Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ เม.ย. 28, 2024 2:07 am

หน้าเว็บบอร์ด ส่วนของผู้เล่น SMN FanCard FanArt & FanFic (อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

สำหรับลงรูปแฟนอาร์ตและนิยายแต่งเองของชาวSMNครับ

(อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 2:22 am

สารบัญ

Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)
Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way
Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard
Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

Crisis Valkyrier SE


บนดวงดาวที่มีชื่อว่า เทอร่า(Terra) บนดาวดวงนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวเล่าขานต่างๆมากมาย
1ในหน้าประวัติศาสตร์เหล่านั้น คือสงครามที่เกิดขึ้นด้วยความขัดแย้งมากครั้งนับไม่ถ้วน ความขัดแย้งนั้นไม่เคยหายไปจากประวัติศาสตร์ของมนุษย์บนดาวดวงนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ………

“ ความตะบัดสัตย์ของพวกมันจะทำลายตัวมันเองและนำไปไปสู่จุดจบของทุกสิ่ง เมือถึงเวลานั้น เพลิงกาลแห่งบรรพชาติ
ที่ลุกโชติช่วงนับพันปี จะตื่นขึ้นอีกครา และเผาผลาญจนสิ้นปฐพี…… ”

Solomon ราชาผู้ทะเยอทะยาน ได้กล่าวเอาไว้เช่นนั้นก่อนที่ตัวเค้าและ สวนแห่ง อีเดน(Eden) จะล่มสลายลงด้วย
น้ำมือของบุตรแห่งซาตานที่ ได้ทานผลแห่งปัญญา………….
……………………………………………………………………………………..

นี่คือบทความจากพงศาวดารบันทึกเหตุแห่งราชนครโบราณทางตอนเหนือของ ทวีปอาริมาเทีย(Arimathea)
คำทำนายนี้ถูกระบุว่าจะเป็นวันสิ้นโลก(Doom Day) ก่อนจะสาปสูญไปกับช่วงเวลาและยุคสมัย………
…………………………….

Opening Theme Crisis Valkyrier SE


Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)


หลังมหาสงครามแห่งเทอร่า ซึ่งจบลงด้วยการล่มสลายลงของทั้งทวีปเมอริเซีย เวลาได้ผ่านพ้นไป 200 ปี
โดยมีสงครามเย็นเกิดมาควบคู่กับสงครามร้อน ไม่นานกลุ่มผู้อ้างว่าจะใช้กำลังอำนาจที่มี เข้าแทรกแซงสงครามทั้งหมด เพื่อให้เทอร่า หมดสิ้นซึ่งสงคราม หลังจากนั้น มหาสงครามครั้งใหญ่ ที่รู้จักกันในนาม มหาสงคราม Delantion
ก็ได้อุบัติขึ้น ที่สุดแล้ว เทอร่าก็ได้กลับคืนมาซึ่งความสงบสุข ด้วยการเจรจาสันติ ร่วมกันระหว่างฝ่าย สหพันธ์โลก
และสหประชาคมโลก เทอร่าดูเหมือนจะเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความสงบแล้ว……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..


ท่ามกลางท้องทะเลที่สายลมพัดผ่านคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ทอดตัวไปบนผืนน้ำ ที่สะท้อนประกาย
ระยับตาของแสงสุริยา ผืนแผ่นดิน ที่เลยโผล่พ้นน่านน้ำ หมู่เกาะที่ห่างไกลลับสายตาจากผู้คน
ไร้ตัวตนและโดดเดี่ยว บนเกาะแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยม่านพรางแสง ที่มีรัศมีกว้างพอจนปกคลุม ได้ถึงบริเวณ
อ่าวรอบๆเกาะ สถานที่ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้และผู้คนที่อาศัยอยู่นั้น พวกเค้าเรียกตัวเองว่า
Empyrean Adjust นามอันมีความหมายว่า ตัวแทนแห่งสรวงสวรรค์

วิทยาการบนเกาะแห่งนี้ก้าวล้ำไปเกินกว่า วิทยาการในเทอร่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเทคโนดลยีทางการทหาร
เป็นอาวุธที่เคยถูกใช้เพื่อเป้าหมายในการรวม เทอร่าให้เป็นหนึ่ง ถูกแล้วเกาะแห่งนี้คือสถานที่อันเป็นที่กบดาน
ของเหล่าผู้ก่อการ การแทรกแซงสงครามและความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธโดยใช้ นักรบขององค์กรที่มีชื่อว่า Valkyrier
พวกเค้าเหล่านั้นคือผู้ถูกเลือกสรรโดยพระผู้เป็นเจ้า ให้ใช้สรรพวุธแห่งเทวทูต อันมีนามว่า Crisisor หรือเครื่องใช้แห่งวิกฤติ

……………

“ ให้ตายสิ….ให้มารวมกันขนาดนี้เนี่ย มันจะไม่มั่วเอาเหรอ ถึงจะเป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่อะไรก็เถอะ
แต่คนก็ใช่ว่าจะน้อยๆนะเนี่ย ”
เสียงบ่นดังขึ้นจากหญิงสาวที่เดินเตรดเตร่อยู่ ผมสีทองยาวสลวยของเธอพัดโบกปลิวไปกับ สายลมที่พัดผ่านท่าเทียบเรือ ของเกาะ
ซึ่งมีลักษณะเป็นสะพานหินปูนทอดยาว จาก ทำนบกั้นคลื่น ที่สร้างทับชายหาดเอาไว้
บริเวณรอบๆท่าเทียบเรือ มีเรือขนส่งมากมายและผู้คนหลากหลาย สัญจรผ่านไปมา
บ้างบางครั้ง ก็จะมียานยนต์ขนส่งผ่านไปมาเป็นครั้งคราว

“ ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ตอนนี้น่ะ ไอ้ที่เค้าว่ากันนั่นมันกำลังจะเป็นจริงขึ้นมาแล้วนี่ ”
ชายหนุ่มผมสีแดงชี้ตั้ง ในชุดเครื่องแบบแจ๊คเก็ตคอ ปกสีแดงกางเกงผ้าขายาวสีแดงเลือดหมูไล่ลงมาทั้งชุด
เอ่ยตอบคำถามปนเสียงบ่นของเธอเมื่อครู่ ขณะที่ พวกเค้าทั้งสอง กำลังเดิน ไปเรื่อยๆบน
ท่าเทียบเรือ ที่ทอดยาวไปนี้

“ เอ๋?..ไอ้นั่นที่ว่าเนี่ยหมายถึงคำทำนายของ Solomon ใช่เปล่า? ”
เธอ ทำตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจหันควับมาถามทันทีที่ได้รับฟังคำตอบจากเค้า

“ นี่ ไอ เธอก็รู้ๆอยู่ สาเหตุที่พวกเราต้องมาที่เกาะนี้ ก็เพื่อเรื่องนั้นไม่ใช่หรือไง ”
เค้า ตอบเธอแบบปัดๆด้วยสีหน้ารำคาญๆ กับทีท่าเหร๋อๆหร๋าๆ ตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงที่นี่

“ ก็แหมใครจะไปเชื่อลงล่ะ ไอ้คำทำนายวันสิ้นโลก นั่นน่ะฟังดูยังกะ นิทานหลอกเด็กยังไงก็ไม่
รู้ แล้ว ไรด์ ล่ะเชื่อด้วยเหรอ ”
เธอ ผู้มีชื่อว่า ไอ(Ai Lemuria) ย้อนถามความเห็นของเพื่อนหนุ่ม ไรด์ (Ryad Runevel)

รูปภาพ
รูปภาพ
“ เรื่องนั้นน่ะ เราไม่ต้องไปสนมันจะดีกว่ามั้ง เพราะไงๆซะ หน้าที่หลักของเราที่มานี่ก็คือมา
รับไอ้เจ้าสิ่งนี้ไปเท่านั้นเองนี่ แล้วก็ภารกิจนี่ก็เป็นแค่ตัวแถมด้วย ”
ไรด์ เปรยพร้อมกับ ชักเอา วงจักร โลหะขนาดเล็ก ออกมาจากกระเป๋า


“ ว่าไปมันก็จริงแฮะ….แต่ว่านี่น่ะเป็นครั้งแรกเลยนะที่ ฉันได้สัมผัสกับ Crisissor น่ะตอนทดสอบการตอบสนอง
น่ะนะ ฉันตื่นเต้นแทบตายเลย~~ นึกว่าจะชวดแล้วซะอีก ”
ไอ พูดพลางหยิบเอา หอกซึ่งมีปลายขวานติด จำลองขนาดเล็กเท่ากับ วงจักร ในมือของ ไรด์ ขึ้นมาควงเล่น

“ นั่นสิ…ว่าไปแล้ว ไอน่ะทั้งที่พึ่งจะมาเข้าร่วมกับ Empyrean Adjust แท้ๆแต่ก็ได้รับเลือกให้
เป็น Valkyrier ซะแล้ว Crisissor นั่นน่ะคือ OG7-04 Halbard of Luxuria สินะ ”
ไรด์ กล่าวพรางสอดส่องสายตาสำรวจ หอกขวานที่เธอควงเล่นอยู่

รูปภาพ

“ ของ ไรด์ ก็รหัส OG7-02 Chakram of Acedia ใช่มะ ดูเหมือนว่าจะเป็นรูปแบบจู่โจม
ระยะกลางล่ะสิ ”
ไอ ตอบกลับแบบเดียวกันไปบ้าง พร้อมกับเก็บ เอาหอกขวานที่ควงอยู่กลับเข้ากระเป๋าเสื้อ แจคเก็ต
เช่นเดียวกับ ไรด์

รูปภาพ

“ อาวุธขว้างน่ะ ฉันถนัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ของแบบนี้ก็เหมาะแล้วล่ะกับคนอย่างฉันเนี่ย ”
ไรด์ ตอบเสียงเนือยๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะมาสะดุด หยุดตรงข้างลำเรือ ขนส่งลำหนึ่ง

“ แต่ว่าพลังที่มากเกินไปมันจะทำให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกนะ!! ”
เสียงตะคอกดัง ลั่นขึ้นมาจาก ข้างเรือขนส่งที่พวกเค้าหยุดยืนอยู่ ต้นเสียงมา จากหญิงสาวผมสีทองสั้น
ไว้ปลายปรกแก้ม สายตาของเธอดูจะเป็นเดือดเป็นดาล อยู่ไม่น้อย ที่ข้างๆเธอนั้นหนุ่มเผ่าสมิงที่ดูเหมือนจะเป็นคน
คุ้มกัน นั้นพยายามรั้งแขนเธอไว้อยู่ด้วย ส่วนคู่กรณีของเธอนั้น คือชายวัยกลางคน จากท่าทางและชุด
ที่ชายคนนั้นสวมใส่คือสิ่งที่บอกยศอำนาจของชาย ผู้นั้นแก่พวกเค้าได้เป็นอย่างดี

“ นี่ๆ…นั่นน่ะท่านประธาน ลอว์เอน(Law-aen) รึเปล่าน่ะ ”
ไอ หันมากระซิบถาม

รูปภาพ

“ คงใช่แล้วแหละ ชุดแบบนั้นน่ะมันของประธานสภา องค์กรเราเลยนะ ”
คำตอบ ของ ไรด์ ได้ให้ความกระจ่างกับเธอไปเกินครึ่งเลยทีเดียว ทว่าที่เธอสนใจจริงๆนั้นไม่ใช่ตัว
ประธานหรือหญิงสาวที่เป็นคู่กรณี แต่เป็นตัว หนุ่มสมิงหมาป่า ที่สวมแว่นกันแดดสีดำที่ ยืนอยู่นั่นมากกว่า

รูปภาพ

“ คนคุ้มกันที่อยู่ข้างๆ เธอน่ะ รู้สึกคุ้นๆไหม ”
ไอ ถามพลางชี้ไปที่ตัว คนคุ้มกันให้ ไรด์ ดู

“ หืมมม! ไม่นี่ ไม่เห็นจะคุ้นเลยซักกะนิดเดียว ”
ไรด์ ปฏิเสธเสียงห้วนทันที ที่มองไปตามทางที่เธอชี้


“ ผิดแล้วล่ะ ท่านเซน่า (Zena Highday) เพราะสงครามมันยังไม่หมดไปจริงๆต่างหาก พวกเราถึง
ต้องมีกำลังอำนาจไว้เพื่อการนั้น ”
ประธาน ลอว์เอน อธิบายอย่างเย็นใจกับ คู่กรณีที่ เค้าเผชิญอยู่

รูปภาพ

“ ต…แต่ว่านั่นน่ะ...แล้วการรวมพลนี่อีกล่ะ คุณให้จากทุกสาขามารวมตัวกันหมดนี่….คิดที่จะเข้าแทรกแซงอีกงั้นเหรอ ”
เธอผู้เป็นคู่กรณี ก็ยังไม่ยอม และผายมือไปยังรอบๆบริเวณนี้ เพื่อชี้ให้ดูถึงสมาชิกขององค์กรมากมาย
ที่สัญจรไปมาอย่างคับคั่ง บนท่าเทียบเรือ

“ ผมก็บอกไปแล้วนี่ครับ ว่านี่น่ะมันไม่ใช่อย่างที่ ท่านเซน่า คิด พวกเราน่ะ…. ”

บรึมมมมมม!!!!!!

ประธานลอว์เอน ไม่ทันที่จะอธิบายใดๆ โกดังบนเขตทำนบกั้นคลื่น ก็เกิดระเบิดขึ้น พร้อมกับร่าง
ที่ ห่อหุ้มด้วยละอองอนุภาคสีแดง ถึงสามร่างด้วยกัน ทั้งสามร่างนั้น สวมชุดเกราะที่สร้างละอองอนุภาคเหล่านั้น

“ นั่นมัน!! ”
ผู้คุ้มกัน ของเธอ อุทานเมื่อได้เห็น ร่างทั้งสามนั้นจะๆ กับตาตนเอง

“ ละอองอนุภาคแบบนั้นมัน….Valkyrier!! ”
เธอ อุทานด้วยสีหน้าที่แสดงความตระหนกออกมาอย่างชัดเจน ท่ามกลาง ความสับสนอลหม่าน
ของผู้คนบนท่าเรือ

“ นั่นมันอะไรกันน่ะ! เกิดอะไรขึ้น? ”
ประธาน ลอว์เอน สบถ ถามกับเหล่าเลขาที่ ตามมา ขณะเดียวกัน ไรด์ และ ไอ ทั้งสองที่เห็นเหตุกาณ์
หันมามองหน้ากัน โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองรีบบึ่งออกจากก ที่นั่นตรงไปยังที่เกิดเหตุทันที

……………………..
ขณะเดียวกัน ที่ศูนย์ควบคุมของเกาะ ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นไม่แพ้ข้างนอกเช่นกัน คำถามเกิดขึ้นมากมาย
ใครและหรืออะไร เกิดอะไรขึ้น เป็นคำถามที่ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งห้องควบคุม ที่เรียงรายไปด้วยมอนิเตอร์
และแผงควบคุม ของแต่ละโต๊ะ

“ เงียบ!!! ”
เสียงตะโกนสั่งดังลั่นขึ้นมาในห้องก่อน ที่ทุกคนจะเงียบเสียง เสียพร้อมกัน ต่อพลังอำนาจของเสียงสั่งการ
ที่ดังมาจาก แม่ทัพหญิงผมสีเขียวยาวปกหู กับผู้ช่วยชาย ผมทรงสีเงินหยักศกที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

“ ขอให้ทุกคนกลับไปประจำหน่วยของตัวเอง รีบตรวจสอบความเสียหาย หน่วยสื่อสาร ติดต่อไปยังทุกหน่วยให้เตรียมพร้อมไว้ การระเบิดเมื่อกี้ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ ขอประกาศเข้าสู่ สภาวะสงครามระดับ 1!! ”
เธอ ออกปากสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งเฉกเช่นชาย สามชิกภายในห้อง ต่างรับฟังคำสั่งของเธอและเริ่มแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

“ สมเป็นเธอจริงๆนะ เมออาร์เน่(Mirana).. ”
ผู้ช่วยผมสีเงิน กล่าวชมเสียงเรียบ ขณะที่เธอ นั่งลงที่เก้าอี้ผู้บัญชา

รูปภาพ

“ สเวน(Swen) เธอเอง ก็รีบไปเตรียมพร้อมซะ อีกฝ่ายมันได้ Crisissor ไปไว้ในมือแบบนี้แล้ว
การปะทะคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ซะด้วยสิ ”
เมออาร์เน่ สั่งเสียงราบเรียบกลับไปใส่เค้า

รูปภาพ

“ รับทราบ!! ”
สเวนขานรับเสียงขึงขังเป็นการหยอกกลับ ก่อนจะเดินถอยออกมาจากห้องบังคับการ

“ เฮ้อ…..ศัตรูล่ะ!!หาเจอรึยัง!! ”
เธอ ถอนหายใจแผ่วๆก่อนจะออกปากถามเสียงแข็งอีกรอบ

“ ครับ!! รายงานตอนนี้อยู่ที่ บริเวณท่าเทียบเรือ ของเกาะครับ!! ”
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวสาร ที่ประจำอยู่ในห้อง เริ่มรายงาน

“ ดูเหมือนว่าศัตรูจะลักลอบเข้ามาและนำเอา Crisissor รุ่นใหม่ไป 3 เครื่องค่ะ!! ”
ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่หญิงหน่วยข่าวสารเช่นกัน จึงส่งข้อมูลจากแผงควบคุมของเธอ ให้ไปปรากฏบนจอ
มอนิเตอร์หลัก ก่อนจะรายงานต่อทันที

“ 3 เครื่องเลยงั้นเหรอ? เครื่องไหน?! ”
เมออาร์เน่ อุทานกับจำนวนที่ได้รับรู้ ก่อนจะยิงคำถามต่อทันที

“ OG7-03 Bow Gun of Avaritia OG7-06 Javalin of Gula OG7-07 Fang of Invidia ค่ะ ”
เจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมรายงาน

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ


“ Original 7 ซีรี่ย์น่ะเหรอ!! ”
“ ค่ะ! ”
เมออาร์เน่ ต้องอุทานขึ้นมาอีกรอบ โดยมีเสียงขานรับของ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดผิด

“ น่าแปลก…OG7 น่ะเป็นความลับสุดยอดขององค์กรเลย แล้วทำไมพวกผู้ก่อการร้ายถึงได้รู้ล่ะ…แต่ดูจากการที่พวกมันบุกเข้ามาแล้วเอาไปแค่ 3 เครื่องแบบนี้ก็แปลว่า พวกมันไม่น่าจะรู้ว่ายัง OG7 เหลือ อยู่…. ”
เมออาร์เน่ พึมพำกับตัวเองก่อน จะเริ่มออกคำสั่งอีกครั้ง

“ ลองตรวจสอบดูซิ! ถ้าอีกฝ่ายกล้าบุกเข้ามาในรังของศัตรูแบบนี้ จะต้องมีเรือธง ของพวกมันรออยู่ใกล้นี้แน่!! ”
สิ้นคำ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดภายในห้องก็ขาน รับพร้อมกันเริ่มทำการตรวจสอบตามคำสั่งทันที

“ อ้อ จริงสิช่วยเรียก ผู้ถือครอง OG7 ที่เหลือมาด้วย รวมถึงอีกคนที่พึ่งมาถึงเมื่อครู่นี้ด้วยนะ ”
เมออาร์เน่ หันไปสั่งกับ เจ้าหน้าที่ อีกนายที่นั่งประจำที่อยู่โต๊ะข้างๆเธอ

“ พรายด์ อัสแคร์!! (Pride Aska) ขออนุญาติครับ!! สถานการณ์เมื่อครู่นี้มัน… ”
เสียงรายงานตัวดังขึ้นพร้อมกับ เด็กหนุ่มวัย 15 ผมสีอัญชัญ จะเข้ามาในห้อง

รูปภาพ

“ อ้าว!มาพอดีเลย…นี่เธอน่ะ ตอนนี้รีบไปเตรียมตัวที่ฐานส่งตัวกับ เจ้าหน้าที่ สเวน แตร์เซส ซะส่วนสถานการณ์น่ะให้ถามเอาจากเค้าก็แล้วกัน ”
เธอ หันไปสั่งเด็กหนุ่มที่เข้ามาใหม่ทันที ก่อนที่เค้าจะรับคำและรีบวิ่งออกไป

“ แล้วการติดต่อที่ให้ทำเป็นไงบ้าง ผู้ถืครองอีก 2 คนล่ะ ”
เธอหันกลับ มาถามเจ้าหน้าที่ที่เธอฝากงานให้เมื่อครู่

“ ไม่ไหวค่ะ คลื่นรบกวนสูงมาก คงจะผลกระทบจาก พลังงานอนุภาค อิออนดิวเทเรี่ยม(Ion Duetarium)
ของ OG7 น่ะค่ะ ”
เจ้าหน้าที่ ตอบโดยที่ยังคงพยายามจะทำให้เครื่องตรงหน้าทำงานของมันให้ได้

“ ระบบ ECM สำหรับป้องกันการรบกวนยังไม่สมบรูณ์ ด้วยสิ งั้นคงต้องหวังพึ่งกับพวกเค้าสองคนซะแล้ว
….ให้ทั้งสองคนออกปฏิบัติการได้ ”
เมออาร์เน่ สั่งจบ เจ้าหน้าที่ก็ทำการติดต่อ ไปยังทั้งสองคนที่ถูกสั่งให้ไปเตรียมพร้อม

…………………….
……………………………………..

ลานกว้างหน้าอาคารทำการ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกนายกำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมกำลังป้องกัน แนวบังคับบัญชาที่อยู่ในอาคารนี้

“ อ๋อ! เจ้าหนูนั่นน่ะเหรอ ตอนนี้อยู่ข้างๆฉันแล้วล่ะ เมื่อกี้พึงอธิบายสถานการณ์ให้เสร็จไปเอง เอาไงต่อล่ะ
หา! ให้ไปที่แท่นส่งตัวเลยเหรอ นี่จะใช้ คาตาพัล ชาร์จ(Catapual Charge) ยิงจากที่นี่ไปที่หาดเลยงั้นเหรอ
….เข้าใจแล้ว งั้นให้สัญญาณด้วยก็แล้วกัน ”
สเวน กำลังสนทนาผ่านอุปกรณ์มือถือที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีขาว ซึ่งมีสายติดต่อตรงมาจาก
ห้องควบคุม ซึ่ง พรายด์ ก็อยู่ข้างเค้าแล้วในตอนนี้ เด็กหนุ่มมีสีหน้า กังวลเล็กน้อย กับสถานการณ์รอบตัว

“ เจ้าหนู เค้าบอกให้ไปแล้วแน่ะ..พร้อมรึเปล่า ”
สเวน หันมาถามเค้าพลางชี้ไปที่ พื้นรางคล้ายกับรางรถไฟ ที่อยู่ข้างๆที่อาคารทำการ

“ ครั้งแรกเลยสินะ เอาเถอะรบจริงกับรบจำลองมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก แค่อย่าตายก็พอ ไม่งั้นก็จบแค่นั้นล่ะ พร้อมไหม! ”
สเวน กล่าวเพื่อจะให้ เค้าหายกังวล แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้น
เค้าก็ไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกแล้ว จึงพยักหน้ารับไป พวกเค้าทั้งสองจึงวิ่งตรงไปที่
พื้นราง นั่น

“ เอาล่ะ เจ้าหนู รีบติดตั้ง Crisisor ซะ ”
สเวน สั่งพร้อมกับที่ตัวเค้า จิ้มนิ้วกดแป้นตัวเลบนเครื่องมือถือที่เค้าใช้ติดต่อเมื่อครู่ อย่างรวดเร็ว

/Code Standing By/
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นจาก เครื่องของเค้า ก่อนที่จะแตะนิ้วลงไปที่แถมแสกนข้างเครื่อง และรูด
ปาดมันทันที

/Code Slash/
สิ้นเสียง ก็ปรากฏเส้นแสงพุ่งออกมาจากแถบแสกนนั้น และค่อยพันไปรอบตัวของเค้ามิดทั้งตัว
ก่อนจะสลายออกพร้อมกับที่เปลี่ยนให้ สเวน ไปอยู่ในชุดเกราะสีเงิน ที่หลังติดอุปกรณ์ลักษณะคล้ายเป้สะพาย
ซึ่งมีปีกยื่นออกมา สเวน ก้าวเท้าลงไปยืนบนรางก่อนจะตั้งท่า เตรียมเหมือนกับนักกรีฑาที่กำลังจะออกวิ่ง

“ เอ้า! มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบติดตั้งเข้าสิ!! ”
“ ค..ครับ!! ”
สเวน หันไปท้วง พรายด์ ก่อนที่เค้าจะรับคำและหยิบเอา ปืนยาวจำลองขนาดเล็กขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ

รูปภาพ


“ Wake up!! Superbia!! ”
พรายด์ ตะโกนขึ้นสุดเสียง

/Set up OG Stand By/
เสียงทุ้มกังวานก้องขึ้นขานรับจาก ปืนจำลองนั้น ก่อนที่มันจะขยายขนาด จนใหญ่ขึ้นพอๆกับแขนของเค้า
และปล่อยละอองอนุภาคสีแดงออกมาคละคลุ้ง ละอองเหล่านั้นค่อยๆจับตัวรวมกันเป็นชุดเกราะสีอัญชัญ
และปีกร่อนสีดำ แก่เขา ทันทีที่เสร็จสิ้นการติดตั้ง พรายด์จึงรีบกระโดดลงไปยืนบนรางที่ขนานกับ รางที่ สเวน ยืนอยู่

รูปภาพ


“ ดีล่ะ! ทางนี้พร้อมแล้ว ให้สัญญาณได้เลย!! ”
สเวน กล่าว เสียงของเค้านั้น ถูกนำพาตามคลื่นวิทยุจากชุดเกราะ ส่งไปยังห้องควบคุม ที่ เมออาร์เน่ รอ
เสียงขานการให้สัญญาณของพวกเค้าอยู่

“ ใหสัญญาณการส่งตัวได้! ”
สิ้นคำของเมออาร์เน่ เจ้าหน้าที่ในห้องก็ทำการประกาศผ่าน ลำโพงที่ติดตั้งอยู่ทั่วตัวอาคาร

“ จากนี้เราจะทำการ ส่งตัว Valkyrier ออกไปปฏิบัติหภารกิจ ขอให้ผู้ที่ยืนขวางอยู่ในเส้นทาง
การสัญจรของ Catapual Charge รีบเคลื่อนย้ายค่ะ!! ขอย้ำ ”

เสียงประกาศดังขึ้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ ลานหน้าอาคารก็พากันแหวกทางออกจากรางส่งตัวของ
ทั้งสองเพื่อไม่ให้กีดขวางเส้นทาง

“ เส้นทาง Catapal Charge Clear ค่าแรงดันไฟฟ้า Clear Valkyrier Feodora Alpha เชิญออกได้ค่ะ!! ”
เสียงประกาศดังขึ้นพร้อมกับที่ รางที่ สเวน ยืนอยู่นั้นเรืองแสงขึ้นไล่ไปยาวตลอดแนวของ รางจนสุด

“ สเวน แตร์เซส วอลคีรีเออร์ ฟีโอโดร่า อัลฟ่า(Sven Tarexex Valkyrier Feodora Alpha) จะไปล่ะ!! ”
สิ้นคำ ปีกทั้งสองข้างที่แพคหลังของ สเวน ก็กางออก พร้อมพ่นละอองอนุภาคสีเขียวอ่อน ออกมา
และพาตัวเค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตามพื้นราง ก่อนจะทะยานตัวขึ้นสู่ฟ้า อย่างรวดเร็ว

รูปภาพ

“ ต่อไป!! Valkyrier Superbia of Sunday เชิญออกได้ค่ะ ”
เสียงประกาศ ครั้งต่อมาดังขึ้นพร้อมกับที่รางของ พรายด์เริ่มเรืองแสงขึ้นบ้าง
เค้ากลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเอง ตื่นเต้นทันทีที่แสงวิ่งจนสุดรางแล้ว
นั่นคือสัญญาณการออกตัวของเค้า

“ พรายด์ อัสแคร์ วอลคีรีเออร์ ซูเพอร์เบีย ออฟ ซันเดย์(Pride Aska Valkyrier Superbia of Sunday) ไปล่ะครับ!! ”
สิ้นเสียง ปีกทั้งสองของ พรายด์ ก็กางขึ้นพร้อมกับปล่อยละอองอนภาคออกมาแต่เป็นสีแดง ช่วยพาตัวเค้าซิ่งไปตามราง
ขนสุดก่อนจะทะยานตาม สเวน ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

รูปภาพ

“ การส่งตัวของ Valkyrier ทั้งสองคน เสร็จสิ้น!! จากนี้ไป ยานรบหลักประจำกองกำลังอิสระที่ 7 หน่วย Shagri-la ยาน รัฟอัส(Rufus) จะทำการออกยานค่ะ ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมารวมกันด้วยนะคะ! ”
เสียงประกาศดังขึ้น พร้อมกับ ตัวอาคารแยกออก เป็นสองเสี่ยง ภายในนั้นปรากฏยานรบที่มีส่วนหัวยานคล้ายหัวมังกร
สีม่วงคล้ำโผล่ออกมาแทน โดยที่ห้องบังคับการภายในอาคารนั้น ก็คือห้องควบคุมของยานลำนี้นั่นเอง
(Zalom Battle Ariship)

รูปภาพ

……………………
…………………………………….

“ Valkyrier Gula of Friday เหรอ อะไรกันเนี่ย ชื่อไม่เห็นจะเท่ตรงไหนเลย! ”
เด็กหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายที่บุกเข้ามา เอา Crisissor ไปบ่นพลางมอง หอกในมือของตน
เกราะที่เค้าสวมนั้นเป็นสีฟ้าอ่อนน้ำเช่นเดียวกับสีผมของเค้า ที่หลังมีอุปกรณ์คล้ายจานรับสัญญาณ
(Valkyrier Gula of Friday ) (Arul Needler)

รูปภาพ รูปภาพ

“ เลิกบ่นได้แล้วน่า อาวล์(Arul) ของฉันชื่อก็ไม่ต่างจากนายนักหรอกน่า Valkyrier Avaritia of Tuesday
ชื่อก็ลงท้ายด้วยวันเหมือนนายน่ะแหล่ะ ”
เด็กหนุ่มอีกคน สวนขึ้นด้วยท่าทีไม่พอใจ ชุดเกราะของเค้าเป็นสีสีน้ำเงินเข้ม และที่คาดหัวติดขนนกคล้ายอินเดียนซึ่งคาดอยู่ผมหยิกสีเขียวอาวุธประจำตัวของเค้า ธนูหน้าไม้จักรกล ที่มีรูปแบบดูน่าเกรงขามด้วย ใบมีดที่ยื่นขึ้นมา 5 ใบจาก
คันเล็ง (Valkyrier Avaritia of Tuesday)(Stag Greeder)

รูปภาพ รูปภาพ

“ ของ สแตกค์(Stag) เป็นวันอังคารเหรอ? ของสเตลท์ วันเสาร์ล่ะ ”
เด็กสาวผมสีทองสั้นที่อยู่ในกลุ่มของทั้งสาม ก็ออกความเห็นขึ้นมาบ้าง ชุดเกราะของเธอ เป็นเกราะเหล็กแข็งสีเขียวฟ้า
อาวุธของเธอ คือ ดาบที่มีใบดาบถึงสามใบแฉกออกมาเหมือนคล้ายสามง่าม และ โล่ติดกลไกสีดำ

(Valkyrier Invidia of Saturday)(Stellnic Leoric)

รูปภาพ รูปภาพ

“ ช่างเถอะน่า! เรารีบกลับไปที่เรือเถอะ อยู่นานๆไปเดี๋ยวมันจะ… ”
แสตกท์ เด็กหนุ่มผมสีเขียว เอ่ยยังไม่ทันจะจบดี อาว์ล เด็กหนุ่มอีกคน ก็หันปลายหอกชี้ลงที่เรือขนส่งด้านล่างที่
พวกเค้าทั้งสามลอยตัวอยู่เหนือมัน ละอองอนุภาคสีแดงที่กระจายออกมาจากตัวเกราะของเค้า ได้รวมตัวบีบอัดกันที่ปลายหอกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะระเบิดลำแสงสีแดงที่เกิดจากการบีบอัดอนุภาคสีแดง พุ่งลงไปจมเรือขนส่ง
ระเบิดในทันที

“ อย่าพูดเป็นเล่นน่า แสตกท์ ไหนๆแล้วขอสนุกหน่อยเถอะ!! ที่นี่มันไม่มี ไอ้ของแบบนี้อีกแล้วนี่ เพราะงั้นอาละวาดไปใครมันจะทำอะไรเราได้ล่ะ จริงมั้ย ฮะๆ ”
อาวล์ พูดปนขำเนื้อตัวเต้นระริกด้วยความลิงโลด ในพลังอำนาจที่ถือครองอยู่

/Chakram Strike/
เสียงทุ้มกังวานขึ้นพร้อมกันกับ ที่กงจักร สองอันหมุนควงเฉี่ยวแขนเค้าไปเพียงนิดเดียว ปลายแขนที่ถูกเฉี่ยวนั้น
ตัวเกราะถึงกับฉีกขาดได้ แสดงถึงความคมกริบและพลังทำลายของ จักรทั้งสองวงนั้น ณะที่เจ้าของผู้ที่ออกมารับ จักรทั้งสองกลับไปไว้ในมือ ได้ปรากฏตัวขึ้น หนุ่มผมสีแดง ในชุดเกราะลายพราง พร้อมกับ นักรบสาว ที่ลากเอา หอกขวานขนาดใหญ่ ขึ้นมา ด้วย
(Valkyrier Luxuria of Wensday)
(Valkyria Acedia of Monday)

รูปภาพ รูปภาพ

“ ชิ…นี่มันยังมีอันอื่นนอกจากที่พวกเรา ชิงเอามาอีกรึเนี่ย! ”
แสตกท์ สบถ พร้อมกับยกเอาธนูหน้าไม้ขึ้นเล็ง

/Spellic Arrow/
เสียงดังขึ้นทันทีที่ เค้าลั่นไกหน้าไม้ ลูกดอกลำแสง 5 ดอกถูกยิงกระจายออกมาพร้อมกันในคราเดียว

/Guardian Bit/
เสียงกังวานขึ้นจาก เกราะไหล่ขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของ นักรบหญิงก่อนที่มันพุ่งตัวออกจากไหล่ของเธอ
และเข้าปะทะกับลูกดอกลำแสง ลำแสงของลูกดอกทั้งหมดที่กระแทกเข้ากับ เกราะไหล่เหล่านั้น จะสลายไปทันที
โดยที่ตัวเกราะไม่มีความเสียหาย ด้วยการป้องกันแบบไร้ ระยะนี้เอง ทำให้ ลูกดอกทั้งหมดที่ แสตกท์ ยิงมานั้นถูก
ปัดออกไปได้หมด

“ ไรด์ ล่อมันไว้ทีนะ ฉันจะใช้ แอกเซลครัชเชอร์ จัดการพวกมันเอง ”
เธอ ตะโกนสั่งคู่หูหนุ่ม ขณะที่ ยกหอกขวานขึ้นประทับบนบ่า พร้อมกับพุ่งไปข้างห้นาอย่างรวดเร็ว

“ หนอย! ”
แสตกท์ สบถขึ้นพลางยิงลูกดอกไปและถอยหนีห่างออกไปด้วย แต่ทว่าการโจมตีทั้งหมดก็ถูก
เกราะไหล่ทั้งสองที่ทำหน้าที่เสมือนโล่ห์ คอยบินคุ้มครองให้ การโจมตีของเค้าจึงเข้าถึงตัวเธอไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ เฮ้ย!! ไอ อย่าอย่ารีบร้อนเด่ะ ฉันคุ้มกันให้ไม่ทันนะ เหวอ! ”
ไรด์ คู่หูของเธอ ตะโกน ขณะที่ ถูก อาวล์ไล่เอาหอก แทงต้อนไปเรื่อย จนต้องถอยแล้วถอยอีกเพื่อตั้งหลักจู่โจมเนื่องด้วยอาวุธของเค้านั้น ต้องอาศัยการขว้างออกไปโจมตีหากถูกประชิดตัวได้ ตอนที่ขว้างออกไปตัวเค้าก็จะไม่เหลืออะไรใหป้องกันตัวเลย

“ เสร็จฉันล่ะแอกเซลครัชเชอร์!! ” /Axel Chrusher/
เธอ ตะโกนขึ้นพร้อมกันที่ เสียงกังวานออกมาจาก หอกขวานของเธอ และรวบรวมละอองอนุภาคสีแดงที่แผ่ออกมาจากเกราะของเธอ มาฉาบไว้ที่คมขวานและปลายหอก และเมื่อเธอเหวี่ยงขวานลงหมายจะผ่า ร่างของ แสตกท์
ที่อยู่ตรงหน้าให้สะบั้นในทีเดียวนั้นเอง สเตลท์เด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มก่อการร้ายทั้งสาม ก็พุ่งเข้ามายกโล่
ของเธอรับคมหอกขวานของไอ ซึ่งแรงกระแทกจากการเหวี่ยงหอกขวานของ ไอ น่าจะทำให้เธอกระเด็นไปเลยทว่า
ราวกับแรงกระแทกเมื่อกี้มาจากการฟาดด้วยกระดาษเบาๆ เพราะโล่ของเธอไม่มีทีท่าจะร้าวหรือได้รับ
แรงกระแทกใดๆหนำซ้ำเจ้าตัวยังคงนิ่งได้โดยไม่รู้สึกอะไร

“ อย่ามา…ทำอะไร แสตกท์ นะ ”/Cerbius Slash/
สเตลท์ คำรามพร้อมกับเหวี่ยงดาบของเธอ ทันทีเสียงของดาบดังขึ้น ใบดาบทั้งสามของเธอนั้น
ก็เรืองรองด้วยแสงของอนุภาคสีแดง โชคดีที่ เกราะไหล่ของ ไอ เข้ามารับการฟันครั้งนี้ได้ทัน
เธอจึงโยกตัวฉาก ถอยออกห่างอีกฝ่ายทันที พร้อมกับ เรียกให้เกราะไลห่ของเธอกลับมา
ประกอบกับชุดเหมือนเดิม

“ เจ้าพวกนี้…ทั้งๆที่เป็นของที่โขมยไปแท้ๆแต่ไหงใช้กันคล่องแบบนี้ล่ะ ”
ไอ สบถ ขณะที่ยกหอกขวานขึ้นเตรียมบุกครั้งต่อไป

/Deep Lance/
เสียง ดังกังวานขึ้นพร้อมกับ ลำแสงสีแดงพุ่งตรงเข้ามาหา แต่ ไอ ก็หลบได้ทันพอดี
ลำแสงนั้นยิงมาจาก อาว์ล ที่ปะทะ กับ ไรด์ อยู่โดยอาศัยจังหวะทีเผลอยิง ใส่เธอ ต่อหน้า ไรด์
แต่นั้นก็เปิด โอกาส ให้ ไรด์ ถอยฉากไปทีเดียว ไกลพอจะโจมตีได้ในทันที

ทว่าเมื่อ ไรด์ เตรียมท่าที่จะขว้างออกไปนั้น ลูกดอกลำแสง ก็พุ่งลงมา ทำให้เค้า ต้องชะงักการขว้างเอาไว้
และรีบพุ่งตัวหลบ

“ ไม่ให้ทำได้หรอกน่า!! ”
แสตกท์ สบถ พร้อมกับรัว ลูกดอกลำแสง ใส่ลงมาไม่ยั้งมือ โดยที่ให้ สเตลท์ ประมือกับกับ ไอ ไปแทน
เพื่อที่ตัวเองจะได้ยิงสนับสนุน ได้ จำนวนคนที่น้อยกว่าทำให้ ร์ด กับ ไอ เริ่มเสียเปรียบในทันที
ที่อีกฝ่ายตั้งกระบวนจู่โจมได้พร้อมแล้ว

/Burst Breaker/
เสียงคุ้งกังวานขึ้น ก่อนที่ลำแสงสีแดงสายใหญ่จะพุ่งฝ่าวง เข้ามา จนทำให้วงล้อมของ ทั้งสาม ต้องถอยร่น
จาก พวก ไอ

“ ยังมีพวกมันอยู่อีกงั้นเรอะ?! ”
อาวล์ สบถ พลางหันมองซ้ายขวาเพื่อหาตัว ผู้ที่โจมตีเข้ามา ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เห็น
ก็มี Valkyrier อีกคนบินอ้อมหลังเค้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟาดดาบลงมา
ใส่โดยที่ไม่ทันระวังตัว ทำให้รับคมดาบเข้าไปเต็มๆ แต่กระนั้น ก็ยังได้ตัวเกราะ คุ้มกันเอาไว้ให้
จึงทำให้ไม่บาดเจ็บอะไรมาก

“ ชิ! แข็งเป็นบ้าเลย นี่น่ะเหรอ เกราะที่อาบ อนุภาค อิออนดิวเทเรี่ยม ”
Valkyrier ที่ฟันใส่ อาวล์ ไปเมื่อครู่ คือ สเวน สบถพร้อมกับทะยานเข้าไป ไล่ฟาดดาบลงเป็นพัลวัน
แต่ ครั้งนี้ อาวล์ สามารถยกเอา หอกขึ้นมาปัดได้บางส่วน แต่ความเร็วของ อีกฝ่ายก็ต้อนเค้าเสียจนมุม

“ อาวล์!...หนอย~ ”
แสตกท์ สบถก่อนจะเล็งหน้าไม้ไป เพื่อช่วย อาวล์ ทว่าก็มีลำแสงที่ยิงเข้ามาก่อนหน้านั้น พุ่งตัดเข้ามาอีก
ทำให้ต้องหันความสนใจออกไปอีกครั้ง

“ ฮึ่ย! เจ้านั่นเองเหรอ ”
แสตกทื สบถพร้อมกับหันไปยิงทิศที่ลำแสงพุ่งมา พรายด์ ที่ตาม สเวน ซึ่งเข้าไปรับมือ อาวล์ก่อนแล้วนั่นเอง
พรายด์ ลั่นไกรัวยิงลำแสงสาดใส่ ไม่หวังสอยให้ร่วงในครานี้ ทว่า อีกฝ่ายกลับ เร่งการสร้างละอองอนุภาคของเกราะ
จนฟุ้งและบีบรวมให้มันกลายเป็นกำแพงคุ้มกันการโจมตีของ เค้า

“ นี่พวกมันใช้เป็นแม้กระทั่ง อิออนฟิลด์(Ion Field)ด้วยงั้นเหรอ ! ”
พรายด์ อุทานเมื่อเห็นทักษะ ในการใช้ Crisissor ของอีกฝ่าย

“ เชอะ! เจ้านี่ละอองสีเขียวงั้นเรอะ… ”
อาวล์ เปรยพลางควงหอกในมือเพื่อปัดการ โจมตีของ สเวน ขณะที่สังเกตุเห็นว่าละออง
ของ สเวนนั้นเป็นสีเขียวสด ไม่ใช่สีแดงเหมือนกับคนอื่นๆ

“ นี่ฉันโดนเจ้ารุ่นเก่าที่ยังใช้ละออง อิออน ธรรมดาๆไล่ต้อนงั้นเรอะ! ”
อาวล์ สบถยัวะ ก่อนจะตวัดหอก ใส่ทำให้ สเวนต้องถอยฉากออกมา

“ หืม..รู้ว่า Crisissor ของฉันเป็นรุ่นเก่างั้นเหรอ…ดูท่าว่าพวกแกจะรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเราซะดิบดีเหลือเกินนะ ”
สเวน เปรยก่อนจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ อาวล์ กลับชิงทะยานตัวพุ่งลงน้ำไปแทน ก่อนจะหันลำกลับจากใต้น้ำ
ขึ้นมาหันปลายหอกเล็งยิง ลำแสงอนุภาค สวนขึ้นมา

“ ลงน้ำงั้นเหรอ… ”
สเวน สบถขณะที่ต้องบินโยกเพื่อหลบ ลำสงที่ อาวล์ สาดกลับขึ้นมาจากใต้น้ำ

“ หัวหน้า! ”
พรายด์ ส่งเสียงขึ้นพร้อมกับหันปากกระบอกปืนลงไปเล็งยิง ใส่ อาวล์ ทว่าทันทีที่ลำแสงพุ่งลงไปจะถึงตัว แล้วนั่นเอง
อาวล์ กลับดำลงไปใต้น้ำเพื่อหลบการโจมตี ลำแสงของ พรายด์ที่ ยิงไปเมื่อเจอกับน้ำก็ดับสลายไปทันที

“ นี่มันรู้แม้กระทั่งความสามารถเฉพาะตัวของ Gula of Friday ด้วยงั้นเรอะ! ”
สเวน อุทานเมื่อเจอกับลูกเล่นของอีกฝ่าย ที่ลงไปหลบอยู่ใต้น้ำทำให้การโจมตีของพวกเค้าลงไปไม่ถึงตัว
อาวล์

{ความสามารถของ Deeping Parasol ที่บนหลังอันนี้น่ะ นอกจากจะทำให้เคลื่อนไหวใต้น้ำได้แล้ว
ยังมีอีกเพียบเลย จะแสดงให้ดูเดี๋ยวนี้ล่ะ}
อาวล์ ที่ดำอยู่ข้างล่างคิดก่อนจะทะยานตัวไป ในน้ำอย่างสบายๆราวกับบินอยู่บนท้องฟ้า ค่อยๆว่าย
ไต่ระดับขึ้นไปจน แพคอุปกรณ์รูปจานรับสัญญาณ ที่แบกอยู่บนหลังโผล่พ้นน้ำเหมือนครีบฉลาม

/Cold Snaping/
เสียงกังวานขึ้นจาก แพคอุปกรณ์ที่โผล่พ้นน้ำ ใบจานวงกลมเริ่มหมุนปั่นรอบอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ลำแสงสีฟ้าจะระเบิดพุ่งขึ้นมา ลำแสงตรงมาที่ สเวน ขนาดของลำแสงกว้างมากเสีย จนเค้าหลบให้พ้นไม่ได้
ทว่าก่อนที่ลำแสงจะเข้าถึงตัว โล่เกราะไหล่ ของ ไอ ทั้งสองชิ้นก็พุ่งเข้ามาบังลำแสงนั้นเอาไว้ ทันทีที่
โล่เกราะ เหล่านั้นถูกลำแสงอาบ ก็ถูกแช่แข็งอยู่ในก้อนน้ำแข็งในทันทีก่อนจะร่วงหล่นลงไปในน้ำ

“ หัวหน้า ไม่เป็นไรนะคะ ”
ไอ เข้ามาถามสภาพของเค้า ทันทีโดยมี ไรด์ ตามมาด้วยติดๆ

“ อืม...เมื่อกี้ขอบใจมากถ้าไม่ได้ Guard Bit ของเธอกันไว้ให้ปานนี้คงได้กลายเป็นน้ำแข็งใสไปแล้วล่ะ ”
สเวน กล่าวจบก็มีลูกดอกลำแสง ดอกหนึ่งตรงลงมายังกลุ่มพวกเค้า ทว่า มันก็ถูกลำแสงจากปืนของ พรายด์ยิงปัดทิ้งไป
ได้ทันเสียก่อน

“ จริงสิ แล้วเด็กคนนั้นเป็นใครกันครับ หัวหน้า ”
ไรด์ ถามขึ้นพลางชี้ไป ที่พรายด์ ที่กำลังสู้อยู่

“ อ๋อ จริงสิพวกเธอสองคนยังไม่รู้สินะ นั่นน่ะเด็กใหม่ที่จะเข้ามาประจำการหน่วย Shangri-la ของเราไง ”
สเวน อธิบายขณะที่ ลำแสงแช่แข็ง ของ อาวล์ ถูกยิงตลบหลังมาอีก แต่คราวนี้ พวกเค้าทั้งสามสามารถหลบได้ทันก่อนอย่างหวุดหวิด

“ นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะมาคุยเท่าไหร่แหะ รีบจัดการเถอะ ”
สเวน สั่งก่อนที่พวกเค้าทั้งสาม จะหันลำลงไปเพื่อที่จะล้อม อาวล์ ที่อยู่ใต้น้ำพร้อมๆกัน

“ ย้ากกกกก!!! ”
เสียงตะโกนเฮโลของ เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าสเตลท์ ดังขึ้นพร้อมกันที่โล่ของเธอพุ่งตรงฝ่า ลำแสง
ที่พรายด์ ยิงสวนไปอย่างง่ายดายและเข้ามากระแทกจนเค้าร่วงลงไปที่ สะพานท่าเทียบเรือพอดี
ผู้คนที่กำลังทยอยหนีออกห่างการสู้รบ ด้านล่างจึงพลอยถูกแรงกระแทกกระเด็นตกน้ำไปบ้างก็มี
โดยที่ พรายด์ ที่กระเด็นลงมานั้น ร่างของเค้าแทบจะจมลงไปในสะพานเลย

“ เซน่า! เซน่า! ”
เสียงตะโกนเรียกของ ใครบางคนดังขึ้นข้างๆเค้า ทันทีท่ลืมตาขึ้นหันไปดู หนุ่มเผ่าสมิงที่มีหูสุนัขป่าซึ่งเป็นผู้คุ้มกัน
ของ เซน่า หญิงสาวที่มีปัญหากับ ประธาน ลอว์เอน ก่อนเกิดเรื่อง กำลังพยายามเรียกสติของ เซน่า ที่สลบไปเพราะ
แรงกระแทก จากการตกของ พรายด์ เมื่อครู่

“ ฮะ ฮ่า!! เสร็จฉันล่ะ ลาก่อนนะ! ”
แสตกท์ เปรยอย่างผู้มีชัย ก่อนจะเล็งหน้าไม้ลงมาที่ พรายด์ ที่นอนเจ็บอยู่บนสะพาน โดยที่มี เซน่า และ องค์รักษ์อยู่ข้างๆ
นั้นด้วย ลูกดอกถูกรัวยิงลงมา พรายด์ รีบทำการรวมประจุอนุภาคของเค้า กางกำแพงพลังงานขึ้นป้องกันทั้งตัวเค้า
และอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆด้วย

“ บ้าเอ๊ย! นี่! อาวุธนายอยู่ที่ไหนน่ะ ”
หนุ่มสมิงผู้คุ้มกัน หันมาถามเค้า

“ ฉันเหรอ? ”
พรายด์ ถามกลับพลางชี้มาที่ตัวเองอย่าง งงๆ

“ ก็ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะมีใครอีกเล่า! ”
หนุ่มสมิงผู้คุ้มกัน ย้อนคำเร่งเพราะ การโจมตีของ อีกฝ่ายนั้น เริ่มที่ทะลุกำแพงลงมาบ้างแล้ว

“ ย..อยู่ที่ข้างขานายไง ”
พรายด์ พูดสะดุดๆเพราะต้องออกแรงและสมาธิควบคุม เกราะพลังงานให้แข็งขึ้นพอที่จะทนการโจมตีให้ได้
ขณะเดียว กัน หนุ่มสมิงผู้คุ้มกัน ก็หยิบเอา ปืนยาวของเค้าขึ้นประทับเล็ง ไปที่ แสตกท์ ทันที

“ ฮ…เฮ้เจ้าบ้าอะไรของนายน่ะ นั่นมัน Crisissor ไม่ใช่ปืนธรรมดาๆ ที่ใครๆจะยิงกันได้นะ ”
พรายด์ สบถ เมื่อเห็นว่า หนุ่มสมิง คิดจะใช้ปืนของเค้าตอบโต้ศัตรูกลับไป

“ ฉันรู้หรอกน่า แต่ขืนปล่อยไว้แบบนี้ ทั้งฉัน ทั้งนาย แล้วก็ เซน่า ตายกันหมดแน่ ฉันจะนับถึง 3 นะพอถึงตอนนั้น
Crisissor ของมันน่าจะต้องทำการ Delay การโจมตีแบบอัตโนมัติ จังหวะนั้นรีบปลด อิออนฟิลด์ ซะ!!เข้าใจไหม!! ”
สมิงหนุ่ม สั่งแม้ว่าสิ่งที่เค้าผู้นี้กำลังจะทำนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในความคิดของ
พรายด์ แต่ตอนนี้ตัวเค้าเองก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะยิง สวนกลับไปได้ด้วยตัวเอง

“ จะลองเสี่ยงดูก็ได้แต่เกิดไรขึ้นฉันไม่รู้ด้วยนะ ”
พรายด์ กล่าวพร้อมกับตั้งสมาธิไปที่การควบคุม กำแพงพลังงานแทน เมื่อเห็นดังนั้น สมิงหนุ่มจึงเริ่มนับทันที

“ 1 ”

สิ้นการนับ ในครั้งนี้จำนวนลูกดอกเริ่มที่จะ แผ่วความถี่กับจำนวนลงไปเรื่อยๆ

“ 2 ”
ลูกดอกค่อยๆลดจำนวนลง การโจมตีของอีกฝ่าย เริ่มซาลงไปเรื่อยๆ

“ ชิ! อิออนฟิลด์นั่นอะไรมันจะแข็งขนาดนั้น เจาะไม่เข้าเลย เชอะ! อีกเดี๋ยวก็จะถึง Delay ของอาวุธเราแล้ว
แต่ไม่ทันให้แกลุกได้หรอกน่า ”
สแตกท์ สบถแต่ก็ยังคงความคิดที่ว่าตนได้เปรียบอยู่ เพราะ Valkyrier อีกสามคน ยังคง
ไล่ต้อน อาวล์ ไม่สำเร็จ

“ 3 ตอนนี้แหละ!! ”
สิ้นคำของ สมิงหนุ่ม ลูกดอกทั้งหมดของ สแตกท์ ก็หยุดพุ่งลงมา พร้อมกับที่กำแพงพลังงานของ
พรายด์ถูกปลดออก สมิงหนุ่ม รีบลั่นไก ออกไปทันที ลำแสงสีแดงที่พุ่งออกจากปากกระบอก
ไปนั้นมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่า ที่ พรายด์ยิงเองเสียอีก ความรุนแรงของมันนั้นสร้างแรงสะท้อนชนิดที่ว่า
สมิงหนุ่มเอง ก็แทบจะยืนไม่อยู่เหมือนกัน ทว่าลำแสงที่ยิงไปนั้น กระแทกเฉี่ยวไปโดน หน้าไม้ของ สแตกท์ พอดี
อาวุธนั้นถึงกับช๊อต จนไม่สามารถยิงได้ชั่วขณะ

“นี่ บ…บ้าอะไรกันเนี่ย ”
สแตกท์ สบถ หน้าไม้ของเค้า ไม่สามารถใช้ยิงได้อีกซักพัก ท่ามกลางความตกตะลึง
ของอีกฝ่าย ลำแสงอีกนับ สิบก็ถูกรัวยิงสวนขึ้นมา สเตลท์ ที่จะยกโล่ขึ้นมาป้องกันบังถูกยิงเข้าตรงจุดบอดของ โล่
จนกระเด็นหลุดมือไป เพียงพริบตาเดียว ทั้งสองก็กลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง

“ โห! นั่นอะไรน่ะ ”
ไรด์ อุทานทันทีที่เห็นห่าลำแสงนับสิบถูกรัวสาดขึ้นจากสะพาน

“ ฝีมือพรายด์ เหรอ! ”
ไอ เองก็ตกใจไม่แพ้กันกับฝีมือการยิง ที่ชนิดเรียกได้ว่าแม่นสุดๆ เพราะทุกเป้าที่ยิงไม่มีลำแสงไหนเบนออกจาก เป้าเลย
กำแพงกพลังงานที่อีกฝ่าย สร้างขึ้นเพื่อต้านเอาไว้ ก็ถูกย้ำจุดยิง จนแตกทลายลงในการยิงไม่กี่ครั้ง

{เชอะ ถึงแกจะยิงแม่นแค่ไหนก็เถอะ แต่ถ้าอยู่ใกล้น้ำแกก็เสร็จฉันล่ะ กลายเป็นน้ำแข็งลงไปเล่นน้ำทะเลซะ}
อาวล์ ที่ว่ายอ้อม ไปที่ข้างสะพานที่ พรายด์ อยู่ค่อยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเพื่อเตรียมที่จะยิงแสงแช่แข็ง

“ ข้างล่าง! ใต้น้ำเหรอ! ”
สมิงหนุ่มเปรยกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับหูสุนัขที่กระดิกไปมาเพื่อรับฟังเสียงแหวกผิวน้ำของ อาวล์

“ ตรงนั้น!! ”
สิ้นคำ สมิงหนุ่มรีบหักปากกระบอกปืน กลับไปข้างหลัง รัวยิงใส่ อาวล์ ที่พุ่งจากน้ำขึ้นมาเพื่อจะยิงพวกเค้า
กลับถูกกระสุนแสงสามนั้นซ้อนติดๆยิง ทำลายตั้งแต่ หอก และแพคอุปกรณ์ยิงแสงที่หลัง พร้อมกับถูกยิง
กระเด็นไปกองอยู่ที่ฝั่งในทันที

“ ส…สุดยอดเลย…นี่นาย…เป็นใครกันแน่เนี่ย ”
พรายด์ ที่ได้เห็นฝีมือการยิงระดับเหนือคาดของ เค้า อดที่จะถามด้วยความทึ่งไม่ได้

“ ตอนนี้ล่ะ สเตลท์ ฟันมันเลย! ”
เสียงของ แสตกท์ ดังขึ้นพร้อมกันนั้นเอง สเตลท์ ได้พุ่งลงมาเงื้อดาบสามง่ามขึ้นจะฟัน

“ ช้าไป… ”
สิ้นคำ ไกปืนก็ถูกลั่นออกไปอีกสามนัดรัวติดๆ สเตลท์ ที่บุกเข้ามาก็ถูกยิงกระเด็นกลับไปแทน
ก่อนที่ สแตกท์ จะพุ่งมารับตัวเธอ เอาไว้ได้ทัน

“ บ..บ้าเอ๊ย เจ้านั่นมันเป็นใครกัน..ทำไมถึงได้เก่งแบบนี้…ไม่ไหวแล้ว อาวล์ เรารีบถอยกันเถอะ
ของก็ได้มาแล้วด้วยอยู่ต่อไม่ดีแน่ ”
สแตกท์ สบถอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก่อนจะตะโกน เรียก ให้ อาวล์ ที่พึ่งฟื้นจากอาการจุกที่ถูกยิงจนกระโจนมาติดฝั่ง

“ เออ!!…ไม่บอกก็โกยอยู่แล้วเฟ้ย!! ”
เสียงตะโกน ตอบกลับของ อาวล์ ดังขึ้นก่อนที่ จะกระโจนลงน้ำและว่ายไปสมทบกับ พวก สแตกท์

“ อ๊ะ! อย่าให้พวกมันหนีไปได้นะตามไปเร็ว! ”
สเวน สั่ง ก่อนที่ตัวเค้า ไอ และ ไรด์ จะรีบทะยานตัวไล่ตามไป

ขณะเดียวกันที่ สะพาน สมิงหนุ่ม ได้วางปืนของ พรายด์ ลงด้วยสภาพเหนื่อย อ่อนจากการรับแรงสะท้อนของ
ปืนตลอดการยิง

“ นี่นาย! ไม่เป็นไรนะ ยิงไปซะขนาดนั้นแถมไม่ได้ใส่ ชุดเกราะไว้อีกทนเข้าไปได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ”
พรายด์ ถามด้วยเป็นห่วงในสภาพร่างกายของสมิงหนุ่มตรงหน้า ที่ฝืนใช้ปืนของเค้าไปแบบนั้น
ทว่า อีกฝ่ายดุจะไม่ยอมสนใจตัวเค้าเลยแม้แต่ น้อยหรือแม้แต่สภาพร่างกายของตัวเอง
สิ่งที่ สมิงหนุ่มเป็นห่วงกว่าก็คือ อาการบาดเจ็บของ หญิงสาวที่ตนต้องคุ้มครองมากกว่า

“ พรายด์ มัวทำอะไรอยู่ รีบตามมาเร็วพวกมันจะหนีไปแล้ว.. ”
เสียงติดต่อของ สเวน ดังขึ้นจาก หมวกเกราะของ พรายด์

“ อ่ะ…ครับ!! ”
พรายด์ ตอบกลับไปทั้งที่ยังห่วงทางนี้อยู่แต่เมื่อเป็น คำสั่งเค้าจึงต้องตัดใจ บินจากไปทิ้งให้ สมิงหนุ่มที่ช่วยพวกเค้าไว้
แบกร่างของ หญิงสาวที่หมดสติ เดินไปบนยะงฝั่งเพียงลำพัง
…………………….
…………………………………

หมู่เกาะ ชายฝั่งอ่าวนีรันด้า

ห่างออกจาก แนวเชื่อมต่อของทะเลสาบนีรันด้ากับทะเลไป หมู่เกาะเล็กๆทางตอนใต้ของทวีปเมอริเซียนี้
มีเกาะเล็กๆที่สงบสุขตั้งอยู่ เกาะแห่งนี้เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ ด้วยสะพานธรรมชาติ ที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลงกับเกาะเล็กเกาะย่อย เชื่อมต่อกันด้วย สะพานที่มนุษย์สร้างขึ้นอีกที
โดยไปลงที่ท่าเรือของ มิราบิลิส ระยะทางต้องใช้ม้าในการเดินก็จะข้ามฝั่งได้ ภายใน 2 ชั่วโมง

ที่เกาะแห่งนี้มี คฤหาสน์ปลูกอยู่หลังหนึ่ง เป็นรู้จักกันของชาวทวีปเมอริเซีย ว่านี้คือเกาะส่วนพระองค์ของ
มหารานี เซน่า ไฮเดย์ ที่ทรงครองราชราชอาณาจักรแห่งมหานคร เมกาโทโปรลิส บนแผ่นดินใหญ่ เมอริเซีย
มหานครอันเป็นใจกลางแห่งเมอริเซีย

…………..

ครืน…..ซ่า…..ครืน…ซ่า~~~

เสียงคลื่นพัดเข้าหาฝั่งตัด กับเสียงลมทะเลที่พัดโหมเข้ามาเมื่อแสงตะวัน ยามเย็นเริ่มคล้อยฟ้า
ชายหนุ่มผมสีทองชี้แหลม แหงนเงยมองเส้นขอบฟ้าที่อีกฟากของเทะเล ด้วยแววตา สลดที่ราวกับคำนึงหาอะไรอยู่

รูปภาพ

“ มองหาอะไรอยู่หรือ….เรกกะ … ”
เสียงขานนามของเค้าดังขึ้น ก่อนที่ หญิงสาวผมสีชมพูสั้นบ๊อบ จะเดินเข้ามาหาเค้าอย่างช้าๆ
เค้าตอบเธอเพียงแค่ ส่ายหน้าเท่านั้น

รูปภาพ


“ งั้นก็เป็นห่วง เซน่า งั้นสิ…เฟนท์ ก็ตามไปคุ้มครองให้อยู่แล้วลองมีบอดี้การ์ด เก่งขนาดนั้นต่อให้
โดนมังกรขึ้นไปอาละวาดบนเกาะก็ยังไม่ต้องห่วงเลยด้วยซ้ำ ”
เธอ ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ ทว่าคำตอบเค้าก็ยังคงเป็นเพียงการส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเดิม
ทั้งคู่เงียบไปอยู่ซักพัก เธอรอให้เค้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่เมื่อรออยู่นานแล้ว
เค้าก็ยังคงเงียบอยู่ เธอจึงหันกลับเพื่อที่เดินจากไป

“ ฉัน….กำลังคิดอยู่…. ”
เสียงของเค้าดังขึ้นทำให้เธอต้องหยุดก้าว และถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับนิสัยของของเค้าที่ชอบรอ
จนเธอเบื่อแบบนี้ทุกที

“ คิดอะไรล่ะ… ”
เธอ ถามกลับโดยไม่หวังว่าเค้าจะตอบหรือไม่

“ ฉันน่ะ….ตัวฉันน่ะ…อยู่ต่อไปแบบนี้มันจะ…ดีเหรอ… ”
เค้าตอบเสียงสะดุดเป็นครั้งๆ ด้วยความลังเลที่แฝงมากับคำพูด

“ คนที่บอกฉันว่าการมีชีวิตอยู่ คือสิ่งที่ถูกต้อง…มันนายเองไม่ใช่เหรอ เรกกะ ”
เธอตอบเค้าสั้นๆ ห้วนๆ ก่อนจะเดินจากออกไป

…………………………………..
………………………………………………….
………………………………………………………………..

ขณะเดียวกันที่ เกาะของ Empyrean Adjust

“ อุ….อือ~~~ ”
เสียงครางของหญิงสาวที่พึ่งฟื้นขึ้น ในอ้อมแขนของ สมิงหนุ่ม ดังขึ้น

“ ฟื้นแล้วเหรอ…เดินเองไหวรึเปล่า ”
สมิงหนุ่ม ถามพลางวางตัวเธอลงให้ยืนด้วยขาตัวเองหลังจากที่แบกมาตลอดทาง

“ ขอโทษนะ ฉันเนี่ยชอบเป็นตัวถ่วงอยู่เรื่อยเลย ”
หญิงสาว กล่าวพลางเอามือกุมหน้าผากที่ยังรู้สึกมึนๆอยู่

“ ไม่เจ็บตรงไหนนะ ”
เค้า ย้ำถามเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ เธอพยักหน้าตอบเค้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเดินเซๆอยู่

“ ส่งแขนมาสิ จะประคองให้ ถ้าไปที่อาคารทำการหลักแล้วหาทางติดต่อท่านประธาน ลอว์เอน อีกครั้งได้แน่ ”
เค้ากล่าว ให้กำลังใจเธอก่อนจะรับแขนที่เธอส่งมาพาดไว้บนหลัง และพาประคองเดินตรงไปยัง
อาคารที่แยกเป็นสองเสี่ยงอยู่ตรงหน้าพวกเค้าทั้งสองในตอนนี้

………………

“ บ้าเอ๊ย!! พวกมันยังตามติดหนึบอยู่เลย…อาวล์!! ”
สแตกท์ สบถ ขณะที่ เร่งความเร็วทะยานหนี การไล่ล่า ของพวก สเวน โดยตะโกนให้สัญญาณ อาวล์

“ รอ อยู่ตั้งนานแล้วเฟ้ย!! ” /Ever Blue Strike/
อาวล์ พุ่งขึ้นมาจากน้ำขานรับและตวัดหอกในมือ พร้อมกับเสียงคุ้งกังวานจาก หอกของเค้า
รัศมีการตวัดหอกนั้น สร้างคลื่นลมที่พัดพาละอองสีแดงที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ละอองทั้งหมดที่
ที่กลายเป็นสีฟ้า ทำให้น้ำในอากาศ เริ่มจับตัวแข็งเป็นแท่งผลึกแหลมคม นับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาราวพายุโหม
แต่พวกเค้าก็สามารถกางเกราะป้องกันไว้ได้ทัน แต่กระนั้น สแตกทื ก็รอโจมตีต่อเนื่องทันที

“ เอาไปกินซะ!! ”/Gaizer Gunner/(จักรพรรดิ์มือปืน)
สิ้นคำของ สแตกท์ หน้าไม้ของเค้าก็เริ่มรวบรวมละอองอนุภาค มาประจุไว้ ก่อนจะระเบิด
สายลำแสงสีแดง สาดลงไป 5 สายใหญ่ แต่ล่ะสายมีขนาดเท่าเสาค้ำมหาวิหารเลยทีเดียว
การโจมตีนี้ ทำให้ น้ำทะเล กระจายขึ้นมา กลายเป็นหมอกไอน้ำ หนาจนมองไม่เห็นอะไรรอบตัวเลย

“ มองไม่เห็นเลย พวกมันไปไหนกันแล้ว ”
สเวน สบถพลางหันซ้ายทีขวาที แต่รอบๆก็เต็มไปด้วยหมอกไอน้ำ

“ โฮ่ๆ ถึงคิวผมออกโรงซักทีสินะ ” /Sight Goggle/
ไรด์ พูดเสียงร่า ขณะที่เลื่อนแว่นกันลมที่คาดหัวไว้ลงมาสวม เลนส์ของแว่นนั้น ทำให้เค้าสามารถมองทะลุ
หมอกควัน รอบๆไปได้ และเห็น เป้าหมายของพวกเค้าชัดแจ๋ว

“ ดูเหมือนพวกมัน จะหนีไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะนะครับ จะออกจาก เขตม่านพรางตาแล้วด้วย ”
ไรด์ รายงานไปยังพวกเค้าทั้งหมด

“ ถ้างั้นเราต้องรีบกันหน่อยแล้ว เมื่อกี้ กัปตันเมออาร์เน่ ติดต่อมาว่าอาจมีเรือธงรอพวกมันอยู่ข้างนอกนั่น ”
สเวน ออกคำสั่งจบ ทุกคนก็พากันทะยานออกจากกลุ่มหมอก และ บินอ้อมไปดัก แทน

“ เชอะ! ตื้อจริง ”
สแตกท์ สบถ ตอนนี้พวกเค้า ถูก สเวน และ คนอื่นๆล้อมเอาไว้เสียแล้ว

“ สเตลท์ จะจัดการ.. ”
สเตลท์ เอ่ยขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว กระชับดาบในมือ ก่อนจะตรงรี่เข้าไป หา สเวน แต่เค้าก็ใช้ดาบต้านเธอเอาไว้ทัน

“ ถึงจะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย! ”
สเวน สบถก่อนจะยันเท้าถีบ จนเธอกระเด็นออกไป พร้อมกับหมุนดาบให้หันปลายชี้ลง

“ เอาของเก่าไปชิมดูหน่อยเป็นไง ” /Dragon of Mind/
สิ้นคำ ละอองอนุภาคสีเขียวของเค้าก็ไปอัดรวมแน่นกันที่ ดาบและเมื่อตวัดออกไป คลื่นลำแสงรูปเสี้ยว
ก็พุ่งตรงรี่เข้าไป หา สเตลท์ ที่ยังไม่ทันตั้งหลัก

“ ข้าแต่เจ้าแห่งปีศาจ Jigoku ผู้เป็นใหญ่เหนือมวลปีศาจ ขอจงมอบลมหายใจสุดท้ายแก่อริข้า Sumizome ”
เสียง บริกรรมคาถา ดังขึ้น ก่อนที่ คมดาบแสงจะเข้าถึงตัวเธอ ไอหมอกสีดำได้ พุ่งกระจายเข้ามาสูบกินเอา
คมดาบนั้นก่อนจะสลายไป

“ ใครกัน! ”
พรายด์ สบถ พร้อมหันปืนไปเล็ง ยังเจ้าของคาถาเมื่อครู่ ชายในชุดคลุมสีหม่น คาดผ้าปิดไว้ครึ่งหน้าล่าง
กำลังลอยตัวอยู่เหนือพวกเค้า (Outlaw Onmyoji)

รูปภาพ

“ เมื่อกี้….มันไม่ผิดแน่ วิชาของ องเมียวจิ(Onmyoji) ”
ไอ เปรยเสียงแผ่ว เธอรู้จักวิชานี้ดีกว่าใครๆ

“ องเมียวจิ…ผู้ใช้ศาสตร์ลับแห่งนิคโคอุ น่ะเหรอ ”
ไรด์ อุทานขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำตอบของ ไอ

………………………….
………………………………………….

“ เอาล่ะ การเตรียมพร้อมเสร็จสิ้นแล้ว รัฟอัส ออกยานได้!! ”
เมออาร์เน่ ออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ ระบบทั้งหมดในห้องจะเริ่มทำงานพร้อมกัน
ข้อมูลต่างๆปรากฏขึ้นมากมายบนหน้าจอมอนิเตอร์ ภายในห้องบังคับการ ยานรบ รัฟอัส
เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นภายใน ยานขณะที่ตัวยสานกำลังเคลื่อนออกจาก อาคาร

ขณะเดียวกันนั้นเอง…..

“ ว้าย! ”
เซน่า หญิงสาวผู้มากับผู้คุ้มกันสมิงหนุ่ม ต้องกรีดร้องด้วยความตกใจ กับแรงสะเทือน ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว
โดยที่ก่อนจะทันเซล้ม สมิงหนุ่มเข้าพยุงตัวเธอ เอาไว้เสียก่อน

“ ไม่เป็นไรนะ! ”
สมิงหนุ่มถาม ด้วยความเป็นห่วง

“ อืม..ว่าแต่ เฟนท์ แรงสะเทือนเมื่อกี้มัน… ”
เซน่า รับคำเบาก่อนจะถามกลับบ้าง แต่ยังไม่ทันที่คำถามของเธอจะได้คำตอบนั้น เอง ก็มีประกาศ
ดังขึ้นจากลำโพง ในยาน

“ ขอประกาศ ยานรัฟอัส จะเข้าสู้สภาวะสงครามในอีก 5 นาที ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกนายเข้า
ประจำตำแหน่งของตนด้วยค่ะ ”
เสียงประกาศจากลำโพงนั้น ทำเอาทั้งสองแทบช๊อคทั้งยืน นี่พวกเค้าหนีจากอันตรายมาเจออันตรายเสียเอง
อาคารที่พวกเค้าคิดว่าจะเข้ามาขอ ความช่วยเหลือกลับกลายเป็นยานรบไปเสียนี่

…………….
………………………………..


“ อ๊า~~ ”
เสียงกรีดร้องของ ไอ ดังขึ้นหลังจาก ถูกโจมตีด้วย มนต์อาคมของ อีกฝ่ายที่เป็น องเมียวจิ
จนกระเด็น ปลิว ตกทะเลไป

“ ไอ! ”
ไรด์ ตะโกน ขณะที่จะตามลงไปช่วยนั้น อาวล์ ก็พุ่งขึ้นมาจาก ทะเลและลากเค้าลงทะเล ตามไปอีกคน

“ ไรด์!! …อ..หนอย ”
สเวน ตะโกน แต่เค้าก็ไม่สามารถปลีกตัวลงไปช่วยได้ เพราะ สเตลท์ และ สแตกท์ ทั้งสองเข้าคู่
โจมตีพร้อมๆกันจนเค้าต้องถอยหนีแต่ฝ่ายเดียว

“ ย้าก!! ”
พรายด์ กราดยิง ลำแสงใส่ ทว่าทุกนัดที่ยิงไป นั้นทะลุผ่านร่างของ องเมียวจิ ลึกลับผู้นี้ไปจนหมด

“ บ้าเอ๊ยแล้วแบบนี้จะสู้ยังไงเนี่ย! ”
พรายด์ สบถ แต่ก็ยังคงยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวกเค้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบเต็มๆไปเสียแล้ว

……….

“ เป้าหมายกำลังปะทะอยู่กับหน่วย Shangri-la ที่ทิศ 12 นาฬิกาค่ะ ”
เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธประจำยานรายงาน ขึ้นเสียงดัง ภายในห้องควบคุมของยาน รัฟอัส (Zalom Battle Ship)

รูปภาพ

“ เปิดช่องมิสไซล์ ใต้ยาน บรรจุกระสุน แฟร์ ”
เมออาร์เน่ เปิดฉากสั่งการในทันที ช่องยิงส่งวัตถุระเบิดใต้ท้องยาน เปิดออก
พร้อมกันกับหัวรบ นับสิบลูกยื่นโผล่พ้นปากกระบอกออกมา

“ Flare Missile ยิง!!! ”
สิ้นคำ ของเธอหัวรบ ทั้งหมดพุ่งตรงไปยังเป้าหมายทันที

“ บ้าเอ๊ย! นี่ยานแม่พวกมันมาแล้วงั้นเหรอ!! ” /Spellic Arrow/
สแตกท์ สบถขึ้นอีกครั้ง พร้อมหันหน้าไม้ ไปสาดลูกดอกเวทย์ สวนหัวรบเพลิงที่ยิงมา
เปิดโอกาส ให้ สเวน ที่ถูกรุม อยู่สลัดพ้น สเตลท์ ออกมาได้ และรีบทะยานตัวลงไปช่วย
ไรด์ ที่กำลังยื้อ กับ อาวล์ อยู่ทันที

“ ฮึ้ย!! เจ้าบ้า สแตกท์ ปล่อยมันมาซะได้ ”
อาวล์ สบถ ก่อนจะปล่อย ไรด์ และรีบดำลงน้ำหนีไปทันที เพราะ สเวน บุกตรงเข้ามาจนจะถึงอยู่ในอีกช้านี้

“ รีบถอยกันได้แล้ว อาวล์ สแตกท์ สเตลท์นิก ”
องเมียวจิลึกลับ สั่ง ก่อนที่ ทั้งสาม จะมารวมตัวพร้อมกับเค้า ขณะเดียว ไรด์ ที่ สเวน ช่วยขึ้นมาแล้ว
ก็เตรียมจะมาสมทบกับ พรายด์

“ แค่กๆ…ให้ตายสิ.. ”
ไอ สบถพลางสำลักน้ำไป ขณะที่ตะเกียกตะกายขึ้น ยาน รัฟอัส ที่โฉบลงน้ำมาจอดรับเธอ
โดยมีเจ้าหน้าที่ภายในยานมาช่วยดึงขึ้น ชุดเกราะของ เธอและอาวุธกลับคืนสภาพเป็น หอกขวานจำลองขนาดเล็กตามเดิมแล้ว และคืนชุดของเธอกลับเป็นแจคเก็ตกระโปรงสั้นตามเดิม

“ หยุดนะ อย่าขยับพวกเธอไม่ใช่ คนบนยานนี้นี่!! ”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจาก วงเจ้าหน้าที่ ที่ล้อมมุงกันอยู่ไม่ห่างไปนัก ด้วยความสงสัยเธอจึงลุกไปดู
ในวงล้อมของ เจ้าหน้าที่ สมิงหนุ่ม และ เซน่า กำลังถูกควบคุมตัวอยู่

“ อ๊ะ สองคนนี้ที่อยู่กับท่านประธานตอนนั้นนี่.. ”
ไอ เปรยขึ้นทันทีที่นึกออก เธอจำพวกเค้าทั้งสองคนได้

“ ลดปืนลงเถอะ นี่คือท่านผู้แทนแห่งสหราชอาณาจักร เมกาโทโปลิส แห่งเมอริเซีย ท่าน เซน่า ไฮเดย์(Zena Highday) ”
สมิงหนุ่ม ประกาศถึงสถานะของผู้ที่เค้าให้ความคุ้มครองอยู่ เพื่อเจรจาต่อรอง

รูปภาพ

“ เซน่า…คุณเซน่า งั้นเหรอ! ”
ไอ อุทานเสียงดังลั่นเมื่อได้ยินชื่อ ของอีกฝ่าย และแหวกฝูงเจ้าหน้าที่มุง เข้าไป

“ พี่เซน่า …ใช่จริงๆด้วยใช่คุณพี่เซน่า จริงๆด้วย! จำได้ไหมคะหนูไง ”
ไอ เข้ามาทักทายเธอ อย่างสนิทสนม ราวกับคนรู้จักก็ไม่ปาน

“ อย่าเสียมารยาทกับท่าน มหารานี นะ ”
สมิงหนุ่มเอาตัวเข้ามาขวาง เธอไว้

“ เฟนท์…. ”
เซน่า ปรามเค้าเบาๆ ทว่าคำพูดของเธอ นั้นก็ทำให้ ไอ ตะลึงไปเช่นกัน เมื่อได้ยินชื่อของ องครักษ์
ชื่อของคนที่เธอคิดว่าคงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว…

…………………………

“ หวา! ”
พรายด์ สเวน และ ไรด์ ต้องสบถขึ้นพร้อมกันเมื่อ เมื่อหัวรบนำวิถี พุ่งขึ้นมา จากใต้น้ำ
และระเบิดขึ้นสร้างควันมากมาย ล้อมพวกเค้า พร้อมกันนั้น เรือดำน้ำขนาดยักษ์ก็โผล่ขึ้นมา
เหนือน้ำพร้อมยิง หัวรบควัน เข้าไปเพิ่มอีก ขณะที่ รอให้ องเมียวจิและพวก อาวล์
เข้าไปในเรือ ก่อนจะดำหนีหายไป

“ ฝ่ายนั้นเค้าหนีลงน้ำไปแบบนี้ เราคงตามต่อไม่ได้แล้วล่ะ เรียกพวก Valkyrier ที่เหลือกลับมา ”
เมออาร์เน่ สั่งจบเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า จากการควบคุมสภาวะที่ตึงเครียดตลอด หลายชั่วโมงมานี้

…………………..

“ เฟนท์…. ”
ไอ ทวนคำพลางจ้องหน้า สมิงหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอเขม็ง ด้านสมิงหนุ่มนาม เฟนท์ ก็เริ่มเหงื่อตกขึ้นมา
ตอนแรกเค้ายังคงเลือนรางว่าเธอ ตรงหน้าคนนี้เป็นใครแต่ตอนนี้เค้าเริ่มแน่ใจแล้วว่า เค้ารู้จักเธอแน่นอน

“ นี่นาย! หรือว่า… ”
ไอ เปรยเสียงลั่นพลางรีบเอามือดึงแว่นดำ ที่เค้าสวมออกมาโดยไม่ให้ตอบโต้หรือทันจะขัดขืนแม้แต่น้อย

“ อ้าวนี่!...เดี๋ยวเถอะทมำอะไรของเธอน่ะ ”
เฟนท์ ลนลานจะเอา แว่นคืนและพยายามหลบหน้าเธอ แต่คงสายเกินไปแล้วเพราะตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้า
คือคนที่เธอรู้จักอย่างแน่นอน

“ ใช่…ใช่ จริงๆด้วย…. ”
เสียงที่ดังปรือด้วยความตื้นตัน พร้อมกับ หยาดน้ำตาที่ไหลปนออกมากับ น้ำทะเลที่ยังคงชุ่มตัวเธออยู่

“ อ้าวนั่นเกิดอะไรขึ้นน่ะ ”
สเวน เปรยด้วยความสงสัย ขณะที่เดินนำ ไรด์และ พรายด์ เข้ามาร่วมวงด้วยหลังจากที่พึ่งถอยกลับมา
จากแนวรบ

“ อ้ะ นายคนที่สะพานเมื่อตอนนั้น!! ”
พรายด์ อุทานพลางชี้หน้า เฟนท์ ที่ยืนอึกอึงอยู่กับ ไอ

“ เฮ้ย!ๆ ไม่จริงมั้ง…นี่ล้อเล่นรึไงเนี่ยนั่น…เฟนท์ นายใช่ไหมน่ะ ”
ไรด์ เปรยด้วยความทึ่งกับใบหน้าของ สมิงหนุ่ม ที่ยืนอยู่ต่อหน้า ไอ

“ เอ๋…นี่หรือว่า ไอ เหรอ…ช..ใช่ไหมเนี่ย! ”
เซน่า ที่พึ่งจะรู้เรื่องรู้ราวก็พลอย สะดุ้งไปด้วย

“ แหมๆถ้างั้นให้ผมยืนยันด้วยก็คงเชื่อได้สินะ ”
ไรด์ เปรยพลางเดินเข้ามาเธอ

“ ร…ไรด์! ”
เฟนท์ เปรยด้วยความตกใจ เมื่อได้เจอเค้าแต่ ตอนนี้ปัญหาที่น่าหนักใจกว่าคงเป็นปัญหาใจตรงหน้ากระมัง

“ ทั้งที่..ทั้งที่…คิดว่าจะไม่ได้พบเธออีกแล้วแท้ๆ อึก…ฮึก.. ”
ไอ เปรยน้ำเสียงสะอื้นก่อนจะโผเข้าไปซบบ่าทุบอก เฟนท์ ไม่ให้ตั้งตัว

“ ไอ…. ”
เฟนท์ เปรยได้เพียงแค่นั้น นี่คงเป็นดั่งโชคชะตาเล่นตลก เมื่อคนสองคนที่เคยผูกพันธ์กันเคยรักกันและ
เคยแค้นซึ่งกันและกัน จะได้มาพบกันอีกครั้ง

……………………………
…………………………………………………….
…………………………………………………………………..
2 ชั่วโมงต่อมา

ห้องบังคับการยาน รัฟอัส

ภายในห้อง ตอนนี้ เหลือเพียง กัปตัน เมออาร์เน่ รองกัปตัน สเวน และ เซน่า ที่กำลังติดต่อ กับ ประธานลอว์เอน
ผ่านจอมอนิเตอร์สื่อสารภายในห้อง

“ ผมคงต้องขออภัยท่านเซน่า ด้วยนะครับ ที่ทำให้การเข้าพบอย่างไม่เป็นทางการในวันนี้วุ่นวายไปซะหมด ”
ประธานลอว์เอน กล่าวขออภัย ผ่านทางช่องสื่อสาร ของยานมาแบบเป็นทางการเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้ยาน
ก็ยังคงจอดอยู่นอกเกาะ

“ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะทางเราเองก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไร ”
เซน่า กล่าวไปตามมารยาท ทั้งที่จริงแล้ววันนี้เธอรู้สึกวูบไหวอยู่ตลอดแทบจะทั้งวัน

“ ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ จริงสิ…ไหนๆแล้วตอนนี้ ท่านเซน่า ก็อยู่บนยาน รัฟอัส แล้วก็ให้ยานลำนั้น
ไปส่งท่านที่เมกาโทโปลิสเลยดีไหมครับ ”
ประธานลอว์เอน กล่าวอย่างโล่งอกที่ เธอไม่ปริปากว่าอะไร และแล้วเค้าก็รวบรัดเรื่องที่จะพาเธอไปส่ง
ให้ถึงด้วย ยานลำนี้ต่อทันที

“ เอางั้นก็ได้ค่ะ ทางเราก็ต้องขอรบกวนด้วยนะคะ กัปตันเมออาร์เน่ ”
เซน่า ตอบรับ ประธานลอว์เอน ก่อนจะหันมาขอฝากตัวกับ กัปตันเมออาร์เน่ ที่ยืนคุ้มหลังอยู่

“ ไม่มีปัญหาเชิญตามสบายเลยค่ะ เราจะไปส่งให้ถึงโดยสวัสดิภาพเองค่ะ ท่านผู้แทน ”
กัปตันเมออาร์เน่ รับคำเสียงแข็งขันตามแบบทหารไม่มีผิด ขณะที่ สเวน ซึ่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้
ก็ยังมีท่าทีนิ่งสงบเสงี่ยมกับเค้าไปด้วย ดูเหมือนว่าประธานลอว์เอน ผู้นี้จะมีอิทธิผลกับพวกเค้ามาก
เพราะแม้แต่บรรดาลูกเรือ ในห้องก็ยังต้องไล่ให้ออกไปก่อนเพื่อจะทำการสนทนานี้ด้วยซ้ำ

“ ถ้าท่านเซน่า อยากจะชมภายในยานล่ะก็ผมอนุญาต ฝากด้วยล่ะ กัปตันเมออาร์เน่ ”
ประธาน ลอว์เอน ฝากฝังเรื่องสุดท้ายไว้เพื่อที่จะตัดการติดต่อ

“ รับทราบค่ะ! ”
กัปตันเมออาร์เน่ รับคำพร้อมตะเบ๊ะ ก่อนที่สัญญาณจากนั้นจะตัดไป ทั้งเธอ และ สเวน ถึง
ได้มีสีหน้าโล่งใจหน้าดู ที่พ้นจากความตึงเครียดชั่วขณะนี้ไปได้ ซึ่งเ ซน่า ก็พอจะเข้าใจ

อยู่บ้างเพราะก่อนนี้ ตอนที่เธอ ให้พวกลูกเรือพาตัวมา รายงานพวกเค้าทั้งสองยัง
ตกใจลุกลี้ลุกลนกันพอสมควร ซึ่งก็พอๆกับพวกลูกเรือเลย ที่พอรู้แน่ชัดถึงสถานะของคนที่พามา
ก็พากันหวาดๆเล็กน้อย คงเพราะเธอเองก็เป็นถึงลูกของ บิดาผู้ก่อตั้งองค์กร นี้เลยก็ว่าได้กระมัง

เพราะบิดาของเธอ ซีนาส ไฮเดย์ เป็นผู้คิดค้นระบบ Valkyrier และ Crisissor ต้นแบบ
ที่ใช้จนมาถึงทุกวันนี้ ถ้าเธอไม่บอกว่าให้พวกเค้าทำ ตัวสบายไม่ต้องเกร็งเพราะเธอไม่ถืออะไรมากล่ะก็
บรรยากาศคงเครียดขึ้นไปมากกว่านี้อีกเป็นแน่

“ ถ้าเช่นนั้น ท่านผู้แทน อยากจะเดินชมภายในตัวยานก่อนไหมคะ เพราะกว่าทางเราจะเตรียมตัวเสร็จ
ก็คงอีกพักใหญ่ถึงจะออกเดินทางได้ค่ะ ”
กัปตัน เมออาร์เน่ ยื่นข้อเสนอให้เธอ

“ ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะคะ ”
เธอก็รับข้อเสนอไปแบบเก้ๆกังๆ เพราะว่าอยู่บนนี้เธอก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว

“ ถ้าอย่างนั้นตามกระผมมาเลย ขอรับท่านผู้แทน ผมจะพาเดินชมภายในยานเอง ”
สเวน รับหน้าที่อาสาพาชมภายในยาน ก่อนจะเดินนำเธอ ออกจากห้องไป
ทันทีที่ประตูห้องควบคุมเปิด คนที่มารอรับอยู่ก็ไม่ใช่ใครอื่น เฟนท์ องครักษ์สมิงของเธอ
แน่นอน พ่วงเหล่านักรบ Valkyrier ของยานอีกทั้ง 3 คนมาด้วย

{ขืนงานนี้ไม่มาดูให้ดีๆสงสัยมีหวังได้เรือล่มแหงๆเลยแหะ คงต้องช่วยเจ้า เฟนท์มันไปก่อนล่ะ}
ไรด์ คิดพลางวิตกเล็กน้อยกับสภาพการณ์ตอนนี้ เพราะ ไอ ก็ดูยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่
ยังคงซึมกะทือบวกดูจะเขินๆที่ไปทำแบบนั้นเข้าต่อหน้าทุกคน

ส่วน พรายด์ ก็ยังอดสงสัยในตัว เฟนท์ ไม่ได้ ก็เลยคอยตามมาจดๆจ้องๆ แถมยังถามเค้าเกี่ยวกับเรื่องของ เฟนท์
ซะหมดเปลือกอีกต่างหาก แน่นอนเพราะตัวเค้าดูจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ มากที่สุดเลยถูกสเวน
สั่งให้ตามมาคุม ไปด้วย

“ ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้แทนจะขอเดินชมภายในยานซะหน่อย ขอให้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนด้วยอีกเดี๋ยวเราจะออกยานตรงไปที่ เมกาโทโปลิส เข้าใจนะ ”
สเวน แจ้งกำหนดการต่างๆให้แก่ บรรดาลูกเรือ ที่มารอคำชี้แจงอยู่แถวทางเดินหน้าห้อง ด้วย
ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตน เหลือเพียงแค่ พวกเค้าเท่านั้น

“ ถ้าอย่างงั้น เราเริ่มที่ห้องเครื่องก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ ตามมาทางนี้เลย ”
สเวน กล่าวก่อนจะออกเดิน นำไปโดยขบวน ความวุ่นวายของเหล่าหมุ่นสาวด้านหลังตามไปด้วย

…………………………….
………………………………………………
ชั่วโมงต่อมา หลังจากการ เที่ยวชมภายในยานจบลงแล้วและยานเริ่มออกตัว
เซน่า และ องครักษ์ ก็ถูกพามายังห้องรับรองเพื่อพักในระหว่างการเดินทาง


“ สุดท้ายแล้วดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ได้อะไรเลยนะ ”
เซน่า เปรยด้วยความล้ากับเรื่องที่เจอมาทั้งวันนี้ พลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ในห้องอย่างอ่อนแรง

“ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วล่ะนะ เรื่องของการรวมตัวจากทุกสาขาในวันนี้น่ะ ”
เฟนท์ พูดเพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างและมีกำลังใจขึ้น ขณะที่ วางแก้วน้ำผลไม้
ที่พึ่งรับมาจากเจ้าหน้าที่ ลงบนโต๊ะส่งให้เธอ

“ เรื่องคำทำนายนั่นน่ะเหรอ?...ฉันน่ะ ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่คนอื่นๆเค้าคิดกันน่ะสิ ”
เซน่า เปรยพลางยกแก้งน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบ

“ งั้น เธอก็ไม่เชื่อน่ะสิเรื่องสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นน่ะ ”
เฟนท์ ถามพลางนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ตัวเค้าเองทั้งที่เป็นองครักษืแต่ก็ทำตัวสนิทกับ เธอ
แบบเพื่อนเลยทีเดียว ซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งที่เธอขอเอาไว้กับเค้าให้ไม่ต้องสนใจฐานะของเธอ

“ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อเรื่องคำทำนายหรอกนะ แต่ฉันแค่คิดว่าคำทานายนั่นน่ะไม่น่าจะหมายถึงสงคราม
ที่อาจเกิดขึ้นอีก ฉันก็เลยคิดว่าพวกเค้าคิดจะเอาข้ออ้างเรื่องคำทำนายนี่น่ะมาใช้ในการรวมกำลัง

ขององค์กรเพื่อทำอะไรบางอย่างน่ะ….แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดไปเองแหะ ถ้าเกิดคำทำนายนันเป็นเรื่อง
โกหกพวกเค้าก็คงจะถอนตัวกันไปเอง เธอคิดว่าไงล่ะเฟนท์ ”

เซน่า พูดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยเกี่ยวกับสิ่งที่ เธอคิด ก่อนจะหันมาถามความเห็นกับ เค้า
ทว่า เฟนท์ นั้นกลับดูเหม่อลอยราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเห็นแค่แวบเดียว
เธอก็มองออกทันที ว่าคงไม่พ้นเรื่องของ Valkyrier ที่ชื่อ ไอ คนนั้นเป็นแน่

“ เฟนท์…ถ้ามัวมานั่งกลุ้มอยู่แบบนี้น่ะ ระวังจะเสียใจทีหลังนะ ”
เซน่า พูดหยอกใส่เค้า

“ เอ๋…เรื่องอะไรกัน! ”
เฟนท์ เปรยอย่าง งงๆกับความหมายที่เธอต้องการจะบอกเค้าล

“ ยังจะมาทำเป๋อ อยู่อีกตั้งแต่ตอนที่เจอ ไอ น่ะเธอยังไม่ได้ไปคุยกับเค้าเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าปล่อยเอาไว้ตอนนี้มันจะคาใจ
ไปแบบนี้เรื่อยๆเลยนะ ”
เซน่า กล่าวพลางยิ้มแฉ่ง ใส่เค้าซึ่งก็ทำเอาเค้า สะดุ้งไปเล็กน้อย ที่ถูกอ่านทะลุปรุโปร่งแบบนี้

“ ต…แต่ผมน่ะ…มีหน้าที่คุ้มครอง… ”
“ ใช้ไม่ได้เลยน้า~~ ”
เค้าพยายามที่จะอ้างเรื่องหน้าที่ แต่เธอก็ขัดเค้าไว้ซะก่อน

“ ถ้าแค่เรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้แล้วจะไปคุ้มครองใครได้เล่า! บางครั้งเรื่องของหัวใจก็สำคัญนะ ”
เซน่า พยายามะเกลี้ยกล่อมเค้าโดยค่อยๆชักจูงทีละน้อย

“ เฟนท์ ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาจากพี่ ซาน ของเธอบ้างแล้ว เธอน่ะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะทำตามสิ่งที่คนอื่น
คาดหวังอยากให้ทำเสมอๆ….แต่พอเป็นเรื่องของเธอเอง เธอกลับไม่เคยคิดที่จะแสดงหรือทำอะไรเลย
…การทำในสิ่งที่ถูกน่ะมันก็ดีอยู่หรอกแต่เรื่องของตัวเองก็ไม่ควรทิ้งเหมือนกันนะ ฉันก็ได้แค่พูดเท่านั้นล่ะ
ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ก็คือตัวเธอเอง ”

เซน่า กล่าวสั่งสอนจนจบทั้งเธอและเค้าจึงเงียบไปซักพัก ก่อนที่ เฟนท์ จะเป็นฝ่ายลุกขึ้นซะเอง

“ ถ้างั้น…..เดี๋ยวผมมานะ…. ”
เฟนท์ พูดก่อนจะหยุดไปซักพักแต่ก็พูดต่อจนจบราวกับเค้าตั้งใจจะเปลี่ยนคำพูดเอากลางคัน
หลังจากที่ เฟนท์ ออกไปแล้ว เธอค่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ เฮ้อ~ กล่อมใครคงไม่ยากเท่ากล่อม เค้าแล้วล่ะ เชื่อเลย น้องเราเนี่ยเก่งจริงๆนะที่ลากเค้าไปร่วมแผน
Dragoon Requiem นั่นได้น่ะ…….เฮ้อ ”
เซน่า บ่นออกมาซักพักก่อนจะผลอยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

…………………………
……………………………………………………

{หมอนั่น….ที่แท้ก็เคยเป็น Valkyrier มาก่อนนี่เอง…แล้วทำไมกันนะทั้งที่มีฝีมือขนาดนั้นแท้ๆ แต่ดันเลิกเป็น Valkyrier ไปล่ะ รุ่นพี่ ไรด์ เองก็ไม่ยอมเล่ารายละเอียดด้วย คงต้องจับตัวหมอนั่นมาถามเองซะแล้วสิ}
พรายด์ คิดขณะที่เดิน หน้ามุ่ยอยู่คนเดียวตลอดทางเดินในยาน พลางสอดส่ายสายตามองหาตัว
การของความคลางแคลงใจที่เค้าสลัดไม่หลุดซักที

“ โธ่เว้ย! หมอนั่นมันอยู่ไหนกันนะ แล้วทำไมยานลำนี้มันถึงได้กว้างนักล่ะ!! ”
พรายด์ ตะคอกหัวฟัดหัวเหวี่ยง และเริ่มหมดความอดทนกับการตามหา แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเค้า
อยู่บ้าง เมื่ออยู่ๆคนที่เค้าตัวอยู่นั้นเดินสวน ผ่านเค้าไป

“ เอ….ทำไมที่นี่มันถึงได้กว้างนักล่ะเนี่ย… ”
เฟนท์ เปรยอย่างเซ็งๆ เค้าเดินวนอยู่ในนี้มาหลายนาทีแล้ว

“ อ…นี่นาย!! ”
พรายด์ ไม่รอช้ารีบเรียกเค้าไว้ก่อนทันที

“ เอ๋! ”
เฟนท์ อุทานขณะที่ พรายด์ วิ่งเข้ามาบล็อคทางเดินไม่ให้เค้าหนีไปทันที โดยมีสายตาจ้องเอาเหมือนจะหาเรื่อง
ยิงส่งมาแทบจะตลอด เพิ่มความงุนงงให้เค้ามากขึ้นไปอีก

………………………….
…………………………………………….
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ ศุกร์ ธ.ค. 02, 2011 8:44 pm, แก้ไขแล้ว 8 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 2:24 am

…………………………………………….

ห้องทดสอบการต่อสู้

ภายในห้อง ก้าวที่ไม่มีอะไรเลยนี้ มีระบบสำหรับ จำลองการฝึกซ้อมรบให้ ได้เหมือนจริงที่สุด ไว้สำหรับให้ Valkyrier ที่
อยากซ้อมฝีมือเอาไว้ ซ้อมมือตลอด โดยจะมี เครื่องควบคุมที่มุมห้องสำหรับติดตั้ง Crisissor ของตัวเอง
จากนั้นระบบ จะสร้าง อาวุธ Crisissor เสมือนจริงให้ใช้ซ้อมได้โดยไม่เกิดอันตรายเพราะ จะมีผลกับการประมวลค่าความสามารถเท่านั้น

“ อ๋อ จะถามว่าฉันใช้ Crisissor ของนายได้ยังไงน่ะเหรอ? ”
เฟนท์ ถามหลังจากที่ได้ฟังคำขอร้องของ พรายด์ ที่ลากเอาตัวเค้ามาที่ห้องฝึกนี้ได้

“ อืม ก็ประมาณนั้นล่ะ อย่างลำแสงที่นายยิงออกมาน่ะดูเหมือนมันจะแรงกว่าที่ฉันยิงเองเสียอีก
แล้วก็ความแม่นยำนั่นอีกด้วย ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่านายเคยเป็นถึง ระดับหัวกระทิของ องค์กรน่ะ ”
พรายด์ ได้ทีก็ยิงคำถามใส่ไม่หยุดเหมือนกัน ด้านตัวเฟนท์ เองแม้จะไม่เต็มใจที่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับ
เรื่องของอาวุธพวกนี้ แต่ตอนนี้ พรายด์ ก็เหมือนกับเป็นรุ่นน้องที่ขอความเห็นจากรุ่นพี่
ก็ทำให้เค้าไม่อยากจะปฏิเสธนัก

“ งั้นฉันจะตอบคำถามนายให้ก็ได้แต่ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน นายต้องตอบคำถามฉันด้วยเข้าใจนะ ”
เฟนท์ ตัดสินใจรับปากเรื่องที่เค้าถามและยื่นข้อเสนอกลับไปบ้าง พรายด์ พยักรับทันที
โดยไม่ลังเลเลย เค้าจึงยื่นมือรับ ปืนเสมือนจริงที่ พรายด์ ได้จากการติดตั้ง Crisissor ของ
ตัวเองเข้ากับเครื่องควบคุมแล้ว

“ อันดับแรกนะ ตอนที่ฉันลองยิงดูที่เฉี่ยวไปโดน อาวุธของอีกฝ่ายน่ะ ที่จริงตอนนั้นฉันตั้งใจจะเล็ง
ให้มันระเบิดไปเลยแต่เพราะฉันไม่รู้ว่ามันถูกปรับความรุนแรงให้อยู่ในระดับสูงสุด ก็เลยเผลอตัวเหนี่ยวไกชาจต์
เอาไว้ผลก็คือนี่…”

เฟนท์ อธิบายไปพลางยกกระบอกปืนขึ้นเล็ง ขณะเดียวกันระบบของห้องก็สร้าง เป้าจำลองขึ้นมา
เค้าเหนี่ยวไกปืนช้าๆและทิ้งค้างไว้ซักพักก่อนจะปล่อย ลำแสงที่ยิงออกมานั้น มีอานุภาพรุนแรง

ชนิดที่ว่าแรงสะท้อนที่ สวนกลับมานั้นเทียบเท่าปืนใหญ่เลยทีเดียว ส่งผลให้ เฟนท์ ลื่นถอยครูด
ไปจนหลังติดผนังห้องเลยทีเดียว ส่วนเป้าหมายที่ถูกยิงนั้น ก็ระเบิดแหลกละเอียด สลายไปในทันที
โดยที่มีค่าตัวเลขประเมินพลังทำลาย ขึ้นหลาอยู่บนมอนิเตอร์ ของเครื่องควบคุมข้างห้อง
ตัวเลขนั้นแสดงค่าพลังไว้ที่ [9999]

“ ส…สุดยอด! ”
พรายด์ อุทานกับค่าพลังทำลายที่ได้ ขณะที่ เฟนท์ ต้องโซซัดโซเซอยู่พอตัวกับแรงสะท้อนที่อัดเค้า
กระเด็นกลับมาซะขนาดนี้

“ เพราะงั้นเข้าใจแล้วสินะ อาวุธของนายน่ะ เป็นแบบปรับระดับพลังงานได้ขึ้นอยู่กับ
การลั่นไกค้างเอาไว้ จากที่ดูนายยิงแล้ว ดูท่านายจะไม่ค่อยได้สนใจตรงนี้เท่าไหร่นะแค่ลั่นไกไปรัวๆเท่านั้นเอง ”
เฟนท์ อธิบายขณะที่เดินกลับมาเข้าที่

“ มิน่าล่ะ เวลาจะยิงเจ้านี่มันถึงได้ยิงแรงไม่เท่ากันซักที เดี๋ยวเบาไปมั่งแรงไปมั่ง
แต่ว่าแบบนี้มันก็ทำให้ใช้ยากน่าดูเลยนะ ถ้าต้องมานั่งกะ เวลาที่จะเหนี่ยวไกเนี่ย ”
พรายด์ สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากเค้า ก่อนจะบ่นถึงเรื่องการปรับการยิงที่ดูจะยากไปสำหรับเค้า

“ ถ้างั้นนายก็ตั้งให้มันเป็นระบบ Auto แทนสิตอนนี้มันอยู่ระบบ Manual อยู่นี่ ถ้าเราทำแบบนี้นะแล้วก็แบบบนี้.. ”
เฟนท์ อธิบายพลางสาธิตให้ดูไปซักพัก ก่อนจะต้องเงียบไป เพราะมีคนเข้ามาในห้องฝึกนี้อีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งคนที่มาก็ไม่ใช่ใครอื่น ไอ กับ ไรด์ นั่นเอง

“ ไอ…. ”
เฟนท์ เปรยได้เพียงเท่านั้น กับการพบโดยบังเอิญเช่นนี้ ไรด์ ที่เห็นสภาพการณ์แล้ว
จึงไม่รอช้ารีบเข้าไปล็อกคอ พรายด์ แล้วลากออกจากห้องไปทันที

“ ทั้งสองคนเชิญตามสบายเลยนะ ”
ไรด์ ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะปิดประตูห้องไป ดดยมี พรายด์ ที่คอยขัดขืนอยู่ตลอด

……..

“ แฮ่กๆ..ทำอะไรกันครับเนี่ยรุ่นพี่! ”
พรายด์ สบถถามด้วยความพอใจสับกับหอบ จากการที่ออกแรงขัดขืน ไรด์ ตลอดจนเหนื่อย

“ นายน่ะยังไม่โตพอจะเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกน่า! ”
ไรด์ ยืนกรานเสียงแข็งแต่ดูเหมือนคำพูดของเค้าจะชวน พรายด์ งงเอาซะมากกว่า

“ ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะครับ! อมพะนำอยู่แบบนี้ใครมันจะไปรู้เรื่องกันเล่า! ”
พรายด์ คะยั้นคะยอจะรู้เรื่องให้ได้

“ เอาน่า…เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่าให้พวกเค้าจัดการกันเองเถอะ ”
ไรด์ ยังคงพยายามจะแถไปเรื่อย โดยในใจก็คิดลึกๆแล้วว่า รุ่นน้องคนนี้ช่างกวนประสาทได้ใจดีแท้

………………….

ภายในห้องฝึกซ้อม บรรยากาศก็ยังคงเงียบกริบ หลังจาก ไรด์ เข้ามาลากตัวพรายด์ ออกไป ทั้งไอ และ เฟนท์
ก็ยังไม่ได้ปริปากพูดคุยอะไรกัน ทั้งสองคนได้แต่ยืนจ้องกันไปจ้องกันมาอยู่แค่นั้น

{“ เรื่องของตัวเองก็สำคัญนะ บางครั้งเราก็ต้องให้เวลากับหัวใจเราบ้าง ”}
คำพูดของ เซน่าดังก้องขึ้นในหัวของ เฟนท์ อีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้แม้จะอยากเคลียร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
แต่พอเอาเข้าจริงตัวเค้าเองก็มือไม้แข็งไปเหมือนกัน

“ เอ่อ…คือ……..ฉันน่ะ…… ”
เฟนท์ ตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดประเด็น ขึ้นแต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ก็ทำเอาเค้าพูดไม่ค่อยจะออกอยู่เหมือนกัน
ฝ่าย ไอ ก็ได้แต่นิ่งรอเค้า เท่านั้นเธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

“ เอ่อคือ….ไอ…คือว่านะฉันเอ่อ…ฉันขอโทษ!… ”
เค้า พูดตะกุกตะกักก่อนจะโพล่งคำขอโทษ ออกไปทำให้เธอ งงๆ เล็กน้อย

“ ขอโทษเหรอ…เรื่องอะไร? ”
เธอถามด้วยความสงสัย ขณะที่เดินเข้าไปใกล้เค้าโดยลืมความประหม่า ที่มีอยู่ตอนแรกเสียจนหมดสิ้น

“ ฉันขอโทษเรื่องที่ฉันโกหกเธอเมื่อ 2 ปีก่อนไง…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดหรืออะไรหรอกนะเพียงแต่….
เพียงแต่ว่า…ฉันกลัว…กลัวว่าเธอจะต้องเจ็บปวดถ้ารู้ว่าฉันเป็นคนที่มีส่วนร่วมในการตายของพ่อเธอ ”
เฟนท์ ฝืนพูดสิ่งที่เค้าเก็บอัดอั้นมาในใจไว้ตลอด เรื่องของการแทรกแซงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ในครั้งนั้น ตัวเค้าเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ นักการทูตแห่งรัฐโลกอส

ในอาริมาเทีย ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของ เธอ เรื่องราวที่ปวดร้าวซึ่งเกิดขึ้นกับพวกเค้าทั้ง
สองนั้นได้หวนกลับมาเวียนวนอยู่ในมโนภาพของพวกเค้าอีกครั้ง

“ เฟนท์…ฉันเองก็….ฉันเองก็อยากจะขอโทษเธอด้วย… ”
ไอ กล่าวเสียงสั่นเครือ ขณะที่คำพูดของเธอนั้นชวนให้เค้างง ไปเหมือนกัน
ที่อยู่เธอก็มาขอโทษเค้าเสียเอง

“ ตอนแรกที่รู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อ ฉันเองก็แค้นเธอมากเลย…แต่ว่าหลังจากนั้นพอฉันได้รู้เรื่องทุกอย่างจาก ไรด์ แล้วฉันก็คิดมาตลอดเลยว่าถ้าเจอเธออีกสักครั้งล่ะก็จะต้องขอโทษเธอให้ได้แต่ก็คิดว่า….คงไม่มีโอกาสเพราะฉันคิดว่า….คิดว่าฆ่าเธอไปแล้วจริงๆ…ฉ…ฉัน…ฉันขอโทษนะ..ฮึก… ”

ไอ กล่าวเสียงสะอื้นก่อนจะโผเข้ากอดเค้าเอาไว้ทั้งน้ำตา ที่ล้นเปี่ยมด้วยความเสียใจและความดีใจ
ของการพบกันในครั้งนี้

“ ก็ตอนนี้ฉันอยู่ตรงนี้แล้วไง…. ”
เฟนท์ เปรยพลางสวมกอดเธอกลับอย่างแนบแน่น ที่ข้างนอกห้องนั้น ไรด์ กับ พรายด์
ที่ได้ยินบทสนทนาที่เล็ดลอดออกมานั้น ทั้งสองต่างก็นิ่งกันไปท่ามกลางความเงียบสงัดนี้มีเพียง
เสียงสะอื้นของ หญิงสาวที่ดังระเรื่อออกมาเท่านั้น
…………………………..
………………………………………..
……………………………………………………………

“ โธ่เว้ย! ถ้าเจอกันครั้งหน้า ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมดเลยคอยดูเซ่ ”
อาวล์ ตะหวาดระบายอารมณ์ใส่ ข้าวของในห้องพักของเรือ ดำน้ำที่พวกตนกบดานอยู่

“ ไม่เอาน่า อาวล์ โมโหไปก็เท่านั้นเก็บแรงไว้รอซัดกับพวกมันดีกว่ามั้ง ”
สแตกท์ บ่นกับเพื่อนร่วมห้องเจ้าอารมณ์ ที่เอาแต่อาละวาดพังข้าวของไปทั่วห้อง

“ ฮึ่ยแล้วนายยอมมันได้รึไง ถ้า นิว(New)ไม่มาช่วยเอาไว้ป่านนี้พวกเราเสร็จไปแล้วนะ
แบบนี้มันก็เหมือนถูกหยามกันชัดๆ ”
อาวล์ หันไปตะหวาดคืนกับท่าทีนิ่งเฉย ของ สแตกท์

“ ก็แล้วมันเพราะใครล่ะที่ดันอยากจะอยู่เล่นไม่เข้าท่าจนโดนต้อนหมดท่าแบบนี้น่ะ
เลยต้องมาถูกกักบริเวณกับนายไปด้วยเนี่ย ”
สแตกท์ ตะคอกกลับ เค้าชักเริ่มหมดความอดทนแล้ว

“ ว่าไงนะ! จะบอกว่าเป็นเพราะฉันงั้นเรอะ!! ”
อาวล์ ตะคอกใส่ พลางส่งสายตาหาเรื่องเต็มที่

“ แล้วมันไม่จริงรึไง!! ถ้าอยากหาเรื่องก็เข้ามาเลย!! ”
สแตกท์ กระแทกกระทั้นกลับ ก่อนที่ทั้งสองคนจะทะเลาะกันจบบานปลาย ประตู
ห้องก็เปิดออกพร้อมกับ องเมียวจิลึกลับ ที่ช่วยพวกเค้าเอาไว้และ สเตลท์ ที่มาด้วยกัน

“ เลิกเอะอะกันซักทีจะได้มั้ย หัดทำตัวว่านอนสอนง่ายเหมือน สเตลท์นิกเค้าบ้างล่ะก็จะช่วยฉันได้เยอะเลยเชียวล่ะ ”
ชายผู้นั้นกล่าวอย่างรำคาญๆกับ เด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนทั้งสอง พวกเค้าทั้งคู่ไม่อยากมีปัญหา
จึงพากัน สะบัดหน้าหนีจากคู่อริ

“ อาวล์ กับ สแตกท์ อย่าทะเลาะกันสิ นิว จะลำบากใจนะ.. ”
สเตลท์ เอ่ยปรามทั้งคู่เหมือนน้องสาวที่จะห้ามไม่ให้พี่ชายทั้งสองทะเลาะกันไม่มีผิด
และเพราะคำขอร้องของเธอ เลยทำให้ทั้งคู่ยอมสงบอย่างง่ายๆ

“ ขอบใจนะสเตลท์นิก ”
องเมียวจิผู้ถูกเรียกว่า นิว กล่าวพลางลูบหัวเธอเพื่อชมเชย

………………………….
……………………………………….
……………………………………………………

รุ่งสายของวันต่อมา ยานรัฟอัส ทะยานลู่ตัวไปบนผิวน้ำ อย่างรดวเร็ว เข้าใกล้ฝั่ง ของทวีปเมอริเซียแผ่นดินใหญ่
ตรงหน้าไปทุกขณะ ที่ดาดฟ้าเรือ บรรดาลูกเรือ ที่พึ่งตื่นบางส่วนที่ยังไม่มีงาน ก็จะออกมาเดินรับลม
กันบ้าง

“ อ๊า~ สดชื่นจัง! ”
ไอ เปรยอย่างสบายอารมณ์ พลางบิดขี้เกียจ ไปมาสายลมยามเช้าพัดโชย กระทบกับใบหน้าของเธอ
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าหล่อน แสดงถึงสภาพอารมณ์ที่รู้สึกดีเป็นพิเศษกว่าวันไหนๆ

“ แหมๆ…ดูจะเป็นสุขซะเหลือเกินนะ แม่คู๊ณ!!! ”
เสียงเหน็บแนมเธอ ดังลอยมาจากข้างเธอ แน่ล่ะเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยทำเอาเธฮแทบจะหุบยิ้มมาทำหน้าบึ้งใส่เจ้าของเสียงเสียไม่ได้

“ ก็แล้วนายมีปัญหาอะไรรึไง ไรด์ หึ! ”
ไอ ประชดใส่ไรด์ ที่แกล้งเหน็บใส่เมื่อครู่

“ อุ้ย! ข้าน้อยมอกล้าดอก…แต่มิรู้หรอกว่าใครกันเอ่ย แอบมาทำหน้าซึมกะทือทุกเข้า แต่วันนี้มาอารมณ์ดีเป็นพิเศษหนอเพราะใครกันนะ ”
ไรด์กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะถูก ไอ ล็อกคอ เค้นให้ขอโทษเธอ

“ รุ่นพี่ ไรด์ รุ่นพี่ ไอ เห็นเอ่อ….หมอนั่นไหม… ”
พรายด์ เดินเข้ามาถามทั้งสอง เพื่อที่จะหาตัวใครบางคนที่เค้าอยากจะพูดคุยด้วย

“ เอิ่ม~โทษนะพรายด์ แต่ว่าหมอนั่นที่เธอพูดถึงน่ะใครกันเหรอ? ”
ไอ ถามกลับอย่าง งงๆกับคำถามของเค้า

“ เอ้อ…หมายถึงหมอนั่น…คนที่มีหูยาวๆน่ะ ”
พรายด์บอกพลางทำท่าทำทาง ให้ดูเหมือนว่าคนที่เค้าบอกนั้นมีหูยาวๆ

“ เอ่อ…ใบ้มากกว่านั้นได้รึเปล่านึกไม่ออกเลย.. ”
ไรด์ แย้งถามเพราะที่บอกมานี่เค้ายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าที่ถามหมายถึงคนหรือตัวอะไรกันแน่

“ นี่พวกนายทำอะไรกันอยู่น่ะ!! ”
เสียงตะโกนเรียกพวกเค้าทั้งหมด ดังขึ้น สเวน คือเจ้าของเสียงนั้น เค้าเดินมาพร้อมกับ เฟนท์
ที่ดูเหมือนพึ่งไปคุยธุระอะไรมาสักอย่าง

“ อ๊ะ! พอดีเลยกำลังหาตัวนายอยู่พอดี…โอ้ย! ”
พรายด์ อุทานพร้อมกับชี้หน้า เฟนท์ ที่เค้ากำลังหาตัวอยู่ แต่ก่อนจะได้ทันเข้าไปหาเค้ากลับถูก
สเวน เคาะกะโหลกซะก่อน

“ นี่เค้าไม่ใช่Valkyrier แล้วก็จริงแต่ก็ถือเป็นรุ่นพี่นายเหมือนกันนะเฟ้ย เรียกห้วนๆแบบนั้นได้ไง!! ”
สเวน กล่าวสั่งสอนไปทีหนึ่งกับอากับกริยาของ พรายด์ ที่จาบจ้วงไปมาบ่อยเสียเหลือเกิน

“ อ้อ แล้วก็นะเรื่องนั้นน่ะ นายเองก็ลองไปคิดดูก่อนก็ได้ ฉันไปก่อนล่ะยังมีเอกสารที่ต้องเคลียอีกเยอะเลย ”
สเวน หันกลับไป พูดกับ เฟนท์ ก่อนจะขอตัวกลับจัดการงานของตนต่อ

“ ไปคุยเรื่องอะไรกับหัวหน้ามาเหรอ? ”
ไรด์ ถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่ดึงแขนของ ไอ ออกจากคอ

“ ก็นิดหน่อยน่ะ… ”
เฟนท์ พูดขึ้นก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เค้าคุยไปกับ สเวน มา

………………………
…………………………………………….

“ งั้นก็หมายความว่า ท่านประธาน ลอว์เอน ชวนให้นายกลับมาเป็น Valkyrier อีกงั้นเหรอ ”
ไรด์ ต้องอุทานขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องที่ เฟนท์ เล่าให้ฟัง แน่นอน แม้แต่ ไอ ไปจนถึง พรายด์
ต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน

“ ถ…ถ้าอย่างนั้น เฟนท์ เธอก็!!… ”
ไอ เผยอ ออกมาด้วยความลิงโลดชั่ววูบ แต่ก็ถูก ไรด์ ปรามเอาไว้ก่อนที่เธอจะทันพูด
คำว่า ‘งั้นเธอก็ตอบตกลงไปเลยสิ’ แน่นอนหากเฟนท์ มาเป็น Valkyrier อีกครั้ง
เธอก็จะได้เจอเค้าได้ทุกเมื่อ แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปถึงสาเหตุที่เค้า เลิกที่เป็น Valkyrier

“ ไอ …เรื่องแบบนี้น่ะให้ เฟนท์ เค้า ตัดสินใจเองจะดีกว่านะ.. ”
ไรด์ เปรยไว้ก่อนจะพา เธอเดินออกจากกลุ่มไป

“ เดี๋ยวสิแล้วนี่ นายจะลากฉันไปไหนเนี่ย ไรด์! ”
ไอ โวยวายใส่ขณะที่ถูกกึ่งจูงกึ่งลากตัว ออกมา

“ ก็แหม เจ้าพรายด์ มันจะขอคุยกับ เฟนท์ ไม่ใช่เหรอ ผู้ชายจะคุยกันผู้หญิงไม่ควรอยู่ฟังนา~ ”
ไรด์ กล่าวเสียงหลาพลางลากเธอออกห่างต่อไป โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเอแม้แต่น้อย

“ จริงสิ! แล้วนายมีอะไรจะพูดกับฉันงั้นเหรอ ”
เฟนท์ ถาม ถึงธุระที่ พรายด์ ต้องการจะพูดด้วยต่อทันทีหลังจากที่ ไรด์ พาไอ ออกไปแล้ว

“ เรื่องที่ค้างกันไว้เมื่อวานน่ะ ขอบคุณสำหรับคำตอบ แต่ว่าแล้วเรื่องที่นาย..อ…เอ้ย…คุณ จะถามผมล่ะ ”
พรายด์ ท้าวความถึงเรื่องเมื่อวาน โดยมีสะดุด ระหว่างที่กำลังจะเรียกคำแทนตัวของเค้า
แต่ก็เปลี่ยนมาใช้ให้สุภาพขึ้นตามที่ สเวน สั่งไว้ว่าให้นับถือเค้าเป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง

“ เรื่องนั้นเองเหรอ…ที่จริงฉันแค่อยากจะถามว่า ไอ อยู่ที่ไหนแค่นั้นล่ะแต่ไหนๆก็แล้ว ฉันขอถามนายใหม่ล่ะกัน ”
เฟนท์ ตอบพลางหันหน้าเข้าหา ทะเล ก่อนจะ ท้าวมือลงบนกาบเรือ

“ เรื่องอะไรล่ะ! ”
พรายด์ ถามขณะที่หันมาท้าวกาบเรือ ตามไปด้วย

“ ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงได้มาเป็น Valkyrier ….จะตอบคำถามนีให้ฉันได้รึเปล่าล่ะ ”
คำถามของเฟนท์ ทำเอาเค้าสะอึกไปเหมือนกัน

“ เรื่องนี้น่ะคุณถามเอา จากพวกรุ่นพี่ก็ได้นี่!! ”
พรายด์ ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที

“ ฉันก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอกแต่ว่า ฉันอยากจะฟังจากปากนายโดยตรงมากกว่า…ไม่ได้เหรอ.. ”
เฟนท์ ตอบก่อนจะหันมา มองหน้าเค้าเพื่อที่จะขอคำตอบ ตัว พรายด์ เองเจอเข้าไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะ
ปฏิเสธยังไง สุดท้ายแล้วเค้าก็ยอมแพ้ และตัดสินใจจะเล่าให้ เฟนท์ ฟัง

“ ก…ก็ได้อยู่หรอกแต่ว่า! ผมน่ะไม่ถนัดเล่าเรื่องตัวเองนักหรอกนะ ”
พรายด์ กล่าวเก้ๆกังพลางหันหน้าหนี สายตาของ อีกฝ่ายซึ่งก็ทำเอา เฟนท์ อดขำไม่ได้กับท่าทีเอียงอาย
แบบเด็กๆนั้น

“ ผมน่ะก่อนที่จะมาเป็น Valkyrier เคยอาศัยอยู่ที่ Wrenbrage (เวียน์เบิกร์) ใน อาริมาเทีย จนถึงเมื่อ 2 ปีก่อน ”
พรายด์ เล่าเรื่องตน ขึ้นอย่างช้าๆ ขณะเดียวกัน เฟนท์ ที่ได้ยินชื่อเมือง ก็เกิดเอะใจขึ้นมา

“ เดี๋ยวก่อนนะ! เวียน์เบิกร์!! แต่เมืองนั้นน่ะ!! ”
เฟนท์ อุทานกับสิ่งที่รับรู้มาจาก เค้าแต่ไม่ต้องที่จะพูดต่อ พรายด์ ก็ชิงเล่าต่อทันที

“ ใช่…มันถูกทำลายไปแล้ว….เพราะสงครามกับ บริเทเนเอร์(Britanir)…. ”
พรายด์ เปรยเสียงแผ่วนิดหน่อย บรรยากาศรอบเริ่มเงียบสงัด
เพราะบรรดาลูกเรือ ที่อยู่บนดาดฟ้าเริ่มทยอยกลับลงไปทำงานตามเดิมแล้ว
มีเพียงเสียง คลื่นที่ซัดสาด ดังมาแผ่วๆเท่านั้น

“ ครอบครัว…ของนายล่ะ ”
เฟนท์ เปรยถามต่อดูเหมือนว่าเค้าจะถามผิดเรื่องเสียแล้ว

“ มีแค่ ผมกับน้องสาว 2 คนเท่านั้นแค่นั้นแหล่ะ พวกเราเป็นเด็กกำพร้า นั่นก็เพราะสงครามเหมือนกัน ”
พรายด์ ตอบสั้นเพียงแค่นั้นแต่ก็พอที่จะให้เค้าเข้าใจได้

“ งั้นเหรอ..โทษทีนะที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง… ”
เฟนท์ กล่าวขอโทษ ก่อนจะปล่อยมือจากราวพาดกาบเรือ

“ งั้นผมขอถามบ้างนะครับ…คุณน่ะทำไมถึงเลิกเป็น Valkyrier ล่ะ ”
พรายด์ ย้อนถามกลับไปบ้างแค่เปลี่ยนความนัยเล็กน้อย แต่นั้นก็นับเป็นคำถามที่เสียดแทงใจเค้าอยู่ไม่น้อย

“ ทำไม…น่ะเหรอ…นั่นสินะถ้าให้เล่ามันก็เป็นเรื่องที่ยาวเลยล่ะเอาสั้นๆง่ายๆ ครั้งนึงฉันเองก็เคยเป็นคนที่
โกรธเกรียดสงครามและยอมถวายชีวิตหาพลังมาครอบครองเพื่อจะหยุดไอ้สงครามบ้าๆนี่ซะแต่ว่า….. ”
เฟนท์ ตอบคำถามของ พรายด์ โดยที่ไม่ยอมสบตา เพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง…..บางอย่างที่
เค้าเคยทำมันผิดพลาดไป

“ ยามที่ร้องไห้เสียใจเพราะความไร้พลังของตัวเอง แต่พอได้พลังนั้นมาไว้ในกำมือแล้วสิ คราวนี้ล่ะเราจะเป็นฝ่ายที่ทำให้คนอื่นต้องร้องไห้แทน…. ”
เฟนท์ หันกลับมาสบตาเค้าอีกครั้งเพื่อที่จะส่งทอดประโยคนี้ คำพูดที่เปล่งออกมาพร้อมๆกับภาพความทรงจำในอดีต
วันเวลาของการสู้รบเมื่อ 2 ปีก่อนทั้งสิ่งที่เค้าสูญเสียและที่ทำลายไปนั้นไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้………….

“ ประกาศ! อีกซักครู่ ยานของเราจะทำการลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำเพื่อขึ้นฝั่งบนแผ่นดินใหญ่
ขอให้เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องที่ยังอยู่บนดาดฟ้า เรือลงมาด้วยค่ะ!! ”
เสียงประกาศ ดังขึ้นจากลำโพงของยาน เพื่อแจ้งกำหนดการของเรือ

“ ต้องให้เล่าอะไรที่ไม่ชอบแถมยังต้องมาฟังเรื่องน่าเบื่อแบบนี้อีก…ขอโทษอีกครั้งก็แล้วกัน ”
เฟนท์ กล่าวจะผละตัวเดินจากไป ทิ้งให้พรายด์ ยืนขบคิดเกี่ยวกับคำพูดที่เค้าทิ้งท้ายไว้
ก่อนจะเดินตามลงไปจากดาดฟ้า เพราะเรือเริ่มลอยลำสูงขึ้นแล้ว

………………………….
…………………………………………….

ราชอาณาจักรมหานครเมกาโทโปลิส (Magatopolis Topia)
ราชอาณาจักรซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสันเขามาซาด้า เหนือขึ้นมาจากเมือง มิราบิลิส เนื่องจากราชอาณาจักรนี้
พึ่งก่อตั้งขึ้นเพราะทวีปเมอริเซีย ที่บูรณะใหม่ทั้งทวีป พื้นที่จึงยังไม่กว้างขวางเท่าใดนัก และราชอาณาจักรอื่นๆ
ก็ยังอยู่ในสภาพฟื้นตัวจากสงครามดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ให้ประวัติเกิดซ้ำรอย เมกาโทโปลิส จึงเป็นราชอาณาจักร

ที่จัดตั้งขึ้นในฐานะ ราชอาณาจักรการฑูตเพื่อสานสัมพันธ์ไมตรีกับต่างแดน ตัวอาณาจักร ยังมีพื้นที่
บนพื้นดินที่ไม่มากมายนัก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหา พื้นที่ไม่เพียงพอ มหานครแห่งนี้จึงได้ สร้างฐานเต่าบินขนาดยักษ์
เช่นเมืองวอลเนีย ในอดีตขึ้นมาเป็นพื้นที่ทดแทนและอาศัยปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่บนหลังของเต่ายักษ์

ที่ลอยตัวอยู่เหนือเมืองอีกที ภาพรวมของราชอาณาจักรนี้ราวดินแดนแห่งเทพนิยาย
ที่มีผืนแผ่นดินลอยไปมาอยู่บนฟ้า ผู้คนมีหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการแบ่งแยก
ซึ่งกันและกัน

………………

ยานรัฟอัส ได้ลงจอดบนท่าเทียบเรืออากาศของ แผ่นดินลอยฟ้า ผืนหนึ่งซึ่งเป็นท่าอากาศยานสำหรับการฑูต
คณะต้อนรับการกลับมาของ เซน่า ซึ่งประกอบด้วย พรรคนักการเมืองและสมาชิคสภาต่างที่มายืนรอรับ
เธอกันพร้อมเพรียง

“ เซน่า!! ”
หนุ่มวุฒิสมาชิก คนหนึ่งในกลุ่มตะโกนพลาง รีบตะบี้ตะบัน ออกมาจับแขนถือมือ เซน่า อย่างสนิทสนม
ต่อหน้า เหล่าลูกเรือและ เฟนท์ ที่เดินตามลงมา จากเรือ

“ จ…โจน่า! ”
เซน่า อุทานกับการกระทำของอีกฝ่าย ที่ล่วงล้ำเข้ามาขนาดนี้แต่เหล่าวุฒิสามชิกคนอื่นก็ไม่มีใครขัดขึ้นมาแม้แต่คนเดียว
กลับมองเหมือนเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ เฟนท์ เองก็ไม่ปฏิกิริยา โต้ตอบแต่อย่างใด ได้แต่มองด้วยสายตาขุ่นเคือง
เท่านั้น

“ ขอบใจนายมากนะ อเล็กซ์ แต่จากนี้ไปไม่ต้องแล้วล่ะ เซน่า น่ะฉันจะคอยดูแลให้เอง ”
หนุ่มวุฒิสมาชิก หันมาพูดกับ เฟนท์ ด้วยท่าทีเหยียดหยาม ก่อนพา เซน่า เดินตะล่อมๆ
ออกไปจากตรงนั้นทันที โดยมีกลุ่มวิสมาชิก ที่เหลือตามไป ไม่มีใครสนใจเหลียวหลังกลับมา
พูดคุยหรือชี้แจงอะไร แก่ ผู้ที่พาตัวเธอมาส่งโดยสวัสดิภาพเลยแม้แต่น้อย

“ อเล็กซ์ เหรอ? ”
ไอ เปรยอย่าง งงๆที่ เฟนท์ ถูกเรียกว่า อเล็กซ์

“ ชื่อปลอมน่ะ คิดเหรอว่าหนึ่งในผู้ร่วมแผมการ Dragoon Requiem อย่างฉันจะอยู่ที่นี่ได้ง่ายๆกันล่ะ ”
เฟนท์ ตอบข้อสงสัยให้แก่ เธอ

“ ว่าแต่แล้วพวกเราจะเอายังต่อดีล่ะเข้ามานี่แล้วแต่ไม่ใครบอกอะไรเลย กฏของที่นี่น่ะเราไม่รู้หรอกนะ ”
กัปตันเมออาร์เน่ เดินขึ้นมาเอ่ยถามเพราะพวกเธอดูเหมือนกับไม่เป็นที่ต้อนรับ ซักเท่าไหร่นัก

“ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ มันเป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ ”
พนักงานสาวผมสีดำทรงแซ่กหน้า กล่าวพร้อมกับเดินนำคนงานมาชุดหนึ่ง เธอเดินเข้ามา แต่ไหล่
พลางขยิบตาขวาให้เป็นสัญญาณ ซึ่งก็ดูเหมือนว่า เฟนท์ จะเข้าใจและพยักหน้ารับ ก่อนจะเดิน ตาม เซน่า
ที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“ อ้อ!..ดิฉัน ฮายาเตะ ไฮเดย์(Hayate Highday) ค่ะเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคของที่นี่ จะเป็นผู้รับผิดชอบ
ยานของคุณในระหว่างที่อยู่ที่นี่นะคะ ขอฝากตัวด้วย ”
พนักงานสาวแนะนำตัว พลางยื่นมือเพื่อที่จับมือทักทายกับ เมออาร์เน่
รูปภาพ

“ ดิฉัน เมออาร์เน่ ไนท์เชด(Mirana Nightshade) กัปตันของ ยานลำนี้ค่ะ ”
เธอแนะนำตัวกลับพร้อมจับมือทักทายตามมารยาทก่อนที่จะเริ่มคุยเรื่องที่ต้องจัดการ ที่นี่
รูปภาพ

…………………………
………………………………………….

เย็นของวันนั้น เวลาได้ล่วงเลยไปมากแล้ว ยานรัฟอัส ยังคงจอดอยู่ที่ท่าเทียบยาน เพื่อซ่อมแซม
ความเสียหายในระหว่างการเดินทาง และการสู้รบก่อนหน้านี้ บรรดาลูกเรือ จึงได้มีเวลาพักและสามารถออกมาเดิน
ข้างนอกยานได้ จนกว่าจะถึงกำหนดการครั้งต่อไป

“ ว้าว!!นี่น่ะเหรอเมอริเซียน่ะ ทุกทีเคยได้ยินจากที่คนอื่นเล่ากัน พึ่งเคยมาเห็นจริงก็วันนี้ล่ะ ”
ไอ เปรยอย่างดีอกดีใจ ขณะที่กวาดสายมองลงไปจาก ระเบียงของ ท่าอากาศยานลอยฟ้านี้
ป่าของเขตราชอาณาจักรฟูดินัน กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไปจนสุดชายแดน ทะเลทรายที่ มีสภาพ
เป็นหย่อมๆสลับกับ โอเอซิส ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ที่จริง เขตภูมิประเทศ ซาโลมที่เคยเป็นทะเลทรายบัดนี้
มันถูกบูรณะขึ้นใหม่เสียจนไม่เหลือเค้าของ ความแห้งแล้งเลยด้วยซ้ำ

“ อันนี้เห็นด้วยกับเธอแหะ….ที่นี่มันสวยเกินกว่าที่คิดไว้ซะอีกไม่นึกเลยว่านี่จะเป็นสภาพของ ทวีปที่ร้างมาจนถึง
เมื่อ 2 ปีก่อนเนี่ย ”
ไรด์ เปรยขณะที่ เดินตามมากับ พรายด์ ขณะที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมทัศนียภาพรอบๆนั้น
พรายด์กลับเอาแต่ทำหน้าขบคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

“ พวกรุ่นพี่คิดว่ายังไงครับ… ”
พรายด์ เปรยขึ้นเอาเสียดื้อๆ กับทั้งสอง

“ หือ เรืองอะไรเหรอ? ”
ไรด์ ย้อนถามอย่าง งงๆ

“ ก็เรื่องที่เค้าคนนั้นจะกลับมาเป็น Valkyrier รึเปล่าน่ะสิครับ!ผมน่ะลองไปคุยด้วยแล้ว
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเค้าจะไม่อยากเลย ทั้งที่มีฝีมือขนาดนั้นแท้ๆ… ”
“ พรายด์!! ”

พรายด์ พยายามที่จะชักชวนให้รุ่นพี่ทั้งสองเห็นด้วยที่จะไปชักจูง ให้เฟนท์ กลับมาทว่า เค้ากลับถูก ไรด์ ตะคอกเสียก่อน

“ เรื่องนี้น่ะเป็นสิทธิในการตัดสินใจของเค้า เราไม่มีสิทธิไปบังคับ!! เข้าใจนะ ”
ไรด์ กล่าวตัดบทจบก็เดินจากออกไปทันที โดยไม่สนแม้แต่จะหันกลับมามอง

“ พรายด์ ฉันเองก็คิดเหมือนกับเธอนะ ที่อยากจะให้ เฟนท์ กลับมาน่ะแต่….ฉันเองก็เห็นด้วยกับ ไรด์
เหมือนกันเราน่ะไม่ควรไปบังคับใครให้ตัดสินใจหรอกนะ ”
ไอ เปรยก่อนจะเดินจากไปด้วยเช่นกัน

…………………………..
…………………………………
……………………………………………..

อาคารรัฐสภาเมกาโทโปลิส

ภายในห้องประชุม กว้างซึ่งมีบรรดาสมาชิกวุฒิสภานั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมกลางห้องกันอย่างพร้อมเพรียง
โดยที่ หัวโต๊ะนั้น เซน่า กำลังอ่านรายละเอียดของการประชุมครั้งนี้อย่างหน้าดำคร่ำเครียด
มือของเธอนั้นสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่ครุกรุ่นอยู่ภายในกับ รายละเอียดของ การประชุมนี้

“ นี่มันอะไรกัน!! ลงนามสนธิสัญญาเข้าร่วมเป็นสหประชาคมโลก งั้นเหรอ!!! ”
เสียงตะหวาดของ เซน่า ดังลั่นห้องประชุม ต่อหน้าคณะวุฒิสภาทั้งหมด

“ เรื่องนี้น่ะเราลงมติกันไปตั้งแต่ก่อนฉันจะออกเดินทางแล้วนี่ เมกาโทโปลิสน่ะ เป็นกลางนะ!! ”
เซน่า ตะคอกพลางทุบโต๊ะไปเสียหนึ่งที ทว่าสภาพการภายในห้องประชุมนั้นก็แทบจะไม่เปลี่ยน
บรรดาวุฒิสมาชิก ทุกคนนั้นต่างเห็นด้วยที่จะลงนามในครั้งนี้ และคัดค้านความคิดของเธอ

“ แล้วไงล่ะ…เพราะว่าเป็นกลางงั้นเหรอ ก็เลยจะตั้งตัวเป็นประเทศหัวโด่อยู่คนเดียวรึไง ทั้งซาโลม ทั้งฟีเลเซีย ทั้งฟูดินัน แม้แต่แอนดิซอง เค้าก็เข้าร่วมเป็น สหประชาคมโลกกันหมด แล้วจะให้ เมกาโทโปลิส ตั้งตัวอยู่โดดเดี่ยวบนทวีปที่เป็นของสหประชาคมโลกเนี่ยนะ ”
โจน่า วุฒิสมาชิก หนุ่มแย้งเธอคำต่อคำโดยที่เธอไม่อาจโต้เถียงได้ เลย

“ ท่านเซน่า โปรดตัดสินใจด้วย พวกเราไม่อยากให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเหมือนในประวัติศาสตร์อีก
ขอโปรดตริตรองให้ถี่ถ้วนด้วย ”
วุฒิสมาชิก ผู้หนึ่งพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้เธอจำนนต่อความคิดเห็นส่วนมากนี้
บัดนี้ในห้องประชุมคงมีเพียงเธอคนเดียวที่คัดง้างความเห็น เนนี้แล้วธอจะขัดได้อย่างไรเล่า
ถึงแม้เธอจะมีอำนาจในการตัดสินชี้ขาดก็ตามที แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า หากไม่ทำการลงนาม

เมกาโทโปลิส ก็อาจต้องล่มสลายเหมือนเมอริเซีย เมื่อในอดีต ที่ถูกรุกรานจากชาติต่างแดน
ที่ไม่รู้ฝักรู้ฝ่าย แต่ว่าการกระทำเช่นนี้ เท่ากับเป็นการนำประเทศเข้าเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และนั่นหมายถึงการตัดขาดกับ องค์กร Empyrean Adjust ที่บรรพบุรุษชาวเมอริเซีย เคยก่อตั้งกันมาอีกด้วย
ตอนนี้ระหว่างหน้าที่และความรู้สึกเธอต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

……………………
…………………………………………………..

สะพานเชื่อมสู่หมู่เกาะ จากมิราบิลิส

บนสะพานหินปูนที่ทอดยาวลงไปในทะเล เชื่อต่อไปจนถึงหมู่เกาะน้อยใหญ่ ทางใต้ซึ่งห่างออกมาจาก ทะเลสาบนีรันด้า สะพานนี้ใช้ม้าในการเดินทางข้ามผ่านหมู่เกาะได้ในเวลา 2 ชั่วโมงทั้งไปและกลับรวมแล้ว 4 ชั่วโมง
ด้วยกัน

กุบ กับ กุบ กับ!!!!

เสียงกระทบขอองเกือกม้า วิ่งกระทบไปตลอดทางบนสะพานนี้ พร้อมกันนั้น ม้าตัวนี้ก็สะบัดปีกทั้งสองของมัน
เพื่อเตรียมที่จะขึ้นบิน โดยมี เฟนท์ ควบมันอยู่บนหลังด้วย หลังจากวิ่งออกตัวมาได้ซักระยะ เฟนท์ จึงเชิดหัวให้มันทะยาน
ขึ้นสู่ฟ้า และบินตรงไปยังเกาะ แห่งหนึ่งในหมู่เกาะ ตรงหน้า ความเร็วของม้า เพกาซัส นั้นช่วยให้เค้าถึงในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา เค้าก็ ควบมันลงไปวิ่งบนชายหาดของเกาะที่หมายของเค้า และลดความเร็วลง ก่อนจะควบให้มันค่อยๆเดินเลียบไปตามหาดขณะที่แสงตะวันนั้นเริ่มลับหาย ตะวันกำลังจะคล้อยดินในอีกไม่ช้านี้

เค้าควบ เปกาซัส เดินเลาะไปเรื่อยก่อนจะมาหยุด ที่หน้าขั้นบันไดหิน ซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่คฤหาสน์
ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ที่ลานบันได นั้นมีคนที่เค้าตามหาตัวอยู่ เฟนท์ถีบตัวลงจากหลังของ เปกาซัส
ก่อนจะจูงบังหียน มันให้เดินตามมาอย่างช้าๆ

“ เรกกะ!! ”
เฟนท์ ส่งเสียงเรียกเพื่อนของตน ที่นั่งเท้าคางอยู่บนบันไดหิน พลางเดินเข้ามา ผูกเชือกบังเหียนไว้กับรั้วไม้แถวๆนั้น

“ เฟนท์! ”
เด็กหนุ่มผมสีทองชี้ตั้ง อุทานด้วยสีหน้าเซอไพร์ นิดๆ ก่อนจะลุกเดินเข้าไปหา
(Recca Highday)

รูปภาพ

…………………………..
……………………………………………
………………………………………………………….

ท่าเทียบอากาศยาน เมกาโทโปลิส

ณ ท่าจอดของยานรัฟอัส ตอนนี้มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟฟ้า ที่ให้ความสว่างแทน แสงตะวันที่ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว
เซน่า เธอมาที่นี่เพียงลำพังเพื่อที่จะแจ้งข่าวบางอย่างแก่ กัปตันเมออาร์เน่

“ งั้นหรือคะ….เข้าใจแล้วค่ะพรุ่งนี้บ่าย ยานของเราจะออกเดินทางทันที ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของท่านมากเลยค่ะ ”
กัปตันเมออาร์เน่ กล่าวพลางยกมือขึ้นทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพต่อเธอ

“ ตัวฉันเองก็คงช่วยได้เท่านี้ต้องขอโทษ ด้วยนะคะ….แต่เพราะฉันหยุดมติของสภาไว้ไม่ได้ อีกสามวันข้างหน้านี้
เมกาโทโปลิส ก็ทำพิธีลงนามสัญญาเข้ากับสหประชาคมโลกแล้ว ถึงตอนนั้น ประเทศของเราก็
ต้องตัดการติดต่อกับ องค์กรอย่างจริงๆจังๆ ด้วย ”
เซน่า เล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ เธอฟังอย่างสลดๆ ที่เธอไม่สามารถทำอะไรให้สมกับหน้าที่และอำนาจ
ของเธอเลย

“ ไม่เป็นไรค่ะ ตัวดิฉันเองก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ว่าแต่…แบบนี้แล้ว องครักษ์ของท่านล่ะคะ? ”
เมออาร์เน่ กล่าวก่อนจะถามถึงเรื่องเกี่ยวกับ เฟนท์ ทำให้ เซน่า ต้องหันมาถามด้วยความประหลาดใจ

“ เอ๋..แล้ว เค้าทำไมเหรอคะ? ”
เซน่า ถามด้วยความสงสัยว่าเรื่องของ เฟนท์ มาเกี่ยวอะไรด้วย

“ อ้าว?!นี่เค้าไม่ได้บอกท่านหรอกเหรอคะ เค้าน่ะ…… ”

……………………
…………………………………………
……………………………………………………………

“ งั้นเหรอ….ไปสู้มางั้นสินะ… ”
เรกกะ เอ่ยขึ้นแผ่วๆขณะที่ยืนหันหน้าเข้าหาทะเลโดยมี เฟนท์ เดินคุยมาระหว่างทางด้วย

“ ที่องค์กรตอนนี้น่ะ พัฒนา Crisissor รุ่นใหม่ๆขึ้นมาเห็นว่าถูกจารกรรมไป 3 เครื่องด้วย… ”
เฟนท์ เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตนพบปะมากับตัวเองให้ เค้าฟัง

“ เหรอ….แล้วนายกำลังคิดอยู่ใช่ไหมล่ะ ว่าใครกันนะที่เป็นคนทำเรื่องพวกนี้น่ะ.. ”
เรกกะ เดาความคิดของเค้า ซึ่งมันก็ตรงตามนั้น นี่คือเรื่องหนึ่งที่เค้ามาเพื่อจะปรึกษา

“ ก็อย่างที่นายว่าน่ะล่ะ เรื่องนี้น่ะ ถ้าเกิดมันเป็นแผนของ สหประชาคมโลกหรือไม่ก็พวกสหพันธ์แล้วล่ะก็… ”
เฟนท์ เริ่มออกความเห็นที่เค้าคิด เพื่อที่จะฟังความเห็นของ เรกกะ บ้างทว่าก่อนที่เค้าจะได้ทันพูดจบ
เรกกะ ก็โพล่งออกมาเสียก่อน

“ มันก็จะเกิดสงครามขึ้นมาอีกแล้วพวก Empyrean Adjust ก็จะต้องเข้าแทรกแซงอีก…ยังงั้นใช่ไหม ”
เรกกะ ชิงพูดประโยคที่เหลือขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เค้าไม่มีอะไรจะพูดต่ออีกแล้ว
จึงได้แต่รอให้ เรกกะ ตอบเค้ามาก็เท่านั้น

“ นี่เฟนท์ ….นายยังจำได้รึเปล่าใน Dragoon Requiem ครั้งนั้นน่ะฉันบอกนายเอาไว้ใช่ไหมว่า
ความปราถนาของทุกคนไม่อาจเป็นจริงได้ตลอดไปเพราะกระแสแห่งเวลานั้นไม่ยอมหยุดไปกับ
ช่วงเวลาที่ความปราถนานั้นอยู่น่ะ.. ”
เรกกะ เอ่ยถามถึงอุดมการณ์ในครั้งสงครามเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับ เค้า

“ ใช่….แล้วนายก็บอกว่า เพราะงั้นทุกคนจึงปราถนาในสิ่งเดียวกันอยู่อย่างหนึ่งมันคือ อนาคต…..อนาคตที่ความปราถนานั้นจะมาถึงอีกครั้ง…. ”
เฟนท์ ตอบที่เหลือทั้งหมด ก่อนจะเริ่มบอกถึงความรู้สึกของตัวเค้าเกี่ยวกับ ความเห็นในครั้งนั้น

“ ตอนนั้นฉันคิดว่าเราได้คำตอบของ ความปราถนานั้นมาแล้วจริงๆแต่ว่าตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึก ว่ามันยังไม่ใช่แค่นั้น
แค่อนาคตมันจะเพียงพอแน่เหรอ? ผู้คนก็ยังคงไม่ละทิ้งอดีตและยังคงฝังใจอยู่กับมัน ทั้งนายทั้งฉันพวกเราเองก็ด้วยเหมือนกัน ที่ยังคงละทิ้งอดีตไม่ได้ ”

เฟนท์ กล่าวสีหน้าของเค้าแสดงออกถึงความกังวลอยู่ลึกๆ ความสับสนของสถานการณ์ ในตอนนี้มันกำลังรุมเร้า
เค้าอยู่

“ งั้นนายก็รู้สึกเหมือนกับฉันสินะ…ตอนนี้เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว บางทีมันคงถึงเวลาที่เราจะต้อง
ออกค้นความปราถนาใหม่แล้วก็….คำตอบใหม่สำหรับปัญหานี้ด้วย……. ”
เรกกะ ตอบหลังจากที่ได้ฟังความเห็นของ เพื่อนสนิท แต่ตอนนี้ตัวเค้าเองก็ยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้นัก

“ นี่ เรกกะ …ฉันน่ะคิดว่าจะกลับไป…ที่ Empyrean Adjust อีกครั้ง ”


…………………………
…………………………………………………….

เช้าวันต่อมา

ณ ท่าเทียบอากาศยาน ท่าจอดยานรัฟอัส

“ เธอแน่ใจแล้วนะที่จะไปน่ะ… ”
คำถามของ เซน่า ที่แฝงด้วยความเป็นห่วงนี้กำลังถูกถามไปยัง เฟนท์ ที่ยืนอยู่บนสะพานเชื่อมสู่ตัวยาน
โดยมี กัปตันเมออาร์เน่ และ รองกัปตันสเวน รออยู่

“ อืม..อ๊ะจริงสิ! เกือบลืมแน่ะ! ”
เฟนท์ ตอบก่อนจะพลางนึกอะไรบางอย่างได้ เค้าล้วงมือลงไปในเสื้อแจคเก็ตก่อนจะหยิบเอากุญแจ
ดอกใหญ่เท่าฝ่ามือ ส่งให้กับเธอ

“ นี่มัน กุญแจแห่งรุ่งสาง(Key of Akatsuki)…ทำไม?... ”
เซน่า เปรยด้วยความประหลาดใจที่กุญแจของเธอ มาอยู่กับเค้า

รูปภาพ

“ ตอนที่เธอหมดสติไปที่เกาะวันนั้นน่ะ มันตกมาจากกระเป๋าเสื้อเธอน่ะ เห็นว่าด้ามมันหักอยู่ก็เลยเก็บมาซ่อมไว้
แล้วก็กะจะคืนให้เธอทีหลัง โชคดีนะที่ยังไม่ลืมน่ะ ”
เฟนท์ อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับที่กุญแจของเธอมาอยู่ที่เค้าได้อย่างไร

“ ข…ขอบใจนะ ”
เซน่า รับกุญแจของเธอคืน เฟนท์ จึงยกกระเป๋าของเค้าเพื่อเตรียมจะขึ้นเรือ

“ รักษาตัวนะ…ต้องกลับมาให้ได้ล่ะ! ”
เซน่า บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ประตูยานจะปิดลง ไม่นาน ตัวยานก็ค่อยๆเลื่อนตัวออกจาก
ท่าจอดไปอย่างช้าๆ

…………………….
………………………………………….
……………………………………………………..

เหนือน่านน้ำ ทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทาง ออกสู่ทะเลใหญ่จาก เมกาโทโปลิส บัดนี้ถูกปิดล้อมเอาไว้ด้วย
กองเรือ รบของแอนดิซอง(Annedisonge’s Battle Ship)นับสิบลำ
และเรือดำน้ำ( Annedisoge Submarine) อีกหนึ่งลำ โดยมี Valkyrier สามคน สแตกท์ สเตลท์นิก อาวล์
ทั้งหมดอยู่คุมเชิงหน้าด่าน

รูปภาพ
รูปภาพ
/ทางเมกาโทโปลิสแจ้งว่า พวกมันออกมาแล้วนะ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมล่ะ /
เสียงคลื่นติดต่อ ขึ้นมาจาก เรือดำน้ำไปยัง Valkyrier ทั้งสาม ที่กำลังรอการมาของ ยานรัฟอัส
ที่น่าจะกำลังตรงมาทางนี้

“ ทราบแล้ว ให้ทำลายมันแล้วก็เอา อีก 3 เครื่องที่เหลือมาสินะ ”
สแตกท์ รับคำผ่านคลื่นวิทยุ ขณะที่ ลอยตัวขึ้นไปอยู่บนฟ้ากับ อีกสองคนที่เหลือ

“ คราวนี้ล่ะ ฉันจะยิงมันร่วงเอง! ”
อาวล์ สบถก่อนจะแยกตัวออกจากกลุ่มและพุ่งลงน้ำไป

“ สเตลท์ เธอโจมตีระยะไกลไม่ได้ ไปคุ้มครองยานของ นิวส์ เถอะ ”
สแตกท์ สั่งจบ สเตลท์นิก จึงโรยตัวลงไปยืนบนหัวเรือดำน้ำที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา

“ เท่านี้ ก็จะได้ทำงานให้มันเสร็จๆซักทีสินะ ”
องเมียวจินิวส์ ที่อยู่ในห้องบังคับการของเรือดำน้ำเปรยอย่างสบายอารมณ์ งานนี้พวกเค้าแค่รอที่จะเชือดไก่
อย่างนิ่มๆเท่านั้น ด้วยกองกำลังขนาดนี้ ยานรัฟอัส คงต้องจมเป็นแน่แท้

………………………

“ เรดาห์ตรวจพบกองทัพเรือค่ะ ดูเหมือนว่าเครื่องจะตรวจจับพบ ละอองอนุภาคอิออนดิวเทเรี่ยมด้วยค่ะ ”
เจ้าหน้าที่คุมเรดาห์ ยาน หันมารายงาน เมออาร์เน่ ภายในห้องบังคับการของยานรัฟอัส
ซึ่งกำลังวุ่นวายกันพอดู

“ นี่มันดักรอเราอยู่งั้นเหรอเนี่ย…ช่วยไม่ได้คงต้องถอยกลับเข้าไปในน่านน้ำก่อน… ”
เมออาร์เน่ วิเคราะห์สถานการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอตัดสินใจจะถอย กลับทว่า

“ ข…ข้างหลังก็มีกองเรือ ตีขนาบปิดกั้นน่านน้ำเอาไว้ค่ะ ”
เจ้าหน้าที่คุมเรดาห์ รายงานแก่เธอรายงานนี้ ทำให้เธอและรองกัปตัน สเวนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วย
ต้องถลึงตาด้วยความไม่คาดคิด

“ อะไรกันนี่พวกมันปิดล้อมเราเอาไว้แล้วงั้นเหรอ!! ”
สเวน เปรยเสียงเย็น ด้วยความรู้สึก เย็นเชียบเมื่อรู้ตัวว่าถูกล้อมอยู่ในวงล้อมศัตรู ผลันแวบขึ้นมา

“ ม…ไม่ใช่ค่ะ ข้างหลังเป็นกองเรือของ เมกาโทโปลิสค่ะ.. ”
เจ้าหน้าที่ รายงานแก้ความเข้าผิดของทั้งสอง ในขณะที่ กำลังจะโล่งใจได้ว่าข้างหลังนั้นไม่ใช่ศัตรู
ทว่ากลับมีประกาศดังขึ้นมาจากกองเรือด้านหลัง

/ถึง รัฟอัส ทาง เมกาโทโปลิส ไม่อนญาติให้ยานของ องค์กรไร้สัญชาติผ่านเข้ามาในน่านน้ำ อีกกรุณาหักหางเสือกลับด้วย
มิเช่นนั้นเราจะยิง!!/
ประกาศที่ดังขึ้นมาจาก กองเรือซึ่งประกอบด้วยเรือเต่าประจันบาญ(Turtle Battle Ship) นับ สิบลำ
ได้เรียงลำปิดกั้นน่านน้ำทั้งหมดไม่ให้พวกเค้าถอยเข้าไปได้ ด้านหลังก็มี กองเรือของศัตรู ไล่บี้เข้ามาเรื่อยๆ
รูปภาพ

“ ชิ..กองเรือพวกนั้น ของแอนดิซอง..งั้นก็หมายความว่าพวกที่เข้าไปชิงเอา Crisissor ทั้ง 3 เครื่องของเราไปคือ
พวกสหประชาคมโลก สินะ ”
สเวน สบถอย่างเคืองๆ ตอนนี้พวกเค้าถูกทิ้งให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งกองทัพ

“ งั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าขืนถอยกลับไปทั้งยังงี้ ข้างหลังคงมีกองทัพเสริมเข้ามาจัดการเราในฐานะศัตรูแน่
งั้นก็มีทางเดียวเราจะตีฝ่าออกไป! ”
เมออาร์เน่ ตัดสินใจก่อนจะออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด สร้างความทึ่งให้กับ สเวน เป็นอันมากที่เธอคิดจะ
ตีฝ่าออกไปทั้งที่โอกาสสำเร็จมีอยู่น้อยนิด

“ เอาจริงเหรอ! นั้นน่ะเรือรบชั้นเรือหลวงเป็นสิบลำเลยนะ! ”
สเวน แย้งการตัดสินใจของเธอ

“ ก็ยังดีกว่ายอมถูกจมอยู่แบบนี้ล่ะน่า! คุณก็เถอะรีบไปพาทีม Shangri-la ประจำตำแหน่งรบได้แล้ว
เราไม่มีเวลาแล้วนะ! ”
เมออาร์เน่ สั่งน้ำเสียงเด็ดขาด เพื่อบีบให้เค้าทำตาม ซึ่งได้ผล สเวน รีบรับคำและวิ่งออกจากห้องไปทันที
หลังจาก สเวน ออกไปแล้ว เฟนท์ ที่สงสัยเกี่ยวกับประกาศ จากทางกองเรือของ เมกาโทโปลิส
เมื่อครู่ก็เข้ามาเพื่อที่จะถาม เมออาร์เน่กัปตันของยานลำนี้

“ เมื่อกี้มันอะไรกันครับ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”
เฟนท์ ถามรนๆ กับสถานการณ์ที่ดูจะสับสนวุ่นวายไปหมด

“ เรื่องนั้นทางเราน่าจะเป็นฝ่ายถามเธอมากกว่า แต่นี่ดูเหมือนว่าแม้แต่เธอก็ไม่รู้สินะง้นเราก้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว
อยู่ที่นี่เฉยแล้วก็อย่าทำเรื่องอะไรล่ะ เรากำลังจะเข้าสู่สภาวะพร้อมรบระดับ 5 แล้ว ”
เมออาร์เน่ อธิบายก่อนจะสั่งให้เค้าไปนั่งเก้าอี้ ตัวที่ว่างอยู่ในห้อง

………….
“ ประกาศจากนี้เราจะเข้าสู่สภาวะพร้อมรบระดับ5ย้ำ! ”
เสียงประกาศดังขึ้นไปทั่วทั้งยาน ขณะที่ พรายด์ ไอ ไรด์ และ สเวน ซึ่งสวม
Crisissor เรียบร้อยแล้ว กำลังวิ่งไปประจำที่

“ นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย! ทำไมเมกาโทโปลิสต้องมากีดกันพวกเราด้วยล่ะ! ”
พรายด์ สบถขณะที่วิ่งกันอยู่นี้

“ เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้ต้องรีบออกไปแล้วไม่งั้นโดนยิงจมแน่ ”
สเวน สั่ง และวิ่งต่อไปจนเมื่อมาถึงห้องที่มีรางส่งแบบที่ เค้าใช้ส่งตัวที่ เกาะ ก่อนหน้านี้
ซึ่งคราวนี้รางนั้นต่อทอดจาก ทางเดินตรงยาวไปจนถึง ประตูส่งของยานที่เปิดรอเอาไว้

“ ทำการ Setting Catapaul Charge เรียบร้อย ”
เสียงประกาศดังมาจากลำโพงของห้อง ก่อนที่ สเวน จะขึ้นไปยืนบนรางเช่นเดิม
รางค่อยเรืองแสงไล่ไปจนสุดแล้วเสียงประกาศก็ดังขึ้น

“ การตรวจสอบเรียบร้อย Valkyrier Feodola Alpha เชิญออกได้ค่ะ ”
สิ้นเสียงประกาศ ปีกที่แพคหลังของ สเวน ก็กางออกพร้อมสร้างละอองสีเขียวออกมา

“ สเวน แตร์เซส วอลคีรีเออร์ ฟีโอโดร่า อัลฟ่า(Sven Tarexex Valkyrier Feodora Alpha) จะไปล่ะ!! ”
สเวน ประกาศ ก่อนที่แพคปีกจะขับเคลื่อนตัวเค้าให้พุ่งไปตามรางและทะยานออกสู่สนามรบ

“ ต่อไป Valkyrier Luxuria of Wensday เชิญออกได้ค่ะ ”
เสียงประกาศ ดังขึ้นอีกหลังจากที่ ไอ ขึ้นไปยืนบนรางต่อจาก สเวน แสงไฟบนรางเริ่มไล่ใหม่อีกครั้งจนสุด
พร้อมกับ ที่โล่เกราะไหล่ทั้งสองข้างของเธอ กระพริบแสงขึ้นหนึ่งครั้ง

“ ไอ เลมูเรีย วอลคีรีเออร์ ลุซซุเรีย ออฟ เวนสเดย์(Ai Lemuria Valkyrier Luxuria of Wensday) จะไปล่ะค่ะ ”
ไอ ประกาศพร้อมกับที่เกราะของเธอ สร้างละอองสีแดงออกมาขับเคลื่อนตัวเธอพุ่งทะยานออกไป

“ ต่อไป Valkyrier Acedia of Monday เชิญออกได้ค่ะ ”
อีกครั้งต่อจากที่ ไอ ออกไปแล้ว ไรด์ จึงขึ้นไปยืนบนรางเป็นลำดับต่อมาพร้อมกับเสียงประกาศ

“ ไรด์ รูลเวลส์ วอลคีรีเออร์ อซีเดีย ออฟ มันเดย์ (Ryad Runevel Valkyrier Acedia of Monday)ไปล่ะนะ ”
ไรด์ ประกาศเมื่อแสงของรางไล่ใหม่อีกครั้งจนสุด ชุดเกราะของเค้าจึงเร่งสร้างละอองสีแดงขึ้นขับเคลื่อนตัวเค้าพุ่งตาม
ไอ ออกไป

“ ต่อไป Valkyrier Superbia of Sunday เชิญออกได้ค่ะ ”
เสียงประกาศดังขึ้นต่อทันทีเมื่อ พรายด์ ที่เป็นคนสุดท้ายขึ้นไปยืนบนราง แล้ว

“ พรายด์ อัสแคร์ วอลคีรีเออร์ ซูเพอร์เบีย ออฟ ซันเดย์(Pride Aska Valkyrier Superbia of Sunday) ไปล่ะครับ!! ”
พรายด์ ประกาศกหลังจากแสงไฟไล่ใหม่จนเครบอีกรอบ ปีกสีดำทั้งสองใบที่หลังของเค้าก็สร้างละอองสีแดงออก
มาขับเคลื่อนตัวเค้าออกสู่สนามรบ บัดนี้ทั้ง 4 ได้ โจนทะยานลงสู่สมรภูมิแล้ว

………………………………
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อังคาร เม.ย. 12, 2011 4:38 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 2:24 am

………………………………………………

ที่ทำการรัฐบาลเมกาโทโปลิส

“ อะไรกัน! ทำไมถึงได้ประกาศออกไปแบบนั้นล่ะ รีบให้พวกเค้าถอยกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!! ”
เซน่า ที่พึ่งรู้เรื่อง การปิดล้อมน่านน้ำ เพื่อเฉดหัว ยานรัฟอัสและลูกเรือให้ไปตายอยู่
นอกน่านน้ำ ได้เข้ามาต่อว่า เหล่าวุฒิสมาชิกที่เป็นคนออกคำสั่งนั้นไปทันที

“ นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ เซน่า เรากำลังจะเป็นพันธมิตรกับ สหประชาคมโลก แล้วนะพวกนั้นอีกเดี๋ยวก็
จะนับเป็นศัตรูของเราแล้ว ”
โจน่า วุฒิสมาชิกหนุ่ม แย้งคำสั่งของเธอ พร้อมชี้แจงไปด้วย แต่นั่นก็ทำให้เธอได้รู้แล้วในที่สุด

“ นี่หรือว่า….ตั้งใจกันไว้แล้วใช่ไหม!! นี่คิดจะมอบพวกเค้าให้ พวก สหประชาคมโลกตั้งแต่แรกแล้วงั้นสิ!! ”
เซน่า ตะคอกอย่างเดือดดาล จากตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันกระจ่างแก่เธอแล้วว่านี่คือแผนของ
สหประชาคมโลกที่คิดจะยึด เมกาโทโปลิส ก็เพื่อที่จะจัดการกับ Empyrean Adjust นั่นเอง

“ ก็แล้วมันยังไงล่ะ นี่มันการเมืองนะ ประเทศไม่ใช่ของเล่นของเธอนะ เซน่า!! ”
โจน่า โต้เถียงเธอกลับอีกทั้งยังมีแรงสนับสนุนของ พวกวุฒิสมาชิกคนอื่นคอยหนุนอยู่อีก ตอนนี้
เธอแทบจะไม่มีสิทธิเสียงใดๆไปโต้แย้งการกระทำนี้ได้เลย เธอได้แต่เดินคอตกด้วยความสิ้นหวังออกจาก
ห้องประชุมไป

“ ท่านเซน่า คะ… ”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยเรียกเธอทันทีที่พ้นจากประตูห้องมา เมื่อหันไป เด็กสาว 3 คน
กำลังรอเธอ อยู่คนหนึ่ง ผมสีฟ้าผูกหางแกละคู่และสวมแว่นตา
อีกคนหน้าตาดูไร้เดียงสาผมสีเขียวผูกเป็นทรงหัวสับปะรด
และคนสุดท้ายที่ดูจะอายุมากที่สุดในกลุ่มที่จริงก็อายุพอๆกับเธอน่ะเองผมสีม่วงทรงหางม้า
ทั้งสามสวมเครื่องแบบคนรับใช้ ดูเหมือนว่าคงจะเป็นคนรับใช้ของเธอเอง

“ ชารี่(Chary) เอลิต้า(Elita) ซิกนัม(Signum)….พวกเธอ ”
เซน่า เปรยเสียงแผ่วขณะที่เรียกชื่อ ทั้งสาม
Chary
รูปภาพ

Elita
รูปภาพ

Signum
รูปภาพ

“ เราพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบ้างแล้วค่ะท่าน เซน่า ”
ชารี่ หญิงสาวสวมแว่นตาผูกแกละ กล่าวพลางส่งต่อให้ คนผมสีเขียวหัวสับปะรดพูดต่อจากเธอ

“ เพราะงั้น เอลิต้า ก็เลยทีความคิดดีค่ะ ”
เอลิต้า สาวน้อยไร้เดียงสาผมสีเขียวทรงสับปะรด พูดเสียงใส พลางชี้ไปที่เครื่องอุปกรณ์มือถือ
ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับของ ที่ รองกัปตันสเวน ใช้ เพียงแต่เครื่องนี้เก่ากว่าเท่านั้นเอง
มันอยู่ในมือของ เด็กสาวคนสุดท้าย

“ ใช้มันติดต่อท่าน เรกกะ ดูเถอะค่ะ ”
ซิกนัม เด็กสาวที่ดูสุขุมและมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม กล่าวพร้อมกับส่งอุปกรรืในมือให้แก่เธอ

“ นี่มัน Crisis Terminal…..จริงสิ เรกกะ! ”
เซน่า รับมันมาดูพร้อมกับเปรยขึ้นก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ตอนนี้มีคนที่เธฮคิดจะขอร้องและเค้าคนนั้น
จะต้องช่วยเธอได้อย่างแน่นอน

………………………
……………………………………..

/Cold Snapping/
เสียงดังกังวานขึ้นพร้อมกับที่ อาวล์ พุ่งขึ้นจากน้ำมาและยิงลำแสงแช่แข็ง ออกจาก แพคอุปกรณ์ด้านหลัง
ใส่ พรายด์ แต่เค้าก็หลบได้ทันก่อนจะยิงสวนไป ทว่า อาวล์ ก็หนีกลับไปในน้ำเสียแล้ว

“ บ้าเอ้ย แบบนี้ก็เปิดทางไม่ได้เลยสิ! ”
สเวน สบถขณะที่ต้องบินหลบ ทั้งลูกดอกลำแสงของ สแตกทื และกระสุนปืนใหญ่
ของเรือ แต่ละลำ ด้านยานรัฟอัส เองต้องกางสนามป้องกันที่สร้างจากละอองสีแดงแบบเดียวกับพวก Valkyrier
ซึ่งปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ท้ายเรือ

“ แฟร์มิสไซล์ ยิง!! ”
กัปตันเมออาร์เน่ ออกคำสั่งก่อนที่หัวรบเพลิงจะถูกยิงออกจากยาน พุ่งไปยังเรือรบลำหนึ่ง
ทว่า ก่อนที่หัวรบจะไปถึงนั้น อาวล์ ก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ พร้อมกับปล่อยลำแสงแช่แข็ง
แช่เย็นหัวรบทั้งหมดจนเป็นน้ำแข็งตกลงทะเลไป

“ ขืนเป็นแบบนี้เราตีฝ่าออกไปไม่ได้แน่ ”
ไรด์ สบถพลางร่อน จักรในมือ ออกไปสะกัดลูกกระสุนปืนใหญ่ ที่เข้ามาใกล้ยาน
โดยมี ไอ คอยช่วยหนุน พวกเค้าแบบ่งหน้าที่กันโดยให้ สเวน และ พรายด์ เป็นหน่วยจู่โจม
ส่วน ไรด์ และ ไอ เป็นหน่วยป้องกัน ทว่ากำลังของอีกฝ่ายก็ยังมากเกินกว่าที่พวกเค้า
ลำพังจะต้านไว้อยู่ ยิ่งอีกฝ่ายมี Valkyrier ด้วยเหมือนกันก็ยิ่งทำให้พวกเค้าลำบากขึ้นไปอีก

………………….
…………………………….
……………………………………………

ปิ๊บๆๆๆ

เสียงร้องของอุปกรณ์มือถือซึ่งเรียกว่า Crissis Terminal ดังระรัวขึ้น
มันถูกวางอยู่บนตู้เก็บของบริเวณมุมห้อง ของคฤหาสน์ ที่ เรกกะ อาศัย อยู่บนเกาะทางใต้


“ หือ! เสียงเครื่องนี่…ของ ฮายาเตะ เหรอ หรือ โครโน่ จะต่อสายมากันนะ ”
เรกกะ พึมพำขณะที่เดินเข้ามา รับสายสัญญาณที่ติดต่อ ผ่านเครื่องเข้ามา

“ ร…เรกกะ อยู่รึเปล่า!! นี่พี่เองนะ!! ”
เสียงที่คุ้นหูมากสำหรับเค้าดังขึ้น ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอกชื่อแต่อย่างใด เค้ารู้แล้ว
เจ้าของเสียงนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พี่สาวของ เค้า เซน่า ไฮเดย์ อย่างแน่นอน

“ พี่ครับ เป็นอะไรรึเปล่าทำไมถึงได้ติดต่อผ่านเครื่อง Crisis Terminal ของฮายาเตะ ได้ล่ะ ”
เรกกะ ถามกลับถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทันที จากการคาดการณ์ของเค้าการที่ เซน่า ติดต่อด่วนมาด้วยวิธี
แบบนี้คงเกิดเรื่องขึ้นแล้วแน่

“ เรกกะ ช่วย…ช่วย เฟนท์ ที… ”
เสียงของ เซน่า ดังขึ้นคำขอร้องของเธอ ทำเอาเค้าตาเบิกโผลงด้วยความตกใจ

“ ด…เดี๋ยวก่อนครับพี่ เฟนท์ ทำไมเหรอ?! ”
เรกกะ ถามตัวเค้าเองก็เริ่มที่จะรนขึ้นมาบ้างแล้ว

“ เฟนท์ น่ะ…เค้าออกไปกับยาน ของ องค์กรแต่ตอนนี้ ยานนั้นน่ะถูกโจมตีอยู่ พี่ขอร้องล่ะ ช่วยปกป้องที…ช่วยปกป้องเฟนท์ ทีตอนนี้พี่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ”
เสียงของ เธอที่ดังมาจากอีกด้านของสาย นั้นอ้อนวอนเสียจนแทบหมอบกราบด้วยซ้ำหากเธออยู่ตรงหน้าเค้า
แน่นอน พี่สาวของเค้าขอร้องถึงขนาดนี้ และ เพื่อนคนสำคัญก็กำลังตกที่นั่งลำบาก คำตอบที่เค้าจะตอบ
คงเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว

“ พี่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมจะช่วย เฟนท์ ให้ได้แค่นี้นะครับ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ตัดสายไปทันที

“ นี่นายรู้รึเปล่าว่าตัวเองพึ่งรับปากอะไรลงไปน่ะ ”
หญิงสาวผมสีชมพู ที่เคยคุยกับเค้าที่ชายหาด เดินเข้ามาหยุดเค้าเอาไว้ในห้องเสียก่อน

“ ราชาฟ… ”
เรกกะ เปรยชื่อของเธอ ออกมา ขณะที่เธฮส่งสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ได้ยินเค้าเรียกแบบนั้น

“ ข้างนอกนั่นน่ะ แค่ออกไปก็เห็นแล้วศัตรูน่ะมาเป็นกองทัพเลยเชียวนะ นายจะไปช่วยหมอนั่นยังไง ”
เธอ กล่าวพลางชี้ไปที่หน้าต่างของห้องซึ่งมันหันออกไปหาทะเล ไม่ไกลนัก กองเรือที่กำลังสู้รบกับ
ยานรัฟอัส นั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จำนวนนั้นมีมากมายแม้แต่เสียงปืนใหญ่ยังดังแว่วมาถึง
เกาะที่เงียบสงบนี้ได้อย่างง่ายดาย

“ ก็รู้ไม่ใช่เหรอ มีวิธีเดียวเท่านั้น ”
เรกกะ กล่าวพลางจ้องตรงไปที่เธอ เพื่อขอให้เธอหลีกทาง

“ แต่นั่นเท่ากับว่านายจะต้องออกไปสู้อีกนะ ”
เธอ ยังคงแย้งที่จะไม่ให้เค้าไปเช่นเดิม

“ ฉันน่ะไม่ได้อยากต่อสู้ซักหน่อยแค่อยากปกป้องเท่านั้น….. ”
เรกกะ ตอบโดยที่ไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆของเธออีกไม่ว่าเธอจะพูดมันออกมาหรือไม่ เค้าเดินสวนเธอ
ออกไปจากห้องทันที

“ งั้นก่อนไปก็เอากุญแจไปด้วยสิ ”
ราชาฟ เปรยเสียงเรียบพลางโยน ลูกกุญแจให้เค้าไป เรกกะ รับไว้ก่อนจะรีบเดินออกไปทันที

“ ให้ตายสิ เถียงนายไม่ได้เลยจริงๆ…… ”
เธอบ่นอย่างไม่พอใจแต่ถึงกระนั้นแล้วใจจริงของเธอเองก็โล่งใจที่เค้าไม่ยอมเธอง่ายๆ อย่างที่เธอต้องการ
………………….

เรกกะ รีบวิ่งลงบันไดจากชั้นสองของคฤหาสน์ และลงไปเรื่อยๆจนเมื่อผ่านชั้นหนึ่ง ก็ชายอีกคนสวนขึ้นมา
กระทันหัน ทำเอาเกือบจะชนกันระหว่างทาง

“ อ้าวจะรีบไปไหนเหรอ เรกกะ? ”
ชายที่เดินสวนขึ้นถาม เค้ามีผมดำยาวคลุมถึงไหล่ ถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทว่า เรกกะ ก็ไม่มีเวลามาคุยกับเค้านักจึงตอบไปแบบปัดๆว่า

“ โครโน่ เหรอ โทษทีนะ ฉันต้องรีบไปช่วย เฟนท์ น่ะไม่มีเวลามาคุยด้วยแล้ว ”
เรกกะ กล่าวจบก็รีบลงบันไดต่อไปทันที

“ เอ๋? ไปช่วยเหรอ ช่วยอะไรล่ะเนี่ย? ”
โครโน่ เปรยอย่าง งงๆกับคำพูดของ เรกกะ แต่กว่าจะทันได้ถาม เค้าไปไกลเสียแล้ว
(Chrono Highday)
รูปภาพ

ด้าน เรกกะ ตอนนี้ตัวเค้าลงมาถึงชั้นใต้ดินของคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตรงหน้า มีบานประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่
ซึ่งมันได้สลักอักขระเวทย์ลงไปเพื่อไม่ให้ใช้เวทย์ทำลายมันได้ ที่ผนังข้างประตูมีรูสำหรับเสียบกุญแจ

อยู่ ทันทีที่ เรกกะ เอากุญแจที่ได้จาก หญิงสาวนามราชาฟ เสียบเข้าไป บานประตูจึงค่อยๆเลื่อนเปิดออก
ด้านในเป็นห้องทึบทึม ที่ดูคล้ายวิหารลับ กำแพงสองข้างทาง มีคบไฟ ที่จุดขึ้นเองอัตโนมัติด้วยกลไก
การเปิดประตู ที่ในสุดของห้อง มีแท่นบูชาพิธี ซึ่งวาง โล่สีทองขาวนวล แกนโล่เป็นอัญมณีสีฟ้า
เรกกะ ค่อยๆก้าวเข้าไปยังแท่นพิธี และยกเอาโล่ขึ้นมาจากแท่น

“ ต้องสู้ด้วยกันอีกครั้งแล้วนะ….แมกกี้ ”
เรกกะ เปรยจบ จึงรีบวิ่งออกจาก ห้องใต้ดิน และ ออกจากคฤหาสน์ ไปตรงสู่ชายหาดของเกาะ
เค้าวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่หาดตรงกับจุดที่เกิดการปะทะพอดี

“ เอาล่ะพร้อมแล้ว!! Royal From Set!! ”
เรกกะ ตะโกนขึ้นพร้อมกับชูโล่ ขึ้นให้สะท้อนกับแสงอาทิตย์ ยามที่แสงกระทบถูกตัวโล่แล้ว
แสงนั้นก็ทอประกายระยิบระยับ ก่อนจะกลายเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า อาบไปทั่วทั้งร่างของเค้า

/Royal From/ /Regeneration/
เสียงดังกังวาลขึ้นจากตัวโล่ ก่อนที่ขอบนอกของโล่จะแยกตัวออกจากแกน และเข้าไปรวมกับแขนและขาของ
เรกกะ ก่อนจะขยายตัวเป็นชุดเกราะเกล็ดมังกรสีขาว พร้อมกันนั้นผิวหนังส่วนที่ยังเป็นมนุษย์ค่อยๆถูกฉีก
ออกและเปลี่ยนเป็นเกล็ดมังกรหุ้มเอาไว้แทน แกนของโล่ที่อัญมณี ค่อยแผ่กลีบออกจนสุดและกลับคืนเป็นโล่
เหมือนในตอนแรก บัดนี้ร่างของ เรกกะ ได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างของ อัศวินมังกรแห่งตำนาน
ทาลิวิลย่า(Thaliwilya)

รูปภาพ

“ เรกกะ ไฮเดย์!! ทาลิวิลย่า ไปล่ะครับ!! ”
สิ้นคำ ไหล่ทั้งสองข้างก็ลุกโหมด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าสะบัดส่ายไปมา ก่อนจะกลายเป็นปีกสีขาวพิสุทธิ์
จรดปลายสีน้ำเงิน ทันทีที่ปีกของเค้าเป็นรูปเป็นร่าง ทาลิวิลย่า ก็โจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับสยายปีก
กว้างออกจนสุด มุ่งตรงสู่สมรภูมิทันที


……………

“ เอานี่ไปกิน ” /Gaizer Gunner/
สิ้นเสียง หน้าไม้ของ สแตกท์ ก็ยิงลำแสงพลังงานสีแดง 5 สายออกไปพร้อมกัน
ทุกเส้นลำแสงนั้น กระแทกเข้าไปที่ เกราะสนามพลังของ ยานรัฟอัส จนเกราะสนามพลังสลายไปในทันที

“ แย่แล้วค่ะสนาม อิออนฟิลด์ ของยานหยุดทำงานไปแล้ว เพราะแรงกระแทกจากการโจมตีเมื่อกี้ ตอนนี้ยานเราไม่มีอะไรป้องกันตัวแล้วค่ะ ”
รายงานของ เจ้าหน้าที่ในห้องบังคับการ ที่กล่าวออกมานั้น ทำเอาบรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดหนักขึ้นไปทุกขณะ

“ ไม่ไหวจริงๆรึเนี่ย… ”
เมออาร์เน่ เปรยวินาทีพวกเค้าแทบไม่มีความหวังเหลืออีกแล้ว

“ ฮะ ฮ่าจมไปซะเถอะ!! ”
อาวล์ ตะโกนขึ้นทันทีที่กระโจนขึ้นจากน้ำมา พร้อมกับเล็งหอกและอุปกรณ์ยิงแสงแช่แข็ง
ที่ ยาน รัฟอัส

“ เสร็จกัน! ”
พรายด์ สบถ ขณะที่พยายามจะหันกลับมาป้องกันยาน แต่เพราะ อาวล์ เตรียมที่จะยิงเสียแล้ว
เค้าไม่อาจไปได้ทันวินาทีชี้เป็นตายนี้ เอง

“ Great of Dragon!! ”
เสียงตะโกนก้องกังวานมาก่อนที่ลำแสงซึ่งมีปลายเป็นหัวมังกรจะพุ่งมาพร้อมกันสองสาย
และพุ่งทำลายทั้งหอก และ อุปกรณ์ยิงแสงของอาวล์ ไปพร้อมๆกันในทีเดียว ปลดอาวุธทั้งหมดที่เค้ามี
ในคราเดียวอีกด้วย ก่อนที่แรงระเบิดจะพัด จนตัว อาวล์ กระเด็นไปให้ สเตลท์นิก ที่คุ้มกันเรือดำน้ำอยู่
รับตัวไว้

“ ล…ลำแสงนั่นมัน! ”
เฟนท์ ที่อยู่ในห้องบังคับการ อุทนขึ้นเมื่อได้เห็นลำแสงนั้นและที่มาของลำแสง เมื่อร่างของ อัศวินมังกรปรากฏกายเหนือน่านฟ้าสมรภูมินี้

“ นั่นมัน….ตัวอะไรกันน่ะ?! ”
พรายด์ เปรยด้วยความตกตะลึงไม่ต่างไปจาก Valkyrier คนอื่นๆ ที่ต่างก็พากันแทบจะหยุดนิ่งเพื่อดูว่า
ผู้มาเยือนนั้นคือใครหรือ อะไร

“ กองหนุนของพวกมันรึ! หายไปซะเถอะแก!! ”
สแตกท์ สบถก่อนจะเล็งหน้าไม้ไปที่ อัศวินมังกร ทว่าไม่ทันที่จะได้ยิง ลำแสงมังกร
ก็พุ่งออกจากฝ่ามือของ อัศวิน กระแทกจนร่างของ เค้าตกลงไปบนเรือดำน้ำ ที่ สเตลท์ พึ่งจะส่งอาวล์
กลับไปก่อนพร้อมกับ คลายออกจากการสวมร่างของ ชุดเกราะไปด้วยกันในทันที

{ เป้าหมายมีมากไปหน่อย แต่แค่ปกป้องไว้ก็พอ….เพราะฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ }“ Great of Dragon!!! ”
เรกกะ ที่อยู่ในร่างของ อัศวินมังกรคิดก่อนจะ สยายปีกขึ้นตั้งให้ปลายปีกทั้งหมดหันมาด้านหน้า
มวลพลังงานค่อยๆสะสมตัวเป็นทรงกลมที่ปลายปีกทั้งหมด ก่อนจะพุ่งออกไปเป็นลำแสงมังกรนับสิบสาย
ลำแสงทั้งหมดพุ่งเป่าจนเรือรบของฝ่ายศัตรูจนไปในการโจมตีครั้งนี้ ถึงครึ่งเลยทีเดียว
โดยที่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นกับเรือเท่านั้น ทหารบนเรือทั้งหมดไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่ก็
ต้องลงไปเล่นน้ำอยู่ในทะเลแทน

“ สุดยอด!...พลังอะไรกันเนี่ย ”
พรายด์ อดที่จะอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึงเสียมิได้ กับพลังทำลายของ อัศวินมังกรตรงหน้า

“ นี่มันเหลือเชื่อซะยิ่งกว่าเหลือเชื่ออีก!! ”
สเวน เปรยขณะที่ตัวเค้านั้นแทบจะไม่อยากขยับไปไหนอีกไม่ว่าจะเพราะความกลัวที่อาจจะถูกลูกหลงของการโจมตี
ของอัศวินมังกรหรือไม่

“ น…นี่เค้ามาช่วยเราใช่ไหม?! ”
ไอ ที่อยู่บนดาดฟ้า ยานถามไรด์ ขณะที่สายตานั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ ร่างของ อัศวินมังกร

“ น่าจะยังงั้นล่ะ…ถ้าขืนเค้าเป็นศัตรูล่ะก็ป่านนี้พวกเราคงไม่เหลือแล้วล่ะมั้ง ”
ไรด์ เปรยน้ำเสียงปนดีใจเล็ก ความรู้สึกมีหวังนั้นแทบจะผุดขึ้นมาเลยทีเดียว

“ ดีล่ะ! ทางเปิดแล้ว เราจะโอกาสนี้ฝ่าออกไปเลย เดินหน้าเต็มที่ ”
เมออาร์เน่ ที่เห็นว่าช่องทางเปิดออกแล้วจากการ โจมตีเมื่อครู่ของ อัศวินมังกร เธฮจึงสั่งให้รีบเดินหน้า ฝ่าออกจากวงล้อมไปทางนั้นแทน ขณะเดียวกัน เฟนท์ ที่อยู่ในห้องบังคับการนั้น ตอนนี้ตัวเค้าได้วิ่งออกไปแล้ว

“ แก! บังอาจมาทำร้าย สแตกท์กับ อาวล์ ”
สเตลท์นิก คำรามพร้อมกับชักเอาดาบสามคมของเธอขึ้นมา และตรงเข้าหาอัศวินมังกร
ทว่า การโจมตีของเธอก็ถูกโล่ของ อัศวินมังกร สกัดเอาไว้เต็มๆ ก่อนจะถูกอัดด้วยลำแสงจากมือซ้าย
จนร่วงลงไปเรือดำน้ำอีกคน

“ หนีไปได้แล้วสินะ… ”
เรกกะ ในร่างของ อัศวินมังกร เปรยก่อนจะหันกลับไปสยายปีกและเล็งไปที่เรือรบของฝ่ายสหประชาคมโลก
ที่เหลืออยู่ทั้งหมด

“ ไม่ให้ตามไปได้หรอก Great of Dragon!! ”
เรกกะในร่างของ อัศวินมังกรเปรยก่อนที่จะสาดยิงลำแสงมังกรนับสิบลงไปทำลายเฉพาะเครื่องยนต์ของเรือรบทั้งหมด
จนไม่สามารถไล่ตามต่อไปได้ ก่อนจะบินตามยานรัฟอัส ไป

……

“ แฮ่กๆ…แฮ่กๆ ”
เสียงหอบของ เฟนท์ ดังมาตลอดทางที่เค้าวิ่งตรงจากห้อง บังคับการของยาน
ขึ้นมาจนถึงดาดฟ้าได้ในที่สุดก่อนจะรีบตรงไปยังท้ายเรือเพื่อที่ดูให้เห็นกับตา ถึงร่างของเพื่อนสนิทที่แปลงเป็นอัศวินมังกรมาช่วยตนเอาไว้

“ เรกกะ!... ”
เฟนท์ เปรยขึ้นเบาขณะที่ อัศวินมังกรนั้นใกล้เข้ามาจนเห็นได้อย่างชัดเจน

“ ปลอดภัยดีสินะ เฟนท์…..หน้าที่ของฉันจบแล้ว ขอให้นายโชคดีกับเส้นทางที่เลือกนี้ล่ะ ”
เรกกะ เปรยหลังจากที่ได้เห็นว่าเพื่อนของตนปลอดภัยแล้ว จึงหันลำกลับไปยัง เกาะตามเดิม
โดยมีสายตาของ เฟนท์ ที่มองจากดาดฟ้ายานซึ่งค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆจนลับสายตา

…………………….
………………………………………..
…………………………………………………….
……………………………………………………………………….

เมื่อตะวันคล้อยดิน ค่ำคืนก็มาเยือน ทว่าสำหรับบางคนแล้ว หลังจากที่ดวงตะวันคล้อยไปแล้ว
ชีวิตของเธอหรือเค้าคนนั้นก็ได้พลิกโผไป อย่างรวดเร็วราวกับว่าเวลาแค่เพียงชั่วพริบตานั้นคือเดือนและปีที่
ผ่านหายไป………………..

“ นี่มันอะไรกัน….นี่ตัวฉันไม่มีค่าอะไรเลยรึไง…. ”
เซน่า เปรยเสียงแผ่วอย่างหมดหวัง ความเศร้าใจและความทรมานนั้น มาจากเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะงานของเธอ
ซึ่งเป็นเอกสาร พิธีลงนามเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหนึ่ง และ อีกหนึ่งคือ เอกสารแจ้งกำหนดพิธี อภิเษกสมรสของเธอ กับ โจน่า

ตาม มติของ วุฒิสภาทุกคน ซึ่งลงความเห็นว่า เธอในตอนนี้ ไม่มีความสามารถในการตัดสินใจต่อประเทศ
จึงคิดจะให้เธอ อภิเษก กับวุฒิสมาชิกคนหนึ่ง ที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้เป็นการง่ายต่อการวางบทบาทของประเทศ
ยิ่งขึ้น

“ นั่นสินะ….ควรจะปล่อยให้เป็นแบบนี้น่ะล่ะ….ก็ฉันมันไม่มีความสามารถจริงๆนี่นา…ฮึก…หนูขอโทษค่ะคุณพ่อ… ”
คำพูดที่ปนออกมากับเสียงสะอื้น นั้นคือสิ่งที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอในตอนนี้ได้ เมื่อ ไม่มีใครอยู่ให้เธอพึ่งได้อีก
เฟนท์ ก็กลับไปทื่ Empyrean Adjust แล้ว ตอนนี้เธอไม่ใครที่จะขอคำปรึกษาได้เลยและการตัดสินนี้เวลาของมันก็งวดเข้ามาทุกขณะแล้ว

…………………
…………………………………..

ณ คฤหาสน์ บนเกาะของพวก เรกกะ ตอนนี้สภาพของคฤหาสน์เองก็ไม่มีเหลือแล้ว
หลังจากการกลับมาจากการช่วยเหลือ เฟนท์ สภาพของคฤหาสน์ ก็เหลือแต่เพียงซากถ่านที่ไหม้ไฟ
จนหมดแล้วเท่านั้น

“ ตายจริง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?! ”
ฮายาเตะ หญิงสาวผมสีดำทรงแซ่กหน้า ซึ่งทำหน้าที่เป็น หัวหน้าดูแลอากาศยานทางการฑูต
อุทานขึ้น เมื่อกลับมาเห็น สภาพของ คฤหาสน์ ที่เธออาศัยอยู่ด้วยนั้นแปรสภาพเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว

“ ดูเหมือนว่า เราจะถูกซุ่มโจมตีล่ะมั้ง? ”
โครโน่ ชายผมสีดำยาว ที่เป็นหนึ่งในผู้พักอาศัยเช่นกัน เดิน ออกมารับเธอ ที่พึ่งกลับมาถึง
ขณะเดียวกัน เรกกะ กับ หญิงสาวที่ชื่อ ราชาฟ ทั้งสองคนนั้น กำลังช่วยกันคุ้ยหา ซากอะไรที่ยังพอจะเหลือเป็นเบาะแสของคนร้ายได้บ้าง ในกองซากของคฤหาสน์ ที่เหลือจากการลุกไหม้

“ ซุ่มโจมตี…หมายความว่ายังไง?! ”
ฮายาเตะ ถามด้วยความแปกลใจกับ คำตอบของ โครโน่

“ เรื่องมันพึ่งเกิดได้ไม่นาน เองก่อนเธอกลับ นิดหน่อยน่ะเอาเป็นสั้นๆง่ายๆเลยก็
หลังจาก เรกกะ เอาโล่ ที่ชั้นใต้ดินออกมาแล้ว ก็มีเจ้าพวกบ้าที่ใช้ไอ้นี่ บุกเข้ามาถล่มยิงเราแบบ
ไม่ไว้หน้ากันเลยล่ะ ”
โครโน่ กล่าวพลางส่งชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนกับ ลูกบาศก์สี่เหลี่ยม สีขาวให้เธอ
รับมาพิจารณาอยู่ซักครู่

“ นี่มันคอร์ ของเตาพลังงาน อิออน นี่….หมายความว่ายังไงกัน ”
ฮายาเตะ ถามต่อด้วยความสงสัยต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายหลังจากพินิจห์ชิ้นส่วนที่รับมา

“ พวกมันใช้เจ้านี่เป็นพลังงานให้ปืนลำแสง ซะด้วยสิ นี่ถ้า เรกกะ
ไม่กลับมาก่อนล่ะก็ มีหวังทั้งฉัน ทั้ง R2 ได้ถูกพวกมันย่างสดแน่ ”
โครโน่ ตอบข้อสงสัยของเธอไปบางส่วนแล้วที่เหลือเธอก็พอจะเดาเอาได้เอง

“ งั้นก็หมายความว่าพวกเราถูกหมายหัวอยู่สินะโดยพวก Empyrean Adjust จริงสิพูดถึงเรื่องนี้แล้ว
ดูท่าตอนนี้ เมกาโทโปลิส จะวิกฤติน่าดูเลยล่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวพร้อมกับ หยิบเอาใบประกาศที่เธอเก็บมาจาก ในเมืองส่งให้ โครโน่ดู

“ หือ งานอภิเษกจัดพร้อมพิธีลงนามเลยงั้นเรอะ! นี่พวกวุฒิสมาชิกมันคงกะวางแผนตั้งแต่ก่อนที่เธอจะออกเดินทาง
ไปเลยสินะ คงกะรวบหัวรวมหาง กุมอำนาจเบ็ดเสร็จทีเดียวเลย ยิ่งตัวเธอเองก็อ่อนเรื่องพวกนี้อยู่ด้วยสิ ”
โครโน่ พินิจพิเคราะห์ เกี่ยวกับ เหตุการณ์ทั้งหมด ที่เกิดขึ้น เรื่องวุ่นวายทั้งหมดตั้งแต่ ที่ เซน่า ออกเดินทางไป
เจรจากับ Empyrean Adjust และกลับมาทุกอย่างดูราวกับมีใครบางคนบงการอยู่เงามืดที่พวกเค้ารู้สึกถึงมันขึ้นมานี้
คือสิ่งใดกัน ความสงสัยมากมายผุดขึ้นมาเต็มอก

“ ทำไงได้ล่ะก็พวกเราน่ะ เปิดเผยตัวไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างนีโอเวล นี่ แล้วก็พวกทีม ฮาร์ทไฟล์
เองก็ดูจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ด้วย ”
ฮายาเตะ เอ่ยแก้ถึงเรื่องที่พวกเค้าไม่สามารถช่วยสนับสนุน เซน่า ได้เพราะสถานะของตน
นอกจาก เฟนท์ เท่านั้น และ ฮาร์ทไฟล์ ที่ว่าก็คือคำเรียกรวมๆที่เธอใช้เรียกกลุ่มสาวรับใช้ทั้งสาม
ของ เซน่า ซึ่งได้แก่ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า

“ นี่คิดไหมว่าทำไมเป้าหมายของพวกมันถึงเป็นพวกเราล่ะ…ที่จริงถึงไม่ต้องทำอะไรเอิกเกริกแบบบนี้
พวกเราเองก็คงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว ”
โครโน่ ถามความคิดเห็น ของ ฮายาเตะ เกี่ยวกับการที่พวกเค้าตกเป็นเป้าหมายอย่างกระทันหันเช่นในวันนี้

“ บางทีเป้าหมายคงไม่ใช่ พวกเราแต่เป็น R2 …ถ้าพูดแบบนั้นน่าจะเข้าท่ากว่านะ ”
เสียงอื่นที่นอกเหนือจากพวกเค้าดังขึ้น ทั้งสองหันกลับไป มองเจ้าของเสียงนั้น
ชายหนุ่มผมตั้งสีแดงน้ำตาล เค้ามาอยู่ข้างหลังทั้งสองโดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป

“ มาธิอัส!!(Mathias Blythe, the Dragon Master) ”
ทั้งสอง สะดุ้งโพล่งชื่อของผู้มาเยือน โดยอัตโนมัติ

รูปภาพ

“ ว่าจะมาหาซักหน่อยแต่ไม่นึกเลยแฮะว่า ปาร์ตี้จะเริ่มกันเร็วแบบนี้… ”
มาธิอัส เปรยเปรียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ รู้เรื่องหมดแล้วงั้นเหรอ? ”
โครโน่ ถามด้วยความแปลกใจที่ดู มาธิอัส จะไม่ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเค้ากำลังเผชิญกันอยู่นี้เลย

“ เมื่อวานเจ้า เรกกะ ติดต่อมาหาฉัน บอกเรื่องที่ เฟนท์ มันจะกลับไปเป็น Valkyrier อีกตามคำชวนของ ประธาน
องค์กร น่ะ ฉันเองก็รู้สึกเอะใจอยู่ก็เลย ว่าจะมาหา ระหว่างทางมาเนี่ย เจอไอ้ประกาศพวกนี้เข้าไป
ฉันก็ถึงบางอ้อแล้ว ”
มาธิอัส เล่าสาเหตุที่เค้ามาในวันนี้

“ แล้วจะเอาไงกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้ถูกตามล่าไม่พอ เซน่า ก็ตกที่นั่งลำบาก ดูเหมือนว่า ถ้าให้อยู่เฉยๆนี่ก็คง
ไม่ไหวแล้วล่ะมั้ง ”
โครโน่ เปรยอย่างเซงๆ พลางเตะทรายบนพื้นแก้เซงไปเรื่อย

“ ก็เพราะงั้นไง วันนี้ฉันถึงได้มานี่ใช่ไหม เรกกะ!? ”
มาธิอัส เปรยก่อนจะหันไปถาม เรกกะ กับ ราชาฟ ที่เดินเข้าร่วมสมทบวงประชุมนี้ด้วย

“ เป้าหมายของพวกที่มาวันนี้คงเป็นฉันงั้นสิใช่ไหม? ”
ราชาฟ ถามเพื่อขอคำยืนยัน จากทั้งสามที่ยืนถกประเด็นกันมาตั้งแต่เมื่อครู่

“ แล้วพวกมันจะต้องการตัว R2 ไปทำไม ”
ฮายาเตะ ยังคงสงสัยถึงข้อสันนิษฐานของ มาธิอัส อยู่
(R2 เป็นชื่อที่ทุกคนใช้เรียก ราชาฟ ยกเว้นเรกกะจะเรียกเธอว่า ราชาฟคนเดียว)

“ ก็ยังไม่รู้แน่ชัดหรอก แค่คิดว่าน่าจะเป็นยังงั้น เพราะตัวตนของ พวกเราทั้งหมดก็ตายไปจากความ
ทรงจำของคนอื่นหมดแล้ว ถ้าจะยังมีก็คงเป็นเธอนี่ล่ะ ”
มาธิอัส ตอบแบบคลุมเครือ ในตอนนี้พวกเค้ายังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จะนำไปสู่อะไรกันแน่
พวกเค้ายังต้องหาคำตอบในเรื่องนี้

“ อ้อ จริงด้วยสิเมื่อกี้ พวกสามสาวฝากมาแน่ะ เห็นว่ารับฝากมาจาก เซน่า อีกที ”
มาธิอัส ฉุกคิดก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมกับ ยื่นซองจดหมายที่รับฝากมาอีกที จากพวก ชารี่
มันเป็นจดหมายของ เซน่า เรกกะ รับมาเปิดอ่าน ทันทีโดยที่ มีกุญแจดอกสำคัญของเธอ
ร่วงออกมากับจดหมายด้วย

“ นี่มัน…กุญแจแห่งรุ่งสาง ที่พ่อเธอให้ไว้ไม่ใช่เหรอของสำคัญแบบนี้ทำไมมาอยู่นี่ได้ล่ะ ”
ฮายาเตะ อุทานด้วยความแปลกใจกับ ของที่ติดมากับจดหมายนี้ เรกกะ รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีนัก
เค้ารีบคลี่จดหมายอ่านทันที

“ ถึง เรกกะ และทุกคน ที่ฉันต้องเขียนจดหมายมาแบบนี้ เพราะตอนนี้ตัวฉันไม่สามารถออกไปไหนได้อีกแล้ว
ทางสภาจะคุมตัวฉันไว้และให้ฉันไปอยู่ที่ บ้านของคู่หมั้นก่อน กุญแจแห่งรุ่งสาง ที่ให้มากับจดหมายฉบับนี้
ฉันไม่อยากให้มันตกไปอยู่ในมือใคร ทางรัฐบาลต้องการจะตัดขาดกับ Empyrean Adjust และคงเอาข้อมูลทั้งหมด
ที่ฉันมีขายให้กับ สหประชาคมโลกเป็นแน่ แค่กุญแจของคุณพ่อนี่เท่านั้น ที่ฉันไม่อยากให้มันไปอยู่กับคนอื่น
จากนี้ไป เมกาโทโปลิส จะมีบทบาทยังไงต่อไปฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ขอให้รู้ว่าฉันตัดสินใจดีที่สุดแล้ว
จากนี้ไปขอให้น้อง และทุกคนพยายามต่อไปนะ จาก เซน่า ”

เรกกะ อ่านจดหมายที่เธอเขียนส่งมาจนจบ แรงตอบสนองของ ทุกคนก็แทบจะไม่ต่างไปจากกันนัก
เนื้อความในจดหมายนั้นบอกให้พวกเค้ารู้ได้เลยว่า สภาพที่เธอเผชิญอยู่ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับ
หุ่นเชิดเท่านั้น

“ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังสงครามได้เกิดขึ้นอีกแน่ สหประชาคมโลก คงคิดจะตัดสินกับพวก
สหพันธ์โลก ให้รู้ขาดเลยสินะ! ”
มาธิอัส สบถอย่างโกรธๆขณะเดียวกันนั้น เอง เรกกะ ก็ได้ตัดสินใจลงไปอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะกล่าวออกมาให้ทุกคนได้รับฟังถึงความเห็นของเค้า

“ ตอนนี้ ทั้ง เฟนท์ ทั้งพี่ พวกเค้าต่างก็ออกเดินทางกันแล้ว….แต่ถ้าเส้นทางพวกนั้นมันยังไม่ถูกต้องก็
คงถึงเวลาที่พวกเราจะออกเดินทางกันแล้วล่ะครับ… ”
เรกกะ กล่าวซึ่งการตัดสินใจของเค้าออกมา ทุกคนต่างเห็นพ้องกันกับเค้า
เวลาของการเดินทางนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
………………..
……………………………………
………………………………………………………

วันพิธี อภิเษกสมรสและลงนามเป็นพันธมิตรกับกลุ่มสหประชาคมโลก แห่งราชอาณาจักรเมกาโทโปลิส

ภายในตัวเมือง เมกาโทโปลิส วันนี้ มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ แห่กันมาอวยพร ให้แก่ มหารานี เซน่า ไฮเดย์
กันอย่างล้นหลาม และการก้าวเป็นหนึ่งในกลุ่มสมาชิกสหประชาคมโลก ร่วมกับ ผู้คนทั้งทวีป เมอริเซีย

“ พร้อมแล้วใช่ไหม เซน่า ”
วุฒิสมาชิก โจน่า ในชุดทักซิโด้สีขาว วันนี้เค้ามีฐานะเป็นถึงจ้าวบ่าวของ มหารานี
กล่าวถามเธอที่อยู่ในชุดจ้าวสาวสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังเดินออกจาก คฤหาสน์ของ เค้า
เพื่อไปยังสถานที่ทำพิธีอภิเษก โดยมีกลุ่มขุนนาง และตัวแทนมากมายจากหลากหลายชาติในเมอริเซีย มาร่วมแสดงความยินดี โดยหาได้รู้เลยว่า ความรู้สึกของ เธอ ในตอนนี้มันไม่ต่างกับการสิ้นสุดของการมีตัวตนของเธอเลย
ทันทีที่ วันนี้จบลงอำนาจของเธอก็จะไม่มีความหมายใดๆอีกต่อไป

…………………..
………………………………

“ นึกว่าจะมาไม่ทันแล้วซะอีก เฮ้อ… ”
สมิงแมวป่าสาวผมสีทอง วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องบังคับการของยานหรือ เรือที่ไหนซักแห่ง กับหนุ่มสมิงหมาป่าผมสีเงิน
ที่ตามเธอหอบแฮ่กๆมาแต่ไกล

“ แฮ่กๆ เฮ่อ อยู่ก็ชวนกันมากระทันหันแบบนี้ใครจะเตรียมตัวทันล่ะเนี่ย ”
สมิงหนุ่มผมสีเงิน บ่นอย่างเหนื่อยหอบ

“ อ้าว!มาจริงเหรอเนี่ย เอมิล… ซาน ”
โครโน่ ที่นั่งอยู่ในห้องกับ ฮายาเตะ และ มาธิอัส หันมาถามทั้งสองที่พึ่งเข้ามาใหม่
(San Neovel)
รูปภาพ
(Emil Runevel)
รูปภาพ

“ ต้องมาแหงอยู่แล้วก็เจ้า เฟนท์ น้องชายสุดที่รักมันยังซื่อจนบื้อไม่เคยเปลี่ยนแบบนี้แล้วพี่สาวยัง
ฉันก็ต้องตามมาสั่งสอนกันหน่อยล่ะ ”
ซาน สมิงแมวป่าสาว เปรยกลั้วเสียงหัวเราะร่า อย่างครื้นเครงเสมอๆ

“ ถ้างั้นก็รีบไปประจำที่ซะซี้ เรายังขาดเจ้าหน้าที่ สื่อสารกับเรดาห์ อยู่พอดี อ้อ เอมิล นายถนัด
พวกงานเทคนิคสินะงั้นช่วยไปจัดการเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือข้างล่างกับ ฉันหน่อยสิ ”
มาธิอัส แจ้งตำแหน่งและหน้าที่ของเธอก่อนจะหันไปชวน ให้ เอมิล สมิงหนุ่มหมาป่าสีเงิน
ตามเค้าลงไปจัดการงานช่างเครื่องด้วยกัน ขณะเดียวกัน ราชาฟ ก็เข้ามาพอดี

“ เอ้ามา กันแล้วเหรอ ซาน เอมิล ”
ราชาฟ เอ่ยพลางทักทายทั้งคู่

“ R2 ! เป็นไงบ้างเนี่ยไม่เจอกันนานเลยนะ ”
ซาน รีบกระดี๊กระด๊า เข้าไปจับไม้ขับมือเธอด้วยความลิงโลดทันที ก่อนจะถูก โครโน่ ล็อคตัวออกมา

“ เอาล่ะหมดเวลา เมาท์แล้ว ไปทำงานซะอีกเดี๋ยวยานของเราก็จะออกกันแล้ว ”
โครโน่ ออกคำสั่งพลางผลัก มาธิอัส ให้พา เอมิล ลงไปจัดการงาน และดึงตัวซาน ลงนั่งเก้าอี้
ควบคุมเรดาห์และการข่าวของยาน

“ จ้าๆ เข้มงวดไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ”
ซาน แกล้งเหน็บประชดประชันเล่นๆก่อนจะเริ่มงานของเธอ ขณะที่ ราชาฟ นั้นไปนั่ง เก้าอี้ที่หันหลังชนกับ
ซาน ซึ่งเป็นที่ประจำของเธอในตอนนี้ ส่วน เอมิล ก็ตาม มาธิอัส ลงไปจัดการงานเครื่องยนต์ที่ชั้นล่าง
ในห้อง จึงเหลือ เพียงโครโน่ ฮายาเตะ ราชาฟ และ ซาน เท่านั้น

“ เอ่อคือ…โครโน่ ถ้ายังไงจะช่วยมานั่งเก้าอี้ตรงนี้แทนฉันได้รึเปล่า? ”
ฮายาเตะ ถามแกมเขินๆ กับการที่ต้องนั่งเก้าอี้ กัปตันยาน เธอจึงขอให้ โครโน่ มาทำแทน

“ หรอกที่ตรงนั้นน่ะ มันเหมาะกับเธอที่สุดแล้วล่ะ อีกอย่างยานลำนี้คนก็ไม่พอ อยู่แล้วด้วยถ้าเกิดอะไรขึ้น
ฉันเองก็คงต้องออกไปเหมือนกัน ”
โครโน่ ช่วยพูดกล่อมจนเธอยอม นั่งในที่สุด หลังจากที่จัดการตำแหน่งหน้าที่บนยานเรียบร้อยแล้ว

“ ว่าแต่สุดยอดไปเลยนะเนี่ย ที่เอา อัลบัส(Albus) ไนเกอร์(Niger)แล้วก็ ไซเบอร์ทิก้าดราก้อน(Cybertiga Dragon) ต้นแบบของยาน 3 ลำก่อนนี้มาเป็นเป็นต้นแบบให้กับพอลลิดัส (Pallidus) ลำนี้น่ะ ”
ราชาฟ กล่าววิจารณ์เกี่ยว กับยานลำนี้ซึ่งมีชื่อว่า พอลลิดัส ตัวยานเป็นสีขาวกาบเรือซ้ายและขวายื่นตรงออกไปด้านหน้า
คล้ายขา (Pallidus Space Ship)
รูปภาพ

“ ฉันว่านะเธอไปถาม ไอ้เจ้ามาธิอัส ที่สร้างมันมาจะดีกว่า แม้แต่ฉันเองยังอึ้งเลยด้วยซ้ำไป
ที่เอายานรบเก่าของ ทีม Eclipse Lord ที่ฉันให้มาแต่งซะจนมันเป็นสุดยอดยานรบแบบนี้ได้น่ะ ”
โครโน่ เปรยถึงความอัจฉริยะ ของมาธิอัส ที่บรูณะยานลำนี้ขึ้นมาใหม่ได้
…….

ที่ชั้นล่างของ ยาน
เรกกะ กำลังเตรียมตัวอยู่ที่ช่องส่งซึ่งมีลักษณะเหมือนกับห้องส่งตัวของ ยานรัฟอัส คือมีราง
และใช้สัญญาณไฟบนพื้นราง เป็นตัวให้สัญญาณการออกตัว

“ ก็รู้อยู่หรอกนะ ว่าระดับนายน่ะคงไม่ต้องห่วง แต่ก็ระวังตัวด้วยล่ะ ”
เอมิล กล่าวอวยพรให้ขณะที่ เดินถอยออกห่างจากราง ที่เค้า ลงไปยืนแล้ว
ส่วน มาธิอัส นั้นหลังจากเช็คทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เค้าก็เตรียมส่งสัญญาณจากห้องนี้ขึ้นไปที่ห้องควบคุม
โดยมี มังกรลมวัยหนุ่ม ดิมมินูวเลี่ยนพันธุ์ อาริมาเทีย(Dimminuialion, Arimathea’s Wind Dragon)
ยืนรอฟังคำสั่งจากเค้า อยู่บนรางอีกอันที่ขนานกับรางของ เรกกะ

รูปภาพ

“ เอาล่ะข้างล่างพร้อมแล้ว เปิดช่อง Catapaul Charge เลย ”
เสียงของ มาธิอัส ดังผ่านลำโพงขึ้นมาที่แผงควบคุมของราชาฟ ก่อนที่เธอจะหมุนสวิตซ์บนแผงเพื่อเปิดระบบ
และพูดประกาศผ่านลำโพง ลงไปที่ชั้นล่างที่ห้องออกตัว

“ เส้นทางเคลียร์ แรงดันไฟฟ้าเคลียร์ Catapual Charge Setting พร้อมใช้งาน ทาลิวิลย่า เชิญออกตัวได้…แล้ว…ค่ะ ”
เสียงประกาศของ ราชาฟ ที่ดังลงมานั้นยังคงดูสะดุๆอยู่บ้าง เนื่องจากเธอไม่ค่อยจะชินกับงานแบบนี้นัก
สัญญาณไฟบนพื้นรางเริ่มวิ่งไล่ไปจนสุดราง ก่อนที่ เรกกะ จะยกโล่สำหรับเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิวิลย่า ขึ้นมา

/Royal From/ /Regeneration/
เสียงดังกังวานขึ้นจากตัวโล่ ก่อนที่ร่างของเค้าจะเปลี่ยนเป็น อัศวินมังกร ทาลิวิลย่า

“ เรกกะ ไฮเดย์ ทาลิวิลย่า ไปล่ะครับ!!(Recca Highday Thaliwilya Take off!!) ”
เรกกะ ประกาศจบปีกของเค้าก็สยายขึ้นพร้อมกับพุ่งทะยานตัวออกไปจาก ทางออกของช่องส่งที่อยู่
บริเวณ ช่วงขาขวาและซ้ายของยาน โดยที่เค้าออกมาจาก ทางซ้าย

“ ต่อไปก็ตาเจ้าล่ะ เชื่อฟัง เรกกะ ดีๆล่ะ ”
มาธิอัส กล่าวพลางลูบหัวเจ้ามังกรหนุ่ม ก่อนที่จะส่งสัญญาณขึ้นไปว่าทางเค้าก็พร้อมกแล้วเช่นกัน
ไม่นานเสียงประกาศของ ราชาฟ ก็ดังลงมา

“ เส้นทางเคลียร์ แรงดันไฟฟ้าเคลียร์ Catapual Charge Setting พร้อมใช้งาน ดิมมินูวเลี่ยน เชิญออกตัวได้ ”
ครั้งนี้เสียงประกาศของเธอคล่องขึ้น และตัดท้ายประโยคออกไปเพราะเธอ ถือว่าให้สัญญาณกับแค่มังกร
เลยไม่เอาละเอียดนัก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจ มาธิอัส ซักเท่าไหร่ แต่เจ้ามังกรหนุ่ม ก็คำรามแทนการประกาศตัว
ก่อนจะพุ่งทะยานบินออกไปจากช่องส่งฝั่งขาขวาของยาน และ ตาม เรกกะ ที่ร่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ตอนนี้ยาน ยังคงจอดอยู่เหนือเนินเขา ชั้นต่ำของ หุบเขา มาซาด้า


“ จากนี้ไปทางเราก็จะออกยานแล้วทำการ ปิดช่อง Catapual หักหางเสือขึ้น 30 เร่งเครื่องเต็มกำลัง ”
ฮายาเตะ ออกคำสั่งขณะที่ ทุกคนในห้องบังคับการ เริ่มทำการปรับค่าบนแผงควบคุมตามที่เธอสั่ง
ตัวยานเริ่มสั่น ทันทีหลังจากที่ปะทุเครื่องยนต์ของยานแล้ว ละอองสีเขียวที่เรียกว่า อนุภาค อิออน
แบบเดียวกับที่ Empyrean Adjust ใช้ก็ถูกขับออกมาห่อหุ้มตัวยาน

“ ใช้เตาพลังงาน อิออน ของเดิมเหรอเนี่ย ”
โครโน่ เปรยระหว่างที่เริ่มดึงคันชักหางเสือยานให้เชิดขึ้น

“ หางเสือเชิด 30 เร่งเครื่องเต็มกำลัง!! ”
โครโน่ ทวนคำสั่งหลังจากที่ทำตามทั้งหมดแล้ว ยานเริ่มสั่นแรงขึ้นและลอยตัวขึ้นจากพื้น

“ พอลลิดัส ออกยานได้!! ”
สิ้นคำของ ฮายาเตะ ยานก็เชิดหัวทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า อย่างช้าๆ ตรงไปยังทะเล
ขณะเดียวกัน เรกกะ กับเจ้ามังกรหนุ่มที่รอดูการออกตัวของยานจนเป็นที่แน่ใจแล้ว จึงออกบินตรงไปยัง ฐานเต่าลอยฟ้า
ทีเป็นส่วนจัดงานอภิเษกของเมืองทันที

……………………..
……………………………………………

ณ บริเวณส่วนจัดงานงานพิธี
บรรดาผู้มาร่วมเป็นประจักษ์พยาน ต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อในลานกว้างของสวนซึ่งตกแต่งอย่างอลังการ
กับงานอภิเษกในครั้งนี้

“ โจน่า ซีซ่าร์ โรมรัน (Jona Seesar’s Romerun)และ เซน่า ไฮเดย์(Zena Highday)
หากทั้งสองรักกันอย่างสัตย์จริงแล้วก็ขอให้ปฏิญาณแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเถิด โจน่า ซีซ่าร์ โรมรัน
เจ้าจะยอมรับ เธอคนนี้เป็นภรรยาไหม? ”
คำเปรยพิธี อภิเษก ของ เซน่า เริ่มขึ้นแล้ว บาทหลวงเริ่มถามตามพิธีกับ โจน่า ที่เป็นจ้าวบ่าว

“ ครับ ผมยอมรับ.. ”
โจน่า กล่าวรับคำตามพิธีเสร็จ บาทหลวงจึงหันมาทาง เซน่า ที่เธอยังคงมีท่าทีที่เซื่องซึมอยู่บ้างเล็กน้อย
แม้จะทำใจแล้วแต่เธอก็ยังหวังอยู่ลึกว่าถ้าจะมีใคร ช่วยหยุดงานในครั้งนี้ไว้ได้ก็คงเป็นพระผู้เป็นเจ้า

“ แล้ว เซนย่า ไฮเดย์ ล่ะ จะยอมรับเค้าผู้นี้เป็นสามีไหม? ”
บาทหลวงถามคำถามตามพิธีแก่เธอ ในเสี้ยววินาที ที่คำตแบซึ่งออกจากปากของเธอนั้น จะชี้ชะตาชีวิตของ
คนทั้ง เมกาโทโปลิส และตัวเธอ นั้นเอง

“ ว่าไงนะ!! กำลังมาทางนี้น่ะเหรอ!! ”
เสียงตะโกนของ หัวหน้าทหารรักษาการในงานดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโหวกเหวกไปมาทั่วทั้งงาน
ทำให้ พิธีต้องเป็นอันสะดุดไป แต่แล้วสาเหตุของ ความวุ่นวายนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น
เรกกะ ในร่างของ อัศวินมังกรร่อนมาลอยตัวอยู่เหนือแท่นพิธี ที่ เซน่า และ โจน่า ยืนอยู่
เพียงแค่นั้น ทั้งงานก้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นมาทันที

“ เรกกะ!! ”
เซน่า เปรยเพียงคำเดียวที่เธอจะนึกออก เมื่อ อัศวินมังกรตรงหน้าค่อย โรยตัวลงมา ขณะที่ ทั้งบาทหลวงและ โจน่า รีบโกย
สองหนีลงจากแท่นพิธี ด้วยความกลัวทันที ทหารรักษาการในงาน พยายามจะเข้ามาควบคุมสถานการณ์แต่เพราะผู้คนในงานพากัน แห่พนีเตลิดเปิดเปิงด้วยความหวาดกลัว ทำให้หน่วยทหารทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ด้าน เซน่า ที่ยังคงได้แต่อึ้ง ก็ถูก เรกกะ อุ้มฉุดขึ้นมา ก่อนที่ เจ้ามังกรลมหนุ่ม ดิมมินูวเลี่ยน ผู้ช่วยของเค้า
จะตามเข้ามา และรับตัว เซน่า ให้มานั่งบนหลังของมันก่อนจะพากันบินหนีออกไปจาก พิธี

“ มัวทำอะไรอยู่เล่า!! รีบๆยิงมันเข้าเซ่ ”
โจน่า ตะโกนใส่ให้ นายทหารรักษาการใช้อาวุธปืนยิง

“ ต…แต่ว่าถ้ายิงไปล่ะก็อาจจะโดนท่าน เซน่า เอาได้นะครับ ”
คำตอบของ นายทหารก็ทำเอาเค้าพูดไม่ออกไปเหมือนกัน ได้ยืนกลืนน้ำตา ดูว่าทีเจ้าสาวของตน
ลอยลับหายไป

………………..


“ น…นี่เดี๋ยวสิ เรกกะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ”
เซน่า ตะคอกถามด้วยความสับสนและตกตะลึงกับการชิงตัวในครั้งนี้

“ อ๊ะ โทษนะ แต่ช่วยอย่าเพิ่งอาละวาด ซักครู่นะครับพี่ ”
เรกกะ ปรามเธอก่อน เพราะว่า ที่พวกเค้ากำลังจะดิ่งลงไปนั้น คือ น่านน้ำที่มี กองเรือเต่าประจัญบาน
คอยท่าอยู่ก่อนแล้ว เพื่อที่จะรับมือกับ การโจมตีของกระสุนที่บางส่วนยิงขึ้นมาก่อน
เค้าจึงต้องยิงลำแสงมังกรสวนลงไปและยิงลงไปอีกนักบนผืนน้ำ เพื่อให้เกิดคลื่นพัดให้ เรือโคลงเคลงเสียหลัก


ก่อนจะดิ่งตรงนำ ดิมมินูวเลี่ยน และ เซน่า ที่นั่งมา ตรงเข้า ยาน พอลลิดัส ที่โผล่มารับ
จากฝั่งด้านที่มาจากหุบเขา พวกทหารที่ ประจำเรือรบเต่า นั้นไม่สามารถไม่ยิงได้
เนื่องจากในนั้นมี เซน่า อยู่ด้วย

………………….

“ เรกกะ กลับเข้ามาแล้ว ”
ราชาฟ รายงาน หลังจากที่ได้รับสัญญาณจาก ห้องส่งตัวที่ชั้นล่างซึ่งรับเอาตัว เรกกะ และ เซน่า เข้ามาแล้ว

“ ถ้ายังงั้น หักหางเสือลง 30 เตรียมลงน้ำ ”
ฮายาเตะ รีบสั่งต่อทันที ยานค่อยๆหักหัวเรือดำลงน้ำไป โดยที่มีกองเรือของ เมกาโทโปลิส ที่ทำได้แต่เพียง
ลอยลำดูการจากไปของ ยานเท่านั้น

……………………..
………………………………….

“ จากนี้ไปขอมอบ Crisissor OG7-05 Mace of Ira ให้แก่เธอนะ เฟนท์ นีโอเวลส์ ”
ประธาน ลอว์เอนกล่าวก่อนจะมอบคฑาเหล็กกล้าจำลองขนาดเล็กแก่ เฟนท์ ที่ตอนนี้สวมเครื่องแบบ แจคเก็นสีแดง
ของ Valkyrier เหมือนทุกคนแล้ว
รูปภาพ รูปภาพ

“ ขอบคุณครับ! ”
เฟนท์ กล่าวพลางทำความเคารพก่อนจะรับมา และเริ่มใช้งานมันเป็นการปิดพิธีรับมอบ Crisissor และแต่งตั้งเค้าเป็นหน่วย Shangri-la

“ Wake up Ira !! ”
สิ้นคำของ เฟนท์ คฑา จำลองก็ขยายขนาดและสร้างชุดเกราะด้วยละอองสีแดงที่แผ่ออกมาจากมัน
สวมลงไปบนร่างของเค้า ชุดเกราะของเค้าเป็นชุดคลุมสีฟ้าคาดทับด้วยผ้าสีขาวและมีโล่สนับแขนสีฟ้าอีกหนึ่งที่แขนซ้าย
ท่ามกลางเสียงปรบมือของ ต้อนรับของบรรดาสมาชิก ในตอนนี้ตัวเค้าได้รับดาบมาไว้ในกำมืออีกครั้งแล้ว
รูปภาพ

………………………
…………………………………………

ภายในยานพอลลิดัส นั้น เซน่า ที่ถูกชิงตัวมาจาก พิธี กำลังเจรจาอยู่กับ เรกกะ

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกันน่ะ เรกกะ!! บอกพี่มานะ! ”
เซน่า โวยพลางจะไม่ยอมท่าเดียวกับการกระทำของ เรกกะ และ พวก

“ แล้วการที่พี่เอาเรื่องของชีวิตและอนาคตอย่างการแต่งงานโดยไม่ยอมบอกผมนี่มันคืออะไรกันล่ะครับ ”
เรกกะ ย้อนกลับไปบ้างทำเอาเธอ สะดุดไปพักใหญ่เหมือนกันก่อนจะโต้กลับมาอีก

“ นั่นน่ะเป็นการทำเพื่อ ประเทศนี้นะ ถ้าไม่เข้าร่วมเป็นพวกสหประชาคมโลกล่ะก็ แล้วจะเมกาโทโปลิส เป็นประเทศ
หัวโด่อยู่คนเดียวแบบนี้เหรอ ”
ครั้งนี้เธอยกเอาหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศขึ้นมาอ้าง

“ ประเทศตัวเองปลอดภัยก็พอแล้วประเทศอื่นช่างหัวมันงั้นเหรอ!!ครับ!! ”
เรกกะ ย้อนกลับไปคราวนี้เธอถึงกับพูดไม่ออกอีกเลย สิ่งสำคัญที่เธอลืมไป หลังจากตกอยู่ในวังวน
ของพวกวุฒิสมาชิก เมื่อได้ เรกกะ ช่วยย้ำเตือน ถึงความต้องการเดิมของเธอที่จะไม่ให้เกิดสงครามขึ้นอีก
เธอจึงคิดได้แล้วว่าทำแบบนี้ต่อไป ก็มีแต่จะทำให้สงครามมันเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น เธอพึ่งจะแบ่ง
เทอร่า ออกเป็นสองฝ่ายไป เทอร่า ได้ใกล้คำว่าสงครามระหว่างสหประชาคมโลก กับสหพันธ์โลกเข้าไป
กับการตัดสินใจในครั้งนี้เสีย

“ ตอนนี้น่ะ พวกเรายังไม่รู้หรอกครับคำตอบของอนาคตที่เราจะต้องไป คนเราหากเลือกเดินผิดทางแล้วก็คงไปไม่
ถึงจุดหมาย ดังนั้นแล้วตอนนี้เรามาค้นหามันด้วยกันเถอะครับ…พี่… ”
เรกกะ กล่าวปลอบเธอพร้อมกับชี้ให้เธออย่าพึ่งรีบทิ้งความหวัง เซน่า ที่อัดอั้นมาเต็มทนแล้ว จึงโผเข้ากอดน้องชาย
ของเธอก่อนจะปล่อยความรู้สึกที่อดกลั้นเอาไว้ออกมากับ เสียงสะอื้นและน้ำตา

“ เรกกะ…..ฮึก…ฮือ~~…. ”



…………………………………….

จนกว่าวันที่พี่และทุกคนจะสามารถอยู่บนเทอร่านี้ได้ โดยไม่ต้องกังวลและทุกระทม
ผมจะสู้ต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้นเอง…………………….

...........................................
....................................................
To Be Continue
........................

ช่วงสครีม&คุยกันท้ายรายการเช่นเคย ก่อนอื่นอันใด ผมต้องกราบขออภัยผู้ติดตามทุกท่านด้วยนะคร้าบ
ที่มาลงช้ากว่ากำหนดไปตั้ง2วันแบบนี้ เนื่องด้วยว่าช่วงปีใหม่ข้าน้อยงานเข้าหลายเรื่องพอตัว
กว่าจะมีเวลาเคลียต้นฉบับกับตรวจ op ed จนพร้อมแล้วยังเสียเวลา ส่งบ.ก.ปิโยจังของเราอีก

แต่ก็คลอดออกมากันแล้วนะครับ สำหรับ SEนี้ คิดว่าคงถูกใจกันนะครับกับop และ ED
รวมถึงเนื้อเรื่อง(ที่เดจาวูไปเหมือนภาค Y Cross ตรงชิงตัวเจ้าสาวเนี่ยแหละ) ว่าแล้วก็สุขขีปีใหม่ย้อนหลังเน้อครับ หุๆๆ ::006::
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อังคาร เม.ย. 12, 2011 4:51 pm, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย boy เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 9:43 am

อาาาาาาาาาา
ตอนนี้ดราม่าเต็มเหนี่ยวเลย ::023::
ซิกๆ -//สูบรป
++++++++++++
สุขสันต์ปี 2010 ครับ
ขอให้พี่ๆทีมงานสุขภาพแข็งแรง สมปรารถนา อายุยืนนาน
ได้อยู่คู่บอร์ดซัมไปตลอด ได้ผลิตผลงานดีๆออกมาอีกนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย {[T]yki-[M]igg} เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 9:08 pm

สุดยอด
ภาพประจำตัวสมาชิก
{[T]yki-[M]igg}
0
 
โพสต์: 545
Cash on hand: 100.00
ที่อยู่: ร้านToonZoneเเถวๆวัดสุทธิ

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 03, 2010 9:55 pm

เฮ้อ~~~ ::024:: กว่าจะได้อ่าน ล่อไปวันที่ 3 เลยก็บอกแล้วว่าอย่าตัดเดี๊ยน จากโปรเจคนี้ เป็นไงล่า ทำการ์ดเกือบไม่ทันเลยล่ะจิ
เหอๆ โปรเจคก็ให้ เดี๊ยนร่วมซะแล้วจะเอาของออกมาปล่อยก่อน อิๆ เลือกเอาเลย ทำคนเดียวเหนื่อยตายกับทำสบายๆ
แต่มีสปอยมาก่อน เหอๆเอาอย่างไหนไปคิดดูนะเกรม่อนคุงงงง ว่าแล้วก็ขอ สครีมกับ โปรเจคนี้หน่อยเถ๊อะ~~~

อยากจะบอกว่าคนอ่านภาคเรกกะแล้ว ยัง งงเนื้อเรื่องพอๆกับคนยังไม่อ่านเลยด้วยซ้ำไปหนูไอ ไปๆมาๆ
ไปอยู่กับ Empyrean Adjust ได้ไงเนี่ย เปิดมาก็จับคู่มากะ อีตาจืดจางไรด์ ซะงั้น แถมตัวละครจาก YXZ อย่าง สเวน กับ เมออาร์เน่
ครอสมาภาคนี้ไม่มีอธิบายเยยว่ามาไง เอ หรือจะเป็นมุขรียูสตัวละคร ไม่ต้องเปลืองสร้างใหม่กันหว่า ว่าแล้ว อีกส่วนหนึ่ง
พอได้มา เห็นโครโน่ กับ ฮายาเตะ แล้วก็ เรกกะ อยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมแล้วมันให้ความรู้สึกยัง กะครอบครัวสุขสันต์ตระกูล
อานิม่าไฮเดย์ เลยให้ตายสิ(ยกเว้นเซน่า คนเดียวไม่นับเพราะเป็นมนุษย์)

ส่วนภาคนี้คาดว่าคงจะเป็นทวงรักของหนุ่มหมา อย่างเฟนท์คุง ที่ต้องแก้ตัวจากภาคหลัก ที่ดันกัดกับ แฟนตัวเอง
จนโดนทิ่มตายตอนจบ(แต่พี่แกเล่นมุขปลอมมาเป็น ดรากูนอีกต่อ ฮ่วย!) ภาคนี้คงต้องมาลุ้นกันว่าคุณพี่ท่าน
จะแก้ตัว คว้าใจ ไอ มาครองได้จริงๆไหมแต่จาก อัตราความสำเร็จดูแล้วคงสูง เพราะเกรม่อนคุงจับให้มาอยู่
ทีมเดียวกันเลย แต่ดันเป็นศัตรูกับ เรกกะ ทางอ้อมด้วยนี่สิ สงสัยจะมีการย้ายฝ่ายกันกลางทาง
แต่ก็หวังว่าคู่จะไม่พรากจากกันอีกเน้อ ส่วน คู่เรกกะ กับป้าราชาฟ เอ้ย ป้า R2 ดูจะรักกันดูดดื่มยิ่งนัก(เรอะ!)
คู่นี้คงไม่ต้องลุ้น

ว่าแต่ อบิลิตี้การ์ด ไครซิสเซอร์ แต่ล่ะชิ้น นั่นมันอาร้าย!!! ถ้าใช้การ์ดใบนี้ใน วันที่กำหนด เช่น จันทร์ อังคาร พูธ บลาๆ
จะมีเพิ่มายังงู้นยังงี้ นี่เล่นไม้นี้เลยเรอะ มิน่า ชื่อวอลคีเรียแต่ล่ะตัว ลงท้ายด้วยวันหมดเลยเหอๆ
แถมเอาชื่อบาปมาใช้ซะด้วย

ว่าแต่ ท้ายๆเรื่องเหมือนรวบรัดให้มันจบๆตอนยังไงไม่รู้แฮะ เรกกะคุง ออกไปโชว์เทพเสร็จกลับมาอีกที บ้านบรึ้มไปแล้ว
เหอๆ ดีไม่มีใครตาย จะว่าไปเหนบอกภาคนี้จะให้จบแบบแฮปปี้ชิมิ ดีๆ ดราม่ากะจบไม่สวยมาหลายเรื่องละชักเอียน
นานๆทีขอ จบแบบแฮปปี้หน่อยเถ้อ~~~

สุดท้ายขอแจ้งกำนดการอัพตอนพิเศษที่มีความยาวเท่า สามตอน นี้ไปด้วยเลย เรื่องนี้จะอัพอีกทีในวันพิเศษ
อีกเช่นเดิม แต่ว่าวันไหนล่ะ วาเลนไทน์ เหรอ เหอๆ ไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ คิดว่าน่าจะอัพอีกทีคง สงกรานต์ เลยมั้ง
เหอๆ นานโคตร! แล้วกว่าจะได้อ่านต่อ ไม่ลืมเนื้อเก่าหมดก่อนเรอะ

อีกเรื่อง มุขชิงตัวเจ้าสาว จากภาค วายครอส มันก็เอามากับเค้าด้วยแหะ อันนี้สินะต้นฉบับจริงของ ภาค วายครอส
ว่าแต่โยไรคุง คงไม่มาแจมตอนหลังด้วยล่ะ ไม่งั้นมีเฮ เละแน่ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย The Wise Eagle เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 3:34 pm

น่าสนุกดีดีนะแต่เพลงในคลิปคุ้นๆ(g.d.s.d.ไปแปลเองนะครับ) ::009:: ::009:: ::009::
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Wise Eagle
0
 
โพสต์: 1472
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 8:55 pm

the wise eagle เขียน:น่าสนุกดีดีนะแต่เพลงในคลิปคุ้นๆ(g.d.s.d.ไปแปลเองนะครับ) ::009:: ::009:: ::009::


ก็แหมทำไงได้ล่ะฮ้า ฝ่ายทำop กับ ed เป็นคนเมคให้นิหน่า แล้วฝ่ายนี้มันก็ คิร๊าาาาา อัสรานนนนน กันทั้งวัน
ตั้ง Vr แหล่ว เพลงop2 ของ Vr ก็เพลงที่คนพากย์ พี่เทพคิระ ยามาโตะ ร้องนั่นล่ะเอ้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ เม.ย. 19, 2010 1:46 pm

Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

Opening Theme Crisis Valkyrier SE



หลังมหาสงครามแห่งเทอร่า ซึ่งจบลงด้วยการล่มสลายลงของทั้งทวีปเมอริเซีย เวลาได้ผ่านพ้นไป 200 ปี
โดยมีสงครามเย็นเกิดมาควบคู่กับสงครามร้อน ไม่นานก็มีกลุ่มผู้อ้างว่าจะใช้กำลังอำนาจที่มี เข้าแทรกแซงสงครามทั้งหมด เพื่อให้เทอร่า หมดสิ้นซึ่งสงคราม หลังจากนั้น มหาสงครามครั้งใหญ่ ที่รู้จักกันในนาม
มหาสงคราม Delantion
ก็ได้อุบัติขึ้น ที่สุดแล้ว เทอร่าก็ได้กลับคืนมาซึ่งความสงบสุข ด้วยการเจรจาสันติ ร่วมกันระหว่างฝ่าย สหพันธ์โลกและสหประชาคมโลก เทอร่าดูเหมือนจะเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความสงบแล้ว
……………………
……………………………………………………………………………………………………………

ทว่า ความขัดแย้ง ที่เริ่มปรากฏให้เด่นชัดขึ้น ก็เริ่มปะทุขึ้นมาใหม่อย่างรุนแรง เริ่มด้วย
การก่อจลาจล เพื่อชิงเอา อาวุธพัฒนาใหม่ของ องค์กรติดอาวุธเอกชน Empyrean Adjust
และต่อเนื่องไปจน ถึงการช่วงชิงอำนาจ ไปจาก เซน่า ไฮเดย์ ผู้สำเร็จราชการแห่ง เมกาโทโปลิส
อย่างอ้อมๆ ที่สุดแล้ว เรกกะ ไฮเดย์ ผู้เป็นน้องชาย จึงได้ตัดสินใจ ลักพาตัว เซน่า หนีออกมาจาก
พิธีราชพิเศกสมรส และหนีไปกับ ยาน พอลลิดัส รุ่นปรับปรุงใหม่
เพื่อ ออกสืบหาความจริงของอำนาจคุมบังเหียนเหตุการณ์ทั้งหมด บัดนี้ เส้นทางที่พวกเค้าเลือก
กำลังจะเปิดประวัติศาสตร์บทใหม่ให้กับ เทอร่า เช่นไร

………………………………………
…………………………………………………………………………………………

Empyrean Earth Base หรือฐานทัพโลกของ Empyrean Adjust ฐานทัพนี้ถูกสร้างขึ้นบนเกาะร้าง
ที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ และยังกางม่านแสงเพื่ออำพรางเกาะทั้งเกาะเอาไว้ เมื่อมองจากภายนอก
เกาะ จะไม่สามารถมองเห็นเกาะ ได้ ฐานทัพนี้ใช้เพื่อเป็นแหล่งสำรองกำลังพล ที่จะเข้าทำการแทรกแซง
บนเทอร่า เป็นหลัก

……………………………
…………………………………………………………………………………………………..

“ จากนี้ไป ผมจะขอประกาศภารกิจ ที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า จากนี้ไป
องค์กรของเราจะปฏิวัติการแทรกแซงขึ้นใหม่ ”
เสียง ประกาศผ่านอุปกรณ์ขยายเสียง ของประธานบริหารสูงสุดแห่งองค์กร ลอว์เอน
ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ประชุม ซึ่งอัดแน่นไปด้วย สมาชิก องค์กร ทั้งหน่วยรบ หน่วยบุคลากร

หน่วยพัฒนา และอื่นๆทุกหน่วยต่างก็ มารวมอยู่ในห้องนี้ เพื่อรับ ฟังคำประกาศที่จะเปลี่ยนแปลง
ภาพพจน์ของ องค์กร ซึ่งเคยทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์เพยงหนึ่งเดียวนั่นคือ สงบสงครามและขจัดความขัดแย้ง โดยไม่สนวิธีการ แต่จากวันนี้ไปภาพพจน์นั้นกำลังจะถูกเปลี่ยนแปลงในไม่ช้านี้

“ อย่างที่สมาชิกทุกคนทราบกันดี นโยบายโดยตลอดที่แล้วมาของ องค์กรเรา ยึดถือหลักการสมัยก่อตั้ง
มาอย่างยาวนาน และได้ปฏิบัติไปแล้ว แต่ทว่าความขัดแย้งที่พวกเราหวังจะให้มันหมดสิ้นไป
กลับยังคงมีอยู่ ”
คำอภิปรายของ ประธานลอว์เอน นั้นเจาะจงลงไปยัง ความคลางแคลงใจของ สมาชิกทุกคน
มันจริงดั่งที่เค้าว่า พวกเค้าต่างทำหน้าที่ในฐานะ ตัวแทนสวรรค์เพื่อสร้างสันติ มาโดยตลอด
แต่ถึงกระนั้น ความสงบสุขที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับไม่ยั่งยืน จนเกิดเป็นความสงสัย และเป็นคำถามให้

กับ ตัวสมาชิก เองอยู่หลายครั้งว่าที่ทำอยู่ตอนนี้คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ เช่นเดียวกัน
สมาชิก ซึ่งเป็นหน่วยรบ อย่าง Valkyrier ที่เคยทำการแทรกแซงในช่วงแรกของการเปิดตัว องค์กร
อย่าง เฟนท์ นีโอเวล ที่เพิ่งกลับเข้ามาประจำการ อีกครั้งในฐานะ Valkyrier ผู้ครอบครอง Crisisor OG7(Original 7 )Mace of Ira

แม้จะพึ่งกลับเข้ามาประจำการ หลังจากที่ถอนตัวไปนานแล้วก็ตามที แต่สมาชิกเก่าๆที่ยังจำเค้าได้ก็มีอยู่ไม่น้อย และ ยังหวังกับเค้าเอาไว้มาก เพราะถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว 2 ปีก่อน ในมหาสงคราม Delantion
ซึ่ง Empyrean Adjust ได้เดินผิดทางด้วยการชี้นำอย่างผิดๆ เฟนท์ คือคนที่เข้าร่วมการต่อต้านในครั้งนั้น

และเป็นนักรบที่ยังคงรอดมาจากสงครามครั้งนั้นได้ ก็ไม่แปลกที่เค้าจะได้รับการขนานนามว่าเป็น วีรบุรุษ
แห่งสงคราม ถึงกระนั้นก็ดี แม้เค้าจะผ่านอะไรต่อมิอะไรมามาก ประสบการณ์ก็ยังไม่อาจให้คำตอบ
กับเรื่องนี้ได้ ทำไมจึงยังมีสงครามทำไมความขัดแย้งยังไม่หายไปอีก ความคลางแครงใจนี้
ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เค้าเลือกจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

“ ที่ผ่านๆมา พวกเราเข้าทำการแทรกแซง ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีและถึงแม้จะทำให้ความขัดแย้งสงบลงแต่
มันก็ก่อความขดแย้งใหม่ๆขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเข้าแทรกแซงไปซักกี่ครั้ง ความขัดแย้งใหม่ๆก็จะเกิดขึ้น
จากการที่เราเข้าแทรกแซงด้วย คำตอบของสาเหตุนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวพวกเราเลย ”

ประธาน ลอว์เอน ยังคงออก อภิปรายด้วยน้ำเสียงมั่นคง แน่วแน่ ว่าไปแล้ว เค้าคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความหวัง
ใหม่ของ องค์กร หลังจากมหาสงคราม Delantion ในครั้งนั้น องค์กรก็อยู่ในสภาพที่ไร้ผู้นำ
ลอว์เอน ได้รับการโหวตจาก สภาบริหารสูงสุดของ องค์กรให้เป็น ผู้นำคนต่อมา

และหลังจากนั้น องค์กรจึงเริ่มฟื้นฟูตัวเองได้ ในที่สุดและการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในองค์กรก็พัฒนาไปในทางที่ดี ตลอดมา ปรธานผู้นี้จึงเปรียบได้กับ แสงแห่งความหวัง ที่สมาชิกในองค์กรต่างให้
ศรัทธาและเชื่อมั่นว่า เค้าจะนำองค์กรไปในทางที่ถูกต้อง

“ ในอดีตที่ผ่านมาพวกเราทำการแทรกแซงโดยไม่คำนึงถึงฝ่ายใดๆเลย เพียงแค่ต้องการจะยุติความรุนแรงด้วยความรุนแรง เท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมาย เพราะฉนั้นจากนี้ไปผมจะขอประกาศ
นโยบายของเราใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ”
หลังจากที่ คำอภิปรายนี้ หยุดลงทุกคนในห้องต่างก็เงียบเสียงและใจจดใจจ่อกับ สิ่งที่ประธานจะพูด
ต่อไป ซึ่งจะเป็นแนวทางที่จะนำพวกเค้าเข้าใกล้จุดหมาย หรือ โลกที่ไม่มีความขัดแย้ง ได้

“ จากนี้ไป Empyrean Adjust จะเข้าทำการแทรกแซงในพื่นที่ที่เกิดความรุนแรงและความขัดแย้ง
แต่เราจะต้องคุ้มครองและปลดปล่อยเหยื่อจากการแทรกแซงของพวกเรา จากนี้ไปพวกเราจะไม่เดินไปในหนทางเปล่าเปลี่ยวอีก แต่เราจะก้าวไปพร้อมๆกับ บรรดาผู้ที่หวังในสันติสุข!! ”

สิ้นคำประกาศ เสียงปรบมือแสดงความประทับใจ และเสียงร้องที่เปล่งออกมาด้วยความปิติ
ของทุกคนในห้องประชุมก็ดัง อื้ออึงไปหมด นโยบายใหม่นี้ คือคำตอบต่อสิ่งที่พวกเค้าคาดหวังเอาไว้
การแทรกแซงที่ไม่ได้เพ่งเล็งเพื่อจะบังคับให้ใครต่อใครหยุด แต่เป็นการแทรกแซงเพื่อปลดปล่อยและ

ช่วยเหลือ เหยื่อของสงครามและความขัดแย้ง ความหมายของ นโยบายนี้ ต่าแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของ
ทุกคนรวมไปถึง เฟนท์ ที่นั่งฟังอยู่ด้วยในตอนนี้ เค้ารู้สึกได้ความเป็นไปได้จากคำพูดของ ประธาน

และคิดว่านี่อาจจะเป็นหนทางของคนที่เคยผิดหวังต่ออุดมการณ์แห่งสงคราม เช่นเค้าต้องการ
ก็เป็นได้ เส้นทางแห่งการช่วยเหลือนี้ อาจจะเป็นอนาคต ที่พวกเค้าต้องการก็เป็นได้

…………………………………
………………………………………………………………………

ยาน รัฟอัส(Rufus)

“ คำอภิปรายของ ท่านประธาน เนี่ยพึ่งจะได้สดๆเป็นครั้งแรกเลยนะ ตื่นเต้นชะมัดเลย ”
ไอ พูดไปพลางจ้องหน้า เฟนท์ ที่เดินกลุ่มมาด้วยในกันตามทางเดิน ภายในยาน
ซึ่ง ไรด์ และ พรายด์ ก็ร่วมกลุ่มเดินอยู่ด้วย

“ คำพูดของประธาน น่ะเป็นอะไรที่กินใจเอามากๆอยู่แล้วล่ะ ดูจากปฏิกิริยาตอบสนอง
ของทุกคนในห้องประชุมก็รู้แล้ว เพราะงี้ไงท่านประธานถึงได้รับความนับถือขนาดนั้นน่ะ ”
ไรด์ เสริมให้ถึงบรรยากาศของ การประชุมในวันนี้

“ มันแหงอยู่แล้วล่ะครับ ก็ประธานเป็นคนพูดเองเลยนี่นา ว่าจะให้พวกเราเดินในหนทางแห่งการช่วยเหลือ
ผมว่ามันเป็นทางเลือกที่ไม่น่าจะโต้แย้งอะไรได้ด้วยซ้ำ ”
พรายด์ โพล่งขึ้นด้วยสีหน้า มุ่งมั่นราวกับชนวนถูกจุดประกายให้ไฟลุกโชน

“ นั่นสินะ…ฉันเองก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว บางทีทางเลือกนี่อาจจะ
ถูกต้องแล้วจริงๆก็ได้ ”
เฟนท์ เปรยแม้จะรู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องนี้แต่ในใจเค้าก็ยังคงมีความลังเล เหลืออยู่บ้าง
เพราะในสงครามที่เค้าเคยผ่านมา ก็มีหลายครั้งหลายครา ที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือด้วยคำพูดที่
ดูเหมือนกับจะถูกต้องแบบนี้อยู่เสมอๆ ทำให้เค้าเองก็ยังปักใจเชื่อเต็ม ร้อยไม่ได้

“ ไม่ ‘อาจจะ’ หรอกครับแต่นี่แหละคือทางถุกต้องแล้วล่ะ! ”
พรายด์ ย้ำเสียงแข็ง โดยที่รู้สึกแปลกใจที่ยังมีคนไม่เชื่อในตัวประธาน ยังเต็มที่ เช่น เฟนท์
อยู่อีก

“ นี่ พรายด์ !ไม่เห็นต้องเสียงดังแบบนั้นเลย เฟนท์ ไม่ได้พูดซะหน่อยว่าเค้าไม่เชื่อในตัวท่านประธานน่ะ ”
ไอ ออกตัวสั่งสอนรุ่นน้องทันที แต่ถึงกระนั้น ตัวเค้าเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันมีมูลความเท็นจริง
อยู่มากแค่ไหน แต่ปัญหาที่ยังคงคาใจของเค้าในตอนนี้ คือข่าวเกี่ยวกับ พิธีราชพิเษก ของ เซน่า
ที่ เมกาโทโปลิส และการร่วมมือของกองกำลัง เมกาโทโปลิศ กับ ทัพ สหประชาคมโลก
ไล่ต้อนยานของ Empyrean Adjust ที่เค้าโดยสารมาเมื่อหลายวันก่อน จนถึงบัดนี้เค้ายังไม่
ได้คำตอบ ในเรื่องนี้เลย

……………………….
…………………………………………………

ห้องบังคับบัญชา ยานรัฟอัส

“ ภารกิจ ของคราวนี้ให้เราไปสมทบกับกองกำลัง ที่ประจำการอยู่ ราชอาณาจักร บัลแคล ทวีปมิสรายิม ”
เมอร์อาเน่ กัปตันของ ยานลำนี้เปรยขึ้นหลังจากอ่านบรรดาเอกสารคำสั่งในมือที่รับมอบหมายมา
ก็ต้องท้าวแขนวางคอพิงกับพนักเก้าอี้ อย่างอิดโรย หลายวันมานี้ หลังจากกลับมา
ถึงฐานเธอก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะมีการเรียกประชุมกัปตันกับ หัวหน้าระดับสูง
อยู่หลายครั้ง และรายงานกองโตที่เธอพึ่งจัดการเสร็จไปเมื่อวานพอดี

“ คราวนี้ให้เรา บินข้ามไปซีกโลกตะวันออกกันเลยเหรอเนี่ย ”
สเวน ซึ่งทำหน้าที่ผู้ช่วยกัปตัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ บ่นอุบอิบนิดหน่อย

“ จะทำการแทรกแซง พร้อมกับช่วยผู้ประสบภัยจากการแทรกแซงเนี่ยนะ… ”
เมอร์อาเน่ เปรย พลางนึกทบทวนถึงคำพูดของ ประธาน ที่ฟังมาในห้องประชุมวันนี้
พร้อมกับถอนหายใจ ยาว

“ แบบนี้มันก็เหมือนกับจะบอกว่าให้ไปชกเค้าเองแล้วก็พาไปห้องพยาบาลเองไม่มีผิดเลยนะ ว่าไหมล่ะ ฮึๆ ”
สเวน พูดติดตลก เพื่อจะให้เธอคลายเครียดเสียบ้าง แต่ดูเธอจะไม่รับมุขเค้าซักเท่าไหร่

“ เฮ้อ~ เวลาแบบนี้ฉันตลกไม่ออกหรอกนะ สเวน รีบไปสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมเถอะ
เราจะได้ออกยานกันซะที ”
เมอร์อาเน่ ถอนหายใจ พลางตีหน้าบูดเพราะหน่ายกับมุข ของเค้า ก่อนจะปัดใช้ให้ไปทำ
หน้าที่แทน

“ คร้าบ!ๆ แหมไม่เห็นต้องทำหน้าบึ้งแบบนั้นเลยก็ได้ ”
สเวน รับคำเสียงร่า ก่อนจะเดินนำออกไป ด้านหน้าโต๊ะของ เมอร์อาเน่ เพื่อเริ่มสั่งการเจ้าหน้าที่ภายในห้องตามหน้าที่

……………………………………………..
…………………………………………………………………………

ครืดดดด~~

เสียงประตูคราด กับพื้นจากเลื่อนเพื่อเปิดมันดังขึ้น พร้อมกับ ที่ เรกกะ ซึ่งกำลังติดกระดุม เสื้อที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยดี เดินเข้ามาในห้องบังคับการของ ยานพอลลิดัส โดยมี โครโน่ และ มาธิอัส เท่านั้น ที่กำลังคุมยาน
ให้ขับเคลื่อนไปเพียงแค่สองคน

“ อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ เรกกะ ”
โครโน่ ทัก โดยไม่ได้หันมามอง แต่ยังคงจับจ้องอยู่กับ จอเรดาห์ เพื่อคอยดูว่า ไม่มีอะไรกีด
ขวางเส้นทางยาน ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านไปตามใต้ท้องทะเล

“ ยังจะมาถามอีกว่าตื่นแล้วเหรอ..นี่มันเที่ยงแล้ว ทำไมไม่มาปลุก กันบ้างเล่า ”
เรกกะ ตอบกลับเสียงขุ่นๆ และหน้าตายังแสดงออกถึงความงัวเงีย อยู่บ้าง เพราะเค้าพึ่งลุก
จากเตียงได้เมื่อครู่นี้เอง

“ ฉันเป็นคนบอกไม่ให้ใครไปรบกวนนายเองน่ะแหละ เพราะหลังจากวันที่ออกจาก เมกาโทโปลิส
มานาย ก็ยังต้องแปลงร่างเป็น ทาลิวิลย่า คอยจัดการพวกกองเรือของ สหประชาคม ที่มารอบโจมตีเราอยู่
ตามน่านน้ำ ด้วยอีก ขืนนายไม่พักผ่อนให้พอดีมีหวังได้น๊อคแน่ ”

มาธิอัส กล่าวขึ้นหลังจากที่หันมามองหน้าเค้า

“ แล้วก็นะ เรกกะ คิดว่าถึงไม่ต้องถามแต่ตัวนายเองก็น่าจะรู้สึกได้แล้วล่ะมั้ง เกี่ยวกับพลังของ
โล่ ที่ใช่เปลี่ยนเป็น ทาลิวิลย่า นั่นน่ะ ”
โครโน่ เปิดประเด็นเรื่องขึ้นมา ทันทีที่ เรกกะ เดินเข้ามาใกล้กับ โต๊ะของเค้า

“ อ…อืม ก็รู้สึกว่าช่วงหลังๆมานี่พลังโจมตีดูมันจะตกลงไปน่ะ บางทีคงเพราะไม่ได้เอาออกมาใช้นานแล้ว
ก็เลยทำให้ไม่คล่องเท่าไหร่ด้วยล่ะมั้ง ”
เรกกะ ตอบตามที่ตัวเองคิด พร้อมกับ ลากเอาเก้าอี้ ออกจาก ช่องสอดใต้โต๊ะ ข้างๆโต๊ะของ โครโน่
ออกมาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง บนเก้าอี้นั้น

“ กะ แล้วเชียว ว่าคนอย่างนายจะต้องคิดเองเออเอง แล้วก็อมพะนำอยู่แบบนั้นน่ะ ”
โครโน่ ตอกกลับทันทีแถมยังไม่ได้ แยแสกับ อารมณ์ของคนฟังเสียด้วย

“ โห…ได้ทีรีบใส่ไฟทันควันเชียวนะ ”
เรกกะ พูดพลางแกล้งยิ้มแบบฝืนๆ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็น ถูกใจ โครโน่ ไปซะแทน
เพราะหลังจากนั้น เสียงกลั้นหัวเราะ ก็ดัง ฮึดฮัด ขึ้นมาเสีย

“ ที่โครโน่ พูดน่ะมันไม่ใช่เรื่องหยอกกันเล่นหรอกนะ ก็เพราะไอ้นิสัย เก็บไปคิดเอง
คนเดียวของนาย นี่แหละ ถ้าพวกเราไม่สังเกตุเห็นอาการของนายกับการต่อสู้ช่วงนี้
มาก่อนล่ะก็ คงไม่ทันยั้งใจตรวจสอบ โล่นั่นหรอก ”

มาธิอัส พูดจบก็เคาะนิ้วลงบนแป้นควบคุม เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อบันทึกคำสั่ง ลงสู่ระบบของยาน
ให้กลายเป็น ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ก่อนจะ หันมาเข้าร่วมวงสนทนา อย่างเต็มรูปแบบ

“ ขอเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกัน ตอนนี้พลังของ ร่าง ทาลิวิลย่า กำลังตกลงเรื่อยๆ แลถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป
นายอาจจะแปลงเป็น ทาลิวิลย่า ไม่ได้อีก ”
มาธิอัส สรุปความจบ เรกกะ ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก กับข้อเท็จจริงนี้

“ ทำหน้าแบบนั้น แต่กลับดูไม่ค่อยจะตกใจ เท่าไหร่เลยนะ แสดงว่าคงคิดเอาไว้แล้วสินะ
ว่าพลังของ โล่ ตกลงไปเองหรือเปล่า เพราะตัวเองก็พยายามเค้น ความสามารถออกมาใช้ เต็มที่แล้วงั้นสิ ”
โครโน่ เปรยเสียงเรียบ

“ ที่จริงแล้ว สาเหตุที่พลังของ โล่ถดถอยลงน่ะ เพราะนายในตอนนี้คือมนุษย์ธรรมดาๆคนนึง ”
คำพูดของ มาธิอัส จุดประกายความสงสัยให้ กับเขาขึ้นมาทันที

“ เพราะแต่เดิมโล่นี่น่ะ จะตอบสนองกับ พลังของ ศิลามังกรเทียม ที่ฝังอยู่ในตาซ้ายของนาย
แต่ว่าตอนนี้ นายไม่ใช่อานิม่า แล้ว พลังของ ศิลาก็เลยเสื่อมถอยลงไปด้วย มันก็เลยส่งผลกระทบกับโล่อีกที
ทำให้ร่าง ทาลิวิลย่า ของนายมีพลังไม่พอ….โอ๊ย! ”
โครโน่ ชิงตัดอธิบายขึ้นมาก่อนที่ มาธิอัส จะทันได้พูด แต่พูดได้ยังไม่ทันจะจบ มาธิอัส ก็เข้าหยิก
แก้ม เสียก่อน

“ หนอย โครโน่ แกนะแก ตั้งกะเมื่อกี้แล้วพอฉันจะพูดก็แทรกตลอดเลย แถมยังมาแย่ง
อธิบายอีก คนที่ตรวจสอบให้น่ะคือฉันนะว้อยยยย ”
มาธิอัส ตะคอก พลางดึงแก้มทั้งสองข้าง ของ โครโน่ สุดแรงเพื่อต้านกับแรงแขนของ โครโน่
ที่กำลังแกะ มือเค้าออกอยู่ แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นว่า ถูก โครโน่ จับล็อคแขน กดลงกับ โต๊ะแทน

“ ปัดโธ่! แต่ฉันเองก็ต้องรับกะ ของนายมาขับยานแทน ทั้งคืนตั้งหลายสัปดาห์เหมือนกันแหละว้อย ”
โครโน่ โต้คืนไปบ้าง แต่ทั้งสองก็ยังไม่หยุดที่จะตีกันอยู่ดี

“ อ…อะไรกันเนี่ย ทั้งที่เมื่อกี้ก็เห็นๆอยู่ว่า รับกันลูกโต้ สลับไปมาซะจนเรานึกว่าซ้อ บทเตรียม
เข้าฉากมาเลยซะอีก ที่แท้ก็แบบนี้เองหรอกเหรอ ”
เรกกะ นึกในใจ พลางคิดหนักกับ ความคิดของสองคนนี้ ที่ไม่รู้จะว่ายังไงดี

“ ว้อย!! หนวกหู จริงเล้ย!! พวกนายน่ะเงียบๆกันหน่อยซีว้อยยยย!! ”
เสียงวีนแตกแหกปากลั่นชนิดไปเก็ยอาการ ที่ฟังดูก็รู้ทันทีว่า ใครก่อนที่รองเท้าแตะ
สองข้าง ควงติ้วสวยเป็น บูมเมอแรง เข้าเคาะกระโหลกทั้งสองคนจนสลบแน่นิ่ง คาโต๊ะไปทันที

“ R2 นี่โหดแหะ ”
เอมิล ซึ่งตามเข้ามากับ เจ้าของ รองเท้าแตะเมื่อครู่คิด หลังจากได้เห็นฝีมือของ ราชาฟ
โดย มี เซน่า กับ ฮายาเตะ ที่ตามเข้ามาในห้องด้วย

“ พี่ครับ ไม่เป็นไรแล้วเหรอ? ”
เรกกะ ลุกจากเก้าอี้ เข้าไปถามอาการของพี่สาวทันที เพราะหลังจากวันที่พาตัวเธอมาจากพิธี
แล้ว เธอก็ร้องไห้ไม่หยุดติดต่อกันหลายวัน อยู่ทีเดียว เมื่อถูก เรกกะ ถามเข้าแบบนี้
แม้ตัวเธอเองจะยังไม่หายขาดจากความเศร้า แต่สายตาที่เป็นห่วงของ น้องชายซึ่ง
จดจ้องมาที่ใบหน้าของเธอ ทำให้ไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอ ออกมา

“ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พี่….ไม่เป็นไรแล้ว ”
เซน่า ตอบแม้จะพยายามปกปิดน้ำเสียง แต่มือของเธอก็ถูก เรกกะ กุมเอาไว้อยู่ ความรู้สึกที่ส่งผ่านทาง
มือนั้นเธอไม่สามารถปกปิดไว้ได้ เรกกะ นั้นรู้ดีว่าเธอยังคงช๊อกอยู่ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
แต่ ยังไม่ทันที่เค้าจะได้พูดอะไรออกไป เสียงของ ฮายาเตะ ก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ เอาเถอะน่า ถ้าเธอบอกว่าไม่เป็นไร เรกกะ ก็ไม่ต้องไป คะยั้นคะยอ เค้าหรอกน่าแบบนั้นจะทำให้เค้า
รำคาญเอาได้นะ ”
ฮายาเตะ กล่าวตัดพ้อเพื่อไม่ให้ เรกกะ ทำร้ายน้ำใจของ เซน่า เรกกะ เมื่อได้ฟังดังนั้น เค้าจึง
ปล่อยมือ เธอ และไม่ซักถามใดๆอีกต่อไป

“ เอาล่ะ ตอนนี้เราใกล้จะถึงแล้วล่ะนะ เห็นฝั่งของ โลกอส (Logos) แล้ว อีกเดี๋ยวเราจะต้องจอดยาน ลงแถวๆแนวหินโสโครกบริเวณนอกอ่าว ทางตอนเหนือ เอมิล นายมาช่วยฉัน ดู เรดาห์ให้ที เพราะ โครโน่ กับ มาธิอัส สลบไปแบบนั้นคงจะไม่ฟื้นแล้วล่ะมั้ง ”
ฮายาเตะ พูดไปพลางชายตามอง ตัวต้นเหตุ อย่าง ราชาฟ อยู่แวบๆ

“ อึก…แหมอย่าทำอย่างกับเป็นความผิดฉันคนเดียวสิ ”
ราชาฟ พยายามจะแก้ตัวแต่ก็นึกหาคำดีๆมาพูดไม่ได้ สุดท้ายเธอก็เงียบปล่อยให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ไปเสีย
ถึงแม้จะไม่มีใครสนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็เถอะ

………………..
…………………………………………………..
2 วันผ่านไป

เสียงสายลมยามเย็น พัดหวีดหวิว ผ่านเนินทราย ซึ่งก่อตัวสูง เป็นแนวลูกคลื่น ในทะเลทราย
ถูก แสงแด ทอดยาวไปจนเปลี่ยนเป็น สีแสด ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง แสนร้อนระอุ ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดใน ทวีป มิสรายิม
หากแต่ที่นี่ ก็มีอารยธรรมของ ชนพื้นเมือง ก่อตั้งอยู่บนผืนทราย
นี้มากว่า หลายร้อยปี และสิ่งที่สืบทอดร่วมกันมากับ ประวัตศาสตร์หลายร้อยปีนั้น ก็คือ

สงครามความแตกแยก ของทั้งสองฝ่าย จักรวรรดิ์ซาเอล และ จักรวรรดิ์คาบิว สองจักรวรรดิ์
ซึ่งเป็นปรปักษ์กันเพียงเพราะ ความเห็นเรื่องศาสนา ที่นับถือไม่ตรงกันเท่านั้น ก็ทำให้พวกเค้า
รบรากันอย่างยาวนาน ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะจักรวรรดิ์ทั้งสอง เป็นพวกนอกรีต

ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในการสงครามฝ่ายระหว่าง สหประชาคมโลกกับสหพันธ์โลก
หรือพูดง่ายๆก็คือ พวกเค้าไม่ได้สังกัดกับฝ่ายใดเลย จึงไม่อำนาจใด คุ้มครองจักรวรรดิ์ทั้งสองนี้
เป็นเวลา กว่า 3 เดือนผ่านมาแล้วที่สงครามระหว่างสองจักรวรรดิ์ ไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาเลย

นั่นเพราะ จักรวรรดิ์ ที่ยังเหลือรอดในตอนนี้ ไม่อาจแบ่งได้อีกต่อไปว่าใครมาจากไหน เพราะทั้งสองจักรวรรดิ์ต่างก็ถูก กองกำลัง สหประชาคมโลก บุกเข้ายึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จ และ
บังคับให้ ประชาชนของ จักรวรรดิ์ ทั้งสอง เป็นแรงงาน ในการผลิตเอาเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่า
ของ ทะเลทรายแห่งนี้ อันเป็นสาเหตุให้ สหประชาคมโลก เพ่งเล็งมายังที่ดินนี้ ก็เพื่อครอบครอง
ปัจจัยทางพลังงาน นั่นเอง

บรรดาแรงงานทาสเหล่านี้ ถูกใช้งานอยู่ภายในเหมืองแร่ ซึ่งตั้งอยู่ในค่ายกักกันที่
กองกำลังสหประชาคมโลก สร้างขึ้นที่นี่ ทุกๆวัน แรงงานเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือ เด็ก
จะจักรวรรดิ์ ไหนก้ตาม จะไม่มีการแบ่งแยก ถ้าทำงานได้ ก็ต้องทำ ชีวิตของพวกเค้าที่เดิมทีก็แย่อยู่แล้ว
เพราะสภาพทางการเมืองของจักรวรรดิ์ ที่ทำให้พวกเค้าต้องทนทุกข์กับ สงครามมาไม่พอ ตอนนี้
ก็ยัต้องมาเป็นแรงงานของ มหาอำนาจ อีก

“ พวกแก!! มัวชักช้าอะไรอยู่รีบไปทำงานเข้าสิไป!! ”
เสียงตะคอก ตะหวาดกราดใส่ลงไปยัง เหล่าแรงงานทาส ที่อยู่ท้องคุ้งซึ่งทอดลึกลงไปสู่เหมือง ภายใน
คุ้งบ่อ นี้เต็มไปด้วยแรงงานที่เดินแถวกันอย่างแออัดยัดเยียด เพื่อเดินลงไปสู่เหมืองใต้

ดิน ที่ทั้งแคบและมืดมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากตะเกียงแขวนเอาไว้บนเพดาน เท่านั้นที่พอจะทำให้เห็นทางเดิน
ภายในเหมืองได้ และภายในก็ยัง มีผู้คุมเหมืองที่คอย ลงโทษ คนที่ไม่ทำงาน ไม่ว่าจะคนๆนั้นทำต่อไหว
หรือไม่ก็ตาม หากไม่ยอมขยับมือทำงานก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ ไปเรื่อยๆถึงแม้จะมีคนที่ถูกเฆี่ยนจนตายก็จะ
ต้องไม่มีใครหยุดงาน

ที่ด้านนอกค่ายๆกักกัน จะมีกระโจม ของกองทัพตั้งล้อมรอบเอาไว้ทั่วบริเวณ เพื่อคอยกัน
ผู้บุกรุกและผู้ที่คิดจะหลบหนี แม้ที่ผ่านๆมา กองกำลังต่อต้านของ ทั้งสองจักรวรรดิ์ ที่ร่วมมือกัน เพื่อจะ

ปลดปล่อยเหล่าแรงงาน ซึ่งเป็นคนของพวกเค้าออกมา จะพยายามตีฝ่าบุกเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจสำเร็จได้
เพราะกองทัพของ ฝ่ายสหประชาคม ที่ใช้ยึดอำนาจที่นี่นั้น หาใช่มนุษย์ไม่ หากแต่เป็น ปีศาจสงคราม

ซึ่งสร้างจาก พิธีกรรมมนตราเก่าแก่ของ ประเทศนิคโคอุ ที่อยู่ฝ่าย สหประชาคมโลก ปีศาจเหล่านี้
ถูกเรียกว่า อาคูม่า (Akuma) มารร้าย ซึ่งมีกายท่อนบนเป็นมนุษย์แต่กลับมีผิวหนังเป็นเกล็ดงูสีแดง

เพลิง ขาทั้งสองข้างเป็น หางงูสองหาง มารอสรพิษ(Fuzen Akuma) เหล่านี้มีพลังอำนาจ
ที่จะทำให้ ศัตรูที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน ละลายหายไปด้วยไฟกรด มารร้ายเหล่านี้
ถูกควบคุม โดยองเมียวจิ ของกองทัพ เพื่อใช้มันคุ้มครองค่ายกักกันแห่งนี้

ที่ผ่านมาบรรดาแม่ทัพต่างไม่เคยเกรงกลัวหรือหวาดวิตกต่อ การถูกรุกราน ใดๆเลยเพราะเพียง ทัพ มารอสรพิษ ทัพเดียวก็สามารถจัดการ กับกองกำลังนับแสนนับพันได้อย่างง่ายดาย หากแต่ที่คราวนี้พวกเค้าต้องมาประชุมหารือ เพื่อหาทางรับมือกับ ข่าวกรองที่พึ่งได้รับมา ถึงผู้บุกรุกกลุ่มใหม่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้

“ เชอะ ถ้าพวกมันจะมา ก็ส่งกองทัพ อาคูม่า ทั้งหมดออกจัดการซะก็สิ้นเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืน ก็ยิงฟันแทง ผ่านเกล็ดหนาของ พวกมันไม่เข้าอยู่แล้ว กะอีแค่ กองทัพกองเดียว จะทำอะไรได้ ”
แม่ทัพ นายหนึ่งในกองประชุม เอ่ยปากอย่างไม่เฉลียวใจ และประมาณศัตรุที่กำลังจะบุกมา
อย่างต่ำชั้น

“ อะไรกันนี่ไม่รู้รึ พวก Empyrean Adjust น่ะมันมี อาวุธที่แข็งแกร่ง ขนาดเป่าทัพมังกรให้หายไป
ได้ในพริบตาเดียวเชียวนะ ”
แม่ทัพ อีกนายค้านกลับไป ถึงความคิดที่ประเมินค่าศัตรูอย่างต่ำชั้นแบบนั้น

“ เชอะ กะอีแค่ทัพมังกร สองสามทัพ ทัพ อาคุม่า ของเราทัพเดียวก็ ทำได้ล่ะน่า ไอ้พวกอวดดี
มีของเล่นดีกว่าชาวบ้านเค้าหน่อย แน่จริงก็มาเลยซี้ ข้าจะได้แสดงให้พวกมันเห็นถึงพลังของ
สหประชาคมโลก ว่ามันเป็นยัง….อ๊าคคค!! ”

ยังไม่ทันจะขาดคำดี ร่างของแม่ทัพ ก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่ พุ่งกระฉูดออกมาจาก แผลที่คอซึ่งตัดโดนหลอดลมพอดี พร้อมๆกันกับทั้งคณะประชุม ที่กำลังหารือกัน ก็ถูกลอบสังหารจนหมดในพริบตา

“ ไม่ค่อยอยากจะทำงานแบบนี้ซักเท่าไหร่เล้ย แต่คงปล่อยให้พวกแกวางแผน
รับมือพวกเราที่มีกำลังคนแค่ 5 นายไม่ได้หรอกนะ ”
สเวน เปรย ขณะสบัดเอาคราบเลือดที่อาบเยิ้มอยู่บนคมดาบในมือของเค้าออกไป

……………………..
…………………………………………………

“ ศัตรู!! ศัตรู! พวกมันบุกมาแล้ว!! ”
“ รีบส่งทัพ อาคูม่า ออกไปเร็วสิ ”
“ ทำไมกันพวกมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นแนวหน้าส่งข่าวอะไรมาเลย ”
“ แย่แล้วครับ ท่านผู้บัญชาการ ถูกสังหารไปหมดแล้ว ”
“ ว่าไงนะนี่พวกมันลอบเข้าไปสังหาร คณะของท่านผู้บัญชาการได้แล้วงั้นเหรอ!! ”

โดยที่ไม่ทันตั้งตัวความกลลาหลก็อุบัติขึ้นไปทั่วทั้งค่าย โดยที่ไม่มีสัญญาณบอกเหตุหรือการ
เตือนล่วงหน้าใดๆ

…………………………

“ ไรด์ รูลเวล รายงาน จัดการพวก แนวหน้า กับม้าเร็วสื่อสาร เรียบร้อย ”
ไรด์ ในชุดเกราะลายพราง รายงานผ่านกลับที่ยานรัฟอัส โดยที่เบื้องหลังของเค้านั้น คือกองร่างของ ทหารหน่วยสังเกตุการณ์ที่พึ่งถูกเค้าจัดการ ไป

…………………..

ยานรัฟอัส

“ รับทราบ ยานของเราจะบุกเข้าสู่พื้นที่ ในอีก 60 วินาที ให้ 3 คนที่เหลือให้บุกเข้าเปิดทางให้ยานซะ ”
เมอร์อาเน่ ที่ได้ยินรายงานของ ไรด์ กับ สเวน ที่ส่งเข้ามาที่ยานแล้ว ก็ออกคำสั่งทันที
เจ้าหน้าที่ ในห้องบังคับการ ต่างทำงานกันมือเป็นประวิง ทั้งประกาศและ คำนวนผลรวม
กับการเตรียมความพร้อมในการนำยานเข้าสู่สนามรบ

/จากนี้ไปเราจะทำการส่งตัว Valkyrier ออกไปด้วย ระบบ Catapult Charge ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ทำการเคลียเส้นทางสัญจรของ Catapult Charge ด้วยค่ะ!!/
เสียงประกาศดังขึ้นที่ ห้องส่งยานยนต์ บริเวณท้องเรือด้านหน้า ทันทีที่ เสียงประกาศจบลง
ประตูส่งขนาดใหญ่ก็ เปิดตัวออก พร้อมๆกับสายพานซึ่งติดตั้งอยู่บนผนังห้อง
เลื่อนตัวออก ไปนอกยาน เป็นตัวล็อคเส้นทางให้กับการส่งตัว

“ เอาล่ะ ทีนี้ก็ตา พวกเราแล้วสินะ ”
ไอ เปรย ขณะที่เดินมาด้วยกัน กับ เฟนท์ และ พรายด์พวกเค้าสามคนเป็น Valkyrier ที่มีพลัง
ในการรบด้านทะลุทะลวง ทั้งสิ้น จึงถูกให้รอเพื่อจะออกไปเปิดเส้นทางหลังจากให้ ไรด์ และ
สเวนที่ถนัดการลอบจู่โจม ออกไปทำลายการสื่อสารและการสั่งการของ ศัตรุ จนหมดแล้ว
กองทัพศัตรู จะตกอยู่ในความสับสน ทันที ในตอนนี้ คือโอกาสที่จะไล่ต้อนทัพศัตรูให้ แตกพ่ายไปในทันที

“ พวกเราเองก็รีบติดตั้ง Crisissor กันเถอะ ”
เฟนท์ พูดโดยที่ในมือก็เตรียม ไม้เท้าเหล็กซึ่งเป็น Crisisor ของเค้าขึ้นมาไว้พร้อมแล้ว

“ งั้นก็เอาเลยนะครับ ”
พรายด์ กล่าวจบทั้งสามคน ก็เริ่มกล่าวคำประกาศติดตั้งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงทันที

“ Wake up!!Superbia!! ” /Set up OG Stand By/
สิ้นเสียงของ พรายด์ เสียงขานรับคำสั่ง ก็ดังขึ้นจากปืนซึ่งเป็น Crisissor ของเค้าก่อนที่มันจะขยายขนาดขึ้น
พร้อมๆกับ สร้างละอองแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาคละคลุ้งล้อมรอบกายของเค้า ละอองแสง ค่อยๆจับกลุ่ม
ควบแน่น กลายเป็นชุดเกราะ สีอัญชัญและปีกร่อนสีดำ แก่เขา

“ Wake up!! Luxuria!! ” /Set up OG Stand By/
สิ้นคำ ร่างของ ไอ ก็คละคลุ้งไปด้วยละอองเช่นเดียวกัน และหอกขวาน ของเธอก็ขยายขนาดขึ้น
ละอองจับตัวควบแน่นกันกลายเป็น โล่ไหล่สีฟ้า อ่อน และชุดเกราะรัดรูปสีดำ ติดกระโปรง

“ Wake up !! Ira!! ” /Set up OG Stand By/
เฟนท์ ประกาศเสียงก้อง พลางชู ไม้เท้าเหล็ก ขึ้นเหนือ ศรีษะ ละอองแสงสีแดง
ถูกปล่อยคลุ้งออกมาพร้อมกันกับ ไม้เท้าค่อยๆแปลสภาพเป็น ไม้ตะบอง ที่มีหัวทุบเป็นทองคำ
แฉกเป็นรูปใบพัด ละอองแสงค่อยจับตัวควบแน่นกลายเป็นชุดเกราะ สีฟ้าสะพายผ้าคาดสีขาว
ลายศิลป์ และ โล่ติดแขนซ้าย

ทันทีที่ ทั้งหมด ทำการสวมชุดเกราะพร้อมแล้ว ก็เตรียมตัวไปยืนรอฟังลำดับการส่งตัว
ใกล้กับพื้นรางซึ่งทอดยาวไปจนสุดปากทางออก ที่เปิดอ้ารอไว้อยู่

/เส้นทาง Catapal Charge Clear ค่าแรงดันไฟฟ้า Clear Valkyrier Superbia of Sunday เชิญออกได้ค่ะ/
สิ้นเสียง พรายด์ ก็กระโดด พาตัวเองลงไปอยู่บนราง พร้อมตั้งท่าก้มตัว
ปลายนิ้วขวามือแตะพื้นเพื่อค้ำยันร่างเอาไว้ เตรียมออกตัวเหมือนนักกรีฑา และรอจังหวะที่
แสงไฟซึ่งกำลังวิ่งไล่บนราง ไปจนสุดปลาย

“ พรายด์ อัสแคร์ ! Valkyrier Superbia of Sunday จะไปล่ะครับ!! ”
สิ้นคำ ปีกร่อนบนหลังของ พรายด์ ก็ปะทุไอพ่นละอองสีแดงออก และผลักตัวเค้าพุ่งตรง
ไปตามราง และพุ่งทะยานออกไปมุ่งสู่สนามรบทันที

/ลำดับต่อไป Valkyrier Luxuria of Wensday เชิญออกได้ค่ะ/
สิ้นเสียงประกาศ ไอก็ โดดตัวลงไปยังพื้นราง แต่ตั้งท่าเหมือนกับที่ พรายด์ทำ
ระหว่าง รอจังหวะของ แสงที่วิ่งไล่ไปบนพื้นรางซึ่งวิ่งขึ้นมาใหม่หลังจากที่ พรายด์ ออกตัวไป

“ แล้วรีบตามมาล่ะ ”
ไอ หันมากล่าวทิ้งท้ายกับ เฟนท์ ก่อนที่ แสงจะวิ่งจนสุดปรายรางพอดี และโดยไม่ทันให้
เฟนท์ ได้พูดตอบโต้ อะไร เธอก็ ประกาศเสียงขานออกตัวทันที

“ ไอ เลมูเรีย Valkyrier Luxuria of Wensday จะไปละนะค้า~~~ ”
เธอลากเสียงยาวนิดๆ ก่อนจะทะยานตัวออกไปด้านตามรางโดย อาศัยแรงคลื่นพลังงาน
ของรางที่ทำปฏิกริยากับละอองแสงรอบตัวเธอ ผลักร่างของเธอให้พุ่งออกไปทันที

“ ท้า แข่งเหรอ…? ”
เฟนท์ เปรยหลังจาก ที่พึ่งถูก เธอยื่นท้าเพื่อพิสูจน์ฝีมือในการเป็น Valkyrier ของเค้าว่าจะเทียบกับเธอ
ที่ไล่ตามหลังเค้ามาเป็นปี นี้ได้หรือไม่ ระหว่างนี้ แสงไฟ ที่วิ่งไปบนพื้นรางก็กำลัง ไล่กลับมา
ยังจุดเริ่มต้น เพื่อสะสมพลังงานสำหรับปล่อยตัว ให้เค้า

/ลำดับ สุดท้าย Valkyrier Ira of Thursday เชิญออกได้ค่ะ!/
เสียงประกาดังขึ้น เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เค้าต้องออกตัวบ้างแล้ว
นี่จะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ กลับมารับหน้าที่นี้อีกครั้ง ที่เค้าจะโบยบินลงสู่สนามรบ

ที่ร้างรามานานนับปี มือที่เคยละทิ้งดาบไปแล้ว ได้หวนกลับมา จับมันอีกครั้ง
เพื่อพิสูจน์ทางเดินของตนเอง ความรู้สึกนี้บังเกิดขึ้นในหัวใจมันทำให้ เนื้อเต้นตุบๆ
และตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือขวาที่กำ ด้าม ตะบองเอาไว้นั้นแทบจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ

และเมื่อเท้าแรก ยื่นลงไปแตะ รางความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือ อนูพลังงานที่ไหลเข้ามาร่าง
ทำให้รู้สึก เจ็บแปลบนิดๆ แต่ไม่ทันไร สองเท้าของเค้าก็ขึ้นมาอยู่บนรางแล้ว
เค้า ยกโล่ที่แขนซ้าย ขึ้นตั้งยื่นไปด้านหน้าของเค้าก่อนจะย่อตัวลง เพื่อเตรียมส่งตัว

“ ถ้างั้นล่ะก็…ฉันขอรับคำท้านี้ คอยดุให้ดีล่ะ ไอ! ”
เสียงของ เค้าดังผ่าน อุปกรณืสื่อสารซึ่งติดตั้งเอาไว้ที่ตัวเกราะส่งไป ถึง ไอ และ พรายด์ ที่ออกไปก่อนแล้ว
ยังได้ยินไปด้วย

“ เอ๋ ท้าแข่ง? เรื่องอะไรหรือครับ?! ”
พรายด์ ซึ่งลอยตัวอยู่ด้านนอกยานพร้อมกับ ไอ ถามพลางทำท่าล่อกแล่กลังเล ทำอะไรไม่ถูก

“ ดูเหมือนจะมีไฟ เหมือนกันแฮะ ”
ไอ เปรยดูเธอจะรู้สึกดีใจอยู่น้อยที่ได้ยินคำตอบรับคำท้าของเธอ จาก เฟนท์

“ เฟนท์ นีโอเวล Valkyrier Ira of Thursday จะไปล่ะ!! ”
สิ้นคำ ละอองแสงรอบตัวของเค้ากลับพุ่งไปรวมตัวบีบอัด เพื่อรอจะปะทุ พร้อมๆกับ
แรงดันของแรงที่จะผลักตัวเค้าออกไป ทันทีที่ คำขานออกตัวของเค้าได้รับ

การอนุมัติ แรงส่งของราง ก็ดึงให้ร่างของเค้า เคลื่อนตัวไป พร้อมกัน ประจุละอองที่บีบอัดเอาไว้ก็ปะทุขึ้น
เพิ่มแรงส่งให้กับร่างของเค้า จนทะยานออกได้เร็วยิ่งกว่า พรายดื ที่มีส่วนปีกร่อนคอยช่วยเสียอีก
ทันทีที่ เค้าทะยานผ่าน พรายด์ และ ไอ ที่ลอยเคว้งเต้ง นำเค้าอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ตะโกนออกไปว่า

“ มาแข่งกันใครจะจัดการได้เสร็จไวกว่ากัน!! ”
เฟนท์ ประกาศก้อง ขณะที่แซงพวกเธอทั้งสองไป

“ โหย ออกตัวอะไรจะเร็วปานนั้น ไม่ได้มี Float Wing เหมือนผมแท้ๆ แต่เร็วชะมัดยาดเลย ”
พรายด์ ชมด้วยความตกตะลึง กับพลังในการออกตัวของ เฟนท์ ที่ออกมาทีหลังแต่กลับเร็วกว่า
จนแซงพวกเค้าไปได้

“ Charging Rocket ที่ ไรด์พูดถึงสินะ… ”
ไอ เปรยโดยที่สายตานั้น ยังคงจับจ้องไปยังทิศที่ เฟนท์ บินหายไปด้วยประกายลุกวาว
แฝงความตื่นเต้นเอาไว้

/Charging Rocket น่ะเป็น เทคนิคออกตัวที่จะใช้การบีบอัดละอองให้เป็นประจุแล้วปะทุ
ออกพร้อมๆตอนที่ส่ง ตัวจะช่วยเพิ่มแรงผลักได้ เจ้า เฟนท์มันถนัดด้านการ เกร็งประจุ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไอ้นี่น่ะมันทำทุกครั้งตอนออกตัวน่ะแหละ/
เสียงติดต่อของไรด์ ดังขึ้นมาเพื่ออธิบายให้ พรายด์ ที่สงสัย ได้กระจ่าง

“ เอาล่ะงั้นเราก็อย่ารอตรงนี้เลย เดี๋ยวได้แพ้ตานั่นกันพอดี ”
ไอ พูดจบเธอก็ทะยานตัวออกไปโดยไม่รอ ให้พรายด์ ได้ถามหรือพูดให้ฟังแม้ซักคำ

“ โธ่.. พวกรุ่นพี่นี่ไฟแรงกันเหลือเกินแฮะ เราเองก็ไปมั่งดีกว่า ”
พรายด์ บ่นจบก็ทะยานตัวตามไปด้วยความเร็วสูงสุด

…………………………………….
เฟนท์ บินมาจนถึงบริเวณหน้าค่ายกักกันแล้ว ทว่าสิ่งที่รอเค้าอยู่คือกองทัพ อาคูม่า นับพัน
กระหายที่จะได้ฉีกร่างของเค้าซึ่งเป็น ตรู

“ อาคูม่า งั้นเหรอ? จะว่าไปเมื่อก่อนนี้ก็เคยเจอมาแล้วนี่นะ ”
เฟนท์ พึมพำ ขณะที่นึกถึงครั้งสุดท้ายที่เคยปะทะกับ มารร้ายเหล่านี้ แล้วความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในหัว
แต่ตอนนี้เค้ายังไม่มีเวลาที่จะคิดหาคำตอบ เพราะ อาคูม่า ตนหนึ่งขว้างหอก ในมือของมันตรงมาที่เค้าแล้ว

/Protect Breaker/
เสียงดังกงัวานขึ้นจาก โล่ที่แขนซ้ายของเค้า ก่อนจะยกมันขึ้นมา กันการโจมตี โดยที่
ละอองแสงรอบๆตัวเค้าที่ ปล่อยออกมาตลอดนั้น ถูกควบแน่นกลายเป็นกำแพงใส สีแดง
ทันทีที่ หอกปะทะเข้ากับกำแพง หอกก็เกิดระเบิดขึ้นเพราะกับสะท้อนกลายเป็น ลูกไฟ
ตกลงไประเบิด เป่าเหล่า อาคูม่า ที่กระจุกกันอยู่ด้านล่าง ร่างของพวกมัน ทันทีที่ ต้องเปลวเพลิง
ซึ่งเกิดจากละออง อิออนดิวเทอเรี่ยม ก็เกิดสูญสลาย ในทันที

“ พวกนี้คงมีดีแค่จำนวนล่ะมั้ง ”
เฟนท์ เปรยจบได้ยังไม่ทันไร หอกขวานเล่มยักษ์ก็ควงผ่านข้างๆเค้าลงไป กวาด ทัพ อาคูม่า ให้หายไปแถบหนึ่งได้ในพริบตาเดียว

“ ฮ่า คราวนี้ฉันชนะแน่ๆเลย ฮะๆๆ คนแพ้ต้องทำตามคนชนะอย่างนึงน้า~~ ”
ไอ แผดเสียงร่า มาแต่ไกล พร้อมกับ รับเอา หอกขวานที่ควงติ้วกลับมา

“ เอางั้นเลยเหรอ งั้นเห็นทีคงแพ้ไม่ได้ซะแล้วสิ ”
เฟนท์ พึมพำ อย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ปริศนาหรือปัญหาอะไรนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ในตอนนี้
เพียงอย่างเดียว ที่เค้ารู้สึกคือ ความตื่นเต้นอย่างไม่เคยได้สัมผัส มานานมากแล้ว

“ อะไรกันเนี่ย นี่ฉันกำลังสนุกอยู่เหรอเนี่ยกับเรื่องแบบนี้ ”
เฟนท์ คิดขณะที่ควง ตะบองในมือพร้อมกับพุ่งทะยานตัวลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะ ที่ไอ กำลังตรงเข้าใส่ กองทัพ อาคูม่า

“ บางทีอาจจะเป็นเพราะ มีเธออยู่ ด้วยล่ะมั้ง…ไอ ”
เฟนท์ คิดชั่วขณะก่อนที่ตะบองของเค้าจะทุบลงไปบนพื้นทราย

/Fatal Smasher/
สิ้นเสียง ก็เกิดคลื่นอัดกระแทก แผ่ตัวออกมาจากหัวตะบอง ที่ทิ่มอยู่ในพื้นทราย ครู่ต่อมา
พื้นทรายที่พวก อาคูม่า ยืนอยู่ก็พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ปานน้ำพุร้อนที่ ปะทุขึ้นมา ร่างของพวกมัน

แรงอัดมหาศาลผ่านเม็ดทรายที่ระเบิดขึ้นมา กระแทกจนร่างกายของพวกมัน แตกกระจุยกระจาย
ราวกับ แก้วที่ถูกค้อนทุบ น้ำพุทรายพุ่งขึ้นไปอยู่บนฟ้า ซัก 5 วินาที ได้ก่อนจะร่วงพรูลงมา
โดยที่ ไอ ซึ่งบุกเข้าไปก่อนนั้น คือเหยื่อที่ถูก ฝนทรายตกใส่เต็มๆ

……………………..

“ อ..อ้าว จัดการกันหมดแล้วเหรอครับเนี่ย ล….แล้วไหง รุ่นพี่ ไอ ถึงได้ทรายเต็มตัว
เป็นมนุษย์ทรายแบบนั้นล่ะครับ ”
พรายด์ ซึ่งตามมาทีหลัง ถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเพียงกองทรายที่หล่นลงมากองพะเนิน
บนหลุมทราย ส่วน ไอ ก็ถูกทรายกลบเต็มทั้งตัว

“ อ๋อ~~พอดีมีอีตาบ้าคนหนึ่งที่ทำไม่คิดหน้าคิดหลัง ใส่เต็มแรงซะจนทรายมันคลุ้งขึ้นมาน่ะสิ ”
ไอ เปรยพลางส่งสายตาข่มไปทาง เฟนท์ ที่พึ่งจะถูกเธอ อัดหัวทิ่ม ทราย อยู่ข้างๆ
ทำเอาพรายด์ พูดไม่ออก ที่จริงคงต้องบอกว่ากลัวจนไม่กล้าพูดมากกว่า

“ ไปทำให้รุ่นพี่เค้าโกรธเอาล่ะสิ ”
พรายด์ คิดขณะที่มอง เฟนท์ พยายามจะงัดเอาหัวขึ้นจากพื้นทราย

“ แค่ก แค่ก เล่นแรงชะมัดเลย ก็เธอบอกเองนี่ว่าจะแข่งกันน่ะ แล้วใครจะไปยอมให้กันเล่า ”
เฟนท์ แย้งไปพลากสำลักทรายไปด้วย ในปากมีแต่รสทรายเต็มไปหมด จนต้องถ่มน้ำลายทิ้งอยู่หลายครั้ง

“ อ้าวๆ นี่มัวเล่นอะไรกันอยู่ได้ เรายังมีพวกชาวจักรวรรดิ์ ที่ต้องเข้าไปช่วยอีกนะ ”
เสียงของ สเวน ดังขึ้น เค้าบินตรงมายังกลุ่มพร้อมๆกับ ไรด์ และออกเดินหน้าเข้า สู่ค่ายกักกัน
ทันทีที่รวมกลุ่มได้สำเร็จ และแล้วภารกิจ ปลดปล่อยชาวจักรวรรดิ์ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
……………………………………

“ ขอบคุณมากเลย พวกคุณ เหมือนกับเป็นตัวแทนแห่งสวรรค์จริงๆ ”
“ ใช่แล้วขอบใจมาก ไม่อย่างงั้นพวกเราคงถูกพวกมันใช้แรงงานจนตายแน่ ”

เสียงขอบคุณและโห่ร้องแสดงความยินดี ดังล้อมรอบ พวกเค้าไปหมด หลังจากที่บุกเข้ามาและจับกุม เหล่าทหารที่ยอมจำนน พร้อมทั้งปลดปล่อย แรงงานทาสเหล่านั้น ชาวจักรวรรดิ์ต่างก็แสดงความขอบคุณ
ต่อพวกเค้า

“ เราช่วยพวกเค้าได้จริงๆงั้นสินะ ”
พรายด์ เปรยความรู้ปลื้มปิติความยินดี ต่างๆโถมเข้ามาในใจ ในตอนนี้ เค้ารู้สึกได้แล้วว่า พลังของตัวเอง
ไม่สูญเปล่า มันสามารถช่วยผู้คนได้ เช่นเดียว กันเหล่า Valkyrier และ Empyrean Adjust คนอื่นๆ
ต่างสุขใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และนั่นทำให้รู้สึกได้คำพูดของ ประธาน เรื่องหนทางแห่งการช่วยเหลือ
นั้น คือความเป็นไปได้ที่เป็นจริง

ปัง!!

เสียงนี้มีเพียง เฟนท์ ที่ได้ยินต่อให้เสียงโห่ของผู้รอบข้างพวกเค้าดังกลบจน ไอ กับ พรายด์ ไม่ทันได้ยิน
ก็ตามที แต่ดูประสาทหูที่ดีเยี่ยมของเผ่าสมิงเช่นเค้า เสียงใดๆก็ไม่อาจเล็ดลอดไปได้

ทว่า สิ่งที่เค้าได้เห็นเมื่อหันไปมองยังต้นเสียงนั้น คือเบื้องหลังที่แท้จริงของ การช่วยเหลือนี้
โลกนี้ไม่มีอะไรที่จะดีไปซะหมด เมื่อมีด้านที่สว่าง บางครั้งคนเราก้อาจจะไม่ทันได้สังเกตุถึงด้านมืดอีกด้าน

ความสุขของเหล่าผู้คนที่ถูกปลดปล่อยคือ สิ่งที่พวกเค้าพยายามจะสร้างขึ้นมา แต่ทว่าพวกเค้ากลับละเลยไป
ถึงความโกรธของ ผู้คนที่ถูกปลดปล่อยด้วย ที่ตรงนั้น เหล่าทหารที่เคยกดขี่พวกเค้า กำลัง

ถูก พวกชาวจักรวรรดิ์ ที่โกรธแค้นใช้ปืนยิงประหารไปทีล่ะคนๆ เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้
พวกเค้ามาก็เพื่อช่วย ชาวจักรวรรดิ์ให้ พ้นจากการกดขี่ของ สหประชาคมโลก และพวกเค้าก็คือคนที่
มอบผลลัพธ์เช่นนี้ ให้กับเหล่าทหารที่ เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของ
สงคราม

“ เรื่องนี้ เราเองก็รู้ดีอยู่แล้ว สงครามไม่ใช่สิ่งที่สวยงามอะไรแบบนั้น
ถ้าเลือกที่จะช่วยฝ่ายหนึ่งก็ต้องทำร้ายอีกฝ่าย ”
เฟนท์ คิดแม้จะลึกๆจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เค้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ นี่คือกฏมันคือสัจธรรม
ที่ไม่ว่าใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

……………………………………………..
……………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………..
ยานรัฟอัส
ภายในห้องบังคับการ ตอนนี้มีเพียง เมอร์อาเน่ และ สเวนเท่านั้นที่ยังอยู่ทำงานต่อ ในขณะเจ้าหน้าที่คนอื่น
พากันไปพักหมดแล้วตามคำสั่งของเธอ ที่จริงมันก็เป็นเวลาช่วงหัวค่ำ แล้ว
หลังจากภารกิจ ตึงเครียดเมื่อเย็นที่ผ่านมา

“ ภารกิจคราวนี้เสร็จไวกว่าที่วางแผนเอาไว้ซะอีกนะ ”
สเวน เปรยในมือยังคงจัดเอกสาร ไปกองวางบนโต๊ะ ข้างๆของ เมอร์อาเน่

“ ตอนแรกฉันคิดว่า การจะตีฝ่ากองทัพ อาคุม่า ของศัตรู น่ะจะต้องใช้เวลาซัก สองสามวัน
ซะอีก แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น ”
เมอร์อาเน่ บอกความคิดเรื่องแผนการรบที่เธอวางไว้เมื่อเย็นนี้ ถึงตอนนี้จะจัดการเสร็จไปได้อย่างรวดเร็ว
จนเธอเองก็อึ้งไปน้อยกับความรวดเร็วในการทำภารกิจ ตั้งแต่ ที่ เฟนท์ ถูกบรรจุเข้าหน่วยมา

“ พลังของเจ้าหนุ่มนั่น น่ะเป็นของจริง ไม่งั้นคงไม่รอดชีวิตมาจา มหาสงครามในตอนนั้นได้หรอก ”
สเวน กล่าวตามความเห็นเรื่องฝีมือ ของเฟนท์ ที่เค้าได้ประจักษ์มันมาด้วยตาตัวเอง ในสนามรบวันนี้
วินาทีที่ การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็กวาดล้าง กองทัพ มารร้าย ให้หายวับไปได้
ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเค้า จนบัดนี้

“ การที่มีคนเก่งๆอย่างเค้า มาร่วมทีมด้ย แบบนี้ก็จะเป็นการทำให้ ไอ กับ พรายด์ ที่ยังประสบการณ์น้อย
อยู่ได้เรียนรู้ไปในตัวด้วยสินะ เพราะถึง ไรด์ เองจะเป็นกับเดียวกับเค้า แต่ก็เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความสามารถของตัวเองซักเท่าไหร่ ”
เมอร์อาเน่ ยังคงขยับปากกาในมือไปด้วยระหว่างพูด

……………………………………
……………………………………………………….

ซ่า~~~
เสียงน้ำจากฝักบวก ยังคงดังก้องอยู่ซักพักก่อนที่มันจะถูกปิดเงียบไป ครู่ต่อมา ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับเฟนท์ ที่พึ่งล้างเอาทรายที่ติดตัวมาจากภารกิจในวันนี้ ออกไปเสร็จ

“ ตั้งแต่เริ่มภารกิจวันนี้มาถึงทุกอย่างจะดูไหได้สวยก็เถอะ แต่ว่าก็ยังมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ
อยู่ 2 เรื่อง ”
เฟนท์ คิด ขณะที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าในห้องพักของตัวเอง และเปิดประตูค้นชุดที่จะเปลี่ยน

“ เรื่องแรก ทำไมสหประชาคมโลกถึงจ้องเล่นงานมาที่ Empyrean Adjust ถึงจะบอกว่า
ฝ่ายนั้นเกลัวที่เราจะทำการแทรกแซง ก็เถอะแต่แบบนี้มันเท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเองชัด แล้วยัง
มีคู่แข่งอย่าง สหพันธ์โลก ด้วยการทำแบบนี้มันไม่เสี่ยงที่จะถูก รุมโจมตีจากทั้งสองฝายงั้นเหรอ ”

เค้าคิด ขณะที่ใส่กางเกงไปด้วย ที่ข้างๆเตียงนอนด้านหลังยังมี เสื้อกั๊กสีแดงประจำหน่วยที่เลอะทราย
วางทิ้งไว้อยู่ เฟนท์พับผ้าขนหนูที่เค้าใช้คลุมเอาไว้ขึ้นพาดบ่าแล้ว เดินเข้าไปหยิบมันเพื่อ
จะเอาไปเก็บในตะกร้า ที่วางอยู่ข้างๆตู้เพื่อรอส่งไป
ทำความสะอาดเสียทีเดียว

“ แล้วก็ข้อที่สอง ทำไม สหประชาคมโลก ถึงได้ใช้ อาคูม่า ในการสงครามได้.. ”
เฟนท์ คิดขณะที่ปล่อยมือที่หนีบเสื้อไว้ทิ้งมันลงในตะกร้า และจับผ้าขนหนูที่พาดบ่าไว้
เช็ดร่างกายท่อนบนที่ยังเปียกปอนด้วยละอองน้ำอยู่นิดๆ

“ พวกอาคุม่า เป็น มารร้ายที่ใช้พิธีกรรมขององเมียวจิ แห่ง ประเทศนิคโคอุ อัญเชิญมา
ในสงครามครั้งก่อน ตอนนั้น องค์กร Zordom ที่ เนลโปเลียน อดีตจักรพรรดิ์ บริเทเนอร์
บงการพวก องเมียวจินอกรีต ให้ทำการอัญเชิญ อาคูม่า มารับใช้มัน แต่ว่าตอนนั้น
เรากับ เรกกะ ก็ช่วยกันฝังมันไว้ใน คาทาสโทรฟี(Catastrophe)แล้วนี่ ”

เฟนท์ พยายามจะปะติดปะต่อ เรื่องทั้งหมด แต่ว่าในอตนนี้ไม่ว่าจะพยายามยังไงเค้าก็ไม่
สามารถทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย

ก๊อก!!ๆๆ
“เฟนท์ อยู่รึเปล่าน่ะ? ”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงของ ไอ ที่ดังตามเข้ามาก่อนที่ประตูจะเปิดออก เอง
เพราะเค้าไม่ได้ล็อกเอาไว้

“ โทษนะ เข้าไปได้ใช่…. ”
ไอ พูดพลางพลักประตูด้วยมือซ้าย ขณะที่มือขวาหนีบเอา กระป๋องน้ำหวาน มา 2 กระป๋อง
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดได้จบประโยคก็ต้องชะงักไป เพราะเมื่อเธอ มองไปยังเจ้าของห้อง
ที่ตอนนี้ท่อนบนยังเปลือยเปล่าอยู่เลย ก็ทำเอาเธอ สะดุดกึก ทันที

“ อ้าว! ไอ เองเหรอ เป็นอะไรไปน่ะทำไมหน้าแดงแบบนั้น ”
เฟนท์ หันกลับไปทักทายพร้อมกับความฉงนต่อสีหน้าของเธอที่ตอนนี้แดงแปร๊ดปานลูกมะเขือเทศ
ด้วยความเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องเจ้าตัวเลยเดินเข้าไปใกล้ เธอเสียเอง

“ หรือว่า ระหว่างภารกิจตากแดดมากไปเลยไข้ขึ้นงั้นเหรอ? ”
เฟนท์ ถามพร้อมกับเดิน เข้าไปใกล้เธอเพื่อ จะดูอาการให้ แต่ยิ่งใกล้เธอก็ยิ่งตื่นเต้นเสียจนขยับตัวไม่ได้
แถมหน้ายังแดงขึ้นเรื่อยๆ จนควับแทบออกหู เมื่ออีกฝ่ายเอาหน้าผากเข้ามาชนกับหน้าผากของเธอ
เพื่อจะวัดไข้

“ โห! ร้อนจี้เลยเหรอเนี่ย ”
เฟนท์ อดโพล่งขึ้นมาไม่ได้ เพราะอุณหภูมิตัวเธอสูงปรี้ดเป็นกาต้มน้ำเลยทีเดียว โดยยังไม่รู้ว่า
สาเหตุก็เพราะตัวเค้าเอง สมองของเธอแทบจะละลายทันทีที่ความร้อนทะลุจุดเดือด หน้าเธอก็เปลี่ยนจาก
สีแดงเป็นสีขาวซีดซะจนราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไป ก่อนจะเป็นลมล้มผับไปทันที

“ อ้าว เฮ้ย!! ไอ! เป็นอะไรไปน่ะ ไอ! ”

……………………………
………………………………………………………….

โรงอาหารภายในยาน รัฟอัส

ห้องโถงซึ่งจัดโต๊ะ ยาวกับม้านั่ง ไว้สองสามชุด สำหรับให้เจ้าหน้าที่ต่างๆในยาน พลัดเปลี่ยนกันมาพักรับประทานอาหาร ที่มุมด้านในของห้อง จะผนังกั้นระหว่างครัวอยู่ และมีช่องหน้าต่าง
สำหรับสั่งอาหารกับ คนครัวได้ ในช่วงดึกนี้ เจ้าหน้าที่ส่วนมากจะมานั่งอยู่ที่นี่ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
ที่สะสมมาทั้งวัน

“ หลักของวิธีนี้น่ะมันอยู่ที่การควบคุมประจุกับการเกร็งมันเอาไว้ ”
ไรด์อธิบายไปพร้อมกับ ขยับปากกาในมือ วาดภาพหลักการ อธิบายให้ พรายด์ ที่ใจจดใจจ่อ
อยู่กับกระดาษที่เค้าเขียน

“ หรือพูดง่ายๆ ก็คือตอนที่จะออกตัว ก็ให้ปะทุ ปีกร่อนให้พร้อมกับจังหวะที่ แรงดันของ รางจะลากเราออกไปนั่นล่ะ ”
ไรด์ รวบรัดให้ใจความเสร็จสรรพ ก็วางปากกาลงทันที ก่อนจะยกมันขึ้นสะบัด ให้หายเมื่อย

“ ถึงจะฟังดูยากไปหน่อยแต่ถ้าได้ลองฝึกล่ะก็! ”
พรายด์ พูดน้ำเสียงหึกเหิม โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ แบบที่ เฟนท์ ออกตัวไปในวันนี้

“ เฮ้ยๆ เทคนิคนี้น่ะ ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆนา แค่วันเดียวไม่ได้หรอก ”
ไรด์ กล่าวพลางล้อวงมือลงในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต เพื่อหยิบบางอย่างออกมา

“ ถ้างั้นก็เริ่มซะเดี๋ยวนี้เลย ก็จะได้ไม่เสียเวลาไงล่ะครับ ยังไงผมไม่ยอมแพ้เจ้านั่นหรอก ”
พรายด์ แย้งกลับ ตอนนี้เค้ามีเป้าหมายที่อยากไล่ตามจริงๆจังๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การไล่ให้ เฟนท์ คือเป้าหมายสูงสุดในตอนนี้

“ ไม่มีทางหรอกน่า เฟนท์ น่ะมันยังมีทีเด็ดเก็บอยู่อีกเยอะไม่งั้นคงไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก เอ้าแล้วก็นี่ ”
ไรด์ กล่าวพร้อมกับยัดเยียด บางสิ่งลงในมือของ พรายด์ เมื่อคลี่มืออกมาดู มันเป็นสร้อยข้อมือ
โทรมๆที่ห้อยตราสลักซึ่งสลักชื่อของ เค้าเอาไว้ สีหน้าของ พรายด์ แสดงออกว่าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้เห็น สร้ยข้อมือนี้

“ วันหลังก็อย่าลืมทิ้งของสำคัญแบบนี้ไว้อีกล่ะ ”
ไรด์ พล่ามก่อนจะเดินออกจาก โรงอาหารไป ทิ้งให้ พรายด์ นั่งกุมสร้อยข้อมือ
อยู่เดียวดายเพียงลำพัง

……………………………………………………………………………………
………………………………………………………..
………………………



ราชอาณาจักร โลกอส แห่งทวีป อาริมาเทีย

ราชอาณาจักรอันรุ่งเรืองที่ในอดีต คือแดนทุรกันดารที่ไม่มีอะไรเลย นอกจาก ป่าเขาและพื้นดินที่แห้ง
เกรอะกรังกับบ้านเมืองเล็กๆ ที่ราวกับซากปรัก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ บรรดาผู้หนีสงคราม แต่เมื่อ เจ้าหญิงมาเรียลูส แห่งราชอาณาจักรบริเทเนอร์

ผู้ถูกย้ายให้มาครองดินแดนแถบนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงดินแดนนี้ ให้กลายเป็นสรวงสวรรค์ระหว่าง
แห่งการอยู่ร่วมกันกับ มนุษย์และมังกร ทำให้อาณานิคมนี้ พัฒนาจนขึ้นมาอยู่ในประเทศระดับแนวหน้า

แม้ช่วงสงครามเมื่อ 2 ปีก่อน นั้นจะทำให้ โลกอส ต้องเปลี่ยนโฉมหน้าการปกครองของประเทศไปบ้าง
เพราะการเข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศ ของ สหพันธุ์โลก แต่ที่ยังคงไว้ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ อุดมการณ์
ที่จะไม่รุกรานใครและจะไม่ยอมให้ใครมารุกราน

………………………………
………………………………………………………….

ท่าเทียบเรือนอกอ่าว

ท่าเทียบเรือแห่งนี้อยู่ใต้ชะง่อนผาที่เยื้องออกมาจาก แผ่นดินใหญ่ ด้วยสภาพภูมิประเทศ ที่เต็มไปด้วยหินโสโครก จึงทำให้ไม่ค่อยมีเรือ แล่นเข้ามาและช่วงกลางคืนเช่นนี้ซึ่งเป็นเวลาน้ำขึ้นทำให้มองเห็นแนวหินโสโครกได้ลำบาก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะจะนำยานขนาดใหญ่อย่าง พอลลิดัส
ลงจอดโดยไม่สะดุดตาใคร ทั้งหมดนี้ได้รับการชวยเหลือจาก มาเรียลูส ผู้สำเร็จราชการสูงสุดแห่งโลกอส ที่ได้กล่าวไว้เมื่อข้างต้นเป็นผู้มอบให้

“ ว่าไปแล้วไม่ได้กลับมา โลกอส มานานเหมือนกันนะเนี่ย
รู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้านเกิดที่จากไปนานเลยแฮะ ”
ซาน เปรยขณะยืนยืดแขนบิดขี้เกียจ ไปมาอยู่ในห้องบังคับการของยาน ร่วมกับ ทุกคนที่กำลังรอ
การติดต่อจาก มาเรียลูส

“ จริงสิ ว่าแต่ทำไมเราถึงมาที่ โลกอส ล่ะ ”
เอมิล ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ เพราะที่นี่น่าจะมีเบาะสให้เรามากที่สุดน่ะสิ ”
โครโน่ ตอบ

“ พวกสหประชาคมโลก น่ะตอนนี้ทำอะไรไว้บ้าง เราก็รู้ๆกันอยู่ จะไปติดต่อกับพวก Empyrean Adjust ที่
เห็นเราเป็นเป้าหมายมันก็ใช่เรื่อง จริงไหม ก็เหลือแต่ที่นี่เท่านั้นล่ะ ”
ฮายาเตะ เสริมให้ เธอยังคงรัวนิ้วเคาะลงบนแป้นของแผงควบคุม เพื่อตรวจสอบสภาพยาน

“ ที่ๆยังพอจะให้ความช่วยเหลือเราได้ก็มีที่นี่ล่ะนะ ”
ราชาฟ กล่าวปิดท้าย

“ รู้สึกจะมาแล้วล่ะนะ ”
มาธิอัส กล่าวจบก็เปิดภาพบนจอมอนิเตอร์ ในห้อง ภาพของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ และองครักษ์ สาวอีกนางที่ยืน อยู่ข้างๆเก้าอี้ในห้องที่เธอติดต่อมา

“ ไม่นึกเลยนะว่าจะได้มาเจอกันอีก ข่าวที่ว่าไปลักพาตัว ท่านผู้แทนสูงสุดแห่ง เมกาโธโปลิส มา
ถ้าจะไม่ใช่แค่ข่าวลือสินะ ”
เจ้าหญิงทรงตรัส พลางชายตามองไปยัง เซน่า ที่ฉายอยู่บนจอภาพฝั่งของเธอด้วย

“ เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันก่อนเถอะ ว่าแต่เรื่องที่ขอไว้ล่ะ ”
เรกกะ ตัดพ้อคำพูดของเธอและเร่งให้เข้าเรื่องเสียที เพราะกลัวจะไปกระทบกระเทือน
เซน่า อีก

“ ดิฉันจะเป็นคนรายงานเองค่ะ ”
องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ออกตัวขึ้นมาพร้อมกับ รอให้เธออนุญาต เมื่อได้รับอนุญาต แล้วองครักษ์
จึงคลี่เอกสารในมืออกเพื่ออ่านผลการตรวจสอบที่ เรกกะ ขอไปตั้งแต่ช่วงเย็นที่มาถึง

“ เรื่องแรก เราลองตรวจสอบการกระทำของ สหประชาคมโลก ในช่วงนี้มาให้แล้วแต่
ได้แค่สรุปแบบคร่าวๆเท่านั้น เพราะเราเองก็ถูก สหประชาคม ต่อต้านอยู่เหมือนกัน ”
องครักษ์ กล่าวจบก็หยุดรอฟังความเห็นของพวกเค้า เรกกะ พยักหน้าให้เธออ่านรายงานผลต่อไปเลยทันที

“ ช่วงตั้งแต่ สามเดือนก่อน มีการ ระดมพล ทหารจำนวนมากส่งขึ้นไปยึดครองดินแดน
นอกรีต แถบตะวันออก อยู่หลายครั้ง พอเดือนต่อมา ก็มีการขนส่งอะไรบางอย่างกลับไปที่ ประเทศนิคโคอุ
และก็เดือนก่อน ที่พึ่งจะผ่านมา ก็คือมีการระดมพล อย่างลับๆ และการรบกับ Empyrean Adjust เท่าที่เรารู้มาก็มีเท่านี้ ”
องครักษื อ่านรายงานจบ ก็จุดไฟด้วยไม้ขีดที่เตรียมมาก่อนแล้วเผาเอกสารทิ้ง
ทันทีเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานใดๆอีก

“ หมายความว่า สหประชาคมโลกกำลัง คิดจะสร้างอะไรบางอย่างอยู่สินะ โดยใช้ของที่นำเข้ามาตั้งแต่ สามเดือนก่อนที่ไปยึดเอาอาณานิคมนอกรีตมา ”
โครโน่ ทวนความหมายของรายงานที่ได้ฟังเมื่อซักครู่อีกหน

“ และศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ก็คงจะเป็นที่ นิคโคอุ สินะ ”
ฮายาเตะ ตบท้ายให้ ตอนนี้ สำหรับพวกเค้า อะไรๆมันก็กระจ่างขึ้นมาอยู่มากโข
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่ เรื่องของ สหประชาคมโลกทั้งนั้น จนถึงตอนนี้สาเหตุที่พวกเค้าต้อง
หนีออกมาจาก เมกาโทโปลิส ก็ยังคงไม่ได้คำตอบ สาเหตุซึ่งเกิดจาก
Empyrean Adjust จ้องเล่นงานพวกเค้าด้วยแทนที่จะเป็น สหประชาคมโลก

“ แต่ว่านั่นน่ะ มันก็มีแต่เรื่องของ สหประชาคมโลกอย่างเดียวเลยนี่ ถึงจะมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการที่พวกวุฒิสภารวมหัวกันคว่ำบาตรอำนาจของ เซน่า ก็เถอะ แต่ก็ยังไม่มีอะไรสาวไปถึง
เหตุผลที่ พวก Empyrean Adjust ตามล่าพวกเราเลย ”
มาธิอัส เปิดประเด็นขึ้นมา ความสงสัยหลายอย่างก่อตัวขึ้นตามมาด้วยทันที

“ ไม่หรอก ตอนนี้ที่ฉันรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกันอยู่ ”
คำพูดของ เรกกะ เรียกให้ทุกคนหันมาฟังด้วยความสนใจในทันที

“ ถ้าพูดถึง นิคโคอุ กับฝ่ายสหประชาคมโลก แล้วล่ะก็มันมีอยู่ไม่ใช่รึไง พวกที่จ้อง
จะเล่นงาน Empyrean Adjust พวก Zordom น่ะ ”
สิ้นคำของ เรกกะ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างก็คิดพิเคราะห์ถึงเค้ามูลที่
เรกกะ พูดมา

“ จะว่าไปแล้ว ในสงครามครั้งนั้นก็มี แค่ไม่กี่หน่วยงานที่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Zordom
รวมถึงพวกเราด้วย ”
ฮายาเตะ เอ่ยขึ้นมา

“ ถ้าคิดตามนั้น ก็พอจะเดาออกล่ะนะว่า วกมันคงคิดจะเดินระบบคาทาสโทรฟี อีก
แต่ว่า การจะทำแบบนั้นได้มันต้องมี รหัสของฉัน ด้วย แต่ฝ่ายไล่ตามล่าเรากลับเป็น
Empyrean Adjust แทน ”
ราชาฟ ออกความเห็นตามที่เธอคิด ซึ่งตอนนี้เหตุผลกับเรื่องราวนั้นดูจะยังมีบางส่วนที่ขัดกันอยู่

“ เรื่องนี้เรายังคงสรุปอะไรในตอนนี้ไม่ได้หรอก…ต้องรอให้มีข้อมูลมากกว่านี้อีกซักหน่อย
ขอบใจสำหรับข้อมูลมากเลยนะ มาเรียลูส ”
เรกกะ สรุปก่อนจะกล่าวขอบคุณข้อมูลที่ได้รับมาจาก มาเรียลูส

“ ขอฉันถามอะไรหน่อยจะได้ไหม ”
มาเรียลูส ตรัสถามกลับมาบ้าง ทุกคนต่างพากันสงสัยว่า เธออยากจะถามอะไรกับพวกเค้า

“ ได้สิ เรื่องอะไรล่ะ ”
เรกกะ ตอบ

“ สิ่งที่พวกเธอกำลังทำอยู่ตอนนี้จะไม่ผิดพลาดแน่นอนใช่ไหม…. ”
หลังจากคำถามหลุดออกจากปากของเธอแล้ว ทุกคนก็พากันเงียบ ไม่มีใครตอบได้ว่าตอนนี้
พวกเค้ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่รึไม่ ที่พวกเค้ารู้สึกกันอยู่ในตอนนี้คือการพยายามจะต้านกระแส
ของเทอร่า ที่กำลังจะเปลี่ยนไป พวกเค้าใช้ความรู้สึกที่ว่าช่วยผลักดัน จนหนีออกมาจาก เมกาโทโปลิส
ต่างไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้อะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะพวกเค้าต่างก็ออกมาเพื่อหาคำตอบ
ดังที่ เรกกะ ได้เคยพูดไว้

“ ขอโทษนะ ที่ถามอะไรแบบนี้ ทั้งที่ฉันเองก็พึ่งจะให้ความช่วยเหลือพวกเธอไปเอง แต่ฉัน
กังวลว่ามันจะเหมือนกับ Dragoon Requiem เมื่อตอนนั้นอีก เพราะฉันเองก็เห็นว่ามัน
เป็นทางเลือกที่ผิดมหันต์ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็เป็นฝ่ายถูกด้วยทางเลือกนั้นมันหยุด
สงครามได้ เพราะงั้นครั้งนี้ก็เหมือนกันใช่มั้ย? ”

มาเรียลูส กล่าวเธออ้างอิงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ถึงครั้งนึงที่ เรกกะ ดำเนินแผนการ Dragoon Requiem
ยึดอำนาจทั้งหมดใน เทอร่ามาเป็นของตัวเอง และกระทำการปกครองอย่างโหดร้าย เพื่อทำให้ทุกคน
ในเทอร่า จงเกลียดจงชังเค้า และจบชีวิตของเค้าที่มีโฉมหน้าของ ทรราชย์ ด้วยความตั้งใจองตัวเอง
เพื่อนำโลกสู่สันติสุขอย่างแท้จริง โดยที่มีผู้คนไม่มากนักที่รู้ว่า เค้าคือวีรบุรุษแห่งสงคราม Delantion
อย่างแท้จริง

“ ขอโทษนะ แต่ว่าฉันเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน…มันไม่เหมือนกับ Dragoon Requiem
สถานการณ์มันยังไม่กระจ่างชัดพอ ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้หรอก ”
แววตาของ เรกกะ ในยามที่ตอบออกไปนั้นแสดงให้เห็นความลังเล อย่างชัดเจน ถึงแม้ต่อหน้า
จะทำฉาบฉวย ออกนำทุกคนมาจนถึงนี่ได้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่ลังเลเหมือนที่ทุกคนเป็น

………………………………..
………………………………………………………..
…………………………………………………………………………….
ความมืดมิดรอบๆตัว ที่ทำให้มองไม่เห็นอะไรเกิดจาก เปลือกตาทั้งสอง ที่ล้าเกินกว่าจะเปิดขึ้นไหว
สัมผัสที่หลัง ดูนุ่มนวลและ อากาศภายในห้องก็ชวนให้เย็นสบายเสียจนอยากจะหลับต่อไปอีก
แต่ความรู้สึกแปลกๆที่ราวกับกำลังถูกใครจ้องมองมามันทำให้ ตะหงิดอยากรู้อยากเห็นไปซะหมด

สุดท้ายความอยากก็เอาชนะความขี้ได้ เธอค่อยๆเปิดเปลือกตาออก สภาพของห้องที่ปรากฏ
ขึ้นนั้นคล้ายกับ ห้องพักในยานลำนี้ของเธอ แต่ทว่า คนที่อยู่ด้วยในห้องกลับเป็น ขวัญใจของเธอ
ที่เป็นต้นเหตุทำเธอเป็นลม จนต้องมานอนอยู่บนเตียงในห้องของเค้าแทน

“ ตื่นแล้วเหรอ? ”
คำพูดแรกที่ เฟนท์ ทักทายกับเธอ ก่อนจะลุกขึ้นมานังอยู่บนเตียงนอนของเค้า ส่วนตัวเฟนท์ เองก็เฝ้าไข้ อยู่
ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้อง ตอนนี้แม้เค้าจะยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ เพราะเอาแค่แจ๊กเก็ต ตัวใหม่จากตู้เสื้อผ้ามาสวมทับ เอาไว้อย่างเดียว โดยที่ยังไม่ได้สวมเสื้อยืด แต่ก็พอจะไม่ทำให้เธอ เขินจนเป็นลมไปได้อีก

“ นี่…ห้องนายเหรอ? ”
ไอ ถามขึ้นลอยๆ เพราะเธอไม่อยากให้ห้องมันเงียบ จนทำเธอประหม่าอีก

“ อืม ..เธอเข้ามาเสร็จแล้วก็ตัวร้อนจนเป็นลมไปเลย เมื่อกี้ฉันเลย โทรไปบอกให้หน่วยพยาบาลเค้า
เอายามาให้ที่ห้องแล้วล่ะ ”
เฟนท์ ตอบพลางชี้ไปที่ กระเป๋ายาซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง นอกจากนี้แม้เค้าจะไม่ได้พูดก็ตาม
แต่เธอก็พอจะเดาออกว่าทำไมจนถึงป่านเค้า ถึงยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียที จากผ้าเย็นชุบน้ำซึ่งยังชื้นอยู่หน่อยๆ
ที่หล่นลงมาจากหน้าผากของเธอตอนที่ลุกขึ้น นั่ง

“ คงจะ…คอยเปลี่ยนผ้าเย็นแล้วก็เฝ้าเราอยู่ตลอดเลยงั้นสิ ”
ไอ คิดสายตาก็คอยมอง เฟนท์ ไม่วาง

“ จริงสิ ฉันตั้งใจว่าจะมาฉลองความสำเร็จของภารกิจแรกที่ทำร่วมกันซะหน่อย
ก็เลยซื้อน้ำผลไม้มาไปไหนซะแล้วเนี่ย ”
เธอพูดพลางหันซ้ายหันขวาหาน้ำกระป๋องที่เธอ ซื้อมา

“ ถ้าน้ำกระป๋องน่ะนะ วางอยู่ข้างๆกระเป๋ายานั่นล่ะ ”
เฟนท์ ชี้ไปที่กระเป๋ายาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงอีกครั้ง ข้างๆกระเป๋ามี กระป๋องบรรจุน้ำผลไม้
วางอยู่สองกระป๋อง

“ อ๊ะ จริงด้วยไม่ทันสังเกตเลยนะเนี่ย งั้นเรามาดื่มกันเถอะ ”
ไอ ออกปากชวน หยิบน้ำกระป๋องบนโต๊ะมาและโยนส่งให้ เฟนท์ ไปกระป๋อง
เฟนท์ ยื่นมือ ออกไปคว้าเอาไว้ ก่อนจะชะงัก ไปนิดหน่อยเพราะความรู้สึกที่แวบขึ้นมาในหัว

“ หือ..เป็นอะไรไปเหรอ นิ่งเชียว ”
ไอ ถามพลางเอียงคอด้วยความฉงน

“ ป…เปล่าหรอกเพียงแต่เห็นน้ำผลไม้แล้วมันชวนให้นึกถึงเรื่องสมัยก่อน..ยังจำได้รึเปล่าตอนที่
เธอมาชวนฉันไปดูหนังสมัยยังเรียนอยู่ที่ St.Magnus Academy ที่โลกอส น่ะ ”
เฟนท์ ถามย้อนถึงเรื่องสมัยที่เค้าและเธอยังเรียนอยู่ด้วยกัน ไอ นั่งนึกอยู่ซักครู่เธอก็นึกออกและ
แก้มก็เริ่มแดงระเรื่อทันที

“ น…นี่ยังจำได้อีกเหรอ เรื่องมันตั้งนานมาแล้วนะ ”
ไอ กล่าวแก้เขินพลางส่ายหน้าเพื่อสลัดอารมณ์เขินเมื่อครู่ออกไป

“ จำได้สิ…ตอนนั้นน่ะเธอก็เป็นคนออกไปซื้อน้ำผลไม้มาให้เหมือนกันกับตอนนี้เลย ”
เฟนท์ กล่าวพลางกดนิ้วลงบนช่องเปิดกระป๋อง จนเกิดเสียงแคร็ก

“ ใช่แล้วพอฉันกลับมา นายก็หายหัวไปซะเฉยๆแล้ว มิมิ กับ โครเว็ท ก็โทรมาให้ฉัน
ไปช่วยหาหนังสือรายงาน พอนายกลับมาก็ไม่เจอฉันอีก ”
ไอ กล่าวการที่ได้คุยกับ เฟนท์ ทำให้เธอนึกถึงเรื่องสมัยเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความสุข
ที่สุดสำหรับเธอ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับ เค้าและเพื่อนๆที่ไม่เคยทำให้เธอเหงา
เลย

“ หลังจากนั้นเราสองคนก็มองหน้ากันไม่ติดอยู่เกือบสัปดาห์เลยล่ะนะ ฮะๆๆ ”
เฟนท์ พูดติด ตลก ก่อนที่ทั้งสองจะพากันระเบิดหัวเราะ ออกมาชุดใหญ่
และเงียบลงหลังจากนั้น

“ พอมานึกๆ ดูแล้วนะ ตอนนั้นน่ะสำหรับฉันถือเป็นเดทแรกเลยล่ะ ”
ไอ เปรย คำพูดของเธอทำให้ เฟนท์ สะอึกไปเล็กน้อย เพราะนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าพูดออกมาโจ่งแจ้งปานนี้

“ ตัวฉันเองก็เคยรู้สึกลังเล ว่าทำไมถึได้รู้สึกสนใจนาย ตอนนั้นฉันก็คิดนะ ว่าบางทีอาจเป็นเพราะ
ฉันกับนายเป็นคนอ่อนแอ เหมือนกันก็เลยรู้สึกดีด้วยล่ะมั้ง แต่ว่ามันไม่ใช่….ความจริงแล้วฉันเห็น
ความแข็งแกร่งที่หลบซ่อนอยู่ในตัวนาย ต่างหาก เพราะรู้สึกอุ่นใจว่านายจะต้องปกป้องฉันได้แน่
แล้วมันก็จริง ตอนที่พวกก่อจลาจลบุกเข้าโรงเรียนและจับตุวฉันเป็นตัวประกัน
นายที่เข้ามาช่วยฉันในตอนนั้นน่ะ ประทับใจฉันสุดๆไปเลย ”

ไอ หันมามองเค้าและพูดประโยคนี้ มันราวกับเป็นคำสารภาพความในใจของเธอที่มีต่อเค้า
ทั้งห้องตกลงสู่ความเงียบสงัด ทั้งเค้าและเธอต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรยังไงต่อไป บรรยากาศที่ปกคลุมห้องอยู่ตอนนี้ ชวนให้ทั้งสองคนรู้เกร็งๆ

“ เอ้อ! ฉันเนี่ยพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้น่าอายชะมัดเลย เพราะถึงยังไงสถานการณ์แบบนั้นเป็นใครก็ต้องเข้ามาช่วยแหละนะ ”
ไอ กล่าวแก้เขินพร้อมกับดื่มน้ำในกระป๋องที่เปิดจนหมดก่อนจะวาง กระป๋องที่ไม่มีน้ำแล้วลง
บนโต๊ะข้างหัวเตียง และเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป

“ งั้นฉันไปก่อนล่ะฝากทิ้งกระป๋องด้วยละกัน…อะ ”
ไอ พูดทิ้งท้ายได้ยังไม่ทันจะจบดี ร่างของเธอก็ถูกสวมกอดไว้ ในอ้อมแขนทั้งสองของ เค้า

[Theme Love เป็นเพลงประกอบ กรุณาเปิดเพื่อลดความเลี่ยนของบท]


“ เพราะเป็นเธอ ต่างหากฉันถึงต้องเข้าไปช่วย ”
เฟนท์ กระซิบเข้าที่ข้างหูของเธออย่างนุ่มนวล ต่อหน้าสถานการณ์ที่ชวนให้ใจตื่นตระหนก
เธอ ได้แต่อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกถึงจะตื่นเนเสียจน หัวใจจะหยุดเต้นเอาเสียให้ได้
แต่ก็รู้สึกดีใจ อยู่ไม่น้อย

“ ฟ…เฟนท์ ”
ไอ เอ่ยสะดุดๆด้วยความเขินทำให้ใบหน้าของเธอแดงแปร๊ดอีกครั้ง แต่แทนที่ฝ่าย เจ้าเขาจะปล่อย
กลับยิ่งกอดไว้แนบแน่นกว่าเดิมเสียอีก

“ ฉันมันโง่เอง ทั้งที่เธอพูดมันออกมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ฉันก็ทำเป็นหูทวนลมไม่
ยอมรับความรู้สึกจริงๆของตัวเองซักที ”
คำพูด ของ เฟนท์ ทำให้เธอหยุดคิดที่จะสลัดตัวหรือพยายามผลักตัวเค้าออกแต่ปล่อยให้เค้าได้พูด
ในสิ่งที่เธอเองก็อยากจะได้ยินจากปากเค้ามาตั้งนานแสนนานแล้ว

“ ไอ…..ฉันรักเธอ… ”
คำพูดที่เธอรอมานานนี้ บัดนี้มันได้ลอยเข้าหูของเธอไปแล้ว ไม่มีคำพูดใดๆจะบรรยาย
ความรู้สึกของตัวเธอออกมาได้ เพียงแค่รู้สึกว่าหัวใจตอนนี้มันล้นปรี่ไปด้วยความรู้อิ่มเอม
ลบเอาความเขินอายเมื่อครู่ให้หายไปจนหมดสิ้น

“ ฉันก็ด้วย…ฉันเองก็รักนาย….รักมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว… ”
เธอตอบกลับออกไปด้วยคำพูดที่กลั่นออกมาจากหัวใจ ก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายกลับไป
ทั้งคู่กอดกันกลมอยู่นานก่อนจะ ผละมาจ้องหน้ากัน ส่งสายตาให้กันอยู่ซักครู่
และประทับความสุขนี้ให้ส่งผ่านซึ่งกันและกันผ่านสัมผัสของริมฝีปาก
ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะล้มลงไปบนเตียง

“ นี่ ไอ เธอบอกว่าคนที่ชนะจะให้คนแพ้ทำอะไรก็ได้ใช่ไหม ”
“ อืม… ”
“งั้นช่วยทำให้ฉันมีความสุขทีสิ… ”

ค่ำคืนผ่านพ้นไปพร้อมกับคู่หนุ่มสาวค้างคืนร่วมห้องกัน
………………………………….
……………………………………………………….
……………………………………………………………………………….

หมู่เกาะนิคโคอุ เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่และหมู่เกาะย่อย ประเทศแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าหลายร้อยปี ในอดีตเคยมียอดฝีมือ มากมายและมีศาสการต่อสู้แขนงต่างๆ ทั้ง นินจา
นักรบที่ชำนาญการทำงานลับซึ่งมีความว่องไวและความสามารถในการอำพรางตัว
ซามูไร ทหารที่คอยรับใช้และปกป้องราชวงศ์ และมีจักรพรรดินีสูงสุด คือ มิโกะกิเลน (Kirin)
แต่หลังมหาสงคราม Delantion ประเทศแห่งนี้ได้เปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ โดยยกอำนาจให้กับเหล่าขุนนาง แทนและล้มเลิกระบบจักรวรรดิ์ไป ในปัจจุบันนี้ ชื่อเสียงของประเทศนิคโคอุ
ค่อนข้างจะไปในทางเสีย เพราะว่ากันว่า เป็นประเทศที่ใช้ศาสตร์ดำ อัญเชิญอาคูม่า มารร้ายจากนรก
เพื่อให้มารับใช้กองทัพ สหประชาคมโลก และยังเป็นศูนย์กลางของ องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการค้าอาวุธ
สงครามทั้งหมดในเทอร่า อย่าง Zordom ชื่อนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้จักมัน และผู้ที่รู้ติ้นลึกหนาบางของ
องค์กรนี้ ก็จะถูกจัดการหรือไม่ก็ต้องกลายเป็นหนูรับใช้ขององค์กรไป

อาคารรัฐสภา นิคโคอุ

ภายในห้องรับรอง ซึ่งตกแต่งสไตล์โบราณ พื้นปูด้วยเสื่อซึ่งถักจากหญ้าชั้นเยี่ยม ประตูกระดาษซึ่งเขียนลาย
วิจิตรงดงาม ที่กลางห้อง มีโคมไฟสี่เหลี่ยม ห้อยจากเพดานอยู่เหนือโต๊ะกลมขาเตี้ย เหล่าแขกซึ่ง
มาร่วมงานชุมนุมในห้องรับรองนี้ ต่างก็เป็น เหล่าผู้มีอำนาจหน้าตาทางการเมืองในหลากหลายประเทศ

ของ สหประชาคมโลก พวกเค้าเป็นผู้ซึ่งให้การสนับสนุน แก่ Zordom โดยใช้อำนาจที่ตัวเองมี
ขับเคลื่อน เทอร่าให้เป็นไปตามต้องการ ตั้งแต่สร้างสถานการณ์ ก่อสงคราม หรือ ค้าสารเสพติด
เพื่อขายอาวุธ และ นำกำไรเข้ามาพัฒนาองค์กร

“ พวก Empyrean Adjust มันทำลายฐานทัพที่ ซาเอล ไปแล้วจากนี้ไปพวกมันต้องไม่หยุดแค่นี้แน่ ”
เสียงของสมาชิกซึ่งเป็นแขกในงานดังขึ้น

“ ตั้งแต่สงครามครั้งก่อนที่พวกมันออกแทรกแซง พวกมันก็เล็งเป้าหมายมาที่เราแต่แรกอยู่แล้ว
แถมยังทำลาย ทั้ง มาราดัน และ โค่น เนลโปเลียน ที่ครองบริเทเนอร์ไปอีก ทำให้เราเสียขั้วอำนาจ
ยิ่งใหญ่ไป ”

สมาชิกอีกคน แจงต่อด้วยเสียงที่แหบแห้ง

“ แล้วคราวนี้ดูท่าว่ามันจะจ้องเล่นงานมาที่เราตรงๆเลยสินะ ”
สมาชิกคนแรกกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ แต่ว่าพวกมันไม่มีทางทำยังงั้นได้หรอก ”
เสียงของสมาชิก คนอื่นออกความเห็นตามมา

“ ทำไมล่ะ พวกมันเป็นอาชญากรสงคราม ไอ้พวกอำนาจทางการเมืองน่ะหยุดพวกมันไม่ได้หรอก ”
สมาชิกคนแรก แย้งขึ้นเสียงดัง

“ จะไปกลัวพวกมันทำไม กะอีแค่ปลาซิวปลาสร้อย พวกนี้องค์กรของเราก็เคยเก็บพวกแบบ
นี้มานักต่อนัก แล้วในสงคราม Delantion พวกมันก็ยังขุดคุ้ยเราไม่ได้เลยไม่ใช่รึไง ”
ความเห็นของคนอื่นก็ตามมาเช่นกัน บรรยากาศในที่ประชุมเริ่มจะไม่สงบเท่าไหร่นัก


“ จริงสิ คนที่รับหน้าที่ไปจัดการกับพวกมัน ก็คุณเองไม่ใช่รึ ลอร์ด อัสโมดาย(Asmoday) ”

สมาชิก คนแรกหันไปถากถาง สมาชิกหนุ่มวัยกลางคน ที่ยืนอยู่นอกวงล้อมโต๊ะการประชุม
เค้าเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้พูดอะไร ทันทีที่ถูกถามถึงภารงานที่ผิดพลาด เพราะไม่สามารถจัดการ

กับ ยานของ Empyrean Adjust ได้ก่อนที่ยานที่ว่านั้นซึ่งเป็นทัพที่ เฟนท์ ร่วมไปด้วย
จะยกกำลังไปถล่ม ฐานทัพจนปลดปล่อยแรงงานชาวจักรวรรดิ์ออกมาได้หมด


“ ก็เพราะงั้นไง ผมถึงได้ส่งหน่วยลับของ สหประชาคม เข้าไปสืบข่าวของพวกมันจนขโมย
เอาอาวุธรุ่นใหม่ของพวกมันมาได้สามเครื่องแล้วนี่ไง ”
อัสโมดาย แก้ตัวความรู้สึกหงุดหงิดที่ความผิดพลาดทั้งหมดกลับถูกโบ้ยมาให้เค้านั้น
ทำให้กรามต้องขบเขี้ยวอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้

“ แต่ว่า ศึกที่น่านน้ำของ เมกาโทโปลิส กองทัพของคุณเองก็แพ้ยับเยินเลยไม่ใช่รึไง ”
สมาชิกที่เหลือเริ่มจะไล่ต้อนเค้าบ้างแล้ว

“ ตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงครับ เพราะหากเป็นพวกคุณเองก็คงนึกไม่ถึงหรอกใช่ไหมครับ
ว่าจะมี เจ้าอัศวินมังกรที่เคยทำให้ องค์กรเราเกือบพินาศและยังล้มล้างผนการ คาทาสโทรฟี
ของเราไปแล้วครั้งนึงโผล่มาช่วยพวกมันน่ะครับ ”

คำพูดนี้ทำให้ ทั้งที่ประชุมถึงกับเงีบไปทันที เมื่อพูดถึง อัศวินมังกร ที่โผล่มาโจมตีกองทัพ
ของเค้า ที่น่านน้ำ ในวันนั้น จนไม่สามารถจมยานของข้าศึกได้


“ อัศวินมังกร หมายถึงเจ้า Dragoon นั่นน่ะรึ ”

“ คนที่เคยสังหารจักรพรรดิ์ เรกกะ หลังสงคราม Delantion นั่นมันคงยังคิดว่าตัวเอง
เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้อยู่งั้นสิ ถึงได้ออกมาแบบนี้ ”

ที่ประชุมเริ่มจะไม่สงบแล้ว ทันทีที่มีการกล่าวถึง อัศวินมังกร และบุคคลที่มีชื่อว่า Dragoon
สมาชิกทุกคนเริ่มแสดงท่าทีกังวลออกมากันทันที

“ เพราะอย่างนั้น เราถึงต้องรีบจัดการถอนหน่ออ่อนของมันให้สิ้นไปจริงๆ ผมถึงได้สั่งการให้หน่วยของผม
ไปร่วมทัพกับ กองทัพเมกาโทโปลิส ที่จะส่งมาช่วยเราด้วยแล้วยังไงล่ะ วันพรุ่งนี้ ยานของพวกมันที่ไปทำลายฐานที่ ซาเอล จะต้องผ่านไปทาง คาบสมุทรมิสรายิม แน่ แล้วเราก็จะส่งมันสู่ก้นทะเล ”

อัสโมดาย ออกปากด้วยความมั่นใจ ว่าการรบในครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จตามแผนการณ์อย่างแน่นอน

……………………………………..
…………………………………………………………………………….

แสงแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดวงอาทิตย์ ลอยตัวขึ้นสูง ระดับน้ำในทะเลก็เริ่มจะลดลง ลม
สงบทำให้มีคลื่นน้อย อากาศในช่วงสายบนทะเลใน เขต คาบสมุทรมิสรายิม นับเป็นเขตมหาสมุทร
ที่สงบที่สุด เพราะสภาพภูมิทวีป ที่พื้นดินใต้มหาสมุทร ไม่ค่อยลึกเท่า คาบสมุทรอื่น จึงทำให้

ไม่มีสัตว์ร้าย อยู่อาศัยมากมายนัก บนน่านน้ำที่ว่างเปล่าไกลสุดลูกหูลูกตา
ได้ปรากฏกองเรือ ของ เมกาโทโปลิส และ กองเรือของ สหประชาคมโลก
รวมทั้งเรือดำน้ำ ที่ขนส่ง Valkyrier ของสหประชาคม เองก็ได้มาตั้งด่านรออยู่ก่อนแล้ว
เพื่อที่จะดักจม ยานของข้าศึก

“ เข้าใจแล้วนะ ครั้งนี้อย่าให้พลาดเชียวล่ะ ”
เสียงของ ลอร์ด อัสโมดาย ดังขึ้นจาก เครื่องรับส่งสัญญาณในห้องพักของ กัปตัน
เรือดำน้ำ นิวส์ องเมียวจินอกรีต ซึ่งเป็นผู้บังคับบัชาของ Valkyrier ที่ใช้ Crisissor ที่ขโมยมาสามเครื่อง
นั้น

“ เพราะความผิดพลาดครั้งก่อนก็เลยทำให้ฉันเสียหน้าไปเยอะนักเชียว คราวนี้ก็ระวังไอ้เจ้า อัศวินมังกร นั่นด้วยล่ะ เพราะมันอาจจะคอยคุ้มครองยานนั่นอยู่ก็ได้แล้วก็.. ”
เสียงของ อัสโมดาย ยังคงดังออกมาจากเครื่องเพื่อย้ำแล้วย้ำอีก ถึงความสำคัญที่แผนการนี้จะผิดพลาดไม่ได้

“ แกคงยังไม่ลืมหรอกนะว่าคนที่ช่วยให้แกซึ่งเป็น องเมียวจินอกรีต ที่กำลังจะถูกประหาร
ได้มารับหน้าที่เป็น กัปตันยานมียศมีศักดิ์กับเค้า ก็คือฉันน่ะ ”
เสียงนั้นท้วงถามถึงบุญคุณที่มีต่อ เค้าเพื่อเป็นการแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจทำงานนี้อย่างจริงๆจังๆ

“ ครับ ยังไงผมก็ไม่มีทางลืมอยู่แล้ว ”
นิวส์ กล่าวตัดพ้อ เพื่อที่จะเลี่ยงให้ เลิกย้ำคำสั่งที่เค้ารับทารบดีอยู่เสียที

“ เข้าใจนะ อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ ”
สิ้นเสียง สัญญาณก็ถูกตัดไป ภายใต้ผ้าคาดปาก ของเค้าลมหายใจแผ่วๆถูกเป่าออกมา
กับความน่าเหนื่อยหน่ายของการถูกโขกสับใช้งาน แบบนี้ ก่อนจะยันตัวลุกจากเก้าอี้ที่โต๊ะ
เพื่อ ออกไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมา

“ นิวส์.. ”
เสียงของ เด็กสาวผมสีทองสั้น ทักทายเค้าอย่างอ่อนหวาน ทันทีที่เปิดประตูห้อง

“ สเตลท์ เองเหรอแล้ว อีกสองคนล่ะ ”
นิวส์ พูดกับเธออย่างอ่อนโยน ต่างจาก บุคลิคของเค้าทุกทีหากแต่ เบื้องหลังของใบหน้า
ที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรนั้น กลับเป็นใบหน้าของปิศาจที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
แม้แต่การ หลอกลวงเด็กหนุ่มสาวทั้งสามที่ไร้ซึ่งครอบครัวให้มาเป็น ทหารเพราะมีความสามารถในการเชื่อมต่อ กับ Crisissor

“ อาวล์กับ แสตกท์ กำลังแต่งตัวอยู่ สเตลท์ เลยออกมารับ นิวส์ ก่อนน่ะ ”
สเตลท์ ตอบกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะวิ่งเข้าไปจูงแขนของเค้า เหมือนเด็กๆ

“ งั้นเหรอถ้างั้นเราไปรอ สองคนนั้นกันก่อนเถอะ ”
นิวส์ พูดจบก็จูงเธอ ออกเดินไปตามทางเดินใน เรือดำน้ำ ระหว่างที่เดินไปด้วยกันซักพักเธอก็ถาม
คำถามเค้าขึ้นมา

“ นี่ นิวส์ เมื่อคืน สเตลท์ ฝันแปลกๆด้วยล่ะ ”
สเตลท์ บอกกับเค้าด้วยสีหน้าเป็นกังวล เค้ารู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเธอจึงลองถามกลับไปว่า

“ ฝันว่าอะไรเหรอ ”
นิวส์ ถามเธอ

“ ในความฝันของสเตลท์ มีพี่ชายที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย เราวิ่งกันอยู่สองคน แล้วพี่คนนั้นเค้าก็เรียก สเตลท์ ว่า
เอรี่ น่ะ ”
เธอ เล่าทุกอย่างที่เธอฝันเห็นมาให้เค้าฟัง

“ เหรอ แล้วสเตลท์ ไม่รู้เลยเหรอว่าเค้าคนนั้นเป็นใครกันน่ะ ”
นิวส์ ถาม แต่เธอก็ส่ายหัวเป็นเชิงว่าเธอไม่รู้จริงๆ แต่อยู่ๆเธอก็ทำท่าเหมือนจะนึกได้ขึ้นมา

“ อ๊ะ จริงด้วยในความฝัน สเตลท์ เรียกเค้าว่า พี่ ด้วยล่ะ ”
คำพูดของ สเตลท์ ทำให้ เค้าต้องหยุดเดินเอาเสียดื้อๆ สร้างความประหลาดใจให กับ สเตลท์
และทำให้เธอกังวลว่าเธอพูดอะไรไม่ดีออกไปรึเปล่า เค้าก้มตัวลงสบตากับเธอ

“ นี่ สเตลท์ มองมาที่ตาของฉันสิ ”
น้ำเสียงของ นิวส์ เริ่มก้องกังวานไปทั่วทั้งทางเดิน พร้อมกับไอควันสีดำ พวยพุ่งออกมาจากร่างของเค้า
โอบล้อมเธอเอาไว้ ดวงตาของเธอที่จ้องสบมาที่ดวงตาของเค้า ค่อยๆอ่อนล้าลง เธอกำลังถูกสะกดจิต

“ ฟังนะ สเตลท์ วันนี้จะมีพวกคนไม่ดีที่จะมาฆ่า อาวล์ แสตก แล้วก็ฉันด้วยถ้าเป็นแบบนั้น
สเตลท์ ก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวอีก ”
นิวส์ เริ่มหว่านล้อมด้วยคำพูด ที่จะทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์และทรมาน
ซึ่งมันได้ผล เธอทำหน้ามุ่ย และกัดริมฝีปากเหมือนกับจะร้องไห้

“ ไม่นะ สเตลท์ ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว ”
เธอ เริ่มงอแง โดยที่ดวงตานั้นนิ่งสนิท ราวกับว่ากำลังเห็นภาพ อื่นที่ไม่ใช่ภาพของ นิวส์ ซึ่งกำลังร่ายเวทย์สะกดใส่เธอ

“ ถ้าอย่างนั้น สเตลท์ ต้องจัดการพวกมันให้หมดเลยนะ ต้องอย่าให้พวกมันฆ่าคนที่ สเตลท์ รักได้ เข้าใจนะ ”
นิวส์ ปล่อยคำพูดหว่านล้อมเธอออกมา อีกเพื่อต้อนให้เธอตกอยู่ในภวังค์

“ เข้าใจแล้ว สเตลท์ จะจัดการพวกมันจะไม่ให้พวกมันมาฆ่า อาวล์ สแตกท์ แล้ว ก็นิวส์ ได้เด็ดขาด ”
สิ้นคำของเธอ ไอควันที่ เค้าเสกออกมาก็สลายตัวไปพร้อมกับพิธีสะกดจิดได้เสร็จสมบรูณ์ไปในตัว
ตอนนี้จิตสำนึกของเธอถูกปลูกฝัง ลงไปให้เกิดความกังวลและตั้งสมาธิไปที่การรบในวันนี้
เป็นอุบายที่จะให้เธอสู้สุดกำลัง เพื่อจัดการ ยานรัฟอัส และเหล่า Valkyrier ของ Empyrean Adjust
ที่จะมาในวันนี้

“ ดีมาก สเตลท์เป็นเด็กดีจริงๆเอาล่ะเราไปกันถอะ ”
สิ้นคำ พวกเค้าก็ออกเดินกันต่อ

“ ดูเหมือนว่า มนต์สะกดจะเริ่มเสื่อมซะแล้ว คงเพราะที่ใช้พลังไปตอนที่
เข้าไปแย่งเอาของๆพวกมันมา ตอนนั้นล่ะมั้ง ”
นิวส์ คิดไประหว่างที่เดิน ความวิตกกังวลเล็กๆเริ่มเกิดขึ้นในใจ ว่าอาจจะพลอยควบคุม
อีกสองคนไม่ได้ไปด้วย

…………………………….
……………………………………………………….
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ ศุกร์ ธ.ค. 02, 2011 8:45 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ เม.ย. 19, 2010 1:48 pm

ห้องบังคับการ ยาน พอลลิดัส

“ ว่าไงนะ เมกาโทโปลิส น่ะเหรอ!! ”
เสียงของ เซน่า ดังขึ้นแทบจะทันที หลังจาก ได้รับฟังข่าวสารจาก ซาน ที่ได้รับ
มาจาก องครักษ์ของเจ้าหญิง มาเรียลูส เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ความตื่นตระหนกไม่เกิดขึ้นกับเธอ
เพียงคนเดียว แต่ทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ในห้อง ก็เช่นกัน

“ องครักษ์เองก็ยืนยันแน่แล้วว่าเป็น กองทัพของ เมกาโทโปลิส แน่นอนเพราะมีธงของเมกาโทโปลิส
ติดอยู่ด้วยพวกนั้นไปตั้งกองกำลังปิดล้อมอยู่ตรงน่านน้ำ ทวีปมิสรายิม เพื่อรออะไรบางอย่าง ”
ซาน ทวนข้อความที่ได้รับมาขึ้นอีกครั้ง

“ จะว่าไปแล้ว เมื่อวาน รู้สึกจะมีข่าวว่า ฐานทัพของ สหประชาคม ที่ซาเอล พึ่งถูก Empyrean Adjust
ทำลายไปนี่นา ”
โครโน่ เอ่ยถึงข่าวที่ออกอากาศไปทั่วทั้งเทอร่า เมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นเบาะแสของการกระทำในครั้งนี้ได้

“ เดี๋ยวนะ น่านน้ำทวีปมิสรายิมน่ะ เป็นทางผ่านที่จะต้องใช้เวลาเดินเรือจาก อ่าวนอกเข้ามายัง
คาบสมุทร เมอริเซีย ถ้าเกิดว่าพวกที่ไปทำลาย ฐานทัพของสหประชาคม คือ ยานรัฟอัส ล่ะก็ .. ”
ฮายาเตะ โพล่งขึ้นมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ของการ เคลื่อนไหวกองทัพของสหประชาคม ในตอนนี้

“ ช่องทางที่ เรือบินลำใหญ่ขนาดนั้น จะผ่านได้ก็มีแต่ทางน่านน้ำนั่นเท่านั้น นี่ก็แปลว่า
พวก สหประชาคม คงไปดักรอตีหัวยานลำนั้นอยู่งั้นสิ ”
มาธิอัส ต่อให้จนจบ

“ แล้วก็ กองกำลังของ เมกาโทโปลิศ ก็คงถูกสั่งให้ความร่วมมือด้วยนั่นแหละ ถ้าเกิด สหประชาคม
รับเอาแสนยานุภาพของ เมกาโทโปลิส ไปใช้ล่ะก็ สมดุลอำนาจระหว่าง สหประชาคมกับสหพันธ์
ก็คง… ”
เอมิล สมิงหนุ่มผมเงิน สรุปความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ เมกาโทโปลิส
มีแสนยานุภาพ ที่ได้รับมาจาก Empyrean Adjust ในการพัฒนาประเทศอยู่มากโข
หากถูก สหประชาคมเอาไปใช้ สมดุลอำนาจจะตกไปอยู่ที่ สหประชาคเพียงฝ่ายเดียว
และแม้แต่ Empyrean Adjust เองก็อาจจะต้องยอมจำนนก็เป็นได้

“ แต่ทำไมกันล่ะ โจน่า มัวทำอะไรอยู่ พวกวุฒิสภา ก็ด้วย ทำไมถึงปล่อยให้ สหประชาคม
เชิดเป็นเป็นหุ่นอยู่แบบนี้ ”
เซน่า ถามเธอต้องการคำตอบที่ทำให้สถานการณ์มันเป็นไปแบนี้ได้อย่างไร

“ ก็พี่เองไม่ใช่เหรอครับ ที่ยอมรับผลลัพธ์แบบนี้น่ะ หรือว่าไม่ได้รู้เลยว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ”
เรกกะ ประชดใส่เพื่อให้เธอ ตาสว่างเสียทีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไง
คำพูดนั้นทำให้เธอ เงียบเสียงลงทันที มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอเป็นคนยอมให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเองทั้งที่
ตนเองก็เป็นผู้นำของ ประเทศแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“ แต่พวกเราเองก็เป็นฝ่ายที่เข้าไป ชิงตัวเธอออกมาจาก เมกาโทโปลิส มาเหมือนกัน
บางทีถ้าเธอยังอยู่ที่นั่น เรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ”
ฮายาเตะ พยายามจะพูดแก้ให้ เซน่า บ้างโดยที่ตัวเองก็นึกอยู่ในใจว่าทำไม อยู่ๆ เรกกะ ถึงได้
เข้มงดวกับ เซน่า ขึ้นมาเสียดื้อๆ ยิ่งพอเป็นเรื่องนี้ด้วยแล้วยิ่งเข้มงวดขึ้นไปอีก

“ ไม่หรอก ถึงพี่ จะอยู่ที่นั่นเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ”
เรกกะ แย้งกลับโดยไม่แยแสว่า เซน่า จะรู้สึกยังไง

“ แต่ว่านะ ถ้าเป็นตอนนี้….ถ้าเป็น เซน่า ในตอนนี้ล่ะก็ จะต้องมองเห็นคำตอบที่ยังมอง
ไม่เห็นก่อนหน้านี้ได้แน่ ”
ราชาฟ กล่าวพร้อมกับมองมาที่เธอด้วย สายตาที่เชื่อมั่น นั่นทำให้เธอตัดสินใจบางอย่างลง
ได้อย่างแน่วแน่แล้ว เธอหันไปพูดกับ เรกกะ ในสิ่งที่เธอพึ่งตัดสินใจลงไป

“ ถึงจะรู้ดีว่ามันสายไปแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะหยุด สงครามครั้งนี้เอาไว้ เมกาโทโปลิส
น่ะไม่ควรจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้เลยไม่สิไม่ว่าจะประเทศไหนๆก็ไม่ควรจะทำสงครามกันต่อไปอีกเลย
เพราะงั้นถ้าทำได้ พี่ ก็อยากจะห้ามทัพเอาไว้ เพราะฉนั้นแล้ว ช่วยไปเถอะนะ ไปด้วยกันกับพี่ ”

คำพูดซึ่งผ่านการตัดสินใจและไตร่ตรองอย่างดีแล้วจากเธอได้ เปล่งออกมาแม้จะ ตัวเรกกะ เองจะรู้
ดีว่าถึงไปตอนนี้ก็คงเปล่าประโยชน์ แต่ในตอนนี้ เธอก็ได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ผู้น้ำประเทศออกมาให้เค้าได้ประจักษ์ แล้วดังนั้นการที่จะลองดูก็คงไม่เสียหายอะไร

“ ถ้าอย่างนั้น จะมัวรอ อะไรอยู่ล่ะ ออกยานกันเลยเถอะ ”
เรกกะ ให้คำตอบพร้อมกับ ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ก่อนจะพา พา เซน่า เดิน ออกจากห้อง บังคับการเพื่อไปเตรียมตัว
ขณะที่ทุกคน ที่เหลือก็พากันแยกย้าย ไปทำงานตามหน้าที่ของตนเพื่อเตรียมยานให้พร้อม
จนเหลือเพียง ซาน ฮายาเตะ และ โครโน่ เท่านั้นที่ยังอยู่ห้องเพื่อรอ ประสานงาน

“ ที่ ช่วงนี้เค้าดูเข้มงวดกับ คุณ เซน่า เพราะอยากให้เธอได้เรียนรู้ถึงหน้าที่และการตัดสินใจ
ในฐานะผู้นำหรอกเหรอเนี่ย ”
ฮายาเตะ เปรยขึ้นทันที ที่ทุกคนพากันไปประจำที่หมดแล้ว

“ แหม ไหนๆก็อุตส่าได้มาอยู่ด้วยกันแล้วทั้งที ก็ถือโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์กันซะเลยไง ”
โครโน่ ตอบไปพลางขณะที่ กดสวิตซ์เปิดจอมอนิเตอร์ให้ฉายภาพ ด้านหน้ายานขึ้น

“ นี่ล่ะ สไตล์ เรกกะ เค้าเลย~ ”
ซาน กล่าวเสริมโดยที่นิ้วยังคงรัวแป้นกดบนแผงควบคุมของเธออยู่
จากคำพูดและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ ทำให้ ฮายาเตะ เริ่มรู้สึกแล้วว่า ทางเลือกที่พวกเธอเดินอยู่นี้
จะไม่เป็นทางเลือกที่ผิดอย่างแน่นอน และจะช่วยนำพาทุกคนไปสู่หนทางที่ถูกต้องของแต่ล่ะคน


“ การ เตรียมปะทุเตาพลังงาน พร้อมแล้วสามารถออกยานได้ทุกเมื่อ ”
ซาน รายงานผลการตรวจสอบยานทั้งหมดที่ขึ้นบนมอนิเตอร์ ติดกับแผงควบคุมของเธอ
เมื่อได้รับรายงานแล้ว ฮายาเตะ จึงหลับตาลงสูดลมหายใจให้เต็มปอด เพื่อทำสมาธิ ก่อนจะ
ลืมตาขึ้นพร้อมกับออกคำสั่ง


“ เอาล่ะนะ!! เร่งเครื่องเต็มกำลัง หางเสือเชิดขึ้น 30 ”
ฮายาเตะ ออกคำสั่งจบ โครโน่ ที่คุมหางเสือเรือ ก็เริ่มยกคันบังคับยานขึ้น
ไอพ่น ที่ตัวตัวยานด้านหลังปะทุพ่นเอาละอองแสงสีเขียว ออกมาและผลัก ยานให้
เคลื่อนตัวออกไป จากช่องแคบใต้ชะง่อนผา

“ เร่งเครื่องเต็มกำลัง หางเสือเชิดขึ้น 30 !! ”
โครโน่ ทวนคำสั่งซ้ำอีกครั้ง ทันทีเมื่อยาน ลอยตัวพ้นออกมาจากชะง่อนผาแล้ว

“ พอลลิดัส ออกยานได้!! ”
สิ้นคำของ ฮายาเตะ โครโน่ ก็เหยีบคันเร่งที่ใต้โต๊ะควบคุม เต็มแรง ไอพ่นของยานปะทุแรขึ้นก่อนที่
ยานจะพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยัง น่านน้ำในคาบสมุทร มิสรายิม ทันที

…………………………………..
………………………………………………………………………..

น่านน้ำ ในเขตคาบสมุทร มิสรายิม

ยานรัฟอัส ซึ่งมีต้นแบบมาจากเรือเหาะของ ซาโลม จึงบินได้ไม่สูงเท่าใดนัก การจะบิน
ผ่าน ทวีปที่มีสภาพภูมิประเทศ เป็นหุบเขาสลับกับ ทะเลทราย จึงเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น
กัปตัน เมอร์อาเน่ จึงตัดสินใจใช้เส้นทางผ่านน่านน้ำ เพื่อที่จะตัดไปยังคาบสมุทรเมอริเซีย
และกลับไปประจำการที่ ฐานทัพบนเกาะพรางแสง อีกครั้ง

ยานของพวกเค้าบินตัดน่านน้ำมานานแล้วแต่ก้ยังไม่มีอะไรผ่านมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ทะเลสงบเงียบเสียจน รู้สึกว่ามันเคว้งคว้างเกินไป ต้นเหตุของความเงียบสงบนี้ คือ
ปัญหาใหญ่ที่กำลังจะสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเค้าในไม่ช้านี้

ห้องบังคับการยาน รัฟอัส

“ กัปตันคะ ที่ข้างหน้ายานเราระยะ 50 มีวัตถุจำนวนมากขวางอยู่ด้วยค่ะ ”
เสียงของ ต้นหนเรือที่นั่งอยู่ดูจอเรดาห์ อยู่ในห้องดังขึ้นทำเอา ทุกคนพากันอึกอึงไปทันที

“ ป…เป็นกองเรือ ลำเลียง ของสหประชาคม 7 ลำและของ เมกาโทโปลิส อีก 20 ลำ เป็นเรือ ซะ 10 ลำและเรือขนส่งอีก 5 ลำ กับเรือเต่าประจันบาญ อีก 5 ลำค่ะ ”
ต้นหนเรือรายงานจำนวนและชนิดของ ศัตรูที่มารอเก็บพวกเค้าอยู่นานแล้ว ความหวาดวิตก
ก่อตัวขึ้นในทันที

“ ถ้าอย่างั้นรีบหันลำเรือกลับเดี๋ยวนี้เลยสิ ”
เมอร์อาเน่ สั่งทว่า รายงานของ ต้นหนเรือที่รายงานกลับมาอีกนั้น กลับทำให้เธอและทุกคนพากันตกใจ

“ ไม่ได้ค่ะ ข้างหลังเราก็มีกองเรือของ สหประชาคมอีก 10 ลำ เราถูกล้อมไว้แล้วค่ะ ”
รายงานของต้นหนเรือ ทำให้พวกเค้าพึ่งทราบว่าสถานการรืในตอนนี้มันเลวร้าย ลงไปขนาดไหนแล้ว
พวกเคิ้ดเข้าไปในกับดักเต็มๆ ตอนนี้รอบยาน ถูกล้อมไว้ด้วยกองเรือติดอาวุธ
ที่จะจมพวกเค้าลงสู่ก้นทะเลในอีกไม่ช้านี้

ตืด~~~ตืด~~~~~

/ประกาศจากนี้ไปยานของเราจะเข้าสู่สาวะพร้อมรบระดับ 5 !!! ขอย้ำ จากนี้ไปยานของเราจะเข้าสู่สภาวะพร้อมรบระดับ 5!! ขอให้ เจ้าหน้าที่ทุกนายเข้าประจำที่ด้วยค่ะ!! /

เสียงประกาศเตือนดังขึ้นภายในยานพร้อมกัย เสียงระเบิดของปืนใหญ่จากภายนอกเรือ
สามารถลูกเรือทุกคนให้ลุกจากเตียงไป เข้าประจำที่ทันที ทั้งยาน ถึงกับตกอยู่ในความกลลาหล
ทีเดียวกับการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวนี้

……………
เสียงประกาศดังเข้าไปถึงภายในห้อง ของ เฟนท์ ปลุกให้เค้าและ ไอ ที่ยังคงหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นทันที

“ ห๊ะ ศัตรูเหรอ! ”
เฟนท์ ลุกขึ้นจากเตียง และรู้สึกตระหนกนิดหน่อยที่เหตุการณ์เกิดกระทันหันแบบนี้
ไอ ที่นอนอยู่ข้างๆก็เช่นกัน ทั้งคู่ รีบแต่งตัว เพื่อออกไปทันที

…………………………………
………………………………………………………………………….

ห้องบังคับการ
ครืด~~

เสียงบานห้องประตูเลื่อนเอง โดยอัตโนมัต ทันทีที่ นักรบ Valkyrier ทั้ง 4 มาพร้อมหน้ากัน
อยู่ที่หน้าประตูห้อง

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! ”
คำถามแรกที่ออกจากปากของทั้ง 4 ดังขึ้นทันที เมื่อ ภาพบนจอมอนเตอร์ในห้องบังคับการ
คือ ภาพกองเรือ นับสิบลำ และเรือเหาะ กำลังระดมยิงปืนใหญ่ มาทางยานของพวกเค้า ที่
กางกำแพงพลังงาน อิออดิวเทเรี่ยม กันเอาไว้

“ เราถูกล้อมไว้แล้วน่ะสิ พรายด์ กับ เฟนท์ พวกนายสองคนรีบไปเตรียมออกตัวซะ เราต้องรีบตีฝ่าออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะส่งหุ่นรบมา! ”
สเวน สั่งการทันที เมื่อพวกเค้ามาถึงห้อง

“ ห…หุ่นรบ หรือว่า Gazor งั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกันครับ สหประชาคมโลกน่ะ
ไม่มีกองกำลังของ บริเทเนอร์ แล้วจะมี Gazor ได้ยังไง ”
เฟนท์ ถามด้วยความสงสัยกับคำพูดของ สเวน

“ ครั้งนี้ กองทัพของ เมกาโทโปลิส ก็เข้าร่วมด้วย เห็นเรือขนส่งพวกนั้นไหมล่ะ นั่นน่ะคือ
เรือบรรทุก Gazor ถ้าทางนั้นปล่อยพวกมันออกมา คราวนี้ยานเราจมแน่ ”
กัปตันเมอร์อาเน่ อธิบายพร้อมกับชี้ไปที่ กอง เรือขนส่งที่เริ่มแปรกระบวนทัพ
ขึ้นมายังแนวยิงของ กองเรือบนน่านน้ำ

“ ท…ทำไม เมกาโทโปลิส ถึงได้มาโจมตีพวกเราล่ะ ”
เฟนท์ คิดในใจตอนนี้ตัวเค้ารู้สึกรนไปหมดที่ อีกเดี๋ยวก็ต้องออกไปสู้กับ กองทัพจากประเทศ
ที่ตัวเองจากมา เมื่อไม่นาน

…………………….
…………………………………………………………….
ภายในห้องบังคับบัญชาของ เรือธงแห่งกองทัพเมกาโทโปลิส กระจกหน้าต่างรอบห้อง
ที่ช่วยให้ทัศนวิศัย ในการรบกว้างขวางรอบทิศ และทางเข้าสู่ห้องนี้ คือบันได ที่เชื่อมลงไปยังใต้ท้องเรือ

ภายในมีเรือธงลำนี้มี แม่ทัพมากฝีมือและรองแม่ทัพที่ มีประสบการ์ณมากมายคอยควบคุม
เรือ โดยการนำพลของ ผู้แทนชั่วคราว โจน่า ซีซ่าร์ โรมรัน

“ ทีนี้ล่ะเราจะได้ต้องแสนยานุภาพของ ประเทศเราให้ พวกสหประชาคม ได้รับรู้ บุกเข้าไป
ยิงถล่มมันเข้าไป ศัตรูของพวกเรามีน้อยกว่า การรบในครั้งนี้ถึงไม่ต้องมีกองทัพสหประชาคมเราก็เอาชนะได้สบายๆอยู่แล้ว แสดงให้พวก นั้นได้เห็นซะ! ”

โจน่า ออกคำสั่งหวือหวา กะจะโชว์แสนยานุภาพของประเทศ ให้เป็นประจักษ์ เหล่าแม่ทัพและรอง
ก็ทำได้แต่เพียงเอือมระอาแทน เพราะคำสั่งโจมตีที่ว่านี้ มันไม่มีแผนการรบหรืออะไรเลย เพียงแค่
เอากำลังเข้าข่มเพียงอย่างเดียว หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน การรบในครั้งนี้อาจเกิดโกลาหลขึ้นได้
ถึงกระนั้นก็ดี แม้ตอนนี้ เฟนท์ และ พรายด์ จะออกมาตีทะลวงฝ่าแนวป้องกันไปบ้างแล้ว
แต่นั้นก็ไม่ทำให้ความได้เปรียบในการรบเปลี่ยนไปแต่อย่างใดเลย

……………………….

ที่ด้านหลังสุดของ แนวเรือแห่งกองทัพเมกาโทโปลิศ และเรือรบของกองทัพสหประชาคม
เรือดำน้ำหน่วยพิเศษกองทัพสหประชาคม ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเหล่า Valkyrier ของพวกเค้า
จอดบนผิวน้ำเพื่อ ดูทีท่าอยู่ห่างๆจากสนามรบ

ภายในห้องบังคับการของ เรือดำน้ำ นิวส์ และรองแม่ทัพ ในหน่วยต่างก็เฝ้ามองการรบนี่อย่างพึงพอใจ
กับผลของมันหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย การจมยาน รัฟอัส ก็จะไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร

“ ดูเหมือนว่า Valkyrier ของฝ่ายโน้นจะส่งออกมาแล้วสินะ งั้นเราเองก็ส่งคนไปช่วยพวกเค้ามั่ง
ดีกว่า ให้อาวล์ กับ แสตกท์ ออกไป ”
นิวส์ ออกคำสั่งจบ เจ้าหน้าที่ประสานงานก็ทำการประกาศให้เตรียมการส่งตัว Valkyrier ของพวกเค้าออกไปบ้างทันที เพดานเรือดำน้ำ ด้านหลังค่อยเลือนเปิดออก ก่อนที่ อาวล์
ในชุดเกราะ Valkyrier Gula of Friday และ แสตกท์ ในชุดเกราะ Valkyrier Avaritia of Tuseday
จะทะยานตัว ตรงดิ่งสู่สนามรบ

“ ฮะ ฮ่า คราวนี้ล่ะฉันจะอัดพวกแกให้ร่วงลงทะเลให้หมดเลย ”
อาวล์ ผยองก่อนจะจะให้พลังควบคุมละอองแสงสีแดงที่ปล่อยออกมาจากชุดเกราะ
ห้อมล้อมตัวเองเอาไว้ แล้วดำดิ่งลงไปใต้น้ำ อย่างรวดเร็ว โดยที่แม้จะอยู่ในน้ำแต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของ อาวล์ กลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง

“ ไอ้พวกแมงหวี่แมงเม่าเอ๊ย!! ฉันจะเป่าพวกแกให้ร่วงเรียงตัวไปเลย ”
แสตกท์ ป่าวร้อง ก่อนจะยก หน้าไม้ในมือขึ้นประทับเล็ง และเหนี่ยวไกยิง
ลูกดอกลำแสงออกไปติดๆกัน ลูกดอกลำแสง พุ่งตรงเข้าไปยังที่ เฟนท์ และพรายด์ กระจุกกันอยู่
แต่พวกเค้าก็หลบมันได้ทัน

“ เจ้าพวกนั้นอีกแล้วเหรอ?! ”
พรายด์ สบถพร้อมกับ เล็งปืนลำแสงในยิงสวนกลับไป แต่ก็เฉี่ยวไปถูกเรือของ เมกาโทโปลิส
จนเรือเหาะลำนั้นร่วงลงไปชนเรือรบของ สหประชาคม จนจมลงไปด้วยกันทั้งคู่

ซ่า!!

เสียงน้ำกระเซ็น ดังขึ้นพร้อมกับ อาวล์ ที่ทะยานขึ้นมาจากน้ำ และเล็ง แผ่นจานรังสีที่แบกไว้
บนหลังเล็งไปที่ พรายด์ ซึ่งยังเสียหลักจาการหลบสะเก็ดระเบิดของ โศกนาฏกรรมเมื่อครู่

“เสร็จฉันล่ะ!! ” /Cold Snapping/
สิ้นคำ คลื่นลำแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากวงจานรังสี ทุกสิ่งที่ถูกลำแสงนี้ก็จะถูกแช่แข็งให้เป็นน้ำแข๊งไปในพริบตา วินาทีนี้ พรายด์ ไม่อาจจะหลบการโจมนี้ให้พ้นได้เสียแล้ว

/Protect Breaker/
เสียงดังคุ้งกังวาน ขึ้นพร้อมกับ ลำแสงแช่แข็งนั้นถูก กำแพงแสงซึ่งกาง
ขึ้นมาจากโล่ที่ปลอกแขนซ้ายของ เฟนท์ ปัดทิ้งให้สลายไปในทันที
ก่อนจะฟาดตะบองในมือขวาสวนกลับไปแม้ อาวล์ จะยกหอกขึ้นมาป้องเอาไว้ แรง
จากการเหวี่ยงตะบอง ก็อัดจนกระเด็นปลิวตกลงไปในน้ำ


“ อ…นี่แกเป็นใครกันเนี่ย ”
อาวล์ โผล่หัวขึ้นมาบนน้ำ ก่อนจะสบถ ด้วยความประหลาดใจเพราะพึ่งจะได้เคยประมือ
กับ เฟนท์ อย่างตรงๆเป็นครั้งแรก และเป็นทึ่งกับพลังของเค้า

“ ไม่เป็นไรนะ ”
เฟนท์ ถามทว่า ยังไม่ทันที่ พรายจะได้ตอบ ก็มีลูกดอกลำแสงพุ่งตัดหน้าพวกเค้าไปก่อน
ที่ เฟนท์ จะต้องผลักเค้าให้มาหลบอยู่หลังกำแพงที่สร้างจากโล่อีกครั้ง
เพื่อ ปัดห่าลูกดอกที่เหลือ นอกจากการโจมตีของ อาวล์ กับ แสตกท์ แล้ว ยังมีปืนใหญ่
และกระสุนแสงต่างๆจาก เรือเหาะและเรือรบ โจมตีใส่มาจากทุกทิศ ทำให้พวกเค้าต่อสู้
ได้อย่างยากลำบาก

“ ขืนเป็นแบบนี้ ยานต้องจมแน่ ”
เฟนท์ กัดฟัน ด้วยความเจ็บใจ แต่ตอนนี้พวกเค้าถูกต้อนให้แยกออกจาก ยานรัฟอัส
และเข้าสู่วงล้อมสังหารแทนเสียแล้ว ในขณะที่ได้มอง กองเรือลำเลียง บุกเข้าล้อม
ยานรัฟอัส ที่ตอนนี้เกราะพลังงานซึ่งเคยคุ้มกันตัวยานไว้นั้นได้สลายไปแล้ว
เพื่อจะส่ง หุ่นรบออกมา ทำลายยาน โดยที่พวกเค้าไม่สามารถจะเข้าไปช่วยได้

กองเรือลำเลียงที่ เข้าไปใกล้รัศมีของยาน ทยอยเปิดกาบเรือ ทั้งสองข้างออก แผ่นกาบเรือที่แบบออก
ลงตั้งระนาบไปกับพื้นน้ำกลายเป็นพื้นสำหรับให้ จักรกลสังหาร (TR-S400K)
ซึ่งมีร่างเหล็กไหลสรีระภายนอกของมันคล้ายกับมนุษย์ ช่วงสันหลัง และช่วงเอว
จะมี ชิ้นส่วนโลหะเรียงตัวเป็นวงโค้ง ลอยห่างจากร่างของพวกมันอยู่เล็กน้อย
เสียงเครื่องยนต์ดังครืนจากร่างของพวกมัน และเริ่มขยับเขยื้อนเหล่าจักรกล นั้นขยับ

รูปภาพ

ท่าทางอย่างแข็งๆ สะดุดๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตามพวกมันก็ยังเร็วมาก เพียงไม่กี่วินาที
ที่ กาบเรือลำเลียงถูกเปิดออก จักรกลเหล่านี้ ก็พุ่งตัวกระดดขึ้นไปสูงจนถึง ชั้นที่ยานรัฟอัส

ลอยตัวอยู่ได้ พวกมันค่อยๆตะเกียกตะกาย ขึ้นไป บนดาดฟ้า ยานบ้างบางตัวก็ถูกกระสุนดินระเบิด
ที่ยานยิงต้านออกมา เป่าตกทะเลไปก่อนจะขึ้นมาถึง

แต่จักรกลส่วนมากก็ขึ้นไปบนยานได้สำเร็จ พวกมันใช้นิ้วมือที่แหลมเหมือนกรงเล็บ ฉีก
ทึ้งผนังยาน ชั้นนอก และด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และทำยานลำกล้อง สำหรับยิงดินระเบิดกระสุนและลำแสง
ด้วย
……………………………….

“ ลำกล้องปืนที่กาบเรือ กับส่วนหัวของเรือ ถูกทำลายหมดแล้วค่ะ! ”
“ เกิดเพลิงไหม้ที่ พื้นที่ C ของยานครับ!! ”
“ เกราะพลังงานมีพลังงานไม่พอแล้วครับ ”

ความโกลาหล เกิดขึ้นไปทั่วทั้งตัวยาน แม้แต่ภายในห้องบังคับการ แรงสั่นสะเทือน
จากการระเบิดของตัวยานภายนอกทำให้ทั้งลำเรือ สั่นไปทั้งลำ

“ ให้หน่วยควบคุมความเสียหายไปดับไฟ ที่ส่วนนั้นซะ จากนั้นส่ง Valkyrier
ที่เหลืออกไปให้หมด ”
กัปตัน เมอร์อาเน่ ออกคำสั่งเพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่ว่ามันก็หนักหนาเกินกว่าเธอจะรับมือได้
ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรองเพียงฝ่ายเดียว นี้พวกเค้าแทบจะไม่หนทางอื่นเลย นอกจากพยายามหนีออกจากวงล้อมใหได้

“ ถ้าดึงเอาพลังงานของเกราะ ทั้งหมดมารวมป้องกันไว้แค่ด้านหน้า และเดิน
หน้ายานตรงไปเรื่อยๆ แบบนั้นพอจะทำได้รึเปล่า ”
เธอหันไปถาม เจ้าหน้าที่ควบคุมพลังงานของยาน เพื่อจะหาทางวางแผนรับมือต่อไป

“ ก..ก็พอได้อยู่ครับ แต่อาจมีความเสี่ยงที่ยานจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะฝ่าออกไปได้ ”
เจ้าหน้าที่รายงานผลลัพธ์ของคำถามที่ว่ากลับไป เธอรับเอามาพิจารณาอยู่ซักครู่ ก่อนจะบอกกลับ

“ ดีงั้นเราจะทำแบบนั้น มุ่งไปทิศที่มีกองกำลังของพวกนั้นเบาบางที่สุด เข้าใกล้ให้ได้
ถึงระยะที่เราจะยิง Bomb Shoot เพื่อเปิดทาง หลังจากนั้นเราจะออกนอกวงล้อม
แล้วหันลำเรือกลับ 180องศา จากนั้นเล็งยิง Bomb Shoot เต็มกำลัง ไปยังกองเรือ
ที่กระจุกตัวกันอยู่ เรือธงของ พวกนั้นน่าจะอยู่ที่นั่น ถ้าทำสำเร็จ กองทัพของพวกนั้นจะต้องถอยไปแน่
ถึงตอนนั้นแล้ว เรียก Valkyrier ทั้งหมดกลับมาแล้วถอยทันทีทันที เข้าใจนะ! ”

เมอร์อาเน่ อธิบายแผนการรบที่จะพลิกสถานการณ์นี้ให้ทุกคนในห้องบังคับการ ได้ฟังแม้จะ
เป็นแผนที่มีโอกาสสำเร็จไม่มากนัก แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียว ทั้งห้องเงียบไปซักพักก่อนที่
ทุกคนจะเริ่มทำตามหน้าที่และคำสั่งต่อไปทันที

……………………………….
…………………………………………………

ที่ด้านนอกยานตอนนี้ ไอ ไรด์ และ สเวน ทั้งสามคนสวมเกราะ Valkyrier ไว้
พร้อมและขึ้นมาตีรันฟันแทง กับเหล่าจักรกลสังหาร

/Axel Crusher/
เสียงดังกังวานขึ้นจาก หอกขวาน ในมือ ไอ ก่อนที่เธอจะควงมันไปรอบๆตัว
จนเกิดคลื่นแสงวาดตัวกระจายออกไปผ่าร่างของ จักรกลสังหารที่ล้อมกรอบเธออยู่ และ
พัดเศษซากของพวกมันให้ตกทะเลไปพร้อมๆกัน

ปุ้ง ฟิ้ว~~~~

เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นจากเรือเหาะที่ ตามมาขนาบอยู่ข้างๆยาน กระสุนดินระเบิด
ที่พร้อมจะระเบิดร่างของ เธอให้แหลกละเอียด กำลังพุ่งเข้ามา ทว่าเธอก็กางเกราะป้องกันซึ่ง
สร้างขึ้นดวยละอองแสง ซึ่งปล่อยออกมาจากตัวเกราะของเธอกันแรงระเบิดไว้ได้ทัน

แรงสะท้อนของระเบิดกระจายตัวเป่า ร่างของเหล่าจักรกลสังหารให้ร่วงหล่นลงไปจากยาน
หลายตัว ควันไฟตลบอบอวลอยู่บนดาดฟ้า ยาน ครู่หนึ่งก่อนที่หอกขวาน

ของเธอ ได้ควงติ้วพุ่งออกมาจากหมู่ควัน ที่ค่อยจางลง หอกขวานที่ถูกขว้างไป ควงทะลวงผ่าน ลำเรือ
จนกลวงโบ๋ เรือเหาะลำนั้น ค่อยดิ่งหัวเรือทิ่มกลงไปทัพโดนกองเรือลำเลียงที่ยัง ปล่อยจักรกล

สังหารออกมาไม่หมด ทำให้เกิดระเบิดขึ้น ตูมใหญ่สายน้ำพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อน
จะตกโปรยปรายลงมาปาน ห่าฝน ทันทีหลังจากน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาจากแรงระเบิด

หยุดตกลงมา กลุ่มละอองแสงของยาน รัฟอัส จำนวนมาก ก็มารวมตัวกันอัดแน่น
เป็นกำแพงแสงเว้ามุมเข้าหาตัวยาน เสมือนหมวกที่เอามากางไว้เพื่อป้องกัน
กระสุนและดินระเบิด ของศัตรู

“ จะเริ่มการตีฝ่าออกไปแล้วสินะ…ว้าย! ”
ไอ เปรยเธอเกือบจะเสียหลักตกยานไปด้วยซ้ำ ในตอนที่ ยานเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
หาก ไรด์ ไม่ได้ เข้ามาช่วยคว้าเธอเอาไว้ได้ก่อน

“ ตอนนี้เราจัดการพวกจักรกล สังหารบนยานหมดแล้วล่ะ หัวหน้าสเวน จะคุ้มกันที่นี่ให้ เราสองคนออกไปช่วย พรายด์ กับเฟนท์ เถอะ ”
ไรด์ ชวนก่อนที่ทั้งคู่จะทะยานตัว ฝ่าเข้ายังวงล้อม ที่ เฟนท์ และ พรายด์ ถูกต้อนไว้อยู่

……………………………………

“ กองเรือลำเลียงของเรา ถูกทำลายหมดแล้วครับ! จักรกลสังหารก็ไม่เหลือแล้วด้วย ”
“ กองเรือที่ 2 กับ 3 ขาดกรติดต่อไปแล้วค่ะ ”

เสียงวิทยุรายงานความเสียหายต่อกองทับร่วมของ เมกาโทโปลิส และ สหประชาคม
ดังขึ้นไม่ขาดสาย พวกเค้าเองก็เป็นฝ่ายที่ต้องเสียหายไปไม่น้อย เมื่อเจอกับกำลังรบของ Valkyrier
แห่ง Empyrean Adjust

“ หนอยทำไมพวกมันถึงได้ตายยากตายเย็นกันนักนะ! ”
โจน่า บ่นด้วยความร้อนรน ที่ผ่านมากว่า ชั่วโมงแล้วการศึกในครั้งนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ
อย่างหวังเอาไว้เลย

“ ในสนามรบ เรื่องที่คาดไม่ถึงมันก็มีอยู่มากมายนะครับ ท่านผู้แทน โจน่า ”
แม่ทัพเรือ พยายามจะบอกให้เค้ารู้ตัวเสียทีว่า การควบคุมกองกำลัง ให้โจมตีมั่วซั่วสะเปะสะปะแบบนี้
มีแต่จะส่งทหารเข้ายิงกันเองจนตาย เพราะความเสียหายโดยส่วนใหญ่แล้ว
เป็นเพราะเรือของ กองทัพ เมกาโทโปลิศ ตั้งกองเรือล้อมลอบยานศัตรูไว้

ทำให้โอกาส ที่จะยิงพลาด ไปโดนเรืออีกลำที่อยู่ใกล้ๆกับแนวยิง ก็เกิดขึ้นสูง
เรือส่วนใหญ่เสียหายเพราะสาเหตุนี้ อีกทั้ง เพราะคำสั่งที่ให้บุกติดประชิดชนิด ตามไม่ปล่อย พอมีเรือลำหนึ่งเสียการควบคุม จากากรโจมตีของอีกฝ่าย ก็ทำให้เรือชนกันเองจนจมไปทั้งคู่ไม่ก็เรือเหาะถูกสอยให้ร่วงตกลงมา ทัพกองเรือด้านล่างจนพินาศก็มี

“ ฉันรู้หรอกน่า ไม่ต้องสอน! ถ้าขืนเรายังจัดการกับพวกมันไม่ได้ล่ะก็ พวกเราจะสหประชาคม
ทิ้งเอาได้นะ ”
โจน่า ตะคอกสวนกลับไปโดยไม่ฟังหรือยอมเข้าใจสถานการณ์ที่พวกเค้ากำลังจะตกเป็นลองได้ในทุกเมื่อ
หากยังคงรบแบบ มั่วซั่วอยู่แบบนี้ รองแม่ทัพ และนายทหารคนอื่นๆที่ได้ยิน ก็ทำได้แต่เพียง
เอือมระอาและยอมรับความอนาจของกองทัพตนที่ถูกผู้บังคับบัญชาที่ไร้ความสามรถมาบัญชาการ
อยู่แบบนี้

……………………..

สนามรบในตอนนี้ มีแต่ความโกลาหล ไปหมด ทั้งการจัดทัพเรือที่สะเปะสะปะเกะกะกันเอง
เพลิงไหม้ จากซากเรือที่ลอยเท้งอยู่เต็มน่านน้ำ ควันไฟที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วสนามรบ
เสียงระเบิดซึ่งดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเศษซากและร่างไร้วิญญาณ

ของเหล่าทหารที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับ ความพินาศอันเกิดจากการปะทะกันนี้ ก็ยังคงดำเนินต่อไป
และดูท่าจะไม่มีการสิ้นสุด ลงแต่อย่างใด

บัดนี้ยานรัฟอัส ได้ฝ่าตรงเข้าไปในแนวยิง ส่วนที่มีกองเรือของศัตรู เบาบางที่สุดแล้ว กาบเรือ
ส่วนหัวค่อยๆขยับตัวไปด้างหลัง เผยให้เห็นปากกระบอกปืนใหญ่ขนาดยักษ์ ที่ซ่อนเอาไว้กลางลำเรือ
ปากกระบอกค่อยๆยื่นตัวออกมานอกลำเรือ ละอองแสง ที่จับกลุ่มเป็นกำแพงป้องกันให้กับยาน
ที่หน้าปากกระบอกปืน สลายตัวมารวมตัวอัดแน่นในปากกระบอกทันที

“ Bomb Shoot บรรจุพลังงาน 120% แล้วค่ะ ”
เจ้าหน้าที่ห้องบังคับการของ ยานรัฟอัส รายงานขึ้นตอนนี้พวกเค้าพร้อมจะลั่นไกเพื่อเปิดทางออกจากวงล้อมนี้แล้ว

“ ดีล่ะปลด เซฟตี้ Bomb Shoot ยิงได้ ”
เมออาร์เน่ ออกคำสั่งให้ทำการลั่นไกทันที

“ ปลดเซฟตี้ Bomb Shoot ยิง!!! ”
สิ้นการทวนคำสั่งของ เจ้าหน้าที่ควบคุมปืนหลัก ลูกบอลพลังงาน อันเกิดจาก ละอองแสงที่
เข้ามารวมตัวอัดประจุเอาไว้ ได้พุ่งทะยานลงไปยัง พื้นที่กลางอากาศระหว่าง กองเรือบนน่านน้ำ
และกองเรือเหาะ ก่อนที่จะเกิดระเบิดแสงขึ้นวาบใหญ่ พริบตานั้น ทั่วทั้งสนามรบแทบจะหยุดนิ่ง
ไม่มีใคร ที่ขยับตัวเลย ได้จ้องมองแสงแห่งการทำลายล้างที่ส่องสกาวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะอันตรทาน
หายไปพร้อมกับ กองเรือที่ถูกแสงนั่นกลืนเข้าไป

“ ตอนนี้แหละ เดินกหน้าเต็มตัว!! ”
เมอร์อาเน่ ชิงใช้จังหวะที่ทั้งสนามรบหยุดนิ่งด้วยความทึ่งในพลังทำลายของปืนหลัก ชิงออก
ตัวฝ่าวงล้อมออกไปได้สำเร็จ

“ หันหลังกลับ 180 องศา!! ”
คำสั่งต่อไปตามแผนการณ์ ถูกสั่งต่อทันที ตัวยานค่อยๆหมุนลำกลับอย่างช้าๆ
ขณะที่ กองเรือศัตรู พากันแหวกหนีเพราะ พึ่งได้เห็นพลังทำลาย ของอาวุธเมื่อซักครู่
ทันทีที่ รัฟอัส หันลำเรือสำเร็จ ปากกระบอกปืนใหญ่ ก็เล็งไปยังกลุ่มที่กองเรือ หนาแน่นที่สุดแทน
ซึ่งมีเรือธง ที่ โจน่า นั่วอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

“ ม…มันเล็งมาทางนี้แล้วครับ!! ”
ต้นหนเรือธง รายงานขณะที่ทั่วทั้งลำเรือตกอยู่ในความวุ่นวาย เหล่ารองแม่ทัพ พยายามออกคำสั่ง
และช่วยควบคุมสถานการณ์ โดยมี แม่ทัพเรือคอย ควบคุมการสั่งการ ให้เรือ รีบทยอย
ออกห่างให้พ้นแนวยิง

“ ม..มัวทำอะไรอยู่ รีบหนีเร็วเข้าเซ่! อยากให้ฉันตายนักหรือไงน่ะพวกแก! ”
โจน่า โวยวายอย่างไม่มีสติ ความกลัวที่วาบขึ้นมาจับใจในวินาที ปากกระบอกปืนเล็งมาทางตน
ก็ถึงกับสูญเสีย ความเยือกเย็น และ การประคองสติ ที่จะบัญชาการไป ปล่อยให้หน้าที่เหล่านี้ตกเป็นของ
เหล่า แม่ทัพ และ รองแม่ทัพ ที่ต้องหัวปั่นกันแทน เมื่อการนำของ ผู้นำ ที่ไม่มีการวางแผนรับมือหรือคาดการณ์อะไรไว้เลย อีกไม่นานกองเรือทั้งหมดจะต้องแตกพ่ายย่อยยยับเป็นแน่

…………..

“ การสะสมพลังงานเรียบร้อยแล้วครับพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ ”
เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธ ในยานรัฟอัส รายงาน

“ Bomb Shoot ยิ ง!! ”
เมอร์อาเน่ ออกคำสั่ง ในขณะที่ ปากกระบอกกำลังบีบอัด ลำพลังงานเพื่อยิงส่งออกไป
นั้นเอง

“ Great of Dragon!!!! ”
เสียงตะโกนดังขึ้น จากอีกฟากของสนามรบ ก่อนที่ลำแสงพลังงานซึ่งมีลักษณะลำเป็นมังกร
จะพุ่งทะลวงปากกระบอกปืนใหญ่ของ ยานรัฟอัสจนระเบิดในทันที ความเสียหายทำให้การยิง
ถูกยกเลิกไป

“ เราถูกโจมตี ก่อนจะยิงออกไปครับ ”
“ พื้นที่ส่วน B ได้รับความเสียหายมีผู้บาดเจ็บและเกิดเพลิงไหม้ค่ะ ! ”
รายงานความเสียหายจาก เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพยานและ เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธ ดังขึ้น
ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ยานสั่นไปทั้งลำ ในขณะที่กำลังดิ่งลงเพราะเสียสมดุลนี้เอง

“ นำยานลงจอดฉุกเฉนบนน้ำก่อน บอกให้ทุกคนเตรียมรับแรงกระแทกด้วย!!
หลังจากนั้นส่งเจ้าหน้าควบคุมความเสียหายไปยังพื้นที่ทันที ”
เมอร์อาเน่ เค้นเสียง โดยที่ยังรู้สึกใจหาย ที่ถูกลอบยิงมาเมื่อครู่

“ เมื่อกี้มันยิงมาจากทางไหนน่ะ? ”
เมอร์อาเน่ หันไปถาม ต้นหนเรือซึ่งกำลังตรวจสอบจากจอเรดาห์ อยู่

“ จากทิศกาบขวาของยานเราครับ ”
คำตอบของเจ้าหน้าที่ นั้นทำให้เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย ในเมื่อกองทัพศัตรูทั้งหมดอยู่ต่อหน้า ยานของ
เธอแล้ว แต่ทำไมการโจมตีถึงมาจากด้านข้างได้ ความสงสัยนี้กำลังจะหมดไป
เมื่อ มีลำแสงแบบเดียวกันกับที่โจมตี มาที่ยานนั้น พุ่งเข้าไป สอย เรือเหาะ 3 ลำที่เหลือ กระเด็นไปร่วงตกน้ำ

เสียไกลจาก กองเรือด้านล่าง โดยที่ลูกเรือกทั้งหมดบนเรือเหาะสามารถสละเรือหนีได้ทัน
ต่างจากการถูก เหล่า Valkyrier โจมตี ที่พอเรือเหาะร่วงแล้ว ก็จะตกลงไปปะทะ
กับกองเรือด้านล่างจนเกิดความเสียหายหนัก

ท่ามกลางความสงสัยที่ปกคลุมไปทั่วสนามรบถึงผู้ที่บุกเข้ามาแทรกแซงในครั้งนี้
และแล้วตัวการก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของพวกเค้าทุกคน เมื่อ ยานพอลลิดัส
และ อัศวินมังกรแห่งตำนานทาลิวิลย่า บินเคียงคู่ มากับ เซน่า ที่ ขี่หลังมังกร ดิมมินูวเลี่ยน
ที่เคยใช้พาเธอหนีออกจากพิธี ราชาภิเษก ตรงเข้ามาสู่สนามรบ

/ฉันคือผู้แทนสุงสุดแห่ง สหพันรัฐ เมกาโทโปลิส เซน่า ไฮเดย์ /
เสียงประกาศของเธอดึงกึกก้องเมื่อพูดผ่าน อุปกรณ์ขยายเสียง ที่ มาธิอัส ให้เธอติดตัวมาก่อนจะ
ออกจากยาน

/ถึงตอนนี้ตัวฉันจะไม่ได้ อยู่ เมกาโทโปลิส ด้วยเหตุผลบางประการ แต่ตัวฉันก็ยังคงเป็นผู้แทนสูงสุด
อยู่ดังนั้นในด้วยนามอันเป็นที่สุดนี้ ฉันขอสั่งให้กองทัพ เมกาโทโปลิส ถอนทัพกลับไปเดี๋ยวนี้!!/
คำประกาศ อันน่าทึ่งที่ทำให้ทั้งสนามรบต้องหยุดนิ่ง เมื่อผู้แทนตัวจริงของกองทัพเมกาโทโปลิส
กลับมาปรากฏตัวที่นี่ และยังสั่งให้ถอยทัพกลับไปแบบนี้

……..
“ ก…กัปตันครับ ”
เจ้าหน้าที่ต้นหนเรือ ของยานรัฟอัส หันมาถาม เมอร์อาเน่ เช่นเดียวกันกับทุกคนในห้องบังคับการที่อยากรู้
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอก็ยกมือขึ้นปรามไว้ไม่ให้รีบร้อนตัวเกินไป

“ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องอะไร แต่ว่าตอนนี้เรากำลังเสียเปรียบอยู่ เพราะงั้นปล่อย
ไว้แบบนี้ก่อนจะดีกว่า ”
เมอร์อาเน่ กล่าวเพื่อให้ลูกเรือทุกคน หายเวิตก กันไปก่อน โดยที่ตัวเธอเองตอนนี้กลับวิตกยิ่งกว่าใครๆ

“ กองทัพ เมกาโทโปลิส จะถอยไปจริงๆงั้นเหรอ ”
เมอร์อาเน่ คิดลึกๆตอนนี้เธอคิดอยากจะให้เป็นเช่นนั้น ทว่าเธอเองก็รู้ดีว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้

…………………………………………

ภายในห้องบังคับการ ของเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการหน่วยพิเศษกองทัพสหประชาคม
ความแตกตื่นก็เก ดขึ้นกับพวกเค้าด้วยเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้เลย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
นิวส์ ผู้นำของหน่วยพิเศษ กัดฟันกริดด้วยความคลางแคลงใจ ก่อนจะยกสายวิทยุที่ ข้างโต๊ะ
บัญชาขึ้นมา ติดต่อไปหา โจน่า ที่ เรือธงกองทัพเมกาโทโปลิส

“ นี่มันเรื่องอะไรกันที่พูดนั่นหมายวามว่ายังไงกันครับ! ”
นิวส์ ถามอย่างไม่สบอารมณ์ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ขณะที่ โจน่า ซึ่งรับสาย
จากเค้าในตอนนี้ก็อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก เพราะเสียงที่พูดออกมานั้น เป็นเสียงของ เซน่า ที่ตนรู้จักจริงๆ
แต่หากทำตามที่ เซน่า ประกาศไปเมื่อกี้ เมกาโทโปลิส ก็จะทำผิดสนธิสัญญาพันมิตร และกลายเป็นศัตรู
ของสหประชาคมไปในทันที ความกดดัน ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ได้บีบคั้นเข้าไปทุกขณะ

“ น…นั่นน่ะ ”
โจน่า ได้เพียงแค่เอ่ยเสียงสั่นๆในหัวก็พลางคิดหาคำพูดแก้ต่างไปด้วย

“ ถ้าหากเรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เห็นทีว่า ประเทศของคุณคงต้องเจอปัญหาหนักหน่อยซะแล้วล่ะ ”
นิวส์ ข่มขู่พร้อมกับเร่งให้ ทางโจน่า ให้คำตอบกับเค้าเร็วๆ เพราะในตอนนี้เป็นโอกาส
ดีที่จะจัดการทั้ง อัศวินทาลิวิลย่า และ ยานรัฟอัส ซึ่งเป็นตัวเกะกะของ Zordom ไปด้วยกันเลยทีเดียว
บรรดา แม่ทัพและรองรวมไปถึง นายทหารที่คุมเรืออยู่ต่างก็จดจ้องมาที่เค้า ว่าจะให้คำตอบอย่างไร
สุดท้ายแล้วด้วยแรงกดดันและความบีบคั้นจากสถานการณ์รอบด้าน จึงเผลอพลั้งปากอกมาทันที

“ ของแบบนั้นน่ะ ฉันไม่รู้จักหรอก…ช…ใช่แล้วตัวปลอมไง เจ้านั่นมันเป็นตัวปลอม! ”
โจน่า ตะคอกกลับใส่วิทยุสื่อสาร ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของเหล่าทหารในเรือ
ที่ได้ยินเช่นนั้น สิ่งที่โจน่า พูดนั้นเหมือนกับกำลังสั่งให้พวกเค้าเป็นนกบฏต่อผู้นำประเทศ

“ ต้องอย่างงั้นสิครับ คิดแล้วเชียวว่าผมดูคุณไม่ผิดจริงๆ ถ้างั้นเราก็รีบจัดการเจ้าตัวปลอมนั่น
แล้วก็ยานลำนั้นไปซะเดี๋ยวนี้ให้มันเสร็จเลยละกันนะครับ ”
เสียงของนิวส์ดังขึ้นมาก่อนสายจะถูกตัดไป

“ ท่านโจน่า นั่นน่ะไม่ว่าจะดูยังไงก็คือท่าน เซน่า ตัวจริงนะครับ ”
รองแม่ทัพ แย้งขึ้นทันทีเพราะคิดว่า เค้าคงบ้าไปแล้ว ที่บอกว่า ผู้นำของตนเองเป็น ตัวปลอม

“ หนวกหูน่าก็ฉันบอกแล้วไงว่านั่นน่ะเป็นตัวปลอม ถ้าเป็น เซน่า ตัวจริงล่ะก็คงไม่พูดแบบนั้นออกมาในสถานการณ์แบบนี้หรอก ไม่สิอาจจะถูกใครบังคับให้มาพูดก็ได้ ”
โจน่า เถียงกลับข้างๆคู ทั้งที่ความจริงแล้วตัวเค้าเองก็รู้อยู่ ว่านั่นจะต้องเป็น เซน่า อย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะคิดเข้าข้างตัวเองต่อไป

“ ฉันน่ะเป็น สามีของเค้าน่ะฉันน่ะรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าเป็น เซน่า ของฉันจริงๆล่ะก็ จะต้อง
ไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่ แล้วก็อีกอย่างพวกเราน่ะถ่อมาถึงที่นี่ก็เพื่อ เมกาโทโปลิส นะต้องแสดงความสามารถให้ ไอ้ผู้ชายสวมหน้ากากที่ชื่อ นิวส์ อะไรนั่นเห็นด้วย ไม่งั้นพวกเราก็จะ
กองทัพสหประชาคมยิงกันพอดี ”
โจน่า ยังคงแถต่อไปพยายามจะเบี่ยงเบนความจริงและประเด็น ออกไป
เหล่าบรรดาทหารที่ยังอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อประเทศ ก็ทำได้แต่เพียง
ก้มหน้าละเหี่ยใจกับ ความคิดของ โจน่า

“ เอ้ามัวรออะไรกันอยู่ล่ะ รีบยิงเข้าไปเซ่ จัดการเจ้าตัวปลอมไปพร้อมๆกับยานนั้นเลยแล้วก็เจ้ายาน
ที่หนีเราไปด้วย ”
โจน่า ตะคอกสั่งเสียงดัง ด้วยสีหน้าร้อนรนสุดขีด

“ รีบสั่งให้ทุกลำหันปากกระบอกปืนได้ เราจะใช้ มิสไซน์ จัดการ ”
แม่ทัพใหญ่ ตัดใจออกคำสั่งให้ เหล่ารองแม่ทัพสั่งการลงไป

“ ต..แต่ว่าท่านครับนั่นน่ะ”
รองแม่ทัพที่แย้งไปเมื่อครู่ ยังคงจะพยายามที่จะแย้งต่อ แต่แม่ทัพใหญ่ก็ส่ายหน้าบอกเป็นเชิงว่า
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“ พวกเราน่ะเป็นทหาร ก็ทำได้แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ”
แม่ทัพใหญ่กล่าวตัดพ้อเพื่อไม่ให้ใครแย้งออกมาอีก สุดท้ายแล้วพวกเค้าก็
ต้องสั่งยิง ผู้นำของตนเอง

“ ฝากด้วยนะ ทาลิวิลย่า ถ้าเป็นอัศวินมังกรที่เคยหยุดมหาสงครามมาได้แล้ว
จะต้องปกป้องท่าน เซน่า ได้แน่ ”
แม่ทัพใหญ่ ภาวนาในใจ โดยหวังกับ เรกกะ ที่ตอนนี้แปลงร่างเป็น ทาลิวิลย่า คอบคุ้มครอง
เซน่า อยู่ใกล้ๆด้วย

“ มิสไซน์ทั้งหมดยิง!! ”
สิ้นเสียง จรวดนำวิถีจำนวนนับสิบๆลูกถูกยิงออกจากกองเรือที่กระจุกกันอยู่
โดยพุ่งเป้ามาที่ เซน่า ซึ่ง ยืนอยู่บนหลังของ ดิวมินูวเลี่ยน

“ เซน่า!! ”
เฟนท์ ที่มองออกมาจากวงล้อมของ กองทัพเมกาโทโปลิส และกองทัพ สหประชาคม
ซึ่งล้อมกรอบเค้ากับ เพื่อนเอาไว้ ตะโกนเสียงหลงเมื่อ กองเรือทั้งหมดของ เมกาโทโปลิส เล็งยิงไปที่เธอ


“ อ..อะไรกัน ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ โจน่า! ”
เซน่า สบถเสียงหลงขณะที่ เรกกะ บินเข้ามาขวางเธอเอาไว้

“ ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลซะแล้วล่ะ พี่ครับ กลับเข้ายานไปก่อนเถอะ ผมจะลองทำอะไรดูก็แล้วกัน ”
เรกกะ สบถ พร้อมกับสยายปีกทั้งสองให้ ปลายปีกยื่นตรงไปข้างหน้าทั้งหมด

“ Great of Dragon ”
สิ้นคำ ลำแสงมังกร 6 สายก็พุ่งทะยานออกจาก ปลายปีกสามปลายที่ยาวยื่นออกมาจากปีก
ระเบิดทำลายมิสไซน์ทั้งหมด ในทันที

“ โครโน่! ฝากพี่ด้วย! ”
เรกกะ ตะโกน ก่อนจะทะยานตัวเข้าสู่สนามรบ ด้านโครโน่ ที่อยู่ในห้องบังคับการ
ก็ลุกจากเก้าอี้ ไปเพื่อจะเตรียมตัวออกไปทันที

“ อย่างที่ได้ยินน่ะล่ะ ฝากยานด้วยล่ะ ฮายาเตะ ”
โครโน่ เปรยโดยที่เธอยิ้มรับให้ ก่อนที่เค้าจะออกจากห้องไป และ มาธิอัส ที่ขึ้นมาจากห้องเครื่อง
ก็มารอรับหน้าที่ขับยานต่อแทนเค้า ปล่อยหน้าที่การส่งตัว โครโน่ ให้เอมิล รับไปทำแทน
คนเดียว

“ เอาล่ะ หลังจากโครโน่ ออกตัวไปแล้วเราจะเข้าไปแทรก กลางระหว่าง กองทัพกับ ยานรัฟอัส
เพื่อถ่วงเวลาให้เค้าหนีไป เข้าใจนะ ”
ฮายาเตะ ประกาศแผนการเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

……………………………..

/ เส้นทาง Clear เชิญออกตัวได้! /
เสียงประกาศของ ราชาฟ ดังขึ้นเพื่อเป็นสัญญารให้ โครโน่ ที่ตอนนี้กำลังตั้งค่าให้กับ อุปกรณ์
Crisis Terminal ในมือซึ่งตัวเครื่องมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่มี แถมครูดเหมือนกับ ของ
สเวน ซึ่งเป็นรุ่นเก่าเหมือนกัน

/Code Standing By/
เสียงดังก้องกังวานจาก ตัวเครื่องก่อนจะสร้างสายข้อมูลที่ลักษณเป็นแท่งสั้นยาวเรียงสลับซ็อนกันไป
ขึ้นมาวนไปรอบตัวเค้าและเมื่อเค้า เอาแถบครูดที่ส่วนมุมของเครื่อง ครูดกับมือของตน
เครื่องก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง

/Code Slash/
สิ้นเสียงสายข้อมูลที่วนล้อมอยู่รอบตัวก็หมุดประชิดวงเข้ามาสัมผัสกับร่างและแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะ
เสื้อโคทสีดำชายผ้ายาวถึงเข่า และสร้างไม้เท้าติดหัวไม้เป็นอัญมณีสีแดงใส และมีอัญมณีที่เหมือนกัน
ลอยตัววนอยู่ล้อมรอบ ไม้เท้า อีกทั้งยังสร้างโล่ ที่ข้อมือซ้ายให้กับเค้าด้วย
ทันทีที่ การติดตั้งชุดเกราะเสร็จสิ้น โครโน่ ก็โดดลงไปอยู่ในรางสำหรับออกตัวทันที
โดยมี เอมิล คอยให้สัญญาณ ทันทีที่โบกมือลง

รูปภาพ

“ โครโน่ ไฮเดย์ วอลคีรีเออร์ ออฟ โอดิน(Chrono Valkyrier of Odin) ไปล่ะนะ!! ”
สิ้นคำประกาศออกตัว โครโน่ ก็ทะยานตัวออกไปตามรางจนพุ่งออกจากยานไปในที่สุด
จากนั้น ยานพอลลิดัส จึงเริ่มเคลื่อนตัวตามที่ ฮายาเตะ สั่งการต่อทันที

“ เซน่า กลับเข้ายานไปก่อนเถอะ ที่นีมันอันตรายนะ ”
โครโน่ บินเข้ามาเพื่อจะคุ้มกันเธอระหว่างพากลับ ยาน ทว่าปากกระบอกปืน
ของกองเรือสหประชาคม ลำหนึ่งได้เล้งมาทางเค้าและเธอแล้ว

/Sorrow Soul Rod/
เสียงดังกังวาน ขึ้นจาก ไม้เท้าในมือของ โครโน่ กเพียงพริบตา บรรยากาศรอบๆก็เริ่มเคลื่อนตัวช้าลง
บรรดาเรือหยุดนิ่งไม่ขยับไหวติ่ง แม้ควันไฟก็ยังหยุดนิ่งมีเพียงพวกเค้าที่ขยับได้อย่างอิสระกาลเวลา
ที่หยุดนิ่งนี้ โครโน่ จึงชิงจังหวะ ที่เวลายังหยุดอยู่พาตัวเธอ บินถอยกลับเข้ายานไปทัน
ก่อนที่เวลาจะเริ่มเดินต่อทันที

การรบยังคงเป็นไปอย่างวุ่นวายโกลาหลและยิ่ง สับสนยุ่งเหยิงเข้าไปอีกเมื่อ เรกกะ และ
พรรคพวกเข้ามาร่วม ในสงครามด้วย

“ ดูท่า ทางเราเองก็คงต้องเอาจริงบางแล้วล่ะ ให้ สเตลท์นิค ออกไปได้ ”
นิวส์ เปรยหลังจากพิจารณาสภาพการณ์รบ ที่เริ่มไม่เป็นไปอย่างที่คิด

………………………………..

“ ไอ้เจ้าตัวนั้นอีกแล้วเหรอเนี่ย ”/Spellic Arrow/
แสตกท์ สบถขณะที่รัวยิงลูกดอกหน้าไม้ ในมือใส่ เรกกะ ในร่างทาลิวิลย่า
ที่กำลังตรงเข้ามา แต่ทว่าการโจมตีทั้งหมดก็ไม่อาจแตะต้อง เรกกะ ได้เลยแม้แต่น้อย

“ คราวนี้จะมาช่วย หรือจะมาเป็นศัตรูกันล่ะเนี่ย ”
สเวน สบถ ขณะที่บินตามเข้าไปวงล้อเพื่อจะ ช่วงพวก เฟนท์

“ รู้สึกว่าจะไม่ได้มาช่วยนะ เพราะเมื่อกี้ก็ยิงยานเราจนร่วงไปทีแล้วนี่ ”
ไรด์ พูดติดตลก แต่ไม่มีใครหรือแม่แต่ตัวเค้าจะขำออกกับสภาพในตอนนี้แน่
เพราะ สนามรบต่งก็มั่วซั่วและยุ่งเหยิงจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันอีกแล้ว
ลูกดอก ของ แสตกท์ ที่ยิงพลาดไปก็ ยิงถูก กองเรือพวกเดียวกันจนเสียหายหนัก

…………………………………
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อังคาร เม.ย. 12, 2011 4:56 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (I) Shangri-la~ (สวรรค์อันเป็นปริศนา)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ เม.ย. 19, 2010 1:55 pm

กองเรือ ผสม ของสองกองทัพ ส่วนใหญ่เริ่มแบ่งไปไล่ตาม ยานรัฟอัสบ้างแล้ว ทว่า
ยานพอลลิดัส ก็เข้ามาขวางเอาไว้

“ Arcadian Plasma ยิง!! ”
สิ้ยเสียงของ ฮายาเตะ ลำแสงทำลายลำใหญ่ก็ถูกยิงออกจาก ส่วนขาของยานยื่นออกไปสร้างคลื่นหน่วงนำพลังงานให้เป็นลำแสง เพียงพริบตา กองเรือ ที่ไล่ตามมาก็ แตกแพลอยน้ำกันทันที

…………..

“ อะไรกันเนี่ย ทั้งที่เมื่อกี้ยังยิงยานของเราอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมาปกป้องแทนงั้นเหรอ? ”
เมอร์อาเน่ เปรยด้วยความแปลกใจ เธอไม่เข้าใจการกระทำของ พวก ฮายาเตะ และ เรกกะ เลย
ว่าต้องการจะทำอะไรกับสงครามในครั้งนี้กันแน่ แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เพราะนำยานหนีออกห่างจากสนามรบให้มากที่สุด

ที่สนามรบนั้น พรายด์ ซึ่งจะเล็ปืนยิงไปที่ อาวล์ ที่ว่ายกระเสือกกระสน
หลบกองซากเรือที่ลอยเท้งอยู่ จนไม่สามารถเร่งความเร็วได้เลยแทบจะกลายเป็นเป้านิ่งไปแล้ว

“ ทีนี้ละเสร็จฉันแน่ ”
พรายด์ กล่าวอย่างคึกคะนองแต่ก่อนที่เค้าจะได้ทัน ลั่นไกปืนยิงลงไปนั้น เรกกะ ก็พุ่งเข้ามาขัดพร้อม
กับใช้มือเปล่าหักปากกระบอกปืนของ พรายด์ ทิ้งได้ในทีเดียว

“ อ๊ะ นี่แกจะทำอะไรกันเนี่ย?! ”
พรายด์ เหวอขึ้นมาทันที เมื่อ เรกกะ ปลดอาวุธของตน
ก่อนจะถูกอัดคลื่นพลังซัดให้ร่วง กระเด็นออกไปจากวงล้อม ในทันที

“ อัก..แค่ก…อะไรกันเนี่ย ”
พรายด์ สบถพลางสำลักน้ำไปด้วยเมื่อตกลงมาอยู่ในทะเล และในตอนนี้ เรือของ สหประชาคม
ก็กำลังเล็งมาที่เค้าซึ่งไร้อาวุธและการป้องกันใดๆทั้งสิ้น

“ Great of Dragon ”
เสียงดังกังวานขึ้น ก่อนที่เรือลำนั้นจะถูกลำแสงมังกรเป่าจนคว่ำไปในทีเดียว
สร้างความทึ่งใจและความอดสูให้แก่ พรายด์ เป็นอันมาก

“ น..นี่หรือว่าหมอนั่นคิดจะ… ”
พรายด์ เปรย โดยที่คำพูดที่เหลือนั้นมันเกินกว่าที่เค้าจะเอ่ยออกมาได้ ความคิดที่ไม่น่าเป็นไปได้
นั้นคือ สิ่งที่ เรกกะ ต้องการจะทำในตอนนี้ การหยุดทั้งสองฝ่าย ด้วยการปลดอาวุธทั้งหมด
และทำให้มีคนเสียสละในสงครามน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะการดจมตีไปที่เรือเพื่อช่วยเค้าเมื่อครู่
ก็เป็นแค่การ เป่าให้เรือคว่ำเสียหลักลงไป แต่ไม่ได้ระเบิดเรือที่จะฆ่าลูกเรือ

“ นี่เจ้านั่นคิดจะจัดการหมดทั้งสองฝ่าย ตามลำพังเนี่ยนะ!! ”
สเวน สบถ ทันทีที่ ได้ยินการสันนิษฐานของ ไรด์

“ ครับถึงจะไม่น่าเชื่อซักแค่ไหนก็เถอะแต่นั่นน่ะ เป็นถึงอัศวินมักรในตำนานที่เคย หยุดมหาสงคราม
มาแล้ว เรื่องแค่นี้ล่ะก็ถ้าเค้าคิดจะทำคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงหรอก ”
ไรด์ ตอบตามสมมตฐานของเค้า สเวนที่ฟัง อยู่ไม่ทันไร ก็ถูก เรกกะ สอยร่วง
ลงไปอยู่ในน้ำกับพรายด์ อีกคนเสียแล้ว ก่อนจะบินเข้ามาดึงแขนเค้าออก
เพื่อปลดการป้องกันและจะซัดคลื่นพลังใส่เหมือนที่ผ่านๆมา แต่ก็กลับหยุดมือไว้ซะก่อน

“ ไรด์… ”
เรกกะ เปรยออกมาเบาทันทีที่ได้เห็นเพื่อนเก่า เป็น Valkyrier ที่ร่วมอยู่ในสงครามนี้ด้วย
ไรด์ ยิ้มเล็กๆให้ ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ที่สุดแล้วก็ถูกอัดจนกระเด็นตกน้ำตามไปด้วยอีกคน

“ เรกกะ!! ”
เฟนท์ ตะโกนเรียกชื่อเค้าพร้อมกับจะเข้ามาห้ามไม่ให้ทำร้าย เพื่อนร่วมทีมของเค้าอีก

“ เฟนท์ เหรอ? ”
เรกกะ เปรยด้วยความแปลกใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อ คราวนี้คนที่เค้าจะต้องปลดอาวุธด้วย
ก็เป็นเพื่อนสนิทอีกคน

“ โทษนะ ทนเจ็บหน่อยล่ะ ”
เรกกะ พูดจบก็เหวี่ยงกำปั้นอัดใส่ท้อง ของเค้าสุดแรงหวังจะให้สลบในทีเดียว
เสียงกระอักดังขึ้นแล้ว แต่ทว่า เฟนท์ กลับยังจับมือเค้าดึงออกไปได้ทั้งที่โดนไปสุดแรง

“ มันไม่ง่ายนักหรอกน่า…อึก ”
แม้จะทำเป็นพูดกลบเกลื่อนแต่แท้จริงแล้ว แค่จะประคองสติไม่ให้หลับตอนนี้ก็ฝืนสุดๆแล้ว

“ เฟนท์…นาย… ”
เรกกะ เอ่ย เค้าไม่อยากจะลงมือลงไม้แรงไปกว่านี้แล้ว แต่ตอนนี้ ทั้งสนามรบยังเหลือ
หน้าที่ที่จะต้องปลดอาวุธให้เค้าทำอีกเยอะหากไม่รีบ ความเสียหายก็จะยิ่งเพิ่มตามไป

“ หนอยแก! คราวนี้ไม่ปล่อยให้รอดแน่! ”
อาวล์ กับ แสตกท์ ตะคอกเสียงสุดแรงพร้อมกัน ก่อนจะเล็งอาวุธทั้งหมดที่ตน
มีมายัง เค้า กับ เฟนท์

“ หนอย! ”
เรกกะ สบถ ก่อนผลักตัว เฟนท์ ออกไปแล้วกางสองแขนออกไปให้สุด เพื่อ
เล็งไปยังอาวล์ และแสตกท์ ที่ขนาบเค้าไว้ระหว่างน้ำกับท้องฟ้า


/Ever Blue Strike/
“ Great of Dragon!! ”
/Gaizer Gunner/

เสียงทั้งหมดก้องกังวานขึ้นพร้อมกันกับ ลำแสงทั้งห้าสายที่ยิงออกมาจาก หน้าไม้ของ แสตกท์
ลำแสงสีฟ้า ที่ยิงจากจานรังสี และ หอกในมือของ อาวล์ กับ ลำแสงมังกรที่ยิงออกมาจากมือทั้งสองข้างฃ
ของเรกกะ ได้เข้าปะทะกันจนเกิดแสงระเบิด ส่องวาบขึ้นมากลางสนามรบ
แรงระเบิดทำให้เกิดคลื่น พัดเอา กองเรือของ สหประชาคม พลิกคว่ำไปบ้าง
รวมไปถึง ยานรัฟอัส ที่เกือบจะถูกคลื่นกลืนลงทะเลไป

ทันทีที่แสงสว่างจ้าจางหาย ภาพแห่งความพินาศ ของสงครามก็ปรากฏแก่ สายตาของ เซน่า
นี่คือสิ่งที่เธอ ตอนที่ยังอยู่ เมกาโทโปลิส ได้ก้มหน้ายอมรับมันโดย ดุษฏี ซากเรือ
ซึ่งลองเคว้งอยู่เต็ม ทะเล เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกขนขึ้นเรือกู้ภัย ที่มารับทหารซึ่งลอยคออยู่ในน้ำ
บางคนก็หนีจากเรือไม่ทันกลายเป็นศพ จมลงสู่ก้นทะเล บ้างก้กลายเป็นเศษชิ้นเนื้อย่างเกรียม
ก่อนจะทันถึงน้ำ

แม้จะผู้คนสังเวยชีวิตไปมากเท่าไหร่ แต่การปะทะกันก็ยังคงไม่หยุด ยังคงมีต่อไปเรื่อย
ตามเสียงเรียกหาของ ปีศาจแห่งสงครามที่ สูบกินเอาความทุกข์ยากความโกรธแค้น
เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้คนมาสังเวยต่อมันอีกเรื่อยๆ

“ พอได้แล้ว…พอซักที…ทำไมถึงต้องสู้กันด้วย…ทำไมถึงต้องฆ่าฟันกัน การทำสงครามต่อไปแบบนี้น่ะ
มันไม่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาหรอกนะ!! ”
เสียงกรีดร้องด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งพลัง ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เซน่า ทำได้เพียงแค่ยืนดูความพินาศที่จะมีต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ผ่านทางมอนิเตอร์ของ ยาน พอลลิดัส

ไม่มีใครคิดจะท้วงติงหรือติเตียนเธอที่เป็นต้นเหตุทำให้มันเกิดขึ้น ที่สุดแล้ว
คำว่าสงครามไม่ได้สร้างอะไรให้ดีขึ้นมาเลย ก็ซึมซับเข้าไปสุดขั้วหัวใจ

[Theme Battle เพลงประกอบ กรุณาเปิดเพื่ออรรถรส]


ท่ามกลางการปะทะที่ทำให้เกิด แสงสว่างจ้าเมื่อครู่ คนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ในการปะทะนั้น
มีเพียง เรกกะ เท่านั้น อาวล์ และ แสตกท์ ทั้งสองคนต่างก็หมดสภาพที่จะสู้ต่อไปแล้ว
ร่างลอยเท้งเต้งอยู่บนทะเล โดยกำลังรับการช่วยเหลือจาก เรือดำน้ำ ที่โผล่ขึ้นมารับ ตัว
พร้อมกับ ส่ง สเตลท์ ในชุด Valkyrier ขึ้นมาเล่นงานเค้าด้วย

“ ฉันจะฆ่าแก ย่าห์! ”
สเตลท์ คำรามพร้อมกับฟาดดาบในมือลง ทว่า เรกกะ ก็ยกโล่ที่มือซ้าย
ในร่างทาลิวิลย่าขึ้น ป้องกันเอาไว้ก่อน ซัดลำแสงมังกร อัดเธอให้ร่วงลงไปในทีเดียว
ก่อนจะหันไปพูดกับ เฟนท์ ที่ยังคงจ้องเค้าราวกับจะถามว่าเค้าทำแบบนี้ไปทำไม

“ เฟนท์….นายคงไม่เข้าใจใช่มั้ยว่าฉันจะแบบนี้ไปให้ได้อะไรขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้พี่น่ะ…เซน่า น่ะกำลัง ร้องไห้ อยู่นะ! เพราะงั้นไม่ว่าจะยังไงก็ไม่อยากจะให้เค้า เสียใจไปกว่านี้อีกแล้ว.. ”
เรกกะ พยายามจะพูดให้ เฟนท์ เข้าใจแต่ว่า เรื่องแบบนี้การจะอธิบายด้วยคำพูดคง
ไม่สามารถทำได้ ยิ่งเฟนท์ ที่เป็นคนหัวดื้อด้วยแล้ว เรกกะ เองก็ไม่คิดว่าจะหยุดเค้าด้วยคำพูดได้แน่

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน เรกกะ ถึงจะยังงั้นก็เถอะแต่ว่าทำแบบนี้น่ะมัน.. ”
เฟนท์ พูด และก็เป็นอย่าง เค้าคิด ไม่ว่าจะพูดยังไง เฟนท์ คงจะไม่เข้าใจถ้าไม่ได้มาเห็น
สภานการณ์จริงๆอย่างที่พวกเค้าได้เห็นได้สัมผัสมา เมื่อเป็นแบบนี้ เรกกะ จึงตัดสินใจ
จะไม่ฟัง เค้าอีกแล้ว และบินตรงไปเพื่อจัดการ กับ ไอ ที่ตอนนี้กำลังไล่ตาม ไปคุ้มครองยานรัฟอัส
และกำลังจะโจมตีใส่ เรือของ กองทัพ เมกาโทโปลิส

“ หยุดนะ เรกกะ! ”
เฟนท์ พยายามจะห้าม ทว่า เรกกะ ก็สวนตะคอกกลับมา

“ ถ้านายคิดจะขวางล่ะก็ฉันจะก็ฟันนายทิ้งซะ! ”
เรกกะ ตะคอกพร้อมกับ ตววัดมือขวาชักเอา ดาบฟอลควอลูเก้ (Falqualooke, the Sword of Dragon)
ดาบสีทองเล่มเล็บซึ่งทำด้วย เขี้ยวมังกร ที่เหน็บเอวไว้ขึ้นมาฟันเพียงครั้งเดียว
ทั้งตะบอง และโล่ ของ เฟนท์ ก็ขาดท่อนได้ราวกับผ่าท่อนไม้ หนำซ้ำยังฉีกชุดเกราะจนขาดเป็นทางให้
เลือดไหลอาบในทันที
รูปภาพ

“ อัก..นี่นาย… ”
เฟนท์ เปรยโดยเค้นแรงที่ยังเหลืออยู่ เอื้อมมือ ซ้ายไปคว้าไหล่ ของเค้าเอาไว้ เพื่อจะรั้งไม่ให้ไป
แต่สุดท้ายก็ถูก กระชากจนหลุดมือ ก่อนจะร่วลงน้ำไป โดยมี ไรด์ ที่ว่ายเข้ามาช่วย
ไว้ทันก่อนจะจมน้ำ

“ Valkyrier ของ Empyrean Adjust ที่เหลือนอกจาก เฟนท์ กับ ไรด์ก็มีแค่ ไอ เหมือนอย่างที่พี่
บอกไว้สินะ ”
เรกกะ คิดขณะที่ตรงเข้าไปเพื่อจะเล่นงาน ไอ ให้หมด สภาพที่จะ ทำลาย กองเรือได้ก่อนจะ
ตามไปจัดการกับกองเรือทั้งหมดเสียเอง

“ ว..ว้าย! น..นี่เหลือเราคนเดียวเหรอเนี่ย ”
ไอ เหวอขึ้นมาทันที เมื่อ เรกกะ บินเข้ามาขนาบกัยเธอแล้ว และ ถูกจับเหวี่ยงลงน้ำไปเลยโดย
ทันได้ทำอะไร

“ นกกระจอกยังไม่ทันจะกินน้ำเล้ย คุณเธอ ”
สเวน เอ่ยด้วยความละเหี่ยใจ ขณะที่ลอยคอดูเหตุกาณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไป

“ คิดว่ามาทำแบบนี้แล้ว มันจะหยุดอะไรงั้นเหรอ! ”
พรายด์ สบถและตะเกียกตะกาย พาตัวเองขึ้นไปซากท้องเรือ ที่หงายท้องอยู่
ก่อนจะ สลาย ปืนที่หักไปกลับเป็นละออง และสร้างมันขึ้นมาให้ใช้ได้อีกครั้ง
ด้วยการรวมละอองกลับมา ใกล้ๆกัน กับ ซากเรือข้างๆนั้นเอง สเตลท์ ที่ถูก
ซัดตกน้ำมาก็พาตัวเองขึ้นมา ยืนบนซากเรือที่จมได้ และกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น

“ แกนะแก บังอาจทำกับฉันได้ ย้าก!!! ”
สเตลท์ คำรามสุดเสียง ก่อนจะกระชับดาบในมือและทะยานตรงขึ้นไปหมายจะฟันร่างของ
เรกกะ ที่กำลังหันหลังให้อยู่ ทว่า พรายด์ ที่คิดจะขึ้นไปเอาคืน ด้วยเช่นก็กลับ บินมาขวางทางดาบเธอโดย
ไม่รู้ตัว

“ เกะกะดีนักนะ!!! ”
เธอคำรามอีกครั้ง และหวังจะใช้ ดาบนี้ผ่าทั้ง พรายด์ และ เรกกะ ไปพร้อมๆกัน

“ ห๊ะ… ”
พรายด์ อุทาน ขณะหันกลับมา แต่มันสายเกินกว่าจะหลบเสียแล้ว ดาบของเธอกำลังจะบั่น
ศีรษะของเค้า

“ Great of Dragon ”
เสียงของ เรกกะ ดังกังวาน ก่อนที่ ทั้งคู่จะถูกลำแสงมังกร ซัดอัดจนกระเด็นไปด้วยกัน
และถูกคลื่นกลืนหายไปทั้งคู่

“ ทีนี้ก็เหลือแค่จัดการกับ กองเรือที่ยังตกค้างอยู่ เอาล่ะนะ! ”
เรกกะ พึมพำกับตัวเองก่อนจะเก็บดาบ และสยายปีก
เร่งความเร็วตาม ยานรัฟอัว และ พอลลิดัส ที่กำลังถูกกองเรือ ที่เหลือไล่ต้อน
จนเมื่อ แซงมาได้แล้ว เค้าก็หันตัวกลับพร้อมเหยียดแขน เตรียมสะสมพลังงานเพื่อยิงลำแสง
ทั้งหมดออกจาก มือทั้งสองข้างและปลายปีกทั้ง 6

“ Great of Dragon!!!! ”
สิ้นเสียง ลำแสงจาก แขนทั้งสองข้าง และปีก อีก 6 ลำ รวมเป็น 8 สายก็พุ่งทะยานผ่านน่านน้ำ
เข้าทะลวงทำยานเครื่องยนต์ของ กองเรือไล่ตามทั้งหมดจน ไม่อาจไล่ตามต่อได้เพราะเครื่องยนต์เรือ
ถูกทำลาย

“ เรก…กะ นี่นาย.. ”
เฟนท์ เปรยเสียงแผ่ว อย่างอ่อนแรงโดยมี ไรด์ ไอ และ สเวน ที่ว่ายมาช่วยพยุง ไม่ให้เค้า ซึ่งบาดเจ็บ
จมน้ำลงไป ภาพที่ อัศวินมังกร ทาลิวิลย่าและ ยานพอลลิดัส ทะยานตัว ออกจากสนามรบซึ่งถูกทำลาย
จนหมดสิ้น คือภาพสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทลง

……………
………………………………………….
………………………………………………………………

ครืน! ซ่า~~……ซ่า~~…………
ครืน! ซ่า~~……ซ่า~~…………

เสียงคลื่นซัดสาดโหมเข้ามาเป็นจังหวะๆ บ้างก็เว้นช่วงก่อนคลื่นลูกใหม่จะมาบ้างก็ซ้อนลูกคลื่นมา
เสียจน คลื่นลูกเก่าแตกกระจาย นอกจากเสียงคื่นแล้วยังมีเสียงลมที่โกรกผ่านเข้า แทบจะตลอด
กลิ่นคาวน้ำทะเล โชยมาไม่หยุดกับลมนั้น ความร้อนของแสงตะวันที่สาดส่อง ลงมากระทบ
หาดย้อมให้ทรายกลายเป็นสีแสด เหมือนแสงดวงตะวันในตอนนี้

“ อุ… ”
เสียงครางของ พรายด์ ดังระเรื่อ ก่อนจะใช้มือยันพื้นเพื่อยันร่างที่อ่อนล้า ลุกขึ้นมา

“ แค่ก…แค่ก ”
เค้าสำลักเอา น้ำและทรายที่กลืนเข้าไประหว่างหมดสติ ออกมา ก่อนจะทอดสายตามองไปรอบ
หาด ไม่มีใครหรืออะไรอยู่เลย มีเพียงป่าต้นมะพร้าว ที่รายเรียงยาวไปตามแนวของหาด

ครั้นเมื่อหันไปดูในทะเล ก็ไม่มีเกาะหรือ เรือ ลำไหนปรากฏให้เห็น ความคิดเพียงอย่างเดียว
ที่ผุดขึ้นมาในหัวคือตอนนี้เค้าติดอยู่บนเกาะร้าง แต่นั่นก้ยังไม่แย่ไปซะกว่าเมื่อเค้า
หันไปข้างๆยังมีอีกคนที่ สลบไสลไม่ได้สติ เธอคือ สเตลท์ ที่กระเด็นมาพร้อมๆกับเค้า
ตอนที่จะบุกเข้าไปจู่โจม ทาลิวิลย่า และถูกซัดกลับมาด้วยลำแสงเสียก่อน

“ ยัยนี่มัน พวกเดียวกับพวกที่ขโมย OG7 ไปนี่…คงถูกพัดมาพร้อมกับเรางั้นสินะ ดีล่ะต้องใช้โอกาส
นี้เอา OG7 คืนมา ซะก่อน ”

พรายด์ คว้าเอา ปืน Crisissor ของตนขึ้นมากระชับไว้ และเริ่มสอดส่องสายตาสำรวจ
ร่างกายของเธอ เพื่อที่จะหา Crisissor ของหล่อน

“ อืม…อึ๋ย~ จะว่าไปแล้วแบบนี้มันเหมือนกับเราเป็นพวกโรคจิตเลยแหะ ”
เพราะทั้งเค้าและเธอตอนนี้ ต่างก็ถอนการสวมเกราะ Valkyrier ออกแล้วเสื้อผ้า
เลยเปียกโชกไปหมดและยิ่งชุดที่เจ้าหล่อยใส่ก็บางเสียเหลือเกิน จนเสื้อผ้าเปียกที่แนบติดเนื้อใส

โปร่งจนแทบจะมองเห็นข้างในเธอหมดเลยด้วยซ้ำแม้จะเป็นศัตรูก็ตามแต่การ ที่จะมาแตะต้อง
ตัวหญิงสาวในสภาพที่ไร้การป้องกันตัวแบบนี้ก็ดูจะไม่เข้าทีนัก ดังนั้น
การหาก็เลยเป็นไปแบบ กระอักกระอ่วนนิดหน่อย จนในที่สุดก็เจอ ดาบ Crisissor หนึ่งใน OG7 ทั้ง 7
Fang of Invidia
รูปภาพ

“ เฮ้อ~ เท่านี้ก็สบายใจได้เปราะหนึ่งล่ะ แล้วจะทำยังไงกับ… ”
พรายด์ บ่นไปได้ไม่ทันไร เค้าก็ต้องชะงัก เมื่อ มือของ เธอยื่นมาจับแขนของเค้าเอาไว้

“ น..นี่จะทำอะไรน่ะ อึ้ย~~ แกะไม่ออก ทำไมถึงได้จับแน่นขนาดนี้นะ ”
พรายด์ โวยวาย แต่ก็พยายามกลั้นเสียงให้เล็ดลอดออกมาน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เธอตื่น
แต่ไม่ว่าจะพยายามแกะ แค่ไหนมือของเธอก็ยิ่งจับเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุด
เค้าก็ยอมแพ้ไปปล่อยเธอให้กุมแขนเค้าเอาไว้ทั้งอย่างนี้

“ ย…อย่านะ ”
“ เฮือก! ”
พรายด์ ถึงกับสะดุ้งจนตัวลอย เมื่อเธอครวญออกมาเบาๆ วินาทีนี้ เค้าตื่นตกใจเสียจนร่างกาย
แข็งขยับเขยื้อนแทบไม่ได้

“ ล…ละเมอเองหรอกเหรอ ”
พรายด์ คิดพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะมองดูใบหน้าของ เธอ ให้ชัดๆจะๆตา
และก็รู้สึกเหมือนกับว่าคุ้นเคยกับเธอ อย่างน่าประหลาด ไม่นานเค้าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
เริ่มจาก ความหาดูตามต้นแขน ทั้งสองและขาของเธอแต่ก็ไม่พบสิ่งที่เค้า ตามหา

จนเมื่อ สายตาเหลือบไปพบกับ สร้อยคอซึ่งมีตราติดเอาไว้เหมือนกับของเค้า คล้อง
สวมคอเธอไว้ พรายด์ถึงกับนิ่งไปทันทีที่ได้อ่านตัวอักขระที่สลักเอาไว้บนตราของสร้อยคอที่
เธอคล้องไว้อยู่ มันสลักไว้ว่า เอรี่(Ari)

“ อย่านะ…พี่คะอย่าทิ้งหนูไปนะ…พี่คะ…พี่พรายด์ ”
เสียงครวญของเธอที่หลุดออกมานั้น ราวกับว่าเธอกำลังฝันเห็นอดีตที่เลวร้าย แต่คำพูดเหล่านั้น
ก็ทำให้ เค้าเข้าใจได้แจ่มแจ้งแล้วในที่สุด ราวกับตลกร้ายนี้พระเจ้าได้เป็นผู้มอบให้
เค้ารีบกุมมือของเธอเอา ไว้แน่นด้วยสองมือของเค้า ริมฝีปากสั่นเครือ ความรู้อันอั้นที่ล้นปรี่
อยู่เต็มหัวอกนี้ยามเมื่อได้ เห็นและได้รู้ว่า เธอตรงหน้าคือน้องสาวของตน

“ เอรี่…เอรี่ พี่อยู่นี่…พี่อยู่ตรงนี้แล้ว! ไม่ต้องกลัวนะพี่จะอยู่ที่นี่จะคอยปกป้องน้องเอง! ”
พรายด์ ร้องสุดเสียง ความรู้สึกตื้นตันและความกังวลผสมปนเปกัน เสียจนไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้
ตัวเค้าเองกำลังดีใจหรือ เป็นกังวลอยู่กันแน่ แต่แล้วมือกำแน่นนั้นก็ต้องคลายออก เมื่อดวงตาที่เคยปิดสนิท
ของเธอ เบิกขึ้นอย่างช้าๆ

“ พี่…คะ..ในที่สุดพี่ก็มาหาหนูแล้ว…สินะคะ ”
คำพูดแรกที่ปล่อยออกมาพร้อมกับ หยาดน้ำตาแห่งความปิติ ของเธอทำให้หัวใจของเค้า
ซึ่งบอบช้ำด้วยความแค้น ได้ชุ่มชื้นขึ้นมา

………………………………..
……………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………….
วันรุ่งขึ้น


บนคามสมุทร อาริมาเทีย ซึ่งเป็นทวีปที่ขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาและวิจัยเกี่ยวกับมังกร ทำให้มัน
เป็นทวีปที่เหล่านักวิจัย มังกรศาสตร์ แห่แหนข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาศึกษาระบบนิเวศ และวงจรชีวิตของพวกมัน ด้วยภูมิประเทศ ที่มีความหลากหลาย ชนิดของมังกรจึงแตกต่างกันตามไปด้วย

หนึ่งใน ภูมิประเทศอันหลายนั้น มีภูมิประเทศแถบ ตะวันตกเฉียงใต้ ที่ติดกับทะเล อันเป็นที่ตั้งของเมืองท่าอันเลื่องชื่อ โลกอส เมืองท่าที่สะพานทอดลงสู่ท้องทะเล ซึ่งบริเวณนอกอ่าวที่ สะพานทอดออกไปไม่ถึงนั้น
คือ หมู่เกาะน้อยใหญ่ที่ เป็นเกาะร้างเสียมากกว่า

และด้วยหมู่เกาะที่เรียงตัวอยู่ใกล้กัน จนทำให้เส้นทางน้ำระหว่างหมู่เกาะแคบตามไปด้วย จึงไม่มีเรือ
สัญจรไปมาผ่านระหว่างหมู่เกาะด้วยกำแพงทางธรรมชาตินี้ ทำให้ถูกเรียกว่า หมู่เกาะวงกตทะเล
ซึ่งที่นี่ ยานรัฟอัส ได้เข้ามาหลบทำการซ่อมแซม อยู่บนหมู่เกาะ ที่ลึกที่สุด

“ เอ้า เร่งมือกันหน่อย! ”
“ ใครก็ได้ไปเอา เหล็กมาเพิ่มอีกที!! ”
“ ทางซ้ายน่ะเชื่อมให้มันแน่นหนากว่านี้หน่อยนะ! ”

เสียงตะโกน ดังโหวกเหวกกันไปมา จากเหล่าวิศกรของยานที่กำลังทำการซ่อม ตัวยานภายนอกอยู่
โดยที่ กัปตันเมอร์อาเน่ และ ผู้ช่วยกัปตันสเวน ลงจากยานมายืนดูความคืบหน้าของการซ่อมแซม
อยู่ห่างๆ

“ เพราะถูกยิงก่อนที่จะทันใช้ Bomb Shoot ก็เลยทำให้เสียหายหนักเอาการเลยนะเนี่ย แล้วแถมเจ้า พรายด์
ก็ยังมาหายตัวระหว่างการรบอีก เฮ้อ ”
สเวน กล่าวปนบ่น พลางเกาหัวไปด้วยเพราะงานต่างๆที่สุมเข้ามาทันทีหลังจากการ
รบเมื่อวานนอกจากความเสียหายของยานแล้ว พรายด์ ที่เข้าร่วมในการรบเมื่อวานนั้น ก็หายสาปสูญ
ไปพวกเค้าจึงต้องหาเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากน่านน้ำนี้ เพื่อทำการพักซ่อมแซมและออกค้นหา
พรายด์ ไปด้วยในตัว

“ เมื่อเช้าฉันสั่งให้ ไรด์ ออกไปตามหาให้แล้วล่ะ ”
เมอร์อาเน่ ตอบขณะที่มือก็จับปากกา เซ็นรับรองรายงานการซ่อมแซม ที่หัวหน้าฝ่ายวิศวกร
เอามาให้ ก่อนจะส่งคืนให้ หัวหน้าวิศวกรกลับไป

“ ให้ไปคนเดียวเลยงั้นเหรอ? ”
สเวน หันมาถามทันที

“ ก็ใช่น่ะสิ แถวนี้น่ะอาจจะยังมีพวกสหประชาคม อยู่ก็ได้ ถ้าส่งคนไปเยอะๆละก็จะถูกพวกมันเจอตัวได้ง่ายด้วย เพราะงั้นให้ ไรด์ ที่ช่ำชองการต่อสู้แบบลอบโจมตี ไปนั่นแหละดีที่สุดแล้วอีกอย่าง Crisissor ของเค้า
ก็มีความสามารถในการค้นหา Crisissor อันอื่นด้วย ดังนั้นงานนี้เหมาะกับเค้าที่สุดแล้วล่ะ ”

เมอร์อาเน่ อธิบายถึงเหตุผลที่เธอส่งไรด์ ไปเพียงลำพัง แม้มันจะเป็นงานยากเอาการอยู่
สำหรับการตามหาด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นทางที่มีอยู่ไม่มากนัก

“ จริงสิแล้ว เฟนท์ ล่ะ ในยานฉันยังไม่เจอเค้าเลย และตอนนี้ออกมาแล้วก็ยังไม่เห็นอีก? ”
สเวน ถามขึ้นอีกเมื่อเค้ามองหาไปรอบนอกยานนี้แล้วก็ยังหาตัว เฟนท์ ไม่เจอ

“ เค้าออกไปพร้อมกับ ไรด์ เมื่อเช้าน่ะ แต่ไม่ได้ไปด้วยกันหรอกนะ ”
เมอร์อาเน่ ตอบ

“ แต่ท่าน ประธานสั่งเอาไว้นี่ ว่าให้เราจับตาดูเค้าเอาไว้ด้วยน่ะ แล้วปล่อยเค้าไป
คนเดียวแบบนี้ไม่เป็นไรแน่เหรอที่สำคัญแผลใหญ่ขนาดนั้น เจ้าตัวไม่เจ็บบ้างเลยรึไงนะ ”
สเวน ถามต่อทันทีสีหน้าทึ่งตึงเล็กน้อยที่ในช่วงเช้าที่ผ่านมานี้ มีใครต่อใคร
ในหน่วย Shangri-la ออกจากยานไปโดยที่เค้าไม่รู้เลย

“ ก็เพราะงั้นน่ะแหละ ฉันถึงส่ง ไอ ให้สะกดรอยตาเค้าไปด้วยแล้ว เพราะถึงจะถูกจับได้
เค้าก็คงไม่ทำอะไรเธอหรอก แต่ว่าความเสี่ยงในเรื่องของความสนิทสนมของทั้งคู่นี่ก็อาจ
ทำให้การจับตา มองลอคลาดเคลื่อนเอาได้เหมือนกัน ”

ความลังเลแสดงผ่นออกมากับคำพูดของเธอ


……………………………..
…………………………………………………………..

โลกอส ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น เมืองท่า ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั้นที่นี่มีตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์
เป็น ศูนย์กลางการค้าส่งทางเรือ ที่ใหญ่ที่สุด และด้วยลักษณะพิเศษของท่าเรือนี้ที่จะเป็นสะพานหินทอดตัว
ยาวออกไปในทะเล จนทำให้เรือสินค้ามากมายสามารถจอดเทียบกับสะพานท่าเรือ เพื่อทำการค้า
บนเรือได้เลย จึงเป็นลักษณะพิเศษ ที่หาไม่ได้นอกจากที่ บาร์ซิงเซย์ นี้

“ เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา ปลาสดๆจากทะเล ซื้อตอนนี้เราลดให้ 30 เปอเซ็นร์เลยจ้า!! ”
“ ผลไม้สดๆหวานเจี๊ยบ คร้าบ ลองชิมก่อนซื้อได้นะคร้าบ ”

เสียงตะโกนเรียกลูกค้า จากบรรดาร้านต่างๆ ดังโหวกเหวกไปมาตลอดทั้งแนวสะพาน
ตัดกับเสียงคลื่นและลมทะเล ทำให้ตลาดแห่งนี้ครึกครื้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สินค้าที่ขายอยู่ในตลาดก็ไม่
ได้มีเพียง ของสดเท่านั้น พวกของโบราณ เครื่องมือเครื่องใช้แปลกๆที่ชาวต่างชาติขนขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเล มาขายก็มีอยู่ให้เห็นมากมาย

“ ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ… ”
เฟนท์ เปรยเสียงแผ่วก่อนจะสูดหายใจลึก เพื่อให้รู้สึกสบาย กับบรรยากาศของ
ตลาดริมทะเลนี้ ความหลังเก่าๆ ผุดขึ้นมามากมาย สมัยที่เค้ายังเรียนอยู่ที่ โลกอส
ก็เคยมาที่ตลาดนี้กับเพื่อนบ่อยๆ หากไม่มีเรื่องของภารกิจที่เค้าตั้งจะมาด้วยตัวเองนี้แล้ว
เค้าก็อยากจะเดินชมมันไปรอบๆ แต่เค้ามีเวลาไม่มากนัก สองขาเร่งก้าวฝีเท้า เดินออกจาก ตลาดเข้าสู่ตัวเมือง
ซึ่งรถราพาหนะวิ่งเพ่นพ่านไปบนท้องถนน จากเสียง คลื่นลมและเสียงตะโกนเรียกลูกค้า
ก็แปลเปลี่ยนเป็นเสียง เซ็งแซ่ ของผู้คนจำนวนมากที่เดินผ่านไปมาในย่านการค้าของตัวเมือง

ไม่ว่าใครต่างก็มีงานมีหน้าที่ เร่งรีบกันทั้งนั้น ถึงชีวิตจะวุ่นวายและเร่งรีบ แต่ทุกคนก็ไม่ต้อง
ลำบากทนทุกข์กับ สงครามไม่ต้องหวาดกลัวว่าวันใดจะถูก ฆ่าหรือจับเป็นเชลย
สิ่งที่สัมผัสได้เมื่อ ก้าวท้าวเหยียบลงมาในโลกอส คือความรู้สึกที่เรียกว่า สันติสุข
เด็กๆได้ไปโรงเรียนได้ใช้ชีวิต แบบทั่วไปอย่างผาสุข ที่นี่ราวกับดินแดนสวรรคืเมื่อเทียบกับโลกภายนอกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยสงคราม

เวลาผ่านเลยไป จนดวงตะวันขึ้นมาอยู่เหนือหัว เฟนท์ ยังคงออกเดินไปอย่างไร้จุดหมายโดยทบทวน
เรื่องต่างๆ รวมไปถึงคำพูดที่เค้าพูดกับ กัปตันเมอร์อาเน่ เมื่อเช้า ก่อนจะออกมา

“ คิดว่ากัปตันคงจะรู้อยู่แล้ว เกี่ยวกับ อัศวินมังกรทาลิวิลย่า ที่โผล่มาเมื่อวานแล้วก็เรื่องที่ผมกับเค้าเคย
ร่วมมือกันต่อสู้ ในสงคราม Delantion นั่น ”
เฟนท์ เปิดเรื่องที่จะคุยกับเธอด้วยอาการ กระสับกระส่ายนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี
แต่เธอ ก็รับฟังในเรื่องที่เค้าจะพูด


“ เธอคิดดีแล้วเหรอ? ที่จะมาบอกฉันแบบนี้น่ะ เรื่องที่ว่าตัวจริงของ ทาลิวิลย่าคือ Dragoon และถึงฉันจะไม่รู้หรอกนะว่าตัวจริงของ Dragoonอีกทีจะเป็นใคร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเธอคงจะรู้จักเค้าใช่ไหมล่ะ ”
เมอร์อาเน่ ตอบโดยพิจารณาจาก ท่าทีที่เค้าเข้ามาเจรจาด้วย ก็พอจะเดาได้ทันที

“ ครับ…ผมน่ะพอจะรู้อยู่ว่าจุดประสงค์ที่พวกเค้าเข้ามาแทรกแซงเมื่อวานก็คงจะ
เพื่อไล่ให้กอง ทัพเมกาโทโปลิส กลับไปแต่ว่า ถ้าจะทำแบบนั้นก็ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลย
เพราะแบบนี้ถึงได้มีคนเคราะห์ร้ายไปกับ การกระทำของพวกเค้าไปด้วย ”

เฟนท์ แสดงความคิดเห็นของเค้าออกมา ความจริงที่ได้เห็นประสบมาในสนามรบเมื่อวาน
พอจะทำให้เค้าเดาได้ว่าพวก เรกกะ ต้องการจะทำอะไร แต่ถึงยังไงก็ยอมรับในการกระทำ
ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้

“ แต่ถึงจะพูดยังงั้นเถอะการรบเมื่อวาน ถ้าพวกเรายังฝืนสู้ต่อกับ สหประชาคมต่อไป
แบบนั้นผลอาจ จะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้ ถึงยังไงพวกเราเสียเปรียบอยู่ดี ”
เธอ กล่าว หากเหตุการณ์เมื่อวานไม่เป็นแบบนั้นน บางทีพวกเค้าอาจจะจมไปพร้อมกับยานแล้วก็ได้
ถึงแม้ตอนท้ายก่อนที่ ทาลิวิลย่า จะมาพวกเค้าจะเริ่มทำการโต้ตอบกลับไปแล้ว ก็ตาม

“ แต่เอาเถอะ ฉันเองก็เห็นด้วยกับเธอที่ว่าวิธีการนี้มันยอมรับกันไม่ได้ เพราะงั้นแนอนุญาตให้
เธอทำภารกิจ ตามเห็นแก่สมควรก็แล้วกันนะ ”
เธอ อนุญาตให้กับเค้าในที่สุด และเมื่อมาจนถึงตอนนี้แล้ว
ตัวเค้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะออกตามหาอย่างไรดี เค้าคิดแค่ว่าถ้ามาที่ โลกอส อาจจะพอมีเบาะแสอะไรบ้าง
แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย ลงท้ายเค้าก็มาหยุดนั่งพักอยู่ที่ร้าน กาแฟแห่งหนึ่ง
เพื่อคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี

“ ไม่ไหวแน่…เดินสุ่มไม่มีจุดหมายแบบนี้ เฮ้อ~~ ”
เฟนท์ เปรยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ แหม ไม่เจอกันตั้งนานเลย ซาน โตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ฮะฮะฮะ ”
“ กาแฟลุงเองก็ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะคะ~~ ”
“ นั่นสินะ ก็ทั้งเธอกับน้องชายชอบมาที่นี่กันประจำเลยนี่เนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า ”

เสียงสนทนา ของลูกค้าคนหนึ่งกับเจ้าของร้านกาแฟที่เคาเตอร์ ซึ่งเค้าหันหลังให้อยู่
แว่วมาเข้าหู และเพียงคำเดียวที่กระตุ้นให้เค้ารีบหันกลับไปก็ ชื่อของพี่สาวเค้า ซาน

“ พี่! ”
เฟนท์ ร้องเสียงหลงขึ้นมาทันทีที่ สาวสมิงแมวผมทอง หันมาจ๊ะเอ๋กับเค้า
เจ้าหล่อนเองก็ ตกอกตกใจจนพูดไม่ออกเหมือนกัน เพียงคำเดียวจะหลุดปากออกมาได้คือ

“ เฟนท์… ”

…………………………
…………………………………………………

“ ดูเหมือนว่าตัวผมอีกคนจะไปทำเรื่องอะไรเข้าแล้วสินะ.. ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจาก ด้านหลังผนักเก้าอี้ ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสีฟ้าสลัวๆ จากหลอดไฟสีเดียวกัน
ทำให้เงาภายในห้องกลายเป็นสีเดียวกันไปด้วย

“ เธอรู้สึกถึงตัวเธออีกคนได้ด้วยรึ ซาราเบลด ”
ประธานลอว์เอน แห่ง Empyrean Adjust ถามขึ้นเค้านั่งอยู่บนโซฟา ห่างออกมาจาก เก้าอี้ตัวนั้น
พอประมาณ

“ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ลองถาม วีวี(V2) ดูล่ะบางทีมันอาจจะใช่ก็ได้นะ ”
เสียงนั้นตอบกลับมาก่อนที่จะหันผนักเก้าอี้ กลับมาทาง ประธาน ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น คือเด็กหนุ่ม
ผู้มีใบหน้าเหมือนกับ เรกกะ ทุกประการ

รูปภาพ

…………………………..
…………………………………………………..
…………………………………………………………………..

“ เพราะงั้นก็เลยกลับไปเข้ากับ องค์กรอีกแล้วงั้นเองเหรอ ”
ซาน เปรยเพื่อทวนคำตอบที่ได้รับ จากเฟนท์ มาตอนนี้ทั้งสองนั่ง ดื่มกาแฟอยู่บนโต๊ะใน
สวนกลางแจ้งของร้าน หลังจากที่เจอกันโดยบังเอิญตัวเธอเองแม้จะรู้จากที่ เซน่า บอกมาแล้วว่า
เฟนท์ กลับไปเข้ากับ Empyrean Adjust แล้วก็ตามแต่เพื่อไม่ให้ น้องชายของเธอจับได้ว่าตอนนี้เธอก็อยู่
กับ ยานพอลลิดัส ที่รบกันเมื่อวานนี้ด้วยเลยจำใจต้องพูดเบี่ยงๆไป

“ แต่เพราะพวก เรกกะ มายุ่งก็เลยทำให้ทางนี้… ”
“ ต้องวุ่นวายกันใหญ่เลยล่ะสิ ”
เฟนท์ พูดมาได้ไม่ทันไรก็ถูกแทรกทันที เมื่อซาน ชิงพูดตัดหน้าเค้าเสียก่อน

“ พี่รู้หรอกน่า ก็พี่น่ะอยู่กับยานลำนั้นด้วยนี่ พอลลิดัส น่ะ ”
ซาน ตัดสินใจบอกเค้าไปเรื่องที่เธอเองตอนนี้ก็เป็นพวก ของ เรกกะ เช่นกัน
นั่นทำให้ เฟนท์ อึ้งไปไม่น้อย

“ แต่ว่า พี่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่เลยนะที่ เฟนท์ จะไปบอกว่าที่ เรกกะ ทำน่ะมันผิด ”
ซาน ออกตัวก่อนที่เค้าจะทันได้ว่าอะไร ก่อนจะยกแก้วขึ้นซดกาแฟจนหมดแก้วในทีเดียว

“ แต่ถึงพี่จะพูดไป เฟนท์ ก็คงไม่ฟังอยู่ดีนั่นล่ะนะ เฮ้อ~ ”
ซาน พูดไปบ่นไป พลาง ไม่เปิดโอกาสให้ เฟนท์ ทันได้พูดอะไร เธอก็ชิงพูดออกมาหมด

“ เอ่อ พี่ครับคือว่า….. ”
เฟนท์ พยายามจะเอ่ยขึ้นมาบ้างเพื่อที่จะให้เธอหยุดฟังเค้า แต่เธอก็ไม่ยอมหยุดเสียที
สภาพตอนนี้จึงแทบไม่ต่างกับโดนเธอ เทศนา ไม่มีผิด

“ เอาล่ะพี่พูดมาถึงนี่แล้ว เฟนท์ เองก็คงพอจะได้คำตอบที่จะบอกกับพี่บ้างแล้วสินะ ”
ซาน กล่าวจบก็ ขยิบตาเก๊กท่า ไปด้วยปริบหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้คืนมาคือสายตา ที่จ้องด้วยความ
ระเหี่ยใจของ เฟนท์

“ แหงะ…เอ่อคอืว่า พี่พูดมากไปใช่ไหมเนี่ย ”
“ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย…. ”
………………………………………………..
แป่ว~~~~~~~~~~~~~~~~~~
……………………………………………

“ เอาเป็นว่านะ เฟนท์ น่ะถ้าได้ไปพบกับ เรกกะ แล้วจากนั้น น้องจะทำยังไงต่อ ”
ซาน ถามน้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงาน แต่เฟนท์ ก็ยังอดระแวงไม่ได้ว่าหลังจากได้ตอบ
แล้วจะถูกแย่งพูดจนหมดอีกรึเปล่า

“ ถ้าได้พบกันก็อยากจะคุยกันให้มันรู้เรื่อง เพราะว่าผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นเหมือน
เมื่อก่อนอีกแล้ว ”
เฟนท์ กล่าว ซานที่ ฟังอยู่รู้สึก หดหู่อยู่เหมือนกันเมื่อได้ฟังคำพูดของเค้า เธอรู้ดีว่าตอนนี้
น้องชายของเธอ ก็เป็นกังวล เหมือนกับ เรกกะ เป็นเหมือนกับที่เธอและทุกคนก็เป็นด้วย

ท่ามกลางความสับสนและความไม่แน่นอนของสงครามในตอนนี้ ไม่มีใครรูว่าอะไรถูกหรือผิด
ทางไหนที่ควรเดินหรือไม่ควร หลังจากตริตรองแล้ว เธอจึงคิดว่าคงถึงเวลาที่จะให้ทั้งสองได้คุย
กันเพื่อทำความเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้

“ จะไปคุยกับเค้า ทั้งที่ตอนนี้ ตัวเองเป็นพวกขององค์กร เนี่ยนะ ”
ซาน ถามเพื่อจะขอดูให้แน่ใจว่า น้องชายของเธอพร้อมจะไปจริงๆ

“ เรื่องนั้น….. ”
เฟนท์ มีท่าทีลังเล แต่เธอกลับ ลุกขึ้นก่อนจะพูดว่า

“ เอาเถอะแค่ถ้าแค่ เฟนท์ คนเดียวล่ะก็พอจะพาไปพบได้อยู่หรอก ”
ซาน ตอบ

…………………………………………………..
………………………………………………………………………………

ยานพอลลิดัส

ภายในห้องบังคับการ ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันเพื่อจะฟังกำหนดการที่ โครโน่ กับ ราชาฟ
จะแจ้งให้ทุกคนฟัง

“ จะออกไปจากยานงั้นเหรอ!? ”
เรกกะ ตะเบ็งเสียง ด้วยความตกใจหลังจากได้ฟังคำพูดของ ราชาฟ ที่บอกกับว่าจะออกจากยาน

“ เฮ้ๆ เธอไม่ได้บอกว่าจะหนีไปไหนซักหน่อย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ ”
โครโน่ ที่มากับเธอด้วย แก้ต่างให้ เรกกะ จึงรอให้เธออธิบาย เหตุผลมาด้วยใจจดใจจ่อ

“ เมื่อเช้า มีข้อความของ ลอว์เรนซ์ ส่งมาจาก สเลปเนียร์(Sleipnir) ”
ราชาฟ เริ่มอธิบาย

“ สเลปเนียร์? ”
เรกกะ ทวนคำด้วยความสงสัย

“ มันเป็นฐานทัพเก่าสมัยที่ฉันยังเป็นผู้นำองค์กรอยู่น่ะ เดิมทีเราจะมี ฐานทัพอยู่ด้วยกัน
3 แห่งที่แรกคือ เกาะพรางแสงในมหาสมุทร ที่ต่อมาก็คือป้อมปราการลอยฟ้า วาลฮาล่า(Valhara)
ที่เคยใช้ในมหาสงคราม Delantion และที่สุดท้ายก็คือ ซากโบราณสถานแห่งนภา สเลเนียร์(Sleipnir) ”

โครโน่ อธิบายอย่างละเอียด โดยเปิดภาพแผนผังของสถานที่ ทั้งสามที่กล่าวไปขึ้นบนจอมอนิเตอร์
ของห้องบังคับการ

“ ซากโบราณสถาน? ทำไมถึงได้เป็นซากโบราณ ล่ะ ”
เรกกะ เปรยขึ้นอีกความสงสัยยังคงไม่หมดไป มาธิอัส จึงเข้ามาเพื่ออธิบายในเรื่องนี้

“ คือว่า สเลปเนียร์ เนี่ยเดิมทีเป็น ศูนย์วิจัยที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อ วิจัยโบราณสถานแห่งโอดิน(Odin Ruin)
ที่ตั้งอยู่ที่ น่านฟ้าทางเหนือ(North Sky) ผลผลิตจาก การวิจัยก็คือพลังงาน ละออง อิออน(Ion) ที่ต่อ
มาถูกพัฒนาเพื่อให้ใช้กับ ระบบ Crisissor…. ”

“ รวมไปถึง ลำแสงโอดิน(Lighting of Odin)ที่เคยใช้ใน Ragnarok System ตอนสงคราม Delantion
นั่นก็ด้วยสรุปก็คือ ต้นตอของพลังอำนาจที่ Empyrean Adjust มีก็มาจากที่นั่นทั้งหมด ”

มาธิอัส กล่าวจบ ฮายาเตะ ก็มาต่อความทันที จนเหมือนกับทุกคน ในยานต่างก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว
นอกจากเค้าเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“ แต่ว่าตอนนี้น่ะ องค์กร ก็ไม่ได้ใช้และทิ้งร้างมันมาหลายสิบปีแล้ว
สภามังกรนภากาศ(Social of Sky Dragon) ผู้สนับสนุนองค์กรดั้งเดิมของเรา ก็เลยฮุบเอามาแทน
ดังนั้นตอนนี้ ไม่มีใครที่รู้เรื่องเกี่ยวกับ สเลปเนียร์ อีกแล้วนอกจากพวกเรานี่แหละ ”
เอมิล แจมเข้ามาร่วมอธิบายด้วย ด้านเรกกะ ก็ได้แต่ตอบรับสั้นๆ เพราะรู้สึกเซ้งที่ถูกทำเหมือนกับตนเป็น
คนนอก

ปิ๊บ! ปิ๊บ!

เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่จอมอนิเตอร์ ซึ่ง โครโน่ เปิดไว้ฉายภาพแผนผัง จะปรากฏ
ข้อความวิ่งขึ้นมา ฮายาเตะ เริ่มออกปากอ่านตามข้อความที่วิ่งขึ้นมา

“ อัศวินหมาป่าอยากจะพบ ช่วยที่ แนวโขดหินโสโครก นอกอ่าวที จาก ซาน ”
ฮายาเตะ อ่านข้อความจบ เรกกะ ก็เปรยขึ้นมาทันที

“ อัศวินหมาป่า?…ข้อความอะไรเนี่ยมาจาก ซาน จริงๆเหรอ ”
เรกกะ ถามเพื่อขอความแน่นอน

“ มันเป็นสัญญาณที่ส่งมาจาก Crisis Terminal ของ ซาน จริงๆ ”
ฮายาเตะ แย้งตอบกลับหลังจากตรวจสอบสัญญาณที่ใช้ส่งข้อความมาแล้ว

“ อัศวินหมาป่า…หรือว่า เฟนท์ ”
เซน่า อุทานขึ้นมาเมื่อลองนึกถึงคนที่ ซาน น่าจะหมายความถึง อัศวินหมาป่า ได้

“ เฟนท์ เหรอ แต่หมอนั่นกลับเข้าองค์กรไปแล้วนี่ ทำไมจู่ๆถึงอยากจะมาพบล่ะ ”
โครโน่ เปรยด้วยความฉงน

“ ไม่หรอก…ไม่ใช่ว่าจู่ๆก็อยากมาพบหรอก แต่ว่า ฉันน่ะไปเจอเค้ามาแล้ว ที่สนามรบเมื่อวานเค้าก็อยู่ด้วย ”
เรกกะ กล่าว ทุกคนในห้องไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเริ่มตึงเครียด คำถามว่าทำไม เพราะอะไร
ผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน

“ บางทีนี่อาจจะเป็นกับดัก ก็เป็นได้นะ ที่เราแสดงจุดยืนของเราไปเมื่อวานนั้นเนี่ย อาจจะไปกระตุ้นกับ องค์กร เอาก็ได้แล้วบางที เค้าก็อาจจะ… ”

“ ไม่หรอก! ”

มาธิอัส ลองจำลองเหตุผลขึ้นมา แต่ เซน่า ก็แย้งขึ้นมาเสียก่อน ทว่ายังไม่ทันที่ เซน่า จะพูดแก้ต่าง
เรกกะ ก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน

“ เฟนท์ น่ะ…ไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก พวกเราเองก็น่าจะรู้นี่ ว่าเค้าน่ะไม่มีวันทำเรื่องขี้ขลาดแบบนั้นแน่ ”
เรกกะ กล่าวอย่างเชื่อมั่น

“ ก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะ ถึงหมอนั่นจะเป็นสไตล์ ชอบลุยซึ่งๆหน้าก็เถอะ แต่ถ้าได้
ลองเชื่อมั่นว่าอะไรถูกต้องจริงๆแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นชีวิต หรือ ศักดิ์ศรี คนอย่างเค้าก็ทิ้งได้หมดนั่นแหละ ”
มาธิอัส ออกความเห็น

“ ฉันเองก็เห็นด้วยกับ มาธิอัส นะ เรกกะ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อใจหรอกนะ แต่ เฟนท์ น่ะเป็นยังไง
นายที่เคย รบร่วมกันมา ในมหาสคราม Delantion ก็น่าจะรู้ดีที่สุด ”
โครโน่ กล่าวเพื่อให้ เรกกะ ไตร่ตรองให้ดี

“ และถึงเจ้าตัวจะไม่ยอมให้ทำแบบนั้น แต่ก็อาจถูกหลอกใช้อยู่ก็ได้ เจ้านั่นน่ะซื่อจะตาย ”
เอมิล ออกความเห็นตามประสบการณ์ที่เคยเป็นเพื่อนเรียนและร่วมงาน Valkyrier เมื่อก่อน
มาด้วยกัน

“ จะเอายังไงล่ะ เรกกะ ”
ราชาฟ ถามขึ้นบ้างเพื่อขอข้อสรุปจากเค้า เรกกะ คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะสรุปออกมา

“ งั้นฉัน จะไปเองแต่ว่าจะให้ พอลลิดัส จอดอยู่ที่นี่ ส่วนฉันจะใช้ ทาลิวิลย่า บินไปเอง
ยังไงก็อยากจะไปคุยกับ หมอนั่นให้รู้เรื่อง เพราะว่าบางทีอาจจะมีเรื่องที่เรายังไม่รู้อยู่อีกก็ได้ ”
คำตอบของ เรกกะ นั้นไม่มีใครค้าน เพราะถ้าไม่เคลื่อนยานไปไหน ก็ไม่มีใครรู้แหล่งกบดานและ
ตามมาจัดการกับพวกเค้าได้ หลังจากพูดจบ เซน่า ก็ออก อาการ กระสับกระส่าย อกมานิดหน่อย
เหมือนกับคิดจะพูดอะไรอยู่

“ งั้น พี่ไปกับผมก็แล้วกัน ”
เรกกะ เปรยขึ้น ทำเอาทุกคนหันมาเป็นทางเดียวกัน

“ เอ๋?! ”
เซน่า อุทาน อย่าง งงๆทั้งที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ เรกกะ กลับรู้ว่าเธอต้องการอะไร

“ เพราะตัวเองเป็นคนปล่อยให้เค้ากลับไป ก็เลยคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบด้วยสินะ….แต่ว่า
นั่นน่ะเป็นหนทางที่ เฟนท์ ได้เลือกแล้วดังนั้นพี่ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ”
เรกกะ กล่าวเพื่อจะให้เธอสบายใจขึ้น ถึงแม้จะออกไปก่อนแล้วว่าจะพาเธอไปด้วย
แต่การไปในครั้งนี้ตัวเค้าเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่ามันจะปลอดภัยจริงหรือไม่ ดังนั้น
จึงอยากจะทำให้ เธอเปลี่ยนใจดูอีกครั้ง แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับนั้น

“ ถึงนั่นจะเป็นทางเลือกของเค้าก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นทางเลือกที่ผิดก็อาจไม่มีวันไปถึงจุดหมาย
ถึงยังไง เฟนท์ เองก็เป็นพลเมืองของ เมกาโทโปลิส ไม่อยากจะให้มาสู้กันเองหรอกนะ ”
เซน่า ตอบน้ำเสียงหนักแน่น ที่สุดแล้ว เรกกะ ก็ยอมต่อเธอและพาออกจากห้องเพื่อไปเตรียมตัวทันที

“ เราเองก็ไปเตรียมตัวกันบ้างเถอะ ”
โครโน่ หันไปบอก ราชาฟ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวสำหรับ ออกเดินทาง ไปยัง สเลปเนียร์

……………………………….
…………………………………………………

แสงตะวัน เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อคล้อยลงจากเบื้องสูง ลมทะเลพัดแรงขึ้น แสงแดดย้อมให้สีของท้องทะเลเปลี่ยนแปลง ตามไปด้วย

ลึกเข้าไปในป่าบนเกาะร้าง มีควันไฟลอยเคว้งออกมา จากกองไฟที่พึ่งถูกจุด
รอบกองไฟนั้น มีปลาเสียบไม้ย่างเอาไว้หลายตัว กลิ่นหอมของมันโชยเย้ายวนให้
น้ำลายสอไม่น้อย

“ เอ้ากินได้แล้วล่ะ ”
พรายด์ พูดพร้อมกับหยิบ เอาปลาย่างขึ้นมาไม้ แล้วส่งให้ สเตลท์ เธอรับมันไปทานอย่างเอร็ดอร่อย
ราวกับลูกแมงยังไงยังงั้น พรายด์ มองดูเธอทานปลาที่เค้าย่างให้ อย่างมีความสุข วงเวลาที่ได้อยู่

สองพี่น้อง แบบนี้คือสิ่งที่เค้าคิดว่าอาจจะไม่ได้ทำอีกแล้วตั้งแต่แยกจากเพราะสงครามที่บ้านเกิด
ทั้งที่คิดว่าเธอน่าจะตายไปแล้วพร้อมกับครอบครัว แต่ตอนนี้น้องสาวของเค้าอยู่ที่นี่ยังมีชีวิตอยู่

“อร่อย ใช่ไหมล่ะ ”
พรายด์ ถาม เธอตอบกลับมาด้วยการพยักหน้า เพราะปากยังคาบ ปลาอยู่เต็มคำ
ทำเอาเค้าอดหัวเราะไม่ได้

“ อีกเดี๋ยว พวกของพี่ก็คงจะมารับแล้ว ไว้ตอนนั้นเรากลับด้วยกันนะ ”
พรายด์ พูดไปก่อนจะหยิบเอาปลาขึ้นมากินบ้าง ทว่าคำพูดของเค้ากลับทำให้เธอหยุด
ทานไปเสียอย่างนั้น

“ เอ้าเป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าไปโดนก้างปลาตำเอาน่ะ… ”
พรายด์ ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ หนูน่ะกลับไปกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ.. ”
คำพูดของเธอ ทำเอาเค้านิ่งเสียจนเผลอหลุดมือทำให้ปลาที่ถือไว้ตกลงบนพื้น

“ ถึงบางครั้งเหมือนจะจำอะไรไม่ได้ หรือแม้จะนึกเรื่องเกี่ยวกับพี่ออก แต่มันก็จะถูกทำให้ลืม
แต่ก็มีอยู่เรื่องนึงที่หนูไม่เคยลืม คนที่เก็บฉันมาเลี้ยงดูหลังจากพลัดกับพี่ เมื่อตอนนั้น
คือนิวส์ เค้าเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยพิเศษของ สหประชาคม ดังนั้นตัวหนูเองก็เป็นพวก
สหประชาคมด้วยแต่พี่… ”

คำพูดของ สเตลท์ นั้นเค้าไม่เข้าใจเลย ทั้งที่เธอถูกใช้ให้ต่อสู้ แต่กลับยังเลือกพวก สหประชาคม
มากกว่าพี่ แท้ๆของเธอ

“ แต่!…แต่ว่าพวกสหประชาคมน่ะ ก็แค่ใช้เธอเป็นเครื่องมือเท่านั้นเองนะ กลับมากับพี่เถอะ
พี่จะไม่ให้เธอ ออกไปเสี่ยงตายอยู่ในสนามรบอีกแล้ว……พี่น่ะปกป้องพ่อกับแม่เอาไว้ไม่ได้
แล้วตอนนี้ถ้ายังปกป้องน้องเอาไว้ไม่ได้อีก แล้วพี่จะมาเป็น Valkyrier ไปทำไมกัน! ”

พรายด์ ตะคอกแม้จะหัวเสียชนิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ตามทีถึงจะต่อว่าเธอแรงไป
แต่เค้าเองก็ไม่ยอมให้เธอจากเค้าไปอีกแน่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามที

“ พี่คะ.. ”
“ ไม่!...พี่จะไม่ยอมเสียเธอไปอีกแล้ว พี่น่ะ… ”

สเตลท์ พยายามจะขอร้อง แต่ เค้าไม่สนไม่ว่าจะต้องใช้กำลังฝืนบังคับยังไงเค้าก็ต้อง
ลากเธอกลับไปให้ได้

“ ทำแบบนั้นมันจะดีเร้อ~~ ”
เสียงที่นอกเหนือจากพวกเค้าดังขึ้นมา พรายด์ หันควับกลับไปยังต้นตอของเสียงนั้นทันที
นิวส์ ผู้บังคับบัญชาของ เธอตามมารับเธอกลับไปแล้ว

“ นิวส์! ”
สเตลท์ ร้องสีหน้าของเธอดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา พรายด์ ที่ตอนนี้เค้ารู้แล้วว่า
เธอมีคนที่อยากจะอยู่ดูแลมากกว่าเค้า คนที่เป็นเสมือนพ่อ ที่พวกเค้าสูญเสียไป
เพราะแววตาที่ร่าเริงนั้น คือแววตาที่เค้าเคยเห็นเมื่อเธอวิ่งเข้าไปหาพ่อสมัยยังเด็ก

“ นายเองสินะ ที่เป็นคนดูแลเธอน่ะ ”
พรายด์ กล่าวขณะที่ สเตลท์ วิ่งเข้าไปกอดแขนของ นิวส์ ด้วยความคิดถึง

“ งั้นก็นายเองสิ ที่เป็นพี่ชายของเธอ พระเจ้าเองก็คงชื่นชอบตลกร้ายงั้นสินะ ”
นิวส์ เปรยเมื่อได้เห็นสายตาที่แฝงความเคียดแค้น ซึ่งจ้องมาที่เค้า

“ จะฝืนใจน้องสาวสุดรัก….นายเองคงทำไม่ได้สินะ งั้นเอางี้ไหมล่ะ นายก็มากับฉันซะเลยซี้ ”
“ อย่ามาพูดบ้าๆนะ! ”

นิวส์ เอ่ยปากชักชวนที่จะให้เค้าทรยศ องค์กร แต่ว่า พรายด์ก็ตะคอกขึ้นมา

“ ฉันน่ะไม่ได้จับดาบเพื่อจะทำร้ายใคร แต่เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมที่เกิดกับชั้น
และ เอรี่ ต้องเกิดขึ้นอีกแล้ว ”
พรายด์ ตะเบงเสียง พร้อมกับ ยกปืน Crisissor ของตนขึ้นมาเล็งไปที่เค้า
แต่ว่า สเตลท์ เอาตัวเข้ามาบังเอาไว้

“ เอรี่ เหรอนั่นคือชื่อจริง ของ สเตลท์นิค สินะ ”
นิวส์ เปรยหลังจากที่ได้ยินชื่อจริงของ เธอจากปาก พรายด์

“ แต่ว่าทำแบบนั้นมันจะดีจริงๆเหรอ เอรี่ น่ะไงๆก็เป็นคนที่เข้าไปก่อการจลาจลเพื่อชิงเอา Crisissor
มาให้กับ สหประชาคม ซึ่งนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่ Empyrean Adjust คงไม่ปล่อยเอาไว้แน่ๆ
ถ้าให้เธอกลับไปกับนาย จะเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ นายมั่นใจแค่ไหนว่าจะปกป้องเธอจากพวกของตัวเองได้ ”

คำถามนี้ทำให้ พรายด์ ลังเลขึ้นมาจริงตามที่ นิวส์ กล่าว หากพาเธอกลับไปเธอก็ต้อง
ถูกนำเข้าพิจารณาคดีและโทษตามกฏของ องค์กรแต่ถ้าปล่อยกลับไปกับ ชายตรงหน้า
ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบกับเธออีกกี่ครั้งในฐานะศัตรู แต่ตอนนี้เค้าก็มีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก

“ เชอะ!...อย่างที่แกว่า ถ้าพาเธอกลับไปก็ไม่รู้จะโดนอะไรบ้างแต่กรณีที่ให้กลับไปกับแกมันก็
เหมือนกัน ถ้างั้นฉันก็คงต้องขอต่อรองกันหน่อย ”
พรายด์ กล่าวจบก็หยิบเอา Crisissor Fang of Invidia ของสเตลท์ ที่เค้าชิงมาได้ก่อนเธอจะรู้ตัวเมื่อวาน
ขึ้นมา และโยนมันขึ้นไปในอากาศก่อนจะลั่นไกปืน ยิงทำลายจนมันไม่เหลือชิ้นดี

“ ฮึ..ทำลายดาบของ น้องสาวเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องต่อสู้อีก เพื่อการนั้นถึงกับยอมทำลาย อาวุธ
ที่สำคัญขององค์กรเลยงั้นหรือ ”
นิวส์ เปรยกับการกระทำเมื่อครู่นี้ทำให้เค้าตกใจอยู่ไม่น้อยถึงการตัดสินใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า
แต่แล้วเค้ากลับยิ่งต้องทึ่งมากกว่าเดิมเมื่อ พรายด์ ก้มตัวลง คำนับให้กับเค้า

“ ฝาก เอรี่ด้วยอย่าให้เธอต้องมาต่อสู้อีก ช่วยคืนเธอไปสู่โลกที่สงบสุขและอบอุ่นที ”
พรายด์ ขอร้องโดยที่ไม่สนว่าตัวเองจะต้องแปดเปื้อนซักเท่าไหร่ ก็ตาม
นิวส์ เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น

“ ก็ได้….ฉันสัญญา ”

…………………………………….
………………………………………………….
……………………………………………………………………………..

แนวโขดหินบริเวณรอบนอกอ่าวของ โลกอส นั้นมีเป็นแนวหินยาวโค้งที่ขึ้นบนทะเล โดยเกิดจาก
กลุ่มหินโสโครกมาจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจนเกิดแนวหินนี้ขึ้นมา แนวโขดหินนี้ จะชุ่มไปด้วยน้ำ
ทะเลที่กระเซ็นขึ้นมาตลอดเวลา ในช่วงน้ำขึ้นแต่ถึงอย่างนั้น น้ำก็จะไม่ขึ้นจนท่วมแนวโขดหิน
นี้อย่างแน่นอน

“ อ๊ะ! มาแล้ว มาแล้ว! นี่! ทางนี้ ”
ซาน ร้องตะโกนขึ้นเมื่อ เห็น ร่างของ ทาลิวิลย่า บินมาพร้อมกับแบก เซน่า มาด้วย
ทั้งสองโรยตัวลง มายืนบนพื้นที่เกิดจากโขดหินใหญ่ก่อนที่ ทาลิวิลย่า จะคืนร่างกลับ
เป็น เรกกะ

“ แล้ว เฟนท์ ล่ะ? ”
เรกกะ ถาม ซาน เพราะยังไม่เห็นตัวเฟนท์ เลย แต่แล้วเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“ ฉันอยู่นี่ ”
เฟนท์ พูดพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาพวกเค้า

“ เฟนท์… ”
เซน่า เปรยนี่เป็นการพบกันอีกครั้ง ในหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เค้า กลับไปกับ ยานรัฟอัส ที่
เมกาโทโปลิส แม้จะรู้สึกแปลกใจ ที่ เฟนท์ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและบาดเจ็บมาด้วย
ก็ตามที แต่เป็นเพราะ เรกกะ บอกไว้ก่อนแล้วว่านั่นเป็นแผลที่ได้จากเค้า เมื่อวาน
เธอเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่

“ เรียกพวกเรามา นายอยากจะพูดอะไรกันแน่ ”
เรกกะ ชิงถามขึ้นมาก่อน เพราะไม่อยากจะรอให้เสียเวลา ถ้าเกิดนี่เป็นกับดัก
ก็จะหนีไปได้ทันที เฟนท์ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง โดยจ้องมาที่เค้า

ห่างออกไปไม่ไกลนักมี โขดหินที่ ขึ้นสูงอยู่ ไอ กำลังใช้กล้องส่องทางไกล แอบ มองพวกเค้าอยู่
ที่หูก็สวมหูฟัง ซึ่งต่อพ่วงกับเครื่อง ดักฟังไปด้วย

“ นั่น คุณ เซน่า แล้วคุณซานพี่ของ เฟนท์ นี่นา เอ๊ะ!...ที่ยืนอยู่ข้างๆนั่นมัน เรกกะ เหรอ…ไม่น่า
เป็นไปได้นี่ ก็ เรกกะ น่ะตายไปตั้งแต่จบมหาสงครามครั้งโน้นแล้วนี่ ทำไม… ”
ไอ เปรยด้วยความตกใจ บุคคลทั้งหมดที่มาพบปะกันนั้นคือคนที่เธอรู้จักสมัยยังเป็น นักเรียนของ St.Magnus อยู่ที่ โลกอส นี้ ทั้งสิ้น

“ ฉันอยากจะรู้ว่าทำไม เมกาโทโปลิส ถึงไปเข้าร่วมกับ กองทัพสหประชาคม ได้… ”
เฟนท์ ถามกลับคำถามนี้ ทำ เซน่า สะอึกไปบ้างแต่ครั้นเมื่อเธอจะออกปากตอบออกไป
ว่าเป็นเพราะเธอ ที่ยอมรับการทำสนธิสัญญาพันธมิตร เรกกะ ก็ปรามเอาไว้เสียก่อน

“ ถึงไม่ต้องบอกนายเองก็คงจะรู้อยู่แล้ว คนอย่างนายไม่มีทางมาพบพวกเราโดยที่ไม่รู้อะไร
ซักอย่าง อย่างแน่นอน ”
เรกกะ กล่าว เฟนท์ ได้ยินแบบนั้นจึงยอมสารภาพในที่สุด

“ ใช่…ช่วงเช้าที่ฉันออกตามหาพวกนาย ก็เลยหาข่าวไปด้วย เลยได้รู้มาหลายอย่างเลย
ทั้งสนธิสัญญาพันธมิตรแล้วงานราชาพิเษกสมรส นั่นอีก งั้นฉันขอถามเลยก็แล้วกัน
ทั้งที่เป็นคนยอมรับ ในสนธิสัญญา นั่นแล้วทำไมถึงยังก้าวเข้ามาในสนามรบแล้วทำแบบนั้นอีก ”

เฟนท์ เกร็งเสียงใส่ อารมณืของเค้าดูจะเดือดดาลขึ้นมาบ้าง เรกกะ ไม่ตอบอะไรแต่ยังคงรอให้เค้าระบายเอาความสงสัยและความโกรธที่สั่งสม เอาไว้ออกมา โดยเอาตัวบัง เซน่า เอาไว้
ในเวลาแบบนี้ เพื่อนสนิท ตรงหน้าก็แทบไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูก ยั่วจนพร้อมจะเข้าทำร้ายใส่ได้เสมอ

“ เพราะ นายทำแบบนั้นเลยทำให้เกิดผู้เคราะห์ ร้ายทั้งที่ไม่น่าจะเกิด ด้วยซ้ำ
คิดว่าถ้าเข้าไปพูดแบบนั้นแล้วกองทัพจะยอมถอยกลับไปน่ะ ทำไมถึงได้ทำ
อะไรสิ้นคิดแบบนั้น ”
เฟนท์ เริ่มตะคอกก่อนจะหยุดเพื่อรอให้ใจตัวเองสงบกว่านี้ เพราะเค้ารู้แล้วว่า เรกกะ กำลังรอ
ให้เค้า พร้อมจะรับฟังเหตุผล ดังนั้น จึงข่มความโกรธเอาไว้ เมืท่อเห็นว่าเค้าพร้อมจะรับฟังแล้ว
เรกกะ จึงเริ่มเจรจา

“ ที่นายพูดมามันก็ถูก แต่จะให้อยู่เฉยๆพวกเราก็ทำไม่ได้หรอก ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้ เมกาโทโปลิส
ต้องเข้าร่วมรบด้วย ”
เรกกะ ตอบตามความจริง ของเหตุผลที่เค้า เข้าไปทำลายสนามรบเมื่อวานจนยุ่งเหยิงไปหมด

“ ถ้างั้นก็น่าจะหาวิธีอื่นที่มันไม่ทำให้เป็นแบบนี้สิ … ”
เฟนท์ ตะคอกแต่แล้วก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นว่า เซน่า กำลังตีหน้ากังวล
หลบอยู่หลัง เรกกะ ส่วน ก็หน้ามุ่ยเป็นขนมสายไหม ที่น้องชายเธอพูดอะไรไม่นึกถึง
คนที่เค้ารับแรงกดดันอยู่จริงๆเลย

“ พวกนายน่ะกลับไปหาทางจัดการกับสนธิสัญญานั่นแล้วกันเมกาโทโปลิส ออกไปซะ
ถ้าต้องรบกันคราวหน้าต่อให้นายมาฉันก็คงปล่อยนายเอาไว้ไม่ได้แล้ว ”
เฟนท์ เสนอหนทางให้กับพวกเค้าแต่ว่า สำหรับ เซน่า และ เรกกะ แล้วมันเป็นไปไม่ได้
พวกเค้าไม่มีอำนาจอะไรที่ จะไปคัดง้าง พวกสภาของเมกาโทโปลิส ได้เลย

“ ถ้าทำแบบนั้นแล้ว นายจะได้ต่อสู้ได้อย่างสบายใจขึ้นงั้นเหรอ… ”
เรกกะ ย้อนถามกลับไปบ้าง คราวนี้เค้าต้องกลายเป็นฝ่ายที่พูดไม่ออกไปเสียแล้ว

“ ที่ Empyrean Adjust กำลังทำอยู่นี่มันถูกต้องแล้วอย่างงั้นสินะ เพราะสหประชาคมไม่ทำตาม
ก็เลยต้องกำจัดทิ้ง แบบนั้นน่ะมันใช่ทางที่ถูกต้องแล้วแน่เหรอ ”
เรกกะ ถามโดยใช้มุมมองของพวกเค้าที่มี ต่อองค์กร ในสขณะนี้ถามคนที่อยู่ในองค์กรอย่างเค้า

“ แน่สิ มันต้องถูกอยู่แล้ว ถึงมหาสงครามครั้งก่อน คนที่เริ่มก่อความสงบจะเป็น Empyrean Adjust เองก็เถอะ แต่ความวุ่นวายหลังจากนั้นมามันก็เกิดจาก สหประชาคมทั้งนั้น จนถึงตอนนี้
พวกนั้นก็ยังจะทำให้เกิดสงครามแบ่งขั้วอำนาจเหมือนตอนนี้อีก ยังไงล่ะ ”

เฟนท์ ตอบอย่างหนักแน่น ความเชื่อมั่นที่มีต่อองค์กร ว่าตอนนี้หนทางที่พวกเค้ากำลังทำนั้นถูกต้อง

“ ถ้าอย่างนั้น นายจะตอบคำถามเรื่องที่ฉันไปเจอมาได้รึเปล่า….ที่เมกาโทโปลิส หลังจากนาย
กลับเข้าองค์กรไปแล้ว ฉันกับ ราชาฟ พวกเราก็ถูก Valkyrier ไล่ล่าจนต้องหนีออกมาแบบนี้น่ะ ”
คำพูดของ เรกกะ ทำเอาเค้าอึ้งไป แม้จะไม่มีอะไรมายืนยัน แต่เค้าก็รู้ว่า เรกกะ ไม่ใช่คนที่จะโกหก
อะไรตื้นๆ

“ เรื่องนั้น…ฉันเองก็ไม่รู้หรอกบางทีมันอาจจะเป็นการเข้าใจอะไรผิดก็ได้…แต่…แต่ว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ พวก สหประชาคมก็จะก่อสงครามขึ้นมาอีก นายเองก็รู้นี่ว่า จุดประสงค์ขององค์กรตอนนี้คือ การทำให้ สงครามมันหมดไปจาก เทอร่าโดยเร็วที่สุด ”

เฟนท์ ยังคงยืนหยัดให้กับ องค์กร แม้ว่าที่ฟังมานั้นจะทำให้เค้าเอง เกิดความลังเลก็ตาม

“ ไม่ว่าจะความหวังหรือความฝัน...ถ้ามากเกินไปมันก็คือความโลภไม่ใช่เหรอ พลังที่มีมากเกินไปมันจะ… ”
เรกกะ เปรยขึ้น คำพูดของเค้าทำให้ เฟนท์ รู้สึกฉุนขึ้นมา

“ ตั้งแต่เมื่อกี้ แล้วนะ นายอยากจะบอกอะไรกับฉันกันแน่ ”
เฟนท์ ตะคอกกลับไป เริ่มจะไม่พอใจ กับ เรกกะ ที่พูดเหมือนกับจะบอกว่า เค้าในตอนนี้กำลัง
เชื่อมั่นอะไรผิดๆอยู่

“ เปล่า…ก็แค่อยากให้นายลองดูให้มันรอบๆก็เท่านั้นเอง… ”
คำตอบสุดท้ายที่ เรกกะ ได้พูดออกมา ก่อน เฟนท์ จะเดิน จากออกไป

“ ดูเหมือนเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ฉันจะขอพูดอีกที กัน เมกาโทโปลิส ออกไปซะ
ไม่งั้นฉันจะเป็นคนที่บดขยี้มันเอง ”
คำพูดสุดท้าย ที่ลั่นออกมา ก่อนที่ เฟนท์ จะติดตั้ง เกราะ Valkyrier และบินจากไป
ได้สร้างความบอบช้ำให้กับ จิตใจของทั้งสาม

“ เฟนท์…. ”
ไอ ที่สอดแนม อยู่ เปรยขึ้นพร้อมกับมองไปยังทิศที่ เฟนท์ บินไปเธอได้ล่วงรู้ถึงความลับ
ขององค์กร และ ของเฟนท์ แล้วหนทางที่เธอจะต้องเลือกหลังจากนี้ จะเป็นไปทางใด เธอไม่อาจทราบได้

“ เหตุผลจริงๆที่หมอนั่น ยังปลีกตัวออกมาไม่ได้ คงไม่ใช่แค่นั้นหรอก ”
เรกกะ เอ่ยขึ้นลอยๆ แม้ว่า ซาน และ เซน่า จะหันมาทำหน้าเหมือนกับจะถามว่า เค้าพูดถึงเรื่องอะไร
แต่เค้าก็ไม่ได้ให้คำตอบ แต่อย่างใด อาจเพราะเค้ารู้อยู่แล้วหรือไม่ยังไม่รู้ ก็เป็นได้
แต่สิ่งที่รู้แน่ชัดคือ คำตอบนี้ต้องให้ เฟนท์ เป็นคนตอบมันด้วยตัวเอง

…………………………………………………………………………
……………………………………………………
…………………………..
[ED Theme Version 2 เปลี่ยนเป็นเพลง Toki no Sabaku เปิดคลอเพื่ออ่านไปกับ ย่อหน้าสุดท้ายถัดไปจากนี้]


……………………………
………………………………………….
…………………………………………………………………


“ หาตัวตั้งนานกว่าจะเจอก็ล่อไปซะตะวันตกดิน เลยนะเนี่ย ”
ไรด์ บ่นไปพลางขณะที่ร่อนตัวลงไป หา พรายด์ ที่ยืน รอ อยู่บน หาดทราย
ของเกาะ

“ เอาล่ะ ทีนี้ก็กลับกันเถอะ นายบินตามฉันมาก็แล้วกัน ”
ไรด์ พูดพร้อมกับ ตรวจสอบเส้นทางที่ตัวเองบินมาเพื่อพาบินกลับไปที่ เกาะที่ยาน รัฟอัส จอดทิ้งไว้
โดย ที่พรายด์ นั้นสายตายังคงมองลึกเข้าไปในป่า ที่พึ่งแยกจาก กับ น้องสาวของตนมา

“ เฮ้ ฟังอยู่รึเปล่า!! ”
ไรด์ ต้องตะคอกใส่ เมื่อเห็นว่า เค้ายังคงเหม่ออยู่

“ อ..ครับ! ”
พรายด์ สะดุ้งรับคำอย่างตื่นตระหนก

“ รีบติดตั้ง Crisissor สิ ”
ไรด์ ย้ำกลับไปอีกครั้ง พรายด์ จึงรีบหยิบเอา ปืนของตนขึ้นมา

“ Wake up Superbia ” /Set up OG Stand By/
สิ้นเสียง ชุดเกราะก็ถูกสวมลงบนร่างก่อนที่พวกเค้าทั้งสอง จะทยานตัวออกจากเกาะไป

…………………………….
…………………………………………………
……………………………………………………………………..

ศูนย์วิจัย ลอยฟ้า สเลปเนียร์

“ มากันแล้วเหรอ กำลังรออยู่เลย ”
“ ไม่ได้เจอกันนานเลย นะ ลอว์เรนซ์(Luarance) ”

………….
………………………….
………………………………………………………..

การพบกัน และการแยกจาก…….หนทางที่ไขว้กัน และ สวนทางกัน………ความศรัทธา และ ความจริง
………………………….....ที่สุดแล้วปลายทางของทางเลือกคือสิ่งใด……………………………………..
………………………………..เวลาคือคำตอบของทุกสิ่ง…………………………………….

End Special Edition 2 : Destiny Way
To Be Continue



และแล้ว SE mี่ 2 ของเราก็ออกมาจนได้นะครับ รอบนี้ยาวไปนิดแถมมีแต่ตัวหนังสือเกือบทั้ง SE เลย
ก็จัดเพลง ประกอบ เพิ่มเข้าไปให้ที 2 เพลงพร้อมกับเปลี่ยนเพลง ED ใหม่ ส่วน opคงไว้อย่างเดิมเพราะทำไม่ทันครับ เหอะๆ
รอบที่แล้วสวัสดีปีใหม่ย้อนหลัง งั้นรอบนี้ขอสวัสดีปีใหม่ไทย ย้อนหลังอีกรอบละกันเน้อ ขอให้โชคดีสุขขีๆ
(รู้สึกคำอวยพรมันเหมือนเดิมด้วยแฮะ)
เจอกัน อีกที SE 3 หลังปีใหม่ 2554 แหม่ ล้อเล่นครับ วันไหนมีหยุดยาวก็มีอีกนั้นแล
ส่วน SMN VR TAG ของเราเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องรอติดตามกันในวันอาทิตย์ หรือวันจันทร์ ที่จะมาถึงนี้ล่ะนะขอร้าบ

ว่าแต่ SE นี้มัน ฉากนั้นคงไม่ ติด เลทเกินไปหรอกเน้~~ เห็นไหนๆ ก็อุตส่าห์ รักกันมาข้ามภาคไม่รู้กี่ภาคแล้ว
ก็เลยจัดให้เสียหน่อย เอาเถอะคงไม่มีใครมาดูกันเยอะแยะ เท่าไหร่หรอกเน้อเพราะงั้นคงไม่โโนยุบกับอุ้มไปทิ้งนะ
(me:สภาพกลัวตัวสั่นเป็นลูกนก จะโดนเจี๋ยนไหมเนี้ย)
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ อังคาร เม.ย. 12, 2011 4:59 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย boy เมื่อ จันทร์ เม.ย. 19, 2010 6:22 pm

อ๊าาาาาาา
อ่านคู่เฟนท์ไอแล้วจิ้นเลยเถิดไปแล้ว อ๊าาาาา
-//โดนกลุ่มโปรเจคตบข้อหาเม้นไร้สาระ

เอิ่ม.....ตัวละครใหม่ (รึเปล่า)
รู้แต่ว่า หมอนี่หน้าตาดีด้วยล่ะ ::006::
โฮะๆๆๆๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย Konflyctus MX เมื่อ จันทร์ เม.ย. 19, 2010 8:58 pm

เหอๆ กลับมากี่ครั้งก็ยังคงความดราม่าอยู่เหมือนเดิม

มาดู Quote ของท่านพี่การุรุละกัน (เมื่อไหร่จะมีคำว่า 'เมทัล' อยู่ข้างหน้าด้วยล่ะครับ ผมรออยู่)

Cocka-C เขียน:เฮ้อ~~~ ::024:: กว่าจะได้อ่าน ล่อไปวันที่ 3 เลยก็บอกแล้วว่าอย่าตัดเดี๊ยน จากโปรเจคนี้ เป็นไงล่า ทำการ์ดเกือบไม่ทันเลยล่ะจิ
เหอๆ โปรเจคก็ให้ เดี๊ยนร่วมซะแล้วจะเอาของออกมาปล่อยก่อน อิๆ เลือกเอาเลย ทำคนเดียวเหนื่อยตายกับทำสบายๆ
แต่มีสปอยมาก่อน เหอๆเอาอย่างไหนไปคิดดูนะเกรม่อนคุงงงง ว่าแล้วก็ขอ สครีมกับ โปรเจคนี้หน่อยเถ๊อะ~~~

อยากจะบอกว่าคนอ่านภาคเรกกะแล้ว ยัง งงเนื้อเรื่องพอๆกับคนยังไม่อ่านเลยด้วยซ้ำไปหนูไอ ไปๆมาๆ
ไปอยู่กับ Empyrean Adjust ได้ไงเนี่ย เปิดมาก็จับคู่มากะ อีตาจืดจางไรด์ ซะงั้น แถมตัวละครจาก YXZ อย่าง สเวน กับ เมออาร์เน่
ครอสมาภาคนี้ไม่มีอธิบายเยยว่ามาไง เอ หรือจะเป็นมุขรียูสตัวละคร ไม่ต้องเปลืองสร้างใหม่กันหว่า ว่าแล้ว อีกส่วนหนึ่ง
พอได้มา เห็นโครโน่ กับ ฮายาเตะ แล้วก็ เรกกะ อยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมแล้วมันให้ความรู้สึกยัง กะครอบครัวสุขสันต์ตระกูล
อานิม่าไฮเดย์ เลยให้ตายสิ(ยกเว้นเซน่า คนเดียวไม่นับเพราะเป็นมนุษย์)

ส่วนภาคนี้คาดว่าคงจะเป็นทวงรักของหนุ่มหมา อย่างเฟนท์คุง ที่ต้องแก้ตัวจากภาคหลัก ที่ดันกัดกับ แฟนตัวเอง
จนโดนทิ่มตายตอนจบ(แต่พี่แกเล่นมุขปลอมมาเป็น ดรากูนอีกต่อ ฮ่วย!) ภาคนี้คงต้องมาลุ้นกันว่าคุณพี่ท่าน
จะแก้ตัว คว้าใจ ไอ มาครองได้จริงๆไหมแต่จาก อัตราความสำเร็จดูแล้วคงสูง เพราะเกรม่อนคุงจับให้มาอยู่
ทีมเดียวกันเลย แต่ดันเป็นศัตรูกับ เรกกะ ทางอ้อมด้วยนี่สิ สงสัยจะมีการย้ายฝ่ายกันกลางทาง
แต่ก็หวังว่าคู่จะไม่พรากจากกันอีกเน้อ ส่วน คู่เรกกะ กับป้าราชาฟ เอ้ย ป้า R2 ดูจะรักกันดูดดื่มยิ่งนัก(เรอะ!)
คู่นี้คงไม่ต้องลุ้น

ว่าแต่ อบิลิตี้การ์ด ไครซิสเซอร์ แต่ล่ะชิ้น นั่นมันอาร้าย!!! ถ้าใช้การ์ดใบนี้ใน วันที่กำหนด เช่น จันทร์ อังคาร พูธ บลาๆ
จะมีเพิ่มายังงู้นยังงี้ นี่เล่นไม้นี้เลยเรอะ มิน่า ชื่อวอลคีเรียแต่ล่ะตัว ลงท้ายด้วยวันหมดเลยเหอๆ
แถมเอาชื่อบาปมาใช้ซะด้วย

ว่าแต่ ท้ายๆเรื่องเหมือนรวบรัดให้มันจบๆตอนยังไงไม่รู้แฮะ เรกกะคุง ออกไปโชว์เทพเสร็จกลับมาอีกที บ้านบรึ้มไปแล้ว
เหอๆ ดีไม่มีใครตาย จะว่าไปเหนบอกภาคนี้จะให้จบแบบแฮปปี้ชิมิ ดีๆ ดราม่ากะจบไม่สวยมาหลายเรื่องละชักเอียน
นานๆทีขอ จบแบบแฮปปี้หน่อยเถ้อ~~~

สุดท้ายขอแจ้งกำนดการอัพตอนพิเศษที่มีความยาวเท่า สามตอน นี้ไปด้วยเลย เรื่องนี้จะอัพอีกทีในวันพิเศษ
อีกเช่นเดิม แต่ว่าวันไหนล่ะ วาเลนไทน์ เหรอ เหอๆ ไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ คิดว่าน่าจะอัพอีกทีคง สงกรานต์ เลยมั้ง
เหอๆ นานโคตร! แล้วกว่าจะได้อ่านต่อ ไม่ลืมเนื้อเก่าหมดก่อนเรอะ

อีกเรื่อง มุขชิงตัวเจ้าสาว จากภาค วายครอส มันก็เอามากับเค้าด้วยแหะ อันนี้สินะต้นฉบับจริงของ ภาค วายครอส
ว่าแต่โยไรคุง คงไม่มาแจมตอนหลังด้วยล่ะ ไม่งั้นมีเฮ เละแน่ๆ


เป็นการ Mash-Up (บดรวมกัน) นั่นเอง 555+
Konflyctus MX
0
 
โพสต์: 201
Cash on hand: 250.00
ที่อยู่: ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ อังคาร เม.ย. 20, 2010 10:51 am

boy เขียน:อ๊าาาาาาา
อ่านคู่เฟนท์ไอแล้วจิ้นเลยเถิดไปแล้ว อ๊าาาาา
-//โดนกลุ่มโปรเจคตบข้อหาเม้นไร้สาระ

เอิ่ม.....ตัวละครใหม่ (รึเปล่า)
รู้แต่ว่า หมอนี่หน้าตาดีด้วยล่ะ ::006::
โฮะๆๆๆๆ


เฮอะๆ คู่นี้สุดท้ายก็ได้กันจนได้สิน้า ::030::

ว่าแต่ตัวละครใหม่นี่มัน.....รียูสย้อมแมวเอามาทำใหม่นี่หว่า โครโน่ แบบใหม่ทรงผมเปลี่ยนเฉยๆ - -*
เรกกะ ซาราเบลด เฮือก ::036:: ตัวจริงยังมีชีวิตอยู่เรอะ แหม่งั้นขอย้อนความให้คนที่เคยอ่านภาค
ทาลิวิลย่า 2 ซึ่งเป็นภาคหลักของภาคเสริมน้ก่อนแล้วกัน คงยังจำกันได้ชิมิว่า เรกกะ ที่เป็น ทาลิวิลย่าเนี่ย

คือโคลนที่เป็น อานิม่า เท่านั้นตัวจริงตายไปตั้งแต่ครั้งเมอริเซีย ล่มสลายตอนสงครามล่าอาณานิคมแหล่ว
แล้วไหงจึงกลับมาโผล่ภาคนี้ด้ายยยย ก็คงต้องรอดูกันต่อปาย หุๆๆ ::006::



ว่าแต่เจมส์คุง ที่ว่าบดรวมกันน่ะ ตอนนี้มันคนจนเหนียวข้นเป็นเรื่องเดียวกันแล้วล่ะ แทบแยกไม่ออกเลยนะนี่
ว่ามีตัวละครอะไรมาจากภาคไหนบ้างเนี่ย รียูสแล้วรียูส อีกสงสัยเกรม่อนคุง มุขตัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 09, 2011 3:02 pm

Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard

Opening Theme Crisis Valkyrier SE VER.2(เพลงใหม่ภาพใหม่ตัดต่อใหม่ จ้ะ)


หลังมหาสงครามแห่งเทอร่า ซึ่งจบลงด้วยการล่มสลายลงของทั้งทวีปเมอริเซีย เวลาได้ผ่านพ้นไป 200 ปี
โดย มีสงครามเย็นเกิดมาควบคู่กับสงครามร้อน ไม่นานก็มีกลุ่มผู้อ้างว่าจะใช้กำลังอำนาจที่มี เข้าแทรกแซงสงครามทั้งหมด เพื่อให้เทอร่า หมดสิ้นซึ่งสงคราม หลังจากนั้น มหาสงครามครั้งใหญ่ ที่รู้จักกันในนาม
มหาสงคราม Delantion
ก็ได้อุบัติขึ้น ที่สุดแล้ว เทอร่าก็ได้กลับคืนมาซึ่งความสงบสุข ด้วยการเจรจาสันติ ร่วมกันระหว่างฝ่าย สหพันธ์โลกและสหประชาคมโลก เทอร่าดูเหมือนจะเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความสงบแล้ว
……………………
……………………………………………………………………………………………………………

ทว่า ความขัดแย้ง ที่เริ่มปรากฏให้เด่นชัดขึ้น ก็เริ่มปะทุขึ้นมาใหม่อย่างรุนแรง เริ่มด้วย
การก่อจลาจล เพื่อชิงเอา อาวุธพัฒนาใหม่ของ องค์กรติดอาวุธเอกชน Empyrean Adjust
และต่อเนื่องไปจน ถึงการช่วงชิงอำนาจ ไปจาก เซน่า ไฮเดย์ ผู้สำเร็จราชการแห่ง เมกาโทโปลิส
อย่างอ้อมๆ ที่สุดแล้ว เรกกะ ไฮเดย์ ผู้เป็นน้องชาย จึงได้ตัดสินใจ ลักพาตัว เซน่า ไปกับ ยาน พอลลิดัส
รุ่นปรับปรุงใหม่เพื่อ ออกสืบหาความจริงของอำนาจคุมบังเหียนเหตุการณ์ทั้งหมด
………………………………………
…………………………………………………………………………………………
เฟนท์ ได้กลับไปเข้าร่วมกับ องค์กร Empyrean Adjust อีกครั้งและเข้าแทรกแซงร่วมกับหน่วย Shangri-la
แห่งยานรัฟอัส หลังภารกิจการแทรกแซงที่ มิสรายิม พวกเขาถูก กองทัพสหประชาคมลอบโจมตี แต่ก็รอดมาได้
เพราะ เรกกะ และพรรคพวก เข้ามาแทรกแซง พรายด์ ที่หายสาบสูปไประหว่างการรบ ก็ ได้พบกับน้องสาวที่พลัดพราก
กันเมื่อวัยเด็ก แต่ด้วยข้อจำกัดของตัวเอง จึงทำให้ต้องยอมส่งตัวเธอคืนให้กับ นิว องเมียวจิของสหประชาคม
ขณะเดียวกัน ราชาฟ(R2) มาธิอัส และโครโน่ ทั้งสามออกเดินทาง ไปยัง
สเลปเนียร์(Sleipnir) ศูนย์วิจัยซากโบราณสถานค้างฟ้าแห่งโอดิน(Odin Ruin) ตามคำเชิญของ ลอว์เรนซ์
บัดนี้ ประวัติศาสตร์บทใหม่ของ เทอร่า จะดำเนินต่อไปเช่นไร
………………………………
…………………………………………..

ศูนย์วิจัยลอยฟ้า สเลปเนียร์ คือซากโบราณสถาน สมัยยุคกลางที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ฐานของโบราณสถาน
นั้น ถูกสร้างโดยเครื่องจักรในสมัยโบราณ ซึ่งทำงานด้วยระบบพลังงาน อิออน เช่นเดียวกับ ที่เหล่า Valkyrier ใช้
จึงทำให้มันสามารถ ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าและ ผ่านกาลเวลา มาได้นับพันปี จนถึงเมื่อ สองสามร้อยปีก่อน
ที่ หน่วยงานของ สภามังกรนภากาศ จะเข้ามาสำรวจและวิจัย มรดกที่ยังหลงเหลืออยู่ และได้ค้นพบระบบพลังงาน
อิออน ก่อนจะส่งกลับไปพัฒนาเป็นอาวุธ และก่อตั้ง Empyrean Adjust ขึ้นมาเพื่อใช้อาวุธเหล่านั้น


“ เฮ้ทางนี้ มีประตูด้วย!! ”
เด็กหนุ่ม ผมทองตะโกน เรียก โครโน่ ที่กำลังสำรวจ กองซากหินภายในตัวอาคารที่อยู่ฝั่งกันตรงข้าม

“ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ! ลอว์เรนซ์ ”
โครโน่ (Chrono) ตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะก้าวท้าวลงจาก บันไดของ ซากวิหารย่อย เพื่อข้ามถนนเก่า ไปยังวิหารหลัก
ที่ เด็กหนุ่มผมทองอยู่ พวกเราออกค้นหาบางอย่างที่อาจจะเป็นกำลังรบหลักให้ แทนที่ ทาลิวิลย่า ของ เรกกะ ซึ่งกำลังจะหมดพลังไปในอีกไม่ช้า หลังจากได้รับข้อความ ที่ติดต่อไปที่ ยานพอลลิดัส เขา กับ ราชาฟ และ มาธิอัส ก็ขอแยก
จากยานและออกเดินทางตรงมาที่นี่ทันที โดยอาศัย มังกรที่ มาธิอัส เลี้ยงไว้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา เกือบครึ่งเดือน
จนมาถึงที่ ศูนย์วิจัยแห่งนี้ ได้สองสามวันแล้ว
รูปภาพ
รูปภาพ
“ นี่คือประตูทางเข้าวิหารหลักอย่างนั้น สินะ? ”
โครโน่ แหงนหน้าขึ้นเพื่อมองดูความยิ่งใหญ่ของบานประตูที่ถูกปิดมานานกว่าพันปีแล้ว
ลอว์เรนซ์(Laurence) ค่อยเลื่อนกองหินที่ ขวางอยู่หน้าประตูออกจนเมื่อหินถูกย้ายไปหมดแล้ว
พวกเขา จึงช่วยกันออกแรงผลักประตูยักษ์ เข้าไปด้านใน

รูปภาพ

ภายในมหาวิหารเก่า แห่งนี้ อบอวลไปด้วยฝุ่นและอากาศเหม็นหืน ที่ลอยเข้ามาปะทะกับใบหน้า สิ่งแรกที่มองเห็นได้
ภายในโถงของ มหาวิหารคือ แท่นวางของศักดิ์การะ สองแท่นตั้งห่างกันอยู่ไม่มาก สิ่งที่ถูกวางไว้
บนแท่นนั้น เปล่งประกายด้วยละอองแสงคล้ายกับ ละอองอิออนของ เหล่า Valkyrier เพียงแต่ละอองของสิ่งนี้เป็นสีเงิน
มันเปล่งประกาย ระยิบระยับจับอยู่รอบสิ่งของเหล่านั้น จนราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องไสว ในยามราตรี

พวกเขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่จะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน สิ่งที่วางอยู่บนแท่นแรก คือดาบที่บุทั้งด้าม
ด้วยทองคำเสียบติดอยู่กับ โล่ทรงดอกสี่กลีบซึ่งทำจากวัสดุเดียวกัน และอีกแท่น คือดาบยาวแบบญี่ปุ่นโบราณ
ทั้งด้ามทำขึ้นด้วยอัญมณีไพริน(Sapphire)

“ โครโน่ นายช่วยกลับไปบอก R2 ทีว่าตอนนี้เราเจอแล้วล่ะ สุดยอดแห่งไครซิสเซอร์(Crisisor) ดวงตะวัน กับ จันทรา ”
ลอว์เรนซ์ เปรย

……………………………
……………………………………….

2 สัปดาห์ ต่อมา

เฟนท์ และหน่วย Shangri-la สามารถนำยานรัฟอัส เดินทางกลับมายังฐานที่มั่น เกาะพรางแสงได้เป็นอันสำเร็จ
พวกเขาต่างก็เหนื่อยล้า กับการเดินทางอันยาวนาน นอกจากภารกิจ แล้ว ในระหว่างที่เดินทางกลับ ยังถูก
ลอบโจมตีโดย กองกำลังสหประชาคมโลก แต่พวกเขาก็รอดมาได้ และ ลากสังขารยานที่ถูก โจมตีในระหว่างการรบ
กลับมาจนได้

ตอนนี้พวกเขามีเวลาพัก อีก 2 สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มภารกิจใหญ่ บรรดาลูกเรือ จึงไม่ปล่อยให้เวลาที่มีเสียไป
ต่างพากันออกประจำการจากยาน เพื่อพักผ่อน และรอจนกว่ามันจะซ่อมแซมเสร็จ จะมีก็เพียงแต่กัปตันเมอร์อาเน่ และรองกัปตัน สเวน เท่านั้นที่ยังต้องตามรายงาน ทั้งหมดส่งให้ที่ประชุมของ องค์กร เพื่อหารือแนวทางต่อไป

ภายในโรงอาหาร ของสำนักงานกลางในเกาะ ที่นี่เป็นสถานที่ พักผ่อนและทานอาหารของ ทั้งพลทหารและ เจ้าหน้าที่
แทบทั้งหมด ดังนั้นในช่วงกลางวันที่นี่จะแน่นเป็นพิเศษ

เฟนท์ ไรด์ พรายด์ และ ไอ สี่ Valkyrier แห่งยานรัฟอัส นั่งล้อมวงกินข้าวกลางวันกันอยู่ ระหว่างนั้น พรายด์ ก็ได้เล่า
เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นที่ หมู่เกาะวงกตทางน้ำ ทั้งเรื่องที่เขาได้ พบกับน้องสาวที่พรากจากกัน และเรื่องที่เธอเป็นคนหนึ่ง
ในบรรดาผู้ร่วมก่อการ ช่วงชิง ไครซิสเซอร์ ของ องค์กรออกไป ด้วยไปจนถึงเรื่องที่เขาทำลาย ไครซิสเซอร์
ของเธอทิ้งเพื่อไม่ให้ สหประชาคมส่งเธอ ออกมารบอีก

“ หา!? งั้นก็หมายความว่า เธอ ทำลาย OG7 ที่ถูกชิงไปเพราะไม่อยากให้น้องสาว ออกไปรบงั้นเหรอ ”
ไอ หลุดปากเสียงลั่นโรงทำเอา คนอื่นๆหันมามอง จนทั้ง เฟนท์ และ ไรด์ ที่นั่ง อยู่ด้วยกัน
ต้องเข้ามาเตือน

“ แต่ว่า ตอนที่นายรายงานกับ กัปตัน น่ะนายบอกว่าไม่สามารถชิงคืนกลับมาได้เลยต้องทำลายทิ้งไป แบบนี้เท่ากับว่า
รายงานเท็จแล้วนะ ”
ไรด์ พูด

“ ตามกฏแล้ว รายงานเท็จ หรือปลอมแปลงรายงาน โทษขั้นต่ำก็ยิงเป้าล่ะนะ ”
เฟนท์ พูดพรางเคาะนิ้วบนโต๊ะ เพื่อใช้ความคิด สายตาของ พรายด์ จดๆจ้องๆ มาที่เขา และนั่งตัวหด
รอลุ้นว่า พี่ใหญ่ในทีม สำหรับตอนนี้อย่างเขา จะทำอย่างไรกับตน หากเฟนท์ เลือกที่จะทำตามกฏ
ชีวิตก็คงต้องจบเพียงแค่นี้

“ เฟนท์… ”
ไอ พยายามจะขอร้องให้เขา ละเว้นพรายด์ ไว้เพราะเธอเองก็รู้สึกเห็นใจ ในตัวพรายด์ แต่แล้ว เฟนท์ ก็เอ่ย
คำพูดที่ทำให้พวกเขานึกไม่ถึงออกมา

“ ถ้างั้นก็เอาตามนั้นละกัน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นแบบนี้น่าจะดีกว่าเพราะถึงยังไง ไครซิสเซอร์ ก็ถูกทำลายไปแล้ว
ยังดีกว่า ทิ้งไว้ให้ศัตรูเอามันออกมาใช้อีกนั่นล่ะนะ ”
คำตอบของ เฟนท์ ทำให้ พวกเขายิ้มออก

“ ดีล่ะ อย่างนั้นต้องฉลอง ”
ไรด์ ประกาศอย่างลิงโลด แต่แล้วงานฉลอง ของเขาก็ต้องหยุดไปซะก่อน เพราะตอนนี้มี การแถลงการณ์
ผ่านสัญญาณเครือข่าย เป็นภาพและเสียง ถ่ายทอดไปทั่วทั้งเกาะ

/จากนี้ไปจะเป็นการเปิดแถลงการณ์ ทั่วทั้งเทอร่า เป็นแถลงการณ์ จากประธาน ลอว์เอน ค่ะ/
เสียงตามสัญญาณ ดังขึ้นพร้อมกับ จอโทรทัศน์ ที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆในโรงอาหาร ทั้งที่เปิดหรือปิดอยู่
พากันเปลี่ยนเป็น ภาพถ่ายทอดที่ส่งมาจากห้องแถลงการของ ประธานลอว์เอน(Law-aen)

รูปภาพ

/สวัสดีครับ ชาวเทอร่า ทุกท่าน ตัวกระผมนั้นคือ ลอว์เอน เป็นผู้นำสูงสุดของ Empyrean Adjust ณ ปัจจุบัน/
ประธาน เริ่มแนะนำตัวออกอากาศ บรรดาผู้ที่อยู่ในโรงอาหาร รวมไปจนถึงส่วนต่างๆของเกาะที่สามารถ
ดูการถ่ายทอดสดนี้ได้ต่างก็หยุดและวางมือจากงานที่ทำมาเพื่อ ดูถ้อยแถลงของ ประธาน

………………………………………..

ยาน พอลลิดัส

ภายในห้องควบคุมหลักของ ยาน ซาน (San) เรียกตัวทุกคนให้มารวมกันที่ห้อง ได้แก่ เอมิล เซน่า เรกกะ และฮายาเตะ

รูปภาพ
รูปภาพรูปภาพ
รูปภาพรูปภาพ

“ มีเรื่องอะไรเหรอ ถึงได้เรียกมากันหมดแบบนี้น่ะ? ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่ทุกคนมากันครบแล้ว ซาน จึงเปิดการถ่ายทอดของ ประธานลอว์เอน
ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่ว เทอร่า ทุกคนในห้องพากันตกตะลึงกับภาพออกอากาศ

/แม้ว่าการแทรกแซงของเราจะผ่านพ้นไปแล้ว และได้ฝากความแค้นความฝังใจ ไว้กับคนอีกหลายคนก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น ทุกอย่างก็จบลงด้วยดีทุกฝ่ายต่างสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่แล้วทำไม
สงครามจึงยังมีอยู่อีก ทำไมจึงยังมีผู้สูญเสียและผู้โศกเศร้าจากสงครามเกิดขึ้นมาอีกอย่างต่อเนื่อง/

ประธาน ออกถ้อยแถลงการณ์ อย่างออกรสเพื่อจะปลุกระดมผู้คนที่ได้รับฟังและเห็นด้วยกับเขา

/ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการบงการอยู่เบื้องหลังของคนกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น คนเหล่านั้น
เป็นพวกพ่อค้าที่หากินกับความตาย พวกมันจุดชนวนของสงคราม แล้วจึงหลอกขายอาวุธเพื่อให้ผู้คนใช้ห้ำหั่นกัน
เป็น ธรรมดาของมนุษย์ หากถูกกระทำก็จะกระทำตอบ แล้วก็จะวนเวียนเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้

ก็คือวิธีการที่พวกมันใช้หากิน ในโลกที่สงบสุขและมีแต่สันติ มันหากำไรไม่ได้ พวกมันจึงต้องยุแยงตะแคงรั่ว
ไปเรื่อยๆ /

ประธาน หยุดพูดไปซักครู่ เพราะใส่อารมณ์กับการ ออกแถลงการณ์มากเกินไปจนทำให้หายใจไม่ทัน
แต่แล้ว ก็มีอีกคนเดินเข้ามาในกล้อง เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับ ราชาฟ ไม่ผิดเพี้ยน
ราวกับเป็นคนๆเดียวกัน เธอเข้ามารับรายงานที่แถลงต่อจาก ประธานก่อนจะกระแอมไอ เสียงครั้งเพื่อปรับเสียง
และเริ่มพูด

/คิดว่าทุกท่านอาจจะยังไม่เชื่อ เพียงเพราะเป็นคำพูดของพวกเรา ที่เป็นเหมือนองค์กรก่อการร้าย แต่ว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อ
หลายปีมาแล้วตอนนี้ พวกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะท่านประธาน และในตอนนี้พวกเราก็อยากที่จะช่วยให้
เทอร่า ได้พบกับสนติสุข อย่างแท้จริง หากท่านยังไม่เชื่อ เราก็อยากจะถามว่า สิ่งที่ สหประชาคมทำไปนี้คือเรื่อง
ที่ถูกต้องแล้วหรือ?/

ภาพถูกตัดเป็น วีดิโอบันทึก จากยาน รัฟอัส ที่ไปเข้าแทรกแซงที่ มิสรายิม เมื่อ เดือนก่อนภาพเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่
การใช้งานและทารุณกรรม ของสหประชาคมโลก ไปจนถึงการเข้าทลายด่านกักกัน เยี่ยงวีรบุรุษ ของ
พวก เฟนท์ เพียงแค่ภาพที่แพร่ออกไปนี้ ก็ทำให้กว่าครึ่ง ของเทอร่า ตกอยู่ใต้การเชิญชวนของ องค์กรเป็นที่เรียบร้อย

ภาพถูกตัดกลับมายังห้อง ออกอากาศอีกครั้งโดยคราวนี้ ประธาน เป็นฝ่ายกลับมาพูดแถลงการณ์ด้วยตัวเอง โดยมี
เด็กสาวผู้มีใบหน้าคล้าย ราชาฟ ยืนอยู่ข้างๆ

/ทุกท่านคงจะได้ชมกันไปแล้ว ผมขอรับรองว่านั่นคือเหตุการณ์จริงทั้งหมดที่ หน่วยงานของเราบันทึกเอาไว้ได้
ขณะปฏิบัตภารกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกกดขี่ …ทำไมเราถึงจะต้องมายอมให้คนเหล่านี้จูงจมูกกันด้วยมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะลุกขึ้นสู้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ทุกท่านจะรู้แล้วหรืไม่ว่า ศัตรูของเราคือใครกันแน่ ใครกันที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ใครกันที่ทำให้พวกเรากลายเป็นคนหูตาฟ้าฟาง มองไม่เห็นความทุกข์ยาก ของคนอื่นไป คนเหล่าคือพวกที่
เรียกตัวเองว่า ซอร์ดอม(Zordom) เหล่าคนบาปจากแดนนรก ที่จะแผดเผาพวกเราด้วยไฟสงครามพวกมันคือพ่อค้า
ความตายศัตรูที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของ ชาวเทอร่า ที่หวังในสันติสุข /

ทันทีที่ ถ้อยแถลงการณ์ของประธานจบลง ภาพของสมาชิกที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับ ซอร์ดอม ก็ถูกแพร่ออกมา
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำระดับสงในประเทศที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีไปจนถึง ประเทศที่มีหน้ามีตา อีกหลายประเทศด้วยซ้ำ
ซึ่งในนั้นยังรวมถึง เหล่าสภาสูงแห่งเมกาโธโปลิส ด้วย

“ นี่เค้า คิดจะทำอะไรกันแน่… ”
เรกกะ เปรย พวกเขาต่างพากันนึกไม่ถึง Empyrean Adjust จะกล้าเสี่ยงทำเรื่องแบบนี้ เพราะนี่เท่ากับเป็นการประกาศ
รับให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมกับ เป้าหมายขององค์กร โดยตรง นอกจากนี้ยังมีเรื่อง เด็กสาวที่ใบหน้าคล้ายกับ ราชาฟ
ที่ออกในการถ่ายทอดเมื่อครู่ด้วย ซึ่งทำให้ทุกคนหันมา มองเรกกะ แต่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

“ พวกนั้นน่ะไม่ได้แค่พูดลอยๆหรอกนะ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็มีข่าวการเข้าแทรกแซงจากองค์กร แทบจะหนาหู
แถมยังไปในทางที่ดีซะด้วย คิดว่าถ้าแถลงการณ์ครั้งนี้ได้ผล ล่ะก็อีกไม่นานคงจะเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่เลยล่ะ ”

ซาน อธิบายพร้อมกับเปิด รายงานข่าวทั้งหมดที่เธอรวบรวม มาตลอดให้ทุกคนได้ทัศนา
ทั้งห้องถึงกับเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุด ฮายาเตะ ต้องขยับเพื่อหาทางรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะระหว่าง โครโน่ ไม่อยู่
ที่นี่ เธอจะต้องรับผิดชอบ ยานและลูกเรือทุกคนแทนไปก่อน

“ มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่ องค์กรจะรวมพลเพื่อโจมตี ซอร์ดอม? ”
“ ประมาณ 80% ค่ะแต่ที่จริงแล้วถึงจะไม่ได้กำลังสนับสนุนเพิ่มจากการนี้ คิดว่าทางองค์กร เองก็คงจะ
ไม่อยู่เฉยและหาทางเข้าโจมตีอยู่ดี”
ซาน ตอบพร้อมกับชี้ไปที่รูปของเหล่าสภาสูงแห่งเมกาโทโปลิส ที่เพิ่งจะเก็บมาจากการถ่ายทอดเมื่อครู่
“ รวมถึงการปราบปราม กลุ่มสมาชิกพวกนั้นด้วย ”
เธอบอก เวลานี้ เซน่าก็ถึงกับหน้าถอดสีบ้านเกิดของเธอ ประเทศเธออาจจะตกเป็นเป้าจากทั้ง เทอร่าอีก เหมือนดังเช่นใน ประวัติศาสตร์สงครามเทอร่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่ทำให้ เมอริเซีย ล่มจมไปทั้งทวีปมาแล้ว และตอนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก

“ งั้นฝากเธอ ช่วยเรียงลำดับมาคร่าวๆทีนะว่า ฝ่ายนั้นจะเริ่มโจมตีจากทางไหนก่อน ”
ฮายาเตะ สั่งก่อนจะหันกลับไปยังคนที่เหลือเพื่อที่จะแจกแจงหน้าที่ให้กับทุกคน แต่เธอก็ต้องหยุดไปเมื่อเห็น สีหน้ากังวล
ของ เซน่า

“ ตอนนี้เราควรจะ…กลับไปที่ เมอริเซีย ก่อนดีกว่านะ ”
เรกกะ ออกความเห็น

“ แต่ถ้าเราเคลื่อนไหวตอนนี้ ก็อาจจะตกเป็นเป้าของ องค์กรก็ได้ ”
ฮายาเตะ แย้ง
“ ถึงเราจะรออยู่ที่นี่ไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้ เทอร่า กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งแล้ว
ถ้าเราไม่กลับไป บางทีเราอาจจะต้องหนีไปตลอดเลยก็ได้ ”
เรกกะ โต้กลับ ฮายาเตะ รับเหตุผลมาขบคิดดูก่อนแล้วจึงถามขึ้นกับทุกคน
“ ถ้างั้น ทุกคนคิดว่ายังไงล่ะ ”
คนอื่นพากันหันหน้าหากันเพื่อปรึกษาก่อนจะให้ เอมิล เป็นคนบอกคำตอบแทน

“ ก็อย่างที่ เรกกะ บอกไป ตอนนี้คำตอบที่พวกเรากำลังตามหา บางทีมันอาจจะกระจ่างขึ้นมาแล้วก็ได้
อีกอย่างถ้ากลับไปล่ะก็ พวกเราอาจจะพอทำอะไรได้บ้าง..ไม่สิ พวกเราในตอนนี้ต้องทำได้แน่ เนอะ ”
เอมิล พูดพร้อมหันไปทาง เรกกะ

“ เข้าใจแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราก็เตรียมตัวกันเถอะ ”
ฮายาเตะ ตอบก่อนจะเริ่มสั่งทุกคนไปประจำที่เพื่อเตรียมออกยาน

………………………………….
…………………………………………

หนึ่งสัปดาห์ หลังการออกแถลงการณ์ของ Empyrean Adjust

ณ ฐานทัพของ ซอร์ดอม บนเกาะแห่งหนึ่งในอาณานิคม นิคโคอุ หลังการออกแถลงการณ์ของ Empyrean Adjust
ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งองค์กรก็เกิดความวุ่นวายสับสนอลหม่าน เมื่อบรรดาสมาชิก ที่แฝงตัวอยู่ในอำนาจของกลุ่มการ
เมืองต่างๆถูกเปิดโปง โดยการแถลงการณ์ ทำให้มีกว่าครึ่งที่ต้องสงสัยอยู่แล้ว ถูกโค่นล้ม และขาดการติดต่อกับ องค์กรไป
ด้านพวกที่เหลืออยู่แม้จะ เอาตัวรอดมาได้แต่ก็ตกอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคงในสถานภาพทางการเมือง

/ไหนคุณบอกว่าจัดการเก็บพวกมันไปแล้วยังไงล่ะ แล้วทำไมพวกมันถึงเอาภาพพวกนั้นแพร่ได้/
/คุณต้องรับผิดชอบนะ ลอร์ด อัสโมดาย/
เสียงตามสายสัญญาณต่างๆ จากบรรดาสมาชิกที่ โดนร่างแหจาก การแถลงการณ์พากัน ก่นด่าใส่
อัสโมดาย ผู้นำองค์กร วัยหนุ่มจนต้องขบเขี้ยวกราม เพื่อยับยั้งความโกรธ จนเมื่อทุกเสียงต่างเงียบลงเพื่อรอฟัง
คำตอบที่เขาควรจะให้ได้อย่างสมเหตุสมผล

“ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก พวกคุณที่ยังเหลือรอดมาได้ถึงตรงนี้ อีกเดี๋ยวพวกมันจะต้องบุกมาที่นี่ก่อนอยู่แล้วล่ะ
เมื่อถึงตอนนั้น มจะให้พวกมันได้รับรู้ด้วยตัวเองว่าการที่กล้ามาแหยกับเราน่ะผลมันจะเป็นเยี่ยงไร ”
อัสโมดาย ตอบด้วยเสียงอันแหบแห้ง ก่อนจะตัดการติดต่อทั้งหมดจากพวกที่ปัญหาทั้งหมดไป
และเงยหน้าขึ้นมอง ดูเงายักษ์ที่สูงใหญ่มโหราฬ ซึ่งกำลังหลับไหล อยู่หลังบานกระจกของระเบียงห้องที่เขา
นั่งอยู่

“ ในที่สุด การค้นคว้าก็เสร็จสมบรูณ์ฉันจะพวกแกได้เป็นเหยื่อสังเวยแก่ โอโรจิ เป็นพวกแรก ไอ้พวก Empyrean Adjust ”
อัสโมดาย ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างสุขใจ ก่อนจะหัวเราะลั่น ราวกับคนบ้า

………………………………………….

พื้นที่ส่วนวิจัยพัฒนา เจ้าอสูรร้าย ซึ่งกำลังหลับไหลอยู่ นั้นเอง องเมียวจิ นิว(OutLaw Onmyoji) ก็ได้ พา
สเตลท์นิก(Stellnic Leoric) น้องสาวของ พรายด์เข้ามาพบกับเจ้าอสูรยักษ์

“ นี่คืออะไรเหรอ นิว? ”
สเตลท์ วิ่งเข้าไปหลบหลัง นิว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงปนกลัวอย่างฉงน อะไรก็ตามที่
กำลังคุกคามออกมาจาก ร่างของ เจ้าอสูรกาย ตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว แม้แต่ตัวเขาเอง
ที่เคยผ่านสมรภูมิและความตายมานับไม่ถ้วนเองก็ยังรู้สึกใจสั่นเมื่อมาอยู่ต่อหน้ามัน

เขานึกถึงวิธีอื่นนอกจาการสะกดจิตไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่า จะให้ สาวน้อยที่กำลัง หลบหลังเขาอยู่เข้าไป
เป็นแกนกลางให้กับมันเพื่อขับเคลื่อน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองถ้าต้องถูกบังคับให้ขึ้นไป ก็คงไม่ยอมเป็นแน่
แต่จากผลการทำวิจัยขององค์กรแล้ว เธอเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะเชื่อมต่อกับ อสูรกายโบราณ
ที่พวกเขากำลังปลุกชีพมัน ได้อย่างดีเยี่ยม นี่คือเหตุผลหลักๆที่ทำให้เขาต้อง ดั้นด้นไปพาตัวเธอกลับมาจาก
หมู่เกาะวงกตสายน้ำ แม้จะไม่ได้ ไครซิสเซอร์ กลับมาเพราะ พรายด์ทำลายมันทิ้งไป

หลังจากตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว จึงจับไหล่ทั้งสองของเธอไว้ไม่ให้หนีไปไหน ก่อนจะจ้องไปดวงตา
ของเธอ และใช้มนต์อำนาจ สะกดเธออย่างช้าๆ คำพูดหว่านล้อมที่ช่วยกระตุ้นให้การสะกดได้ผลดียิ่งขึ้น
ค่อยๆหลุดออกจากปากของเขา

“ สเตลท์ อีกไม่นานก็จะมีคนมาที่นี่ มาเพื่อฆ่าสเตลท์ และทุกคน สเตลท์ต้องปกป้องทุกคนเข้าใจนะ ”

ดวงตาของสาวน้อย เริ่มหรี่แคบและเหม่อลอยในที่สุด ปากของเธอขยับอย่างช้าๆ
“ สเตลท์ จะสู้จะไม่ยอมให้ใคร มาฆ่า นิว แสตกท์ กับ อาวล์…ไม่ยอม ”
เด็กสาวตกปากรับคำอย่างหนักแน่นอันเป็นสัญญาณว่าตอนนี้ มนต์สะกดของเขาได้ที่แล้ว จึงส่งเธอให้กับ
พวกเจ้าหน้าที่ นำตัวไปใช้งาน

“ อยากจะรู้นักว่าแกจะเอาอะไรมาสู้ลองได้เจอกับ พญาอสรพิษแปดเศียร คราวนี้ถึงคราวของแกแล้ว เจ้าอัศวินมังกร ”
นิว เปรยอย่างสะใจภาพความคิดอันหอมหวาน ในชัยชนะที่จะได้รับหลังจากนี้ไปเป็นอะไรที่เขาเองก็อดใจรอไม่ไหว
ทั้งที่ตนเพิ่งจะส่งให้ สาวน้อยที่เชื่อใจ ไปเป็นหัวใจของ อสูรกาย

…………………………………
………………………………………..

อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ณ เกาะพรางแสงอันเป็นฐานทัพภาคพื้นขององค์กร Empyrean Adjust
ซึ่งไนเวลานี้ สนามอนุภาคที่ทำให้ตัวเกาะล่องหน ถูกปลดลง และเผยตัวต่อสายตาของ บรรดากองทัพ จาก
อาณานิคม ต่างๆที่เห็นด้วยและตอบรับการขอความร่วมมือจากองค์กร แห่แหนกันมารวมตัว เพื่อจะบุกทำลาย
รากเหง้าแห่งความบรรลัย อย่าง ซอร์ดอม ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว อาณานืคมที่มาเข้าร่วม คือพวกที่ได้รับการช่วย
เหลือจาก องค์กร ในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ภายในยาน รัฟอัส ตอนนี้พวกลูกเรือต่างกลับมาประจำการกันอย่างพร้อมเพรียงเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสำหรับ
แผนการณ์ใหญ่ ที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า

“ ว้าวมากันให้พรึ่บเลยแฮะ ”
ไรด์ พูดอย่างทึ่งๆ ขณะมองผ่านกระจกยาน ออกไปยังกองเรือที่แห่กันเข้ามาเทียบท่าของเกาะ

“ หมดนั่นเป็นพวกที่เห็นด้วยกับความพยายามของ ท่านประธานสินะ ”
พรายด์ พูดจำนวนของกองกำลังที่มาเข้าร่วมนั้นทำให้เขารู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น

“ แต่ว่านะมารวมกันเยอะขนากนี้มันจะไม่มั่วเอาเหรอ พวกสหพันธ์น่ะ ว่าไปอย่างแต่พวก
สหประชาคมบางส่วนก็มาด้วยเหมือนกันนะ ”
ไอ พูดแม้จะได้ขุมกำลังเพิ่มแต่ก็แลกกับความเสี่ยงที่จะถูกสอดแนจากกองกำลังที่ข้าร่วมด้วยสูงขึ้นไปอีก
เพราะสำหรับองค์กรแล้ว ความลับต่างๆขององค์กรคือ อาวุธชั้นเยี่ยมด้านการข่าวสารที่ทำให้ บรรดาอาณานิคมต่างๆ

พากันยำเกรง ในตัวพวกเขาแต่เมื่อมีการเปิดรับ เช่นนี้เธอกลัวว่าอาวุธชิ้นนี้จะหายไปเพราะ อาณานิคมทั้งหมดที่มาเข้าร่วมหากกลายเป็นศัตรูเข้าในซักวัน พวกเขาจะเหลืออะไรอีก

“ ไม่ต้องห่วงไปหรอก การรวมผลครั้งนี้คือสัญญาณของการเริ่มศึกชี้ชะตา หรือก็คือศึกใหญ่ครั้งสุดท้าย
หากสำเร็จ การมีอยู่ขององค์กรก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ”
เด็กหนุ่มผมสีทอง ผู้ซึ่งมีใบหน้าคล้ายกับ เรกกะ จนแยกไม่ออก ปรากฏตัวพร้อมกับตอบคำถามของ
ไอ โดยที่ทั้ง เฟนท์ ไอ พรายด์ และ ไรด์ ต่างก็ไม่แปลกใจกับการมาเยือนของ เขาเลย
นั้นก็เพราะว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ถูกบรรจุเข้าเป็น หนึ่งในทีม Shangri-la เป็นที่เรียบร้อย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

เฟนท์ มองดูเด็กหนุ่มผู้มาใหม่นี้ อย่างถี่ถ้วนพร้อมกับขบคิดไปด้วย
{ศึกสุดท้ายงั้นเหรอ อย่างประธานคงไม่หาเรื่องใส่ตัวโดยไม่หาทางรับมือไว้ก่อนอยู่แล้วบางทีอาจจะมีแผนการณ์
อื่นเตรียมไว้ ส่วนทีมทำการแทรกแซง อย่างพวกเราอาจจะไม่จำเป็นต่อแผนการณ์อีกแล้วก็เป็นได้ ถึงได้กล้าใช้วิธี
เปิดอกหมดตัวแบบนี้ ตี่น่าสงสัยยิ่งกว่าก็คือ ซาราเบลด หมอนี่ไม่ใช่แค่ที่หน้าตาแต่ว่าทั้งเสียงแล้วก็นิสัย แทบจะลอกแบบกันมาเลยก็ว่าได้ จะมีที่ต่างกันก็คือความคิด นี่ล่ะมั้ง}

เฟนท์ คิดพร้อมกับทบทวนถึงครั้งแรกที่ได้พบกับ เด็กหนุ่มผู้นี้ วันที่ประธานพามาแนะนำให้กับ
ทีมของพวกเขา ได้บอกชื่อของ คนๆนี้คือ เรกกะ ซาราเบลด(Recca Zarablade) ซึ่งนี่เป็นชื่อเก่าที่ เรกกะ
เพื่อนสนิทของตนเคยใช้ก่อนจะรู้ซึ่งพูมหลังของตัวเองว่าเป็น เพียงร่างที่จำลองมาจาก บุคคลที่ชื่อ เรกกะ ซาราเบลด

เท่านั้น สำหรับสันนิษฐานเกี่ยวกับตัว ของซราเบลดที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ก็มีระหว่าง คนๆนี้คือ เรกกะ ซาราเบลด ตัวจริง หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่ร่างจำลอง เช่นเดียวกับ เรกกะ ที่ใช้ชื่อนามสกุล เป็น เรกกะ ซาราเบลด เท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ เฟนท์ รู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจ ในตัวประธาน ลอว์เอน ขึ้นมาก็คืออีกบุคคลที่

ปรากฏตัวขึ้นในการถ่ายทอด แถลงการณ์ ซึ่งเธอก็มากับ ประธานด้วยในตอนที่พา ซาราเบลด
มาแนะนำ เด็กสาวผู้มีใบหน้าคล้ายกับ ราชาฟ ซึ่ง ทั้งประธานและ ซาราเบลด ต่างก็เรียกเธอว่า V2(วีทู)
สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง V2 กับ ซาราเบลดก็คือ ทั้งสองจะใช้ขนนก ประดับทรงผมไว้คนหนึ่งเส้น

รูปภาพ
รูปภาพ

……………………..

สัปดาห์ต่อมา กองเรือและยานรบทั้งหมด ที่เข้าร่วมกับ Empyrean Adjust ก็ได้รับข้อมูลที่ตั้งของ ศัตรูรวมไปจนถึงชัยภูมิ ทั้ง
หมดที่ ทางองค์กร รวบรวมมาได้ และออกเดินทางมุ่งหน้าสู่การรบตัดสิน ตามคำบอกกล่าวของ ประธาน ลอว์เอน
กองทัพใช้เวลา กว่า 2 อาทิตย์ ในที่สุดก็ถึงที่หมาย เส้นทางน้ำรอบเกาะ อันเป็นที่ตั้งของ ฐานทัพซอร์ดอม

ทั้งบนเกาะ และ อาณาบริเวณโดยรอบ ปกคลุมไปด้วย หมอกทะเลที่ทั้งหนาและทึบบดบังทัศนวิสัยในการรบ
ไปมาก เพียงแค่จอดเรือ ไว้รอบตัวเกาะ ก็แทบจะถูกหมอกกลืนหายไปแล้ว พวกเขาจึงต้องอาศัย เรดาห์
เป็นตาให้กับ ยาน หรือ เรือแทน
ด้วยจำนวน กองเรือและยานรบที่มีมากมาย จึงสามารถล้อมทั้งเกาะเอาไว้ได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็เสี่ยงต่อการโจมตีใส่กันเอง
หากเกิดการปะทะขึ้น เพราะทัศนวิสัยโดยรอบถูกบดบังด้วยหมอก ทางกองกำลังจึงต้องการ จะเจรจากับอีกฝ่ายดูก่อน

ยานรัฟอัส ห้องควบคุมหลัก

“ เปิดช่องสัญญาณหลักที เราจะเริ่มเจรจา กับฝ่ายโน้นก่อน ”
เมอร์อาเน่ กัปตันยาน ซึ่งเธอและได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ เป็นทัพหน้าในการบุกโจมตี ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของ
Empyrean Adjust เพราะมีเพียง ยานรัฟอัส เท่านั้นที่มีหน่วย Valkyrier

/พวกเราคือกองกำลังสัมพันธมิตร ร่วมระหว่าง สหประชาคมโลก สหพันธ์โลก และ
องค์กรติดอาวุธเอกชน Empyrean Adjust บัดนี้พวกเราได้ล้อมฐานกำลังของคุณเอาไว้แล้ว หากยอมจำนน แต่โดยดี
เราจะไม่ทำการโจม…/

การเจรจาของ เมอร์อาเน่ ยังไม่ทันจะเริ่มด้วยดี ก็มี ลำแสงความร้อนพุ่งตัดหมอกไปทางกาบขวาของยาน รัฟอัส และระเบิดออกเป็นวงกว้างกลืนทั้งกองยานรบ และ กองเรือ ด้านหลัง รัฟอัส ไป 1ส่วน 4 ของทั้งหมด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังอึ้งกับการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อครู่ ก็มีลำแสงโจมตีมาอีกระลอกถึง 7 สายด้วย กันสาดทำลาย
กองเรือ โดยรอบจนพินาศเกือบสิ้น

“ มันโจมตีมาจากไหนน่ะแล้วก็จำนวนศัตรูด้วย ”
เมอร์อาเน่ ถามไปยัง ต้นหนเรือที่ควบคุมการทำงานของ เรดาห์
“ มาจากเกาะค่ะ ส่วนจำนวน คาดว่ามีแค่เครื่องเดียวค่ะ ”
ต้นหน ตอบอย่างทุลักทุเล เพราะแม้จะมีการโจมตีออกมาถึง 8 ครั้งด้วยกันแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏวี่แวว
ของกองกำลังศัตรู หากแต่ที่จับสัญญาณได้นั้นมี แค่ศัตรูเพียงตัวเดียวเท่านั้น

“ ตรวจจับความร้อนได้มันกำลังเล็งมาทางเราครับ ”
เจ้าหน้าที่อีกนาย รายงานแทรกเข้ามา

“ เคลื่อนหลบ! หักหัวเรือลง 50 เราจะลงจอดบนพื้นน้ำ บอกให้ทุกคนเตรียมรับแรงกระแทก ”
เมอร์อาเน่ สั่ง เจ้าหน้าที่ทุกนายในห้อง รีบปฏิบัติ กันอย่างรวดเร็ว จนสามารถนำยานหลบลำแสง ได้อย่างหวุดหวิด แต่ทว่า
กองเรือด้านหลังที่หลบไม่ได้เพราะแออัดกันอยู่ก็ ต้องรับลูกหลงไปแทน

“ ชิ..ไม่ได้การแน่ ขืนเรากระจุกกันอยู่แบบนี้ก็มีแต่เป็นเป้าให้มันเท่านั้น สั่งให้กองเรือ กระจายตัวออกไป
ยานรบที่มีอาวุธประเภทลำแสง ให้ขึ้นมาอยู่ทัพหน้า แปรรูปขบวนแถว เป็นวงล้อมแล้ววิ่งไปรอบเกาะ จากนั้น
ใช้อาวุธทั้งหมดระดมยิง ให้กองเรือที่ถอยไป คอยช่วยสนับสนุน และช่วยเหลือคนที่ยังรอดซะ! ”

เมอร์อาเน่ สั่งการจบ กองเรือทั้งหมดที่อยู่รอบๆจึงแล่นห่างออกไปและให้ ยานรบ บินข้ามขึ้นมาอยูแนวหน้าแทน
พร้อมกับ วิ่งวนเป็นกลมก่อนจะเปิดฉากระดมยิงใส่

“ เครื่องเดียวงั้นเหรอ ขนาดของศัตรูล่ะ ”
เมอร์อาเน่ หันมาถามต้นหนอีกครั้ง

“ ค่ะขนาดของมันใหญ่มากคาดว่าจะเป็นป้อมปราการที่มีอาวุธลำแสงจำนวน 8 กระบอกรอบทิศค่ะ ”
ต้นหน ตอบ

“ ป้อมปราการงั้นเหรอ? ” เมอร์อาเน่ เปรยแต่แล้วสิ่งที่ทำให้ทั้งเธอและ ต้นหนเรือต้องเปลี่ยนความคิด
ก็เกิดขึ้นเมื่อลำแสงที่ควรจะยิงเป็นทิศทางตายตัว กลับยิงสาดออกมาในทิศเดียวกันจน กองยานและเรือ
ในแถบนั้นพินาศในคราเดียว

“ อะไรกันน่ะ มันปรับวิถียิงได้รอบเลยงั้นเหรอ?! ”
เมอร์อาเน่ ร้องตั้งแต่รบมานานนม เธอยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย

/ฮ่าๆๆๆ เป็นไงเล่าบรรดาผู้โง่เขลา ที่คิดแข็งข้อต่อเรา ซอร์ดอม เสียงที่กำลังได้ยินอยู่นี้คือเราผู้นำสูงสุดของ ซอร์ดอม
ลอร์ดอัสโมดาย /
เสียงถูกถ่ายทอดผานสัญญาณกลางให้ทั้งกองทัพได้ยิน

“ ลอร์ด อัสโมดาย ผู้นำของพวกมันงั้นเหรอ? ”
เมอร์อาเน่ เปรย

……………………………..
………………………………………

ยานพอลลิดัส หลังออกจาก โลกอส ก็ได้เดินทางด้วยการดำน้ำตัดผ่านมาตามแนวชายแดน และกำลังดำ
ผ่าน แนวชายแดนของ หมู่เกาะนิคโคอุ

“ ฮายาเตะเมื่อกี้ เรดาห์จับได้ว่ามีการสู้รบกันอยู่ ”
เอมิล รายงานจากข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลของยานแล้ว

“ มันมาจากไหนกันน่ะ ” ฮายาเตะ ถาม
“ รู้สึกว่าจะมีปฏิกิริยา อนุภาค อิออนดิวเทเรี่ยม ด้วยนะ ” เอมิล รายงานข้อมูลที่เข้ามาใหม่

“ อนุภาคงั้นเหรอ? ก็แสดงว่า Empyrean Adjust กำลังรบอยู่น่ะสิจะเอายังไงดีล่ะ เรกกะ ”
เธอหันไปถาม เรกกะ ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ

“ ไปดูกันเถอะบางที อาจจะเป็นพวก เฟนท์ ก็ได้ ”
เรกกะ ตอบ

“ ถ้างั้น หักหัวเรือซ้าย 30 เราจะเข้าไปยังจุดที่มีการสู้รบ ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมด้วย ”

………………………………………

/คิดรึว่ายกกองทัพมากันแค่นี้ จะเอาชนะเราได้จงรับรู้ถึงความเขลาของพวกเจ้าซะเถอะ เริ่มจากแกก่อนเลย รัฟอัส
ที่หักหน้าไว้ ครั้งนี้จะขอใช้คืนล่ะนะ/

“ มีปฏิกิริยาความร้อนมันกำลังเล็งมาทางเราค่ะ ”
ต้นหนเรือ แจ้งเข้ามาทันที หลังจากเสียงสัญญาณของ อัสโมดาย เงียบไปแสงสว่างสีแดงเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน แปดดวง
ใหญ่ และกำลังเล็งมาที่ยาน รัฟอัส

“ เคลื่อนหลบ! ” เมอร์อาเน่ สั่ง
“ ไม่ทันแล้วครับ ” เจ้าหน้าที่ขับยานตอบแม้จะพยายามเร่งเครื่องเต็มที่แล้ว แต่ยานก็ยังแล่นไปไม่พ้นระยะยิง
เสี้ยววินาทีที่ ลำแสงกำลังจะกลืนยานทั้งลำให้หายไปนั้นเอง

“ Arcadian Plasma ยิง!!! ”

ลำแสงทำลายจากยานพอลลิดัส ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ถูกยิงออกไปตอบโต้กับ ลำแสงที่พุ่งเข้ามา
จนสามารถปัดออกไปให้พ้นได้ทัน ทั้งยาน รัฟอัส และ พอลลิดัสจึงรอดมาได้ทั้งคู่

“ พอลลิดัส งั้นเหรอ?! ”
เมอร์อาเน่ หลุดปากโดยอัตโนมัติ ไม่ทันไร อัศวินมังกรทาลิวิลย่า (Thaliwilya) ก็ทะยานตัวออกมาจาก พอลลิดัส
ก่อนจะสยายปีกทั้งสองออกจนสุด
รูปภาพ

“ Great of Dragon!!!! ”
สิ้นเสียง ลำแสงมังกรทั้ง 12 สายก็พวยพุ่งออกจาก ปลายปีกทั้งหมดตัดผ่านหมอกเข้าไประเบิด
ตูมใหญ่ที่กลางเกาะ แรงระเบิดรุนแรงมากส่งให้ หมอกที่บดบังอยู่รอบๆ ถูกพัดกระจายออกไป จนสามารถ
มองเห็นสิ่งที่อยู่บนเกาะได้ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความตกตะลึงลำดับถัดมา เมื่อสิ่งที่ปรากฏขึ้น

บนเกาะ ที่เป็นฐานทัพของ ซอร์ดอม คือ อสรพิษยักษ์ซึ่งมีหัวถึงแปดหัวด้วยกัน ขนาดของมันใหญ่โต
เสียจน เขมือบเรือทั้งลำได้สบายๆ

“ นี่มัน อะไรกัน? ”
เมอร์อาเน่ ถึงกับอ้าปากค้าง กับสิ่งที่เธอสู้ด้วยจนถึงเมื่อครู่

/ทุกคน! ตั้งสติเอาไว้นะ!/

“ เสียงนี้มัน..จากพอลลิดัส งั้นเหรอ ”
เมอร์อาเน่ เปรยหลังจากเสียง ของ ฮายาเตะ ที่ดังผ่านสัญญาณประกาศขึ้น

/อสูรกายตนนี้คือพญางูใหญ่ ยามาตะโนะโอโรจิ(Yamata no Orochi) ที่ถูกเล่าขานในตำนานของ นิคโคอุ/

รูปภาพ

“ นึกไม่ถึงเลยว่า พวกซอร์ดอมจะปลุกมันขึ้นมาได้จริงๆน่ะ ”
เซน่า เปรยอย่างรู้สึกทึ่งกับ ภาพของ พญางูโอโรจิ ที่กำลังขยับหัวส่ายไปมาอย่างฉงนงงงวย
กับการโจมตีของ ทาลิวิลย่า

“ ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับมันมีแต่ในบันทึก ที่คุณมาธิอัส ทิ้งไว้แค่นั้นเองค่ะ ”
ซาน รายงานเสียงดัง หลังจากตรวจสอบแฟ้มข้อมูลทั้งหมด ซึ่งก็มีเพียงประวัติโดยคร่าวของ
มันที่ถูกเขียนไว้ โดยมาธิอัส เท่านั้น

“ ส่งข้อมูลพวกนั้นให้กับ กองยานและเรือทั้งหมด ซะรวมถึงระยะจู่โจมของมันด้วย! ”
ฮายาเตะ สั่ง
/ทางเราขอขอบคุณที่มาช่วย แต่ว่าพวกเราไม่มีวิธีรับมือกับมัน จะข้อให้คุณช่วยเป็นทัพหน้าร่วมกับเราได้ไหม?/
เมอร์อาเน่ ติดต่อผ่านช่องสัญญาณ เข้ามา ซึ่งคำขอนั้นเป็นอะไรที่พวกเธอต้องการจะทำอยู่แล้วดังนั้น
จึงตกปากรับคำไปทันที

“ ถ้าอย่างนั้นขอ กองเรือของคุณถอยออกไปให้ไกลจากรัศมียิงให้มากที่สุดและให้ยานรบที่มีอาวุธระยะไกล
รักษาระยะพร้อมกับเคลื่อนไปรอบๆเกาะ คอยยิ่งสนับสนุนที ”
/รับทราบ!/

หลังจากทั้งสองเจรจากันเรียบร้อยแล้ว รูปขบวนของกองยานจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยมีเพียง รัฟอัส และ พอลลิดัส
ที่จอดอยู่บนพื้นน้ำ ใกล้เกาะเท่านั้น ส่วนกองเรือและยานอื่นๆถอยออกไปสนับสนุนอยู่วงนอก
ด้าน โอโรจิ ก็กำลังถูก ทาลิวิลย่า คอยปั่นหัวจนไม่อาจให้ความสนใจกับการแปรแถวขบวนรบ

“ เราควรจะทำตามพวกเขาหมดเลยอย่างนั้นรึครับ หวังว่าคุณคงยังไม่ลืมเหตุผลที่ผมต้องมาอยู่ที่ยานลำนี้หรอกนะครับ ”

เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เก้าอี้ที่ เมอร์อาเน่ นั่งอยู่ เจ้าของเสียงนั้นคือ ซาราเบลดนั่นเอง

“ ฝ่ายนั้นมีข้อมูลของศัตรูมากกว่าทางเรา แล้วก็ในด้านยุทธการ เราเองก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปตามเค้าซะหมดนี่
ว่าแต่เธอเถอะรีบไปเตรียมตัวได้แล้ว อีกเดี่ยวเรา จะส่งหน่วย Valkyrier ออกไปทั้งหมด ”
เมอร์อาเน่ สั่ง

“ คร้าบๆ ”
ซาราเบลด รับคำง่ายๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

……………………………
“ Great of Dragon!! ”
ทาลิวิลย่า ยิงลำแสงมังกร ออกไปจู่โจมใส่หัวทั้ง แปดของมัน แต่ก็แทบจะไม่ได้สะกิดเกล็ดที่แข็งราวกับ
เหล็กกล้าของมันเลย

“ เรกกะ! ”
เฟนท์กับ หน่วย Valkyrier ทั้งหมด บินตามมาสมทบเว้นแต่ สเวนที่ไม่ได้ตามมาด้วยเพราะต้องอยู่คุ้มกันยาน

รูปภาพรูปภาพ
รูปภาพรูปภาพ
รูปภาพ

“ พวกนาย…. ”
เรกกะ ทีอยู่ในร่าง ทาลิวิลย่า เปรยก่อนจะต้องสะดุดไปเมื่อ สบตากับ ซาราเบลดที่มีใบหน้าคล้ายตน

“ เชอะถึงจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ที่ต้องมาร่วมมือกับคนแบบแกก็เถอะ ”
พรายด์ สบถเพราะยังคงผูกใจเจ็บกับ การรบเมื่อครั้งก่อน แต่ เรกกะ ก็ไม่ได้ใส่ใจ
เขาหันไปปรึกษาแผนกับ ไรด์ ต่อแทน

“ เราจะกระจายกันโจมตีเพื่อล่อแต่ละหัวของมัน ให้แยกออกจากกัน พวกฉันจะเป็นตัวล่อหัวอื่นๆเอง
ส่วนนายเรกกะ กับ ซาราเบลดจะต้อง รุมโจมตี หัวใดหัวหนึ่ง พร้อมกับ หน่วยยิงสนับสนุน
เมื่อทำลายได้แล้วก็ให้ไล่ไปยังหัวต่อไปเรื่อยๆจนครบ เข้าใจนะ ”

ไรด์ อธิบาย แผนการณ์รบที่ได้รับการตกลงระหว่าง ทั้ง สองยานมาแล้ว พวกเขาจึงเริ่มแผนกันทันที
โดย ไอ ไรด์ พรายด์ และ เฟนท์ กระจายกันไปโจมตี ล่อแต่ละหัวให้สับสน ส่วน เรกกะ ก็แยกไปโจมตีหัวที่อยู่
ไกลจากฝูงที่สุด โดยใช้ดาบฟอลควอรูเก้ ปักลงไปที่ดวงตาของมันข้างหนึ่ง จนบอดสนิท

“ ดีใจจริงๆ ที่ได้มาเจอกับนายแบบนี้น่ะ ”
ซาราเบลด พูดก่อนจะชักดาบคาตานะ(ดาบญี่ปุ่นโบราณ) ออกจากฝักและใช้มืออัง ละอองอนุภาค
เอาไว้ก่อนจะใช้มันรูดคมดาบจนเกิดเป็นรัศมีแสงจับอยู่ที่คม

“ ลากูน่า!! เบลด!!!(Laguna Blade) ”
ซาราเบลด ตะโกนก้องก่อนจะสบัดดาบฟาดใส่ หัวที่ไล่ตาม เรกกะ มารัศมีที่จับรอบคมดาบพุ่งออกไปเป็น
คลื่นวงเสี้ยว ผ่าหัวของมันขาดกลางไปจนสุดโคนหัว ในทันที หัวที่ถูกผ่าเผาไหม้ตัวมันเองจนหายไปในที่สุด

“ ของดู…ของนายมั่งสิ ”
ซาราเบลด ท้าทายหลังจากแสดงคามสามารถของตนไปแล้ว เรกกะ ทำเสียงจิกจักในปาก ก่อนจะหันลำกลับไป
อีก สองหัวที่ ไอ กับ พรายด์ ล่ออยู่ แล้วใช้ ดาบฟอลควอรูเก้ ตัดให้ขาดในฉับเดียว

“ โฮ่…น่าทึ่ง ”
ซาราเบลด เปรย ก่อนจะตามเข้าไปผ่าอีก สองหัวตาม จนในที่สุดก็เหลือเพียง สามหัวที่แข็งที่สุดของ
โอโรจิ เท่านั้นที่ ไม่ว่าจะโจมตียังไงก็ไร้ผล

“ มีแค่สามหัวนี้เท่านั้น ที่ระดมโจมตีเข้าไปแล้วไม่ได้ผลน่ะ ”
ไรด์ พูด

“ ไรด์ เมื่อกี้ข้อมูลจากฝ่ายวางแผนเข้ามาบอกให้พวกเราเล็งโจมตีที่ Core ซึ่งใช้ควบคุมที่น่าจะอยู่บริเวณ อกของมัน ”
ซาน แจ้งข้อมูลที่พึ่งได้รับมาให้ทุกคน ก่อนจะรีบตามแถวขบวนของ คนอื่นๆที่นำไปก่อนแล้ว

“ Sumizome!! ”
หมอกสีดำ พุ่งกระจายเข้าล้อมพวกเขาทั้ง 6 คนเอาไว้จนตกอยู่ในความมืดมิดทันที

“ นี่มัน? ”
พรายด์ เหวอขึ้นมา

“ วิชาที่ เจ้า องเมียวจิ นั่นมันใช้กับพวกเราตอนชิง OG7(ออริจนอล เซเว่น) นี่ ”
ไรด์ สบถพร้อมกับพยายามจะจับมือทุกคนไว้ แต่สภาพภายในหมอกก็มืดเกินไปจนตัวเอง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บินหรือยืน อยู่

“ คราวนี้แหละ พวกแก! ”/Cold Sanpping/
เสียงของ อาวล์ ดังขึ้นก่อนที่ลำแสงเยือกแข็ง จะถูกยิงเฉียดถูกหน้า ไรด์ ไปเพียงนิดเดียว

“ เจ้าพวกนั้นอีกแล้วเหรอ? ”
ซาน ร้องท่ามกลางความมืดนี้ เธอโต้ตอบหรือแม้แต่จะส่งโล่ Guardian Bit ที่ไหล่ทั้งสองออกไปช่วยป้องกัน
ก็ยังทำไม่ได้ด้วย้ำ

“ เตรียมถูกย่างสดได้แล้วพวกแก! ”
แสตกท์ พูดพลางแสยะยิ้ม ปากกระบอกหน้าไม้ของเขา กำลังบีบอัดอนุภาคเป็นลูกกระสุน ซึ่งหากยิงออกไปเมื่อ
ไหล่มันจะกลายเป็นลำแสงที่มีขยนาดใหญ่พอๆกับ ลำแสงที่ ยานรบใช้โจมตีถึง 5 สายด้วยกัน

รูปภาพรูปภาพ
รูปภาพ

“ Great of Dragon! ”
เสียงดังออกมาจาก กลุ่มหมอกก่อนที่ ลำแสงมังกรนับสิบสาย จะพุ่งตัดผ่านหมอกดำจนสลายไปหมด พร้อมๆกับ
อาวล์ ที่ถูกเล่นงานจนหมดสภาพ ร่วงหล่นลงไปบนทะเล

“ อาวล์!! หนอยพวกแก ย้ากกกก ” /Kaiser Gunner/
แสตกท์ ขบกรามพร้อมกับ ลั่นไกออกลำแสงทำลาย 5 สายพุ่งตรงไปยัง พวกเขา แต่ก็สามารถแยกตัว
หลบกันได้ทันอย่างหวุดหวิด

“ ลองเจอนี่หน่อยเป็นไง ” /Infinity Doom/
พรายด์ สบถพร้อมกันกับที่ ปืนลำแสงของเขา ส่งเสียงก้องกังวาลออกมา ลำกล้องถูกตั้งขึ้นเล็งยิงทันที
สแตกท์ ที่รู้ทัน จึงรีบกางกำแพงป้องกันทันที ทว่า ลำแสงที่ถูกยิงออกมานั้น รุนแรงเกินกว่าที่กำแพงจะต้าน
ทานได้จนในที่สุด สแตกท์ ก็ถูกแรงระเบิดผลักตกทะเลไปอีกคน

“ รีบไปซะ! ”
เรกกะ ตะคอกสั่งให้พวกเขาไปกันก่อน พวก ไอ ดิ่งกันลงไปแล้ว เว้นแต่เฟนท์ เท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ
กับคำพูดของ เรกกะ จนเมื่อทุกคนไปพ้นแล้วเหลือเพียงแต่เขากับ เรกกะ เท่านั้น อาการของ เรกกะ ก็แสดงออกผ่าน
ท่าทางของ ทาลิวิลย่า ทันที เพราะเขาเกือบจะร่วงลงไปแล้วหากไม่ได้ เฟนท์ เข้ามารับไว้ก่อน

“ เรกกะ นี่นาย.. ”
“ ไม่เป็นไร…แฮ่ก ฉันไม่เป็นไร ”
เรกกะ ชิงตอบก่อนที่ เฟนท์ จะได้ถาม พร้อมกับ ผลักตัวเขาออก หลังจากที่ รักษาระดับการลอยตัวไว้ได้แล้ว
ทั้งสองจึงเริ่มทะยานตามทุกคนลงไป ทว่าเมื่อตามลงมาถึง ช่วงอกของ โอโรจิ แล้ว
การปะทะกันระหว่าง พรายด์ กับ ซาราเบลด ก็ทำใหพวกเขาต้องฉงน งงงวยเข้าไปอีก

“ ท..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ”
เฟนท์ เปรยด้วยความสงสัย

“ เฟนท์ !! ที่อยู่ข้างใน Core ของ เจ้าโอโรจิ นี่น่ะ…มัน..อุบ ”
เสียงตะโกนของ ไรด์ ดังขึ้นและขาดตอนไปก่อนจะทันพูดจบ เมื่อหันไปจึงได้พบว่า ทั้ง ไรด์ และ ไอ ตอนนี้
ทั้งคู่ต้องช่วยกัน กางกำแพงอนุภาค เพื่อป้องกันทั้ง สองคนที่กำลัง ทะเลาะกัน อยู่จาก การโจมตีของ หัวโอโรจิ ที่เหลืออีก
สามหัว

“ หึๆๆ คงสงสัยสินะว่าทำไมเรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้ ”
เสียงดังขึ้นมาจาก ด้านหลังของ เฟนท์ และ เรกกะ และแล้วทั้งสองก็ถูก นิว องเมียวจิ ที่เป็นหัวหน้าของ สองคนก่อน
ที่พวกเขาพึ่งจัดการไป พันธนาการด้วย เชือกที่เกิดจากหมอกสีดำ

“ นั่นก็เพราะว่าใน Core ของ โอโรจิ…ใช่แล้ว คนที่ควบคุม โอโรจิ อยู่ใน Core นั่นก็คือน้องสาวของ
หมอนั่นไงล่ะ ”
นิว กล่าวเสียงน่ารักม เขามองดูพรายด์ ที่พยายามสุดชีวิดเพื่อกันไม่ให้ ซาราเบลด เข้าไปโจมตี แกนกลางของ
โอโรจิ หรืออีกนัยก็คือ ฆ่าน้องสาวของ เขานั่นเอง

“ นี่แก! เล่นสกปรกกันงั้นเหรอ ”
เฟนท์ สบถอย่างรับไม่ได้ต่อวิธีการที่ นิว ใช้แต่ตอนนี้ทั้งเขากับ เรกกะ ต่างก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกมัดด้วย อาคมชั้นสูง
ของ นิว จนยากจะแก้ออกได้

“ ข้าจะให้พวกแกดู พวกพ้องฆ่ากันเองไปก่อนแล้วจากนั้นค่อยจับไปให้โอโรจิ กินทีหลังก็แล้วกัน ”
นิว แสยะยิ้มอย่างน่ารักมเกรียมจนผ้าคาดปาก หลุดออกเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่ฉีกจากปากจนถึงใบหู
อันน่ารังเกียจ

“ นี่แกคิดจะทรยศรึไงกัน ”
ซาราเบลด สบถใส่ ขณะที่พยายามจะ ปัด พรายด์ ที่ขวางทางออกไปให้พ้น ด้วยการฟาดดาบลงไปแต่พรายด์
ก็ยกเอาคันปืนขึ้นมารับไว้

“ แต่ว่า..ที่อยู่ข้างในน่ะคือ เอรี่ นะ ฉันจะไม่ยอมเสียเธอไปอีกแล้ว!! ”
พรายด์ ตะโกน จนแล้วจนรอด ซาราเบลด ก็ยังคงไม่ฟังคำขอร้องของ เขาและฟันจน ปืนขาดสองท่อนใน
ก่อนจะถีบเข้าที่อกของพรายด์เต็มแรงจนกระเด็น ออกมา

“ อย่าน้า~~~ ”
พรายด์ ตะโกนห้ามสุดเสียงในวินาทีที่ ซาราเบลด กำลังจะใช้ดาบ แทงทะลุไปถึงร่างน้องสาว
ทว่า เรกกะ ก็พุ่งเข้าตวัดดาบ ปัดดาบของ ซาราเบลด จนหลุดมือไป

“ นี่แก.. ”
ซาราเบลด สบถ ขณะเดียวกัน นิว ที่จับมัดพวก เรกกะ เอาไว้เมื่อครู่ ก็กำลังถูก สเวน ที่เข้ามาช่วย ปลดพันธนาการ
ไล่ต้อนร่วมกับ เฟนท์

รูปภาพ

“ โทษทีนะที่ มาสาย แต่ฉันไม่ค่อยชอบละครเศร้าเท่าไหร่หรอกนะ ขอจบเลยก็แล้วกัน ”/Dragon of Mine/
สเวน พูดพร้อมกับ กระชับดาบในมือแล้วฟาดออกไป เกิดเป็นคลื่นพลังวงเสี้ยวสีเขียว ผ่าร่างของ นิว จนขาด
เป็นสองท่อนทันที

“ อย่าคิดว่าเจ้าจะชนะข้าแล้ว.. ”
นิว สบถออกมาก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นหวันดำทว่า ควันเหล่านั้น กลับพุ่งเข้าไปอุดจมูกและปากของสเวนจน
หายใจไม่ออก
“ เจ้านั่นมันยังไม่สิ้นฤทธิ์ อีกเหรอเนี่ย ”
เฟนท์ สบถและพยายามหาทางช่วย พยายามรีดเร้นความคิดออกมาจน พอจะรู้หนทางบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ เฟนท์ เริ่มตั้งสมาธิ เพื่อให้สามารถควบคุมอนุภาคอิออน รอบตัวของเขา และส่งตามเข้าไปทางจมูกและปาก
ที่ควันดำเข้าไปอุดตัน จากนั้นจึงบังคับให้อนุภาคจับตัวกับกลุ่มควันคอยดูดซับพวกมันเอาไว้ การทำเช่นนี้เป็นการเสี่ยงอย่าง

มากเพราะหาก เขาพลาดแค่เพียงเล็กน้อย ละอองอนุภาคอาจจะระเบิดร่างของ สเวน จนแหลกออกมาจากข้างในได้
หลังจาก อนุภาครวมตัวเข้ากับ กลุ่มควันที่อุดตันแล้ว จึงค่อยๆดึง อนุภาคทั้งหมดให้ขับออกมา รวมกันเป็นร่างจริงอีกครั้ง

ซึ่งตอนนี้ นิว ที่ถูกจับออกมา ก็ไม่อาจขยับหนีไปได้เพราะ ร่างกายที่คืนสภาพกลับมานั้น ถูกรวมเข้าอนุภาคด้วย
ทำให้ เฟนท์ สามารถที่จะหยุดร่างกายของ เขาเอาไว้ได้

“ แหลกไปซะ ” /Fatal Smasher/
เฟนท์ ตะโกนก่อนจะทุกร่างของ นิว จนแหลกละเอียดด้วย ตะบองที่บีบอัดอนุภาคออิออนดิวเทเรี่ยม ไว้
อนูร่างของ นิว จึงถูกแผดเผาจากผลของ ละอองจนเหือดหายไปหมดสิ้น

“ นิว! ”
สเตลท์ ที่ควบคุม โอโรจิ อยู่ในแกนกลางของมัน ร้องเสียงหลง เมื่อ นิว ที่เธอต้องการจะปกป้องถูกฆ่าตายต่อหน้า
ตัวของเธอสั่นเทิ้มขึ้นมา ด้วยสัญชาตญาญ ในตัวกำลังร้องลั่นบอกว่าตกอยู่ในอันตราย ผนวกกับผลจากเวทสะกด
ทำให้ เธอเห็นภาพหลอน และเริ่มคลุ้มคลั่ง อยู่ภายในแกนกลางของ โอโรจิ

“เอรี่!! ”
พรายด์ ตะโกนไปพลางทุบ กระเปราะแก้วใสของแกนที่ขังเธอเอาไว้ อย่างเป็นห่วงเป็นใย
แต่ เธอในตอนนี้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของเขาด้วยซ้ำ ไม่นานผลจากการคลุ้มคลั่งก็เริ่มแสดงออกมาเดนชัด
หัวของ โอโรจิ ที่ถูกตัดไป คืนชีพงอก ออกจากโคนหัวทั้งหมดจนครบแปดหัวดังเดิม และยิ่งทวีความดุร้ายขึ้นไปอีก
มันจู่โจม อย่างบ้าคลั่งทั้ง กัดทั้งพ่นลำแสง กวาดทำลายกองเรือที่ถอยออกไปห่างแล้วได้อย่างสบายๆ

“ เอรี่…ไม่นะ หยุดนะ เอรี่ อย่าทำแบบนี้เลย ขอร้องล่ะ….เอรี่!!! ”
เสียงตะโกนกลั้วไปกับเสียงร่ำไหอันขมขื่น ของพรายด์นั้นไม่อาจที่จะดังเข้าไปถึง
หัวใจของผู้เป็นน้องสาว ไอ กับ ไรด์ ที่เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปลากตัวเขา ออกมาเสียก่อน เพื่อถอยไปตั้งหลักกับ

คนที่ยังเหลืออยู่ รวมไปถึง ซาราเบลด ที่ตอนนี้ยอมสยบไม่พูดหรือพยายามจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร
ที่ทำให้ต้องเสียโอกาสจัดการ กับ โอโรจิ เว้นเสียแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ ฉีกออกมาเล็กน้อย ราวกับว่าทุกอย่างกำลังเป็น
ไปตามแผนที่วางไว้

“ เราจะเอายังไงกันดี ตอนนี้มันคลั่งไปแล้ว แต่ว่า น้องสาวของ พรายด์ ยังอยู่ข้างในนั้น ”
ไรด์ ถามเพื่อขอสรุปความคิดเห็นของทุกคน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง ตัวเขาเอง เฟนท์ ไอ สเวน ซาราเบลด เรกกะ
และพรายด์ ที่ยังคงสลดอยู่

“ ว่าแต่หัวหน้าทราบเรื่องน้องสาวของ พรายด์ได้ยังไงกันครับ ”
เฟนท์ ถามเพราะดูเหมือนว่า สเวนจะรู้เรื่องเกินกว่าที่พวกเขาคิด และคำตอบก็มาถึงเมื่อ สเวน เอาเครื่อง
Crisis Terminal ที่ใช้สำหรับแปลงร่างขึ้นมา เปิดเล่นบนสนทนาในโรงอาหาร เมื่อตอนนั้นให้ฟัง

“ ก็หมายความว่า หัวหน้ารู้เรื่องหมดเลยน่ะสิ อ๊ะ! หรือกัปตันก็ด้วย ”
ไอ พูด

“ ก็นะ เพราะฉันรับคำสั่งให้มาคอยจับตาดูพวกเธอต่ออีกทอดนี่แหละ เหมือนกับเธอไง ที่ส่งตาม เฟนท์ ไปน่ะ ”
สเวน ตอบพร้อมกับย้อน เรื่องที่เธอรับภารกิจ ให้สะกดรอยตาม เฟนท์ ที่ออกไปพบกับพวกเรกกะ
เมื่อครั้งก่อน เรื่องนี้ทำเอา เธอ ต้องรีบหลบหน้า เฟนท์ ทันที เพราะเจ้าตัวเหมือนจะหันมา
เพื่อต่อว่าเธอ ที่แอบสะกดรอยเขา

“ ว่าแต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคุยกันนะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เจ้านั่นอาละวาดจนที่นี่ไม่เหลือซากแน่ ”
เฟนท์ แทรกเข้ามา เพราะตอนนี้ โอโรจิ เริ่มที่บ้าคลั่งขึ้นไปยิ่งกว่าเก่า
“ ทำลายเถอะครับ.. ”
คำพูดของ พรายด์ ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบกันไปทันที

“ เอรี่…เอรี่ น่ะ..คงจะไม่กลับมาอีก.. ”
ยังไม่ทันที่ พรายด์จะได้ปลงตกและยอมที่จะต้องทำลายทั้ง เอรี่ ไปพร้อมๆกับ โอโรจิ
เรกกะ ก็ตบเรียกสติ พรายด์ ก่อนทันที

“ อย่ามาพูดบ้าๆน่า! ถ้าต้องสูญเสียเธอไปคิดว่าใครกันที่ต้องเจ็บปวดที่สุด ตัวนายเองไม่ใช่รึไง?
คนสำคัญของตัวเองก็ต้องช่วยด้วยตัวเองสิ ”
เรกกะ ตะคอก

“ แต่ว่า..เสียงของผมน่ะ เอรี่ ไม่ได้ยินมันอีกแล้ว ” พรายด์ ร้อง
“ ถ้างั้นก็ต้องส่งมันไปให้ถึงสิ เสียงของนายน่ะ ฉันจะช่วยเอง ”
เรกกะ ตอบเสียงมั่น ก่อนจะยื่นมือ ออกไป

“ เฮ้อ~~ ก็อีหรอบนี้ทุกทีล่ะนะ นายเนี่ยยังเป็นฮีโร่จ๋าอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ ”
ไรด์ เปรยพร้อมกับเอื้อมมือไปจับกับมือของ เรกกะ จากนั้น ทั้ง ไอ เฟนท์ แม้แต่ สเวน ต่างก็
เอื้อมมือมาประสานกับเรกกะ จนหมดเพื่อจะบอกว่า หากพรายด์ ต้องการแล้วล่ะก็ พวกเขาพร้อมจะช่วยอย่างแน่นอน

“ ทุกคน.. ”
พรายด์ พูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะน้ำเสียงของเขาราวกับถูกความตื้นตันที่ เอ่อล้นออกมาภายในจิตใจ กดเอาไว้
ก่อนจะ เอื้อมไปประสานกับทุกคน

{นี่น่ะเหรอ…ความคิดของตัวฉันอีกคน}
ซาราเบลด ที่คอย มองอยู่วงนอกคิด ตัวเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงต้องทำให้มันซับซ้อนและยุ่งยากแบบนี้
สำหรับเขาแล้วการรวมใจครั้งนี้เป็นดังเรื่องไร้สาระ และไม่คิดอยากจะเข้าไปยุ่งด้วย

“ เอาล่ะ ถ้างั้นก็ฟังให้ดีนะทุกคนแผนก็คือเรา จะใช้ยุทธวิธี เดิมจัดการเบนความสนใจจาก หัวทั้งแปดของมันอีกครั้ง
จากนั้น พรายด์ จะยิงทำลายแกนกลางของมันโดยไม่ให้ โดนตัว เอรี่ ที่อยู่ข้างใน จากนั้น เรกกะ
นายเร็วที่สุดในบรรดาพวกเรา จะเข้าไปพาตัวเธออกมาก่อนที่ร่างของ โอโรจิ จะถูกทำลายเข้าใจนะ ”

ไรด์ อธิบายแผนการณ์ ให้ฟังจนจบ จากนั้น ทุกคนก็แยกกันไป เบนความสนใจของ ทุกหัว ส่วน พรายด์ นั้น
ก็เรียกเอา ปืนขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มชาร์จอนุภาค เพื่อทำการยิง เจาะแกนกลาง โดยมี เรกกะ ที่คอยจังหวะ
อยู่

“ เอรี่… ” พรายด์ เปรยเสียงสั่นเทา มือของเขาสั่นเทิ้มเมื่อต้องหันปากกระบอกปืนใส่น้องสาว
“ ใจเย็นๆไว้ นายต้องทำได้อยู่แล้ว ”
เรกกะ ให้กำลังใจเพื่อให้เขามีสมาธิมากขึ้นที่จะเล็งอย่างแม่นยำ ตอนนี้การชาร์จอนุภาคเสร็จสมบรูณ์แล้ว
เหลือแค่เพียง เหนี่ยวไกเท่านั้น พรายด์ พยายามนึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจาก เฟนท์ ตลอดหลายเดือนที่

ร่วมงานกันมา มือที่สั่นเทาหยุดสั่นแล้ว เป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าก็มองเห็นได้ชัดขึ้นทันทีที่ สมาธิ
แน่วแน่ โดยที่ไม่รู้ตัว ไก ปืนก็ถูกลั่นออกไปแล้ว พร้อมๆกับ เรกกะ ที่ออกตัวไปด้วยความเร้วที่แทบจะตามกับ
ลำอนุภาคที่ถูกยิงออกไปเลยทีเดียว

ลำแสงอนุภาคเจาะทะลุกระเปราใส บริเวณอกของ โอโรจิ จนทะลุกลวงโบ่ไปในทันที ส่งผลให้ทั้งแปดหัว
หยุดนิ่งไป ร่างของมัน เริ่มเผาตัวเองให้กลายเป็นขี้เถ้า เรื่อยๆแล้ว เรกกะ ใช้แรงทั้งหมดที่มีทุบกระเปราะ
แก้วที่ร้าวจนแตกละเอียด และดึงร่างของเธออกมาได้ทันก่อนที่ ไฟจะครอกทั้งตัว โอโรจิ

“ สำเร็จ…ช่วยได้แล้ว…เอรี่.. ”
พรายด์ เอ่ยออกมาไม่เป็นคำความตื้นตันปนกลั้วไปกับความยินดีที่ถาโถม ร่างของพญาอสรพิษ ที่กำลังลุกไหม้ คือสัญญาณแห่งชัยชนะ ของการบุกโจมตีในครั้งนี้
หลังจากไฟมอดสนิทแล้ว กองเรือที่ถอยออกไปก็เล่นเข้ามา ล้อมเกาะเอาไว้อีกครั้ง พลทหารจากแนวร่วมพันธมิตร ยาตรา
ขึ้นไปบนเกาะ และออกควานหาตัวผู้นำของ องค์กร กันจนสับสนอลหม่าน

“ ฉันจะลงไปสำรวจข้างล่างซักแปปนึงนะ ทุกคนช่วยอยู่ประจำยานด้วย ”
ฮายาเตะ กล่าวก่อนจะลุกจากเก้าอี้

“ จะไปไหนหรือคะ? ” ซาน ถาม
“ ไปเอาของแถมน่ะ ว่าแต่ระวังยานให้ดีๆด้วยล่ะ บางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ”
คำพูดของ เธอทำให้ ซาน งงไปพักใหญ่ก่อนจะหันไปถาม เอมิล หลังจากที่ เธอลงไปแล้ว

“ ของแถมที่ว่านี่มันอะไรเหรอ? ”
“ ฉันจะไปรู้เรอะ ”
…………………………………..

สิ่งที่โผล่พ้นกองขี้เถ้ากองโตขึ้นมา คือถ่านไม้สีดำสนิท ฮายาเตะ ที่หมายตาเอาไว้แล้วจึงรีบเข้า
ไปดึงมันออกมาจากกองขี้เถ้าจนตัวเธอมอมแมม ไปทั้งตัว เธอมองสิ่งที่ดึงออกมาดวงตาลุกวาวไปกับมัน

“ นี่สินะดาบที่ออกมาจากหางของพญาอสรพิษ คุซานางิ โนะ ซึรุกิ ”
เธอ จินตนาการไปถึงดาบเล่มงามตามเรื่องเล่าในตำนาน ทว่าสิ่งที่เธอขุดขึ้นมานี้ก็เป็นแค่ ไม้ถ่านเก่าๆซึ่งมี
รูปร่างคล้ายกับ ดาบเท่านั้นเอง ต่างจากที่คิดเอาไว้ไปมาก
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 09, 2011 3:03 pm

“ สงสัยจะไฟแรงไปหน่อย เกรียมเลยแฮะ รีบเอากลับไปก่อนจะมีใครมาเจอดีกว่า ”
ฮายาเตะ พึมพำกับตัวเองก่อนจะ จ้ำอ้าวกลับไปที่ยาน แต่ก็ต้องมาหยุดสะดุด เพราะ สอง Valkyrier ของ ซอร์ดอม
อาวล์ กับ แสตกท์ ที่ถูกอัดร่วงลงมาก่อนการต่อสู้กับ โอโรจิ นั้นนอนสลบไม่ได้สติอยู่ต่อหน้าเธอ

“ เล่นแถมกันขนาดนี้ เห็นทีจะต้องโทรเรียนคนมาช่วย ขนซะแล้วสิ ”
เธอ ถอนใจอย่างหน่ายก่อนจะเปิดวิทยุสื่อสารเพื่อเรียก เอมิล กับ เซน่า ให้ตามลงมาช่วยเธอแบกทั้ง
สองคนกลับขึ้นยานไปพร้อมทั้ง ยึดเอา Crisisor ของ ทั้งสองมาเก็บเอาไว้

“ พอจะมีเวลาให้ผมซักครู่ไหมครับ.. ”
เสียงทักทายแฝงนัย ดังขึ้นพร้อมกับ กองกำลังทหาร จาก Empyrean Adjust ถือปืนล้อมกรอบ ฮายาเตะ ที่กำลัง
จะกลับขึ้นไปบนยาน เธอรีบโบกมือเป็นสัญญาณให้ เอมิล ที่ลากตัว อาวล์ กับ แสตกท์ ขึ้นไปก่อนแล้วรีบ

ไปเตรียมตัวออกยาน จึงเหลือทิ้งไว้แค่เธอกับ เซน่า เท่านั้นที่ ทหารทุกนายมีปืน และเล็ง
มาที่พวกเธอหากขัดขืนแม้แต่นิดเดียว พวกเธอคงถูกยิงเป็นแน่แท้ เจ้าของเสียงทักทายเมื่อครู่ เดินแหวฝูงทหารออกมา
ใบหน้าของเขาสร้าง ความประหลาดใจให้กับ เธอและ เซน่า ซึ่งเล่นเอาอึ้งกันไป พักใหญ่

“ เรกกะ…ไม่สิไม่ใช่ เธอเป็นใครกัน? ”
ฮายาเตะ ถามด้วยความใคร่รู้ เพราะซาราเบลด ที่เป็นคนสั่งการทัพทหารให้มา ล้อมยานของเธอไว้
มีใบหน้าเหมือนกับ เรกกะ แทบทุกประการ

“ คงจะบอกได้แค่ว่าคำตอบของเธอนั้นถูกผิดอย่างล่ะครึ่งล่ะนะ ”
ซาราเบลด กล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้

“ เพราะผมน่ะ คือ เรกกะ…เรกกะ ซาราเบลด เป็นตัวจริง แต่ว่าผมก็ไม่ใช่เรกกะ ที่พวกคุณรู้จัก
หรือจะพูดให้ถูก ผมที่เป็นตัวจริงคือศัตรูของพวกคุณที่เป็นเพื่อนกับตัวปลอมของผม แค่นี้คงชัดเจนแล้วสินะ ”

“ แกต้องการอะไร เจ้าตัวจริง? ” ฮายาเตะ ย้อนคำ
“ ก็ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากจะขอให้คุณกลับไปกับพวกเราหน่อยจะได้ไหม โดยเฉพาะ ท่านเซน่า ด้วยน่ะ ”
ซาราเบลด กล่าวก่อนจะหันไปมอง เซน่า ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ทันที่จะเป็นไปตามแผนการณ์
ก็มีห่ากระสุน ยิงกราดมาทางพวกเขา ซาราเบลด ซึ่งยังคงสวมเกราะ Valkyrier อยู่สร้างเกราะอนุภาคขึ้นมาป้องกันไว้ได้
แต่ทหารที่มาด้วยกันก็ถูกยิงตายทั้งหมด ซึ่งผู้ที่มาช่วย พวกเธอไว้ คือหน่วยทหาร สังกัดเมกาโทโปลิส นั่นเอง

“ ท่าน เซน่า ปลอดภัยนะครับ! ”
นายกอง ตะโกนก่อนจะสั่งให้ลูกน้องคอยยิงสกัด ซาราเบลดไว้ และแบ่งบางส่วนคอยคุ้มกัน จนเซน่า และ
ฮายาเตะหนีขึ้นยานไปได้

“ อ๋อ..พวกกองทหารจาก เมกาโทโปลิส ที่ขอตามมาด้วยกันสินะ ไม่นึกเลยว่าจะ… ”
ซาราเบลด พูดไม่ทันจบก็ต้องกระโจนตัวหนี ออกห่างจากยานเพราะเพราะปืนใหญ่บนตัวยานกำลังเล็งมาที่เขา

“ ทุกคนขึ้นมาบนยานเร็ว!! ”
เซน่า ตะโกนเรียกให้ กองทหารที่มาช่วยรีบหนีขึ้นไปบนยาน ขณะเดียว กันตอนนี้ ฮายาเตะ ก็วิ่งกลับมาถึงห้องควบคุมหลัก
และเริ่มสั่งการออกยานเป็นที่เรียบร้อย

“ พวกเค้าขึ้นมากันหมดแล้วใช่ไหม ”
“ ค่ะ ” ซาน รับคำหลังจากที่มองภาพซึ่งส่งมาจากกล้องบริเวณท้องยาน ว่ากองทหารขึ้นมาครบหมดแล้ว
เอมิลจึง ปิดประตูท้องยานทันที ก่อนเหยียบสุดเกียร์ ให้ยานถีบตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทั้งยานโคลงไปมา เพราะแรงกระแทกระหว่างออกตัว

“ ไม่ให้หนีหรอกน่า ”
ซาราเบลด สบถก่อนจะหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา

“ ขอแจ้งให้ทราบ ถึงรัฟอัส จากนี้ไปจะเริ่มปฏิบัติการฉุกเฉิน ยานพอลลิดัส กำลังทำการหลบหนี ดังนั้นขอเปลี่ยนรายละเอียดของคำสั่งเป็นทำลายยานนั่นทิ้งซะพร้อมๆกับ อัศวินมังกรด้วย ”
คำสั่งของ ซาราเบลด ถูกส่งไปยังรัฟอัส และไปถึง บรรดา Valkyrier ที่กำลังอยู่ต่อหน้า เรกกะ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ ทำให้ เฟนท์ และ พวกพากันมึนงงไปตามๆกัน

“ น..นี่มันเรื่องอะไรกันครับ แล้วคำสั่งที่ว่านี่มันยังไงกัน? ”
เฟนท์ ติดต่อกลับไปยังยาน เพื่อขอคำตอบทว่า ยานได้เริ่มเปิดฉากโจมตีเข้ามาด้วย มิสไซล์ไปก่อนแล้ว
โดยมีเป้ามาที่ เรกกะ ซึ่งยังอุ้มร่างหมดสติของ น้องสาว พรายด์ ไว้ ทำให้โต้ตอบไม่ได้ เขาจึงต้องหักหลบหนีวิถี
ของมิสไซล์ เท่านั้น และรีบตรงกลับไปยังยาน พอลลิดัส ที่กำลังจะออกจาก เกาะ

“ ด..เดี๋ยวก่อนเซ่ หยุดยิงก่อน เอรี่ ไม่เกี่ยวด้วยนะ ”
พรายด์ ตะโกนไปทางยานอย่างร้อนรน

“ เธอคนนั้นก็เป็นหนึ่งในพวกที่ช่วงชิง OG7 ไปเพราะฉะนั้นไม่มีการยกเว้นเช่นกัน นี่เป็นคำสั่ง
ทำลายสองคนนั่นไปพร้อมๆกับ พอลลิดัส ซะ ”
คำสั่งของ ซาราเบลด ดังมาตามคลื่นสัญญาณ ก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่ ตามขึ้นมาและออกไล่ล่า เรกกะ
ระหว่างที่ทั้งทีมกำลังสับสนกันอยู่นั้น สเวน ก็ตั้งท่าเตรียมจะตามไปสมทบกับ ซาราเบลด จนพรายด์ เข้ามา
หยุดไว้ก่อน

“ นี่หัวก็จะทำอย่างงั้นเหรอครับ เธอน่ะถูกพวกมันบังคับนะครับ! ”
“ แล้ว นาย พิสูจน์ได้รึเปล่าล่ะว่าเธอถูกบังคับจริงๆ ”
สเวน ย้อนถามใส่ พรายด์จนเขาต้องนิ่งอึ้งไป

“ และต่อให้เธอหาข้อพิสูจน์มาได้มันก็เป็นแค่สิ่งที่บอกว่าเธอ ไม่ได้ทำเพราะสมัครใจเท่านั้นเองไม่ว่ายังไง
โทษที่บุกเข้าไปชิงเอา Crissisor ในวันนั้น ก็ไม่ได้หายไปด้วยหรอกนะถึงยังไงเราก็ต้องประหารเธออยู่ดี ”
คำตอบของ สเวน ทำให้เขา นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะตาม ซาราเบลด
และทิ้งให้เขาที่ซึ่งดวงใจถูกบีบคั้นจนแตกละเอียด ด้วยคำพูดเอาไว้กับ พวก เฟนท์ ที่ยังคงสับสนกับสถานการณ์อยู่

“ เดี๋ยวก่อนสิครับ นี่มันต้องเป็นการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ คำสั่งที่ให้จัดการกับ พอลลิดัส นี่มัน.. ”
“ นี่เป็นคำสั่งตรงจากท่านประธาน ”
เฟนท์ ถึงกับสะดุ้งกับคำตอบที่ได้ยินจาก ปาก กัปตันเมอร์อาเน่

“ พรายด์ !! จะไปไหนน่ะ!? ”
เสียงตะโกนของ ไรด์ ดังขึ้นเมื่อหันไปก็พบว่า พรายด์ ไล่ตามสองคนที่นำออกไปก่อนแล้ว

“ หรือว่าเค้าจะตามไปหยุดหัวหน้าสเวน น่ะ ” ไอ พูด
“ ถ้างั้นเราต้องรีบไปห้ามเจ้านั่นก่อนแล้วล่ะ ไม่งั้นมีหวังได้กลายเป็นคนทรยศไปแน่ ”
ไรด์ กล่าวก่อนจะพากันตามออกไปรวมทั้ง เฟนท์ด้วย

ทางด้าน เรกกะ ที่กำลังหนีอยู่ตอนนี้กำลังตกเป็น เป้าโจมตีของ ซาราเบลด

“ ถึงเวลาที่ตัวปลอมอย่างแกจะต้องหายไปแล้ว ”/Laguna Blade/

สิ้นคำพร้อมกับเสียงจากดาบคาตานะ ที่สะบัดออกไป คลื่นพลังงานได้ซัดตรงเข้าใส่
เรกกะ ในร่างของ ทาลิวิลย่า แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า จึงพอจะเบี่ยงหลบไปได้
ไม่ทันไร คลื่นที่สองและสามก็ตามมาเบียด จนเกือบเสียหลักร่วงลงทะเล

แม้ว่า พอลลิดัส จะอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม แต่เพราะ ยานรัฟอัส ระดมยิงมิสไซล์โจมตีใส่ยานอย่างต่อเนื่องจน
เข้าไม่ได้เพราะจะทำให้น้องสาวของพรายด์ ที่เขาอุ้มอยู่ได้รับอันตราย

“ เชอะ! บินไวนักนะแก หัวหน้าหน่วยสเวน อ้อมไปดักซะ มันยังเข้าไปใกล้ยานไม่ได้หรอก ”
ซาราเบลด สั่งก่อนจะรีบตามไปต่แต่ ก็ต้องชักลำกลับเพราะ ลำแสงอนุภาคยิงตัดหน้าเขาไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร
จนเกือบที่จะเป่าหัวของเขาให้หลุดไปด้วยซ้ำ

“ นี่แก คิดจะทำอะไรน่ะ? ”
เขา สบถก่อนจะหันไปยังทิศที่ลำแสงพุ่งมา ก่อนจะต้องกางกำแพงพลังงานด้วยละอองอนุภาครอบๆตัว
เพื่อปัดลำแสงที่ยิงตามมาอีกเป็นพรวน และต่อด้วย พรายด์ ที่พุ่งอ้อมเข้าด้านหลังอย่างว่องไว และใช้ปืนจ่อมาที่ขมับซ้าย

“ ยกเลิกคำสั่งซะ แล้วบอกให้หยุดยิงเดี๋ยวนี้ ”
พรายด์ ตะคอก

“ เจ้าโง่..คิดจะทรยศหรือยังไง ”
ไม่ทันที่ พรายด์จะได้ลั่นไก ซาราเบลด ก็พลิกตัว ตวัดดาบในมือไปพร้อมกับฟันเฉียงลงใส่ร่างของ พรายด์ จังๆ
คมฉีกตัดทะลุเสื้อเกราะ เข้าไปอย่างง่ายดาย และบิดกระชากออกจน เป็นแผลเหวอะ ก่อนจะถีบซ้ำจน พรายด์ กระอักออกมาเป็นเลือด และร่วงหล่นลงไป

“ ตกลงไปเป็น อาหารปลาซะเถอะ ”
ซาราเบลด สบถก่อนจะออกไล่ตามต่อซึ่ง ตอนนี้ สเวน ก็ไปดักหน้า เรกกะ เอาไว้แล้วและกำลังประดาบกันอยู่
เขาจึงอาศัย จังหวะนี้พุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วหมายจะแทงจากด้านหลังให้ดับดิ้นในดาบเดียว
แต่แล้ว พรายด์ ที่พึ่งถูกฟันร่วงลงไป ได้ทะยานกลับขึ้นมาและเล็งลำกล้องปืนที่ชาร์จประจุเต็มเปลี่ยมสวนมา

“ ฉันจะ…ปกป้อง..เอรี่!!!! ” /Infinity Doom/
พรายด์ ตะโกนร้องสุดเสียงก่อนจะลั่นไกปืนยิงลำแสงอนุภาคแรงสูง สวนใส่ ซาราเบลด ที่พุ่งเข้ามาอย่างเร็ว
จนไม่อาจหลบจากวิธียิงได้แล้ว หลังจากนั้น พรายด์ ก็ยังคงรัวยิงใส่แบบไม่ยั้งจนปืนรับไม่ไหวและช็อตไปทันที
การระเบิดเกิดขึ้นตามมาหลังจาก ลำแสงปะทะเข้ากับ ซาราเบลด จนเกิดควันสีแดงจากละอองอนุภาคฟุ้งไปทั่ว

ทั้ง สเวนและ เรกกะ ที่กำลังปะทะกันอยู่รวมไปถึงพวก เฟนท์ ที่พึ่งตามมาทัน ก็พากันหยุดนิ่งมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่าง
ระทึกใจ เมื่อควันระเบิดจางลงไป ซาราเบลด ก็ยังคงอยู่ครบสมบรูณ์ โดยมีเพียงแผลไหม้ไฟที่ ใบหน้าด้านซ้ายเท่านั้น
ทำเอาทุกคนถึงกับช็อกที่เขายังสามารถรอดมาได้

“ บังอาจ…ทำให้ใบหน้าของฉันต้องเป็นแผลงั้นเรอะ อย่าอยู่เลย!!!! ”
ซาราเบลด คำรามก่อนจะตวัดดาบสร้างคลื่นพลัง ระดมโจมตีใส่ ทั้ง พรายด์ และ เรกกะ ไปพร้อมๆกัน
พรายด์ สร้างกำแพงพลังงานขึ้นมาทานเอาไว้ ส่วน เรกกะ ต้องบินหลบหลีก อย่างยากลำบาก
และ คลื่นพลังบางส่วนที่พลาดเป้าไปก็ กระเด็นไปโดนตัวยาน พอลลิดัส อีกผนวกกับ การระดมยิงมิสไซล์ ชุดใหญ่
จาก ยานรัฟอัส ซ้ำไปอีกทีทำให้ ยานพอลลิดัส ต้องร่อนลงสู่ผิวน้ำ

“ พอลลิดัส! ”
เรกกะ ร้องอย่างใจหายกับการเสียหลักของยาน แต่ซาราเบลด ก็ยังคงโจมตีมาอย่างต่อเนื่องทำให้เข้าใกล้ยานไม่ได้
ด้าน พรายด์ ที่นอกจากจะบาดเจ็บสาหัสแล้วกำแพงอนุภาคที่กางไว้ก็เริ่มจะทานไว้ไม่อยู่จนในที่สุด การระดมโจมตี
ทั้งจาก รัฟอัส และ ซาราเบลด ก็เป็นผลกำแพงของ พรายด์ ถูกทำลาย และพัดกระเด็นไปตกบน ตัวยาน พอลลิดัส ที่ลอย
แอ้งแม้ง อยู่บนผิวทะเล

“ ตอนนี้ล่ะ!ใช้ปืนหลักเป่าพวกมันไปพร้อมๆกับยานเลย ”
ซาราเบลด สั่ง ยานรัฟอัส เริ่มทำการประจุพลังงานเพื่อใช้ปืนหลักยิงระเบิดพลังงานที่มีพลังทำลายสูง
และเล็งไปที่ยาน พอลลิดัส ทันทีที่ยานประจุพลังงานเสร็จสิ้น ลูกบอกพลังงานลูกใหญ่ถูกยิงออกมา

เรกกะ พยายามหาทางช่วยให้พ้นจากการ โจมตีนี้แต่เขาที่มีภาระอย่าง น้องสาวของพรายด์ อยู่ในมือแบบนี้
ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่แล้ว เฟนท์ ก็เข้าไปขวางพร้อมกับยก โล่ที่แขนซ้ายขึ้นสร้างกำแพงพลังงานหนาพิเศษ
ต้านทานระเบิดนั้นไว้จน ยานพอลลิดัส ปลอดภัย

“ นี่แกก็คิดเป็นกบฏด้วยอีกคนงั้นเรอะ! ”
ซาราเบลด สบถอย่างหัวเสีย ที่มีคนหลักไปอีกคนแล้ว ไรด์กับ ไอ หันมามองหน้ากันเองก่อนจะ
ตามเข้าไปสมทบกับ เฟนท์

/นี่พวกเธอ เป็นบ้ากันไปแล้วรึไงน่ะ คิดจะขัดคำสั่งกันอย่างนั้นเหรอ/
เสียงสัญญาณจาก เมอร์อาเน่ ที่อยู่บนยานรัฟอัส เตือนพวกเขา

“ ผมน่ะไม่ได้อยากจะขัดคำสั่งหรอกนะครับ แต่ว่าจะยังไงผมก็ยอมรับไม่ได้กับเนื้อหาของคำสั่งนี้ และหากมันเป็น
คำสั่งตรงจากท่านประธานจริงๆล่ะก็ ผมก็ไม่อาจที่จะเชื่อใจใน Empyrean Adjust ได้อีกแล้ว ”
เฟนท์ ตอบ

/ ทำไมล่ะ?! ไอ ไรด์ พวกเธอก็ด้วยงั้นเหรอ /
“ ค่ะทั้งฉันกับไรด์ เราต่างเห็นพ้องกันกับความคิดของ เฟนท์ ค่ะคำสั่งนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ทำไมเราจะต้อง
ยิงคนที่อุตส่าห์มาช่วยเราด้วย ดูยังไงมันก็ขัดกับหลักการ ที่ประธานเคยว่าไว้อย่างสิ้นเชิง ”
ไอ ตอบ ระหว่างที่ทางนี้กำลังเจรจากันอยู่นั้น ภายในยาน พอลลิดัส ฮายาเตะ ก็เตรียมแผนการณ์สำหรับหนีไว้แล้ว

“ เอมิล ยานยังพอไปไหวรึเปล่า ”
ฮายาเตะ ถาม
“ เสียหายหนักเอาเรื่องอยู่ให้บินคงจะไม่ได้ล่ะ ”
“ แล้วถ้าดำลงไปล่ะ ”
“ ระบบดำน้ำไม่เสียหายเท่าไหร่ ยังพอจะดำลงไปได้อยู่ ”
“ ดีล่ะ ถ้าฉันให้สัญญาณแล้วล่ะก็ ดำลงไปเลยนะ ”

เธอ หันไปทาง ซานและบอกหน้าที่ให้แก่เธอ

“ ซาน หลังจากดำลงไปแล้วเปิดช่องส่งตัวแบบใต้น้ำรอไว้ด้วย เราอาจจะต้องรับพวกเขากลับเข้ามาตอนที่อยู่ในน้ำ ”
“ รับทราบ! ”

………………….

“ เดี๋ยวก่อนพวกเธอ! ลองคิดดูดีๆก่อนสิว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ การละเมิดคำสั่งแบบนี้ไม่เป็น
ผลดีกับตัวพวกเธอหรอกนะ ”
สเวน พยายามเกลี้ยกล่อม

“ ไม่ครับตอนนี้เราคิดว่าสมควรที่จะทำแบบนี้ ”
ไรด์ ตอบ

“ พอแล้วถอย ออกมาจากตรงนั้นซะ หัวหน้าหน่วย สเวน แตร์เซส ”
ซาราเบลด ตะคอก ก่อนจะตั้งดาบขึ้นด้วยมือซ้าย และเริ่มร่ายมนตราด้วยคำสวดภาวนา

“ ….มืดมิดยิ่งกว่าราตรี ลึกล้ำกว่าค่ำคืน…”
คมดาบเรืองแสงเป็นสีแดงด้วย อนุภาคที่เริ่มมารวมตัวกัน

“ ตอนนี้แหละดำลงไปเลย ”
ฮายาเตะ ที่อยู่ในยานพอลลิดัส สั่งทันทีหลังจากเห็นการร่ายคาถา ขณะเดียวกันที่ด้านนอก เฟนท์ ก็เตรียมที่จะรับมือ
กับการโจมตีนี้ และหใ ไรด์ ลงไปที่ช่วย พรายด์ ที่นอนเจ็บอยู่บน ตัวยานพอลลิดัส ก่อนด้าน เรกกะ ก็ชิงใช้ โอกาสนี้ บินตรงเข้าที่มายาน

“ …ข้าแต่มหาราชแห่งมารร้าย และเพลิงล้างบาปที่เผาผลาญ เอ๋ย จงมาเป็นแรงพลังให้
ข้าเผาพลาญคนบาปให้สิ้นไป.. ”
ตัวดาบแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงกาล ดั่งลูกไฟดวงมหึมาแลดูคลับคล้ายกับดวงสุริยา
เขาใช้สองมือ อังลูกไฟดวงยักษ์ไว้และยกมันขึ้นเหนือหัว ลูกไฟยังคงขยายตัวไปเรื่อยๆอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง
ทั้ง ยานรัฟอัส และ สเวน ก็ต้องพากันถอยห่างออกมาเช่นเพราะหวั่นเกรงต่อผลกระทบจากการโจมตี

“ ดาบปราบมาร มุรามาซะ กระบรวนท่าสยบมังกร ดราก้อนสลาฟ ”/Dragon Slave/
ซาราเบลด ขว้างดวงไฟยักษ์ ที่ยังคงขยายตัวเรื่อยๆลงไป เฟนท์ รีบเร่งพลังของ Crisissor เต็มที่เพื่อสร้างกำแพงป้องกัน
ที่หนาที่สุดมาทานเอาไว้ ทันทีที่ดวงไฟกระทบกับกำแพง ก็ได้กลืนมันหายไปพร้อมกับ พวกเขา และยานพอลลิดัส
สิ่งตามมาจากนี้ไปคือเสียงระเบิดกัมปนาท ราวฟ้าร้องและควันไฟสุมอยู่บนผิวน้ำที่เดือดปุดๆ
โดยมีเศษซากโลหะของ ยานพอลลิดัส ลอยเท้งเต้ง เกลื่อนกราดไปทั่ว

เสียงที่ตามมาจากนั้นคือเสียงหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งของ ซาราเบลด และเสียงสบถเจ็บใจของ
สเวน ที่เขาไม่อาจทำอะไรได้ในฐานะหัวหน้าเลยนอกจากทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว

……………………………………………….
………………………….

ห้องพยาบาลบนยาน พอลลิดัส เตียงนอนเท่าที่มีอยู่เพียง 5 เตียงรองรับคนเจ็บจนครบหมดทุกเตียง
คือ แสตกท์ และ อาวล์ ที่ฮายาเตะ ไปเจอบนเกาะ และ สเตลท์ หรือ ชื่อที่แท้จริงเธอคือ เอรี่ น้องสาวของพรายด์
และตัว พรายด์ เองด้วย ส่วนเตียงสุดท้ายคือ อดีตเพื่อนสนิทและผู้ร่วมอุดมการณ์ของ เรกกะ เฟนท์ ซึ่งอาการหนักที่สุด

ในบรรดาทั้ง 4 คนตามเนื้อตัวมีรอยไหม้เป็นจุดๆปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ช่วงบนที่เปลือยเปล่าถูกพันทับด้วย
ผ้าพันแผล พันรอบตั้งแต่ไหปลาร้าไปจนถึงซี่โครง และตามแขนขาอีกอย่างล่ะข้าง ซึ่งพรายด์ ก็แทบไม่ต่างกัน
เพียงแต่ยังคงมีปรากฏเป็นรอยแผลถูกฟันขนาดใหญ่พาดผ่านแผ่นอก

เรกกะ และ เซน่า รวมไปถึงพวก ไรด์ ต่างก็นั่งเฝ้าอาการของ ทั้ง 5 คนอย่างใจจดใจจ่อและเป็นกังวล
จนเมื่อ เสียงครางโอดครวญของ เฟนท์ ดังขึ้น และเปลือกตาขยับ ทุกคนก็แทบจะหยุดหายใจ
ดวงตาสีดำเปิดขึ้นอย่างสลึมสลือ และ ตามมาด้วยคำถามที่เขาอยากจะรู้คำตอบมากที่สุด

“ ที่นี่…เป็นที่ไหนกัน? ”
“ บนยานพอลลิดัสน่ะตอนนี้เรามาจอดที่ท่าเรือเก่าของฟีเลเซีย ”
เรกกะ ตอบ
“ จริงสินะ ตอนนั้นพวกเราถูกโจมตีเข้ามา เพราะน้องสาวของ พรายด์ อยู่กับนายฉันก็เลยเข้าไปบังแทนแล้วจากนั้น.. ”
เฟนท์ หยุดลงอย่างเงียบๆเรื่องราวต่อจากนั้นเขาไม่รู้อีกแล้วหลังจากสลบไปเพราะการโจมตี

“ ทุกคนที่อยู่นอกยาน โดนเจ้า ซาราเบลด มันระเบิดใส่จนเละ น่ะสิเจ้าพรายด์ยัง โชคดีนะที่ ฉันกับ ไอ ช่วยกันกาง
อิออนฟิลด์ ป้องกันไว้ก่อนแต่มันก็แรงซะจน Crisisor ของเรา 2 คนพังไปพร้อมๆกันเลย อ้อ ทั้งของนายแล้วก็พรายด์
ด้วยสรุปก็คือตอนนี้พวกเรา 4 คนที่ทรยศมาก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ เท่านั้นแล้วล่ะ ”
ไรด์ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับชี้ไปที่กอง Crisissor ซีรี่ย์ OG7 ของพวกเขาทั้ง 4 คนอยู่ในสภาพยับเยินจนใช้การไม่ได้
และกองทิ้งไว้บนโต๊ะที่มุมห้อง

“ แต่เพราะ ฮายาเตะ ระเบิดถังออกซิเจน ยานไปถังหนึ่งตอนที่ยานลงน้ำไป แล้วก็ให้เปิดช่องท้องยานรอไว้ด้วยถึงได้ส่ง
มังกรเฟิร์นกอลเลี่ยน(Firngolloion, Arimathea’s Water Dragon) ออกไปช่วยพาทุกคนที่จมตามลงมากลับเข้ายาน
ได้ทัน พวกนั้นก็คงจะคิดว่าถังออกซิเจนที่ระเบิดไปคือซากยานของฝ่ายเราน่ะ ถึงได้หนีรอดมาได้ ”
เซน่า อธิบายต่อจนจบ
รูปภาพ

เฟนท์ เหยียดตัวให้หัวหนุนลงไปบนหมอนเต็มที่ ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอก ที่ทุกคนไม่เป็นอะไร
ไอ ที่เป็นห่วงอยู่จนถึงเมื่อครู่ก็พลอยเบาใจตามไปด้วย

“ แต่ก็ไม่นึกเลยนะว่านาย จะยอมเข้ามาปกป้องฉันแบบนี้น่ะ ”
เรกกะ พูด
“ ที่จริงแล้วต้องบอกว่าเพราะ เจ้าซาราเบลด นั่นแหละที่ทำให้ฉันเกิดลังเลในตัวองค์กรขึ้นมา แล้วก็คิดว่า
ทำแบบนี้ไปน่าจะดีกว่า…ขอโทษนะ ไอ ที่ลากเธอเข้ามาพัวพันด้วย ”

“ ม..ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นการตัดสินใจของ เธอ ล่ะก็ ฉันไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ”
ไอ ตอบแต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังอดเป็นห่วงเรื่องของเธอไม่ได้ หนำซ้ำเพราะการนี้เลยทำให้ ไรด์เองก็ติดร่างแหมา
กับเขาด้วย

“ ที่ฉันอยากรู้ในมากกว่าก็คือ เจ้า อัสโมดาย น่ะมันถูกจับตัวแล้วรึยัง? ”
ไรด์ เปิดประเด็นขึ้นมา และทุกคนเองก็อยากรู้เช่นกัน พอดีกับที่ หัวหน้าหน่วยทหารเมกาโทโปลิส ที่ตามขึ้นมากับยาน
เข้ามาในห้อง เซน่า จึงขอให้เขาช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียด

“ ผมชื่อ คลากซ์(Clark) เป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษที่ขึ้นตรงกับท่าน เซน่า ครับ ตั้งแต่ที่ท่านถูกพาตัวออกไปจากพิธีราชภิเษก
ที่ เมกาโทโปลิส ก็เกิดความวุ่นวายไปหมดโดยเฉพาะ ท่าน โจน่า ทั้งใช้อำนาจและทรัพยากรไปจนถึงกองกำลังแทบทั้งหมด
ไปสังกัดกับฝ่าย สหประชาคม..ไม่สิถ้าพูดให้ถูกต้องบอกว่าเป็นของ ซอร์ดอม ต่างหาก ”

หัวหน้าหน่วยพูดอย่างเศร้าๆ

“ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทุกหน่วยที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้หรอกนะครับ อย่างพวกเราก็ทนไม่ได้เหมือนกัน ที่จะต้องมาเป็น
ลูกไล่ให้แบบนี้ พวกคุณ ชารี่(Chary)ก็ช่วยหนุนให้พวกเราบางส่วน ออกไปเข้าร่วมกับ Empyrean Adjust เพราะ
อาจจะได้เบาะแสกี่ยวกับท่านบ้าง ”
คลากซ์ พูด

รูปภาพ

“ เดี๋ยวก่อนนะที่ฉันอยากจะรู้คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะน่ะ พอจะรู้บ้างรึเปล่า ว่าอัสโมดาย ถูกจับรึเปล่า ”
ไรด์ ย้ำถึงจุดประสงค์ของคำถามอีกครั้ง คลากซ์ จึงข้ามเรื่องที่เหลือและเริ่มพูดเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะก่อนจะ
มาเจอกับ พวก เซน่า

“ หลังจากเจ้า สัตว์ประหลาดนั่นถูกกำจัด พวกเราก็เป็นหน่วยแรกเลยที่ตีฝ่าเข้าไปในฐานทัพ แต่ว่าข้างใน
ไม่มีพวกของมันอยู่เลย คาดว่าที่อยู่ข้างในน่าจะมีแค่หน่วย Valkyrier กับ ตัวอัสโมดาย เท่านั้นแต่ว่าพอเราตามไปถึง
เจ้านั้นก็ขึ้นเรือดำน้ำหนีไปไกลแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็เลยขึ้นมาจากฐานทัพแล้วก็มาเจอ ท่าน เซน่า นี่ล่ะครับ ”

“ แย่ล่ะสิถ้า เจ้าอัสโมดาย หนีไปได้แบบนี้ล่ะก็ เมกาโทโปลิส ก็อยู่ในอันตรายแล้วล่ะ ”
ไรด์ พูด

“ แต่ว่า เมากาโทโปลิส ไม่ได้ให้การสนับสนุนโดยตรงกับ ซอร์ดอม ซักหน่อยเราแค่เป็นพันธมิตรกับสหประชาคม
เองนะ ”
เซน่า แย้ง ไรด์ ส่ายหัวก่อนจะบอกกับเธอ
“ จากข้อมูลที่พวกฉันพอจะมีติดมาบ้าง รู้สึกว่า สหประชาคม น่ะตกเป็นของ ซอร์ดอมไปเกินครึ่งแล้ว
ถ้าลองตรองดูดีๆ คิดว่ามันจะหนีไปพึ่งใครล่ะ? ”

“ แต่ว่าถ้าจะเปิดการโจมตีกับ เมกาโทโปลิส นั่นเท่ากับเป็นการประกาศสงครามทวีปเลยนะ เพราะเมกาโทโปลิส
ไม่ใช่เมืองหรือประเทศแต่เป็นสมาคมที่รวมตัวกันจากทั้ง 5 อาณาจักรในเมอริเซีย ”
ไอ พูด
“ ก็เพราะแบบนั้นแหละ เจ้าอัสโมอาย มันถึงได้จะหนีมาที่นี่ยังไงล่ะ แล้วฉันว่าถึงจะต้องประกาศสงครามยังไง
ประธาน Empyrean Adjust ก็คงไม่สนอยู่แล้ว ”
เรกกะ ตอบ ทุกคนเงียบเสียงลง และไม่มีใครพูดออกมาอีก จนกระทั่ง เซน่า เปิดปาก

“ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งฉันสงสัย เกี่ยวกับ คนที่เอ่อ..หน้าตาคล้ายกับ เรกกะ น่ะ? ”
“ หมายถึง ซาราเบลดน่ะเหรอ ” ไรด์ พูด
“ อื้อ ตอนนั้นเจ้านั่นมันบอกฉันกับ ฮายาเตะ ว่าเป็นตัวจริงของ เรกกะ น่ะที่เขาพูดมา
ฉันก็พอจะรู้อยู่หรอกน้ะพราะว่าท่านพ่อ เป็นคนสร้าง เรกกะ ขึ้นมาจาก รหัสพันธุกรรม ของซาราเบลด
แต่ว่าที่ตัวจริงยังอยู่นี่มัน.. ”

“ ที่เจ้านั่นพูดน่ะเป็นเรื่องจริง ”
เฟนท์ แทรก เขาพยุงตัวลุกขึ้นอย่างลำบากเพราะเจ็บแผลก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“ ตอนที่ยังอยู่ที่ศูนย์วิจัย สเลปเนียร์ ตอนสมัยเด็กๆน่ะ เจนัส พ่อของฉันมักจะพาไปที่ห้องวิจัยของ
ศาสตรจารย์ ไฮเดย์ที่เป็นคุณพ่อเธอบ่อยๆแล้วฉันก็ไปเห็นเข้า ร่างที่ถูกแช่อยู่ในแคปซูลจำศีล
ตอนนั้นพ่อฉันบอกว่าเขาเป็นลูกของเพื่อนที่ปกป้องไว้ไม่ได้
น้ำเสียงของพ่อตอนนั้นน่ะฟังดูเศร้ากว่าทุกครั้ง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เคยลืม แต่ว่านะผู้หญิงอีกคน
ที่เป็นแฝดกับ R2 น่ะดูเหมือนจะเป็นร่างโคลนที่ ประธาน สร้างขึ้นมา พวกเขาเรียกเธอว่า V2.. ”

…………………………………………………
ที่ห้องควบคุมหลักของยาน ฮายาเตะ กับ ซาน ต่างวุ่นอยู่กับงานซ่อมบำรุงระบบของยาน โดยที่ เอมิล คอยออกไป
ซ่อมแซมตัวยานภายนอก พร้อมกับ เอากองทหารเมกาโทโปลิสที่พาขึ้นยานมาด้วยไปเป็นลูกมือ

“ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเรานะที่ๆนี่มีวัสดุ กับอะไหล่พอให้เราเปลี่ยนกับซ่อมแซมได้ ยานเราเสียหายหนักแบบนี้คงจะ
ออกไปไหนไม่ได้อีกซัก สัปดาห์ล่ะ ”
ฮายาเตะ เอ่ยขณะที่สายตาก็ไล่ดูรายงานระบบบนจอที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

“ กัปตันคะ มีสัญญาณติดต่อมาค่ะ เป็นสัญญาณจาก สเลปเนียร์ ค่ะ ”
ซาน รายงาน
………………………………………..

/เรกกะ มีการติดต่อกลับจาก R2 น่ะจะส่งภาพไปให้ที่ห้องนั้นนะ/
เสียงประกาศของ ฮายาเตะ ดังจากลำโพงในห้องพยาบาล ก่อนที่จอมอนิเตอร์ บนผนังห้องจะเปิดขึ้นเอง
ภาพของ ราชาฟ ที่ติดต่อมาถูกฉายขึ้นบนจอ

/ตอนนี้ทางเราได้เบาะแสบางอย่างที่สำคัญมาแล้วนะ/
เสียงของ ราชาฟดังออกมาจาก จอมอนิเตอร์
“ ว่ามาเลย ” เรกกะ ตอบ

/ที่นี่น่ะพวกเราไปเจอห้องที่เก็บผลงานวิจัยสมัยพัฒนา องค์กรน่ะแล้วก็พบว่า ข้างในห้องมันถูกรื้อซะเละไปหมด
ของที่หายไปก็มี ดาบคุซานางิ คิดว่าพวกนายน่าจะรู้แล้วล่ะมั้ง ก็พึ่งตีกับมันมานี่นะ/

เรกกะ ผงกหัวพวกเขาพึ่งจะประมือกับ โอโรจิ ที่ถูกปลุกชีพด้วย ดาบคุซานางิ ที่ถูกขโมยไปและ
ชิงคืนมาได้แล้ว

“ เดี๋ยวนะ ที่นั่นเป็นสถานที่ๆมีแต่องค์กรเท่านั้นที่รู้นี่แล้วทำไมพวก ซอร์ดอม มันถึงได้โขมย มันมาได้ล่ะ ”
เฟนท์ ถาม

/ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจเป็นไปได้ว่ามีใครในองค์กรเป็นไส้ศึก ก็ได้แล้วก็เรื่องที่สำคัญกว่านั้น
พิมพ์เขียวของ แสงแห่งโอดิน(Lighting of Odin)ก็ถูกเอาออกไปด้วยเหมือนกัน/

สาระสุดท้ายที่ ราชาฟ พูดมาทำให้ทั้งห้องถึงกับสะดุ้ง แสงแห่ง โอดิน คือสุดยอดอาวุธทำลายล้างที่จะลบ
การมีอยู่ของเป้าหมายให้หายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ซึ่งมันเคยถูกใช้ใน แผนการ แรคน่ารอค เมื่อครั้งมหาสงคราม Delantion ที่เป็นศึกสุดท้ายระหว่างเทอร่ากับ Empyrean Adjust เลยทีเดียว หากมันถูกนำมาใช้อีกครั้ง ความเสียหาย
ที่จะเกิดขึ้นคงมากมายเกินคณานับ เพราะในตอนนี้ เทอร่า ก็แตกแยกเป็นหมู่เป็นก๊ก ไม่ได้อยู่ภายใต้การนำของ เรกกะ
เช่นครั้งนั้น

/เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งแตกตื่นกันสิ ระบบแสงแห่งโอดิน จะใช้ได้มันก็ต้องมี God Sends ทั้ง 12 ชิ้นด้วยแต่ว่าตอนนี้ของพวกนั้นมันถูกทำลายไปหมดแล้ว เพราะงั้นแสงแห่งโอดิน ไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้อีกแน่/
ราชาฟ รีบอธิบายทันทีเพื่อให้ทุกคนคลายความตึงเครียด

“ แต่ก็ฟันธงไม่ได้ใช่ไหมว่า มันจะถูกเอาไปใช้อะไร? ” เรกกะถามกลับไปอีก
/ก็ไม่ถึงกับมืดแปดด้านหรอกนะ พิมพ์เขียวการสร้าง แสงแห่งโอดินน่ะ เดิมทีเป็นแผนการจัดเรียงตำแหน่งทางดาราศาสตร์
สมัยโบราณ ที่ว่ากันว่าจะเปิดประตูสู่ภพหน้าได้ บ้างก็ว่ามันจะนำพาจุดจบด้วยไฟมาให้ทั้งแผ่นดิน
แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่มีการจารึกเอาไว้ว่าเป็นแค่ตำนาน เพราะที่ผ่านมายังไม่มีใครทำมันได้สำเร็จเลย../

“ เดี๋ยวก่อนนะ R2 เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ ที่ว่าเปิดประตูอะไรนั่นน่ะ! ”
เฟนท์ แทรกขึ้นมาจนเธอเผลอ สะดุ้งไป
/หมายถึงประตูสู่ภพหน้ากัยจุดจบแห่งไฟน่ะเหรอ?/

หลังจากที่ ราชาฟ ทวนให้ฟังอีกครั้ง เฟนท์ ก็ถอดสีขึ้นมา ปากพึมพำสิ่งที่อยู่ในใจออกมาด้วยความพรั่นพรึง

“ ความตะบัดสัตย์ของพวกมันจะทำลายตัวมันเองและนำไปไปสู่จุดจบของทุกสิ่ง เมือถึงเวลานั้น เพลิงกาลแห่งบรรพชาติ
ที่ลุกโชติช่วงนับพันปี จะตื่นขึ้นอีกครา และเผาผลาญจนสิ้นปฐพี…… ”

“ นั่นมัน คำทำนายจากพงศาวดารที่ท่านประธาน พูดไว้ตอนที่รวบรวมกลุ่มก้อนขององค์กรใหม่อีกครั้งนี่ ”
ไอ พูดทั้ง เซน่า และ ไรด์ ต่างก็มองหน้ากันอย่าง งงๆ ว่าสิ่งนี้มาเกี่ยวอะไรด้วย แต่ เรกกะ ที่ได้ยินเรื่องนี้ขึ้นมาก็
เป็นกังวลตามเฟนท์ ไปอีกคน

“ ที่จริงแล้วแผนการจัดเรียงในพิมพ์เขียวน่ะ แต่เดิมมันเป็นโครงสร้างทางกระบรวนการของ พลังอิออน
ที่พวกเราใช้กันอยู่ แล้วก็เป็นรากฐาน ให้กับระบบประมวลผลชั้นสูงอย่าง ฮูกินมูนิน ด้วยบางทีการเปิดประตู
สู่จุดจบนั่นอาจจะเป็นเป้าหมายของพวกมัน ”
เรกกะ พูด

/เข้าใจแล้ว เพราะพงศาวดารนั่นเดิมเป็นของชนเผ่าโบราณก่อนที่องค์กรจะค้นพบมันพร้อมกับพิมพ์เขียวบางทีนี่อาจจะ
เวทมนต์โบราณที่มีฤทธิ์อำนาจในการทำลายล้างสูงก็ได้ ในคำทำนายบอกว่าไฟแห่งบรรพชาติที่ลุกโชนเป็นพันปี
น่าจะหมายถึงพลังอิออน ที่ตอนถูกค้นพบก็ยังคงให้พลังงานอยู่โดยไม่ดับมอดไป บางทีคำทำนายนี่อาจจะเป็นคำเตือน
ของคนโบราณที่บอกให้ระวังผลจากการใช้พลังอิออน ก็ได้สินะ/

ราชาฟ ตีความสิ่งที่ เรกกะ ต้องการจะสื่อ ออกมาแต่ ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ต่างก็ปฏิเสธ

“ที่ตอนท้ายของบทความยังบอกต่อไว้อีกว่า โซโลมอน ราชาผู้ทะเยอทะยาน เป็นคนพูดเพื่อสาปแช่งบุตรแห่งซาตาน
ที่ได้ทานผลแห่งปัญญา นั่นน่ะ หมายถึงมนุษย์ แล้วก็จำท่อนแรกของคำทำนายได้ไหม ที่ว่าความตะบัดสัตย์จะ
ย้อนกลับมาเล่นงาน ถ้าพูดตรงตัวก็คือ หากมนุษย์ผิดสัญญา ไฟกาลนี้จะเผาผลาญแผ่นดิน ”

เฟนท์ อธิบาย

“ และสัญญาที่ว่าก็คือ การที่จะไม่นำเอาพลังอิออน มาใช้อีก ดูเหมือน บรรพบุรุษของเราจะทำผิดพลาดซะแล้วล่ะ
เพราะความต้องการของ พวกเขาคือการทวงเอา เมอริเซีย ที่ล่มสลายไปในมหาสงครามล่าอาณานิคมคืน จนพวกเขา
มาปลดผนึกเอาพลังนี้ออกมาใช้สร้าง Crisissor นี่ก็เท่ากับว่าพวกเราได้เดินสวิซต์ทำลายล้างมาตั้งนานแล้ว ”

เรกกะ ช่วยอธิบายต่อจาก เฟนท์อีกที

/พวกนายคิดว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม และเจ้านั่นก็กำลังจะทำให้คำทำนายไม่สิคำเตือนนี้เป็นจริง/
ราชาฟ ตอบ

“ ด..เดี๋ยวก่อนนะ พวกเธอพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว ”
เซน่า แทรกขึ้นมา เช่นกันกับพวก ไรด์ ที่ยิ่งฟังขิ้วยิ่งขมวดเข้าหากัน

/เป็นเพราะช่วงสงครามDelantion นั้นพวกเราสามคนเคยเข้าไปเห็นมันมาแล้วน่ะสิ ในคาทราสโทรฟี่
พูดอย่างง่ายๆก็คือ ซอร์ดอมต้องการจะดำเนินแผนการณ์ ชำระเทอร่าอีกครั้ง ด้วยหลักการจัดเรียงในพิมพ์เขียว
พวกมันจะได้ พลังอิออน ซึ่งเป็นแหล่งพลังของเทพ ไปใช้ในระบบคาทราสโทรฟี่ ที่เคยไม่สมบรูณ์ก็จะสมบรูณ์ทันที
ถ้าหากแผนการณ์นี้สำเร็จล่ะก็ มนุษยชาติได้ศูนย์พันธุ์หมดสิ้นแน่/

คำตอบของ ราชาฟ ทำให้ทุกคนถึงกับเงียบกริบ

/ว่าแต่ พวกฉันไม่อยู่ที่ยานแค่แปปเดียว ทำไมคนมันถึงได้เพิ่มขึ้นมาเยอะนักล่ะ แต่ก็เอาเถอะ นายกลับมาอยู่ด้วยเท่านี้ก็
พอดีเลย/
ราชาฟ พูดพร้อมกับเหล่ไปที่ เฟนท์ เมื่อ เขาจะถามกลับว่าทำไมแต่แล้วสัญญาณก็ขาดหายไปดื้อๆ

/โทษทีนะทุกคน เมื่อกี้กำลังทดสอบการทำงานของเสาสัญญาณ อยู่น่ะตอนนี้คงจะใช้งานช่องสื่อสารไม่ได้/
เสียงของ เอมิล ดังออกจาก ลำโพงแทนตอนนี้ยานของพวกเขาก็ไม่สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ ซักระยะ

……………………………………………….

ฐานทัพเกาะพรางแสงซึ่งตอนนี้ใช้เป็นที่สำหรับรวมพลกองกำลังสัมพันธมิตรระหว่าง สหประชาคมและ สหพันธ์
โดยมีองค์กร Empyrean Adjust เป็นแกนนำ ในขณะนี้กำลังมีการประชุมใหญ่ โดยประธานลอว์เอน ผู้นำ องค์กร
เรียกตัวผู้รับผิดชอบกองยานจากอาณานิคมต่างๆที่เข้ามาประชุมเพื่อหารือ การล่าตัว ลอร์ด อัสโมดาย
ที่หนีไปได้

“ ตราบใดก็ตามที่เรายังจับตัว ลอร์ด อัสโมดาย ซึ่งเป็นผู้นำของ ซอร์ดอม ไม่ได้มันต้องไม่ยอมเลิกลาแน่
เส้นสายและอำนาจของพวกมันยังมีอยู่อีกมาก หากจะโค่นล้มพวกมันให้สิ้นซากก็มีแต่ต้องจับตัว ลอร์ดโมดาย มาเท่านั้น ”
ประธาน ลอว์เอน อธิบายใจความสำคัญของการล่าตัว อัสโมดาย ก่อนจะเปิดภาพขึ้นบนจอ มอนิเตอร์ ในห้องประชุม
ซึ่งเป็นภาพของ ลอร์ดอัสโมดาย กำลังขึ้นจากเรือดำน้ำ โดยมี โจน่า ซีซาร์ โรมรัน และกลุ่มสภาสูงแห่งเมกาโทโปลิส
รอต้อนรับ ภาพนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับห้องประชุมเป็นอันมาก

“ นี่คือภาพที่สายของเราจาก เมกาโทโปลิส จับไว้ได้เมื่อหลายวันก่อน หลังจากการบุกจู่โจมครั้งนั้น นี่คือสิ่งบ่งบอก
อย่างชัดเจนแล้วว่า เขาอยู่ที่ไหน ”

……………………………………………
……………………………………………………………………………..

ศูนย์วิจัย สเลปเนียร์

ในส่วนของศูนย์วิจัย นั้น ราชาฟ กำลังรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ โครโน่ กับ ลอว์เรนซ์ ช่วยกันหามาจากซากโบราณและ
ในพื้นที่ทำการวิจัยอื่นๆของศูนย์ โดยมี มาธิอัส คอยช่วยกรองรายละเอียดของข้อมูลทั้งหมดอีกที

“ ตั้งแต่วันนั้นแล้ว ก็ติดต่อกลับไปที่ยานไม่ได้อีกเลย หวังว่าพวกนั้นคงจะไม่เป็นอะไรหรอกนะ ”
ราชาฟ เปรยด้วยความเป็นห่วง

“ แต่ว่าตอนนี้ทางเราเองก็รวบรวมข้อมูลมาได้มากพอแล้วล่ะอีกไม่นานก็ได้ตามไปสมทบกับพวกนั้นเอง
ไม่ต้องรีบเป็นห่วงไปหรอก ถ้าจะห่วงล่ะก็ห่วงตัวเองดีกว่านะเธอน่ะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วนา ”
มาธิอัส พูด

“ ทำเป็นพูดดีไป นายเองก็ตาดำเป็นหมีแพนด้าแล้วเหมือนกันล่ะน่า อีกอย่างเราไม่มีเวลามานอนเล่นให้เสียเวลา
หรอกนะพวกเรกกะ เองก็ต้องใช้เจ้าของที่เราเจอนี่ด้วยป่านนี้ โล่แห่งทาลิวิลย่า อาจจะเหลือพลังอยู่อีกแค่
ไม่เท่าไหร่ หรือไม่ก็อาจจะใช้การไม่ได้แล้วก็ได้ ”

ระหว่างนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับ โครโน่ และลอว์เรนซ์ ที่หน้าตื่นเข้ามา

“ รีบเก็บของเร็วเข้าเถอะ รอบศูนย์วิจัยน่ะโดนล้อมไว้หมดแล้วล่ะ! ”
คำพูดของ โครโน่ ทำให้เธอและ มาธิอัส ตกอยู่ในอาการตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออก
ลอว์เรนซ์ รีบเดินเข้ามารวมเอา แฟ้นข้อมูลและ แผ่นเก็บรักษาข้อมูล ที่กองอยู่บนโต๊ะ กวาดรวมกันใส่กล่อง
ก่อนจะเรียกให้ทั้งสองเร่งมือ เก็บทุกอย่างที่จำเป็นให้หมด

“ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมยาน ไซเบอร์ทิก้า(Cybertica Dragom) ให้!! ”
มาธิอัส รีบวิ่งออกไปจากห้องเพื่อไปเตรียมทางหนีทันที และให้โครโน่เข้าไปช่วยขนของ

รูปภาพ

“ ว่าแต่พวกที่มาเป็นพวกไหนกัน ที่นี่ไม่น่าจะตกเป็นเป้าได้เลยนี่ ”
ราชาฟ ถามไปด้วยระหว่างที่ บันทึกข้อมูลทั้งหมดในเครื่องลงบนแผ่นเก็บ

“ เป็นพวกกองยานของ องค์กร น่ะสิไม่แน่บางทีพวกมันอาจจะตรวจจับสัญญาณวิทยุเมื่อวันก่อนที่เราส่งไป ”
โครโน่ ตอบ หลังจากนั้นพวกเขาก็เก็บของทั้งหมดเสร็จและย้ายพวกมันออกไป พวกเขาเดินไปตาม
ทางเดินที่มืดสลัวอาศัยเพียงแสงไฟฉาย วิ่งไปจนออกมาถึงท่าจอดยานด้านนอก ซึ่งมียานรบมังกรเทียม
ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อนจอดรอพวกเขาเอาไว้อยู่แล้ว

……………….

ภายในห้องควบคุมหลัก มาธิอัส นั่งรออยู่ที่หางเสือเรือเป็นที่เรียบร้อย พวก โครโน่ เข้ามาในห้องและ
แยกย้ายกันไปประจำที่ โดยมี ราชาฟ เป็นกัปตันคอยออกคำสั่ง

“ พวกมันมีกันเท่าไหร่? ”
ราชาฟ ถาม ลอว์เรนซ์ ที่คุมเรดาห์ อยู่

“ กองยานรบชั้นสูง 20 ลำแล้วก็หน่วย แอคเซล แอคเซเลอร์เรเตอร์(Axel Accelerator) อีกร้อยกว่าคันเลยล่ะ ”

ทั้ง 4 คน นิ่งอึ้งกับจำนวนของศัตรูที่แห่แหนกันมา มากมายเหลือคณา ด้วยจำนวนขนาดนี้พวกเขาไม่อาจ
ขัดขืนต่อสู้ได้เลย เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเสียขวัญ ราชาฟ พยายามควบคุมตัวเองและพูดให้กำลังใจกับทุกคน

รูปภาพ

“ ทุกคนอย่าพึ่งหมดหวังนะ ถึงฝ่ายนั้นจะมีมากกว่าเราแต่ว่าเป้าหมายของพวกเราไม่ใช่การสู้ให้ชนะ แต่เป็นการ
หนีออกจาที่นี่ดังนั้นเราก็พอจะมีหนทางบ้างล่ะ ”
คำพูดของเธอทำให้ทุกคน สงบใจลงได้แต่เธอที่เป็นคนพูดเอง ยังต้องอาศัยจิกเล็บลงไปบนพนักเก้าอี้
เพื่อข่มใจ

“ ลอว์เรนซ์ ช่วยตรวจดูให้ทีว่าเส้นไหนที่มีกองกำลัง เบาเบางที่สุด ฝากช่วยคำนวณเวลาที่
ศัตรูจะแปรขบวนทัพตามเรามาด้วย ”
“ โอเค! ”

ลอว์เรนซ์ รับคำและเริ่มทำการตรวจสอบจากเรดาห์พร้อมกับประเมินเวลา ราชาฟหันไปหา โครโน่ ที่นั่ง
ประจำหน่วยอาวุธของยาน

“ โครโน่ เตรียมยิงปืนหลักไว้ด้วย เราจะสร้างทางหนีจากนั้น มาธิอัส นายรีบเร่งความเร็วให้สุดไปเลยนะ ”

ทั้งสองรับคำ จากนั้นเธอจึงสั่งออกยาน

“ ถ้างั้น…ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อน ออกยานได้!! ”

ไอพ่นปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ยานโลหะทั้งลำค่อยๆไต่ระดับขึ้นจาก ซากโบราณ และออกบินตรงเข้าหาฝูง
ยานรบของศัตรูที่มีกำลังเบาบางที่สุด

“ ระยะหน้า 50 แวนิชชิ่ง เรย์(Vanishing Ray) ยิง!!! ”
ราชาฟ ตะโกน ปลายหอกที่ยื่นออกจากช่วงท้องยานเริ่มทำการประจุพลังงาน ก่อนจะเป่ากองยาน ข้างหน้าให้หายไปใน
พริบตา มาธิอัส เหยียบสุดคันเร่ง เพื่อให้ยานหนีออกจาก พื้นที่โบราณสถาน อย่างรวดเร็วเสียจนกองยาน
ที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามไม่ทัน

หลังจากทิ้งห่างมาได้แล้วโดยที่ไม่มีใครตามทัน ทั้ง 4 ต่างพากันถอนใจอย่างโล่งอก แต่แล้วกลับต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อตรงหน้าคือกองยาน ที่มาดักรออีก กว่าสิบลำ

“ นี่พวกมันตั้งด่านรอเราไว้แล้วหรอกรึเนี่ย ”
มาธิอัส สบท

“ หักขวา 90 องศาใช้ปืนต่อต้านอากาศยาน ทางกาบเรือซ้ายขวา ยิงต้านไว้ ลอว์เรนซ์ ส่งสัญญาณไปที่ พอลลิดัส ที ”
ราชาฟ สั่งการตอนนี้พวกเธอตกอยู่ในวินาทีวิกฤตอย่างที่สุด หากยังเสียเวลาอยู่กองยานที่มาดักรอนี้ พวกที่ไล่ตามมา
ก็จะไล่ทันในที่สุด ทางหนีของพวกเธอเหลือเวลาอีกไม่มาก

“ เดี๋ยวฉันจะออกไปเอง มาธิอัส ฝากนายจัดการเรื่องอาวุธแทนที ”
โครโน่ พูดพร้อมกับรีบออกไปจากห้องเพื่อไปสวม Crisisor เตรียมออกรบ

“ เรกกะ.. ”
ราชาฟ เปรยด้วยความหวังที่ต้องรอดไปส่งมอบ พลังที่ได้พบเอให้กับ เรกกะ ให้ได้
………………………………………………………………………
…………………..

ยาน พอลลิดัส ภายในห้องพยาบาล ตอนนี้ แสตกท์ อาวล์ และ เอรี่ ต่างก็ได้สติแล้ว โดยที่ทั้งสามได้รับการ
รักษาให้หายจากมนต์สะกดจิต จนความทรงจำฟื้นคืนกลับมาหมด แต่ก็ทำให้พวกเขาต้องสับสนกับ ชีวิตไม่น้อย
เพราะเหตุการณ์ต่างๆกับความทรงจำและความรู้สึกต่างก็ผสมปนเป จนเละเทะไปหมด

พรายด์ ก็ฟื้นตัวจนสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว อีกทั้งการปรับความเข้าใจกับ เอรี่ ที่เป็นน้องสาว ก็ไปได้ด้วยดี
ทำให้เธอ ฟื้นสภาพจิตใจได้รวดเร็ว กว่าอีก 2 คนที่ยังต้องใช้เวลาทำใจ อยู่อีกนาน

ในตอนนี้ เฟนท์ ก็กลับมาแข็งแรงและเดินเหินได้ดังเดิมแล้ว เรกกะ เอาชุดเข้ามาให้เปลี่ยนกับแทน
เสื้อหน่วยขององค์กรที่ เสียหายไปในการรบ เฟนท์ รับมาและเข้าไปเปลี่ยนทันทีในห้องเปลี่ยนเสื้อ

รูปภาพ

หลังจาก เฟนท์ เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ ฮายาเตะ ติดต่อผ่านสัญญาณจอมอนิเตอร์มาที่ ห้องพยาบาลพอดี
และเรียกตัว เรกกะ ไปที่ห้องควบคุม ซึ่ง เฟนท์ ก็ขอตามไปด้วย ทั้งสองจึงรีบไปที่ห้องควบคุม
ที่นั่น ฮายาเตะ กับ เซน่า รออยู่ก่อนแล้ว โดยมี ซาน ที่กำลังทำงานอยู่ด้วยอีกคน

“ เมื่อกี้ มีสัญญาณขอความช่วยเหลือส่งมาจาก ยานไซเบอร์ทิก้า น่ะ ”
เซน่า พูด ทั้งสองมองหน้ากันอย่าง งงๆ

“ เดี๋ยวสิทำไมถึงเป็น ยานไซเบอร์ทิก้า ไปได้ล่ะ ก็พวกนั้นอยู่ที่ สเลปเนียร์นี่ ”
เฟนท์ ถาม

“ ดูเหมือนว่าทางนั้นจะโดนพวกของ องค์กร ไล่ตามมาน่ะ แต่เพราะสัญญาณทางนั้นสัญญาณไม่ค่อย
ดีเท่าไหร่ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากข้อความที่ส่งมา เขาบอกว่า จะรีบตรงมาที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่ถ้าไม่ทันก็จะส่ง
แคปซูล บรรทุกมากับพวกมังกรที่ใช้เดินทางขาไปน่ะ ”

ฮายาเตะ พูด เรกกะ แสดงอาการลังเลขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ สามารถไปช่วย
พวก ราชาฟ ได้แต่ถ้าเขาไปตอนนี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ยานพอลลิดัส เองก็ยังไม่พร้อมจะออกตัวได้
และยังไม่มีใครคอยปกป้องอีก เขามองมาที่ เซน่า ผู้เป็นพี่สาว ซึ่งยังเป็นกังวลกับประเทศของตนว่าจะถูกโจมตีเมื่อใด
หากไม่มี ทาลิวิลย่า ของเขา เมอริเซียก็อาจจะล่มสลายอีกครั้งดั่งเช่นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

“ ไปเถอะ เรกกะ ”
เซน่า พูด

“ แต่ว่าถ้าผมไป.. ”
“ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ไม่เป็นไร ”

เรกกะ มองใบหน้าที่ฝืนยิ้ม ข่มความกังวลของเธอ อย่างลังเล แต่เฟนท์ ก็เข้ามาตบบ่าพร้อมกับพูดว่า

“ ไปเถอะ นายมีคนที่ต้องปกป้องอยู่นะ ที่นี่ยังมีพวก เราอยู่ถึงไม่มีนายก็พอจะทำอะไรได้บ้างล่ะ ”

เรกกะ มองหน้า เฟนท์ อย่างมีความหวังเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงฝากทุกอย่างไว้กับ เฟนท์
และเตรียมจะออกไป

“ เรกกะ พลังของ โล่เหลือ อีกแค่พอให้เธอแปลงร่างแค่ครั้งเดียวแล้วนะ ระวังด้วยล่ะ ”
ฮายาเตะ เตือน

………………….

ครู่ต่อมา ช่องส่งตัวของ ยานก็เปิดออก พร้อมกับ เรกกะ ในร่าง ทาลิวิลย่า บินทะยานออก
ไปด้วยความเร็วสูง

หลังจาก ที่ เรกกะ ไปแล้วก็มีข้อมูลเร่งด่วนเข้ามาที่ยานพอดี ซานจึงเริ่มอ่าน สิ่งที่ได้มาและต้องสะดุ้งตกใจกับ
เนื้อหาของมัน

“ แย่แล้วล่ะ ข่าวจาก องค์หญิงมาเรียลูส ส่งมา…องค์กร กับกำลังสัมพันธมิตร จะบุกมาที่ แมกาโทโปลิส
ในบ่ายของวันนี้ค่ะ ”

ข่าวที่ออกจากปากของ ซาน ทำเอา ทั้งสามสะดุ้งตามไปด้วย การบุกมาเร็วกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้
……………………………………….
……………..

“ มากันเยอะจริง เจ้าพวกนี้ เมื่อไรจะหมดซักที ”
โครโน่ สบทขณธที่บินหลบห่ากระสุนจาก ยานรบและ การโจมตีจาก ทหารที่ขับขี่ยานพาหนะ บินได้
ก่อนจะใช้ คทาในมือ ยิงแสงอนุภาค กวาดสวนไปทำลาย กองทหารที่ขับขี่ยานพาหนะ จนร่วงหล่นเป็นห่าลูกเห็บ

รูปภาพ

ขณะเดียวกัน ยานไซเบอร์ทิก้า ก็หนีไปได้ไม่ไกลจากเดิมเท่าไหร่ ซ้ำร้าย ตอนนี้ กองกำลังที่อุตส่าห์หนีรอดมาได้
ก็ตามมาสมทบทัน ทำให้ตอนนี้พวกเขาหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

“ Great of Dragon!!! ”
เสียงตะโกนดังก้องมาจากด้านหลังกองยานที่ขวางหน้า ไซเบอทิก้า ดราก้อนอยู่ ลำแสงมังกรนับสิบสาย
พุ่งทะลวงผ่านเครื่องยนต์หลักของยานทุกลำจนตกลงไปในทะเล ข้างล่าง

“ ทาลิวิลย่า! เรกกะ เหรอ ”
โครโน่ สะดุ้ง เมื่อ ทาลิวิลย่า บินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยิงลำแสงมังกรจัดการ กองทหารพาหนะ จนร่วงหล่นลงไป
อีก สองกอง แต่ตอนนี้ กองยานที่ไล่ตามมาก็กลบล้อมพวกเขาไว้อีกครั้ง และระดม โจมตีเสียจน ไม่มีเวลาให้หยุด
พักหายใจหรือได้พูดคุยกัน ทาลิวิลย่า ยกโล่ขึ้นมากันกระสุนและคอยบินหลบลำแสงไปด้วยคอยหาจังหวะที่สวนกลับ

แต่แล้ว ความเร็วของเขา กลับลดถอยลงขึ้นมากระทันหัน ซึ่งมาจากการที่เขาใช้พลังของ โล่จนจวนเจียนจะหมดไปแล้ว
โครโน่ ที่เห็นอาการก็รู้ได้ในทันที จึงรีบเข้ามาประคองตัวเขา ไปส่ง ใกล้ๆกับ ยานไซเบอร์ทิก้า

“ พลังของ โล่นั่นไม่เหลือแล้ว รีบเข้าไปเอา Crisissor ของนายเร็วเข้า ”
โครโน่ พูดจบ ก็ออกไปสู้ต่อ ด้าน ราชาฟ ที่เห็นเรกกะ แล้ว จึงให้ ลอว์เรนซ์ เปิดท้องยานเพื่อรับ เรกกะ เข้า
ส่วนตัวเธอก็ลุกออกไป เพื่อไปพบ เรกกะ

…………………………………………………….

ครู่ต่อมาที่ ทางเดินภายในตัวยาน ราชาฟ ก็พบกับ เรกกะ ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดิน มาพร้อมกับ หอบเอา โล่แห่งทาลิวิลย่า
ซึ่งตอนนี้มีสภาพแตกร้าวจนใช้การไม่ได้แล้ว

“ มาทางนี้ ”
เธอ เรียกพร้อมกับนำ เขาไปยังห้องคลังแสง เธอเข้าไปแบกเอา ดาบทองคำซึ่งเสียบติดกับโล่ ที่พบในซาก
วิหารของโบราณสถาน ออกมาให้ส่งให้เขารับไป

“ นี่คือ พลังใหม่ของนาย ดาบอัลสวิน(Alsvin = ฝีเท้าเร็ว) กับ โล่ อาร์วาคร์(Arvakr = ขึ้นแต่เช้า) สองอันนี้เป็น
สุดยอดที่สุดในบรรดา Crisissor ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อแรกก่อตั้งองค์กร แต่ไม่มีใครที่สามารถใช้มันได้ ”
เรกกะ มองหน้าเธออย่าง งงๆ ในเมื่อสิ่งนี้ไม่สามารถใช้ได้แล้วเธอจะเอามันมาให้เขาทำไม เธอที่เห็นสีหน้า
จึงรีบตอบทันที

รูปภาพ

“ แต่ว่าจากข้อมูลที่หามาในยุคนั้นยังไม่มีใครที่สามารถทำ อวาแทรนซ์ (Ava-Trans) ได้ ถ้าหากใช้การทำ อวาแทรนซ์
ที่เป็นทำปฏิกิริยาเร่งอนุภาคพลังงานล่ะก็ บางทีมันอาจจะใช้ได้ก็ได้แล้วตอนนี้คนที่สามารถทำมันได้ก็มีแค่
นาย กับ เฟนท์ ที่เคยทำ อวาแทรนซ์ มาแล้วเท่านั้น ”

“ เข้าใจแล้ว ฉันจะลองดู ”
เรกกะ ตอบ และรับดาบกับโล่ มา ราชาฟ ส่งมันให้กับเขาอย่าง ลังเลเพราะเธอเองก็ไม่มั่นใจว่า เขาจะใช้ได้
แน่ๆรึเปล่า เรกกะ จึงบอกให้เธอไว้ใจเขา ก่อนจะแยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อ เธอกลับมาที่ห้องควบคุมหลักแล้ว ก็สั่งให้ ลอว์เรนซ์ เตรียมเปิดท้องยานเพื่อส่งตัว เรกกะ ไว้
เนื่องจาก ยานไซเบอร์ทิก้าไม่มีช่องส่งตัว เหมือน พอลลิดัส ดังนั้น เรกกะ จะต้องแปลงร่างแล้วบินออกไปเอง

ทางด้าน เรกกะ ก็เริ่มทำสมาธิ และนึกถึงวิธีการทำ อวาแทรนซ์ ที่ไม่ได้ทำมาซะนานตั้งแต่ที่เขาได้รับ โล่ทาลิวิลย่ามา
หลังจากเตรียมใจอยู่นาน ในที่สุดก็ยกดาบขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปและตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง

“ อวาแทรนซ์!!!!! ” /Ava-Trans/
Crisissor ตอบรับและส่งเสียงออกมา และสร้างชุดเกราะสวมร่างของ เรกกะ

(ดูคลิปประกอบการแปลงร่างกันเองนะ)


รูปภาพ

“ สไตรค์ ไบรน่า!!! (Recca, the Strike Bryna) ”
ร่างหุ้มเกราะสีแดงเพลิง และปีกที่แดงเดือดราวกับ ดวงอาทิตย์ อีกทั้งประกายละอองอนุภาคอิออน ที่เปล่งออกมาจากร่าง
ของเขา เป็นประกายสีเงิน แวววาว ต่างจาก อิออนดิวเทเรี่ยม หรือ อิออน ปกติ ที่จะเป็นสีแดง และ สีเขียว

ดาบอัลสวิน ถูกชักออกจาก โล่ ร่างหุ้มเกราะ พุ่งตัวออกจากยานไปอย่างรวดเร็ว จนเห็นเป็นประกายแสง
สีเงินที่ลอยค้างฟ้า ออกสู่สนามรบ การปรากฏตัวของ เรกกะ สร้างความประหลาดใจให้กับศัตรู
จนถึงกับหยุดมองชั่วขณะ กระทั่ง โครโน่ และ ทุกคนบน ไซเบอร์ทิก้า ก็อดทึ่งกับมันไม่ได้

“ ย้าก!!!! ” /Plasma/
เรกกะ เหยียดดาบออกไปสุดแขน ร่องกลางระหว่างดาบคือปากกระบอกสำหรับยิง ลำแสงอนุภาค ความเข้มสูง
แค่เพียงเฉียดโดน เท่านั้นก็ฉีกผนังยานรบยักษ์ ได้ราวกับฉีกกระดาษ ด้วยเวลาแค่เสี้ยวหนึ่ง ของนาที
กองยานรบกว่าครึ่งถูก ยิงตก และกองทหารพาหนะ ทุกนายถูกจัดการสอยจนร่วงกราวลงจากฟ้า

สร้างความหวาดผวาให้กับ กองยานที่เหลือจน แตกกระเจิงและหันปากกระบอกปืนทั้งหมดมาที่ เรกกะ
หมายจะกำจัดทิ้งให้สิ้นซากก่อนที่จะมากำจัดตน เรกกะ ควงดาบอัลสวิน เสียบกลับเข้าไปใน โล่ อาร์วาคร์
และ เหวี่ยงมันไปมา ก่อนจะชูขึ้นเหนือศีรษะ

/Saber Hyperion/
เสียงดังกังวาลออกจากตัวอาวุธ ก่อนที่อนุภาคที่ปล่อยออกมารอบตัวจะดึงมารวม
กันที่ปากกระบอกดาบ จนเต็มเปี่ยม เรกกะ สะบัดดาบลงตั้งฉากกับลำตัว ลำแสงอนุภาคสีแดงเพลิงขนาดเส้นผ่าศูนย์
กลางของมันพอที่จะกลืนยานรบทั้งลำได้สบายๆ พุ่งออกจาก ปากกระบอกอย่างต่อเนื่อง เรกกะ เหวี่ยงมัน
ใส่กองยานรบประหนึ่งใช้ดาบลำแสงยักษ์ ตัดผ่ายานรบอย่างสบายๆ ไม่ทันไร กองกำลังทั้งหมด
ก็ถูก จัดการจนหมดในพริบตา จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทึ่งในพลังของ Crisissor ชิ้นนี้

………………………………………………..
………………………………………………………………………

เวลาล่วงเลยมาจนคล้อยบ่าย ทุกคนในห้องควบคุมหลักของ ยานพอลลิดัส พากันรอคอยการกลับมาของ
เรกกะ อย่างหว้าวุ่น อีกใจก็นึกกังวล กับข้อมูลการบุกบอง กองกำลังสัมพันธมิตร ที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า
พวกเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อ เสียงสัญญาณ เรดาห์ ของ ซาน ดังขึ้นเธอจึงรีบอ่านค่า
และประเมินสถานการณ์ทันที

“ ตอนนี้ทางทิศใต้ของ แก่นทวีป ตรวจพบกองเรือ และยานรบ จำนวนมากำลัง แล่นเข้ามาตาม
ช่องทางทะเลสาบนีรันดาค่ะคาดว่า อีกสองนาที น่าจะไปหยุดอยู่ที่แอ่งทะเลสาบหน้าต้น อิกดราชิล(Yggdrasil) ”

รูปภาพ

เซน่า กลืนน้ำลายเพื่อให้หายตื่น ฮายาเตะ บอกให้ ซาน ช่วยเปิด ข่าวและประกาศที่ มีการประกาศ
จาก เมกาโทโปลิส เพื่อรอฟังความคืบหน้าของ สถานการณ์

………………………………………………………
…………………….

ภายในแอ่ง ทะเลสาบนีรันด้า ซึ่งนองไปด้วย เรือรบ และ กองยานรบจนแน่นเอียด พร้อมที่จะบุก
เข้าไปโจมตี มหานครลอยฟ้า เมกาโทโปลิส ที่ลอยตัวอยู่เหนือขึ้นไปและพร้อมที่จะบดขยี้ ประเทศใกล้เคียง
ซึ่งเป็นพวกด้วยอย่างไม่ย่ำเกรง

การนำทัพในครั้งนี้มีเรือธง เป็นฝ่ายสูงจาก องค์กร มาออกนำทัพเอง ส่วนยานรัฟอัส นั้นให้เป็น
ยานลูกคอยสนับสนุน หลังจากทำการปิดเส้นทางสันจร ในทวีปจนหมดแล้ว จึงมีการส่งสัญญาณเพื่อทำการเจรจา
ไปยังสภาสูงของ เมกาโทโปลิส โดยตรง

………………………………..
…………………………………………..

ยาน พอลลิดัส

“ เมื่อกี้มีการสัญญาณ เจรจาจากกองเรือ สัมพันธมิตร ถึงสภาสูงด้วยค่ะ เนื้อหาคือ ขอให้ส่งมอบตัว
ลอร์ด อัสโมดาย ซึ่งต้องสงสัยเป็นผู้ให้การสนับสนุน ซอร์ดอม มาให้ด้วย น่ะค่ะ ”
ซาน รายงานจากข้อความที่เธอดักจับมาได้

“ แล้วว่าไง ทางสภาน่ะ ”
เซน่า ถาม

“ รู้สึกจะมีการแถลงการณ์ ตอบกลับไปแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะเปิดขึ้นจอนะ ”

ภาพบันทึก แถลงการณ์ ของสภาสูงที่ให้คำตอบกับ กองยานฝ่าย สัมพันธมิตร ถูกฉายขึ้นบนจอ
โดยผู้ประกาศนั้น คือ โจน่า ซีซาร์ โรมรัน(Jona Seesar’s Romerun) ซึ่งเป็นตัวแทนของ
สภา ได้กล่าวว่า

/ถึงพวกท่าน คำเรียกร้องที่ขอมานั้นทางเราไม่สามารถทำได้เนื่องจากบุคคลที่ท่าน เรียกหานั้นไม่ได้อยู่
ที่อาณานิคม ของเรา ดังนั้นแล้วขอให้พวกท่าน ถอนทัพออกไปจาก น่านน้ำ ของเราเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น
จะถือว่าเป็นการจงใจมา โจมตีเราและจะขอทำการตอบโต้ทันที/

“ บ้ารึไงกันน่ะ!คิดว่าพูดไปแบบนั้นแล้วเขาจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ พวก สภาสูงมัว ทำอะไรกันอยู่ทำไมถึง
ปล่อยให้ อัสโมดาย มันชักจูงแบบนี้ล่ะ ”
เซน่า สบถอย่างผิดหวัง เธอไม่นึกเลยว่า พวกเขาจะบริหารประเทศได้แย่ขนาดนี้ แถมยังตัดสินใจ
เอาแต่ผลประโยชน์เป็นใหญ่ คราวนี้ บ้านเกิดเมืองนอนของ เธอคงจักต้องซ้ำรอยเดิมเป็นแน่

“ การสั่งอพยพล่ะ ”
ฮายาเตะ หันมาถาม ซานเพราะตอนนี้เธอเป็นห่วงว่าผลกระทบจากการรบอาจกระจายวงกว้าง
ไปจนทั่วทั้งทวีป

“ ไม่มีเลยค่ะ รู้สึกว่าทางการเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ เลยยังไม่มีประกาศการอพยพ หรือประกาศฉุกเฉินเลย ”

“ ว่าไงนะ! ”
ทั้ง เซน่า และ ฮายาเตะ ต่างก็อุทานขึ้นมาพร้อมๆกัน

………………………
……………………………………..

ยานรัฟอัส

“ โกหกไม่เนียนเอาซะเลย หลักฐานก็มีให้เห็นกันอยู่ทนโท่ ”
สเวน ประนามใส่ว่าเป็นการเลือกที่แย่ยิ่งกว่าสิ่งใด ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเห็น ประเทศใดตอบส่งเดช ได้ถึงเพียงนี้

“ ถ้าเป็น แบบนี้ก็มีแต่ต้องรบกันเท่านั้นแล้วสินะ ”
เมออาร์เน่ ถอนใจเธอเริ่มจะหน่ายกับการรบอย่างไร้สาระแบบนี้เต็มที แล้วแต่นี่ก็จะเป็นการรบครั้งสุดท้ายหากสำเร็จ
ภารกิจของพวกเธอก็จะหมดลงและ เทอร่าก็จะได้สันติคืนมา ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลให้เธอมาอยู่ที่นี่

“ ในเมื่อฝ่ายนั้นเค้าไม่ยอมส่งตัวมันมา งั้นเราก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปลากคอมันออกมาเอง จริงไหมครับ ”
ซาราเบลด ฉีกยิ้มร่า และกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ ไอ้พวกหนักแผ่นดิน ที่ทิ้งให้พ่อของฉัน ต้องสู้ตายอยู่ตัวคนเดียว ถึงคราวพวกแก ต้องสู้หลังชนฝาบ้างแล้ว หึๆ ”

……………………………
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (II) Destiny Way

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 09, 2011 3:04 pm

หลังจากประกาศของ เมกาโทโปลิส นั้นสร้างความขุ่นเคืองให้กับ ทั้งกองทัพถึงความตายด้านของ สภาสูง
พวกเขาจึงไม่รีรออีกแล้ว ยานรบทุกลำถีบตัวขึ้นจกผืนน้ำ และบุกเข้าสู่ นครลอยฟ้า กองกำลังทางภาคพื้น
แห่กันลงจาเรือ เพื่อเข้ายึดพื้นที่และทำการค้นหา ตัว ลอร์ด อัสโมดาย อย่างอาเป็นเอาตาย

ตั้งแต่จักรกล ไปจนถึงฝูงสัตว์ประหลาด และ กองทัพ ถูกส่งลงมาจากกองยาน เข้ายึดตัวเมือง ลอยฟ้า
ทันที แม้กองกำลังป้องกันตัวเองของ เมกาโทโปลิส จะออกมารับมือแล้ว แต่ด้วยที่ไม่มีการตระเตรียมอะไรมาเลย
จึงแตกยับไม่เป็นท่า อีกทั้งการรบยังทำให้เกิดผู้เคราะห์ร้าย ขึ้นมากมาย เพราะยังไม่มีการอพยพใดๆ

…………………………………………
กองบัญชาการสูงสุด หน่วยพิทักษ์ เมกาโทโปลิส

โจน่า เดินตบเท้าเข้ามาในห้องสั่งการอย่างหัวเสีย บรรดาแม่ทัพ ที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการ
รับมือการบุก ต่างพากันมองอย่างสมเพช

“ ทำไมกันนะ ก็บอกไปแล้วว่าทางเราไม่มีคนที่ว่า แล้วทำไมถึงยังโจมตีมาอีกล่ะ? ”
โจน่า โวยวาย

“ ก็เพราะรู้ว่า โกหกน่ะสิครับ ”
แม่ทัพ นายนึงพูดขึ้น ทำเอา โจน่า สะอึกจนพูดไม่ออก

“ ทำไมรัฐบาลถึงให้คำตอบโง่อย่างนั้นไปล่ะครับ ”
บรรดาแม่ทัพก็พากัน เค้นเอาคำตอบจาก เขา จนทนไม่ไหวและตะคอกกลับมา

“ ฉันจะไปรู้เหรอ!! เอาเป็นว่า ส่งกองเรือบิน ออกไปต้านไว้สิ แล้วก็ยานรบด้วย ส่งออกไปให้หมดทุกหน่วยเลย ”

ทุกคนได้แต่พากันรุมประนามหยามเหยียดในความไร้ความสามารถของ รัฐบาลและตัว โจน่า อยู่ในใจ
ทำได้แต่เพียงก้มหน้าทำตามคำสั่งเท่านั้น

………………………………….

สถานการณ์ เริ่มจะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ การปะทะกันของสองกองทัพ ทำให้ เมืองเกิดความพินาศ และหายนะไปทั่ว
ผู้บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก บางเกาะลอย ที่ได้รับความเสียหายมากๆเข้า ก็ร่วงหลนลงจากฟ้า
และสร้างความพินาศให้กับ บ้านเมืองที่อยู่ด้านล่าง ไม่เพียงแต่เมกาโทโปลิส เท่านั้น

แต่การโจมตียังลามไปถึงนครอื่นๆ ทั้ง ซาโลม ฟีเลเซีย และ ฟูดินัน จนบานปลายออกไปเรื่อย
ในเวลาอันสั้น ทั้งนี้เป็นเพราะ ฝ่ายสัมพันธมิตร มีอาวุธและยุปโทกรณ์ที่ มากมาย แม้ทางอาณานิคมเมอริเซีย
จะมีความเหนือกว่าในด้าน เทคโนโลยีและแสนยานุภาพ แต่ทว่า เมื่อไร้การบริหารที่มีประสิทธิภาพ
และขาดการ เตรียมพร้อม จึงเป็นดั่ง แก้วที่เปราะบาง และพร้อมจะแตกได้เสมอ

ความพินาศนี้มีให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า แค่เพียงมองไปยังทิศของ เมกาโทโปลิส แม้จะอยู่ไกลถึง ฟีเลเซีย
ก็ยังเห็นการร่วงหล่นของ เกาะลอย และเปลวไฟจากสงครามที่ลุกลามไปทั่ว แม้แต่ในผืนป่าอันกว้างใหญ่

ของ ฟูดินัน ก็ถูกเผาผลาญ จนวอดวาย ทั้งอาวุธลำแสงและระเบิดถูกใช้ ยิงใส่กันอย่างไม่ลังเล
ว่าจะเกิดความเสียหายกับ ทรัพยากรที่เวลาในการบูรณะอีกหลายปีกว่าที่มันจะกลับมาเป็นดังเดิมได้

ภาพเหล่านี้สั่นคลอนจิตใจของ เซน่า เป็นอันมาก มันบีบคั้นความรู้สึกของเธอจนแหลกละเอียดในพริบตา
จนไม่อาจทนกลั้นน้ำตา แห่งความเสียใจไว้ได้ เมื่อถึงที่สุดแล้ว เธอก็ได้ตัดสินใจว่าจะต้องทำ
อะไรซักอย่างเพื่อช่วย บ้านเกิดของเธอ

“ ฉันทนไม่ไหวแล้วต้องออกไปหยุดมัน ฮายาเตะ ขอยืม เครื่อง แอคเซล แอคเซเลอร์เรเตอร์ ทีนะ ”

การตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม นี้ทำให้ ฮายาเตะ ต้องรั้งตัวเธอเอาไว้ก่อน ซึ่ง พอดีกับที่ เอมิล และ หัวหน้าหน่วยทหาร คลากซ์
เดินเข้ามาในห้องควบคุมพอดี

“ พอดีเลย คลากซ์ ช่วยไปกับฉันที ขอร้องล่ะ ”

ทั้งสอง มองหน้ากันอย่าง งงๆขณะที่ ฮายาเตะ ก็พยายามรั้งเธอไว้เพราะลำพังแค่พวกเธอกับ อาวุธเพียงน้อยนิด
ออกไปก็มีแต่จะไปตายเปล่าเท่านั้น แต่เซน่า ก็สะบัดฮายาเตะ ออกไป ก่อนจะพูดด้วยความโศกเศร้า
ที่รีดเค้นออกมาจากจิตใจ

“ ถ้าต้องทนเห็นบ้านเกิดถูกทำลายไปต่อหน้าแบบนี้ล่ะก็ฉันขอตายไปพร้อมกับมันซะยังจะดีกว่า ”

ก่อนที่เธอจะได้ทันออกไป อย่างบ้าบิ่น เอมิล ก็มารั้งเธอไว้อีกคน และพยายามบอกให้เธอฟังก่อน

“ เดี๋ยวก่อนสิ ถ้ายังไงก็มาด้วยกันก่อนเถอะ พวกเราน่ะไม่ได้จะห้ามเธอหรอกนะ แต่ว่า.. ”
เซน่า ยังคงขัดขืนโดยไม่ฟังใครทั้งนั้น จนในที่สุด ฮายาเตะ ต้องพูดขึ้นมา

“ ถ้ายังไงก็จะออกไปให้ได้ล่ะก็ อย่างน้อยก็ไปฟังคำพูดของ ท่า ซีนาส หน่อยเถอะนะ เซน่า ”

คำพูดของ ฮายาเตะ ทำให้เธอนิ่งลงทันที

“ ท่านพ่อ..น่ะเหรอ ”

………………………………….

บานประตูเก่าซอมซ่อ บานหนึ่งตั้งอยู่ในที่แปลกตา บนยาน พอลลิดัส นี้ขนาดที่ว่า เธอขึ้นมาอยู่บนยานลำนี้ก็
เป็นเดือนเข้าไปแล้วยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามี ห้องนี้อยู่ เมื่อผลักมันเข้าไป ภายในนั้นมืดสนิท ฮายาเตะ เดินเข้าไปเปิด
สวิซไฟในห้องสิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ คือบานประตูเหล็กขนาดใหญ่ ที่รออยู่อีกชั้น ซึ่งมีกล่องตั้งอยู่ข้างๆบนกล่องนั้น
มีรูสำหรับใส่กุญแจ

“ เอากุญแจแห่งรุ่งสาง(Key of Akatsuki)ติดมาด้วยรึเปล่า? ”
เอมิล เธอหยิบเอา ลูกกุญแจดอกใหญ่ขึ้นมาแสดงให้ดู เขาจึงชี้ไปยัง กล่องที่มีรูสำหรับใส่ลูกกุญแจเข้าไป

รูปภาพ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่ามีตัวหนังสือแกะสลักอยู่บนกล่องซึ่งฝุ่นจับจนต้องเอามือปัดออกถึงจะอ่านได้

“ ขออย่าให้วันที่ประตูบานนี้ต้องเปิดออกมาถึง.. ”
เซน่า อ่านประโยคที่เขียนไว้แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ฮายาเตะ ดึงเอากุญแจของเธอมาเสียบลงในรู
และไขมัน บานประตูเหล็กเลื่อนตัวออกจากกัน และเปิดออก สิ่งวางอยู่ข้างในห้องนั้น คือ ดาบที่มีลักษณะ
เป็นตัวโน้ตดนตรี คล้ายกับกุญแจ วางอยู่บนแท่น มันเปล่งประกายแวววาวด้วย ละอองอนุภาคสีทอง
ที่ล่องลอย ออกมาจากตัวมันเอง

รูปภาพ

“ ความหมายก็คือหากวันที่ประตูนี้ต้องเปิดออก ประเทศนี้ก็คงจะต้องตกอยู่ในไฟสงครามอีกเป็นแน่ยังไงละ ”
ฮายาเตะ พูดก่อนจะเงียบเสียงลง เพื่อให้เสียงที่ถูกบันทึกเก็บไว้ซึ่งกำลังเล่นออกมา ให้ได้ฟังกัน

/หากลูกกำลังฟังเสียงนี้อยู่ พ่อก็คงไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว…/
เสียงที่ดังขึ้นมานั้น ทำให้เธอต้องสะดุ้ง จนเข่าอ่อนไปหมด ปากพึมพำออกมาอย่างโหยหา โดยไม่รู้ตัว

“ ท่าน…พ่อ ”

/มีเรื่องอีกมากมายที่พ่อยังไม่ได้บอกลูก และคำพูดอีกมากมายที่พ่ออยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ทั้งหมด
พ่อขอโทษที่ต้องทำให้ลูกรู้สึก โดดเดี่ยว../

เซน่า ไม่อาจทนกลั้นกลืนน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว ได้แต่เพียงปล่อยมันออกมา

/และ เมื่อวันที่ประตูนี้ได้เปิดออก ก็คงเป็นวันที่ลูกต้องการพลัง ถ้าอย่างนั้นพ่อก็จะมอบพลังให้ แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่ง
ว่าพลังก็ยังคงเป็นแค่พลังเท่านั้น หนทางแห่งสันติไม่ได้ใช้พลังเพื่อไขว่คว้า หากแต่พลังมีไว้เพื่อทำให้ทางที่ว่าเปิดออก

ลูกยังต้องเรียนรู้อีกมาก แต่พ่อก็หวังว่าลูกจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง จากคนที่ลูกรักและให้การสนับสนุนลูก
ถึงแม้ว่าความปราถนาที่แท้จริงคืออย่าให้วันที่ลูกต้องมาได้ยินก็ตาม แต่จงเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขนะ เซน่า…/

เสียงบันทึกขาดช่วงไปแต่คำพูดเหล่านั้นก็จะยังคงดังก้องอยู่ในใจของ เธอไปตลอดกาล
เอมิล เดินเข้ามาและย่อตัวลงเพื่อพูดกับเธอที่ ยังเข่าอ่อนจนลุกไม่ไหว

“ โครโน่ ที่คอยดูแลมันฝากให้ฉันช่วยมอบมันให้กับเธอ จะรับมันไว้รึเปล่า
Crisissor อาคัทซึกิ คีย์เบลด(Akatsuki KeyBlade) เล่มนี้น่ะ ”

“ อา…คัทซึกิ ”
เซน่า เปรยก่อนจะแหงนหน้ามอง Crisissor ที่ ซีนาส ไฮเดย์ พ่อของเธอทิ้งไว้ให้ ไม่มีความลังเลหรือความวิตกใดๆในหัวใจของเธออีกแล้ว บัดนี้มันเจิดจรัสและเต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง เธอยกแขนเสื้อปาดเอาคราบน้ำตาออก
ลุกขึ้นเดินเข้าไปจับ มันมาไว้ในกำมือ

……………………………………..
ครู่ต่อมาที่ช่องส่งตัว ของยาน เซน่า ก็มายืนพร้อมแล้วและตามด้วย หน่วยทหารที่นำโดยคลากซ์ ซึ่ง
เตรียมยานพาหนะ แอคเซล แอคเซเลอร์เรเตอร์ ชุดหนึ่งที่มีเก็บไว้ใน ยานพอลลิดัส มาใช้เพื่อตามไปสนับสนุน
เธอ

{ท่านพ่อ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันหรือพูดคุยกันมากเท่าไหร่เลย ทุกวันพ่อจะยุ่งอยู่กับงาน
ตั้งแต่วันที่ ท่านและฉันได้รับ การช่วยเหลือจาก กษัตริย์เชื้อพระวงศ์สุดท้าย และได้มอบอำนาจในการปกครองแก่
พวกเรา ทำให้พ่อเป็นคนสำคัญต่อ องค์กร และเป้าหมายที่จะฟื้นฟูแผ่นดินคืน ฉันจึงแทบจะไม่รู้เลยว่าตลอดมา
ท่านผ่านอะไรมาบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง }

เซน่า คิดในใจ เธอกำ Crisissor ในมือแน่น เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความรู้สึกอันเปี่ยมล้นของพ่อที่ยังคง
สถิตอยู่ในสิ่งนี้

“ ความมุ่งมั่นของท่านพ่อ..เซน่า ไฮเดย์ คนนี้จะสานต่อมันเองค่ะ…อวาแทรนซ์ ” /Ava-Trans/

เสียงดังก้องกังวาล จากตัว ดาบและก้องกังวาลอยู่เช่นนั้น ละอองสีทองถูกปล่อยโถมใส่ร่างของเธอ
และสร้างชุดทรงมิโกะ กับกลองห้ากลอง ยึดติดกันด้วยคานไม้ แกะลายสัญลักษณ์แห่งเทพอัสนีไว้บนหน้ากลองทั้งห้า

รูปภาพ

[เพลงธีมของช่วงนี้]


/เส้นทาง Catapult Charge Clear ค่าแรงดันไฟฟ้า Clear Valkyrier of Dawn เชิญออกได้ค่ะ!/
เสียงประกาศของ ซาน ดังผ่านลำโพง เซน่า จึงขึ้นไปยืนบนแท่นส่งตัว

“ เซน่า ไฮเดย์ วอลคีรีเออร์ ออฟ ดาน(Zena, Valkyrier of Dawn) จะไปล่ะ!! ”
สิ้นคำ แท่นส่งก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และส่งเธอให้เหิน ลอยขึ้นไปในอากาศ และตามมาด้วยกองกำลัง
ที่ตามมาสนับสนุนเธอ โดยมี คลากซ์ เป็นผู้นำ ออกบินตรงไปยังทิศ ของ เมกาโทโปลิส

“ แบ่งเป็น หน่วย C ไปที่เมืองด้านล่าง ช่วยเหลือการอพยพพลเรือน ส่วนหน่วย B ไปคอยสนับสนุน กองกำลังที่แนวชายแดน หน่วย A ไปกับฉัน ที่เขตการปะทะ เข้าใจแล้วแยกย้ายได้ ”
เซน่า สั่งการจบ กองกำลังของเธอก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบ ส่วนเธอ และ คลากซ์ กับกองกำลังที่เหลือ
มุ่งตรงเข้าสู่สมรภูมิ ที่กำลังดุเดือด

…………………………………
กองบัญชาการสูงสุดของ เมกาโทโปลิส ตอนนี้ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง มีรายงานความเสียหายต่างๆเข้ามามากมาย
จน โจน่า ไม่ไหวแล้วที่จะทำหน้าที่ต่อ จึงเอาแต่โอดรวญเหมือนเด็กๆ

“ ขืนเป็นแบบนี้ถ้าเราไม่ตั้งแนวรับใหม่ล่ะก็ ”
แม่ทัพ นายหนึ่งเอ่ยขึ้น และมอง โจน่า ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร

“ ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำเข้าเซ่ ”
“ ต..แต่ว่าคำสั่งนั้นมัน.. ”
“ ไม่รู้ล่ะ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาก็เป็นเพราะพวกแกนี่แหละ มัวแต่ยืดยาดกันอยู่ได้! ”

โจน่า ตะคอกกลับโดยหารู้ไม่เลยว่า การสั่งให้ตั้งแนวรับใหม่นั้น หมายถึงให้ทิ้งการปกป้องพลเรือน แล้วไปจัดแนว
รบเพื่อต่อสู้กับ ศัตรูอย่างจริงจังซึ่งถึงจะทำได้ก็เป็นแค่การยึดเวลาล่มสลายออกไปอีกเท่านั้น

“ ที่น่านฟ้าทางเหนือ ตรวจพบกองกำลัง จากหน่วยสังกัดตรงครับ ”
รายงานจาก เจ้าหน้าที่ข่าวสาร ทำให้ทั้งห้องหันมามองกันเลิ่กลั่ก เพราะกองทหารที่ว่านั้น
ได้หายตัวไปอย่างเงียบๆตั้งแต่ครั้งพิธีราชาภิเษก แล้วแต่กลับมาปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้

“ แล้วก็มี Valkyrier ไม่ระบุฝ่าย ด้วยอีกหนึ่งค่ะรู้สึกจะเป็นหัวหน้าของ กองทหารด้วย ”
ภาพถูกเปิดขึ้นจอให้ทุกคนได้ ทัศนา สิ่งที่ปรากฏคือ ประกายแสงสีทองวิ่งตัดเส้นขอบฟ้าไปมาอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“ Valkyrier …สีทองงั้นเหรอ ”
บรรดาแม่ทัพ พากันฮือฮากับสิ่งที่เห็น และตกตะลึงยิ่งขึ้นเมื่อ Valkyrier นั้นเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัดว่า เป็น เซน่า
ซึ่งอาวุธ ลำแสงที่เข้ามากร้ำกรายเธอนั้น ถูกอาณาเขตที่ห่อหุ้มด้วยละออง อิออนสีทองของเธอ
สะท้อนกลับไปเล่นงานศัตรูเสียเอง แค่เพียงเธอเข้าไปรับ การโจมตีต่างๆนานา ก็เป็นการรุกไล่ศัตรูจนอับสิ้น
หนทางอย่างง่ายดาย

/ฉันคือ เซน่า ไฮเดย์ บุตรสาวของ ซีนาส ไฮเดย์ ถึงกองบัชาการได้ยินฉันไหม?/

เสียงติดต่อดังเข้ามาที่ช่องสัญญาณในห้อง ทุกคนต่างพากันเรียกชื่อของเธอจนดังเซ่งแซ่ไปหมด

/ถึงแม้ว่าสถานการณ์แบบนี้พวกคุณจะไม่อยากเชื่อก็ตาม แต่ว่าฉันคือตัวจริงขอคุยกับผู้บัญชาการ การรบตอนนี้เลยได้มั้ย/

โจน่า รีบวิ่งเข้าไปแย่ง ไมค์สื่อสารจาก เจ้าหน้าที่ข่าวสารที่กำลังจะตอบกลับไปมาพูดทันที

“ เซน่า~~~ ฉันนึกอยู่แล้วว่าเธอต้องกลับมา ”

/โจน่า เหรอ?...../

ระหว่างที่สื่อสารกันอยู่นี้ เธอโจมตีกองทัพศัตรูสวนกลับไปด้วย การรวมอนุภาคไว้ที่ กลองทั้งห้า และยิงออกไป
เป็นสายฟ้า โหมกระหน่ำทำลายทัพศัตรูจนพินาศไปด้วย

/จะยอมรับไหมว่าฉันคนนี้เป็น เซน่า ตัวจริง?/
“ จริงจ้ะ ฉันน่ะรู้ดี….รู้ดีที่สุดเลยล่ะ จะบอกตอนนี้เลยก็ได้ว่าเธอน่ะเป็นตัวจริงล่ะ~~~ ”
โจน่า พูดระริก ระรี้ กับความช่วยเหลือที่มาอย่างคาดไม่ถึงนี้ จนบรรดาแม่ทัพ พากันส่ายหน้าอย่างสมเพช

/ยอมรับว่าฉันเป็นตัวจริงสินะ ถ้าอย่างนั้นในฐานะ ผู้แทนอาณานิคม เมกาโทโปลิส ขอสั่งจับกุม
โจน่า ซีซาร์ โรมรัน ในข้อหาเป็นกบฏต่อประเทศ เดี๋ยวนี้/

โจน่า ถึงกับอึ้งไป ก่อนจะถูกบรรดานายทหาร เข้ามาจับกุมตัวเอาไว้

“ ด…เดี๋ยวสิ ไหงทำกันอย่างี้ล่ะ เซน่า~~~ ”

/เค้นเอาที่อยู่ของ อัสโมดาย จาก โจน่า ซะจะใช้วิธีการอะไรก็ได้ ให้มันคายออกมาให้ได้ เปิดช่องการสื่อสารให้หน่อย
ของให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังให้ฉันปกป้องประเทศด้วย /

“ ครับ!! ”
นายทหารทุกนายไปจนถึงบรรดาแม่ทัพ ตอบรับเธอด้วยดุสดี และพร้อมจะยอมอยู่ใต้อานัติของ เธอทุกเมื่อ

……………………………..

หลังจากการกลับมาของ เซน่า แนวรบรวมทั้งหมดของ เมกาโทโปลิส ก็สามารถ ไล่ต้อน กองทัพสัมพันธมิตรออกมาได้
เรื่อยๆ จนการสู้รบห่างออกไปจากตัวเมือง และการกระจายกำลังออกไปของพวกเขาต้องมารวมกันที่เดียวเพราะไม่อาจ
ทานการโต้ตอบที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาอย่างกระทันหันนี้ได้

“ ชิ..ทั้งที่เมื่อกี้ยังเหลวเป๋ว ไม่เป็นขบวนอยู่แท้ๆ ”
ซาราเบลด ที่อยู่บน ยานรัฟอัส สบถก่อนจะออกจากห้องไป

“ เห็นที่เราเองก็คงต้องขึ้นฝั่งบ้างแล้วล่ะ ”
เมออาร์เน่ กล่าวก่อนจะเริ่มสั่งให้นำยานขึ้นจากน้ำและมุ่งหน้าสู่ เมกาโทโปลิส

……………………………………………………

ยานพอลลิดัส

ฮายาเตะ เรียกตัว พวก เฟนท์ และ พวกของ เอรี่ มาเพื่อจะให้เลือกหนทางของตัวเองเพราะจากนี้ไป
เธอ จะนำยานลำนี้เข้าร่วมการรบด้วย

“ ยานเราจะออกไปช่วย เมกาโทโปลิส ด้วยถ้าหากพวกเธอไม่ต้องการจะตามไปฉันก็ไม่ฝืนบังคับหรอกนะ ”

ทุกคนมองหน้ากัน เพื่อปรึกษา และสุดท้าย เฟนท์ ก็เป็นคนออกมาให้คำตอบแทนทุกคน

“ ถ้าเป็นการควบคุมอุปกรณ์และการใช้เรดาห์ ล่ะพวกเราก็พอจะช่วยได้บ้าง พวกผมจะไปด้วยครับ ”

ฮายาเตะ หันไปทางพวก เอรี่

“ พวกหนูเองก็ช่วยด้วยค่ะ อาวล์กับแสตกท์ ก็ตกลงด้วยเหมือนกัน ”

“ แต่ว่า เอรี่… ”
พยารด์ ที่เป็นห่วงพยายามจะห้ามน้องสาว แต่เธอก็ยืนยันที่จะอยู่ด้วย
?
“ ไม่ค่ะพี่ เอรี่ ดูแลตัวเองได้ แล้วก็….ถ้าแยกกันก็อาจจะไม่ได้เจอพี่อีก หนูน่ะ ไม่อยากจะแยกจากพี่ไปอีกแล้วนะคะ ”
เอรี่ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ แต่กระนั้น พรายด์ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

“ เอาน่าพวกเราก็อยู่ด้วย รับรองจะไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอแน่ ”
อาวล์ เข้ามาช่วยสนับสนุนเธอ และออกตัวรับผิดชอบเสียเอง ซึ่ง พรายด์ ก็ยังไม่อยากจะฝากผีฝากไข้
กับหมอนี่ซักเท่าไหร่ อีกนัยก็รู้สึกหวงน้องสาวตัวเองอยู่เหมือนกัน

“ จะดีเหรอ พวก เฟนท์ น่ะยังพอว่าแต่พวกเธอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเลย ”
ฮายาเตะ พูด

“ พูดแบบนั้นเหมือนกับอยากจะไล่พวกเราลงไปเลยนะ ”
แสตกท์ พูด

“ ม..ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย ”
“ ถ้างั้นก็ให้พวกเราอยู่สิ เพราะถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี ที่ผ่านมาพวกเราสามคนก็ทำได้แค่การต่อสู้เท่านั้น
ถ้าอยู่ที่นี่ยังจะพอทำอะไรได้มากกว่าอีก ”

หลังจากเห็นท่าทีของทั้งสองคนแล้ว ฮายาเตะ จึงวางใจและมอบ Crisisor ที่เธอยึดมาคืนให้กับพวกเขา
แต่ก่อนจะส่งให้ เธอก็หันไปมองเฟนท์ เหมือนจะถามว่า โอเคมั้ย เฟนท์ พยักหน้าเธอจึงส่งมันให้กับทั้งสอง

“ จะดีเหรอ? ที่ไว้ใจพวกเราน่ะ ”
แสตกท์ ถาม
“ ก็เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าทำได้แค่การต่อสู้เท่านั้น แล้วก็จะปกป้อง เอรี่ ด้วยถ้างั้นพวกเธอก็จำเป็นที่จะต้องใช้มัน ”
ฮายาเตะ ตอบก่อนจะออกนำทุกคนไปยังห้องควบคุมหลัก

“ เอาล่ะถ้าอย่างนั้นเราก็ไปลุยกันเถอะ!!! ”

ระหว่างที่ทุกคนแยกย้ายกันไปประจำที่ ฮายาเตะ ก็เรียกให้พรายด์ มาด้วยกัน เธอพาเขาไปยังห้องๆหนึ่ง ข้างในนั้น เอมิล รออยู่ก่อนแล้ว ในมือของเขาแบก ดาบที่ ฮายาเตะ เก็บได้หลังจาก โอโรจิ ถูกกำจัดลง เอมิล มอบมันให้กับ พรายด์
ทันทีที่เขารับมา ตัวดาบก็เปล่งแสงขึ้นมาเป็นลวดลายสีแดง ตัดไปบนตัวดาบ

“ เป็นเค้าจริงๆด้วย ”
“ ฉันคิดถูดสินะ ”
พรายด์มองทั้งสองด้วยสายตาฉงน

“ นี่คือ Crisissor ที่ได้จากการดัดแปลง ดาบแห่งคุซานางิ ตอนนี้มันกลายเป็น
ดาบปืนใหญ่ คุซานางิแคนเบลด(Kusanagi Can-Blade) ”
เอมิล อธิบาย

รูปภาพ

“ ตอนที่ฉันเก็บมันขึ้นมาไว้บนยานก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรหรอกนะ แต่หลังรับพวกเธอขึ้นมา มันก็เริ่มตอบสนอง
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเราลองจับตาดูในหมู่พวกเธอที่ขึ้นมาทั้งหมด และประเมินได้ว่าเธอ อาจจะเป็นบุคคลที่สามารถทำ อวาแทรนซ์ ได้ ”
ฮายาเตะ พูดแต่ยิ่งทำให้เขางงมากขึ้นไปอีก

“ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเธอแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไง ด้วยกำลังที่เพียงเท่านี้เราอาจจะไม่ชนะก็ได้ ”
เอมิล พูด

“ ของมันแน่อยู่แล้ว ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะว่า อวาแทรนซ์ มันคืออะไร แต่ถ้าลุยได้ล่ะก็ ผมไม่เกี่ยวงอยู่แล้ว
นี่ก็เพื่อ เอรี่ ด้วย ”
เด็กหนุ่มตอบเสียงมั่น

………………………………..
หลังจากทุกคน เข้าที่พร้อมแล้ว ฮายาเตะ จึงสั่งออกยาน

“ จากนี้ไปเราจะตรงเข้าสู่สนามรบขอให้ทุกคนเตรียมใจให้พร้อมด้วย ”
เธอ รออยู่พักใหญ่ๆว่าจะมีใครถอนตัวหรือไม่ แต่ก็ไม่มี

“ ถ้างั้นก็ ออกยานได้ เชิดหน้าขึ้น 30 เร่งแครื่องต็มพิกัด ”

เตาพลังงานของยาน ปะทุละอองอนุภาคออกมาห่อหุ้มตัวยานไว้และ พาไต่ระดับขึ้นจากพื้นน้ำ ตรงไปสู่ สนามรบ
ที่ตอนนี้ย้าย ออกมาอยู่บริเวณ ริมทะเลสาบ นีรันด้า

“ เตรียมการส่งตัว! ”
ฮายาเตะ สั่ง ประตูช่องส่งตัวของยานเปิดออกและเตรียมพร้อมให้ พรายด์ อาวล์ สแตกท์ ออกไป

………………..

ที่ห้องส่งตัว อาวล์ กับ สแตกท์ เตรียมพร้อม อยู่บนแท่นส่งเป็นที่เรียบร้อย และกำลังรอสัญญาณ ออกตัวจาก
ไรด์ ที่ประกาศมาจากห้องควบคุม

/เส้นทาง Catapult Charge Clear ค่าแรงดันไฟฟ้า Clear Valkyrier Avaritia of Tuesday/

“ แสตกท์ กรีดเดอร์ วอลคีรีเออร์ อาวาริเทีย ออฟ ทิวส์เดย์ ออกตัว!! ”
สิ้นคำ แท่นส่งตัวก็วิ่งตรงไปยังปากทางออก และส่งตัว สแตกท์ ออกไป ก่อนจะถูกดึงกลับเข้ามาเพื่อให้ อาวล์
ขึ้นมา
รูปภาพ

/ต่อไป Valkyrier Gula of Friday/

“ อาวล์ นีลเดอร์ กุลา ออฟ ฟลาเดย์ ไปล่ะจ้า~~ ”
แท่นส่งตัว พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับเข้ามาเพื่อให้ พรายด์ ได้เข้าประจำที่

รูปภาพ

{ ที่ผ่านๆมาเราสู้มาเพื่ออะไรกันแน่นะ? ทั้งๆที่ก่อนนี้คำตอบมันก็มีอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบจริงๆที่เราต้องการ…แต่ว่าตอนนี้ที่นี่ ฉันได้พบกับคำตอบนั่นแล้ว…}
พรายด์ มองดู ดาบ ในมือของตนอย่างถี่ถ้วนและพยายามสรุปความตั้งใจของตน ในที่สุดความคิดของเขาก็ส่งถึงมัน
ดาบตอบสนองออกมาด้วยการเปล่งแสงสว่าง เจิดจ้าจนอาบร่างทั้งร่างของเขาเอาไว้

/Ava-Trans/

แสงสว่างเปลี่ยนเป็นสีเขียว และแตกฟูออกเป็นละอองอนุภาคล่องลอยรอบ ร่างของพรายด์ ที่สวมชุดเกราะ
กึ่งเสื้อโคทสีดำตัดลวดลายสีแดง ตัวดาบที่เป็น Crisissor จำลองตัวเองเพิ่มมาอีกอันและติดตั้งเข้ากับ
แขนทั้งสองข้างของ เขา

รูปภาพ

/ต่อไป Valkyrier of Storm ออกตัวได้/

“ พรายด์ อัสแคร์ วอลคีรีเออร์ ออฟ สตรอม จะไปล่ะครับ!! ”

หลังจากที่พรายด์ ออกไปสมทบ กับอีกอาวล์ และ แสตกท์ แล้วพวกเขาทั้งสามจึงมุ่งเข้าไปยังแนวรบ อย่างรวดเร็ว

“ ปิดช่องส่งตัว เตรียมเปิดใช้อาวุธทั้งหมดของยาน ”
ฮายาเตะ ประกาศ ช่องเก็บปืนใหญ่และปืนต่อต้านอากาศยาน ตามส่วนต่างๆของยาน ถูกเปิดออกและ
ยื่นปากกระบอกออกมา

“ ระยะหน้า 60 มียานรบของ Empyrean Adjust หนึ่งลำ…รัฟอัส ครับ ”
ไรด์ รายงาน พร้อมกับส่งภาพของ ยานรัฟอัส ที่กำลังจะ บินเข้าฝั่ง

“ เตรียมการจู่โจม เราจะบุกเข้าไปล่ะนะ ”

“ ครับ/ค่ะ ”

………………………………………..

บนยาน รัฟอัส

“ พอลลิดัส งั้นเหรอ? ”
สเวน พูดด้วยอาการตื่นตกใจ หากแต่ เมอร์อาเน่ นั้นยังคงสงบใจนิ่งไว้ได้ เพราะเธอ เองก็คาดการณ์
เอาไว้แล้วว่า การโจมตีเมื่อครั้งที่ หมู่เกาะนิคโคอุ ไม่อาจจม พอลลิดัส ลงไปได้

“ ฝ่ายโน้น เค้าเตรียมจะโจมตีแล้ว เร่งสนามพลังป้องกันให้เต็มที่ แล้วเตรียมส่งตัว Valkyrier ออกไป
สเวน เธอ เองก็ตามไปสมทบกับ ซาราเบลด ด้วยนะ ”

สเวน รับคำก่อนจะวิ่งออกไป จากห้อง

“ เตรียมเปิดปากกระบอกปืนทุกกระบอก เราจะยิง โต้ตอบ ”

……………………………………….
ทั้ด้านนอก นั้น ซาราเบลด และ สเวน ได้ ทะยานออกจาก ยานและตรงเข้า เล่นงาน พอลลิดัส ทันที
แต่อาวล์ กับ แสตกท์ ก็เข้าไปขวางไว้ก่อน โดย อาวล์ ต่อสู้กับ สเวน และ แสตกท์ คอยยิง ต้อน
ซาราเบลด

“ นี่พวกแก ยังไม่ตายอีกงั้นเหรอ ”
ซาราเบลด สบถพลางใช้ ดาบปัดกระสุนแสงของ แสตกท์ ออก

“ พวกฉันน่ะ หนังเหนียวตายอยู่แล้วรู้ไว้ซะด้วย! ”
อาวล์ ตะโกน ก่อนจะบินตัดหน้า ซาราเบลด เข้าไปแทงหอกรัวใส่ สเวน แต่เขาสามารถ หลบอ้อม มาและฟันกลับไป
โชคดี ที่ อาวล์ หลบได้หวิดเกือบจะโดนตัดหัวขาดเอา

“ นภารุ่งสาง (Akatsuki No Sora) ”
เสียงตะโกน ของ เซน่า ดังมาพร้อมกับ ลำแสงอนุภาคสีทองจาก กลองทั้งห้าของ เธอยิงกวาดทำลาย กองยานด้านกลัง
ยานรัฟอัส จนพินาศไป

“ หนอย…ยัยนั่น ”
ซาราเบลด สบถก่อนจะ สะลัด แสตกท์ ให้หลุดแล้วเข้าไปฉะ กับ เซน่า แทน

“ แกสินะที่เป็นตัวหัวหน้า ”
ซาราเบลด ประดาบกับ เซน่า แต่ด้วยแรงที่มากกว่าจึงกดดาบของ เซน่า ลงไปเรื่อยๆ
ก่อนจะบิดให้ วงแขนของเธอ เปิดการป้องกันออก แต่ เซน่า ก็รีบถอยห่างออกมา เขาจึงต้องฟาดคลื่นพลัง
ออกไปแทน

“ คันฉ่องยาตะ กระจกเทพคุ้มภัย! ” /Yata no Kagami/
เซน่า สั่งให้ Crisissor ของเธอสร้างอาณาเขตป้องกันอนุภาคสีทองขึ้นมา พริบตาที่คลื่นพลังกระทบเข้ากับ
อนุภาคเหล่านั้น ก็สะท้อนมันกลับใส่ แต่ ซาราเบลดก็สามารถหลบได้ทันโดยมีความตื่นตระหนก ฉายบนสีหน้า

“ สะท้อนการโจมตีด้วยอนุภาคและลำแสงได้ยังงั้นเหรอ…หรือว่านั่นคือ Crisissor ต้นกำเนิด ดาบกุญแจแห่งรุ่งแสง
อาคัทซึกิ คีย์เบลด! ”
ระหว่างที่ ซาราเบลด กำลังอึ้งอยู่นั้น พรายด์ ก็แทรกเข้า มาเหวี่ยงดาบ ใส่จน เขาต้องถอยออกมาตั้งหลัก

“ เอานี่ไปกินซะ! แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท!!! ” /Yakusa no Ikadzuchi/

สิ้งเสียงดาบที่แขนทั้งสองก็แยกออกเป็นกระบอกปืนและยิงลำแสงอนุภาคแตกออกมาเป็นแปดสาย โดยที่ลักษณะ
การแตกออกมานั้นคล้ายกับเวลาที่แสงฟ้าผ่าแตกเส้น ขณะที่ผ่าลงมา

การโจมตีของ พรายด์ รุนแรงและ กินขอบเขตกว้างเกินกว่าที่ ซาราเบลด จะหลบทัน จึงได้สร้าง
กำแพงพลังงานขึ้นทานการโจมตีไว้ แต่ต้านได้ไม่นานก็แตกละเอียดในทันที สร้างความบอบช้ำ
ให้กับร่างกายของ เขาเป็นอันมาก รวมไปถึงความโกรธที่มาขึ้นตามมาด้วย สถานการณ์ตอนนี้
พวกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะถูกรุม สองต่อหนึ่ง จาก ทั้ง พรายด์ เซน่า และ อาวล์ แสตกท์ ที่ตามไปช่วย
รุมสเวน อีกคน

“ อาคาร์เดี้ยน พลาสม่า(Arcadian Plasma) ยิง!!! ”
ฮายาเตะ สั่งอนุภาครอบๆตัวยานถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเพื่อยิงถล่ม ยานรัฟอัส

“ บอมบ์ชูต(Bomb Shoot) ยิง!!! ”
ด้าน เมอร์อาเน่ ก็สั่งให้ทำการรวมพลังงาน ปืนหลักของยานเพื่อยิงตอบโต้ เช่นกัน
จนการโจมตีจากปืนหลักของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันเสียเองและระเบิดออกเป็นวงกว้าง
เกิดควันระเบิดพวยพุ่งออกมาบดบังยานทั้งสองลำจนมิด ก่อนจะถูกเป่าออกด้วยแรงสะท้อนจาก
การยิง ปืนใหญ่และ มิสไซล์ โต้ตอบกันไปมา

……………………………………………
………………………..
ณ ท่าเทียบเรืออากาศหลวง ซึ่งทอดตัวอยู่บนผืนดินหลังเต่าลอยฟ้ายักษ์ อันอยู่ในเขตปกครอง
ของชนชั้นสูง กลุ่มสภาสูง ที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกของ ซอร์ดอม
ทั้งสิ้น รวมไปถึง อัสโมดาย กำลังรอที่จะอพยพหนีเอาตัวรอดไป ซึ่งตอนนี้พวกเขา กำลังรอ โจน่า
ที่ไปออกหน้าบัญชาการรบเพื่อถ่วงเวลา ไว้ให้อยู่

บนยานลำเลียงเล็กสำหรับที่จะใช้หนี อัสโมดาย นั่งรอ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อย่างเซงๆ
“ มัวแต่ชักช้ากันอยู่ได้ ขืนฉันโดนพวกมันจับตัวไปซะก่อนก็แย่กันพอดี ”

…………………………….

ทางด้าน สนามรบตอนนี้ การปะทะกันระหว่าง Valkyrier และ ยานของทั้งสองฝ่าย ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ซะจนยานและกองเรือโดยรอบ ต้องหลีกลี้ ให้ห่างจากการปะทะ

“ หักซ้าย 40 แฟรมิสไซล์ ยิง!! ”
“ กัปตัน ครับ ”
เสียงเรียกของต้นหนเรือ ทำให้ เมอร์อาน่ ต้องหันมาหลังจากพึ่งสั่งยิงไป

“ มีอะไรกำลังใกล้เข้ามาครับ ตรวจจับปฏิกิริยา อิออนได้แต่เป็นชนิดที่เราไม่มีอยู่ในฐานข้อมูล..แถม..ยังเร็วมากด้วย ”
รายงานของ ต้นหนไม่สร้างความกประหลาดใจให้กับเธอเท่าไหร่ เพราะจนถึงตอนนี้ หากจะมีเรื่องน่าประหลาดเพิ่ม
ขึ้นมาอีก ก็คงไม่ทำให้ ประหลาดใจไปกว่าสถานการ์ที่กำลัง เผชิญอยู่นี้ ทั้งการปรากฏตัวของ
ยานพอลลิดัส และ กองทัพ Valkyrier ของฝ่ายนั้น

ด้านการปะทะกันระหว่าง Valkyrier อาวล์ กับ แสตกท์ ยังคงไม่ใช่คู่มือของ สเวน แม้ทั้งสองจะช่วย
ระดมจู่โจมอย่างต่อเนื่องไม่ให้ได้พักหายใจ แต่ สเวนก็หลบได้ทั้งหมดและยังสวนโจมตีกลับมาได้อีกด้วย

ทาง ซาราเบลด แม้จะต้องเผชิญศึกหนัก กับ Crisissor อานุภาพสูง ของ ทั้งเซน่า และ พรายด์
แต่ด้วยที่ทั้งสองคนพึ่งจะเคยใช้ความสามารถ อวาแทรนซ์ เป็นครั้งแรก จึงยังทำได้ไม่ดีนัก
และเริ่มตกเป็นรอง ไปทุกขณะ

“ เจ้านี่มันไวมากเลย ยิงไม่ตกซักที ”
พรายด์ สบถพร้อม กับกางกระบอกปืนที่ดาบซ้าย และพยายามเล็งอยู่หลายครั้งแต่ ซาราเบลด ก็เคลื่อนตัวได้เร็ว
เกินกว่าจะล็อกเป้าหมายได้ จนในที่สุด ซาราเบลดก็เข้าประชิดตัว เซน่า ได้อีกครั้ง
และกำลังจะแทงดาบใส่เธอ

“ ตายซะเถอะ! ”

ซาราเบลด ตะคอกแต่ก่อนที่ดาบจะทันได้แตะต้อง เซน่า ลำแสงอนุภาคสีแดง ได้ตกลงปะทะดาบของ ซาราเบลด
จนเบี่ยงออก

[เพลงธีมของ เรกกะ]


“ ใครกัน?..เหวอ! ”
ซาราเบลด หลุดปากด้วยความตกใจ และเกือบยกดาบรับดาบ ของ เรกกะ ที่ฟาดลงมาแทบไม่ทัน
เพียงเสี้ยววินาที ที่ดวงตาของทั้งคู่จ้องใส่กัน ก่อน ซาราเบลด จะรีบถีบตัวออกมาด้วยความตกใจอีกครั้ง
แม้จะแปลกใจ ที่ เรกกะ ยังไม่ตายแต่เมื่อนึกถึงว่า ขนาดพอลลิดัส ที่ตนเห็นว่ากลายเศษเหล็กไปแล้วยังมาอยู่ที่นี่ได้
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับ เรกกะ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็ คือเกราะใหม่และ Crisissor ใหม่ที่เขา
ครอบครองอยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ทุกคนที่ได้เห็นร่างของเรกกะ ในชุดเกราะและปีกสีแดงสด

“ เรกกะ?! ”
เซน่า เปรยด้วยความประหลาดใจ

“ พวกพี่รีบไปจัดการเรื่องที่กองบัญชาการเถอะที่นี่ผมจะจัดการเอง ให้อีกสามคนที่มาด้วยกันตามไปคุ้มครองด้วย ”
เรกกะ พูด

“ ด..เดี๋ยวสิ นายคนเดียวจะไหวเหรอ? ”
พรายด์ แย้งแต่ เซน่า ก็เข้ามาดึงตัว พรายด์ ไว้

“ ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ให้ เรกกะ จัดการเถอะ อาวล์ แสตกท์ ตามฉันมา เราจะไปที่กองบัญชาการกัน ”
เซน่า พูดเพราะเธอเชื่อมั่นในตัว เรกกะ ว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไรก่อนจะออก นำอีกสามคน กลับไปที่ เมกาโทโปลิส
เพื่อตามหาตัว ลอร์ด อัสโมดาย
เมื่อ ทุกคนไปกันหมดแล้ว สเวน จึงไม่มีใครคอยประกบและ บุกเข้ามาพร้อมๆกับ ซาราเบลด

“ แกนี่มันชักจะอวดเบ่งเกินไปแล้วนะ คิดรึว่า แกคนเดียวจะรับมือพวกเรา… ”
สเวน พูดได้ยังไม่ทันจะจบประโยค ดาบในมือของเขา ก็ถูกยิงจนหลุดมือไปเสียแล้ว
ทั้งที่ เรกกะ ที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ แต่พริบตาต่อมา เรกกะ ที่อยู่ตรงหน้าก็หายตัวมาอยู่ด้านหลังเขาเสียแล้ว และ
ฟันใส่ปีกร่อน ของ เขาจนขาดสะบั้น ก่อนจะถีบส่ง ให้ตกลงไปบน ยานรัฟอัส

แม้แต่ ซาราเบลด ก็ไม่อยากจะเชื่อสายและความคิดของตัวเองที่ประเมินออกมาได้ว่า เรกกะ ที่เห็นเมื่อครู่นี้ คือภาพติดตา
ที่เกิดจาก ตัวจริงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และละอองอนุภาคสีเงิน ที่ตกค้างอยู่ในอากาศ
ซึ่งปล่อยออกจาก ปีกของ เรกกะ ก็มีคุณสมบัติ ในการคงสภาพไว้ และสร้างภาพลวงตา ขึ้นมา จนเหมือนกับหายไปจริงๆ

“ กรอด..แกนะแก! เจ้าตัวปลอม!!! ”

ซาราเบลด ลั่นเสียงก่อนจะบุกเข้าไปประดาบ แต่ทว่า เรกกะ ที่เขาเข้าไปชนด้วยนั้น คือภาพติดตาที่ต่อมาสลายกลายเป็น ละอองอนุภาคสีเงิน และ เรกกะ ที่อ้อม มาด้านข้างแล้วกำลังจะเงื้อดาบฟัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะถูก
กินง่ายๆ การโจมตีของ เรกกะ นั้นถูกมองออกและรับไว้ได้ทัน ทว่านั่นกลับเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของ ซาราเบลด เอง
ที่คิดว่าสามารถตามความเร็วของ เรกกะ ได้ทัน เพียงพริบตาต่อมา เรกกะ ก็ถอยไปอยู่ห่างจากเขา หลายวาแล้ว
และเตรียมชาร์จอนุภาค ไว้ที่ดาบซึ่งเสียบติดกับโล่ เพื่อปล่อยการโจมตีชุดใหญ่

/Saber Hyperion/
สิ้นเสียง เรกกะ เหวี่ยงดาบขึ้นขนานกับลำตัว โดยให้ปลายดาบจรดกับช่วงอก ลำแสงอนุภาค
ขนาดใหญ่ถูกยิงออกมา และ ใช้เหวี่ยงแทนดาบ เรกกะ เหวี่ยงคมดาบลำแสง ขึ้นเงื้อก่อนจะฟาดใส่ยานรัฟอัส
ที่ตกตะลึงกับพลังความสามารถของ เรกกะ อยู่เครื่องยนต์หลักด้านหลังตัวยานถูกตัดจนสะบั้น
ก่อนที่คมดาบลำแสงจะสลายตัว ยานรัฟอัส ค่อยๆร่อนลงสู่พื้นน้ำ และลอยแอ้งแม้งอยู่ใน ทะเลสาบ

“ ทุกคน สละยานแล้วไปที่เรือชูชีพ ”
เมอร์อาเน่ สั่งทุกคนต่างแห่กันออกจาก ยานเพื่อไปที่ดาดฟ้า ทันทีเว้นแต่เธอ ที่ยังคงยืนอยู่ในห้องบัญชาการ
ขณะเดียวกัน ยานไซเบอร์ทิก้า ที่บินตามหลัง เรกกะ ซึ่งร่วงหน้ามาก่อน ก็ได้มาถึง และเข้าไปจอด
เทียบกับ ยานพอลลิดัส หลังจากสะพานเดินเรือต่อเข้าด้วยกันแล้ว ราชาฟ ซึ่งแบกเอา Crisissor อีกอันที่พบ
ในโบราณสถาน ก็วิ่งเข้าไปในยานพอลลิดัส

/ถึงห้องควบคุม ช่วยพา เฟนท์ มาที่ห้องส่งยานที/
เธอ ติดต่อผ่าน วิทยุสื่อสารไปที่ห้องก่อนจะรีบวิ่งไปยังจุดนัดพบ

“ ผมไปก่อนนะครับ ”
เฟนท์ พูดอย่างรู้งาน ก่อนจะหันไปมอง ไอ ที่ช่วยควบคุมอาวุธ ของยานอยู่ข้างๆ
และยิ้มให้เธอก่อนจะรีบออกไป

“ เอาล่ะเตรียม เปิดช่องยานรอเอาไว้เลยนะ ”
ฮายาเตะ สั่งหลังจากที่ เฟนท์ วิ่งออกไป

“ พระอาทิตย์พึ่งจะขึ้นแท้ๆ อีกเดี๋ยวพระจันทร์ก็จะประทับแล้วสินะ ”
เธอ เปรยเสียงเรียบ เพราะรู้จากสัญญาณ ที่ราชาฟส่งมา ถึงพวกเขา ก่อนที่ เรกกะ จะมา
ว่าเธอได้เอา สุดยอดแห่ง Crisissor อีกอันที่จะเป็นของ เฟนท์ มาส่งมอบให้

………………………..
ที่ห้องส่งยาน ราชาฟ มารออยู่ก่อนแล้ว เฟนท์ ไปเพื่อรับเอา ดาบซึ่งทำด้วยไพริน มา เธอ มองเขาด้วยสายฉงน
จนเขารู้สึกแปลกใจ

“ มีอะไร? ”
“ เปล่าหรอก ก็แค่รู้สึกว่านาย…เปลี่ยนไปเยอะเลยน่ะ ”

คำพูดของเธอทำให้ เขารู้สึกฉงนขึ้นมาบ้าง

“ เพราะครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็ตอนที่นายมาที่บ้านริมหาด ก่อนจะออกจาก เมกาโทโปลิส
ตอนนั้นนายจะเป็นกังวลทุกครั้งที่ได้ยินว่าจะต้องไปรบหรือต่อสู้อยู่เลย ”

“ มันคงเพราะฉัน รู้ถึงคำตอบที่ตัวเองค้นหามาตลอดตั้งแต่ที่ตัดสินใจออกจาก เมกาโทโปลิสแล้วล่ะมั้ง
อย่างที่ เรกกะ พูด คนเรามีความต้องการที่ไม่เหมือนกันแต่ทุกคนก็ปราถนาใน อนาคตเมื่อตอนนั้น ฉันยังไม่เข้าใจว่า
อนาคตที่ว่ามันเป็นยังไง มันคือวันที่เราทุกคนจะคิดเหมือนกัน ปราถนาเหมือนกัน รึเปล่าแต่ฉันก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่
แบบนั้น… ”

เฟนท์ พูดและหยุดเพื่อเรียบเรียงคำตอบที่เขารับรู้มาจากการเดินทางในครั้งนี้

“ ทุกคนต่างก็ต้องการพลังเพื่อที่จะไปให้ถึงวันพรุ่งนี้ แต่ว่า มันก็ต้องมี อิสระภาพด้วยหนทางที่พวกเรากำลังเดินต่อไปนี้
อาจจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่สุด ที่จะทำให้สันติเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เป็นหลักประกันว่าเราทุกคนจะมี อิสรภาพ
และสิทธิที่จะเลือกทางเดิน โดยปราศจากการบีบบังคับ ”

เฟนท์ ตอบน้ำเสียงหนักแน่น เธอ มองเห็นความมุ่งมั่นที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาซึ่งไม่มีความลังเล
ใดหลงเหลืออีกแล้ว

“ ตั้งแต่วันนั้นที่ พวกเราต่างออกเดินทางเพื่อหาคำตอบ พวกเราต่างก็เติบโตขึ้น รวมถึงนายด้วย
ที่ได้พบกับคำตอบที่ทำให้หนทางชัดเจนแล้วสินะ ถ้าเป็นตัวนายในตอนนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
สมกับที่เป็นคน ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษแห่ง เมอริเซีย ฝากฝังความหวังเอาไว้นายซึ่งเป็นคนแรกที่ ทำอวาแทรนซ์ได้
การอธิบายคงไม่จำเป็น…รีบไปเถอะ ”

ราชาฟ พูด เฟนท์เดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆกับ แท่นส่งตัวเพื่อทำสมาธิก่อนจะยกดาบขึ้น เหนือหัว
เสียงก้องกังวาลออกจากมัน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ายอมรับในตัวเขาแล้ว ประกายละอองสีเงิน
ที่ปล่อยออกมาจากดาบ ชะโลมร่างของเขาไว้ก่อนจะสร้างชุดเกราะขึ้นมา

[ดูการเปลี่ยนร่างเอาจากใน คลิปเน้อ+ เพลงปิดของตอนนี้แล้ว]


“ อินฟินิท เจอรัลดีน!!(Feint, the Infinite Geraldine) ”
ร่างใหม่ของ เฟนท์ คือชุดเกราะสีฟ้าไพริน สะท้อนแสงจากละอองสีเงิน ที่ร่วงโรยจากปีก สีฟ้าขาว
พลังมหาศาลที่สามารถแช่แข็งเมืองให้กลายเป็นทุ่งน้ำแข็งได้ สถิตย์อยู่ในดาบของเขา
เฟนท์ เหน็บดาบไว้ที่หลังก่อนจะขึ้นไปบนแท่นส่ง

“ นี่น่ะหรือ พลังของดาบ อัลสไวเดอร์(Alsvider = เร็วเสมอ) ”
ราชาฟ เปรย เธอสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่เทียบเท่าได้กับ เรกกะ แผ่ออกมาจาก เฟนท์

รูปภาพ รูปภาพ

/เส้นทาง Catapult Charge Clear ค่าแรงดันไฟฟ้า Clear เชิญออกตัวได้ค่ะ /
เสียง ประกาศของ ไอ ดังจากลำโพงเพื่อให้สัญญาณออกตัว กับ เฟนท์

“ เฟนท์ นีโอเวล อินฟินิท เจอรัลดีน จะออกไปล่ะ!! ”
แท่นส่งตัวพุ่งออกไปอย่างเร็ว และส่งตัว เฟนท์ ให้ทะยานออกจาก ยานไป

ที่ด้านนอกยานนั้น ซาราเบลด กำลังร่ายเวทย์ ที่เคยใช้เพื่อจมยานพอลลิดัสมา แล้วอีกครั้ง โดยหมายจะเผา เรกกะ
ให้เป็นจุล โดยไม่สนว่า ลูกเรือของ ยานรัฟอัส ที่อยู่ด้านหลังจะต้องรับลูกหลงไปด้วย

“ ….มืดมิดยิ่งกว่าราตรี ลึกล้ำกว่าค่ำคืน…ข้าแต่มหาราชแห่งมารร้าย และเพลิงล้างบาปที่เผาผลาญ
เอ๋ย จงมาเป็นแรงพลังให้ ข้าเผาพลาญคนบาปให้สิ้นไป.. ”
ซาราเบลด ยกดาบที่รวบรวมแสงอนุภาคเข้าไปจนกลายเป็นสีแดงขึ้น เหนือหัวและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นลูกไฟยักษ์
ขนาดมหึมา

“ ดาบปราบมาร มุรามาซะ กระบรวนท่าสยบมังกร ดราก้อนสลาฟ ”/Dragon Slave/
ลูกไฟถูกขว้าง ออกไป บรรดาลูกเรือที่ อยู่บนดาดฟ้าของ ยานรัฟอัส ต่างพากันเอาตัวรอดโดยการกระโดดลงน้ำ
อย่างจ้าล่ะหวั่น แต่ลูกไฟ ก็ตกมาเร็วเกินกว่าที่จะว่ายหนีไปได้ทัน รวมถึง เรกกะ ที่พึ่งจะโจมตีชุดใหญ่เพื่อจมยาน รัฟอัสไป
จึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะหนีจากเวทย์นี้

/Beam Breaker/

เฟนท์ ที่พุ่งออกมาจากยาน ชักดาบยาวของเขา เงื้อขึ้นตัดลูกไฟได้ราวกับตัดเนย ลูกไฟที่ถูกผ่าออกจึง
ไม่สามารถคงสภาพไว้ได้และสลายเหลือแต่เพียง ไอร้อน แผ่ลงไปบนผืนน้ำเท่านั้น

/Positron/
เสียงดังกังวาลขึ้นจาก ดาบของ เฟนท์ อีกครั้ง ก่อนจะซัดหมัดซ้ายออกไป ด้วยพลัง
ของเขาในตอนนี้ กำปั้นสามารถชกออกไปเป็นลำแสงทำลายที่รวมเอาอนุภาครอบตัว มาเป็นพลังงาน
แม้ซาราเบลด จะเอาดาบขึ้นมากันไว้ทัน แต่ก็ต้องถูกแรงผลักของพลังหมัด ซัดให้ถอยออกไปไกล

“ เฟนท์.. ”
เรกกะ เปรย ทั้งมองหน้ากันอย่างรู้ใจก่อนจะตรงเข้าไปเล่น งานซาราเบลดต่อ

“ พวกเรามาสร้างวันพรุ่งนี้ด้วยกันอีกครั้งเถอะ! ”
………………………………………….
…………………………………………………………………
……………………………….

แม้จะพูดได้ว่านี่จะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่สุด……แต่พวกเราก็จะยังมีวันพรุ่งนี้….และมีอิสรภาพ
………….บัดนี้คำตอบกระจ่างชัดแล้วใช่ไหม……………เช่นนั้นก็ไม่ต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว
……………เมื่อพายุหสุริยา และ จันทราเหมันต์ จักพัดผ่านอีกคราเพื่อนำมาซึ่งยุคสมัยใหม่…………..
………………………….วันนั้นคือวันที่ยังมีวันพรุ่งนี้ต่อไปหรือจักจบลงที่เพียงวันนั้น……………


End Special Edition 3 : Solar Storm & Luna Blizzard

To Be Continue

เป็นไงกันบ้างคร้าบ 100 หน้ากระดาษ Word กับ งานเผาเกรียมๆ มาเสิร์ฟ ร้อนๆเลย เหอๆ นี่ขนาดเร่งปั่นเอาช่วงหยุดปีใหม่
ยังเสร็จไม่ทันเลย เอาเถอะ ก็เลทมันยังงี้ทุกปีอยู่แล้วนี่เนอะเหอๆแถมปีที่แล้วซึ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วัน
ก็พึ่งเสร็จจาก ฟิคดิจิม่อน ที่ลงให้ บอร์ด ชิบิโครนิเคิล ไปหมาด ทำเอาไม่มีเวลา
พักหายใจกันเลยทีเดียว คาดว่า อาทิตย์หน้า VR TAG Turn อาจจะต้องเลื่อนไปอีก แต่จะพยายามให้เสร็จทัน
นะขอร้าบ~~~ หวัดดี ปีใหม่เน้อ~~~
รอบหน้าสงการนต์ สินะ เฮ้อเหนื่อย~~~
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard

โพสต์โดย boy เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 09, 2011 5:53 pm

อ๊ากกกก แอ๊คชั่นอลังการแถมตอนท้ายๆถูกใจเซน่ามากครับ
แต่ว่า แต่ละใบหลังๆพลังอลังการมาก =[]=!
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ จันทร์ ม.ค. 10, 2011 5:38 pm

boy เขียน:อ๊ากกกก แอ๊คชั่นอลังการแถมตอนท้ายๆถูกใจเซน่ามากครับ
แต่ว่า แต่ละใบหลังๆพลังอลังการมาก =[]=!


ที่ถูกใจนี่คือ ถูกใจความสามารถของการ์ดเธอ หรือว่าถูกใจบทกัน น่อ
พูดถึงบทของ เซน่า เวอร์ชั่นนี้ คุณพี่แกรับบทเด่นไปเต็มๆเลย ดูเท่กว่าภาคซีรี่ย์ ที่ไม่ค่อยได้ออกแถมอยู่ๆก็หายไปซะอีก เหอๆ
จะว่าไป 4 ตัวเอกได้ร่างใหม่ครบหมดแล้ว ตัวเก่าๆจะกลายเป็นตัวประกอบกิติมศักดิ์ กันไหมเนี่ย
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (III) Solar Storm & Luna Blizzard

โพสต์โดย Area เมื่อ พฤหัสฯ. ก.พ. 03, 2011 8:52 am

รูปนี่ออกแนวเกมเลยนะเนี่ย ^^
::036::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Area
0
 
โพสต์: 1296
Cash on hand: 28.00
ที่อยู่: In~♪[S]○~Lik*♪*Shop

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง SMN FanCard FanArt & FanFic

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน