่ไม่ใช่อสูรเทพที่มีพลังสมบรูณ์ อย่างแท้จริงเทียบเท่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
เพราะคนที่เรียก เลราเจ ที่สมบรูณ์ออกมาได้ก็มีแต่ ขุนนางแห่งชะตากรรม อย่างนายเท่านั้น… ”
}
เสียงต่างๆดังขึ้นซ้อนกันนับครั้งไม่ถ้วน ท่ามกลางความมืดมิด ที่ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้
“ เร….ราเจ… ”
เสียงครวญของ โคทาโร่ ดังเล็ดลอดออกมาจากปากโดยที่ไม่รู้ตัว ขณะที่ ลูกหมา กำลังพยายาม
ใช้ปากงับแขนเพื่อปลุกให้เค้า ตื่น มาราคัส ที่ห้อยอยู่บนคอของมัน เองก็เริ่มีปฏิกิริยา กับเสียงครวญเมื่อครู่
/TAG-On /
สิ้นเสียง เมฆหมอกเหนือท้องนภา ก็เริ่มหมุนวนรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว
อย่างช้าๆ
……………….
…………………………………
“ แข็งแกร่งสมกับที่เป็นอสูรเทพ เมื่อบรรพกาล แค่อัลคารากอนของเรา กับ แกรนเดครอส เอาไม่อยู่แน่ ”
มาริน่า ซึ่งเกาะอยู่บน หัวของ จ้าวมังกรดำ อัลคารากอน สบถ หลังจากที่ประมือกันมาเป็นเวลานาน
เธอยังคงไม่เห็นทางชนะใดๆเลย อีกั้ง กลุ่มของพวกเธอก็ถูกตีจนแตกพ่ายไปแล้ว ทำให้ อาณาเขตของการสู้รบ
ยิ่งขยายกว้างขึ้นออกไปอีก
ครืนนนนนนน…………เปรี้ยง!!!
เปรี้ยงงงง!!!!!
เปรี้ยงงงง!!!!!
ฟ้าผ่าขึ้นพร้อมกันถึง 3 ครั้ง และ แยกผืนปฐพีออกเป็นแนวสูบกลืนเอาน้ำ ที่ท่วมขังอยู่ในเมือง
ลงไปใต้พิภพก่อนที่เงาดำทะมึนจะคลืบคลานออกมาจากรอยแยกนั้น และสมานตัวเข้าด้วยกัน ทันทีที่
เงาของเจ้าแห่งอสูรปรากฏตัวขึ้นกลางสนามรบของ เหล่าเทพ ร่างนั้นสูงใหญ่มหึมา เทียมฟ้า
ดาบโลกัณฑ์สองเล่ม ความยาว พันลี้ ถูกควงตวัดไปมาอย่างชำนาญ โบกพัดคลื่นไฟนรก เข้าแผดเผา
สามอสูรเทพแห่งบรรพกาล จนต้องถอยลี้ อสูรเทพผู้เจนสงคราม
ผู้นำมาซึ่งหายนะและความโศกเศร้าของสงคราม สองดาบคือความเกลียดชังที่มอบให้แก่สองฝ่าย
แต่วันนี้เค้ามาเพื่อพิชิตสงคราม Marquis ลำดับที่ 14 อสูรเทพ……..เลราเจ(Leraje, The Torment of War)
“ เลราเจ…มาช่วยพวกเรางั้นเหรอ? ”
มาริน่า ได้แต่เปรยด้วย ความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิด เมื่อ เทพอสูร ที่เคยเป็นอริกันในศึกเมื่อ 2 ปีก่อน
บัดนี้คือสหายร่วมรบ ที่พึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้
…………..
…………………………………..
…………………………………………..
To be Continue
Next Sub-Turn
ในห้วงแห่งความสิ้นหวังที่ครอบคลุมไปทั้งหมดนี้ ได้ให้กำเนิดขุนนางแห่งชะตากรรมขึ้น ขณะเดียวกัน
ราชินีแห่งฆาตมรณา ก็ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล และบัดนี้ก็จะรอเพียง แค่ให้ ราชันย์แห่งความตาย ได้คืนกลับสู่อำนาจ
มหาสงครามล้างสามภพ ที่กำลังจะถึงบทสรุปในไม่ช้านี้ ปลายทางนั้นคือสิ่งใด
Next Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revealation (บทวิวรณ์)
ช่วงสครีมจ้า
เฮ้อ บทนี้โคตรเหนื่อยเลยขอร้าบ กว่าจะกลั่นออกมาได้ แต่เอาเถอะก็พิมพ์มันส์มือดีเหมือนกัน
เพราะฉาก การ์ดอลังการๆเยอะและหลายใบมากไหน จะเหล่าอัครเทวดา แตรคันต่างๆ และ ขันอีกสองใบ
บอกเลยว่า ใช้เวลา 24 ชั่วโมง นั่งสร้างความรู้สึกในการบรรยาย ออกมาให้สมกับความอลังของการ์ดแต่ล่ะใบ
อย่างสุดฝีมือเลยล่ะครับ ยิ่งตอนสุดท้ายที่ เลราเจ โผล่นี่ ขอบอกเลยว่าผมเองยังพลยตื่นเต้นไปด้วยเลย
ที่ มาควิส ผู้ยิ่งใหญ่ กำลังจะลงสู่สมรภูมิเทพ หึๆ ที่นี้ล่ะสู้กันมันส์แหงมๆครับ (แต่เหนื่อยคนเขียน- -)
บทนี้เริ่มที่จะเปิดปมใหม่ๆขึ้นมากันบ้างแล้ว ถึงเหตุผลใน ภาคแรกที่ พี่ปอร์ของเรา ต้องตะล่อมๆ กินน้องโคทาโร่
เอ็ย..ชวนให้ โคทาโร่ มาร่วมมือ เพราะเค้าคือ ผู้ที่เป็น Jack of Destiny 1ใน Heroicผู้มี เทพอสูร เลราเจ เป็นเทพประจำตัว
(พูดให้ถูกก็ขี้ข้าเค้า อีกแหละว้าครับ คุณ Leraje แต่บทเท่ห์ใช่หยอกนะเออ)
ส่วนกำหนดการของ CVSEที่ 2 นั้นตอนนี้ยังไม่กำหนดแน่นอนนะครับ ก็คงต้องรอกันต่อไป เนื่องจากกำลัง
ทำ Op ที่ 2 อยู่ บวกกับ Op 3 และ ED 2ของ VR นี้ด้วยยังไงก็รอติดตามชมกันนะครับ
อ้อเกือบลืม ยินดีต้อนรับกลับนะ เจมส์คุง แหมพี่ก็ว่าหายไปไหน ที่แท้ลืม พาสนี่เองสินะ วันหลังกะจดพาสดีๆเน้อ