Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ เม.ย. 27, 2024 1:28 pm

หน้าเว็บบอร์ด ส่วนของผู้เล่น SMN FanCard FanArt & FanFic SMN VR TAG TURN (THE FINAL ACT):Sub-Turn 96.5 Final Act Tile

สำหรับลงรูปแฟนอาร์ตและนิยายแต่งเองของชาวSMNครับ

Re: SMN VR TAG!! :Up Tip for SMN VR!! ครั้งที่ 1

โพสต์โดย Palmon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 5:43 pm

my comptuer เขียน:
greamon เขียน:
my comptuer เขียน:ผมอยากให้เป็นมากกว่าชื่อไทยคับ


เอิ่มคือ หมายถึงอะไรอ่าครับ ที่ว่าเป็นมากกว่าชื่อไทย หมายถึง ชื่อตัวละครให้เป็นชื่อ ออกไทยๆ
หรือว่าให้อะไรเป็นไทยครับ งง ::009::



ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เปลืองกระทู้ดังนั้นขอเมนท์สครีมบทที่ 09 นี้เพิ่มไปเลยละกัน
ที่จริงบทนี้สั้นมากๆเพราะเวลาไม่อำนวยเท่าไหร่ ชื่อตอนที่ตั้งเลยออกมาแบบสิ้นคิดสุดๆ memory สั้นๆตรงๆตัว
เหอๆ สรุปตอนนี้อดีตของ อิส เปิดเผยออกมาแล้วนะคร้าบ (คงไม่โดนอุ้มเพราะไปเฉียดสามชายแดนนั่นหรอกเนอะ
อุตส่าเปลี่ยนเป็นอัลวิส แล้ว อันดับต่อไปพื้นที่ก้ำกึ่ง ที่สถิตย์ของ เรราเย่ เหอๆ)

ว่าแล้วมาต่อสครีมกัน ที่ไม่ให้บทพวกหนุมาน เลย เพราะว่าถ้ามีไปมันก็ไม่ใช่การดวล แต่เป็นการใช้อสูรสู้กับอสูรอยู่แล้ว
ดังนั้นในเมื่อพวกเทพๆอย่าง Master Ceremony ออกโรงแล้ว็คงรู้ผลอยู่ดี เลยไม่อยากยืด
ว่าแล้ว รู้สึกจะยังไม่มีใครสังเกต ตอนนี้ อิสคุง จิตตกไปแว้ว แต่อันที่จริงนั่นคือบุคลิคที่ 4 อันเป็นของธาตุน้ำนั่นเอง
ครับหุๆ เวอร์ชั่นนี้มาแนวมืดมนจริงๆ ว่าแล้ว ฝากตัวอย่างตอนต่อไปทิ้งไว้ก่อนละกันครับ

ครั้งหน้าหน้าขึ้นตอนเลข2หลักแว้วว วู้วววว

ตัวอย่างตอนต่อไป

Next Sub-turn 10 Mind?(จิตใจ)
" คงไม่รอดแล้วล่ะ...ลองโดนเฟสตูมอส กลืนกินจิตใจเข้าไปแบบนี้แล้ว.... "
" คุณเองสินะที่เป็นเจ้าของพลังแห่งความสมดุลนั่น "
" เคียว.....ขอยืมสำรับนายหน่อย "
" เธอน่ะ....อยู่ที่นั่น...ใช่รึเปล่า... "

ชื่อไทยๆอะ




คือ ที่ว่าชื่อไทยๆเนี่ย คงหมายถึงว่าให้ตัวละครมีชื่อให้สมกับเป็นคนไทยมากกว่านี้สินะคะ
เพราะว่าเขียนความจำนงมาสั่นเหลือเกินค่ะ เลยตีความไม่ค่อยถูก แต่ถ้าหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
ก็คิดว่า ท่านไม่ได้อ่านรายละเอียดของเรื่องหรือเปล่าน่ะค่ะ เพราะที่จริงแล้ว ตัวละครทุกตัวในเรื่องที่เป็นคนไทย ก็มีชื่อเป็นภาษาไทย แบบคนไทยหมดเลยนะคะ อย่าง ธนัท ชื่อเต็มก็ธนัททาธิเวศ
อิสคุง ก็ อิสรพงศ์

คิระซัง นั่นเป็นแค่นามค่ะ ชื่อจริงของเค้าคือ อนุชิต ค่ะ
ส่วนพวกตัวละครที่ชื่อเป็นภาษาอื่นนั้นเพราะตัวละครตัว นั้นมีพื้นเพเดิมไม่ใช่คนไทยอยู่แล้วค่ะ อย่างโคทาโร่ เนี่ย เป็นคนญี่ปุ่น
มาริน่า เป็นคนสเปน ฟรานซิสก้า ก็น่าจะสเปนมั้งคะ ไม่แน่ใจ ส่วนไดสุเกะ ก็เพื่อนโคทาคุงน่ะค่ะ ยุ่นเหมือนกัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จำนวนตัวละครที่มีชื่อเป็นไทยๆก็มีเยอะแล้วนะคะ เพียงแต่ในเรื่องจะเรียกชื่อเล่นกันน่ะค่ะ
จะมีอีก2 -3 คนที่เป็นลูกครึ่งค่ะ คือ เคียว ชื่อจริง วัชรพงศ์(แปลว่าผู้เป็นดั่งอัสนีบาต ตรงกับสำรับตัวเองเลย)
คนนี้เป็นลูกครึ่งยุ่น-ไทยค่ะ

คนที่สองคือ แอน ที่จริงคนนี้ไม่เชิงลูกครึ่งนะคะ เพียงแต่เป็นคนอเมริกา ที่มาอยู่ในไทยค่ะ ดังนั้นสำเนียงเธอเลยเหน่อๆ

คนสุดท้ายก็ไม่ใช่ใครค่ะ ตัวเอกภาคนี้ ลูเซียจังของเราค่ะ

ดังนั้น ชื่อตัวละครเป็นไทยๆก็น่าจะมีเยอะแล้วนาคะ เรื่องสถานที่ในเรื่องที่เกิดเหตุนั้นบางที่เราไม่สามารถใช้ ชื่อสถานที่นั้นจริงๆได้
ค่ะ อย่างพื้นที่สามจังหวัดนั่น ขืนเขียนไปตรงๆได้โดนอุ้มกันพอดี เลยเปลี่ยนเป็น อัลวิส ค่ะ


ว่าแล้วงั้นไหนๆก็ไม่ให้เปลืองกระทู้(พูดเหมือนเกรม่อนคุง เดี้ยะ) ขอแจงเพิ่มเติมบวกสรุปไปเลยละกันเน้อ

จริงๆแล้วใน tip รอบนี้ การุรุเซนไป ลืมไปเรื่องนึงค่ะ นั้นคือ ชื่อตัวเอกทั้งสองภาค เราตั้งขึ้นมาโดยมีพื้นเพมาจากตำนาน
เทพโบราณและไบเบิลมาเกี่ยวด้วย เริ่มจาก ธนัท นะคะ อย่างที่เคยบอกไปว่า ธนัท ชื่อเต็มคือ ธนัททาธิเวศ
ซึ่งเกรม่อนคุง แผลงชื่อนี้มาจาก ชื่อ ทานาทอส ที่เป็นชื่อของเทพแห่งความตาย

ส่วนลูเซียจัง นั้น ชื่อลูเซีย ของเธอได้มาจาก ลูซิเฟอร์ ทูตตกสวรรค์ที่ตั้งตนเป็นอริกับพระเจ้าค่ะ
แหมไหงชื่อ ตัวเอกแต่ละภาคมันถึงไม่เป็นมงคลงี้หนอ เหอๆ

เข้าเรื่อง สรุปย่อๆจากที่ การุรุเซมไป ลงไว้ พัลม่อน ได้อ่านแล้วแทบไม่ได้อะไรนอกจากสมการจิ้นวายแล้ววายอีกเลยค่ะ
ดังนั้นรอ เกรม่อนคุง มาสรุปให้เองดีกว่า เพราะขืนหนูสรุปให้มีหวังเรื่องนี้ได้กลายเป็น Boy love Type แล้วคนอ่านคงกลายเป็น
ฟุโจชิ กันหมดแหง 555+
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Sub-Turn 12 Last Duel II

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ พฤหัสฯ. ก.พ. 18, 2010 4:11 pm

Sub-Turn 12 Last Duel II



“ …..ถึงจะอยู่ในความกังวลที่ไม่อาจจะรู้ได้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้า…… ”
………………………………………………………………………………………………………………………….

เสียงครืนๆจากหลังคาบ้านที่รับแรงกระแทกของลมและฝน ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งตัวบ้าน
ห้องทุกห้องสั่นโคลงเคลง ราวกับเป็นเรือที่กำลังล่องคลื่นอยู่ในมหาสมุทร แต่สิ่งรบกวนเหล่านี้ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค
ต่อผมเลย บ้านทั้งหลังอาจจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ หรือน้ำที่ท่วมล้นอยู่ด้านนอก อาจจะไหลทะลักเข้ามา

นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องกังวลนัก หากแต่สิ่งที่ผมกำลังกังวล คือไกลออกไปข้างนอกนั่น
พวกเด็กๆ กำลังต่อสู้อยู่กับภัยอันตรายที่ร้ายแรงเสีย ยิ่งกว่าการที่ตัวของผมจะถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำเมื่อไหร่ก็ได้
เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงแล้วที่ตัวผมถูกขังให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ได้ ด้วยกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาเจิงนองจนตอนนี้มัน

ท่วมขึ้นมาปริ่มๆกับระดับหน้าต่างชั้นล่างของบ้านแล้ว ตอนนี้ตัวผมอยู่บนชั้นสอง ภายในบ้านนั้นที่จริงถ้าว่าตามกันแล้ว
หากเป็นยุคของคุณ ทั้งบ้านคงจะมืดสนิทเพราะต้อ งดับไฟและถอดปลั๊กออกให้หมดแต่นั่นมันสมัยก่อน
ตอนนี้ทั้งบ้านยังคงสว่างโล่และปัญหาเดียวที่จะกวนใจ ผมไม่ให้อดคิดกังวลถึง พวกเด็กๆที่กำลังสู้อยู่ด้านนอกนั้น
ก็คงเป็น น้ำที่ท่วมทะลักเข้ามา อันที่จริงมันก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไหร่นัก เพราะอะไรน่ะเหรอ

/Master, fluid again/(เจ้านาย,ท่วมอีกแล้วขอรับ)
เสียงทุ้มกังวาลขึ้นจาก Note ที่แขวนห้อยคอของ ชายวัยสูงอายุ ที่บนหัวเริ่มมีผมหงอกนิดหน่อย แว่นตาอันเล็กที่สวมอยู่นั้น
ทั้งบิดและบิ่น แสดงถึงสภาพการใช้งานที่ยาวนานและหนักหนามาไม่น้อย เค้าอยู่ในชุดเสื้อยืดที่สวมคลุมทับด้วยแจ๊กเก็ต
กันหนาวสีขาวตัวเขื่อง ที่หนาซะจนคนใส่กลายเป็นหมีขั้วโลก เลยก็ว่าได้

“ มันจะท่วมอะไรกันนักกันหนาน้า~~ ”
ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ตัวคนเดียวแต่ผมก็อดที่จะบ่นไม่ไหวเหมือนกัน วันนี้ผมวิดน้ำออกจากบ้านเป็นรอบที่ 5 แล้ว
และตอนนี้กำลังจะต้องวิดรอบที่ 6 อีก น่าเหนื่อยใจไหมล่ะครับ

“ ช่วยไม่ได้นะ วันนี้คงจะไม่ได้นอนแล้วล่ะมั้ง ฮาโมนิก้า สแตนบายน์(Harmonica) ”/Yer sir/
ผมออกคำสั่งกับ Note ของตัวเอง เจ้านี่ชื่อ ฮาโมนิก้า คิดว่าชื่อมันพวกคุณคงจะรู้นะว่าตั้งมาจากไหน
มันจะเป็นอะไรไปได้นอกจาก เครื่องเป่าฮาโมนิก้า น่ะแหล่ะ ทำนองเพลงที่ขับขานจากมัน ชวนให้นึกถึงเรื่อง
หดหู่ได้ดีนักแล เอาเถอะเรื่องพวกนี้พวกคุณคงไม่สนใจเท่าไหร่

แกร๊ก….ปึง

เสียงประกอบชิ้นส่วนของ ฮาโมนิก้า ที่พึ่งกระจายตัวออกจากสภาพจี้ห้อยคอ และเปลี่ยนขนาดชิ้นส่วนตัวเองเพื่อประกอบใหม่ และกลายเป็น ปลอกแขนจักรกลประกอบติดเข้ากับแขนของผมในที่สุด

“ เอาล่ะช่วยหน่อยนะ อันดีน(Undine) ”
ผมเอ่ยก่อนจะหยิบเอาการ์ดผนึก Seal Card ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อนอก ฟันเฟืองบนปลอกแขน เริ่มหมุนปั่นอย่างรวดเร็ว
และผลิตละอองเวทย์ซึ่งเป็นละอองแสงสีเขียวอ่อนๆคละคลุ้งออกมามากมาย จนเมื่อละอองฟุ้งได้ที่แล้ว
จึงขว้างการ์ด ออกไป ก่อนที่การ์ดจะร่วงลงไปในน้ำ ละอองเวทย์รอบการ์ดนั้นค่อยๆซึมซับ

เข้าไปในการ์ดและแตกผนึกออกมาพร้อมแสงสว่างวาบ และการปรากฏกายของเทพีสายชลรูปลักษณ์ประหนึ่ง
นารีมีสิริโฉมอันงดงาม ร่างนั้นทอประกายแสงระยิบระยับ ราวกับร่างของเธอคือ น้ำที่ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

รูปภาพ

“ เทพีสายชล อันดีน….ช่วยวิดน้ำให้อีกรอบนะ ”
ผมขอร้องเธอด้วยคำพูดแบบเดิม ทันทีที่ ที่เจ้าหล่อนฟังคำขอของผม แม้สีหน้าของเธอจะยังคงนิ่งเรียบ
แต่ก็ปรากฏ รอยย่นของการขมวดคิ้วขึ้นมาที่แฉกหน้าผากเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะยัวะ อยู่เหมือนกัน
ที่ถูกเรียกมาเพื่อให้ช่วยวิดน้ำ ให้ ทั้งที่เธอเป็นถึงเทพีแห่งสายชล แต่ดันเรียกใช้เธอประหนึ่งเทศบาล

เลยก็ไม่ปาน แต่คงเพราะด้วยศักดิ์แห่งเทพกระมัง เธอจึงพยายามเก็บอาการและสำรวมอารมณ์เข้าไว้
ก่อนจะเริ่ม วาด วงแขนออก เพื่อบริกรรมพิธีควบคุมสายชลของเธอ กระแสน้ำที่ไหลทะลักเข้าในบ้าน เริ่ม
ไหลย้อนกลับออกไปจากที่ๆมันไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่อึดใจ น้ำในบ้านทั้งหมดก็ไหลกลับออกไปจนหมดไม่
เหลือแม้แต่หยดเดียว ขณะเดียวกัน น้ำที่ท่วมอยู่บริเวณรอบนอกตัวบ้าน ก็แปรสภาพกลสยเป็นไอน้ำลอย
กลับขึ้นไปบนฟ้า เพื่อรอเวลาที่จะกลับคืนลงมาเป็นฝนอีกครั้งและก็ท่วมบ้านผมอีกรอบ

ทันทีที่เสร็จงาน ยังไม่ทันที่จะบอกขอบคุณ เธอก็สลายตัวเองกลับไปอยู่ในการ์ดผนึกดังเดิม ทันที่การ์ดผนึกร่อนกลับมา
ภาพในการ์ดคราวนี้ดูจะเปลี่ยนไปไม่น้อย เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเรียกเธออกมาในรอบที่ 6 นี้ เธอยังคงสภาพอยู่ในท่า

ประคองมวลแห่งวารี แต่มาตอนนี้ภาพของเธอที่ประทับอยู่บนการ์ดนั้น กลายเป็นว่า เธอจะเอา มวลแห่งวารีขว้างใส่
ซะงั้น คงจะเป็นคำเตือนกระมังว่าหากเรียกออกมาด้วยเรื่องแบบนี้อีก เธอจะฝังผมด้วยคลื่นน้ำเสียเลย
แต่ถึงยังงั้นก็ตามที ตอนนี้ผมก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งล่ะ ว่าน้ำคงจะไม่ท่วมเข้ามาอีกซักพัก ใหญ่


ปิ๊บๆๆๆ

เสียงกริ่งเรียก ดังจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ ผมเปิดทิ้งไว้ ที่ชั้น 2 ของบ้าน มันเป็นสัญญาณที่บอกว่ามี ใครบางคนติดต่อ
ด้วยระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ผม ตั้งไว้เพื่อรอคนที่กำลังจะติดต่อมา ในยามที่สัญญาณเครือข่ายมนตรา
ปั่นป่วนแบบนี้มีเพียงวิธีเก่าๆแบบนี้ที่จะทำให้ติดต่อกันได้

“ ในที่สุดก็มาซักทีนะ ”
ผม พูดพลางปิดเสียงกริ่งที่ดังจากเครื่องก่อนจะ หยิบ ฮาร์โมนิก้า เจ้า Note ที่ห้อยคอผมอยู่ และนำส่วนปลายของตัวจี้
ไปจ่อที่ ช่องปลั๊กของตัวเครื่อง
/Connecting/
ฮาร์โมนิก้า ให้สัญญาณขึ้นพร้อมกับยิงเส้นแสง เข้าไปในช่องปลั๊ก หลังจากนั้น
หน้าจอของเครื่องก็ขึ้น มาว่าทำการเชื่อมต่อสมบรูณ์แล้ว ผมจึงเริ่มสนทนากับ ผู้ที่ติดต่อมา โดยใช้ ฮาร์โมนิก้า
เป็นตัวรับเสียงสัญญาณจากผมแทน ไมค์ รับส่งเสียงนั่นเอง

/ลำบากเหมือนกันนะที่นั่นน่ะ เลยพลอยทำให้นายต้องลำบากไปด้วยอีก/
เสียง จากผู้ติดต่อดังออกจาก ลำโพงของเครื่องคอมฯ อย่างขัดๆติดๆ เป็นเพราะติดต่อผ่านสื่อสัญญาณดาวเทียมที่ไม่ได้มีการใช้มานานแล้ว หลังจากยุคแห่งพลังเวทมนต์เริ่มต้นขึ้น มนุษย์ก็เปลี่ยนไปใช้การสื่อสาร ผ่านเครือข่ายมนตราที่สะดวก กว่าแทนแต่ในอวกาศ สถานที่ อยู่ห่างออกไปจาก ชั้นบรรยากาศของโลกที่โอบล้อมด้วยพลังเวทมนต์ การติดต่อสื่อสารจำเป็น

ต้องใช้คลื่นวิทยุ เช่นเดิม ดังนั้นบริการดาวเทียมสื่อสารหลาย แห่งจึงเปลี่ยนมาเป็นหน่วยงานของรัฐ
เพื่อสำหรับการสำรวจพื้นที่ตนอกเครือข่ายมนตรา และงานอื่นๆที่ไม่อาจใช้เครือข่ายมนตรา ในการติดต่อสื่อสาร

แน่นอน ว่าถ้าผมไม่ได้เป็นถึงศาสตรจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการ ระบบปฏิบัตการมนตราที่ทำงาน
ให้กับกระทรวงวิทยาศาสตร์หน่วยงานภาครัฐ แล้วล่ะก็คงไม่มีสิทธิ์ขอใช้เครือข่ายได้แน่ว่าไปแล้วผมเองก็พูด

อ้อมค้อมไปหน่อย จริงๆแล้วไอ้ระบบสื่อสารเนี่ยมันก็คือ อินเทอร์เน็ต (Internet) นั่นล่ะแต่พวกเราเลิกใช้มัน
ไปนานแล้วก็เท่านั้นเอง


“ นั่นสิทั้งที่รู้ว่าติดต่อมาแบบนี้มันลำบาก แต่นายก็ยังรั้นจะพูดมาให้ได้ ซะอย่างนั้น ฉันถึงต้องลำบากน่าดูเลยที่ต้อง
นั่งรื้อฟื้นไอ้ระบบเก่าๆแบบนี้เนี่ย ”
ผม ตอบกลับผ่าน ฮาร์โมนิก้า ไปซักพักอีกฝ่ายก็ส่งเสียงหัวเราะขำเป็นเชิง หยอก กลับมาก็เลยพลอยลากผม
ขำตามไปด้วยอีก กว่าจะเข้าเรื่องกันได้พวกเราก็หัวเราะกันไปพักใหญ่ กับการโต้เถียงเรื่องการรื้อฟื้น อินเทอร์เน็ต นี่

“ จริงสิ กริศ แล้ว หมายเลข 13 ล่ะเป็นไงบ้าง.. ”
คำถามจาก อีกทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย ที่จะตอบ นั่นเพราะผมไม่คิดน่ะสิว่าจะถูกถามเอาเรื่องนี้

“ เฮ้ๆ วันนี้ นายเป็นอะไรล่ะเนี่ยจู่ๆก็ถามขึ้นมาซะเอง ทุกทีนายจะเป็นคนบอกเองนี่ว่า
อย่าหยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดเลย น่ะ ”
ผม แปลกใจนิดหน่อย จึงถามเค้ากลับไป

/เอาเถอะน่า นานๆที/
เค้าตอบกลับมาเหมือนไม่ค่อยอยากจะตอบผมซักเท่าไหร่

“ ถ้าหมายถึง ธนัท ล่ะก็ยังสบายดีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้อาจจะมีเรื่องวุ่นๆ เยอะบ้างไปหน่อย ”
/อะไรกัน? นี่นายเอาจริง รึเนี่ย ถึงได้ตั้งชื่อให้ปีศาจแบบนั้น/
คำพูดของเค้าทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ ที่พูดมาว่าลูกของผมเป็นปีศาจ ถึงมันจะเป็นความจริง
แต่ถึงยังไง ธนัท ก็มีจิตใจ เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ถึงแม้เค้าจะไม่ใช่มนุษย์ที่ปกติหรือเป็น DNA-Changer ที่
ปกติธรรมดาทั่วๆไปก็ตาม

“ นี่…ถึงเค้าจะไม่ใช่ลูกจริงๆ แต่ฉันก็รักเค้าเหมือนลูกในไส้นะ นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ยังตั้งชื่อให้ ลูเซีย เลยนี่ ”
ผมย้อนกลับไปบ้าง โดยข่มน้ำเสียงขุ่นมัวเอาไว้ในใจ เพราะคิดว่าเค้าเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันกับผม

/หึ..นั่นน่ะเหรอ ก็เป็นแค่นามสมมติเพื่อให้ใช้ชีวิตแบบปกติได้เท่านั้นเอง อีกอย่างชื่อนี้ เธอเองก็เป็นคน
ตั้งเองแล้วก็ขอให้เรียกแบบนั้น….ว่าไปแล้วดเหมือนเซนส์การตั้งชื่อของนายจะ ใกล้เคียงกับเธอเลยนะ
แผลงจาก ชื่อของเทพแห่งความตายให้กลายเป็น ชื่อปกติๆไปได้แบบนี้เนี่ย/

เค้าตอบกลับมา แบบผิดจากที่คาดไว้หน่อยแต่ผมก็นึกอยู่ลึกๆ แล้วว่าคนอย่างเค้าน่ะเหรอจะตั้งชื่อให้กับงาน
ทดลองของตัวเอง ความจริงแล้ว ที่ลูเซีย ต้องมาอยู่ที่บ้านของผม ก็เพราะเธอ ไม่มีความหมายกับงานวิจัยของเค้าแล้ว
ถ้าผมไม่ขอไว้ ป่านนี้ เธอ คงจะไม่ได้อยู่เป็นรูปเป็นร่างแบบนี้แน่ พูดไปพวกคุณก็คงไม่เข้าใจ

ลูเซีย ก็เป็นแค่ชีวิตเทียม ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการเดียวกับการสร้างอสูรเทียม เขาเรียกงานวิจัยนี้ว่า
การกำเนิดชีวิตใหม่ โฮมุนครุส (Homuncurus) ไม่มีกฏหมายใดคุ้มครองหรือหวงห้าม เรื่องการสร้าง โฮมุนครุส
เพราะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เป็นแค่มวลพลังงานเวทย์ ที่ใส่ความนึกคิดลงไป ก็เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง เหมือนกัน

ที่มีกลุ่มคนที่ ขึ้นมาคัดค้านและให้ออกกฏหมายห้ามการสร้างและวิจัย โฮมุนครุส คนพวกนั้นคิดว่า โฮมุนครุส
ไม่ต่างโคลนของสิ่งมีชีวิตและแล้ว ความคิดแบบนั้นก็ตกไป
เมื่อเนื้อแท้ของการกำเนิด โฮมุนครุส ไม่มีอะไรเลยที่มาจากสิ่งมีชีวิตพวกเค้านั้นแค่
มีความนึกคิดเท่านั้นไม่ได้มีตัวตน อย่างแท้จริง สุดท้ายคนกลุ่มนั้นก็เลิกลากันไปเพราะไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ว่า

โฮมุนครุส คือชีวิตหรือไม่ ดังนั้นการวิจัยเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์จึงเริ่มเป็นที่แพร่หลายในวงการแพทย์
โดยใช้ โฮมุนครุส เป็นหนูทดลองต่างๆนานา เพราะมันไม่ผิดกฏหมายเหมือนกับการโคลนนิ่ง (Clonning)
และยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก กว่ามากอีกด้วย อีกทั้ง โฮมุนครุส ก็มีสภาพร่างกายที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์แม้แต่ประการใด
แค่เนื้อแท้ของพวกเค้าเกิดจาก พลังงานเท่านั้นเอง

แต่สำหรับในความคิดของผม การที่มีความนึกคิด นั่นก็เท่ากับการมีชีวิตแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นแล้วทำไม
พวกเค้าจะไม่มีสิทธิ์ที่จะปกครองตัวเอง ทำไมพวกเค้าจึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้กันนะ

“ ฉันก็แค่ ไม่อยากให้ ธนัท รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่อาวุธก็เท่านั้นและก็ไม่ได้ต้องการจะให้เค้าลืม ตัวตนที่แท้จริงด้วย
ถึงได้ไม่เปลี่ยนให้มันเพี้ยนมากไปก็เท่านั้น ”
ผมพยายามจะอธิบาย แต่คนอย่าง โทมัส อาร์คแอง (Tomus Arcang) ที่ทำการทดลอง
สร้าง โฮมุนครุสและทำลายทิ้งมา มากกว่า 139 ชีวิต อย่างเค้า คงยากจะเข้าใจต่ออุดมการณ์ของผม

/จาก ทานาทอส(Thanatos) เป็น ธนัทธาทิเวศ ชื่อแบบนี้คงมีแต่นายล่ะมั้งที่คิดได้ ว่าไปแล้ว
ลูซิเฟอร์(Lucifer) อ้อไม่สิ ลูเซีย ก็คงคิดแบบนี้ล่ะมั้ง สมกับเป็นนายเลยนะ เพราะสมัยเรียน AI ทุกรุ่นที่นาย
เขียนขึ้นมาก็จะตั้งชื่อเรียก ให้และทำใจอยู่ตั้งนานสองนานกว่าจะตัดใจ ลบตัวที่ผิดพลาดทิ้งไปได้ เพราะนาย
จะนั่งแก้ไขมันอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ฮะๆๆๆ/

โทมัส ย้อนความไปถึงนิสัยที่ผมมักจะเป็นตลอดตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ผมจะให้ความสำคัญกับ
ความนึกคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นมา แม้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง เป็นแค่สิ่งจำลองเสมือนเท่านั้นก็ตาม แต่เหล่า AI
ที่ผมลบไปนั้นก็ยังไม่มีความนึดคิกที่สบูรณ์ พวกมันแค่แสดงอารมณ์ต่างๆออกมา ตามที่ผมกำหนดให้เท่านั้น

ยังไม่ถือว่ามีชิวิต อย่างแท้จริง เพราะงั้นล่ะมั้งผมถึงได้ตัดใจลบพวกมันทิ้งไปได้ และนี่ก็คงเป็นข้อสำคัณที่ทำให้ผม
เลี้ยง ธนัท เรื่อยมา นับแต่วันที่รับเค้า มาจากพ่อแท้ๆ อย่าง ศาสตรจารย์ เมนเดล เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

“ เอาเถอะ ว่าแต่เข้าเรื่องซักทีสิ ”
ผม ตัดสินใจเลิกที่จะถกกันเรื่องนี้ และขอให้เค้าเข้าเรื่องเสียที

/นั่นสินะ นายยังจำได้ไหม กริศ เรื่องสมัยเรียน มหาลัยที่เรากับ เจ้าดราก้อน เคยถกกันน่ะ/
โทมัส ถามกลับมา ผมยกแขนขึ้นเท้าคางด้วยฝ่ามือ ซ้าย และนึกย้อนไปเรื่อยๆ จนนึกออกว่า เค้าหมายถึงตอนไหน

“ อ๋อ เรื่องที่มาของการค้นพบ MAGIC น่ะเหรอ ”

/ใช่…และฉันคิดด้วยว่า ทฤษฏีของ ศาสตรจารย์ เมนเดล น่าจะใกล้เคียงที่สุด/

“ นั่นสิ ว่าไปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนที่ สถานีวิจัยนั่น ศาสตราจารย์ก็เป็นคนเดินโครงการที่จะพิสูจน์
ข้อเท็จจริงนั่นด้วยนี่ ”

/ใช่แล้ว และผลลัพธ์ก็คือ สุดยอดแห่งมนุษย์แปลงพันธุกรรม Ultimate DNA-Changer หมายเลข 13 ทานาทอส/
เราเริ่มที่จะเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียด ของเรื่องที่จะปรึกษากันอยู่แล้ว แต่สุดท้าย โทมัส ก็ชวนผมออกนอกเรื่อง
อีกจนได้ เค้าคงอยากจะล้อผมที่ทำในสิ่งที่เค้าคิดว่ามันงี่เง่า

“ แล้วมันยังไง…ถึงเค้าจะเป็น ผลการทดลองที่สมบรูณ์ ก็จะให้เราทำกับเค้าเป็นแค่ สิ่งของงั้นเหรอ ”
ผมย้อนถามไปบ้าง และคิดว่า โทมัน น่าจะยังพอมีมนุษยธรรม เหลือพอที่จะเข้าใจ ว่า ธนัท ไม่ใช่ โฮมุนครุส
และแม้ว่าธนัท เองก็จะไม่ใช่ทั้งมนุษย์และ DNA-Changer ธรรมดาๆมาตั้งแต่ทีแรกแล้วก็ตาม แต่ ธนัท
ก็ถือเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดจากมนุษย์อย่างแท้จริง มียีนพันธุกรรมเดียวกับ เมนเดล ผู้เป็นพ่อของเค้า

/งี้สินะ ถึงทำให้นายรับเอาเจ้าปีศาจนั่นมาเป็นลูกโดยไม่ลังเล น่ะ เอาเถอะเรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้มันไม่
เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเรื่องทฤษฏีนั่น ถ้าว่ากันตามจริงแล้วหากสิ่งที่ ศาสตรจารย์เมนเดล คิดเป็นจริงล่ะก็
ความลับเรื่องที่มาของ MAGIC และความลับของโลกใบนี้ก็เท่ากับเป็นภาพลวงตาเลยทีเดียวล่ะ/

ในที่สุดดูเหมือน ว่า โทมัส จะยังพอมีเหลืออยู่บ้างน่ะนะ มนุษยธรรม น่ะ แต่แล้วเค้าก็ชักผมกลับเข้าเรื่องไปซะอย่างงั้น
นี่ล่ะเหตุผล ที่ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเค้าเองเลย ตั้งแต่เลี้ยง ธนัท มา

“ ความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้และที่มาของ MAGIC ….นั่นสินะ ”
ผม เกริ่นกลับไป ก่อนจะเริ่มฟัง ทฤษฏี ของ ศาสตรจารย์ เมนเดล ไมนอสกี้(Mandel Minofsky) จากปากของ โทมัส อีกรอบ
มันเป็นเรื่องที่อ้างอิงถึงสมมติฐาน ที่อาจจะเคยเกิดเมื่อ 170 ล้านปีก่อน ยุคที่พวกสัตว์เลื้อยคลานยักษ์อย่างไดโนเสาร์

ยังเดินกันตะล่อนๆอยู่บนแผ่นดิน ทฤษฎีบอกเอาไว้ว่า ในยุคนั้น โลกแห่งอสูรหรือ Terra ได้กำเนิดขึ้นมาพร้อมๆกัน
ในตอนนั้นด้วย ก่อนจะแยกตัวออกจากมิติของ โลกและกลายเป็นมิติที่ขนานกันไปแทน

และเรื่องต่อมาก็คือใน ยุคเรอเนสซองส์ ศิลป์การเล่นแร่แปรธาตุในสมัยนั้น ใกล้เคียงกับการ
อัญเชิญอสูรและการทำพิธีกรรมด้วย MAGIC ในสมัยนี้ ศาสตรจารย์ เมนเดล จึงสรุปแนวคิดนี้ขึ้นเป็น ทฤษฎี
และเริ่มศึกษาวิจัย จนในที่สุดเรื่องมันก็โยงไปที่ ความลับของ รหัสแห่งการแปรธาตุ ใช่แล้ว ตอนนี้เรากำลังพูดถึง
The Davinci Code รหัสลับที่ ลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นผู้บันทึกขึ้น หนึ่งในงานที่เค้าบันทึกไว้มีเรื่องเกี่ยวกับ
ศาสตร์การแปรธาตุ อยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับ พลัง MAGIC แต่ทว่าเนื้อความของรหัสนั้นไม่มีผู้ใดไขมันออก

ในตอนที่เกิดวิกฤติพลังงานโลก ไม่มีใครในตอนนั้นสนใจหรือให้ความสำคัญใดๆกับอะไรอีกแล้ว
นอกจากพลังงานที่หดหายไปจนหมดสิ้น ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ทันทีที่ พลังงาน MAGIC ถูกค้นพบและทำ

การประยุกค์ใช้พลังงานนั้น ได้สำเร็จ ไม่มีใครหรือประเทศใดหรอกที่จะเห็นหัวของ คนที่ทำการวิจัยในตอนนั้นได้สำเร็จ
พวกเค้าสนใจแค่ว่างานวิจัยนั้น ทำให้พวกเค้าอยู่รอดและสร้างยุคสมัยต่อไปได้หรือไม่ก็เท่านั้น
เรื่องราวของการค้นพบปาฏิหารย์ยุค 200 กว่าปีที่แล้ว จึงไม่มีการถูกบันทึกใดๆเอาไว้เลย

แล้วพอมาตอนนี้ พวกเราถึงพึ่งจะเริ่มมาเห็นความสำคัญของสิ่งที่ลืมเลือนหายไป ใครกันที่เป็นผู้ค้นพบพลังงาน MAGIC
และประยุกต์จนมันกลายเป็นพลังงาน เวทมนต์ บิดาหรือมารดาผู้ให้กำเนิดศาสตร์แห่งเวทยาการ
คือ ใครกัน จนถึงปัจจุบันมานี้ พวกเราก็ยังไม่ล่วงรู้อะไรใดๆเลย แม้แต่น้อย แต่ ทฤษฎีของ ศาสตรจารย์

เมนเดล ก็ให้แนวทางที่คิดว่าน่าจะถูกที่สุด แต่จวบจน บัดนี้กว่า 800 ปีตั้งแต่ที่รหัส ของ ดาวินซี ถูกสร้างขึ้น
มาก็ยังไม่มีใครไขมันได้อยู่ดี พวกเราที่อยู่ในยุคศรีอารย เช่นนี้ก็คงได้แต่เชื่อไปก่อนว่า พระเจ้าทรงมอบไฟแห่งความหวัง
ให้แก่มนุษย์อย่างเรา และมนุษย์อย่างพวกเราก็ซ้ำรอยเดิมๆกับที่แล้วมา นั่นคือเอาอำนาจที่ได้รับ มาใช้อย่างร้ายกาจ นั่นเอง
……………………………
……………………………………

/งั้นถ้ายังไงแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ไว้ครั้งหน้าถ้าว่างแล้ว ฉันเองก็อยากจะมาถกเรื่องนี้กับนายอีกซักรอบ/
“ ตามใจนายเถอะ ฉันปฏิเสธได้ซะเมื่อไหร่ล่ะ ลองอยากจะคุยให้ได้ อย่างนายก็คงจะหาทางติดต่อมาจนได้อยู่ดีน่ะหล่ะ ”
/หึๆ นั่นสินะ…/
ตืดๆๆๆ

เสียงร้องเตือนดังขึ้นหลังจากปลายสายสัญญาณของ โทมัส ตัดไป ผมนั่งคิดทบทวนถึงเรื่องที่เราพึ่งจะถก กันมา
ความเร้นลับของโลกใบนี้ยังมีอีกมาก แต่ ณ ปัจจุบันตอนนี้ มนุษย์เราก็ยังคงทำลายต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุด

ผมก็ได้แต่เฝ้าภาวนาว่า วันที่ N.O.W.และ DNA-Changer จะอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริงจะมาถึง เพื่อที่
ธนัท ลูกของผมจะได้ใช้ชีวิต อย่างสงบสุขและไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของ สงครามที่อาจจะระอุขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
เพราะตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังกังวลนั้นได้คืบคลานเข้ามาอยู่ในมือผมไปแล้ว

“ เอาล่ะ เรามาทำงานต่อกันเถอะ ฮาร์โมนิก้า ระบบปฏิบัติการ ของ Titania ที่ท่าน รัฐมนตรี ยื่นเรื่องให้เรามาทำยังเหลือ
อีกตั้งเยอะแน่ะ ”
/Yes Sir/
ผม พูดพลางกดคีย์บอร์ดเพื่อเรียกให้หน้าต่างงานที่ผมเปิดทิ้งไว้ ขึ้นมาบนจอ และเริ่มลงมือทำงานของผมต่อไป
งานนี้ผมรับมาอย่างไม่เต็มใจจะทำด้วยซ้ำไป เพราะหลังจากที่ระบบนี้ถูกสร้างเสร็จ งานของผมก็จะกลายเป็น เครื่องมือสำหรับ ฆ่ามนุษย์นั่นเอง

บุ๋งๆๆๆๆ

เสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้นมา ค่อยๆ น้ำคงจะท่วมเข้ามาอีกแล้ว ผมลุกขึ้นหยิบ ฮาร์โมนิก้า และ
คว้าการ์ดผนึกของ เทพีสายชลอันดีน ที่วางอยู่บนโต๊ะคอมฯ ก่อนจะหันกลับออกจากห้องทำงาน
ลงไปที่บันได ระดับน้ำขึ้นมาจนถึงขั้นที่สามของบันไดแล้ว

“ เฮ้อคงต้องรบกวนอีกรอบแล้วล่ะ เอาล่ะนะ อันดีน ”/Get Set/
ผมพูดพลาง สแตนบายน์ ฮาร์โมนิก้า ให้เป็น ปลอกแขนอีกครั้ง ก่อนจะร่ายการ์ด อันดีน ออกไป
แต่ยังไม่ทันจะได้สั่งให้เธอช่วยวิดน้ำให้อีกรอบ เธอก็ใช้พลังควบคุมน้ำทั้งหมดในตัวบ้าน ทุ่มโครมลงที่ผม
จนเปียกโชคและพัด ผมลอยลงไปยังชั้นล่างก่อนจะดึงน้ำทั้งหมดในบ้านออกไป และเธอก็สลายตัวกลับไปอยู่ในการ์ด
โดยไม่แม้แต่จะอยู่อธิบายเลยแม้แต่น้อย

/Master, Are you ok?/(เจ้านาย,ไม่เป็นไรนะ)
ฮาร์โมนิก้า ของผมถามขึ้นกับสภาพที่เปียกโชกของผม ดูเหมือนผมจะโดนเธอโกรธเอาเข้าเสียแล้วสิ
ว่าไปแล้วผมเองก็ลืมไปเลยว่าเธอ โกรธอยู่นี่เนอะ……

“ เฮ้อ ธนัท เอ้ย เมื่อไหร่ลูกจะหยุดไอ้พายุบ้าๆนี่ได้ซักทีหนอ ไม่งั้นพ่อคงต้องวิดน้ำเองแหงๆ ”
/Master…..you idiot!/
…………………
…………………………………
………………………………………….

“ ฮัดชิ้ว! ”
เสียงจามดังก้องระงม จากปากของ ธนัท ที่กำลังเซ็ทสำรับลงไปใน ปลอกแขนที่ได้จากการแสตนบายน์ Note ของ เคียว

“ อ้าวๆ ยังไม่ทันจะเริ่มเลย จามแบบนั้น เดี๋ยวดวลจบก็ได้หวัดกินกันพอดีหรอก ”
อดัม ที่กำลังรอที่จะดวลกับเค้าอยู่ เหน็บแนมกลับด้วยท่าทีเย้ยหยัน

“ เฮ้ ไหวรึเปล่าน่ะ ธนัท!! ”
เคียว ถามด้วยความเป็นห่วงแท้ว่าตอนนี้ตัวเค้าจะมี เฟรย์ ที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเค้าซึ่งน่าจะต้องห่วงกว่าอยู่ก็ตามที

“ อ..อืม ไม่เป็นไรหรอก ”{แปลกแหะ รู้สึกเหมือนกำลังถูกใคร เอาไปพูดถึงอยู่เลย…}
……………………….
…………………………………………..
To be continue



Next Sub-Turn 13 Last Duel III


สำหรับอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ดองกันไปยาวน่าดูเลยนะครับ มาอาทิตย์นี้พออัพแล้วก็ดันยืดอีกไม่เกี่ยวหรือ เอี่ยวกับ
เนื้อเรื่องเล้ย ออกไปทางมาแนะนำให้รู้จักกับที่มาของพลัง MAGIC ซะมากกว่า เหอพอดีผมพึ่งจะปลีกตัวว่างจาก

โครงงานโปรเจคทั้งหลายแหล่ที่รอด เส้นตายมาได้แบบฉิวเฉียดพอดี ตอนนี้ก็เลยเริ่มมีเวลาพอจะมาเขียนต่อซักที
แต่ดัน นึกพล็อตจะต่อไม่ออก ซะงั้นเลยต้องหา เอาคาแรกเตอร์ที่ ไม่ได้ใช้ซะทีมา ลงขยายความของเรื่องไปก่อน

คิดว่า ซับเทิร์น นี้ น่าจะให้คำตอบข้อสงสัยจากตอนที่ผ่านๆมา ได้เยอะอยู่นะครับ ส่วนตัวผมเองยัง งงๆเองเลยเหอๆ
เอาเป็นว่า ตอนหน้า ธนัท เต็มๆตอนแน่นอน แซมด้วย ลูเซีย กับ อิส นิดๆ

สรุปคือ กลับมาตายรังเหมือนเดิม ตัวเอกถ้าไม่ใช่ ธนัท ก็ม่าใช่ VR สินะ นะๆๆๆๆๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 28, 2010 6:28 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 12 Last Duel II

โพสต์โดย boy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.พ. 18, 2010 6:01 pm

อูวๆ
ไม่อยากให้ธนัทกับลูเซียต้องมาถูกเปรียบเทียบเป็นแค่สิ่งของหรือปีศาจเลย ::023::
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 12 Last Duel II

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ ศุกร์ ก.พ. 19, 2010 9:06 pm

ตอนนี้มันอู้งานกันเห็นๆเลยแหะ ว่าแต่พ่อธนัทคุง นี่ฮาได้ใจมากเลยนะนี่ เอาเจ๊ อันดีน มาทำไรไม่ทำดันเอามาเป็นเทศบาลวิดน้ำ
เหอๆ สุดท้ายจบตอนเลยโดนเจ๊ อันดีนแก จับถ่วงน้ำซะ(ฮา)
ปล.อดัม ไหงมันพูดคุยกับพวกธนัท ยังกะสนิทกันเลยหว่า เหอๆ สงสัยมาเอา ฮาล่ะมั้งตอนนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Sub-Turn 13 Last Duel III

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ ก.พ. 27, 2010 3:50 am

Sub-Turn 13 Last Duel III

ความเดิม: เรื่องทุกอย่างเริ่มขึ้นในคืนวันพฤหัสที่ 19 พฤกษภาคม ของปีพ.ศ. 2702
ธนัท และพรรคพวกต้องเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมา ก่อการอย่างกระทันหัน
สามอสูรเทพแห่งโบราณกาล ที่ออกอาละวาด คือสิ่งที่พวกเค้าจะต้องหยุดมันเอาไว้ให้ได้และบัดนี้
ตัวตนที่แท้จริงของ

ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้า ธนัท เพื่อที่จะหยุดเรื่องเลวร้ายทั้งหมด ธนัท จึงได้ตัดสินใจ
ท้าดวลกับ อดัม เด็กหนุ่มผู้บอกว่าตนเป็น โฮมุนครุส เค้าเป็นใครกันแน่และมีเป้าหมายอะไรนั้นคือเรื่องที่ยังม่มีใครรู้
……………………………



……………………………ถึงจะอยู่ในความเจ็บช้ำใจที่สูญเสียผู้คนไปเป็นจำนวนมาก…………………………


เสียงหวีดหวิวของสายลมที่ พัดกรรโชกโหมเอาพายุฝนและหิมะ ให้ผสมคลุกเคล้ากันจนทับถมเป็นโคลนตม
กำลังจะฝัง กรุงเทพฯ ทั้งเป็น ด้วยการที่พลังเวทมนต์ถูกสนามพลังของเหล่า สามอสูรดึกดำบรรพ์

รบกวนทำให้ทั่วทั้งเมืองแทบจะเป็นอัมพาต หน่วยงานราชการใดๆ ไม่สามารถออกปฏิบัติการรับมือได้อย่างเต็มที่
และทันท่วงที แต่ถึงกระนั้น ตัวการของเหตุการณ์ทั้งหมดตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะยุติเรื่องทั้งหมดนี้เอง

เพราะมีแต่ผมเท่านั้นที่ทำได้ ความรู้สึกนึดคิดของ ธนัท ในตอนนี้เป็นแรงผลักให้เค้ามุ่งสู่เป้าหมายเดียวเท่านั้น
คือจัดการกับ ศัตรูตรงหน้าให้ได้

[Thanatativet Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp:5/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp 8/8 Shrine 0/15 ]


“ ฉันเป็นฝ่ายเริ่มบุกก่อน ”
ธนัท ประกาศตนเป็นฝ่ายบุก พร้อมกับหยิบซีลการ์ดบนมือ ขว้างออกไปทันที

“ Cost Mp 2 อัญเชิญ นินจาวายุหมุน(Whirlwind Ninja) ลงมาที่ At Line ”
สิ้นคำ การ์ดที่โยนออกไป ก๊เริ่มดูดซับละอองเวทย์ที่ฟุ้งกระจายออกมาจาก ปลอกแขนของเค้า ก่อนจะเปิดประแสงแวบวาบ
ขึ้นพร้อมกับลมหมุนพัดพุ่งออกมาจาก การ์ด ทันทีที่ลมสงบลง นินจาสาวผมยาวปรกไหล่รวบหางเปียไว้
ด้วยกระดาษกำมะหยี่ เป็นหางยาวไว้ข้างหลัง เธอกวัดแกว่งอาวุธของเธอซึ่งมีรูปร่างเหมือนสามเหลี่ยมแต่เป็น

สามเหลี่ยมที่ทำจากคมมีด ต้นขาอ่อนทั้งสองข้างของเธอผูกมัดกันไว้ด้วยเชือกเพื่อเป็นการขึงระยะก้าวเท้าให้มีความถี่
ต่อการก้าววิ่งแต่ล่ะครั้งจึงเป็น คำตอบของลมหมุนที่เกิดขึ้นยามเธอปรากฏกาย นั้นเพราะเธอวิ่งวนไปมาด้วยความเร็วสูงจนเกิดพัดวนออกมาดูราวกับพายุหมุนนั่นเองเป็นที่มาของฉายานินจาวายุหมุนของเธอ
รูปภาพ
[Thanatativet Status; Hand:Seal 4 ,Mystic2 Mp:2/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp 8/8 Shrine 0/15 ]

{เดิมทีนี่เป็นสำรับของ เคียว อยู่แล้ว รู้สึกว่าจะเน้นการบุกแบบพลิกแพลงสินะ ไม่ใช่แบบที่เราถนัดเลย แถมยังการ์ดที่ ประธานกำชับยัดเยียดให้ เราใส่ลงไปในสำรับ ที่จะใช้ดวลอีก นั่นน่ะมันเป็นการ์ดสีขาวแบบเดียวกับที่เราเคยใช้ เรียก
อาแมนคริส กับแกรนเดครอส ของ ชุติ มาจสถิตย์ เอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อนเลย การ์ดพวกนี้มันคืออะไรกันนะ….}

ธนัท คิดพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่เค้า จะขึ้นมาดวลบนดาดฟ้านี้
vvv
vv
v
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

ภายในห้องพักของ ธนัท

“ ถ้าหลังจากนี้ไป นายจะต้องดวลขึ้นมาล่ะก็ เอานี่ไปใส่ไว้ในสำรับที่จะใช้ซะ ”
มาริน่า ยื่นการ์ดผนึกซึ่งมีพื้นหลังของหลังเป็นสีฟ้าระบุประเภทว่าเป็นซีลเอาไว้ แต่ที่หน้าการ์ดนั้นกลับเป็นสีขาว
ว่างเปล่าไม่มีอะไรเขียนไว้เลย ธนัท รับมันมาดูด้วยสายตา งงๆ

“ การ์ดนี่มัน…..เหมือนกันกับที่ พี่ศรี เอามาให้ผมเมื่อ 2 ปีก่อนเลยนี่ครับ อ๊ะ! หรือว่านี่คือ…. ”
ธนัท มองดูการ์ดที่รับมาก่อนจะพูดขึ้น เค้าจำได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อน และสิ่งที่เค้านึกออก ตามมาหลังจากนั้น
คือสังหรณ์ที่ว่า เหตุการณ์ที่ มาริน่า คำนวณเอาไว้หลังจากนี้นั้น จะเลวร้ายถึงขนาดต้องบังคับให้เค้าใช้มันเลยเชียวหรือ

“ ใช่ การ์ดใบนี้คือผนึกแหงความนึกคิดแบบเดียวกับที่ นายเคยใช้เมื่อ 2 ปีก่อนครั้งนี้ก็เหมือนกัน…..
ถ้าเป็นอย่างที่ฉันเห็นล่ะก็ จากนี้ไปเรื่องมันคงจะไม่จบอยู่แค่นี้แน่ ”
มาริน่า อธิบายเพิ่มเติม เพียงแค่เห็นท่าทีสะดุดตาของเค้า เธอก็เดาออกหมดเปลือกแล้ว

“ ที่เห็นมา…..ประธานครับพลังจิตของประธาน ไม่ได้มีแค่ Telepotation กับ Telekinesis อย่างเดียวใช่ไหมครับ? ”
ธนัท เปรยขึ้นก่อนจะหันขึ้นมาถาม อย่างเอาจริงเอาจัง เธอถอนหายใจอย่างหน่ายๆ เหมือนทุกทีก่อนจะตอบ
คำถามของเค้า

“ Precognition การเห็นอนาคตที่ควรจะเป็นหรืออาจเกิดขึ้น………แต่ว่ามันไม่ได้ชัดเจน เหมือนพลังทำนายอนาคตอย่าง Divination (พลังหยั่งรู้อนาคต) ระดับของพลังนี่มันก็แค่ลางสังกรณ์เท่านั้นเอง ”
มาริน่า ตอบคำถามได้ตรงกับที่เค้าคาดเอาไว้ไม่ผิด

“ กะแล้วเชียว….เพราะไม่อย่างนั้น คงจะมาช่วยผมตอนที่เกิดบ้าคลั่ง เอาไว้แบบทันทีนั่นไม่ได้แน่
แล้วยังเรื่องอื่นๆที่ประธานเดาถูกมาตลอดเลยอีก ”
ธนัท เสริมต่อถึงเหตุผลสนับสนุนทั้งหมดที่ทำให้เค้าคิดว่า เธอมีพลังในการหยั่งรู้

“ แค่นั้นก็ทำให้ รู้แล้วเหรอว่า ฉันมีพลัง Precognition น่ะ! ”
มาริน่า อดที่จะอุทานไม่ได้ ที่เพียงแค่ความผิดปกติเล็กๆน้อย ที่เกิดเหตุบังเอิญให้เธอมาช่วยเขาได้เสียทุกครั้งไปแค่นั้น
จะทำให้ เค้าจับผิดเธอได้ขนาดนี้ แต่ ธนัท กลับส่ายหัวปฏิเสธขึ้นมาซะก่อน

“ เปล่าครับ มันยังมีอีกอย่างผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร…แต่ว่ามันทให้ผมรู้สึกได้ว่า ประธานยังมพลังอย่างอื่นอีกนอกจากที่ผมรู้ น่ะครับ… ”
ธนัท ตอบในตอนนี้ตัวเค้าเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้ ว่าทำไมเค้าถึงได้รู้สึกสงสัยขึ้นมา

……………………..
……………………………………

{ดูเหมือนความสามารถด้านพลังจิตในตัวของเจ้าหนูจะเริ่มตื่นขึ้นมาแล้วสินะ พลังที่รับรู้ได้ถึงพลังของคนอื่น Telepathy}
ความคิดของ มาริน่า ที่กำลังมุ่งตรงไปยังสนามรบของเหล่า อสูรเทพ เคียงคู่ไปพร้อมกับ อัลคารากอน ของเธอ
นั้นในใจของเธอตอนนี้ก็ยังคงติดใจเรื่องที่ ธนัท จับพิรุธเธอได้อยู่

…………………
………………………………
ณ บ้านร้าง
บัดนี้ ลูเซีย เธอกำลังจะต้องรับการทดสอบเพื่อช่วยเหลือ ร่างของคู่ดวลที่ไร้วิญญาณ ซึ่งตอนนี้มีจิตของ อสูรอัญเชิญ
ช่วยพยุงร่างเอาไว้ให้ ในสนามของเธอตอนนี้ที่แนวหน้า(At line) เดวิด เด็กผู้กำกับวงเดลิเวอร์แบนด์ ซานดร้า นักเต้นแห่งเดลิเวอร์แบนด์ และ ซิโมเน่ นักแปรธาตุแห่งเดลิเวอร์แบนด์

อีกทั้งที่แนวหลัง(Df Line)
ไคเลอร์มือธนุแห่งเดลิเวอร์แบนด์ และอันโดรมาซ อัศวินยูนิคอร์นแห่งเดลิเวอร์แบนด์ อสรูอัญเชิญ ทั้ง 5 นี้คือ
กำลังหลักที่เธอมีในตอนนี้เพื่อที่จะช่วย คู่ดวลอีกฝ่าย ซึ่งก็ คือ อิส ที่ตอนนี้ นักปราชญ์มาร์วิน กำลังสิงร่างอยู่

“จะขออธิบายอีกครั้งนะ ให้เจ้าโจมตีเข้ามาที่ มาร์วิน ตัวที่ตรงกับบุคลิคที่กำลังแสดงอยู่ เวลาที่จิตร่างต้น
ของนายท่าน จะกลับมาประสานอยู่ด้วยคือตอนที่จิตของบุคลิคใดๆบุคลิคหนึ่ง กำลังจะหายไปหน้าที่ของ เจ้าหญิง
ก็เพียงแค่พยายามชักจูงโน้มน้าวให้ เค้าอยาก กลับมาก็เท่านั้นเอง แต่ว่า โอกาสน่ะ…. ”
บุคลิคของนักปราชญ์มาร์วิน อธิบายเสียงเรียบ

“ มีแค่ 5 ครั้งเท่ากับจำนวนบุคลิคของพวกนายที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างสินะ ”
ลูเซีย ตอบขัดขึ้นมาเสียก่อนเหมือนจะบอกให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเธอเองกำลังเคว้งๆ กับการที่ต้องแบกรับภาระ
ชีวิต ของคนที่พึ่งจะได้เป็นเพื่อนไม่นาน หรือไม่แน่ด้วยซ้ำว่า ตัวเจ้าของร่างเดิม จะยอมรับเธอเป็นเพื่อนหรือยัง
แต่ว่าตอนนี้ที่เธออยากจะช่วยเค้านั้นก็เป็นความรู้สึกจริงๆที่เธอมีอยู่

{นี่จะเป็นตอบแทน ที่นายช่วยฉันไว้จาอกตอนนั้น…..นี่คงเป็นความรู้สึกขอบคุณสินะ…}
ลูเซีย คิด มือของเธอยังคงสั่นๆอยู่บ้างหลังจากรับฟังเรื่องราวต่างๆจากบุคลิค ของนักปราชญ์ มาร์วิน
แม้เธอจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ได้ แต่ตอนนี้ก็มีเพียงเธอ เท่านั้นที่จะช่วย อิส ได้ในตอนนี้

“ ถ้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็เชิญ เจ้าหญิง โจมตีเข้ามาได้เลย รอบของข้าขอหมดลงแต่เพียงเท่านี้ ”
บุคลิคของ นักปราชญ์ มาร์วิน กล่าวผ่านร่างของ อิส ออกมาพร้อมกับ โค้งให้เพื่อเชื้อเชิญให้บุกเข้ามา
พร้อมกับประกาศเปลี่ยน เทิร์นการเล่นกลับไปที่ ลูเซีย

[Iss Status; Hand:Seal2 ,Mystic2 Mp:7/7 Shrine 2/12 ]
[Lucia Status; Hand:Seal3 ,Mystic3 Mp 5/7 Shrine 0/12 ]

“ รอบของฉัน ”
ลูเซียประกาศรอบของตน พร้อมกับจั่ว มิสติกการ์ดขึ้นมาถือเพิ่มอีกสองใบ

[Iss Status; Hand:Seal2 ,Mystic2 Mp:7/7 Shrine 2/12 ]
[Lucia Status; Hand:Seal3 ,Mystic5 Mp 5/7 Shrine 0/12 ]

“ ให้ อันโดรมาซ เดลิเวอร์ยูนิคอร์นไนท์ เปลี่ยน Line ไปยัง At line จากนั้น cost mp 2 ให้อันโดรมาซ
โจมตีไปยัง นักปราชญ์มาร์วิน ”
สิ้นคำของลูเซีย อัศวินยูนิคอร์นหญิง อันโดรมาซ เจ้าหล่อนรีบตะบึงวิ่งด้วยขาของตนขึ้นมาจาก แนว Df line
กระชับดาบในมือของเธอแน่น ก่อนจะพุ่งทะยานพร้อมกับตวัดดาบผ่าร่างของ อสูรอัญเชิญ นักปราชญ์ มาร์วิน
ที่อยู่ในสนาม ขณะที่ ร่างของ นักปราชญ์มาร์วิน กำลังค่อยๆสลายกลายเป็นละอองเวทย์นั้นเอง
ร่างของอิส ที่ตอนนี้ถูกบุคลิคของ นักปราชญ์มาร์วิน สิงอยู่นั้น ก็ทรุดเข่าลงด้วยอาการเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
ราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไป ท่ามกลางตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ แทบจะสะกดให้ ลูเซีย นิ่ง
ชะงักเสียจนเกือบลืมหน้าที่ของเธอ เสียแล้ว

“ อ….ย..แย่ล่ะสิต้องรีบเรียกหมอนั่นนี่นา ล…แล้วจะต้องพูดอะไรยังไงล่ะเนี่ย? ยังไม่ได้คิดไว้ซะด้วยสิ ”
ลูเซีย เธอตะโกนโหวกเหวกไปมา ด้วยอาการ ลนลานเสียจนคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี ขณะเดียวกัน
ร่างของ นักปราชญ์มาร์วินก็กำลังสลายจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว เลยยิ่งทำให้เธอ ลนยิ่งขึ้นกว่าเก่าอีก

“ ด..เดี๋ยวสิ รอก่อนนะอย่าพึ่งหายไปนะ ค..คิดสิ! คิดสิ! ลูเซีย ตอนนี้เธอจะต้องพูดว่าอะไรน่ะ ”
เธอ พยายามจะตะโกนร้องให้ มาร์วินหยุดสลายตัวเองก่อน สติของเธอแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เพราะไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้

“ อ…เอ่อ ง..งั้นจะให้พูดว่า “อรุณสวัสดิ์” เหรอ เอ๊ะแต่นี่มันมืดแล้วนิ ง..งั้นก็ “กลับมาเถอะนี่มันดึกแล้ว”
เอแต่แบบนี้ไม่น่าจะใช้ได้แฮะ อ..เอาไงดีล่ะเนี่ย ”
ระหว่างที่ ลูเซีย กำลังพึมพำอยู่นี้เอง ร่างของ นักปราชญ์มาร์วิน ก็สลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
เหลือเพียงแต่การ์ด ผนึกที่ลอยกลับไปเก็บในช่อง Shrine ที่ปลอกแขน ของ อิส โดยอัตโนมัติ เท่านั้น

“ โหย~~~ เจ๊ คิดนานแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ มันไม่ทันแหล่ว ” /Kotaewa kitenai/
เสียงโต้ประชดประชันแบบเด็กๆ ดังขึ้น ทำให้เธอหยุด พึมพำและหันมาดู

“ แหง่ะ หายไปหมดแล้วเหยอก๊ะ…แง ยังไม่ทันจะพูดเลยอ่ะ ”
ลูเซีย บ่นด้วยความเสียดาย ขณะที่ตอนนี้ อิส กำลังทำหน้ามุ่ยใส่เธอ เหมือนเด็กที่กำลัง งอน
เพราะถูกทำให้ไม่พอใจ

“ นี่ พี่สาวคราวหลังก็คิดก่อนตีนะ เพราะนี่มันไม่ใช่แค่ เสียโอกาส เท่านั้นนา แบบนี้เท่ากับ พี่ส่งพวกผมไปตายเปล่าเลยนะเนี่ย ”
อิส ซึ่งตอนนี้น่าจะถูก บุคลิคของนักอัญเชิญอสูรมาร์วิน (Zechariah Marvin, the Summoner) เข้าสิงร่างแทน บุคลิคเก่า
ซึ่งเป็นของ นักปราชญ์มารืวิน ที่พึ่งจะสลายหายไปเมื่อครู่นี้

“ อ..เอาน่า ถ้าฉันเรียกเค้ากลับมาได้ พวกนายก็ยังออกมาใหม่ได้อยู่แล้วนี่ ”
ลูเซีย พยายามจะแก้ตัว ที่เธอปล่อยให้ โอกาสเสียไปเปล่าๆ

“ อะไรกัน นี่พี่สาวไม่รู้หรอกเหรอ ว่าถ้า อิส กลับมาแล้ว จิตของพวกเรา ก็จะต้องหายไปน่ะ ”
คำตอบที่ออกจากปากของ เค้า นั้นทำให้ ลูเซีย ถึงกับนิ่งชะงักชะงัน ไปเลยทีดียว

“ เฮ้ย เจ้าเด็กบ้า!! ก็ไหนเราตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่บอกยัยม้าดีดกระโหลกนี่น่ะ!! ” /Ore Sanjou!!/
เสียงของ อิส เปลี่ยนไปอีกครั้งคราวนี้เป็นคำต่อว่าที่ส่งออกมาจากบุคลิคของ
นักดาบเวทย์มาร์วิน(Zechariah Marvin, the Sword Magician)

“ อะไรเล่าก็มันเป็นความจริงนี่นา จะให้พวกเราโดนพี่สาวท่าทางบ๊องๆ แบบนี้เขี่ยเอา ทิ้งๆขว้างๆ แบบนี้น่ะเหรอ
ต่อให้มีแบบพวกเราซักกี่สิบ คนจะเรียก อิส กลับมาได้เปล่าก็ไม่รู้ ”
เสียงบุคลิก ของนักอัญเชิญอสูรมาร์วิน ดังโดต้ตอบออกมาอีกครั้ง ตอนนี้บุคลิกภายในร่างทั้งสอง ของ อิส
นั้นกำลังแย่งกันใช้ร่าง เพื่อที่จะต่อว่ากันเอง โดยที่ไม่ทันสังเกตุ เลยแม้แต่น้อยว่า ตอนนี้ ลูเซีย ที่พึ่งจะได้ยินความจริง
จากพวกเค้านั้น กำลัง ออกอาการช๊อก กับสิ่งที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย

“ เป็นความจริงเหรอ…. ”
ลูเซีย ถามน้ำเสียงปนความกังวลบวกกับสีหน้ากลัดกลุ้มที่แสดงออกชัดเจน นั้นทำใหบุคลิกทั้งสอง ถึงกับนิ่งอึ้งพูด อะไรกันไม่ออกเลยทีเดียว

“ ค…คือว่า เรื่องนั้น… ”
เสียงของทั้งสองบุคลิก เอ่ยประสานเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งยังแสดงท่าทางผ่านร่างของ อิส ออกมาโต้งๆเลยว่า
ลนจนเกินกว่าจะอธิบายเรื่องนี้ได้

“ เฮ้อไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ข้าขอจัดการเองก็แล้วกัน ” /Nakerude!!/
เสียงของ บุคลิก ที่สาม ที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างตอนนี้ ดังขึ้นก่อนที่ ปลอกแขนของ อิส จะส่งเสียงขึ้น
เพื่อประกาศถึงการใช้ร่างในตอนนี้ได้ โอนมาให้ อีกบุคลิกแทนแล้ว


“ นี่ตะกี้ที่พูดน่ะจริงๆงั้นเหรอ….ถ้าเค้ากลับมาแล้วพวกนายก็จะต้องหายไปน่ะ ”
ลูเซีย ถามไปอีกครั้ง โดยหวังเช่นเดิมคือ คำตอบที่ได้ยินจะเป็นการปฏิเสธความถูกต้องในคำถามของเธอ

“ อืม ก็คงต้องเป็นยังงั้น ”
แต่คำตอบนั้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอต้องการ เมื่อคำพูดที่หลุดออกจากปากของผู้ถูกถามนั้น เป็นไปตามที่เธอถาม

“ ทำไมล่ะ..ทั้งที่อาจจะต้องหายไปแบบนั้นแล้ว…แบบนั้นแล้วทำไมพวกนายถึงยังทำเป็นเฉยอยู่ได้อีกล่ะ ”
ลูเซีย กระแทกน้ำเสียงลั่น เสียงของเธอนั้น ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งตัว คฤหาสน์ ท่ามกลางความเงียบเชียบ
ที่ไม่มีใครพูดหรือตอบโต้อะไรเลย มีเพียงเสียงสะท้อนของเธอที่ค่อยๆแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆราวกับออกห่างไปไกลๆ
อีกฝ่าย ยังคงนิ่งเงียบราวกับว่าจะรอดูทีท่าของเธอว่า จะเอะอะอาละวาดอะไรต่ออีกหรือไม่
สายตาที่จ้องมาที่เธอนั้น ราวกับกำลังจะรอดูว่าเธอจะยอมหยุดฟังเหตุผลแต่โดยดีแล้วหรือไม่
เวลาผ่านไปซักครู่ ในขณะที่ทั้งเธอและเค้านั้นต่างไม่ได้พูดคุยโต้ตอบกันเลยแม้แต่น้อย

“ ก็แต่เดิม พวกเราน่ะไม่ได้มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นถึงจะหายไปก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าติดใจคิดอะไรอยู่… ”
เมื่อเห็นว่า การสนทนาน่าจะเริ่มเป็นไปได้ อีกฝ่ายจึงเริ่มออกปากเจรจา แต่เธอก็แทรกขึ้นมาซะก่อนที่เค้าจะทันพูดจบ

“ ถึงพวกนายจะไม่ได้มีตัวตนจริงๆก็เถอะ แต่ว่าพวกนายก็มีชีวิตมีความรู้สึกเป็นของตัวเองไม่ใช่เหรอ แบบนั้นแล้ว
ทำไมล่ะ! ทำไมถึงยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกล่ะ คิดเหรอว่าพวกนายหายไปเพื่อให้เค้ากลับมาได้แล้วเค้าจะดีใจน่ะถ้ารู้ว่า
พวกนายจะต้องหายไปแบบนี้ ”
ลูเซีย ตะคอก โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเหล่าบุคลิก ทั้งหลายนั้นขึ้นมา
ทันทีที่รู้ว่า พวกเค้าจะต้องหายไป เพราะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มันทำให้หัวใจของเอเจ็บปลาบขึ้นมาชั่ววูบ
ประหนึ่งมีลูกโป่งในอก ของเธอและลูกโป่งนั้นก็ทิ่มด้วยเข็มจนแตกโพละออกมา

“ ไม่หรอก ยังไงซะซักวันหนึ่งพวกข้าก็จะต้องหายไปอยู่ดี เมื่อวันที่เจ้าของร่างนี้สามารถยอมรับความเจ็บปวดในอดีตได้แล้ว วันนั้นพวกข้าก็จะเลือนหายไปจากตัวเค้า ไม่สิไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ แต่แค่กลับรวมกันเป็นหนึ่งเดียวก็เท่านั้น ”
เมื่อยังเห็นว่าเธอนั้นยอมไม่ได้ที่จะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ บุคลิกที่สิงอยู่นะตอนนี้ จึงเริ่มอธิบาย เพื่อเกลี้ยกล่อมเธอ
ที่หลุดจากความตั้งใจเดิมไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง

“ กลับไปเป็น…หนึ่งเดียวกัน ”
ลูเซีย ทวนคำพูดของเค้า ขณะที่พยายามจะทำความเข้าใจกับคำอธิบายเมื่อครู่
“ ใช่แล้ว ปกติตัวเจ้าของร่างของพวกข้า เองก็ไม่ค่อยจะได้แสดงอารมณ์หรือความเป็นตัวของตัวเค้าออกมาอย่างปกติเลยนั่นก็เพราะยังมีพวกข้าที่เป็น ส่วนที่แยกออกมาอยู่ เด็กน่ะ ซักวันก็ต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และถ้ายังมีพวกข้าอยู่แบบนี้ เค้าก็จะต้องเป็นเด็กที่ไม่รู้จักยอมรับอะไร ต่อไป แล้วก็ต้องหนีไปแบบนี้เรื่อยๆ ”
อีกฝ่ายอธิบายต่อทันที เมื่อเห็นว่า เธอพอจะสนใจในหลักเหตุผลที่ เค้าเกริ่นให้ฟังขึ้นมาบ้างแล้ว

{จะว่าไปแล้ว…อิส เองตอนที่เราดวลด้วยเมื่อคราวก่อน เราก็แทบจะไม่ได้พูดกับเค้า แบบตรงๆเลย
ถึงจะดูเหมือนว่าเป็นเล่น ตามแผนของสำรับที่วางไว้ก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนกับว่า เค้าพยายามจะหนีเราซะมากกว่า
ตอนนั้นที่ตัวเราอารมณ์ เสียได้แบบนั้นไม่สิ ทุกคนที่ดวลด้วยกันกับเค้า ก็รู้สึกอารมณ์เสียแบบนี้ …..ก็คงเป็นเพราะ
ตัวเค้าเลือกที่จะหนีเข้าไปหลบอยู่ข้างในนั้น…ข้างในจิตใจนั่น แล้วก็ให้บุคลิกอื่นออกมารับหน้าแทนไปเรื่อยๆ}

ลูเซีย คิดพลางนึกถอยกลับไปตั้งแต่ที่ได้พบกับ อิส เธอก็คอยสังเกตุเค้ามาแทบจะตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
มันทำให้เธอเห็นแง่มุมที่แท้จริงเกี่ยว กับการที่เค้ามีบุคลิก ที่แปลกแยกออกมามากมายเช่นนี้

“แต่ถ้าพวกข้าไม่อยู่แล้วก็คงจะยากหน่อยที่เค้าจะเรียนรู้สังคมภายนอก ที่เคยเอาหนีมันมาตลอดชีวิตในทันทีคงเป็นไปไม่ได้ ถึงตอนนั้นก็ขอฝากเค้าไว้กับเจ้าด้วยก็แล้วกัน ตัวเค้าน่ะนะ เป็นคนที่ อ่อนโยนเอามากๆ แต่เค้าก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ อะไรนักหรอก แล้วก็ที่สำคัญเค้าเป็นคนที่ขี้เหงาเอาการอยู่ ”

บุคลิกที่ใช้ร่างอยู่ตอนนี้ กล่าวฝากฝังกับเธอ มาถึงตอนนี้ตัวเธอพอจะเข้าใจและยอมรับได้แล้วว่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
ยังไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเค้า หากแต่ตัวตนที่แท้จริงของเค้านั้น คือทุกบุคลิก ที่แสดงออกมา ทุกๆอย่างนั้นแหล่ะคือตัวตน
ที่แท้จริงของเค้า และตอนนี้มันกำลังรอที่จะให้เธอ เป็นผู้เชื่อมเส้นทางแห่งจิตใจให้อีกครั้ง
เธอ ผงกหัวเล็กน้อยเพื่อ ตอบคำขอของอีกฝ่าย

“ เอาล่ะถ้างั้นก็โจมตีเข้ามาได้เลย ที่ผู้พิทักษ์คนทรงแห่งจิตวิญญาณมาร์วิน(Zechariah Marvin, the Guardian Shaman)
ที่เป็น จิตต้นของข้า ”
สิ้นคำ ลูเซีย ก็เริ่มทำตามที่ขอนั้นทันที

“ ให้ ซานดร้า เดลิเวอร์แบนแดนเซอร์ ทำการรวมร่างกับ เดวิด เดลิเวอร์แบนด์คอนดักเตอร์ ”
ลูเซีย ประกาศจบ ปลอกแขนของเธอ ก็ฉายจอโฮโลแกรมขึ้นมา ก่อนที่เธอจะลากเอาภาพการ์ดของอสูรที่จะรวมร่างซึ่งปรากฏอยู่บนจอโฮโลแกรม ให้มาประสานกัน นักเต้นสาวน้อย ซานดร้า และ ผู้กำกับวงหนุ่มน้อย เดวิด ทั้งสอง
เดิน เข้ามายืนรวมกลุ่ม กันสองคน ทันทีที่หลังจากคำสั่งรวมร่างสมบรูณ์แล้ว

“ Cost Mp 2 ให้ซานดร้า….. ”
ลูเซีย ประกาศขึ้นแต่เธอก็ชะงักไป เธอกำลัง ลังเล ที่พูดออกไปเพราะหาก โจมตีไปแล้ว นี่ก็จะเป็นอีกด้านหนึ่ง
ของเค้าที่เธอรู้จักนั้นจะต้องหายไป เมื่อเห็นว่าเธอนั้นยังตัดสินใจได้ไม่เด็กขาด เค้าจึงพูดขึ้น

“ ครั้งนี้พร้อมแล้วสินะ คำพูดที่จะพูดน่ะ… ”
คำถามที่ออกมานั้น ช่วยย้ำให้เธอ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวได้แล้ว แม้ว่าใจของเธอจะตัดสินมันลงไปแล้ว แต่
ร่างกายของเธอนั้นคงจะยังอาวรณ์อยู่ เพราะในขณะนี้ที่คำประกาศของเธอแว่ว แผ่วออกไปนั้น
หยาดน้ำก็ยังคงรินไหลล้นอาบแก้ม

“ ซานดร้า….โจม…..ตี ”
สิ้นคำ โดยที่ไม่รู้ตัว การโจมตีผสานของ เดวิด และ ซานดร้า ก็ได้จัดการ ผู้พิทักษ์คนทรงแห่งจิตวิญญาณมาร์วิน
จนสลายไปแล้ว วินาทีนี้ แม้ใจของเธอนั้นจะ รุดหน้าไปถึงคำพูดที่เธอคิดจะบอกออกมา แต่ราวกับว่า ร่างกายนั้น

ไม่ยอมที่จะทำตาม ช่วงเวลานี้ ทุกวินาทีที่ผ่านไหปนั้นค่อยๆหมดไปพร้อมกับ ร่างของ อสูรอัญเชิญที่กำลังจพสลายไปจนหมดสิ้นหลังจากฝืนอย่างสุดจะเต็มกลืนแล้ว คำพูดของเธอ ก็ลั่นผ่านลำคอ ออกมาได้ในที่สุด


“ กลับมา…..กลับมาซะทีสิ นายน่ะคงไม่คิดจะหายไปจริงๆหรอกนะ ตอนนี้เพื่อนๆของนายน่ะกำลัง พยายามกันเต็มที่เพื่อจะช่วยนายอยู่นะ เพราะงั้นแล้ว…เพราะงั้นแล้ว รีบๆกลับมาซะทีสิ!!! ”

[Iss Status; Hand:Seal2 ,Mystic2 Mp:7/7 Shrine 6/12 ]
[Lucia Status; Hand:Seal3 ,Mystic5 Mp 0/7 Shrine 0/12 ]

………………..
………………………….
…………………………………
“ Cost mp ที่เหลือ อยู่ 3 อัญเชิญ ซามูไรพายุอัสนี(Thunderstorm Samurai)ลงไปที่ At line ”
เสียงประกาศของ ธนัท ดังก้องขึ้น พร้อมกับ ที่ ซีลการ์ดใบที่สอง ถูกส่งลงมา ร่างของ ซามูไรกายสีนิล ลากดาบ
โค้งซึ่งอาบล้อมด้วย ประกายแสงสายฟ้า ที่ฟาดแปลบปลาบไปรอบๆบริเวณ ที่ยืนอยู่ เคียงข้างกับ
นินจาลมหมุน ที่ถูกอัญเชิญ มาก่อนหน้านี้แล้ว
รูปภาพ

“ หมดรอบ แค่นี้ ”
ธนัท ประกาศจบรอบของตัวเอง การดวลระหว่างเค้า เด็กหนุ่มผู้เป็นต้นตอ เหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดในครั้งนี้
และเพราะในตอนนี้สำรับของเค้าก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว จึงจำเป็นต้องรับเอา สำรับ ของเคียว มาใช้แทน
ทำให้การดวลในครั้งนี้ยากขึ้นไปอีกสำหรับเค้า

“ รอบของผม…อ้อ จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่นะ อดัม เรียกผมว่าแบบนั้นก็แล้วกัน ”
เด็กหนุ่ม ประกาศรอบของตน ก่อนจะบอกให้ เรียกตัวเค้าว่า อดัม ท่าทีในการนี้ทำให้ ธนัท รู้สึกระแวง
ที่อยู่ๆก็มาแนะนำตัวกันเอาตอนนี้

[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic2 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 5 ,Mystic2 Mp 8/8 Shrine 0/15 ]

“ Cost mp 5 อัญเชิญแมลงเคฟเฟลท(Kephale Fly) 3 ใบไว้ที่ At Line และ เห็ดแฟนธ่อม (Phantom Fungus)
อีก 1 ใบไว้ ที่ Df Line ”
อดัม ประกาศพร้อมกับ โปรยการ์ดซีล 4 ใบบนมือ ออกมา ทันทีที่การ์ดผนึกประจุพลังเวทย์จากละอองเวทย์ซึ่งสร้างจากปลอกแขนของพวกเค้า ที่คละคลุ้งอยู่รอบตัว อสูรอัญเชิญ แมลงขนาดยักษ์ สี่ตัวบินสล่อนว่อนไปมา

เสียงปีกของมันกระพือแหวกอากาศอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงหวี่คล้ายกับผึ้ง แรงลมที่ออกจากปีกขนาดยักษ์ของพวกมันทั้งสี่ตัว แทบจะพัด ธนัท เสียจนเกือบเซล้มลงไปแล้ว และที่แนวหลังของ อดัม อสูรที่ถูกอัญเชิญ ออกมามีรูปร่างเป็น
เห็ดรา ที่นิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อนใดๆเลย
รูปภาพ
รูปภาพ
{แมลงเคฟเฟลท ตั้ง 4 ใบเลยสำรับ แมลง(insect)งั้นเหรอ}
ธนัท คิดในใจขณะที่ประเมิน อสูรชุดแรกที่ อีกฝ่ายอัญเชิญ ออกมา

“ ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่คุณจะได้มาเป็นคู่ของผมในการดำเนินพิธีกรรมผ่านการดวลนี่เพราะว่าผมเองก็กำลังรอ
คนที่โชคชะตาพามาอย่างคุณนี่แหละ ”
อดัม เอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน ราวกับนี่เป็นงานรื่นเริงสำหรับเค้า

“ พิธีกรรม…..พิธีกรรมอะไรของแก!? ”
ธนัท สบถถามกลับไป ทันทีที่ได้ยินว่า การดวลนี้คือการดำเนินพิธีกรรม ตัวเค้าเองก็เริ่มจะไม่ไหวใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เสียแล้ว

[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic2 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic2 Mp 3/8 Shrine 0/15 ]
“ อ้าว!ตายจริงนี่ผมยังไม่ได้บอกคุณหรอกเหรอ งั้นเอาเป็นว่า ดูไปเดี๋ยวคุณก็คงเข้าใจเองล่ะมั้งหึๆ.. ”
อดัม พล่อยปากรับคำเอาดื้อก่อนจะตัดบท ด้วยการ ร่ายมิสติกการ์ด บนมือลงมาแทน

“ Cost Mp 3 ร่าย Primus Tuba ”
สิ้นคำ มิสติกการ์ดที่ร่ายออกมา ก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเจิดจ้าทันที ธนัท ต้องยกมือขึ้นป้องตาจากแสงนั้น
จนเมื่อมันเริ่มจางลง เค้าจึงย้ายมืออกเพื่อมองดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านั้น
ภาพนิมิตของ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งถือแตรมาด้วย กำลังสถิตย์อยู่ เหนือขึ้นไปจากสนามดวลของพวกเค้า



“ทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟผสมกับเลือดตกลงมายังแผ่นดิน หนึ่งในสามของต้นไม้ลุกไหม้หนึ่งในสามของต้นไม้ลุกไหม้ และหญ้าเขียวทั้งหมดก็ลุกไหม้ด้วย ”
สิ้นคำของ อดัม นิมิต ทูตสวรรค์นั้นได้ยกแตรขึ้นเป่า ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของ อสูรเทพ เลวีอาทาน
ก็เกิดทอแสงเป็นจุดๆ อยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่แสงเหล่านั้น จะพุ่งตกลงมาเป็น ลูกเห็บเพลิงที่มีโลหิตกระจายกระเด็น
ออกมาจากลูกเห็บเหล่านั้น ลูกเห็บแห่งหายนะนับแสนลูก พุ่งตกลงจากฟากฟ้าพร้อมๆกัน

[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic2 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic1 Mp 0/8 Shrine 0/15 ]

“ นี่คือ คำพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า บทแห่งการทำลายล้าง พระองค์จะทรงชำระ
โลกแสนสโสมนนี้แล้ว….มันน่ายินดีมากเลยใช่ไหมล่ะ ”
คำพูดซึ่งเพิกลอยออกมาพร้อมกับ รอยยิ้มจางๆของเทวทูต……………..
…………………………………………………………..
To be continue
………………………………………



Next Sub-Turn 14 Last Duel IV

ESP DATA(ข้อมูลพลังจิตที่สำคัญของตอน)
Telepathy: การอ่านความคิดและส่งความคิดถึงคนอื่นได้ เช่นการอ่านใจและการเห็นคำพูดในความคิดของผู้อื่น และอาจมีการส่งคำพูดจากความคิดของตนเข้าไปในสมองผู้อื่นโดยตรง

Precognition: การเห็นอนาคตที่ควรจะเป็นหรืออาจเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจเกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ มีตั้งแต่เบาบางถึงแจ่มชัด เช่นการมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

Telekinesis : การยกหรือเคลื่อนย้ายวัตถุหรือทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากเงื่อนไขทางฟิสิกส์ เช่นการงอช้อน การยกสิ่งของลอยในอากาศ


เอาล่ะต่อมาก็เข้าช่วงสครีมกันนะครับ บทนี้ทั้งที่สัญญาว่าน่าจะได้ดู ธนัท ดวลเยอะซะหน่อยๆ ก็ดันต้องเลื่อน
ไปเป็นตอนหน้าแทน ซะงั้นล่ะครับ เหอๆ เพราะตอนนี้แทบทั้งตอน ลูเซีย แย่งบทไปเด่นอยู่คนเดียวเลย
ว่าแต่ รู้สึกช่วงนี้มา จะเขียนมีแต่ดราม่าขึ้นทุกวี่ทุกวัน ทุกคนคงจะเสพดราม่ากันจนเอียนแล้วสินะขอรับ

บอกตามตรงกระผมก็เอียนเช่น กันแต่ไงได้อ่ะ บทมันพาไปแบบนั้น ซะงั้น ยิ่งบทหน้าจะหนกกว่านี้อีกรึเปล่าก็ไม่รู้แหะ
เหอๆ แต่เอาเป็นว่าหลังจากจบ บท The Last Duel (ซึ่งจะยืดไปอีก Last ก็ไม่รู้) ก็จะขึ้นภาคใหม่เป็น Tag Turn
แล้วล่ะนะครับ ซึ่งก็คิดว่า ทุกคนน่าจะเสพดราม่ามาจนจะอ้วกแตกอยูแล้ว กับบทที่เขียนเน่าติดกันมาซะ ครึ่งค่อนเรื่อง

ช่วงต้นของ ภาค TAG Turn จะเป็นแนวสบายๆแบบตอน Vr ภาคแรกล่ะนะขอรับ เนื่องจากกลัวว่าผู้อ่านจะเอียนกันซะก่อน
เลยจะเพิ่มการดวลการ์ดให้เป็น ทีมหลักของเรื่องมากกว่านี้ แล้วก็พยายามจะกระจายดราม่าของเรื่องที่มีเยอะเกินออกไปด้วย€จะได้คลายเครียดกันหน่อย คาดว่า VR TAG น่าจะจบครึ่งแรก ในอีกไม่เกิน 4-5 ตอน

แล้วก็จะเปลี่ยนขึ้นเป็นภาค VR TAG Turn ต่อกันไปเลย ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องช่วงครึ่งหลัง คาดว่าน่าจะได้ซักประมาณ 20
กว่าบทรวมๆแล้ว ซีรี่ย์ภาคนี้อาจจะยาวถึง 50 บทก้เป็นได้ ล่ะขอรับ เพราะงั้นทนอ่านกันต่อไปด้วยนะขอร้าบ
ว่าแต่อี แบบนี้สงกสัยกำหนดการ FMA คงต้องเลื่อนกันไปปีหน้าไหมเนี่ย - -*

ปล.ชื่อ ข้าน้อย เปลี่ยนเป็น wargreamon ไปซะแหละ ท่านพี่ปิโย สั่งมาให้แอดวานซ์ระดับตัวเอง เหอข้ามมาทีร่างสุดยอดไม่ต้อง่
ผ่านร่าง metal มันเลย :lol:
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 28, 2010 6:30 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 13 Last Duel III

โพสต์โดย boy เมื่อ เสาร์ ก.พ. 27, 2010 5:20 pm

Mahoraba........

อ่าฮุๆ เป็นเด็คที่ใช้ 7 แตรงั้นเหรอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 13 Last Duel III

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ เสาร์ ก.พ. 27, 2010 5:36 pm

boy เขียน:Mahoraba........

อ่าฮุๆ เป็นเด็คที่ใช้ 7 แตรงั้นเหรอ


อืมมมม มัน mahoraba จริงๆด้วย Heartful day สินะ เหอๆ เอ รือว่า อิส เนี่ยต้นแบบคาแรกเตอ์รที่มา จะไม่ได้มาจาก เรกกะ
ที่ก็อบ เดนโอ มา แต่เป็น โคซุเอะจังหนอ เหอๆ (ว่าแต่boyคุงดูเื่รื่องนี้ด้วยรึเนี่ย ::006:: )

และแล้วในที่สุด สำรับ บทพระวิวรณ์แห่งการล้างโลก ก็ได้ออก ซะที เหอๆ ว่าแต่สรุปเจ๊คาดไว้ไม่ผิดสินะ Vr ยังไม่จบแค่นี้
แต่แค่เปลี่ยนชื่อเป็น ครึ่งหลังเพิ่ม TURN เข้าไปแค่นั้น (ฮา) ว่าแต่เกรม่อนคุงเนี่ย จากนี้ไปต้องเรียกเพิ่มว่า วอร์เกรม่อน ด้วยไหมเนี่ย
ยาวง่ะ(เพิ่มมาตั้ง 3 ตัวแหน่ะ) ขอเรียก เกรม่อนคุง ตามเดิมละกัน เนาะ

ปอลิง.ช่วงนี้ พัลม่อนจัง เงียบไปเลยแฮะ ไม่ค่อยออนเหมือนทุกทีเลยหายไปไหนหว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 13 Last Duel III

โพสต์โดย Konflyctus MX เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 11:50 am

โอ้ววววว คำทำนายของแต่ละ Phialam ออกมาแล้ววววว

ไอ้เจ้าอดัมคุงเนี่ยคงจะเป็นเด็คที่อ้างอิงบทวิวรณ์ออกมาถึงขีดสุดเลยสินะครับ

ปล. กลับมาแล้ว ตัวผมก็ JX~Mystalgikus นั่นละเน้อ (ที่หายไปเพราะปัญหาบางอย่างครับ หุหุ)
Konflyctus MX
0
 
โพสต์: 201
Cash on hand: 250.00
ที่อยู่: ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 13 Last Duel III

โพสต์โดย Palmon เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 5:57 pm

Konflyctus MX เขียน:โอ้ววววว คำทำนายของแต่ละ Phialam ออกมาแล้ววววว

ไอ้เจ้าอดัมคุงเนี่ยคงจะเป็นเด็คที่อ้างอิงบทวิวรณ์ออกมาถึงขีดสุดเลยสินะครับ

ปล. กลับมาแล้ว ตัวผมก็ JX~Mystalgikus นั่นละเน้อ (ที่หายไปเพราะปัญหาบางอย่างครับ หุหุ)



เหอๆขอด้วยคนค่ะ พอดีช่วงนี้ทั้ง พัลม่อนกับ เกรม่อนคุง อยุ่ช่วงสอบพอดี เลยไม่ค่อยได้ ออน ส่วนตัวหนู
นี่ไม่ได้เข้ามาพักใหญ่แล้วเลย แต่ยังคงช่วยงานนิยาย เกรม่อนคุง อยู่นะจ๊ะ

อาทิตย์ อีกอาทิตย์ เดียวก็จะสอบเสร็จแล้ว และอนึ่งขอแจ้งกำหนดการพิเศษค่า หลังจาก Vr TAG จบและเริ่มการขึ้นชื่อภาคเป็น VR TAG Turn แล้ว Crisis Valkyrie SE2 ก็จะถูกนำมาลงคั่น ในสัปดาหถัดจากนั้น หนึ่งตอน เป็น Se ที่2 นะคะ
เป็นการลงเนื่องในโอกาสพิเศษ จบครึ่งภาคแรกและ ย้อนหลังวันวาเลนไทน์ ไปด้วยในตัว(ทั้งที่เลยมาจนควันหลงมันหลงหายไปหมดแล้วนะเนี่ย - -+)
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice (การพิพากษาของพระเจ้า)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 3:46 am

Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice (การพิพากษาของพระเจ้า)



“………ความหวังก็ยังคงมีอยู่
เพียงขอให้แค่มีความเชื่อมั่น ก็ยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้สูญเสียไป
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จงเชื่อว่าต้องค้นพบกับความหวัง…………. “

ณ ยอด ดาดฟ้าของ อาคารโรงพยาบาล ตากสิน ตอนนี้การดวลของ ธนัท และ อดัม กำลังดำเนินไป
โดยมีชะตาของโลกเป็นเดิมพัน ในครั้งนี้

[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic2 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 4 ,Mystic1 Mp 0/8 Shrine 0/15 ]

“ ในรอบนี้ ให้ แตรคันที่1 Primus Tuba ทำงาน!! ด้วยผลของมันจะให้เลือกการทำงานได้ 1 ใน 3 อย่าง ”
อดัม ประกาศผลลัพธ์ของการ ร่าย แตรคันที่ 1 โดยที่ ตอนนี้ เหนือน่านฟ้า ทั่วทั้งเมือง ทั่วโลก ต่างก็ทอแสงไปด้วย
ลูกเห็บไฟผสม ค่อยๆโปรยปรายลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ

รูปภาพ

“ การ์ดนั่นเป็น มิสติกแบบไหนกัน ไม่เห็นจะเคยรู้จักเลย….ธนัท…นายจะไหวไหมเนี่ย ”
เคียว พึมพำ ในตอนนี้ เค้ามีหน้าที่จะต้องดูแล เฟรย์ คู่หมั้นของตน จึงทำให้ไม่อาขยื่นมือเข้าไปช่วย ธนัท ได้
และสำรับ ที่ ธนัท กำลังใช้อยู่นั้น ก็เป็น สำรับของเค้า ที่ ธนัท เองก็ยังไม่ค่อยจะลองใช้เลยด้วยซ้ำไป
ความกังวลเกี่ยวกับ รูปแบบของสำรับ ตนที่อาจจะไม่คุ้นมือ ธนัท คือสิ่งที่รุมเร้าใจของเค้าอยู่ในตอนนี้


“ อย่างที่ 1 คือให้ผู้เล่นทุกคนกำจัด Mystic Card ในสนามของตนเองออกจากเกม และ อย่างที่ 2 ก็เหมือนกัน
เป็นให้ทำการกำจัดใน Shrine แทน และอย่างสุดท้าย คืออันที่ ผมจะเลือก ”
อดัม อธิบายถึงความสามารถของ Primus Tuba ก่อนจะประกาศเลือกคุณสมบัติ ที่ต้องการ

“ ทิ้ง Seal บนมือไปใบ 1 สามารถเลือกทำลาย เผ่า Plant 1 ใบในสนามได้ ”
เค้า หยิบเอา ซีลการ์ดใบสุดท้ายบนมือทิ้งไป ขณะที่ ธนัท และ เคียว ได้แต่จดจ้องด้วยสายตา งงๆ กับการตัดสินใจของเค้า
เพราะเผ่า Plant ที่มีในสนามตอนนี้ก็มีแต่ เห็ดแฟนธ่อม ของเค้าเองเท่านั้น

“ ทำลายเผ่า Plant 1 ใบในสนาม…. ”
ธนัท ทวนคำพูดของอีกฝ่าย เพื่อจะเช็คให้ตัวเองแน่ใจว่า ไม่ได้ตีความหมายผิดไปจากที่ฟัง

“ ถูกต้อง และที่ผมจะทำลายก็คือ ซีล ของผมเอง เลือกเป้าหมายการทำลายไปที่ เห็ดแฟนธ่อม ”
อดัม ยืนยันอีกครั้งว่า ที่เค้าคิดอยู่นั้นถูกแล้ว เค้ากำลังจะทำลาย อสูร ของตนเอง
ทันทีที่การประกาศเสร็จสิ้น เห็ดแฟนธ่อม ก็ระเบิดร่างของมัน จนแตกสลายกลายเป็นฝุ่นสีดำ
คลุ้ง กระจายออกมาพร้อมๆกับที่ นิมิตของ ทูตสวรรค์เป่าแตร ได้สลายไป

“ และเมื่อเห็ดแฟนธ่อม ถูกทำลาย Ability ของ เห็ดแฟนธ่อม ก็จะทำงาน ”
อดัม อธิบายความสามารถของ เห็ดแฟนธ่อม ขณะที่รับเอาการ์ดผนึกของมันที่กระโน ปลิวกลับมา
ไว้ด้วยมือซ้าย ก่อนจะเก็บลงช่อง Shrine ตรงส่วนล่างของ ปลอกแขน ฝุ่นที่คลุ้งออกมาจาก การระเบิดของ เห็ดแฟนธ่อม
ก็ค่อยๆ ขยายตัวเข้าไปยังสนามฝั่งของ ธนัท

“ Ability ของ เห็ดแฟนธ่อม เมื่อมันถูกส่งไปยัง Shrine จากสนาม จะให้เลือก ซีลใบหนึ่ง
ในสนามติด Last Dance Curse เพิ่มค่า At และมีระยะเวลา ตามหน่วย LV ของซีล ที่เป็นเป้าหมายนั้นๆ
หวังใช้ประโยนช์จาก Ability นี้จนถึงกับยอมจ่าย Mp มหาศาลเพื่อทำคอบโบแบบนี้เลยงั้นเหรอ ”

ธนัท ย้อนถามขณะที่กำลังตัดสินใจหาทางรับมือกับการเล่นผสานนี้

“ ……..เป้าหมายที่ ผมจะเลือกก็คือ นินจาลมหมุน ที่มี LV 1 ”
อดัม พูดขึ้นพร้อมกับ ชี้นิ้วไปที่นินจาลมหมุน ผลันฝุ่นควันทั้งหมด ก็รวมตัวกันเข้า รม ใส่ นินจาลมหมุน ทันที

{ธนัท..จะรู้รึเปล่านะ ว่า Skil ของนินจาลมหมุน น่ะคือ…}
เคียว ลุ้นไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ธนัท จะรู้หรือไม่ถึงความสามารถของ นินจาลมหมุน
ที่อาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ แต่ทว่าตอนนี้ ฝุ่นควันเหล่านั้น ก็เข้าไปในร่างกายของ นินจาลมหมุน
ที่ดิ้นทุรนด้วยความทรมานจากการถูก รม และทันทีที่ ควันทั้งหมดซึมเข้าไปจนหมดแล้ว
นินจาลมหมุนก็เริ่มมีอาการ คลุ้มคลั่ง อยู่ไม่สุข ราวกับคนติดยา

“ ดูเหมือนนายจะพลาดไปนะ…Cost Mp2 ให้ Skill ของนินจาลมหมุนทำงานให้ตัว
นินจาลมหมุนได้รับ Ability Vanish เป็นเวลา 1 Turn ตราบเท่าที่มีธาตุลม ใบอื่นในสนาม ”

ธนัท เปรย ขึ้นก่อน จะประกาศให้ นินจาลมหมุนใช้ Skill ซึ่งตัวนินจาลมหมุน เองแม้จะยังบ้าคลั่งอยู่
เพราะต้อง คำสาปจากควันของ เห็ดแฟนธ่อม แต่ก็พยายามรวมมือประสานกันเพื่อใช้ คาถาได้สำเร็จ
ร่างของเธอก็แวบหายไปในบัลดล

“ Vanish? ”
อดัม ทวนคำสั้นๆ หลังจากเห็นการแก้เกม ของธนัท ที่สามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้ในครั้งเดียว

“ ใช่แล้ว การ Vanish จะทำให้ ซีลที่มี Ability นี้ถูกนำออกจากเกม เป็นระยะเวลาตามที่กำหนด และเมื่อ
เป็นการถูกกำจัดออกจากเกม ทั้ง มิสติก , คำสาป และ สถานะที่ติดตัว อยู่กับ ซีล ทั้งหมดนั้นก็จะถูกถอดออกไปด้วย ”
เคียว เสริมให้ถึงรายละเอียดของ ความสามารถนี้

“ เพราะฉนั้น Last Dance Curse ที่ติดอยู่ก็จะถูกกำจัดหายไป เท่านี้ เท่านี้คอมโบ ที่จะทำลายซีลของ
ฉันด้วย Curse Last Dance ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ”
ธนัท ปิดท้ายให้เป็นจังหวะเข้าคู่กันเลยทีเดียว ราวกับทั้งเค้าและ เคียว กำลังใช้สำรับ นี้ดวลร่วมกันอยู่
แม้สำรับ นี้จะไม่ใช่ของธนัทแต่เค้าก็ยังคงใช้มันได้ประหนึ่งกับเป็นสำรับของตัวเองแสดงให้เห็น
ถึงสายสัมพันธ์และประสบการณ์ที่มีมากโข กว่า อดัม อยู่หลายขุม

“ หมดรอบของ ผมแค่นี้… ”
อดัม ประกาศจบรอบของตน อย่างสงบเสงี่ยม ราวกับว่า การถูกโต้กลับก่อนนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับเค้าเลยแม้แต่น้อย

{ไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียว งั้นเหรอ….อึ้งจนพูดไม่ออกหรือ
เป็นเพราะคาดเอาไว้แล้วจงใจให้เป็นแบบนี้แต่แรกกันแน่นะ}
“ รอบของฉันจั่วไพ่ ”
ธนัท ประเมิน ท่าทางของอีกฝ่าย อยู่ก่อนจะประกาศรอบของตนพร้อมจั่วซีลและมิสติกอย่างละใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 4 ,Mystic3 Mp:6/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 0 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 1/15 ]

“ Cost mp 3 อัญเชิญ เจ้าหญิง ฮิเดโกะ(Princees Hideko)ไว้ที่ Df Line และอัญเชิญ นินจาลมหมุนตัวที่สองลงสู่ At Line ”

สิ้นคำ ธนัท ก็ร่อนการ์ดผนึก Seal ในมือที่ จั่วมาแหวกฝ่าละอองเวทย์ที่คละคลุ้งออกมาจาก เฟืองของ
ปลอกแขนพร้อมๆกันนั้น ทันทีที่ผนึกแตกออก ก็เกิดแสงสว่างฉายวาบออกมาชั่วครู่ ก่อนจะจางลงพร้อมกับการ
ปรากฏของร่างแห่งเจ้าหญิงมิโกะซึ่งทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าเนื้อละเอียดแขนเสื้อกว้างยาวปิดมิดชิด

กระโปรงยาว จรดพื้น ใบหน้าอิ่มเอิบของสาววัยแรกรุ่น ที่หัวไหล่สองข้างทรงเกราะบ่าติดผ้าคลุมประจำยศ
ผมสีดินละออยาวสลวยโบกสะบัดพริ้วไปกับสายลมยามปรากฏกาย เจ้าหญิง ฮิเดโกะ
ทรงประทับอยู่ที่นี่แล้วในที่พำนักสนาม Df line และนินจาลมหมุน อีกคน ที่กระโดดลงมายืนในสนามแนวหน้า
เคียงคู่ นักรบซามูไรอัสนีบาต

รูปภาพ

“ Cost Mp 2 ให้ซามูไรอัสนีบาต โจมตีไปที่ แมลงเคฟเฟลท ”
ธนัท สั่งจบ ซามูไรอัสนีบาต ก็พุ่งทะยานออกจากที่ ขัดกับขนาดร่างเขื่องของตน มันพุ่งไปอย่างรวดเร็วจนเห็นแสงไฟแลบแปลบปลาบ ประหนึ่งประจุไฟฟ้า ที่กำลังจะปะทุตัวเป็น ฟ้าผ่า แสงแลบแปลบปลาบ อยู่ประมาณสองสามครั้งก่อนที่ ร่าง
ของแมลง เคฟเฟลท ตัวหนึ่งจะแหลกเป็นชิ้นๆ ในเสี้ยววินาที พร้อมกับ ร่างของ ซามูไร อัสนีบาต ที่กลับยืนอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตุแห็นเลยแม้แต่น้อย ทว่าชิ้นส่วนเหล็กไน ที่ปลายหางของ เคฟเฟลท กระเด็น
ไปทิ่ม โดน ซามูไรอัสนีบาต ก่อนจะซึมฝังตัวลึกลงไปอย่างรวดเร็วเสีย จนธนัท เองก็มองไม่ทันว่า ได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ขณะที่ อดัม นั้นฉีกยิ้มที่มุมปากเผยออกมาเล็กน้อย กับการถูกโจมตีในครั้งนี้

“ จากนั้น Cost mp 1 ให้ นินจาลมหมุน โจมตีต่อเนื่องเลย ”
ธนัท รีบคว้าโอกาสนี้ สั่งโจมตีต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ อีกฝ่ายตั้งตัวได้ทัน นินจาลมหมุน ที่ถูกอัญเชิญ มาใหม่นั้น
ก็ทะยานตัวไปด้วยฝีเท้าลมกรดที่วิ่งฝ่าอากาศวนไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็น พายุหมุนล้อมกรอบ ทั้งสนามเอาไว้

ก่อนที่ มีดลักษณะ โค้งของหล่อนจะเหวี่ยงออกมา จากพายุ ตรงเข้าเฉือดเฉือน ร่างของ แมลงเคฟเฟลท ไปอีกตัว
พร้อมๆกับที่ ตัวนินจาลมหมุน ได้ลงมายืนอยู่บนพื้นอีกครัง หลังจากที่ เปลี่ยนตัวแองเป็น พายุหมุนไปแล้ว

โดยที่ชิ้นส่วนเหล็กไน ที่ปลายหางของ แมลงเคฟเฟลท ซึ่งกำลังจะสลายไปได้ กระเด็น ทิ่ม โดน นินจาลมหมุน
ด้วยเช่นกัน แต่มันก็ซึเข้าไปเวมากเสียจนมองไม่ทันอีก โดยที่ ธนัท และเคียว นั้นไม่ทันสังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลง
นี้เลยแม้แต่น้อย

“ หมดรอบแค่นี้ และ ในตอนนี้ ผลของ Vanish Ability ก็จะครบรอบการทำงาน
ทำให้ นินจาลมหมุนที่ ถูกกำจัดออกไปในรอบที่แล้ว ย้อนกลับสู่สนามใน At Line ”
สิ้นคำ นินจาลมหมุน ที่หายตัวไปในรอบที่แล้ว ก็ปรากฏตัว กลับมาอีกครั้ง

“ รอบของผมล่ะนะ ”
อดัม ประกาศเสียงเรียบ ก่อนจะจั่ว ซีลการ์ด ขึ้นมา 2 ใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic3 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 2 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 3/15 ]

บรึม!!
เสียงระเบิดที่ดังสนั่นลั่นกึกก้องนี้ ทำให้ ธนัท ต้องชะงักหันไปมองรอบๆตัว บัดนี้อาณาบริเวณ ที่เคยเป็นเมือง
ซึ่งชุ่มโชก ไปด้วยฝนและ หิมะ กลับถูกดลบัลดาลให้กลายเป็น ทะเลเพลิงในพริบตา เสียงของสายฝนและพายุหิมะ ที่ยังคง

โหมกระหน่ำ ตัดกับเสียงลุกโชนเสียงปริแตกพังทลายของ อาคารต่างๆ อันเกิดจาก ถูกลูกเห็บไฟผสมเลือด
ตกลงมากระแทกระเบิด จนเกิดเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ ไม่เว้น แม้แต่ ดาดฟ้าที่พวกเค้ายืนอยู่ ก็ยังมีสะเก็ดเล็ก
สะเก็ดน้อยกระเด็นตกลงมาด้วย

“ ที่นี่เป็น ศูนย์กลางของการปล่อย คำนิมิต เพราะฉนั้นจึงได้รับผลกระทบน้อยกว่ารอบๆเยอะ แต่ก็ใช่ว่า จะไม่
มีผลกระทบเลย ตอนนี้ทั่วทั้งโลกก็คงจะกลายเป็น จุลไปหมดแล้วกระมัง ”
อดัม เปรยขณะที่ยิ้มระรื่นไปด้วยเมื่อได้ชมทัศนียภาพที่ท่วมไปด้วยเพลิง และโลหิตตกลงมากับลูกเห็บ ที่ถูกต้มจน
เดือดส่งเสียง ฉู่ฉ่า ระงมไปทั่วทั้งเมือง

“ น…นี่มันอะไรกัน!! ”
เคียว เปรยกับสภาพของเมือง ที่เห็น แม้ว่าที่ไกลๆออกไปนั้น จะยังคงเห็นการต่อสู้ ของเหล่าเทพอสูร
ที่พวก มาริน่า และทุกคนกำลัง ต่อสู้กันอยู่ ก็ตาม

“ ในรอบที่แล้วคุณพูดเองสินะ ว่าการทำคอมโบของผมนั่นมันไร้ความหมายไปแล้ว เพราะคุณก็สามารถทำลายผลลัพท์
ที่เกิดในเกมได้แต่นั่นน่ะ ไม่ใช่ที่ผมต้องการหรอกนะ ที่ผมต้องการจริงๆคือนี่ต่างหากล่ะ ”
อดัม พูดเสียงเรียบ พลางเคาะเท้าอย่างสบายใจ ในขณะที่ ธนัท นั้นดวงตาเบิกกว้างเสียจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า
ทนกัดฟัน เพื่อทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ โดยพยายามจะข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
ตอนนี้ตัวเค้าคงได้กลายสภาพและตรงเข้าทำร้ายทุกคนเหมือนเมื่อวานอีกเป็นแน่


“ ผลลัพธ์ ….ที่ต้องการจริงๆงั้นเหรอ ”
ธนัท หันกลับมาจ้องด้วยสายตาแค้นจะกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายเสียให้ได้ นั่นยิ่งทำให้ อดัม รู้สึกสนุกขึ้นไปอีกกับ
การได้ปั่นหัวเค้าเล่นเช่นนี้

“ ที่ผมสนใจน่ะไม่ใช่ การทำลาย อสูร ของคุณของหรอกนะ แค่ต้องการให้ แตรคันที่ 1 ถูกเป่าเท่านั้น นั่นแหละ คือเป้าหมายของผมล่ะ ”
อดัม ตอบเสียงร่า ราวกับว่านี่ยังเป็นแค่เกม เท่านั้น ทั้งที่พึ่งจะลากเอาชีวิตของ
คนอีกนับหมื่นหรืออีกเป็นล้านเข้ากองไฟไปเมื่อครู่นี้

“ หมายความว่า…ยังไงกัน ”
เคียว สบถถามด้วยความไม่พอใจปนกับความสงสัยในคำพูดของ อดัม ที่ฟังวกวนไปมา

“ มันไม่ได้หมายถึงอะไรเลย เคียว…เจ้านี่มันแค่ต้องการ ใช้การดวลนี้เป็นพิธีกรรม
ส่งผ่านการอัญเชิญ ที่จะทำลายล้างทุกอย่างก็เท่านั้นเอง ”
ธนัท กลับเป็นฝ่ายที่ ตอบ เคียว เสียเองเพราะตัวเค้า เองทันทีที่ได้เห็นการกระทำและการแสดงออกก็ได้รับรู้ซึ่งตัวตนของ
อีกฝ่ายแล้ว ว่าคนที่ดวลอยู่ด้วยนี้ ไม่เห็นค่าชีวิต ของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย

“ ม..หมายความว่า เมื่อกี้ไม่ใช่คอมโบ แต่เป็นการทำเพื่อที่จะให้ การ์ด แตร นั่นถูกร่ายออกมาเท่านั้นงั้นเหรอ! ”
เคียว ย้ำถาม อีกครั้งด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง กับคำตอบที่ได้รับ

“ เจ้านี่มันไม่ได้คิดหรือคาดอะไรไว้ก่อนแล้วทั้งนั้นนั่นล่ะ มันแค่ต้องการที่จะ
ทำลายให้ทุกอย่างพินาศไปตามที่มันต้องการ ”
ธนัท กล่าวโดยที่สายตานั้น ยังคงเอาไว้ซึ่งความขุ่นเคือง

“ ถูกอย่างที่คุณว่า เพราะงั้น ผมก็จะขอทำลายต่อไปแบบนี้เรื่อยก็แล้วกันนะครับ ”
อดัม ตอบพร้อมกับหยิบการ์ด มิสติกบนมือเตรียมร่ายต่อทันที

“ Cost Mp 3 ร่าย Primus Phialam เป้าหมายคือ ซามูไรอัสนีบาต ”
สิ้นคำ แสงสว่างเจิดจ้าส่องวาบออกมาจากการร่ายมิสติกการ์ดนั้น นิมิตของทูตสวรรค์ในชุดขาวปรอดบริสุทธิ์
ผู้มาพร้อมกับ ปีกศักดิ์สิทธิ์ ในมือถือขันทองคำรูปลักษณประณีต ประหนึ่งชามโอสถทิพย์ ในขันนั้นมีน้ำทิพย์
ทอประกายแสงอย่างที่หาไม่ได้ในโลกนี้

รูปภาพ

“ ทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งเทขันของตนลงบนแผ่นดิน คนทั้งหลายที่มีตราของสัตว์ร้ายและกราบ
นมัสการรูปปั้นของมัน ก็เกิดเป็นแผลเจ็บปวด ”
อดัม เปรยด้วยท่าทีสงบ ขณะที่นิมิต ทูตสวรรค์ ค่อยๆริน สิ่งที่อยู่ในขัน ลงสู่อากาศ ทันทีที่ของเหลวนั้นลงสู่อากาศ
ก็เกิดกระจายกลายเป็น สายฝนรดลงสู่พื้นดิน ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีเสียงร้องโอดครวญ และเสียงกรีดร้องดังออกมาจาก

ในตัวอาคาร เสียงร้องของบรรดาผู้ป่วย ในโรงพยาบาลที่พวกเค้ายืนอยู่นั่นเอง ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น คือแม้แต่
ผู้คนที่กำลัง อพยพ หนีตายอยู่บน ถนนก็โดนลูกหลงไปด้วย พวกเค้าต่างก็แสดงอาการเจ็บปวดทรมาน
ราวกับกำลังถูกเผาทั้งเป็น ตามร่างกาย ของพวกเค้าเหล่านั้น ต่างมีแผลเป็นรูปดาวห้าแฉก(Pentagram)
ปรากฏอยู่ตามจุดต่างๆของร่างกาย
[Pentagram :สัญลักษณ์ที่สื่อถึงศาสตร์แห่งซานตาน เป็นเครื่องหมายของลัทธิ์นอกรีตในสมัยกลาง ใช้เพื่อบูชา Baphomet]

“ ย….หยุดนะ นี่แกคิดจะฆ่าคนพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ!! ”
ธนัท ตะคอกให้ เค้าหยุดการกระทำอันโหดร้ายนี้

“ มนุษย์ที่ได้ความเจ็บไข้เหล่านั้น ก็เพราะพวกเค้า นมัสการ ปีศาจ ก็สมควรแล้วนี่… ”
คำตอบของ อดัม กลับเป็นการย้อนความมาเล่นลิ้นกับเค้าแทนเสีย

“ อะไรกัน นี่แกจะบอกว่า คนพวกนั้นสมควรโดนแบบนี้งั้นเหรอ พวกเค้าเป็นแค่คนที่
ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ อะไรเลยนะ!? ”
เคียว ตะคอกบ้าง ตอนนี้แม้แต่เค้าเองก็รู้ทนไม่ได้กับการดวล บ้าๆที่ต้องลากเอาชีวิตของคน
อีกหลายคน มาเล่นแบบนี้

“ ก็เพราะไม่รู้นั่นล่ะ คือบาป…บาปที่มาจากความไม่รู้ว่าตนได้ก่อกรรม อะไรไว้ถึงต้องมา
เจ็บป่วยได้ไข้กันแบบนี้ไงล่ะเดิมทีมันเป็นสัจธรรมของโลกอยู่แล้ว ใครทำอะไรก็ได้รับผลตามนั้น ”
คำตอบที่ได้จาก อดัม ยังคงยืนยันคำเดิม เค้าคนนี้คงไม่มีความรู้สึกสงสารหรือเห็นค่าของชีวิต
เป็นดั่งปีศาจที่กระหายความพินาศในสายตาของ มนุษย์เฉกเช่นพวกเค้านี่เอง

“ ก…แกมันบ้าไปแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างที่แกว่า ทุกคนก็ผิดหมดงั้นสิ พวกเราน่ะมีทั้งเรื่องที่รู้และก็ไม่เข้าใจ
อีกตั้งมากมายอยู่การที่จะต้องมารับเคราะห์ด้วยทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย แค่นี้ก็น่าจะสาสมพอแล้วนี่ แล้วทำไมถึงต้อง
ทำแบบนี้ด้วย ”
ธนัท ขึ้นเสียงโต้กลับไป เค้าโกรธเป็นที่สุด ในตอนนี้ การดวลการ์ด ที่เค้าชอบกลับถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการ
ฆ่าคน มันทำให้เค้า เสียใจอย่างสุดประมาณ และโกรธจัดจนหัวแทบจะระเบิด ออกมาเสียให้ได้
ต่อหน้า ของเด็กหนุ่มผู้ที่เห็นมนุษย์เป็นเพียงแค่ขยะที่ไร้ค่า นี่คือสิ่งน่ายินดีที่สุดยิ่งกว่าอะไร

“ สาสมงั้นเหรอ? ….กะอีแค่ โรคกระปอดกะแปดที่พวกมันเป็นกันอยู่แค่นี้น่ะก็ล้วนเกิดจากตัวพวกมันทั้งสิ้น
ยังเทียบไม่ได้กับความผิดที่พวกมันก่อเอาไว้หรอก เคยคิดบ้างไหมล่ะว่า คุณธรรม จริงๆมันเป็นยังไง
ความดีงามความถูกต้องที่พล่ามออกจากปากของ พวกคนใหญ่คนโต ที่ปลูกฝังความนึกคิดของสังคมที่พวกมันจะปกครอง
ให้เด็กๆอย่างคุณ น่ะมันคือสิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ…. ”

อดัม ยังคงร่ายต่อไป เนื้อความในประโยคยังคงเป็นการว่าร้ายมนุษย์ต่างๆนานา อคติใดที่ทำให้เค้า เกลียดชังได้ถึงขนาดนี้
คือสิ่งที่ ธนัท และ เคียว ต้องสงสัย

“ คุณธรรมจริงๆ…งั้นเหรอ ”
ธนัท เปรยโดยที่สายตายังคงแข็งกร้าวอยู่เหมือนเดิม

“ ใช่แล้ว การทำสิ่งที่ถูกต้อง การเชื่อฟังเคารพผู้ที่อาวุสโสกว่าตน ถ้ามันเป็นความถูกต้องจริงๆล่ะก็ ทำไมทุกวันนี้ถึงยังมีผู้คนที่คิดต่างกัน และไม่ยอมก้มหัวให้กัน ทั้งที่คนบางกลุ่มก็ยอมก้มหัวให้ ทั้งที่ต่างก็เป็นมนุษยเหมือน
กัน ทั้ง N.O.W และ DNA-Changer ต่างก็พากัน ถกเถียงถึงระดับชั้นของตน และพยายามข่มอีกฝ่ายให้อยู่ต่ำกว่า
การแข่งขัน เพื่อชิงความยิ่งใหญ่ ทำให้เกิดเป็นกิเลศขึ้นมา ทั้งที่มีคำสอน ว่ากิเลศ คือ บาปของมนุษย์ แล้วทำไมถึงยังมีคนทำให้กิเลศ มันเกิดอยู่อีกล่ะ ”

อดัม รับคำก่อนจะ ว่าโอวาทมาอีกชุดใหญ่ ประเด็นที่ดูเหมือนจะชักชวนให้พวกเค้า โอนอ่อนไปตาม กระแสที่สร้างขึ้นมา


“ ถ้าหากว่าความจริงแล้ว คำสอนเหล่านั้น คือคำลวงที่จะปิดกั้นหนทางสู่ความสุขของ พวกคนที่มันประสบความสำเร็จล่ะ
หากสิ่งที่เชื่อมาตลอดจนถึงวันนี้คือ ความจริงที่ว่า มันเป็นหนทางที่ยากลำบาก และน่าจะพบโอกาสสำเร็จได้ยากที่สุดแล้ว

ขึ้นมาล่ะ พอเป็นแบบนั้น ขึ้นมาสิ่งที่เป็นหนทางแก้ก็คือหาทางลงกับคนที่ต่ำชั้นกว่า อ่อนประสบการณ์กว่า
เพราะแบบนั้นไง ถึงได้เกิดเป็น โฮมุนครุส มนุษย์สังเคราะห์ที่จะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งของก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็กลายเป็นแค่ก้อนเนื้อที่มีชีวิต เพียงเพื่อแค่สนองกิเลศ ของมนุษย์ เท่านั้น ”

อดัม ร่ายมาจนจบในที่สุด ตอนนี้ ทั้งคู่ต่างก็เงียบโดยที่ไม่ปริปากโต้เถียงใดๆ

{แย้งไม่ได้เลยสินะ ก็แหงล่ะที่ ฉันพูดมามันเป็นจริงทั้งหมดนี่…..แต่ว่าถ้าสิ่งที่เกิดอยู่ตอนนี้มันเป็นจริงดวยก็ดีหรอกนะ}
อดัม คิดความรู้สึกเหิมเกริม ที่ได้อยู่เหนือมนุษย์ในตอนนนี้มันราวกับว่าตัวเค้ากำลังเป็นพระเจ้าที่
จะตัดสินชะตาของมนุษย์เลยทีเดียว มันคงจะเป็นเช่นนั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนว่าเค้ากำลังแอบแฝงบาง
อย่างเอาไว้อีกนอกเหนือจากการ ทำลายล้างนี้

“ นี่…แกเป็น โฮมุนครุส งั้นเหรอ ”
ธนัท ถามตอนนี้ดูเหมือนว่า สายตาที่จ้องอาฆาตมาเมื่อครู่มันหายไปหมดเสียแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเรื่อง
ที่เค้าพูดออกไป

“ ถูกต้อง! ผมนี่แหละเป็น โฮมุนครุส ล่ะและนั่นก็คือมุมมอง ที่โฮมุนครุสอย่างพวกเรา เห็นกัน ”
อดัม ตอบกลับอย่างไม่ลังเลทันที โดยที่ ธนัท นั้นเมื่อได้ฟังคำตอบ เค้ากลับเงียบไว้และไม่พูดโต้ตอบอะไรกลับไป
อีกเลย

“ เพราะงั้นผมถึงได้บอกยังไงล่ะว่า มนุษยน่ะมันไม่มีทาง ขึ้นมาจากความมืดได้อีกแล้ว ก็เพราะระบบสร้างกิเลศ ที่เรียกว่า สังคมมนุษย์ ยังไงล่ะ เพราะงั้น พระองค์ถึงได้เลือกหนทางนี้ เมื่อเนื้อร้ายมันลุกลาม ก็ต้องตัดมันทิ้งซะ
แล้วเหลือไว้แค่ส่วนที่ยังดีอยู่ เพราะงั้นแล้วจงเบิกตาให้กว้างพอเพื่อที่จะรับแสงสว่างจากพระองค์ ”
อดัม โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเดินเกม ต่อจากที่ค้างไว้ทันที

“ ด้วยผลของ ศีลข้อที่1 Primus Phialam จะให้เลือกผลได้ 1 อย่างระหว่าง ซีล ที่ติดตั้งการ์ดใบนี้จะต้องถูกลดค่า At ลง
ไปตามหน่วยค่าร่ายที่มากที่สุดของ ซีลในสนามฝ่ายตรงข้ามการ์ดใบนี้ หรือ ให้ยกเลิก Ability ของ ซีล ที่มีหน่วยค่าร่าย
มากกว่า ซีล ที่ติดการ์ดใบนี้อยู่ และที่ผมจะเลือกก็คือ ข้อที่ 1 ”

คำอธิบายความสามารถของ อดัม นั้นทำให้ ธนัท ต้องครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย กับการรับมือการบุกที่จะมาแน่นอน


{ ตอนนี้ บนมือเราไม่มีการ์ดไหนจะรับมือได้เลยถ้าเป็นแบบนี้ ซามูไร อัสนีบาต
ก็จะมีค่า AT เหลือ แค่ 4 เท่านั้น … แต่ว่า ในสนามของเจ้านั่นตอนนี้ก็เหลือแค่
แมลง เคฟเฟลท เพียงตัวเดียว นี่นะ คราวนี้มันคิดจะมาไม้ไหนอีกล่ะ หรือว่าแค่
คิดที่จะร่าย การ์ดนั่น ลงมาเฉยๆอีก }

ธนัท คิดหาทางรับมือ เล่ห์กลของ อีกฝ่ายที่จะมาในอีกไม่ช้า นขณะที่ อดัม นั้นยังม่แสดงทีท่าอะไรให้เห็นชัดเจน
นักว่าสำรับของ ตนเป็นรูปแบบใด

“ ผลของการที่ ไปนมัสการปีศาจร้าย ก็คือความพินาศ ที่ทำให้อ่อนแอลง…แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป พระองค์จะทรงปลดปล่อยเจ้า จากความทุกข์นั้นเอง จะทรงชี้นำทางที่ควรให้เอง Cost Mp 3 อัญเชิญ ท่านอัครเทวทูต ท่านเซอัลเทียล(Arcangel Seatiel) ”
สิ้นคำ การ์ดซีล บมมือก็ถูกร่ายออกมา แสงสาดส่องแหวกท้องนภา สีหม่นลงมาพร้อมกับ
การประทับทรงขององค์ผู้ที่เป็นดั่งคำอธิษฐาน และ
การนมัสการอันถูกควร นามของท่านมีความหมายว่า ‘คำภาวนาต่อพระเจ้า’ ตะเกียงกำยานถวายคำภาวนาต่อพระเจ้า
ชูอยู่ในมือของท่าน เพื่อที่จะคอยชี้นำให้นมัสการพระเจ้า อย่างถูกควรและเหมาะสม

รูปภาพ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic3 Mp:8/8 Shrine 0/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic1 Mp /2/8 Shrine 3/15 ]

“ ท่านอัครเทวดา เซอัลเทียล ท่านเป็นอัครเทวดาแห่งการนมัสการ และ อธิษฐาน
ชื่อของท่ามมีความหมายว่า ‘คำภาวนาต่อพระเจ้า’ ท่านจะคอยชูกำยานถวายคำภาวนาต่อพระเจ้า

จะคอยชี้นำให้นมัสการพระเจ้าอย่างเหมาะสม ท่านจะชำระผู้ภาวนาและอธิษฐานให้บริสุทธิ์
คู่ควรในเวลา ที่ถวายนมัสการ ท่าน เซอัลเทียล ผู้นี้จะชำระให้เจ้า นมัสการอย่างถูกต้องจะปลดปล่อยเจ้า
จากความทุกข์บัดนี้ ”

คำประกาศตัวอันยิ่งใหญ่ต่อ มหาทูตสวรรค์ อัครเทวดา เซอัลเทียล รัศมีที่เปล่งออกมานั้น กดดันให้ ธนัท
รับรู้ได้เลยทีเดียวถึงอำนาจที่มีเหลือล้นคณา

“ แรงกดขนาดนี้….เทียบกับอสูรเทพ ได้เลยนะเนี่ยไม่สิ แค่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง…แต่ก็รุนแรงชะมัดเลย ”
เคียว สบถ ขณะที่ ย้ายร่างของ เฟรย์ เข้ามาหลบ โดยเอาหลังของเค้าบัง แรงผลักที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับ
การอัญเชิญ เอาไว้

“ Cost Mp 2 กำหนดการโจมตีไปที่ ซามูไรอัสนีบาต ขอให้อัครเทวดาทรงชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงผิดด้วย ”
อดัม ประกาศจบ อัครเทวดา เซอัลเทียล จึงจุดกำยานในมือ และชูขึ้นเหนือศรีษะ แสงสว่างเจิดจ้า
ส่องประกายเสียจน ทำให้ ธนัท ต้องยกแขนขึ้นป้องตาทันที โดยแสงนี้คือการโจมตีนั่นเอง

“ Ability ของ ซามูไรอัสนีบาต ทำงาน เมื่อต่อสู้จะเพิ่มค่า AT ตามหน่วยค่าร่ายของ ซีล ที่สู้ด้วย ”
ธนัท ประกาศใช้ Ability ของ ซามูไรอัสนีบาต แต่แม้ค่าพลังเพิ่มจาก 4 มาอีก 3 หน่วยเป็น 7 แต่ยังแพ้
เซอัลเทียลที่มีค่า At 8 อยู่ดี

“ ความดุร้ายแห่งปีศาจที่กระตุ้นพลังของเจ้าให้แข็งข้อต่อความดีงามนั้นไม่อาจขัดขวางการชำระของ ท่าน เซอัลเทียล
ได้หรอก จงเปิดใจของเจ้า และเอ่ยคำภาวนานมัสการต่อพระองค์ และรับสงสว่างจากพระองค์เถิด ”
อดัม เปรียบเปรย ก่อนที่ แสงสว่างจะกลืน ร่างของ ซามูไรอัสนีบาตจนสลายหายไปพร้อมกับแสงที่วูบดับไปด้วย
เหลือเพียง การ์ดที่รอนกลับมาสู่มือของ ธนัท เท่านั้น

“ วิญญาณของ อสูร ที่หลงผิดนั้นได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว…หมดรอบแค่นี้ ”
อดัม ประกาศจบรอบของตน เป็นการปิดท้าย

“ รอบ..ของฉัน ”
ธนัท กล่าวเสียงสั่นๆ พร้อมกับจั่ว ซีล และ มิสติกอย่างละใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 3 ,Mystic4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic1 Mp 8/8 Shrine 3/15 ]

{ปล่อยไว้แบบนี้ ทุกคนได้ตายหมดแน่ ต้องรีบหาทางปิดเกม ให้เร็วที่สุด }“ Cost mp 3 อัญเชิญ ซามูไร อัสนีบาต
ลงมาที่ At Line ”
ธนัท คิดโดยที่ตอนนี้ตัวเค้ายังคงเก็บเอาเรื่องที่ได้ยินมาจาก อดัม เอาไว้และพยายามจะไม่นึกถึงมัน ตอนนี้สิ่งที่เค้าควรทำคือ
หยุดยั้งการดวลนี้

“ Cost mp 2 ร่าย Secundus Phialam ด้วยผลของการ์ดใบนี้จะให้เลือกได้ 1 อย่างจาก 3 อย่าง ”
ยังไม่ทันที่อสูร ในการ์ดจะปรากฏตัวออกมา อดัมก็ร่าย การ์ดขึ้นมาขัดเสียก่อนแล้ว
นิมิตในคราวนี้คือ ทูตสวรรค์ ที่มาพร้อมกับ ขันอีกเช่นเคย แต่ในครานี้ สิ่งที่อยู่ในขันกลับเป็นโลหิตเข้มข้ม
ที่บรรจุอยู่เต็มขัน

รูปภาพ

“ การ์ดแบบทางเลือกอีกแล้วงั้นเหรอ!? ”
เคียว อุทานขึ้นเบาๆ

{คราวนี้เป็นเลข 2 งั้นเหรอ}
ธนัท คิดพลางจดจ้อง ไปยังภาพนิมิต ที่คราวนี้ก็คงนำพาเอา หายนะมาสู่มวลมนุษย์เฉกเช่น
พวกเค้าอีกเป็นแน่

“ อย่างที่ 1 คือการ์ดตก Shrine 1 ใบสูญเสีย Skil และ Ability หรือสูญเสียแค่อย่างใด
อย่างหนึ่งเป็นเป็นเวลา อนันต์ Turnหรืออย่างที่ 2 ทำให้การ์ดที่กำลังร่าย 1 ใบสูญเสีย
เหมือนข้อแรกแต่มีผลแค่ 1 Turn เท่านั้น และอย่างสุดท้าย Seal ที่มี LV ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ทุกใบใน
Shrine ได้รับ Shade of เพิ่ม เผ่าพันธ์ Fish เป็นระยะ อนันต์ Turn เช่นกัน ”

อดัม ร่ายสรรพคุณซึ่งมากไปด้วยทางเลือกของ การ์ดใบนี้ อย่างเรียบๆ

{มีความสามารถ ทำให้สูญเสีย Ability หรือ Skill ในขณะที่กำลังร่าย หรือกำลังตกสู่ Shrine ก็ได้งั้นเหรอ
แสดงว่า เล็งที่ Ability ของซามูไร อัสนีบาต ที่จะได้รับค่าพลังเพิ่มตามค่าร่ายของ Seal ที่สู้ด้วย งั้นสินะ}
ธนัท พินิจสถานการณ์จากความสามารถที่ได้ยินมา ทันที

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 6/8 Shrine 3/15 ]

“ แน่นอนคงรู้สินะว่า ข้อที่ผมจะเลือกก็คือข้อที่ 1 อยู่แล้วน่ะ ให้ ซามูไรอัสนีบาต สูญเสีย Ability เป็น เวลา 1 Turn ”
อดัม กล่าวจบ โลหิตในขันของทูตสวรรค์ก็ถูกเทลงมา สายโลหิตที่ลงมานั้น ระเหยเหือดหายไปกลางอากาศ
ก่อนจะสลายภาพนิมิตนี้ไป


“ ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทขันของตนลงในทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดเหมือนเลือดของผู้ตาย บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ที่อยู่ในทะเลก็ตายสิ้น แน่นอนว่าตอนนี้ในทะเลน่ะกลายเป็นเลือดไปแล้ว จากตรงนี้คงมองไม่เห็นหรอก ”
อดัม ยังคงกล่าวบทวิวรณ์เปรียบเทียบตามออกมาเหมือนทุกครั้งเช่นเดิม

“ อึก.. ”
ธนัท ต้องทนกัดฟันฝืนอดกลั้นไม่ให้สมาธิหลงไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้เค้าจะไม่สามารถเห็นหรือรู้ได้ว่า
ในทะเลตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จากเหตุการณ์ก่อนนี้ ที่ผ่านมา ก็พอจะทำให้เค้านึกไปเองได้เลย ถึง
หายนะที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นที่ไหนซักแห่ง

“ ให้ ซามูไร อัสนีบาต รวมร่าง กับนินจา ลมหมุน ”{หลังรวมร่างแล้ว ซามูไรอัสนีบาต จะมีค่า At
เท่ากับ 9 ฝ่ายนั้นไม่มี มิสติกแล้ว ถ้าจัดการกับ Seal ในสนามทั้งหมดของหมอนั่นได้เราก็จะสามารถ
โจมตีขึ้นมือต่อเนื่องไปเลย}
แผนรับมือในตอนนี้ คือการบุกเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ ธนัท พึงจะทำได้ ทันทีที่คำประกาศรวมร่างดังขึ้น
นินจาลมหมุน ก็มายืนเคียงข้าง ซามูไร อัสนีบาต และพร้อมที่จะใช้ท่าผสานแล้ว

“ Cost Mp 3 ซามูไร อัสนีบาต โจมตีไปที่ อัครเทวดา เซอัลเทียล Thunder Katana(ดาบอัสนีบาต) ”
สิ้นคำ ธนัท ซามูไรอัสนีบาต ก็ตั้งดาบขึ้น ขณะที่ นินจาลมหมุน นั้นเตะเท้าวิ่งออกไปสร้างข่ายพายุอย่าง
ว่องไว และทันทีที่ ซามูไรอัสนีบาต ตวัดดาบ คาตานะในมือก็เกิดกระแสไฟฟ้า แลบแปลบปลาบ ขึ้นมา
ก่อนจะถูกพายุสูบเข้าไป พร้อมกันกับที่ นินจาลมหมุน กระดดออกมาจาก ห้วงพายุ กระแสไฟฟ้าถูกพายุดูดส่งขึ้นไป
บนเมฆ ก่อนจะกลายเป็น สายฟ้าฟาดลงมายัง อัครเทวดาจนแหลกสลายในครั้งเดียว

“ คุณไม่ประสงค์ที่จะนมัสการพระองค์เช่นนั้น หรือ เพราะคุณตกอยู่ใต้อำนาจของปีศาจร้าย ท่านเซอัลเทียล
จะช่วยชำระคุณให้บริสุทธิ เองแล้วจงถวายนมัสการแด่พระองค์เถิด….Ability ของ อัครเทวดา เซอัลเทียล ทำงาน! ”
อดัม กล่าวขณะที่ รับเอาการ์ด ซึ่งคืนกลับจาก เซอัลเทียล มาเก็บลง Shrine

{ Ability งั้นเหรอ? }
ธนัท คิดโดยคาดไม่ถึงว่า การ์ดนั้นจะมี ความสามารถอยู่อีก

“ เมื่อ อัครเทวดา เซอัลเทียล ถูกส่งไปยัง Shrine เลือก Seal ที่ไม่ใช่ Evil 1 ใบในสนาม Seal นั้นได้รับ Shade of เพิ่มเผ่าพันธ์ Mage และ ธาตุแห่งแสง เข้าไป และ Ability นี้จะยังคงส่งผลแม้ Seal นั้นจะกลายเป็น Seal ใบรองรวมร่าง
Seal ที่ได้รับเลือกก็คือ ซามูไรอัสนีบาต ”

สิ้นคำ ร่างของ ซามูไรอัศนีบาต ก็ถูกอาบไว้ด้วยแสง จนเกิดเป็นรัศมีเปล่งประกายออกมาตลอดเวลา

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:2/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 6/8 Shrine 5/15 ]

“ Ability เพิ่ม Element ของการ์ดงั้นเหรอ? ”
เคียว เปรยขึ้นบ้าง ขณะที่จับตาดูอยู่ ห่างๆนี้
[Element ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ธาตุของการ์ดแต่หมายถึง ส่วนประกอบของการ์ด เช่น ธาตุ เผ่าพันธ์ความสามารถต่างๆ]

“ Cost mp 1 ให้นินจาลมหมุน อีกตัว โจมตีไปที่ แมลง เคฟเฟลท ”
ธนัท ไม่รอที่จะมาครุ่นคิดหรือตกหลุมพรางของ อดัม อีก เค้ารีบสั่งการโจมตีต่อเนื่องทันที
ทว่า นินจาลมหมุน ที่ไม่ได้รวมร่างด้วยกันกับ ซามูไรอัสนีบาต นั้น
กลับทรุดล้มจนไม่สามารถเข้าไปโจมตีได้

“ เอ๊ะ ทำไม ถึงไม่โจมตีล่ะ?...เป็นอะไรไปน่ะ ”
ธนัท อุทานอย่างฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาการสั่นไปทั่วทั้งตัวของ นินจาลมหมุนนั้นราวกับกำลังถูกพิษ
อะไรซักอย่างเล่นงานจนชาไปทั้งร่าง

“ ด้วย Ability ของ แมลงเคฟเฟลท ที่คุณทำลายไปในรอบที่แล้วไง เมื่อมันถูกทำลาย
สามารถเลือก Seal 1 ใบของฝ่ายตรงข้ามจากนั้นในต้น Sub-Turn ถัดไป Seal นั้นจะเป็น
Inactive Seal จนจบ Sub-Turn ”
คำตอบของ อดัม คือคำตอบที่ชิ้นส่วนของเหล็กไน ของ แมลงเคฟเฟลท นั้นกระเด็นเข้าใส่ ซีล
ที่ทำลายมันไปคือผลลัพธ์ในตอนนี้นั่นเอง

“ Cost Mp 2 อัญเชิญ ชิโรอิ ฮาโทเนะ(Shiroi Hatone) สู่ At Line หมดรอบแค่นี้… ”
ธนัท ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ในเมื่อไม่อาจบุกต่อในรอบนี้ได้เค้าจึงตัดสินใจ ขยายกำลังในสนามเพิ่มแทน
การ์ดที่ร่ายออกมา ทันทีที่ ผนึกถูกปลดออก นินจาสาววัยรุ่น ใบหน้าอ่อนวัยปรากฏกายออกมา
พร้อมกับ ตวัดมีดสั้น Kunai ในมือทั้งสองฉวัดเฉวียนจนเกิดเป็นคลื่นสุญญากาศ แหวกออกไป เป็นเสียงแหลมหวีด

รูปภาพ

“ รอบของผมล่ะนะ ”
อดัม ประกาศพรัอมกับ จั่ว มิสติกขึ้นมา 2 ใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 2 Mp 6/8 Shrine 5/15 ]

“ จังหวะนี้ล่ะ! Coat Mp 3 ให้ Skill ของชิโรอิ ฮาโทเนะ ทำงานนำเอา การ์ดชิโรอิ ฮาโทเนะ
ที่เหมือนกันออกมาจากกองการ์ดหรือในมือ กี่ใบก็ได้จากนั้นนำเข้ามาในสนาม ตอนนี้บนมือของ ฉันมี อยู่ใบ 1 ”
สิ้นคำ ธนัท ก็ร่ายซีล การ์ดบนมือลงมา พร้อมกับเริ่มประกาศ คำสั่งต่อไปทันที

“จากนั้น เรียกอีกสองใบที่เหลืออกมาจาก กองการ์ด ”
ธนัท กล่าวพร้อมกับเอื้มมือไปหยิบ กองสำรับออกมาจากช่องเสียบของปลอกแขน เพื่อเอาการ์ดอีก 2 ใบนั้นมา

“ เยี่ยมไปเลย นี่แหละ เคล็ดของวิชานินจา ‘ คาถาแยกเงา ’ ”
เคียว เองก็พลอยใจชื้นขึ้นมาด้วย เพราะหากการ อัญเชิญนี้สำเร็จ ธนัทจะได้ ซีลมาไว้ใช้คุมเกม
ได้เยอะเลยทีเดียว ทว่าขณะเดียวกัน อดัมก็ ได้ร่าย มิสติกบนมืออกมาด้วยพร้อมกันนั้นเอง

/Warning, This is not Draw Step,No bring of card from deck/(คำเตือน,นี่ไม่ใช่ขั้นการจั่วการ์ด,ห้ามนำการ์ดออกจากสำรับ)
“ ท..ทำไมถึงไม่ออกมาล่ะ ”
ธนัท เอ่ยขึ้นอย่างตระหนก เมื่อ คาสเทเน็ต(Castanet)ปลอกแขนNote ของเคียว ที่เค้าสวมอยู่นั้นไม่ยอมให้
เค้าเอาสำรับออกมาเพื่อนำ ชิโรอิ เข้ามาในสนาม

“ ต้องขอบคุณ คุณจริงๆ เพราะผมเองก็กำลังหาทางที่จะทำให้การ์ดนี้ถูกร่ายออกมาอย่างมีค่าซักหน่อย
แล้วคุณก็ทำมันแทนผมซะนี่ คงต้องตอบแทนน้ำใจของคุณหน่อยแล้วล่ะ ”
อดัม กล่าวติดตลก พลางชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนให้ พวกเค้ามองตามขึ้นไป เหนือขึ้นไปนั้น นิมติของ ทูตสวรรค์
องค์ใหม่ได้ปรากฏขึ้นในครานี้ ทูตสวรรค์มาพร้อมกับ แตรมากมายที่ยื่นออกมาจากส่วนหลัง


“ น…นี่…หรือว่า ”
เคียว อุทาน

“ Cost mp 2 ร่าย Secundus Tuba ”
อดัม ประกาศให้เป็นที่กระจ่างแจ้งแก่พวกเขา นิมิตของทูตสวรรค์ ที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ คือแตรคันที่ 2
เมื่อแตร ถูกเป่า ท้องฟ้าก็เกิดเปล่ยนเป็น สีแสดพร้อมกัน ก่อนที่อุกบาตซึ่งลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง จะพุ่งผ่าน
น่านฟ้านี้ไปตกยังที่ซึ่งไกลออกไป เกินกว่าที่พวกเค้าจะได้เห็น

รูปภาพ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 1 Mp 4/8 Shrine 5/15 ]

“ ฑูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ไฟลูกใหญ่เท่าภูเขาตกลงไปในทะเล หนึ่งในสามของทะเลกลายเป็นเลือดหนึ่งในสามของสัตว์ทะเลตาย และหนึ่งในสามของบรรดาเรือก็ถูกทำลาย
ด้วยผลของ แตรคันที่ 2 ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม จะไม่สามารถนำเอาการ์ดออกจากกองการ์ดได้
หากไม่ใช่การจั่วการ์ด ”

อดัม เฉลยถึงเหตุผลที่ เค้าไม่สามารถนำการ์ดออกมาได้ และเป็นอีกครั้งที่ ธนัท ต้องรู้สึกเจ็บปวดกับการ
ที่จะต้องมีใครมาสังเวยชีวตให้กับการดวลนี้อีก มันแทบจะทำเอาเค้าหมดกำลังใจที่จะดวลต่อละอยากจะ
ยอมแพ้เสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้มันจบลง แต่หากทำแบบนั้น สามอสูรเทพ ก็จะทำคนอีกหลายคนต้องตายแทน
ไม่ว่าจะเลือกหนทางใดก็ล้วนมีแต่ความสูญเสียอยู่ตรงหน้า

“ แย่ล่ะสิเพราะผลของการใช้ Skill ทำให้ ชิโอริ ฮาโทเนะ กลายเป็น Inactive Seal ดังนั้น
Ability Vanish จึงทำงานต้องถูกส่งออกไปนอกเกมเป็นเวลา 2 Turn แบบนี้ก็เท่ากับว่าการดิ้นรนเมื่อกี้เสียเปล่าไปเลย
เพราะได้มาแค่ ชิโอริ ที่อยู่บนมือแค่ใบเดียวเอง”

เคียว เปรย ขณะที่ ชิโรอิ ที่ใช้สกิลสำเร็จแล้ว นั้นกำลังหายตัวไป ในรอบนี้ เท่ากับว่า ธนัท
เรียก ชิโรอิ ลงมาเพิ่มได้ แค่ใบเดียว หรือก็คือเสีย Mp ไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง

{มิสติก การ์ดส่วนใหญ่ในสำรับของ เคียว เป็นแบบเน้นการเพิ่มลดพลังเพื่อการต่อสู้ แต่ถ้า ศัตรูเลี่ยงที่จะบุกแบบนี้
เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเท่านั้น แล้วยิ่งรูปแบบของ สำรับนี้ก็ดันเป็นการ ขยายกองกำลังในสนามเพื่อระดมโจมตีต่อเนื่องเน้นความฉับไว เป็นที่สุด แต่ว่า}
ธนัท สรุปการประเมินสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้


{สำรับ ของเราที่ เน้นรูปเกม ไวจะได้หมดดีก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้ เป็นประเภทที่ต้องใช้เวลาและควบคุมสถานการณ์
เพื่อสร้างคอมโบ หรือไม่ก็สำรับ บุกไวด้วยกันเพื่อชิงความได้เปรียบในเรื่องของความไว}
เคียว เอง ก็คิดเช่นเดียวกันกับ ธนัท

{แต่ว่า เจ้านี่มันไม่สนเรื่องการคุมเกม หรือการบุกอะไรอยู่แล้ว ขอแค่ร่ายลงมาได้ สนามของเราก็ป่วนไปหมด
รวมไปถึง หายนะที่จะเกิดตามมาด้วยอีก}
ความคิดของทั้งสองนั้น ตรงกันคือไม่เห็นหนทางที่จะตอบโต้กลับไปได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยทั้งอานุภาพของ
การ์ดแต่ล่ะใบ ที่ อดัม ใช้มา อีกทั้งยังเป็น การ์ดที่ไม่รู้จักหรือเคยเห็นมาก่อนจึงไม่สามารถเดารูปแบบ
หรือคาดการณ์อะไรได้เลย

“ แตรคันที่ 2 และศีลข้อที่ 2 เป็นการชำระทะเล มนุษย์ปกครองทะเล อันเป็นต้นกำเนิดของชีวิต และทำให้มัน
สกปรกโสโครก พระองค์ประทานทะเลมาให้มนุษย์ มิใช่เพื่อ ให้ใช้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ …มนุษย์ไม่มีความเมตตาปราณีถึง
ไม่สนใจชีวิต อีกมากมาย ในทะเล ที่ต้องสังเวยไป เมื่อ มนุษย์ไม่เห็นค่าก็ควรยึดเอากลับไม่ให้ ทำลายไปมากกว่านี้
ท่านจึงยึดทุกชีวิต กลับไป เพื่อไม่ให้ ทรมานด้วยน้ำมือของ มนุษย์อีก ”

อดัม ยังคงหาโอกาส คอยพูดกล่อมพวกเค้าให้ เห็นดีเห็นงามด้วยกับตนอยู่ อย่างไม่ลดละ

“ ไม่ว่าจะยังไง ในสายตาของแก มนุษย์อย่างพวกเราก็คือปีศาจร้ายสินะ… ”
เคียว ประชดแทน ธนัท ทันที เพราะเริ่มจะเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แล้ว

“ หึ…ผิดแล้ว มนุษย์ไม่ใช่ปีศาจแต่จะเป็นปีศาจก็ต่อเมื่อหมดสิ้นซึ่งศรัธทาในพระองค์ และผู้ที่จะตัดสินได้ว่าใคร
เป็นปีศาจ หรือไม่ใช่ปีศาจก็คือท่านผู้นี้ ”
ทว่า อดัม กลับแย้งมาแทนที่จะตอบตามน้ำเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะหยิบ ซีลการ์ดร่ายออกไปโดยไม่รอฟังคำ
ของพวกเค้า

“ Cost Mp 3 อัญเชิญ ท่านอัครเทวดา จูเดียล(Arcangel Judiel) สู่ At Line ”
อัครเทวทูตองค์ที่ 2 ปรากฏนิมิตขึ้นพร้อมกับสองมือที่เชิญ ‘ พระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ และเปี่ยมด้วยความรักสุดประมาณ ’
เพื่อจะนำความศรัธทาและการกลับใจมาสู่มนุษย์ โดยใส่ดวงของพระเจ้าลงในดวงใจของ มนุษย์ เพื่อให้ได้รับรู้ถึงความรักของพระเจ้า ท่าทางอันสงบเปี่ยมไปด้วยเมตตา คือสิ่งที่ประจักษ์เห็นเมื่อท่านปรากฏมา
รูปภาพ
…………………..
…………………………………

“ บ้าจริง…นี่ขนาดรวมพลังกันแบบนี้ยัง สู้มันสามตัวแทบไม่ได้เลย ”
โคทาโร่ สบถ ขณะที่ วิ่งย่ำพื้นถนน ที่ชุ่มไปด้วยน้ำซึ่งเจิงนอง มาจากแม่น้ำ เข้าไปหลบในซอกมุมของตึก
แห่งหนึ่ง ไม่ไกลจาก บริเวณ ที่เหล่า เทพอสูร กำลังปะทะกันนัก

“ แฮ่ก…แฮ่ก ตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ”
โคทาดร่ เปรยพลางหอบอย่างเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวของเค้าเปียกโชกไปด้วย น้ำฝนและ เหงื่อ ที่ไหลปน
กันมา อุณหภูมิของอากาศที่ลดต่ำลงยิ่งทำให้ เค้ารู้สึกหนาวจับใจขึ้นไปอีก ตอนนี้ตัวเค้านั้น อยู่เพียงลำพัง

เพราะ การโจมตี ของ อสูรเทพ ทำให้ กลุ่มของพวกเค้า แตกกระจัดกระจายกันไปตามส่วนต่างของ เมือง โดยที่
ยังคงมีเหลือเพียง แกรนเดครอส และ อัลคารากอน เท่านั้นที่ยังประมือ อยู่กับ สามอสูรเทพ

“ ยัย ชุติ กับประธานผีดิบ คงจะต้านได้อีกไม่นานแหงแซะ นี่ถ้ามี เทพอสูรอีกซักตัวล่ะก็ ”
โคทาโร่ รำพึงกับตัวเอง เพื่อเรียกสติไม่ให้ หลับไปเพราะอุณภูมิร่างกายที่ลดลง ก่อนจะค่อยๆยันร่าง
พิงกำแพง และหย่อนตัวลงนั่งแช่ลงไปในน้ำด้วยความอ่อนล้า น้ำที่เจิงอยู่บนพื้น ถนนั้นเดิมสูงถึงแข้ง
อยู่ พอนั่งลงไปมันก็แทบจะแช่ลงไปทั้งตัวอยู่แล้ว แต่เค้าก็อ่อนแรงเกินกว่า จะยืนไหว
ดวงตานั้น สลึมสลือ จะปิดมิปิดแหล่ หากเป็นแบบนี้เค้าคงต้องแข็งตายเป็นแน่

/Master Non-Slept/(มาสเตอร์ ห้ามหลับนะขอรับ)
มาราคัส Note ของเค้า ที่ตอนนี้เปลี่ยนกลับไปอยู่ใน โหมด สร้อยคอแล้ว ร้องเตือน
สติเพื่อไม่ให้เค้า หลับ แต่ตอนนี้ ตัวโคทาโร นั้น เหนื่อยอ่อนเกินกว่า จะแข็งใจตื่นแล้ว

งื้ด~~~ๆ

เสียงครางที่ดังแว่วมาเข้าหูของเค้า ทำให้สร่างจากอาการง่วง ขึ้นมาฉับพลัน และรีบมองหาต้นตอของ เสียงนั้น

/Master,up on!/(มาสเตอร์ ข้างบนขอรับ)
มาราคัส เรียกให้เค้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ซึ่ง เหนือหัวของเค้านั้น มีระเบียงที่ยื่นออกมาจาก ชั้นสอง
ของอาคารด้านหลังเค้าซึ่งเอียงกะเท่เล่ จากแรงพายุที่พัด
โหมเข้ามาในตรอก ที่สำคัญกว่านั้น คือที่ปลายระเบียงที่ เอียงอยู่นั้น มีลูกหมาตัวหนึ่ง แข็งใจเกาะ
ระเบียงเอาไว้และมันกำลังจะตกลงมา เพราะน้ำที่ไหล ลงมาตามรางของ ระเบียงนั้นจะพัดให้มันลื่นตกลงมาในอีกไม่นาน

“ ตรงนั้นเองสินะ… ”{ถ้าปล่อยให้ตกลงมา แล้วค่อยไปรับคงจะไม่ได้….ดูจากอาการแล้วน่าจะเกาะมาเกิน 30 นาที
ได้แล้ว ถ้าเกิดตกลงมา อาจจะช๊อค เพราะอุณหภูมิในร่างกาย ที่ลดลงเฉียบพลัน}
โคทาโร่ เปรยพร้อมกับลุกขึ้นยืนและคิดหาทางช่วย ลูกหมาตัวนี้ ทำเอาเค้าลืมความง่วงเมื่อครู่เสียสนิท

{ถ้าใช้ อสูร ก็จัดการได้ง่ายๆเลย แต่ว่ามาราคัส ไม่เหลือกำลังขับพอ แล้วตัวเราเองก็ ใช้จิตประสาทรับภาระมาเกินกว่าขีดจำกัดแล้วด้วย เรื่องใช้อสูร คงจะเป็นไปไม่ได้…ถ้างั้นจากตรงนี้ สูงขึ้นไปประมาณ 2 เมตรครึ่งเห็นจะได้
ตัวเรากระโดดสูงสุดก็ ได้แค่เกือบๆเมตร ถ้างั้น}

โคทาโร่ คิด เค้ามีเวลาไม่มากนักเพราะ ลูกหมาน่าจะทนได้อีกไม่นานแล้ว สุดท้ายการตัดสินใจของเค้าก็คือ
{ถ้างั้นก็ต้องเสี่ยงกันหน่อยล่ะ}
โคทาโร่ คิดพร้อมกันนั้นก็แปรสภาพแขนของตนให้เป็นกรงเล็บหมาป่า รวมไปถึงขาทั้งสองข้างด้วย
ก่อนจะย่อตัวลงจนสุดและกระโดดเข้าหากำแพงตึกฟากตรงข้าม

{ถ้าใช้แรงสะท้อนจากการถีบตัวกับ ผนังตึกอีกฟากล่ะก็}
โคทาโร่ คิดขณะที่พุ่งเข้าไปก่อนจะเงื้อกรงเล็บ ทั้งแขนซ้ายและขวา ฝังลงไปในผนังตึกเพื่อยึดเกาะร่างเอาไว้
ทว่าเพราะผนังตึกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้กรงเล็บของเค้า ลื่นจนฝังลงไปไม่ลึกพอ

“ ชิ!…”{เพราะน้ำเลยทำให้มือลื่น..}
โคทาโร่ คิดพลางออกแรง กดกรงเล็บลงไปในผนังตึก ขณะเดียวกับ ก็ใช้เล็บเท้า ช่วยเกาะฉลอการตกเอาไว้
เล็บของเค้าครูดกับ ผนังเลื่อนลงมาเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่เค้าต้องการ

“ ดีล่ะทีนี้ก็…ฮึบ!! ”
โคทาโร่ เปรยก่อนจะออกแรงถีบตัวถอนกรงเล็บออกจาก ผนังตึกพร้อมทั้งคือสภาพแขนซ้ายให้เป็นมือมนุษย์
เอี้ยวตัวกลับหลัง และยื่นแขนซ้ายที่คืนสภาพแล้ว คว้าตัว ลูกหมาเอาไว้ ได้สำเร็จ มันครางหงิงๆ ด้วย
ความดีใจ ที่ได้เค้าช่วยเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้แขนขวา ที่ยังเป็นกรงเล็บอยู่ร่วมกับกรงเล็บเท้า เกาะผนังตึกเอาไว้ด้วย

“ เอาล่ะ ทีนี้เราก็ลงไปกันเถอะ ”
โคทาโร่ พูดกับมัน ขณะที่ มันเลียหน้าของเค้าเพื่อที่จะตอบแทนที่ช่วยมันเอาไว้ จนค้ารู้สึกจั๊กจี้

“ ม..ไม่เอาน่าฮะๆ มันจั๊กจี้น่า ”
โคทาโร่ บอกให้มันหยุดก่อนจะเริ่มสอดส่ายสายตาหาทางลง
ก๊าซซซซซซซซ!!

เสียงคำราม ของเทพอสูร เลวีอาทาน ดังกึกก้องขึ้นมาก่อนที่ตวัดหางของมันฟาดใส่ อัลคารากอน
แต่ก็พลาดไป ทว่าปลายหางอันมหึมาของมันที่กวาดลงมา นั้นกลับกำลัง พุ่งตรงมายังอาคารที่เค้าเกาะอยู่นี้
ปลายหางของมันฟาดทั้งตึกสั่นไหวและกำลังจะพังครืนลงมา ในพริบตา


“ ส…เสร็จกัน!! ”
โคทาโร่ สบถขณะถีบตัวเพื่อที่จะกระโดดลงจากตึกที่กำลังพังทลายลง พร้อมทั้งใช้สองมือกอดลูกมาเอาไว้ในอ้อมแขน
เพื่อปกป้องมัน จากเศษซากของ อาคารที่ กำลังถล่มลงมา ทั้งสองกระเด็นตกลงไปในตรอก และถูกฝัง
ไว้ด้วย ซากคอนกรีตของอาคารที่พังลงมา

……………………

โฮ่ง!ๆๆ
ลูกหมาที่โคทาโร่ ช่วยมา มันกำลังเห่าเพื่อเรียก โคทาโร่ ที่ตอนนี้ถูกฝังอยู่ใต้ซากคอนกรีต

“ บ้า…จริง… ”
โคทาโร่ สบถ ตอนนี้ที่ด้านล่างของ ซากคอนกรีตนี้ ร่างของเค้าจมอยู่ในน้ำ โดยที่ขาทั้งสองข้างถูกซากคอนกรีตทับเอาไว้
เหลือเพียงครึ่งตัวของเค้าที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือกองซากคอนกรีตเหล่านี้

“ กลายเป็นว่า…ฉันต้องเป็นฝ่ายขอให้ช่วยแทนเหรอเนี่ย…เอาเถอะ นี่แกฉันฝากหมอนี่ด้วยนะ ”
โคทาโร่ เปรยขณะที่พยายามจะเอา มาราคัส แขวนห้อยคอของ ลูกหมา เพราะไม่อยากให้มันถูกฝังไปพร้อมกับตัวเค้า
หลังจากที่ได้ลองยกซากคอนกรีตออก แต่มันก็หนักเกินกว่าเค้าที่อยู่ด้านล่างจะยกมันขึ้นอีกทั้ง ตอนที่
อาคารถล่ม ทั้งร่างของเค้าก็ระบบไปหมดเพราะใช้ป้องกัน ลูกหมา เอาไว้จากเศษซากที่ตกลงมากระแทก
นับสิบครั้ง

{ไม่ไหว…นี่เราคงไม่รอดแล้วสินะ..}
ความนึกคิดสุดท้าย ที่ลอยขึ้นมานั้นคือปลายทางของเค้า ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะปิดลง
ด้วยความเหนื่อยอ่อน

/Master….Master!!!.....Maste!!!/
มาราคัส ที่อยู่บนคอของ ลูกหมาส่งเสียงเรียกเจ้านายของมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ

……………….

{“ โคจัง น่ะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเสมอนะ แต่ต้องรู้จักที่จะใช้มันให้ถูกต้องด้วยนะ… ”

“ Berial Jack of Destiny (เบริอาล ดิ แจ๊ค ออฟ เดสทินี่) ขุนนางแห่งชะตากรรม นายคือคนที่กุมกุญจุดท้ายแห่งผลึก
ของ เลราเจ ถ้าได้นายมาไว้ในกำมือ ก็เท่ากับได้ครอบครองโลก ”

“ ดูเหมือนว่า ตอนนี้ตัวนายเองจะยังไม่เข้าใจถึงพลังที่มีอยู่ในตัวสินะ….แต่บางทีถ้าใช้พลังของมังกรขาวล่ะก็… ”

“ เลราเจ ที่เราได้มานี่ไม่ใช่อสูรเทพที่มีพลังสมบรูณ์ อย่างแท้จริงเทียบเท่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
เพราะคนที่เรียก เลราเจ ที่สมบรูณ์ออกมาได้ก็มีแต่ ขุนนางแห่งชะตากรรม อย่างนายเท่านั้น… ”

}

เสียงต่างๆดังขึ้นซ้อนกันนับครั้งไม่ถ้วน ท่ามกลางความมืดมิด ที่ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้

“ เร….ราเจ… ”
เสียงครวญของ โคทาโร่ ดังเล็ดลอดออกมาจากปากโดยที่ไม่รู้ตัว ขณะที่ ลูกหมา กำลังพยายาม
ใช้ปากงับแขนเพื่อปลุกให้เค้า ตื่น มาราคัส ที่ห้อยอยู่บนคอของมัน เองก็เริ่มีปฏิกิริยา กับเสียงครวญเมื่อครู่

/TAG-On /
สิ้นเสียง เมฆหมอกเหนือท้องนภา ก็เริ่มหมุนวนรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว
อย่างช้าๆ
……………….
…………………………………

“ แข็งแกร่งสมกับที่เป็นอสูรเทพ เมื่อบรรพกาล แค่อัลคารากอนของเรา กับ แกรนเดครอส เอาไม่อยู่แน่ ”
มาริน่า ซึ่งเกาะอยู่บน หัวของ จ้าวมังกรดำ อัลคารากอน สบถ หลังจากที่ประมือกันมาเป็นเวลานาน
เธอยังคงไม่เห็นทางชนะใดๆเลย อีกั้ง กลุ่มของพวกเธอก็ถูกตีจนแตกพ่ายไปแล้ว ทำให้ อาณาเขตของการสู้รบ
ยิ่งขยายกว้างขึ้นออกไปอีก

ครืนนนนนนน…………เปรี้ยง!!!
เปรี้ยงงงง!!!!!
เปรี้ยงงงง!!!!!

ฟ้าผ่าขึ้นพร้อมกันถึง 3 ครั้ง และ แยกผืนปฐพีออกเป็นแนวสูบกลืนเอาน้ำ ที่ท่วมขังอยู่ในเมือง
ลงไปใต้พิภพก่อนที่เงาดำทะมึนจะคลืบคลานออกมาจากรอยแยกนั้น และสมานตัวเข้าด้วยกัน ทันทีที่
เงาของเจ้าแห่งอสูรปรากฏตัวขึ้นกลางสนามรบของ เหล่าเทพ ร่างนั้นสูงใหญ่มหึมา เทียมฟ้า
ดาบโลกัณฑ์สองเล่ม ความยาว พันลี้ ถูกควงตวัดไปมาอย่างชำนาญ โบกพัดคลื่นไฟนรก เข้าแผดเผา

สามอสูรเทพแห่งบรรพกาล จนต้องถอยลี้ อสูรเทพผู้เจนสงคราม
ผู้นำมาซึ่งหายนะและความโศกเศร้าของสงคราม สองดาบคือความเกลียดชังที่มอบให้แก่สองฝ่าย
แต่วันนี้เค้ามาเพื่อพิชิตสงคราม Marquis ลำดับที่ 14 อสูรเทพ……..เลราเจ(Leraje, The Torment of War)

รูปภาพ

“ เลราเจ…มาช่วยพวกเรางั้นเหรอ? ”
มาริน่า ได้แต่เปรยด้วย ความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิด เมื่อ เทพอสูร ที่เคยเป็นอริกันในศึกเมื่อ 2 ปีก่อน
บัดนี้คือสหายร่วมรบ ที่พึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้
…………..



…………………………………..
…………………………………………..
To be Continue
Next Sub-Turn
ในห้วงแห่งความสิ้นหวังที่ครอบคลุมไปทั้งหมดนี้ ได้ให้กำเนิดขุนนางแห่งชะตากรรมขึ้น ขณะเดียวกัน
ราชินีแห่งฆาตมรณา ก็ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล และบัดนี้ก็จะรอเพียง แค่ให้ ราชันย์แห่งความตาย ได้คืนกลับสู่อำนาจ
มหาสงครามล้างสามภพ ที่กำลังจะถึงบทสรุปในไม่ช้านี้ ปลายทางนั้นคือสิ่งใด
Next Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revealation (บทวิวรณ์)

ช่วงสครีมจ้า

เฮ้อ บทนี้โคตรเหนื่อยเลยขอร้าบ กว่าจะกลั่นออกมาได้ แต่เอาเถอะก็พิมพ์มันส์มือดีเหมือนกัน
เพราะฉาก การ์ดอลังการๆเยอะและหลายใบมากไหน จะเหล่าอัครเทวดา แตรคันต่างๆ และ ขันอีกสองใบ
บอกเลยว่า ใช้เวลา 24 ชั่วโมง นั่งสร้างความรู้สึกในการบรรยาย ออกมาให้สมกับความอลังของการ์ดแต่ล่ะใบ

อย่างสุดฝีมือเลยล่ะครับ ยิ่งตอนสุดท้ายที่ เลราเจ โผล่นี่ ขอบอกเลยว่าผมเองยังพลยตื่นเต้นไปด้วยเลย
ที่ มาควิส ผู้ยิ่งใหญ่ กำลังจะลงสู่สมรภูมิเทพ หึๆ ที่นี้ล่ะสู้กันมันส์แหงมๆครับ (แต่เหนื่อยคนเขียน- -)

บทนี้เริ่มที่จะเปิดปมใหม่ๆขึ้นมากันบ้างแล้ว ถึงเหตุผลใน ภาคแรกที่ พี่ปอร์ของเรา ต้องตะล่อมๆ กินน้องโคทาโร่
เอ็ย..ชวนให้ โคทาโร่ มาร่วมมือ เพราะเค้าคือ ผู้ที่เป็น Jack of Destiny 1ใน Heroicผู้มี เทพอสูร เลราเจ เป็นเทพประจำตัว
(พูดให้ถูกก็ขี้ข้าเค้า อีกแหละว้าครับ คุณ Leraje แต่บทเท่ห์ใช่หยอกนะเออ)

ส่วนกำหนดการของ CVSEที่ 2 นั้นตอนนี้ยังไม่กำหนดแน่นอนนะครับ ก็คงต้องรอกันต่อไป เนื่องจากกำลัง
ทำ Op ที่ 2 อยู่ บวกกับ Op 3 และ ED 2ของ VR นี้ด้วยยังไงก็รอติดตามชมกันนะครับ

อ้อเกือบลืม ยินดีต้อนรับกลับนะ เจมส์คุง แหมพี่ก็ว่าหายไปไหน ที่แท้ลืม พาสนี่เองสินะ วันหลังกะจดพาสดีๆเน้อ
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 28, 2010 6:32 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice

โพสต์โดย Leraje เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 10:47 am

ภาคแรกว่าเซ็งแล้ว โดนอมานคริสมูฟแกรนงับหัวขาด
มาภาคนี้ยังต้องมาเป็นขี้ข้าลูกหมาดัดแปลงอีกหรอเนี่ย!!!!! ::008::

อนาถนักตรู ไม่รู้ว่าโผล่มาภาคนี้จะจบยังไงอีก
เดี๋ยวสงสัยคงต้องเขียนนิยายเองให้ Leraje มันเก่งๆซะแล้ว ::023::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Leraje
0
 
โพสต์: 915
Cash on hand: 1,150.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 3:36 pm

::034:: โคทาคุง น่ารักซะจิง เหนื่อยขนาดนั้นยังจะช่วยน้องหมาอีก(พวกเดียวกันนี่หุๆ) อ๊าก อ่านแล้วอยากเป็นลูกหมาตัวนั้น
จะได้ไซร้อยู่ในอ้อมอกของ โคทาคุง ::002::

เลราเจซัง ถึงจะเป็นลูกน้องเค้าอีกตามเคย แต่ก็ถือว่าได้มาอยู่ฝ่ายพระเอกแล้วนา อย่างน้อยๆก็คงไม่จบแบบ
โดน งับหัวอีกหรอก(มั้ง) คิๆ แต่บทตอนปรากฏตัวนี่ อลังใช้ได้เลยแหะ สมเป็นตัวที่บ้า pow สุดๆจริง(มันปั้ม Atง่ายกว่าชาวบ้าน)

เหนือสิ่งอื่นใด ไมตอนนี้ บทของธนัท มันดูเอื่อยๆเรื่อยๆไงชอบกลแหะ รู้สึกไม่ลุ้นเลยอ่ะ อยากไปลุ้นคู่ลูเซีย ต่อตอนนี้ก็ดันไม่โผล่ซะนี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice

โพสต์โดย Konflyctus MX เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 8:00 pm

Leraje เขียน:ภาคแรกว่าเซ็งแล้ว โดนอมานคริสมูฟแกรนงับหัวขาด
มาภาคนี้ยังต้องมาเป็นขี้ข้าลูกหมาดัดแปลงอีกหรอเนี่ย!!!!! ::008::

อนาถนักตรู ไม่รู้ว่าโผล่มาภาคนี้จะจบยังไงอีก
เดี๋ยวสงสัยคงต้องเขียนนิยายเองให้ Leraje มันเก่งๆซะแล้ว ::023::


อ่ะแหม เป็นถึง 1 ใน 72 ปีศาจโซโลมอนทั้งที ก็ต้องเสียเวลาปลดผนึกกันนี่เนอะ 555+

แต่ Leraje ยังเท่เหมือนเดิมนะครับ
Konflyctus MX
0
 
โพสต์: 201
Cash on hand: 250.00
ที่อยู่: ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice

โพสต์โดย boy เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 8:02 pm

อูววววว
เด็คขัน-แตรแผลงฤทธิ์แล้ว
ถ้าครบ 14 ขัน/แตรคงไม่สนุกแน่ๆเลยธนัทคุง...
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 14 Last Duel IV: God Justice

โพสต์โดย Palmon เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 07, 2010 10:00 pm

boy เขียน:อูววววว
เด็คขัน-แตรแผลงฤทธิ์แล้ว
ถ้าครบ 14 ขัน/แตรคงไม่สนุกแน่ๆเลยธนัทคุง...


เกรงว่า ธนัท จะอ่วมซะก่อนครบน่ะสิคะ ยิ่งแต่ล่ะขัน แต่ล่ะแตร ตั้ง 3 ขึ้นไปนี่ สงสัยจะโดนเอฟเฟคการ์ด เล่นจนอ่วมก่อน
อ่ะจิคะ ::036::

เลราเจซัง บทพระเอกตอนท้ายของบทนี้เลยนะเนี่ย ตอนหน้าคงโชว์เทพ ล่ะมั้งคะ หุๆ
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation (บทวิวรณ์)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ มี.ค. 22, 2010 10:54 am

Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation (บทวิวรณ์)



…………….ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า จงเชื่อว่าต้องมีวันที่หาความหวังจนเจอ……………

………………………………………………………………………………………………………………….

หมู่เกาะในคาบสมุทรโอโนโกร ,เกาะ Tuseday,ท่าส่งออกอากาศยานหลัก

ณ ล็อบบี้ของ อาคารบัญชาการ ท่าอากาศยาน ซึ่งมีความกว้างโอโถ่ง ปูพื้นด้วยผนังสีฟ้าอ่อน อมขาว
ผู้คนบนเกาะแห่งนี้ไม่ค่อยสันจรเดินทาง ออกจากเขตหมู่เกาะ อันเป็นประเทศของตัวเองซักเท่าไหร่
เพราะว่าหากออกไปจากที่นี่แล้ว โลกภายนอกก็เต็มไปด้วยศัตรูของพวกเค้า เหล่าผู้ที่รังเกียจ DNA-Changer และ

คนที่ให้ความช่วยเหลือ เช่นพวกเค้าเหล่าคนบนเกาะแห่งนี้ ดังนั้น ท่าอากาศยานนี้ จึงถูกใช้โดยมากจะทำเพื่อประโยชน์
ทางการทหาร และ ทางรัฐบาลของ หมู่เกาะ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามา ตัวล็อบบี้ นี้จึงแทบจะไม่มีพลเมืองธรรมดา เดิน
เพ่นพ่านกันเลย มักจะเป็น ทหารของรัฐฯ อย่าง MAGNUS ซะมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามมันก็ว่างเสียจนแทบจะ
ไม่มีคน ภายในล็อบบี้ นี้มี เคาเตอร์บริการ สำหรับติดต่อ ประสานงานด้วย

ปึง!!
“ ว่าไงนะ!! ”
เสียงทุบโต๊ะ ดังพร้อมกับ นายทหารหนุ่ม ผมสีม่วงผูกรวบปลายไว้ ในชุดเครื่องแบบสีแดง
กระแทกเสียงใส่ พนักงานในเคาเตอร์ ข้างเค้านั้นมี นายทหาร อีก คนซึ่งมีผมสีเขียวสั้นหยักศก
และสวมเครื่องแบบสีเดียวกับเค้า กำลังยืนตีสีหน้ากลัดกลุ้ม กับเรื่องที่ได้ยินจากพนักงานมา

“ ไหน ลองพูดมาใหม่ซิ…ที่ว่าไปไม่ได้นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ”
นายทหารหนุ่มหัวม่วงอารมณ์รุนแรง ถามย้ำกับพนักงานอีกครั้ง

“ ค..คือว่า ก็อย่างที่ได้บอกไปนั่นล่ะครับ….ทางเรา ติดต่อไปยังท่าอากาศยานของ
สยามประเทศแล้ว แต่ว่าการติดต่อกลับขาดหายไป ทำให้ทางเราส่งเครื่องออกไปไม่ได้จริงๆครับ.. ”
พนักงาน ตอบกลับเสียงสั่นๆ ความเจ้าอารมณ์ของอีกฝ่ายทำเอาเค้าหวาดไปมิใช่น้อย

“ ก็แล้วทำไมมันถึงติดต่อไม่ได้ล่ะห๊า!! ”
นายทหารหนุ่มยิ่งตะคอกดังขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“ ไม่เอาน่า คุณ ดิฮาออส ไปตะคอกแบบนั้นเค้าจะพูดได้ยังไงกันล่ะได้ยังไงกันล่ะครับ ”
นายทหารหนุ่มผมเขียว ปรามเพื่อนทหาร อารมณ์ร้อน เพื่อไม่ให้ พนักงาน กลัวพวกเค้าจนพูดอะไรไม่ออกมากไปกว่านี้

“ เชอะ!...ก็ได้ เห็นแก่นายแล้วกัน เจมส์….เอาล่ะทีนี้พูดมามันเป็นยังไงกันแน่ ”
ดิฮาออส พูดแกมบ่นก่อนจะ ปล่อยให้ พนักงานได้ พูด

“ ค..ครับคือว่าจากรายงานล่าสุดที่เราได้จากทางนั้นมา เห็นแจ้งมาว่า เกิดพายุหิมะโหมหนักจน
ไม่อาจเปิดทำการได้น่ะครับ ”

……………………..


“ ฮึ่ยไอ้เจ้าพวกคนธรรมดานั่น มันคิดจะตัดการติดต่อกับเรารึไงนะบอกมาได้ว่า หิมะตกในประเทศตัวเอง
ทั้งที่อยู่ในเขตร้อนชื้นแท้ๆ ปากบอกว่าตัวเองเป็นกลางแต่พักหลังๆมานี่ กลับไปคบค้าสมาคมกับพวก
สหพันธ์โลก ซะแบบตีสนิทเลยอีก ”
ดิฮาออส บ่นอย่างหัวเสีย มาตลอดทางเดิน จากล๊อบบี้ ด้วยกันกับ เจมส์ ที่ทำท่าครุ่นคิด
กับเหตุผลที่ได้ยินมาจาก พนักงาน เป็น เรื่องจริงที่คำแก้ตัวแบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย
แต่ถึงยังงั้นก็ไม่ควรที่จะเอาเหตุผลแบบนี้มาอ้างกับ เรื่องที่อาจจะเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ระดับประเทศ

“ แต่ว่าการปกครองของรัฐฯนั้นน่ะเป็นแบบประชาธิปไตย นี่ครับถ้ายังไม่ผ่านความเห็นของประชาชน
คงตัดสินใจอะไรหุนหันพลันแล่นไม่… ”
เจมส์ แย้งตามความคิดและเหตุผลของเขา

“ คิดงั้นเหรอ…เจมส์ นายน่ะยังไม่รู้อะไรสินะ คนบนประเทศนั้นน่ะ กว่าครึ่งแทบจะเป็นพวกลัทธิ Neo-Nazism ทั้งนั้น
แล้วแบบนี้จะบอกว่าให้ไว้ใจประเทศ ที่เป็นมหาอำนาจทางเวทยาการ ในตอนนี้ได้งั้นเหรอ ถ้าเกิดซักวันพวกนั้น กลายเป็นพวกสหพันฐ์โลกขึ้นมา มีหวังได้เกิดสงครามโลกขึ้นจริงๆแน่ ”

ดิฮาออส โต้กลับไปโดย ยกเอาเหตุผล อย่าง Neo-Nazism ขึ้นมา เสริม ความเห็นของเค้า ซึ่ก็ทำให้ เจมส์ กระอั่กกระอ่วน
ที่จะปฏิเสธ เป็นความจริงอย่างว่า ตอนนี้ ทั่วโลก เริ่มที่จะมี คนที่ไม่อยากจะนับญาติสนิท

มิตรสหาย กับ DNA-Changer เช่นพวกเค้า เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญประเทศ ใหญ่ๆในหลายๆภูมิภาค เอง
ก็รวมกำลังอำนาจของประเทศตนให้เป็นหนึ่งเดียว โดยมี U.S.A. เป็นแกนนำของ กองทัพ โดยใช้ชื่อว่า

Earth Federation หรือ สหพันฐ์โลก โดยจะเป็นกองกำลังที่จะเคลื่อนไหว เพื่อเผ่าพันธ์ของ มนุษยชาติ
เท่านั้น หรือพูดแบบรวบๆ ก็คือกองกำลัง ที่จัดมาเพื่อข่มขู่เหล่า DNA-Changer ที่รวมตัวกันขึ้นเป็นประเทศ ดังเช่น URH
ที่พวกเค้า อาศัยอยู่นี้

“ สงครามโลก ครั้งที่ 3….งั้นเหรอ ”
เจมส์ ทวนคำอีกครั้ง ความเป็นไปได้ ในปัจจุบันนี้ สงครามระดับ โลกที่ความขัดแย้งในครั้งนี้จะไม่ได้มา
จากชาติ การแก่งแย่งอำนาจ ความเป็นเอกราช ของแต่ละชนชาติ แต่จะเป็น ความขัดแย้ง ระหว่าง
เผ่าพันธ์ของ มนุษย์ ที่จะแบ่งเป็นสองฝ่าย ระหว่าง N.O.W. และ DNA-Changer

“ แต่ว่าขืนเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปพาตัว เจ้า โคทาโร่ กลับมาไม่ได้น่ะสิ เอาไงดีล่ะทีนี้ ”
ดิฮาออส พูดพร้อมกับ เกาหัว ปัญหาต่างๆนี้ทำให้เค้าหงุดหงิด มาเกินจะทนแล้ว

“ ผมว่าพวกเค้าไม่ได้โกหกหรอกนะครับ… ”
เจมส์ แทรกขึ้นมาระหว่างที่พวกเค้ากำลัง จะผ่านส่วนบริการ ประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีคนอยู่ชุกชุม กว่า ทางเดินจากล๊อบบี้
เสียอีก

“ เอ๋ ”
ดิฮาออส เผยอ ด้วยความแปลกใจ เจมส์ ชี้ให้เค้า หันไปดู จอโทรทัศน์ ที่ติดตั้งไว้ที่ ผนัง ของเคาเตอร์ส่วนบริการ
ซึ่งกำลังเปิดช่องรายการข่าวอยู่ ของต่างประเทศอยู่

“ รายงานข่าวสถานการณ์ตอนนี้ ทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออก ต่างกำลังต้องประสบกับ ภัยธรรมชาติ ไปทั่วทั้งภูมิภาค… ”

………………………
…………………………………
กรุงเทพฯ

ท่ามกลางการปะทะ กันระหว่างเทพอสูร ทั้ง 6 ตน อาณาบริเวณของการต่อสู้ก็ยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้นอีก
เมืองทั้งเมืองกำลังต้องเผชิญกับภัยพิบัติอันเกิดจากพลังของ พวกมัน หนำซ้ำด้วยไม่มีการ เตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด จำนวน
ผู้เคราะห์ร้ายจึง มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ หน่วยงานทางรัฐบาลก็ยังคง ไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้

“ ป…ประธานคะ นี่มันยังไงกัน ทำไม เลราเจ ถึง.. ”
ชุติการ ซึ่งยืนควบคุม แกรนเดครอส อยู่บนหัวของมัน ตะโกน ถามไปยัง มาริน่า ที่ยืน อยู่ บนหัวของ อัลคารากอน
ความตกใจอันเกิดจาก การคาดไม่ถึงว่า เทพอสูร เลราเจ จะปรากฏตัวขึ้นมาช่วยพวกตน ในตอนนี้

“ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก..แต่ว่าถ้ามันจะช่วยเราตอนนี้คงต้องสนับสนุน เลราเจ ไปก่อน พลังของ อสูร
พวกเรายังไม่ฟื้นตัวพอ ”
มาริน่า สรุปความคิดของเธอในตอนนี้ส่งให้ ชุติการ ก่อนที่ทั้งสอง จะสั่งให้ อสูร ของตน ถอยออกมาเพื่อเหลือพื้นที่
ให้ เลราเจ สามารถสำแดงอำนาจได้เต็มที่

ทันทีที่ ระยะของ ทั้งสองคน นั้นห่างออกไปแล้ว เลราเจ จึงเริ่ม ควงดาบเพลิงของมันก่อนจะควบ
บุกเข้าหา หนึ่งในสามอสูรเทพ เลวีอาทาน และง้างคมดาบขึ้นก่อนจะฟาดลงไปบนลำตัวของ เลวีอาทาน
ทว่าดาบเพลิงกลับถูกเกล็ดอันแข็งแกร่งของมัน กันเอาไว้

แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เลราเจ ใช้ดาบเล่มที่ฟาดลงไปงัดร่างของ เลวีอาทาน ขึ้นมาจากน้ำก่อนจะ หวดส่งด้วยสองดาบ
จนร่างของ เลวีอาทาน ลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศ กระแทกเข้า กับ ซิส ที่กำลังตรงเข้ามาเพื่อหมายจะลอบกัด
แต่กลับถูก ร่างของ เลวีอาทาน ที่กระเด็นขึ้นมาสกัดดาวรุ่งเสียก่อน จนร่วงหล่นลงมาทั้งคู่

ร่างของ สองอสูรยักษ์ ทันทีที่ตกลงมา กระทบกับพื้นเบื้องล่าง ซึ่งเจิงนองไปด้วย น้ำ ก็ทำให้เกิดแรงสะเทือน
ราวกับแผ่นดินไหว คลื่นซึ่งเกิดจากการกระจาย ในตอนที่ตกก็พัดหอบเอา อาคารบ้านเรือน ให้ถล่มไปเป็นแถบ

แปร๋นนนนน!!!

บีทมอท กู่ร้องคำราม ขึ้นก่อนจะควบสี่เท้าตะลุย ฝ่าดงอาคาร พุ่งตรงเข้ามา เพื่อจะขวิดให้ล้ม แต่ เลราเจ
ก็เขวี้ยงดาบเพลิง ในมือซ้าย ออกไปให้ควงดั่งใบพัดอัคคี แม้ร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผา และแรงช้างสารดั่งมังกร
ก็ตามที แต่เมื่อปะทะเข้ากับใบพัดอัคคี เจ้ายักษ์ใหญ่ก็มีอันต้องล้มโครมลงไป

“ สุดยอด!...ทั้งที่เราสองคน สู้กับสามตัวนั่นลำบากแทบแย่ แต่นี่แค่ตัวเดียวเก็บหมดได้ง่ายๆเลย ”
ชุติการ อดที่จะทึ่งเสียไม่ได้ กับพลังของ เลราเจ ที่สามารถสยบ สามอสูรเทพบรรพกาล ลงได้อย่างง่ายดาย

{อย่างที่คิดเอาไว้เลย พลังขนาดนี้ ไม่ใช่ระดับเดียวกับที่ เคยเจอเมื่อ 2 ปีก่อนพลังขนาดนี้
ระดับน่าจะเทียบได้กับ เมื่อ 100 ปีก่อน ที่ทำให้ ตะวันออกกลางหายไปในคืนเดียว }
มาริน่า คิดเธอประเมินระดับพลังจากผลการต่อสู้ ของ เลราเจ ด้วยสภาพเปียกโชกจากทั้งน้ำฝน หิมะ และ
เหงื่อของเธอเอง ความระแวงและลำบากใจผุดขึ้นมา หาก เลราเจ ตนนี้มีพลังมากอย่างที่เธอว่า
ก็เป็นไปได้ว่า ศึกนี้อาจทำให้ ประเทศนี้ต้องหายสาปสูญ ไปด้วยเหมือนในประวัติศาสตร์

“ นี่เป็นโอกาสของเราแล้ว ใช้จังหวะนี้บุกกลับ ไปคอยยิงสนับสนุน เลราเจ ซะ! ”
แม้ว่าจะยังวางใจในการช่วยเหลือนี้ไม่ได้เต็มที่นัก แต่ก้ไม่ควรปล่อยให้โอกาสพลาดไป
เธอจึงออกคำสั่ง พร้อมกับควบ อัลคารากอน เข้าไปในระยะยิง ของเธอ

“ ค..ค่า! ”
ชุติการ รับคำแทบจะไม่ทัน ก่อนที่ แกรนเดครอส ที่เธอคุม อยู่จะตามไปสมทบด้วยอีกแรง

“ แกรนเดครอส! โพรมายโอ แซงค์ตัส!!(Promineo Sanctus) ”
“ อัลคารากอน! ดูมเดย์!! Doom Day ”
สองเจ้าหญิงแห่งมังกรขาวและดำ ออกคำสั่งขึ้นพร้อมกัน แกรนเดครอส ยกอุ้งมือขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของมัน
ขึ้นประสานกันเหนือ อกและค่อยๆแยกอุ้งมือทั้งสอง ออก อย่างๆช้า ที่พื้นที่ว่างระหว่าง อุ้งมือนั้นเอง
ได้ก่อเกิดประจุไฟแลบแปลบปลาบขึ้น และค่อยขยายตัวไปเรื่อยๆตาม การขยายออกของอุ้งมือ

โดยที่ยกอุ้งมือทั้งสอง ให้ขึ้นไปอยู่เหนือหัว จนในที่สุด ประจุพลังงานก็ขยายตัวเป็นก้อนกลม
ขนาด ประมาณภูเขาย่อมๆลูกหนึ่งเลยทีเดียว โดยถูกแบกไว้ด้วยอุ้งอืมสองข้าง ที่ประจุมันขึ้นมา

ขณะ เดียวกัน อัลคารากอน ได้สยายปีกทั้งสี่ของมันออกจนสุดปลาย และที่ปลายปีกทั้งสี่ ได้ประจุ สายฟ้า
ขึ้นเป็นคลื่น แล่นแปลบปลาบ จากปีกวิ่งไปทั่วทั้งร่าง ไหลมารวมกันสุดท้าย ยัง เขาสองข้างที่ยื่นปลายออกมา
จากส่วนหัวของมัน

หลังจากการ กะ จังหวะม่ให้ เลราเจ โดนลูกหลงแล้ว แกรนเดครอส จึงขว้างก้อนพลังงาน ออกไปพร้อมกับ คลื่นสายฟ้าที่
วิ่งออกมาจากปลายเขา ของอัลคารากอน ก้อนพลังงานของ แกรนเดครอส พุ่งตรงเข้ากระแทกร่างของ ซิส
ที่พึ่งจะยันร่างขึ้นมาหลังจากร่วงลงมากองร่วมกับ เลวีอาทาน ที่ถูกขว้างขึ้นไป ก็ต้องมาถูก
ลูกพลังงานก้อนบะเลิ่มเทิ่ม กระทุ้งผลักให้ถอยครูดไปกับพื้นโดยลากเอา เลวีอาทาน ที่ยังไม่ฟื้น

คราดตามไปกระจุกกับ บีทมอท ด้วยกัน ขณะเดียวกัน สายฟ้าของ อัลคารากอน นั้นกลับพุ่งขึ้นสู่หมู่
ก้อนเมฆบนฟ้าก่อนจะเกิดเป็น พายุหอัสนีบาตถล่มปฐพีลงมายังเบื้องล่าง ที่เหล่าสามอสูร กระจุกกันอยู่
สร้ายความเสียหาย จำนวนมากจากการโจมตีประสานในครานี้

……………………..
……………………………………..

ดาดฟ้า โรงพยาบาลตากสิน

ระหว่างการดวล ของ ธนัท และ อดัม นั้นเอง พวกเค้าที่อยู่บนดาดฟ้า ก็พลอยได้เห็น การต่อสู้ของ
เลราเจ ที่ปรากฏตัว ห่างออกไปจากที่นี่ อีกหลายสิบ กิโลเมตร ได้อย่างชัดถนัดตา สายฝนและ หิมะ ที่
โปรยปรายลงมา เริ่มซาลง อย่างเห็นได้ชัด เป็นสัญญาณอย่างดีว่า บัดนี้พลังของ เลวีอาทาน
หนึ่งในสามอสูร เทพ พลังอ่อนลง อีกทั้ง ไม่ไกล ไปจากอาณาบริเวณของโรงพยาบาลนี้นัก

กลุ่มคนที่ถูก เฟสตูม วิญญาณร้ายซึ่งถูกอัญเชิญ จากพลังอำนาจของ บีทมอท ก็พลอย หยุดนิ่งไปด้วย
เมฆหมอกดำทมึน ที่ปกคลุมท้องฟ้าทั่วทั้งเมือง ตอนนี้ก็จางลง ตามพลังของ ซิส ที่ลดลงไป



“ ชิ! ”{เลราเจ….นี่หรือว่า Jack จะตื่นขึ้นมาแล้ว แบบนี้ก็ตรงกับที่ทำนายไว้เลยสินะ}
อดัม สบถเหมือนไม่พอใจ แต่ทว่าใบหน้านั้นกลับแสดงรอยยิ้มอย่างมีเลสนัย ราวกับว่า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เค้าต้องการอยู่แล้ว ทั้งที่ เทพอสูร ทั้งสามของเค้ากำลังเพลี่ยงพล้ำ

“ เลราเจ…กำลังช่วย ทุกคนสู้อยู่งั้นเหรอ?! ”
ธนัท เปรยสายตาก็จับจ้องไปที่เลราเจ ซึ่งอยู่ห่างออกไป อย่างไม่ลดละ โดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มจางๆก็เจืออยู่บน
ใบหน้าของเขาเสียแล้ว ความรู้สึกแน่นในใจที่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆตอนนี้ หัวใจของเค้า
สัมผัสได้ถึงความหวัง เล็กๆที่ผุดขึ้นมานี้

[Thanatativet Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 3/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 1 Mp 4/8 Shrine 5/15 ]

“ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น สมแล้วกับที่เป็นเมืองแห่งเทพ มีผู้พิทักษ์ปกปักษ์เยอะซะจริงเลยนะครับ แต่ว่า… ”
อดัม แทรกขึ้นมา ทำให้ ธนัท ต้องหันมามองด้วยความหวาดระแวง ว่า อดัม จะทำอะไรต่อ
ในตอนนี้ สนามฝั่งเค้า มีจำนวน ซีลที่เป็นต่ออยู่มากกว่า ทั้ง ซามูไร อัสนีบาต ซึ่งรวมร่างในระดับ Double Combination
กับ นินจาลมหมุน และนินจาลมหมุนอีกใบ กับ ชิโรอิ ที่ At line ในแนว Df line ก็ยังมี เจ้าหญิง ฮิเดโกะ

อยู่อีก ในขณะที่ สนามฝั่งอดัม นั้นมี อัครเทวดา จูเดียล ที่มีค่าAt 7 หน่วย กับ แมลงเคฟเฟลท ที่มีค่า AT แค่ 4 หน่วยเท่านั้น
แต่ถึงแม้ สนามของเค้าจะได้เปรียบ อดัม ซักแค่ไหนก็ตาม เพียงแค่การ์ดของ อดัม ถูกร่ายลงมา ก็สามารถพลิกรูปเกมได้ในครั้งเดียว อยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มการดวล นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเอาเรื่องเลยสำหรับเค้า และยิ่งกว่าอื่นใด

ทุกครั้งที่การ์ดพวกนั้นถูกร่ายออกมา ก็จักต้องมีคนสังเวย เลือดเนื้อและชีวิต ให้กับการดวลนี้เพิ่มขึ้นไปอีก

“ ผมไม่ยอมให้มาขัดหรอก เรามาเดินเกมส์ของเรากันต่อเถอะ ”
เค้าออกปากชวนให้เล่นกันต่อตามเดิม ก่อนจะหยิบเอา มิสติกการ์ดบนมือร่ายลงมา

“ Cost mp 4 ร่าย เมอร์ลิน (Merlin) ”
สิ้นคำ การ์ดผนึกมนตรา มิสติกการ์ด ที่เค้าร่ายออกไป ก็สร้างนิมิตภาพของ จอมขมังเวทย์ ในชุดคลุมสีเขียว
ชู ไม้เท้าประจำตัว ขึ้นเหนือศรีษะ ก่อนจะร่ายเวทย์ ให้ ไม้เท้าส่องประกายรัศมีแสงแห่งมนตรา ออกมา
และสลายหายกลับเป็นการ์ดตามเดิมในที่สุด

รูปภาพ

“ ด้วยผลของ เมอร์ลิน Seal 1 ใบในสนาม สามารถใช้สกิลได้โดยลดค่า Mp Cost ในการใช้สกิลลงไป 3 หน่วย
และไม่จำเป็นต้องตรงกับเงื่อนไขการรวมร่าง แต่อย่างใด Seal ที่เลือกคือ อัครเทวดา จูเดียล ให้ Skill ทำงาน ”

อดัม อธิบายผลของ การ์ดที่ร่ายไป พร้อมกับ เก็บการ์ดผนึกที่ร่อนกลับมา

[Thanatativet Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 4 Mp:5/8 Shrine 3/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 0/8 Shrine 5/15 ]

“ เดิมที Mp Cost Skill ของ ท่านอัครเทวดา จูเดียล คือ 3 หน่วย ดังนั้นด้วยผลของ เมอร์ลิน
ผมจึงไม่จำเป็นต้องเสีย ค่า Cost ในการใช้สกิลแต่อย่างใด และไม่จำเป็นต้องให้รวมร่าง ด้วย

เอาล่ะ ด้วย Skill ของอัครเทวดา จูเดียล Seal 1 ใบใน Df line ได้รับ Charm Curse 1 Turn
เป้าหมายของ Skill คือ เจ้าหญิง ฮิเดโกะ ”

อดัม ประกาศ พร้อมกับชี้ไปยัง เจ้าหญิง ฮิเดโกะ ซึ่งนั่งทำสมาธิ อยู่ใน แนวหลังของกองทัพองครักษ์ด้านหน้า
อัครเทวดา จูเดียล ค่อยๆชูดวงใจแห่งพระเจ้า ในสองมือขึ้นเหนือ ศรีษะ ลำแสงสาดส่องจาก ดวงใจ
ตรงเข้าอาบร่างของเจ้าหญิง ฮิเดโกะ

“ Cost Mp 2 ให้ skill ของเจ้าหญิง ฮิเดโกะ ทำงาน!! เจ้าฮิเดโกะ จะยกเลิก Skill ของ Seal ใบอื่นจนจบ Sub-Turn.. ”
ธนัท ประกาศใช้ Skill ทว่า อดัม ก็แทรกขึ้นมา

“ ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธความรักของพระเจ้าได้ ด้วย Ability ของ อัครเทวดา จูเดียล
ตราบเท่าที่ อัครเทวดา จูเดียล อยู่ใน At line Seal ทุกใบในสนามไม่สามารถยกเลิก Charm Curse ที่เกิดจาก Skill ของ
เผ่าพันธ์ Divine และ/หรือ ธาตุดิน ได้ ”

สิ้นคำ แสงจากดวงใจของพระเจ้า ที่สาดส่องไปยัง เจ้าหญิง ฮิเดโกะ ก็ถูกซึมซับไปจนหมด
ร่างของเจ้าหญิง อาบล้อมไว้ด้วยรัศมี แสงแห่งความรักของ พระเจ้า ท่าทางดูราวกับจะต้องมนต์สะกด
ทว่าไม่ทันไร แสงที่อาบร่างก็ผลันสลายหายไป สร้างความแปลกใจให้ แก่ อดัม ไม่น้อย

“ ด้วยผลจาก Skill ของ เจ้าหญิง ฮิเดโกะ หลังจากทำให้ตัวเอง ยกเลิก Skill แล้ว
สามารถเลือกให้ Seal ใบ 1 ในสนามป้องกัน Ability ของ Seal ฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย ”

“ หมายความว่า หลังจาก ถูก Charm Curse เข้าไปแล้ว แต่ผลการป้องกัน Ability ที่ตามมาทีหลัง
จะทำให้ไม่ได้รับ Ability ของอัครเทวดา จูเดียล และยังส่งผลต่อเนื่องให้กับผลการยกเลิก
Ability ก่อนหน้าที่ยังตกค้างอยู่เอาไว้ด้วยสินะ ”
อดัม พูดต่อประโยคที่เหลือให้เสร็จสรรพ น้ำเสียงของเค้าดูจะไม่เสียดาย เท่าไหร่กับ การถูกแก้เกมส์ในครั้งนี้
เพราะอย่างน้อยเค้าก็สามารถ ผลาญ Mp ของ ธนัท ไปได้มากพอ

“ รอบของฉัน จั่วการ์ด!! ”
ธนัท ประกาศรอบของตน ก่อนจะดึงเอา ซีลการ์ด ออกจากช่องสำรับ มา 2 ใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:3/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 0 Mp 8/8 Shrine 5/15 ]

{รอบที่แล้วใช้ Mp สิ้นเปลืองไปหน่อย ถ้างั้นรอบนี้ก็ต้องเตรียมบุกแหลก ล่ะ}
ธนัท คิดขณะที่มองดูการ์ดบนมือของเค้า

“ Cost Mp 3 ให้ ชิโรอิ ใช้ Skill นำเอา การ์ดที่ชื่อเหมือนกัน ออกมาจากกองการ์ด
ตอนนี้ในสำรับของ ฉันมีเหลืออยู่อีกสองใบ ให้ ชิโรอิ ทั้งสอง ใบในสำรับเข้ามายัง At line ”
สิ้นคำ ชิโรอิ ก็ประสานมือทั้งสอง เข้าด้วยกันก่อนจะร่ายคาถานินจา พริบตาก็เกิดระเบิดควันขึ้น
ข้างๆ ตัวเธอ พร้อมกับ ร่างเสมือนของเธอ โผล่ขึ้นมาอีกสองร่าง

“ และด้วย Ability Vanish หลังการใช้ Skill สำเร็จ ชิโรอิ จึงต้องถูกนำออกจากเกมส์ เป็นเวลา 2 Turn ”
ธนัท อธิบายพร้อมกันกับที่ ชิโรอิ ที่ใช้สกิลในรอบนี้ สลายร่างให้หายไปพร้อมกับ ระเบิดควันอีกครั้ง

{รอบนี้เราเองก็อยากจะบุกอยู่หรอก แต่โดยรวมแล้ว จูเดียล ยังดูไม่น่าจะอันตรายซักเท่าไหร่
ที่สำคัญทั้งที่ตอนแรก ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนแต่ก็ดูข้อมูล ของการ์ดแปลกๆที่เจ้านั่นใช้ไม่ได้เลย
แต่ว่าตอนนี้กลับดูได้หมดทุกอย่างเลย ตั้งแต่ At Df Sp ไปจนถึงความสามารถพื้นฐานทั้งหมดอีกด้วย}
ธนัท คิดพลางมองดู จอโฮโลแกรม แสดงข้อมูลของการ์ดในสนาม ที่พึ่งเรียกขึ้นมา ตอนนี้ข้อมูล
การ์ดขอบ อดัม โชว์หลาอยู่บนหน้าจออย่างครบถ้วน

{แล้วก็…..เปลวเพลิง รอบๆเมืองที่เกิดจาก ผลของ Primus Tuba และ Primus Phialam ดูจางลงกว่าตอนแรกๆอีก
แล้วทั้งที่จนถึงเมื่อกี้ เราก็ร้อนเพราะไฟพวกนั้นซะจนแทบจะไม่มีสมาธิ แต่ไหงตอนนี้ กลับรู้สึกว่า
ไฟนั่นมันไม่ร้อนเหมือนตอนแรกเลย }

“ ให้ ฮิเดโกะ ย้ายขึ้นมาอยู่ที่ At Line หมดรอบแค่นี้ ”

ธนัท สั่งให้ ฮิเดโกะ เดินขึ้นมาที่แนวหน้า ก่อนจะประกาศจบรอบของตน ทว่า
ความสงสัยของเค้าก็ยังคงไม่หมดไปง่ายๆ และแล้วความสงสัยของเค้า ก็ยิ่งต้อง ทวี ขึ้นไปอีก

เมื่อเห็นว่า เคียว ที่นั่งอยู่รอบนอกเค้านั้น ยังคงหอบเหนื่อยเพราะความทรมานจาก ความร้อน
ทั้งที่ตอนนี้ตัวเค้าเอง แทบจะรู้สึกหนาวเพราะ น้ำฝนที่เปียกโชกอยู่บนตัว
สภาพในตอนนี้ทำให้เค้า เริ่มจะมั่นใจในทฤษฎีบางอย่าง ที่เค้าคิดขึ้นมาในหัวตอนนี้

“ รอบของผมล่ะนะ…. ”
อดัม กล่าวพร้อมกับ ดึงเอา มิสติกการ์ดขึ้นมา 2 ใบ

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 2 Mp 8/8 Shrine 5/15 ]

“ จากนี้ไปผมจะมอบการอวย…. ”
“ เลิกเล่นปาหี่ได้แล้วน่า!! ”

ก่อนที่ อดัม จะทันได้พล่ามอะไรออกมาอีก เสียงตะคอกของ ธนัท ก็ดังขึ้น

“ เอ๋? เป็นอะไรไปล่ะครับ เบื่อแล้วงั้นเหรอหรือว่า กลัว…. ”
“ อย่ามาพูดบ้าๆน่า ฉันน่ะไม่ยอมให้ปาหี่ของนายมาหลอกอีกแล้ว!! ”
อดัม พยายามจะพูดบ่ายเบี่ยงและ ตอกหน้าเค้ากลับ ทว่าธนัท ไม่ยอมให้ไขว้เขวอีกแล้ว

“อ…อะไรงั้นเหรอ ธนัท มันเกิดอะไรขึ้น?! ”
เคียว ถามหลังจากที่เห็น เหตุการณ์ทั้งหมด

“ เคียว ตอนนี้นายยังร้อนอยู่รึเปล่า? ”
ธนัท ถามคำถามแปลกๆกับเค้า

“ ไหงถามงั้นล่ะ นี่เราอยู่กลางทะเลเพลิงเลยนา ”
เคียว ตอบกลับทันที ตามความรู้สึกรับรู้ของเค้า

“ งั้นเหรอ แต่ว่านะเคียว สำหรับฉันน่ะ พวกเราแค่นั่งอยู่กลางสายฝนเย็นๆนี่เท่านั้นล่ะ
แล้วไฟนี่ก็ไม่ได้มีจริงๆซะหน่อย ”
คำตอบของ ธนัท กลับเป็นตรงกันข้าม

“ หมายความว่ายังไงกัน?! ”
เคียว ถามอย่าง งงๆ

“ ฉันจะพูดแบบง่ายๆเลยนะเคียว ไอ้ฝนดาวตกกับอุกบาตล้างโลก อะไรนั่นน่ะมันเป็นภาพลวงตา มาตั้งแต่แล้ว ”
ธนัท ตอบน้ำเสียงหนักแน่น ยืนยันให้รู้ชัดกันไปเลยทีเดียว ว่าเค้านั้นมั่นใจมากกับคำตอบของตนเอง

“ ภ…ภาพลวงตา? ”
เคียว ทวนคำอีกครั้ง ด้วยความฉงน

“ ใช่ หลักฐานก็คือ ทั้งที่เกิดเรื่องมาตั้งขนาดนั้น แต่กลับไม่มีความโกลาหลเกิดขึ้นให้สมเหตุสมผลเลย
ถึงจะมีบ้างในตอนที่ Secundus Tuba และ Phialam แต่มันก็แค่ตอนที่สำแดงฤทธิ์เท่านั้น หลังจากนั้น
นายได้ยินบ้างไหมล่ะเสียงโอดครวญหรือเสียง ของใครที่ต้องทรมานเพราะนิมิตพวกนั้น ”

ธนัท รับคำก่อนจะเริ่มอ้างเหตุผลตามความคิดของเค้า

“ ว่าไป…มันก็จริงแหะ ทั้งที่เกิดเรื่องตั้งขนาดนี้ แต่ไหง มันถึงเงียบผิดปกติ แบบนี้ล่ะ แล้วก็ทั้งที่กลายเป็น
ทะเลเพลิงถึงขนาดนี้ แต่ไฟกลับไม่ยักกะลุกลาม แถมพวก เทพอสูร ยังปะทะกัน หน้าตาเฉยเลยอีก ”
เคียว ตอบอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ในทันทีมันเป็นไปตามที่เค้าว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั้นผลที่ตามมามัน
ไม่สมพงษ์กันเลยแม้แต่น้อย แต่หากบอกว่ามันเป็น ภาพลวงตา ทุกอย่างก็ลงตัวในทันที

“ นั่นสิ หลอกพวกคุณต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ไม่อยากจะเสียพลัง Psy ไปเปล่าๆด้วย ”
อดัม เปรยก่อนจะดีดนิ้วขึ้นหนึ่งเปาะ ภาพของ ทะเลเพลิง ที่ก่อตัวล้อมรอบพวกเค้า ก็มลายหายไปในอากาศธาตุ
ทุกสิ่งดูราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาคารบ้านเรือนโดยรอบและ กลุ่มผู้อพยพ จากอาณาบริเวณ ที่กลายเป็น
สนามรบของ อสูรเทพ ก็ยังคงปลอดภัยดีอยู่

“ จงใจสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้พอดี กับที่เอฟเฟกของ การ์ดสำแดงผล เพื่อหลอกพวกเรา… ”
เคียว เปรยขึ้นเพื่อสรุปเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา จากความคิดของเค้า

“ ถูกต้องนะคร้าบ แต่เพราะเป็นแค่ โฮมุนครุส ก็เลยไม่ได้มีพลัง Psy แบบเต็มๆเหมือน DNA-Changer
เพราะงั้น ถ้าจะทำให้ได้ยินเสียงหลอน กับเอฟเฟกตระการณ์ตากว่านั้น ผมคงเหนื่อยแย่เลยล่ะ ”

อดัม รับคำโดยไม่ตัดพ้อแต่อย่างใด

“ ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงจงใจมาหลอกกันแบบนี้ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหกล่ะก็
ทีนี้ฉันก็จะได้สวนกลับแบบไม่ต้องยั้งมือแล้วสินะ ”
ธนัท พูดพร้อมกับยิ้มอย่างโล่งใจ ที่ตลอดในการดวลที่ผ่านมา นั้นไม่ได้มีใครเสียเลือดเนื้อไปจริงๆ
แม้มันะเป็นเรื่องหลอกลวง แต่เค้ากลับดีใจซะจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ และแทบจะขอบคุณด้วย ซ้ำที่ตัวเค้าถูกหลอก

“ ถามจริงเถอะ เอะใจขึ้นมาตอนไหนกันล่ะเนี่ย ”
อดัม เปรยพลางมองดูการ์ดในมือเพื่อจะเตรียมแผนรับมือในเกมส์ต่อไป

“ ฮึ….ก็นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า มันคือนิมิต(Revelation)น่ะ…คำว่านิมิตกับลวงตามัน
อยู่เหินห่างกันซะที่ไหนเล่า ”
ธนัท ตอบกระแทกกระทั้น อย่างไม่ใยดีด้วย แม้จะโล่งใจที่ไม่ได้มีใครตาย แต่ยังไงซะบุรุษตรงหน้า
เค้าก็ยังคงเป็นตัวอันตราย หากปลอยไว้ อสูรเทพ คงทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีก

“ ระดับคุณนี่ประมาท ไม่ได้เลยนะครับ…Cost Mp 4 อัญเชิญ อัครเทวดา บาราเคียล(Archangel Barachiel)สู่ At line ”
อดัม เหยียดเสียงตอบก่อนจะโยนการ์ดซีล ในมืออกไปทันทีที่ อสูรในการ์ดปรากฏขึ้นมา ในครานี้
ก็ยังคงมีรัศมีแสงสว่างสาดส่องแวบวาบ ออกมา อย่างอลังการเช่นเคย ร่างที่ปรากฏขึ้นในแสงนั้น
คือ อัครทูตสวรรค์ ผู้สวมใส่อาภรณ์อันประดับด้วยไฟและน้ำ พระพักต์ยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงออกถึง
ความร่าเริง ที่เปี่ยมล้น เสียจนสัมผัสได้ ท่านคือ อัครเทวดาแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า อัครเทวดา บาราเคียล

รูปภาพ

“ และให้ อัครเทวดา บาราเคียล รวมร่างกับ อัครเทวดา จูเดียล จากนั้น Cost Mp 3 โจมตี ”
สิ้นคำ อัครเทวดา ทั้งสององค์ ได้ประทับคู่พร้อมกัน ก่อนจะผายมือ ออกไปราวกับจะประทาน
พรศักดิ์สิทธิ์ ประกายแสงแวววาวแพรวพราวพรั่งพรู ออกมาจากร่างของทั้งสององค์

“ Ability ของอัครเทวดา บาราเคียล คือเมื่อต่อสู้กับ Seal ที่มี ธาตุเดียวกับ Seal
รองรวมร่างของ อัครเทวดา บาราเคียล เอง Seal ที่ต่อสู้ด้วยจะถูกลดค่า At ลงไป 2 หน่วยและ
สูญเสีย Abilityอีก 1 Turn ”

อดัม ประกาศความสามารถให้กระจ่างแก่พวกเค้า

“ เล็ง ซามูไรอัศนีบาต ที่รวมร่างอยู่สินะ จริงอยู่ เพราะ ผลของ เซอัลเทียล ที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้
ทำให้ซามูไรอัสนีบาตได้รับ คุณสมบัติของธาตแสงเพิ่มเข้ามาด้วยซึ่ง จูเดียลที่เป็นSeal

รองของบาราเคียล ก็มีคุณสมบัติของ ธาตุแสงด้วยเช่นกัน และถ้าทำให้สูญเสีย Ability
ต่อเนื่องไปอีก ซามูไรอัสนีบาต ก็จะไม่ได้รับค่าพลังเพิ่มจาก Ability ของตัวเอง ด้วยแต่… ”

ธนัท พูดพร้อมกับเตรียมการ์ดที่จะร่ายพร้อมไว้ในมือแล้ว

[Thanatativet Status; Hand:Seal 2 ,Mystic 4 Mp:8/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 2 Mp 1/8 Shrine 5/15 ]


“ ธนัท ยังมี เจ้าหญิงฮิเดโกะ ที่อยู่ใน At Line ด้วยถ้าใช้ Skill ของเจ้าหญิง ฮิเดโกะ ก็จะป้องกัน Ability ของ บาราเคียล ได้ ”
เคียว โพล่งขึ้นมา

“ ก็แล้วใครบอกกันล่ะครับว่าผมจะโจมตีไปที่ ซามูไรอัสนีบาต ”
ทันทีที่คำตอบของ อดัม หลุดออกมาเท่านั้น ก็ทำให้ พวกเค้าต้องชะงักไป

“ ท่านอัครเทวดา บาราเคียล น่ะเป็น อัครเทวดาแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า ชื่อของ
ท่านมีความหมายว่าการ อวยพรจากพระเจ้า ท่านมีหน้าที่ย้ำเตือนให้มนุษยกระทำสิ่งต่างๆ
ให้ต้องตามประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ยอมต่อกระแสโลกหรือปล่อยไปตามยถากรรม ”

อดัม ร่ายยาวไปเรื่อยตามแบบฉบับของตน แม้ว่าจะฟังกันจนเบื่อแล้วก็ตามที

“ จะบอกว่า พวกฉันที่คิดว่าจะต้องโจมตีมาที่ ซามูไรอัสนีบาต แน่ตามรูปเกมส์ คือการปล่อยไปตามยถากรรมงั้นเหรอ ”
ธนัท ถามพลางสบถกลับ คำพูดของ อดัม นานเข้ายิ่งฟังไม่เข้าหูเค้าขึ้นเรื่อยๆ

“ ก็ประมาณนั้นล่ะครับ กำหนดเป้าหมายโจมตี เจ้าหญิง ฮิเดโกะ ”
อดัม ตอบพลางชี้ไปที่ เจ้าหญิง ฮิเดโกะ ซึ่งธนัทให้หนีขึ้นมาที่ At Line เพื่อป้องกัน Skill ของ จูเดียล

“ ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นหรอกน่า Cost Mp 3 เพื่อให้ Skill ของ โรนินวายุสลาตัน (Whirlwind Ronin) บนมือทำงาน ”
สิ้นคำ ซีลการ์ดที่ ธนัท กุมหมับไว้ตั้งแต่ครั้งที่ อดัม ประกาศโจมตีแล้ว ก็ถูกโยนออกมา
อสูร ที่โผล่ออกมาจากการ์ด เป็นนักรบดาบคู่สวมชุดคลุมหนังสีแดงเลือดหมู พุ่งตัวควงทะยาน
ปานลูกพายุ เข้ามาตัดหน้า ซามูไรอัศนีบาตที่ยื่นร่วมกับ นินจาลมหมุน

รูปภาพ

“ นำ โรนินวายุสลาตันลงมาในสนามจากนั้น ย้ายเป้าการโจมตีของ Seal 1 ใบมาที่การ์ดนี้ ”
ธนัท ประกาศจบ ประกายแสงแห่งการอวยพรของ อัครเทวดา ก็มุ่งตรงมาที่ โรนินวายุสลาตัน แทน
ในตอนนี้ ธนัท ก็เตรียมการ์ดไว้อีกใบเพื่อที่จะร่ายมันออกมาแล้ว

“ และตามด้วย Cost Mp อีก 3 เพื่อให้มิสติกการ์ด ‘พลิกผันสู่ชัยชนะ’(Whirl to Win) ทำงาน Seal ที่ติดตั้งการ์ดใบนี้ไว้
จะถูกสลับค่า At และ Df และเอฟเฟกที่ทำให้ค่า At เปลี่ยนแปลงก็จะไปเปลี่ยนแปลงค่า Df
ส่วนการเปลี่ยแปลงค่า Df ก็จะไปเปลี่ยนแปลงค่า At แทน ”

สิ้นคำ มิสติกการ์ดบนมือของ ธนัท ก็ถูกร่ายลงมา ปรากกภาพของ วงแหวน ซึ่งล้อมหญิงสาวไว้สองนาง
คนหนึ่งใช้สองมือของเธอชูดาบ และ อีกคนใช้สองมือชูโล่ไปข้างหน้า ทั้งสองหันหลังชนกัน
ทันทีที่ ธนัท ตวัดมือให้สัญญาณ ภายในวงแหวนใหญ่ที่ล้อมรอบพวกเธอไว้ก็ปรากฏ แสงสีน้ำเงินเข้ม

วิ่งเป็นวงแหวนเล็กล้อมพวกเธอ ซ้อนไว้อีก วงและเมื่อวงแหวนเล็กนั้นหมุน พวกเธอทั้งสองก็หมนุตาม
จนในที่สุดพวกเธอก็มาอยู่สลับด้าน กับด้านเดิมที่พวกเธอหันก่อนหน้านี้ ผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ
สองอัครเทวดา ที่ทำการโจมตี กลายเป็นยืนคว่ำตะแคงศรีษะลง ไปเสียนี่

รูปภาพ

“ เกม พลิกแล้วล่ะนะ! ”

[Thanatativet Status; Hand:Seal 1 ,Mystic 3 Mp:2/8 Shrine 2/15 ]
[Adum Status; Hand:Seal 0 ,Mystic 2 Mp 1/8 Shrine 5/15 ]
………………….
………………………………
………………………………………….

To be Continue



Next Sub-Turn 16 Last Duel VI: Archangel

ESP DATA(ข้อมูลพลังจิตที่สำคัญของตอน)
Hypnotic Control-สร้างภาพลวงตาขึ้นเพื่อหลอกการเห็น หรือการยิงภาพเข้าไปในสมอง
โดยตรงการสะกดให้ผู้อื่นหลับด้วยพลังจิต
อดัมใช้พลัง Psy ที่ว่า สะกดจิตพวก ธนัท ให้เห็นภาพหายนะเกินจริงจากการใช้ขันและแตรนั่นเอง
แต่อย่างว่าแหละ โฮมุนครุสมันแค่ของเก๊อ่ะนะ เลยใช้ได้ไม่สมบรูณ์เท่าไหร่



ขอโทษคร้าบ~~~ อุเหม่แทบจะขออภัยกันแทนการทักทายมันทุกบทแล้วมั้งเนี่ย เหอๆ อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่ได้ลง
แถมควบต่อมา 2 อาทิตย์อีก แล้วบทนี้ก็ ส้าน-สั้น แฮ่ๆ คืออาทิตย์ที่แหล่ว กระผมพึ่งกลับมากรุงฯ
อ่ะน่อ เลยเสียเวลาเก็บ ข้าวของย้ายกลับพอดู กลับมาเสร็จ ก็เหนื่อยจนหลับข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว
ผลมันเลยส่งให้ เป็นโรคเลื่อนอยู่เนืองนิดนั่นเอง(ฮา)

ว่าแล้วมาสครีมกันเลยดีกว่า บทนี้ พวก เจมส์คุง ที่หายตัวไปตั้งกะเริ่มบทของ สามเทพอสูร แล้ว
ก็โผล่มาให้ดูรู้ว่าติดเกาะอยู่มาไม่ได้(จริงๆเป็นมุข ตัดตัวละครไม่ให้เข้าฉากเกินน่ะ เดี๋ยวมันจะวุ่น)
และบทของ เลราเจ ที่คราวนี้กลับมา ไฉไล กว่าเดิมแต่ดูเหมือนจะเก่งเวอร์ไปเปล่านิ ไอ้ดาบยาวสองเล่ม
นั่นมันใช้ประโยชน์ได้เว่อร์หลุดโลกจริงๆ ทั้งฟันทั้งตัดทั้งควง แถมเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ศัตรูอยู่บนฟ้า
ก็งัดไอ้ตัวข้างล่าง ขึ้นไปลากมันลงมา ไอ้ตัวถึกแต่ต้วมเตี้ยม ก็เล่นมันจากระยะไกลแทน
สรุปแล้ว มันเลราเจ หรือ กวนอูกันล่ะนี่ ชักสับสน

และเรื่องสุดท้าย ว่าแล้วตัวกระผมก็ย้อนมุขอีกแล้ว อดัม แกล้งหยอกให้ตกใจเล่น แหะๆ
มุขภาพลวงตานี่มันใช้ได้เรื่อยๆจริงๆนะเนี่ย(แกล้งแถไปงั้นจริงๆเป็นมุขอู้ของคนเขียน เอ้ยม่ายช่าย)
สำหรับตอนนี้ คือดว่า หลายคนน่าจะเดาทางสำรับของ อดัม ออกแล้วว่ามันคงจะใช้ขันกับแตรไปจนครบ
นั่นแล แต่ อัครเทวดา ล่ะ …..อันนี้ไม่บอกเดี๋ยวสปอย ให้ไปจิ้นกันเอาเองก่อนนะคร้าบ
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 28, 2010 6:33 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation (บทวิวรณ์)

โพสต์โดย Leraje เมื่อ จันทร์ มี.ค. 22, 2010 11:25 am

Wargreamon เขียน:ว่าแล้วมาสครีมกันเลยดีกว่า บทนี้ พวก เจมส์คุง ที่หายตัวไปตั้งกะเริ่มบทของ สามเทพอสูร แล้ว
ก็โผล่มาให้ดูรู้ว่าติดเกาะอยู่มาไม่ได้(จริงๆเป็นมุข ตัดตัวละครไม่ให้เข้าฉากเกินน่ะ เดี๋ยวมันจะวุ่น)
และบทของ เลราเจ ที่คราวนี้กลับมา ไฉไล กว่าเดิมแต่ดูเหมือนจะเก่งเวอร์ไปเปล่านิ ไอ้ดาบยาวสองเล่ม
นั่นมันใช้ประโยชน์ได้เว่อร์หลุดโลกจริงๆ ทั้งฟันทั้งตัดทั้งควง แถมเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ศัตรูอยู่บนฟ้า
ก็งัดไอ้ตัวข้างล่าง ขึ้นไปลากมันลงมา ไอ้ตัวถึกแต่ต้วมเตี้ยม ก็เล่นมันจากระยะไกลแทน
สรุปแล้ว มันเลราเจ หรือ กวนอูกันล่ะนี่ ชักสับสน


ไม่เวอร์ไปหรอก ขอแบบนี้อีกเยอะๆ ชอบๆ ::025::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Leraje
0
 
โพสต์: 915
Cash on hand: 1,150.00

Re: Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation (บทวิวรณ์)

โพสต์โดย Konflyctus MX เมื่อ จันทร์ มี.ค. 22, 2010 12:00 pm

Leraje เขียน:
Wargreamon เขียน:ว่าแล้วมาสครีมกันเลยดีกว่า บทนี้ พวก เจมส์คุง ที่หายตัวไปตั้งกะเริ่มบทของ สามเทพอสูร แล้ว
ก็โผล่มาให้ดูรู้ว่าติดเกาะอยู่มาไม่ได้(จริงๆเป็นมุข ตัดตัวละครไม่ให้เข้าฉากเกินน่ะ เดี๋ยวมันจะวุ่น)
และบทของ เลราเจ ที่คราวนี้กลับมา ไฉไล กว่าเดิมแต่ดูเหมือนจะเก่งเวอร์ไปเปล่านิ ไอ้ดาบยาวสองเล่ม
นั่นมันใช้ประโยชน์ได้เว่อร์หลุดโลกจริงๆ ทั้งฟันทั้งตัดทั้งควง แถมเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ศัตรูอยู่บนฟ้า
ก็งัดไอ้ตัวข้างล่าง ขึ้นไปลากมันลงมา ไอ้ตัวถึกแต่ต้วมเตี้ยม ก็เล่นมันจากระยะไกลแทน
สรุปแล้ว มันเลราเจ หรือ กวนอูกันล่ะนี่ ชักสับสน


ไม่เวอร์ไปหรอก ขอแบบนี้อีกเยอะๆ ชอบๆ ::025::


ว่าแล้วว่าเจ้าัตัวตเองชอบ 555+ สมกับที่ถูกขนานนามว่าเป็น the Torment of War จริงๆ

Wargreamon เขียน:และเรื่องสุดท้าย ว่าแล้วตัวกระผมก็ย้อนมุขอีกแล้ว อดัม แกล้งหยอกให้ตกใจเล่น แหะๆ
มุขภาพลวงตานี่มันใช้ได้เรื่อยๆจริงๆนะเนี่ย(แกล้งแถไปงั้นจริงๆเป็นมุขอู้ของคนเขียน เอ้ยม่ายช่าย)
สำหรับตอนนี้ คือดว่า หลายคนน่าจะเดาทางสำรับของ อดัม ออกแล้วว่ามันคงจะใช้ขันกับแตรไปจนครบ
นั่นแล แต่ อัครเทวดา ล่ะ …..อันนี้ไม่บอกเดี๋ยวสปอย ให้ไปจิ้นกันเอาเองก่อนนะคร้าบ


ที่ออกไปแล้วมี Seatiel (07), Jhudiel (06), Barachiel (05)

แสดงว่าอาจจะมีแผนล็อก Shrine ละนะ เพราะว่าถ้าเป็นไปตามเคสนี้ ที่จะออกต่อไปคือ Uriel (04)!!!

ปล. ถ้าขันกับแตรออกไปตามลำดับ คิดว่าฝั่งอัครเทวดาก็เรียงลำดับเหมือนกันครับ เดาถูกไหมเน้อ
Konflyctus MX
0
 
โพสต์: 201
Cash on hand: 250.00
ที่อยู่: ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ จันทร์ มี.ค. 22, 2010 12:28 pm

จำได้ว่าวันก่อนๆพึ่งจะไปเม้นท์ กระทู้ยูกิโอว่าเค้ายืดเรื่องมาหมาดๆไม่ใช่เรอะ นี่ไม่ทันไร เราก็จะเอากะเค้า
ด้วยใช่มะเนี่ย ดวลกะ อดัม มานี่ล่อมากี่ตอนกันแล้วเนี่ย ยังไม่เห็นวี่แววจะจบซักที เฮ้อ ::021::

ปล.แล้ว อิสคุง กับ ลูเซีย จังล่ะๆๆๆๆๆ
ปล2.เจมส์คุงเดาถูกแล้วน่อ ขันกับแตรออกเรียงกันน่ะใช่ อัครเทวดาก็เรียงแบบถอยกลับ
ขันกับแตรมีอย่างละ7 และ อัครเทวดาก็มี.....คนนั่นก็แปลว่า.......
ไม่สปอยดีกั่ว หุๆ ::006::
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: SMN VR TAG!! :Up Sub-Turn 15 Last Duel V :The Revelation

โพสต์โดย boy เมื่อ อังคาร มี.ค. 23, 2010 8:59 pm

นี่คือ.....ปาฏิหาริย์ท่านเบิร์น -//โดนตบ คนละเรื่อง!
เฮ้อออออ ภาพลวงตานี่เอง ธนัทพลิกเกมได้แล้ว เย้~
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง SMN FanCard FanArt & FanFic

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน