Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ เม.ย. 28, 2024 8:30 pm

หน้าเว็บบอร์ด ส่วนของผู้เล่น SMN FanCard FanArt & FanFic (อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

สำหรับลงรูปแฟนอาร์ตและนิยายแต่งเองของชาวSMNครับ

Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ เม.ย. 16, 2011 8:43 pm

Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..



200 ปีหลังจากมหาสงครามแห่งเทอร่า องค์กรติดอาวุธเอกชน Empyrean Adjust ได้เข้าแทรกแซง ความขัดแย้ง
ทั้งหมดบน เทอร่า นำไปสู่มหาสงครามครั้งที่สอง มหาสงคราม Delantion บทสรุปในครั้งนั้นจบลงด้วยการเจรจายุติสงครามของสองฝ่ายระหว่าง สหพันธ์โลก และ สหประชาคมโลก
………………………………………………………………………………………….
2 ปีต่อมา Empyrean Adjust ซึ่งมารวมตัวกันด้วยการชักจูงของคำทำนายแห่งพงศาวดาร โซโลมอน
และที่นั่น สหประชาคมโลกส่งกองกำลังเข้าจารกรรมอาวุธพัฒนาใหม่ขององค์กร ไครชิสเซอร์(Crisisor)
Original 7 Series ไปด้วยกันสามเครื่องต่อมา เซน่า ไฮเดย์ ผู้นำแห่งสาธารณะรัฐเมกาโทโปลิส
ถูกลักพาตัวไปโดย เรกกะ ไฮเดย์ ผู้เป็นน้อง เพื่อหนีจากการช่วงชิงอำนาจของรัฐบาล เมกาโทโปลิส
ที่ไม่เป็นกลางในขณะนั้น
………………………………………………………………………………………
เบื้องหลังผู้ชักใยเหตุการณ์ทั้งหมดคือ ซอร์ดอร์ม ลอว์เอน ประธานองค์กร ณ ปัจจุบันของ Empyrean Adjust
ได้ออกแถลงการณ์ หาแนวร่วมโค่นล้มซอร์ดอร์ม ก่อตั้งกองกำลังพันธมิตรบุกจู่โจม และการปะทะกับ พญาอสรพิษแปดเศียร ยามาตะ โนะ โอโรจิ อาวุธชีวภาพของ ซอร์ดอร์ม แม้ว่า เรกกะ และพรรคพวกจะเข้ามาช่วยจนสามารถโค่นมันลงได้
แต่ อัสโมดาย หัวหน้าแห่ง ซอร์ดอร์ม ก็หลบหนีไปได้เช่นกัน…..อัสโมดาย หนีไปพึ่งพารัฐบาล เมกาโทโปลิส
ท้ายที่สุดแล้ว กองกำลังพันธมิตร เข้าทำสงครามกับ เมกาโทโปลิส ที่ให้ความคุ้มครองกับ อัสโมดาย
…………………………………………………………………………………….
เซน่า ไฮเดย์ ได้รับ ไครซิสเซอร์ ต้นกำเนิด อาคาทซึกิคีย์เบลด และนำกำลังเข้าปกป้อง เมกาโทโปลิส
พร้อมกับประกาศล้มล้างรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือ อัสโมดาย และเริ่มการตอบโต้
เรกกะ ซึ่งได้รับ ไครซิสเซอร์ใหม่ จากโบราณสถานค้างฟ้าสเลปเนียร์ กลับลงสู่สนามรบ และเข้าปะทะกับ ทีมแชงกริล่าค์(Shangri-la) แห่งยานรัฟอัส ที่เหลือเพียง สเวนและซาราเบลด ราชาฟ เรล หรือ R2 ได้มอบไครซิสเซอร์ ชิ้นที่สอง
ของสเลปเนียร์ แก่ เฟนท์ นีโอเวล และส่งเขาออกสู่สมรภูมิร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ เรกกะ บัดนี้บทสรุป
แห่งตำนานและยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึง ได้เริ่มขึ้นแล้ว
……………………………………..
……………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….

อีกเพียงสองสามก้าวก็จะถึงบานประตูที่นำไปสู่ห้องบัญชาการของฐานทัพ กองกำลังป้องกันตนเองแห่งเมกาโทโปลิส
หญิงสาววัยรุ่นผู้นำแห่งเมกาโทโปลิส ปลดชุดทรงมิโกะ และ อาวุธของเธอคืนสู่สภาพของ
ไครซิสเซอร์ที่มีรูปร่างเป็นดาบรูปตัวโน้ตดนตรี เบื้องหลังเธอมี นายทหารตามมาคุ้มกัน อีก สามคน
โดยคนที่เดินอยู่ด้านกลังสุดคือ คลากซ์ นายกองหนุ่มแห่งหน่วยพิเศษขึ้นตรงกับผู้นำประเทศ

“ โจน่า!! ”
ประตูห้องบัญชาการ เปิดออก หญิงวัยรุ่นผู้นำแห่ง เมกาโทโปลิส ตะคอกเธอเดินตรง ไปกระชากคอเสื้อ ชายผมสีม่วงวัยกลางคนที่อายุมากกว่าเธอซักสองปี ขึ้นด้วยมือเดียว หากไม่ใช่เพราะมือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดไพร่หลังไว้ด้วยเชือก
เขาจะใช้มันดึงมือเธอ ออกแต่ถึงยังงั้น ชายวัยกลางคน ก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นแน่กับเธอที่สีหน้าเจือไปด้วยความ
โกรธเกรี้ยวจนเป็นเหมือนกับ พญามารสำหรับเขา

“ ท…ทำไมถึงทำกันแบบนี้ล่ะ….เซน่า~~ ”
ชายวัยกลางคน-โจน่า พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ฟันของเขากระทบกันกึกๆ ด้วยความกลัวและพยายามหลบสายตา
ฉุนเฉียวของ เซน่า ที่มองมาที่เขา

รูปภาพ

“ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ…บอกมาว่าเจ้าอัสโมดาย นั่นมันอยู่ที่ไหน ”

เธอตะคอก เป็นอีกครั้งที่ โจน่า สะดุ้งจนตัวลอย แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้เพราะ เซน่า จับปกคอเสื้อเขาอยู่
โจน่า ส่ายหัวเร็วๆ เป็นทำนองว่าเขาเองก็ไม่รู้ คอเสื้อของเขารัดแน่ขึ้นไปอีกเมื่อ เซน่า ใส่แรงที่ข้อมือ
กระชากให้เข้ามาประชิดจนหน้าจะติดกันอยู่แล้ว ความฉุนเฉียวสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียว ที่มองด้วยควมหวั่นไหว

“ เรื่องมันไปกันขนาดนี้แล้วยังคิดจะไปปกป้องมันอีกเหรอ! ”
“ ช..ชั้นไม่รู้นะ สาบานได้..เชื่อชั้นสิ เค้ามาที่บ้านชั้นก็จริงแต่ตอนนี้ชั้นไม่รู้หรอกว่าเค้าอยู่ที่ไหน ”

โจน่า รวบรวมกำลังใจเท่าที่ยังมีเหลือตอบกลับไป อย่างกล้าๆกลัวๆ เซน่า จ้องตรงไปที่ดวงตาของ เขา
อยู่สองสามวินาที ก่อนจะหลับตาลง

“ เอาตัวออกไป! ”
เธอ พูดพร้อมกับโยนร่างของ โจน่า ให้นายทหารสองนายที่มาด้วยกันลากตัวออกไปจากห้อง

“ เปิดทุกช่องการสื่อสาร สั่งออกไปค้นหาให้หมดไม่ว่ายังไงก็ต้องลากตัว อัสโมดาย ออกมาให้ได้เข้าใจนะ! ”
เซน่า ประกาศเวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่ ทหารของฝ่ายพันธมิตร แต่ ทางเมกาโทโปลิส ก็กลายเป็นศัตรูกับ ซอร์ดอร์ม
โดยสมบรูณ์ ถึงจะเป็นเช่นนั้น การค้นหาตัว ลอร์ดอัสโมดาย ก็ยังไม่ราบรื่นดีนัก เพราะการรบที่เริ่มกระจายวงกว้างออกไปแม้จะช้าลงไปบ้างจากการ แทรกแซงของพวก เรกกะ ก็ตาม

…………………………………………………………………..
……………………………
บนสมรภูมิใน ทะเลสาบนีรันด้า อันกว้างใหญ่เสียงปืนใหญ่ลั่นดังกึกก้องกัมปนาท ปานฟ้าร้อง ควันไฟมากมาย
ลอยโขมงจากแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟ แม้แต่น่านฟ้าก็ยังมีการสู้รบ ทั้งจากยานเกราะ และพาหนะที่พาทหารบินเหินไปในอากาศได้อย่าง เครื่องแอคเซลแอคเซเรลาเตอร์(Axel Accelerator)

รูปภาพ

บนท้องน้ำเกลื่อนไปด้วยซากยานรบ และ เรือรบที่พังเป็นชิ้นๆ หนึง่ในบรรดาที่ล่มลงนั้น มีรัฟอัสอยู่ด้วย
เหล่าเจ้าหน้าที่ของยานแห่กันออกมาขึ้นเรือชูชีพบนดาดฟ้า เป็นการใหญ่ ภายใต้การเฝ้าจับตาดูของ
สเวน เขามองไม่เห็น เมออาร์เน่ ที่เป็นกัปตันอยู่ในกลุ่มลูกเรือที่มาขึ้นเรือชูชีพด้วยความกระรวนกระวาย
เขาเปลี่ยนไปมองหาพวกลูกเรือที่เป็นเจ้าหน้าที่ในห้องบังคับการ จนไปเจอต้นหนเรือ สาวคนหนึ่งในกลุ่ม
ที่กำลังรอขึ้นเรือ

รูปภาพ


“ นี่ กัปตัน ล่ะออกมารึยัง? ”
สเวน เดินเข้าไปถาม เธอส่ายหัวและตอบอย่างสุภาพ

“ กัปตัน ยังอยู่ในห้องบังคับค่ะ เธอสั่งให้พวกเราหนีออกมาแต่ไม่ยอมตามมาด้วย… ”

สเวน ยืนอึ้งไปกับคำตอบของเธอ สีหน้าของเขาดูกระวนกระวายมากกว่าเดิม เครื่องยนต์ปีกร่อนของชุดเกราะซึ่งตอนนี้ปีกข้างทั้งสองปีกหักไปแล้วแต่มันยังคงทำงานได้ อนุภาคแสงสีเขียว ปะทุออกมาและพาร่างของเขาให้ลอยขึ้นในอากาศ

สเวน บินอ้อมลงจากดาดฟ้า ไปยังหัวเรือและลงไปยืนบน ระนาบด้านหน้ากระจกของห้องบังคับการ
เขาเอาหน้าแนบติดกับกระจกและ เคลื่อนสายตามองหาภายในห้อง ร่างบอบบางในชุดสีขาวที่ดูคุ้นตาล้มแผ่
อยู่ใกล้กับเก้าอี้กัปตัน

โดยไม่ต้องคิด กำปั้นของ สเวน ได้เหวี่ยงกระแทกจนกระจกหน้าต่างร้าวไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เพียงชกลงไปอีกครั้ง กระจกแตกลงทั้งบาน กลิ่นควันไฟฉุนจมูก ลอยออกมาพร้อมกับเขม่าควันที่ฟุ้งกระจายทั่วห้อง
นี่คือสาเหตุ ที่ทำให้ เมออาร์เน่ ล้มฟุบไปเพราะเธอขาดอากาศหายใจอยู่ข้างใน สเวน กระโดดลงไปบนพื้นห้อง
และวิ่งเข้าไป ยังที่ที่ร่างของ เธอนอนอยู่

“ ทำใจๆดีไว้นะ เมออาร์เน่ ”
เสียงของเขา ปลุกให้เธอตื่น สีหน้าของเธอดูอิดโรยและอ่อนเพลีย แต่เธอยังคงมีสติอยู่
สเวน แบกร่างของเธอไว้ในอ้อมกอด ทั้งคู่บิน ออกมาก่อนที่ยานจะจมลงไปทั้งลำ
ทันพร้อมกับลูกเรือที่ลงเรือชูชีพกันจนครบแล้ว พวกเขาทั้งหมดมองดูซากยานที่เคยร่วมรบด้วยกันมาตลอดจมลง
ไปใต้นาวา อย่างช้าๆ

“ ขอถามหน่อยสิ ทำไมถึงรีบออกจากห้องบังคับการล่ะ ”
สเวน ถามและจ้องเธอด้วยสายตาอยากรู้ เมอร์อาร์เน่ สำลักไอ เพื่อให้ควันไฟที่ยัตกค้างอยู่ ออกไปก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย

“ ก่อนที่ยานจะล่ม….แค่กๆ มีข้อความจากหน่วยข่าวกรอง..อุบ แค่กๆ ”
เธอยังคงสำลักไประหว่างพูด

“ ….พวกเราถูกหลอกแล้วล่ะ..แค่ก รีบพาฉันไปที่เรือธง เราต้อง….แค่กๆ แจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ ”
เมอร์อาร์เน่ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อกาวของเธอ และดึงเอา แผ่นเก็บข้อมูลออกมา สเวน พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ ถ้างั้นเราไปบอกให้ ซาราเบลด ถอยกลับไปด้วย… ”
“ ไม่ได้นะห้ามบอก ซาราเบลด เด็ดขาด อุบ แค่กๆๆ ”

เมอร์อาร์เน่ รีบห้ามเขาไว้ทันที สเวน หันมามองเธอ ด้วยท่าทาง งงๆ

“ อะไรของเธออีกล่ะเนี่ย? ”
สเวน เปรย

“ ซาราเบลด เป็นคนที่เห็นด้วยกับการหลอกใช้ครั้งนี้น่ะสิ ต้องอาศัยจังหวะที่เค้ากำลังยุ่งอยู่ไปแจ้งให้ทุกคนรู้ซะก่อน
เร็วเข้าเถอะ ”
ตอนนี้เธอหายสำลักแล้วและพูดได้คล่องปร๋อ เป็นปกติ สเวน มองเธอ แล้วก็หันไปดูทาง ซาราเบลด แล้วก็หันกลับ
มามองเธอ อีกเขาทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา สองสามรอบเพื่อชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายที่สุด สเวน พาเธอบิน
ข้ามน่านน้ำตรงไปยังที่เรือธงของกองทัพพันธมิตร ลอยลำอยู่

………………………………………..

/Positron/
เสียงเครื่องจักรดังกังวาน ตามมาด้วยลำแสงอนุภาคสีเงินบีบอัดพุ่งจากหมัดของ สมิงหนุ่มในชุดเกราะวอลคีรีเออร์
สีฟ้า หมัดลำแสงนั้นเขาจงใจยิงให้โดน ซาราเบลด แต่เป้าหมายนั้นกลับหลบมันได้อย่างง่ายๆ

รูปภาพ

“ หมอนี่ไวเป็นบ้าเลย! ”
สมิงหนุ่ม-เฟนท์ สบถท่าทางหัวเสียกับความว่องไวของ ซาราเบลด ที่หลบการโจมตีของเขาได้
นั่นไม่เว้นแม้แต่ เรกกะ ที่แม้จะใช้ดาบอัลสวินระดมยิงใส่ด้วยกระสุนอนุภาคสีเงิน แต่ไม่มีกระสุนใดเข้าถึงตัว ซาราเบลด แม้แต่นัดเดียว

รูปภาพ

“ ลากูน่าเบลด! ”/Laguna Blade/
ซาราเบลด ตะโกนพร้อมกันนั้นได้ตวัดดาบคาตานะ ในมือออกสุดแรง ลำแสงโค้งรูปเสี้ยวบินตรงมา

รูปภาพ

เรกกะ ยกโล่อาร์วาค ขึ้นเสมอช่วงหน้าอกโดยให้มันยื่นห่างออกไปจากลำตัวเล็กน้อยเป็นระยะที่เว้นไว้รับแรงกระแทก
ละอองอนุภาคสีเงิน แผ่ออกจากขอบของโล่จนเกิดเป็นรัศมีป้องกันขวางทั้งร่างของเขาเอาไว้ ลำแสงดาบของ
ซาราเบลด เข้าปะทะและสะท้อนกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย

“ ย้ากกกกก!!!!!! ”
ซาราเบลด คำราม พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เร็วจนไม่ทันตั้งตัว แต่ เรกกะ ยกดาบของเขาขึ้นมารับไว้ทัน
ทั้งคู่ประดาบวัดพลังกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ ตัวปลอมอย่างแกน่ะถึงเวลาที่ควรจะหายๆไปซักที!! ”
ซาราเบลด ตะคอกพร้อมกับบิดข้อมือกดดาบของเรกกะ ให้ลดลง ปลายดาบคาตานะ เล็งเข้าที่ช่วงอกของ เรกกะ

“ อย่างนายไม่มีสิทธิ จะมาสั่งให้ฉันหายไปหรอกน่า! ”
เรกกะ สวนแล้วถอยออกห่างจาก ระยะดาบของ ซาราเบลด ในทันที ถึงกระนั้น ตัวจริงของเขาก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
ซาราเบลด ตวัดดาบสร้างลำแสงเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่คราวนี้ เฟนท์ เข้ามาแทรกและใช้ดาบอัสไวเดอร์ เล่มโตของตัวเอง
ตัดลำแสงจนสลายได้ในดาบเดียว นี่เป็นหนึ่งในความสามารถหลักของ อัสไวเดอร์ ที่สามารถจะตัดลำแสง
หรืออนุภาคต่างๆได้ เป็นที่มาของท่า บีมเบรคเกอร์(Beam Breaker) ที่ต่อให้เป็นลำแสงทำลายพลังสูงของยานรบก็
ตัดทิ้งได้ราวกับตัดเนย

/Plasma/
เสียงเครื่องจักรกังวานก้อง จากดาบอัลสวินของเรกกะ เขาใช้มันระดมยิงกระสุนอนุภาค หลายสิบนัด ซาราเบลด
พยายามบินหลบแต่จำนวนที่มากมายของกระสุน ทำให้เขาต้องกางกำแพงแสงที่สร้างด้วยอนุภาคขึ้นมา รับกระสุน
บางส่วน แต่นั่นเป็นเพียงนกต่อ เรกกะ อาศัยจังหวะที่เขาหยุดนิ่งเพื่อป้องตัวอยู่นี้ เข้าประชิด
และฟาดดาบใส่ แต่ซาราเบลด เปลี่ยนกระบวนท่ามาตั้งรับได้ทัน ทั้งสองพลัดกันออกเชิงดาบใส่ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยวินาที

เฟนท์ ยืนมองอยู่รอบนอกไม่มีช่องว่างให้เขาได้เข้าไปแทรกเลย ถึงกระนั้นตัวเขาก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ อนุภาคสีเงินซึ่ง
กระจายอยู่รอบๆตัวของเขา ถูกดึงมาบีบอัดเป็นมวลประจุแสงเอ่อล้น อยู่ที่หมัดของเขา จังหวะที่ เรกกะ ถอยฉากออกจาก
ซาราเบลด ได้แล้ว จึงสบโอกาสให้เขาได้ปล่อยหมัดนี้ออกไป แต่ลำแสงอนุภาคก็เฉี่ยวพลาดไปเพียงไม่กี่มิล

“ ประเทศแบบนี้ทวีปแบบนี้..มันมีอะไรน่าปกป้องตรงไหน พวกมันดีแต่เอาหน้ารอดไปวันๆ…เพราะแบบนี้พ่อของชั้นถึงถูกทิ้งให้ตายในสนามรบไง! ”

คำพูดของ ซาราเบลด นั้น เรกกะไม่เข้าใจบางอย่างไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้และบางอย่างดูมีเงื่อนงำสำหรับตัวจริงของเขา
พ่อที่ถูกทิ้งให้ตายในสนามรบ……ไม่ใช่แบบนั้น พ่อของเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้ตายในสนามรบ จากความทรงจำของเขาซึ่งรับ
ถ่ายทอดมา ลอว์เรนซ์ พ่อของ เขาไม่สิ พ่อของซาราเบลด ไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในสนามรบ แต่เขาเสียสละตัวเองเพื่อ
ช่วยให้คนที่เหลือรอดหนีไป หรือบางทีความทรงจำของเขาอาจจะเป็นของปลอม ไม่….สิ่งที่ยืนยันและทำให้เขาเชื่อมั่น
ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็คือ ตัวลอว์เรนซ์ ในอดีตที่ย้อนกลับมาในเวลานี้ เป็นคนบอกเขาเองว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง

แต่ก็อีกนั่นล่ะ ลอว์เรนซ์ ที่ย้อนกลับมาไม่ใช่ลอว์เรนซ์ ที่อยู่ในสนามรบเมื่อตอนนั้น แต่เป็นก่อนหน้านั้น
ถึงเจ้าตัวจะรู้เรื่องจริงๆ แต่อาจจะโกหกในเรื่องนี้ก็ได้ ความจริงคืออะไรกันแน่? ตอนนี้หัวของเขา เต็มไปด้วยเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย


“ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ! ”

เสียงของ เฟนท์ สลายห้วงแห่งความคิดของเขาและดึงให้กลับมายังโลกแห่งความจริง ทั้งเขา และ ซาราเบลดหยุดเพื่อ
ฟังที่ เฟนท์ จะพูด

“ นายน่ะถ้าเป็นตัวจริง….ถ้าหากว่าเป็นลูกชายของลอว์เรนซ์ ตัวจริงจะต้องไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่ๆ ”

ซาราเบลด ทำกิริยาสบถด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ก่อนจะมอง เฟนท์ ด้วยสายตาจองหอง

“ อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย พูดอย่างกับว่านายรู้จักพ่อชั้นดีอย่างนั้นล่ะ เขาน่ะตายไปตั้ง 200 ปีแล้วนะ! ”

“ ก็รู้น่ะสิ…เพราะว่าพ่อของฉัน เจนัส นีโอเวล คือสหายร่วมรบกับลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ของนายไง! ”

ดวงตาเบิกโผลงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซาราเบลด แสดงอาการออกทางสีหน้าด้วยความแปลกใจ
วินาทีนี้ เรกกะ ถึงพึ่งนึกได้ว่าหลักฐานที่จะยืนยันเรื่องความทรงจำของเขาไม่ใช่ใครอื่นไหน ไม่ใช่ทั้งตัว ลอว์เรนซ์
หรือ ซาราเบลด แต่เป็น เฟนท์ คำพูดของลูกชายสหายสนิท ไม่มีอะไรจะน่าเชื่อถือได้เท่านี้อีกแล้วในตอนนี้
เพียงแต่ ซาราเบลด ตื่นจากการหลับไหลมาได้ไม่นาน เขาไม่รู้จักเฟนท์ และ เฟนท์ คือคนทรยศต่อ องค์กรแน่นอนนั่นคือ
หนึ่งปัจจัยหลักที่ เขาจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของเฟนท์

“ เป็นลูกชายของเพื่อนของพ่องั้นเหรอ….คำพูดของ คนทรยศอย่างแกน่ะฟังไม่ขึ้นหรอก!! อย่าคิดจะมาดูถูกพ่อ
ของชั้นนะ! ”

ซาราเบลด ขึ้นเสียงก่อนจะถลาตัวเข้าใส่ เฟนท์ ฟาดดาบคาตานะ แต่ เฟนท์ ไวพอที่จะชักออกจากหลัง อัลสไวเดอร์ดาบยักษ์คู่ใจ รับดาบของ ซาราเบลด

“ กรอด..ทำไมถึงได้ดื้อด้านแบบนี้นะ… ”
เฟนท์ ขบกรามอย่างหัวเสีย ไม่ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมยังไง ซาราเบลด ก็คงไม่ยอมฟังเขา

…………………………………………………………………
…………………………

ในตัวเมือง เมกาโทโปลิส บนภาคพื้นดิน ไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกต่อไป นอกจาก เชลเตอร์หลบภัยลึกลงใต้ดิน
ไปอีก 10 เมตร ประชาชนในเมืองจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลมารวมกันอยู่หน้าทางเข้าซึ่งมีลักษณะ
เป็นอุโมงทอดยาวลงไปใต้ดิน ผู้คนเรียงแถวกันเดินลงไปในอุโมง อย่างเป็นระเบียบตามคำแนะนำของ ทหาร
แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่เอาแต่โวยวาย

“ เฮ้! ทำไมชั้นจะต้องมาหลบในเชลเตอร์ของพวกราษฏร ด้วยล่ะชั้นจะไปหลบภัยที่ เชลเตอร์ของฝ่ายรัฐบาลกลางนะ ”
โจน่า แหกปากใส่ ทหารทั้งสองที่คุมตัวเขามา และแสดงท่าทางวางก้ามอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา

“ หุบปากแล้วเดินๆไปเถอะน่า ตอนนี้ถ้าให้ฝ่าไปถึง รัฐบาลกลางได้ตายก่อนถึงพอดี เอ้าเร็วเข้า! ”

หนึ่งในสองนายทหาร พูดจบก็พลักไสให้ เขาเดินเข้าไปต่อแถวร่วมกับราษฏร
พวกเขาต่างหันมามองและพากันซุบซิบนินทาในตัว โจน่า แน่นอนในฐานที่ฝ่ายรัฐบาลทำตัว
ไร้เหตุผลจนบ้านเมืองต้องลุกเป็นไฟเพราะสงครามแบบนี้ ยิ่งข่าวการกลับมากู้ชาติของ เซน่า
แพร่กระจายลงมาจนถึงระดับราษฏร ทั้งหมดด้วยแล้ว โจน่า กลายเป็นตัวตลกในสายตาของพวกเขา
เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้อพยพ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเด็กที่มองมาด้วยสายตาสมเพช

โจน่า ขบกราม ทั้งอับอาย ทั้งโมโหและหงุดหงิด ไม่มีใครเคารพในตัวเขาเลยแม้แต่ในฐานะมนุษย์ด้วยกันก็แทบจะไม่
มีใครยอมรับ

{จะต้องหนีไปจากที่นี่}

ความมุ่งมั่นของ โจน่า ทำให้เขาเหลือบมองไปยังทหารทั้งสองนายที่คุมตัวเขาอยู่ เฝ้ารอและรอ จนในที่สุดทหารทั้งสองคน
ก็เผลอตัว โจน่า ออกแรงสุดตัวเท่าที่จะมีได้ ชนนายทหารคนหนึ่งจนล้ม และใส่ฝีเท้าวิ่งออกจากแถวอพยพไปทันที
โดยเร็ว นายอีกคนตะโกน เรียกให้พรรคพวกที่อยู่รอบๆช่วยจับตัว โจน่า แต่เขาก็หนีไปไกลเกินกว่า จะไล่ทันเสียแล้ว

โจน่า วิ่งอย่างเต็มที่วิ่งจนลิ้นห้อยหอบหายใจ เหมือนสุนัขที่วิ่งหางตั้ง เขาวิ่งมาจนถึงที่ราบเนินสูงต่ำ
มันไกลเกินพอแล้วจากจุดที่เขาวิ่งมา ที่นี่ใกล้กับแนวรบมากและไม่มีใครอยู่ในบริเวณรอบๆนี้นอกจากเขา
เสียงระเบิดและเสียงปืน ดังมาจากอีกฟากของเนิน ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะหลบอยู่ในเขตแดนที่ตายเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถ้ากลับไป ก็จะถูกคุมตัวอีกไม่อยากจะเป็นเป้าสายตาของพวกคนที่ดูหมิ่นเขาอีกแล้ว

โจน่า เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินสบายๆ เขาเดินขึ้นไปบนเนิน เฝื่อจะมองเห็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ฐานรัฐบาลกลาง
ที่นั่นจะมีพรรคพวกของเขา รออยู่ โจน่า แหงนเงยหน้าขึ้นฟ้าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ เกาะเต่าลอยฟ้าที่อยู่เยื้องออกไป
จากเขตสนามรบที่ยืนอยู่ นั่นคือเป้าหมาย ฐานของรัฐบาลกลางตั้งอยู่ที่นั่น สีหน้าของ โจน่า สบายขึ้น
และรีบวิ่งตรงไปยังทิศที่ เกาะเต่าลอยอยู่

เพียงแต่เสียงและแรงสะเทือนของระเบิดที่ตกมาใกล้ๆ ที่ราบแห่งนี้ ทำให้ โจน่า ชะงักฝีเท้าลมพัดเอาเขม่า
ควันและดินทรายมา ร่างของเขาจมอยู่ในหมอกเขม่าและดินทราย จนมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าอีกแล้ว
โจน่า ยกแขนขึ้นป้องหน้าไม่ให้ดวงตาถูกเศษดิน เขาฝืนเดินหน้าไปทั้งที่ไม่รู้ทิศทาง

เสียงหวีดคล้ายเสียงเสียงลมพัดผ่านช่องลมดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง โจน่า หยุดฝีเท้าด้วยความ
ระแวงมีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆนี้ เสียงหวีดของลมนั่น อาจจะเป็นเสียงรวมประจุพลังงานของ ปืนใหญ่

แรงลมระลอกพัดมาดั่งพายุลากเอาเขม่าควันและฝุ่นทรายให้ปลิวหายไปหมดในพริบตา
บัดนี้ห่างออกไปจากที่ โจน่า ยืนอยู่ไม่กี่สิบเมตร ยานรบลอยฟ้าสองลำ กำลังขับเขี่ยวกันอยู่ โดยที่ปืนใหญ่
ลำแสงของยานรบฝ่าย พันธมิตรเล็งยิงยานของฝ่าย เมกาโทโปลิส ซึ่งมันลอยอยู่ในอากาศเหนือหัวของเขา

โจน่า ได้แต่ยืนมอง แสงกระพริบจากมวลอนุภาคลำแสงที่จะกลายเป็น ยมมทูตพรากเอาชีวิตไปจากเขา
ทันทีที่ได้สติ เขาพยายามส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าอยู่ตรงนี้ทั้งโบกไม้โบกมือกระโดดโลดโผน
แต่น่าเสียดายไม่มีใครสังเกตุเห็นเขาในตอนนี้หรอก

สัญชาตญาณสั่งให้ขาของเขาวิ่งออกไปจากนี่ให้เร็วที่สุดไม่มีประโยชน์ที่จะส่งสัญญาณใดๆบอกอีกแล้ว
โจน่า วิ่งออกไปใส่แรงทั้งหมดวิ่งเต็มฝีเท้า แต่ก็ยังไปได้ไม่ไกลในวินาทีที่ ลำแสงอนุภาคพุ่งจากลำกล้องปืนยานรบ
ยานของเมกาโทโปลิส ถูกยิงเสียหายและร่วงหล่นทันที

ร่างของ โจน่า ถูกคลุมทับด้วยเงาของยานรบที่ล่มลง ไม่มีแม้เสี้ยววินาทีให้ได้กรีดร้อง
ยานรบลอยฟ้าขนาดเรือสำเภาสามลำ บี้ร่างเล็กกระจ้อยของ โจน่า จนแหลกเหลวในพริบตา………..
……………………………………………………………………………..
……………………


ท่าอากาศยานหลวง แห่งเมกาโทโปลิส คือท่าอากาศยานของรัฐบาลกลาง ตั้งอยู่บนหลังของเต่าลอยฟ้า
ห่างจากเมืองระดับภาคพื้น ไปอีกสองกิโลเมตร ภายในท่าออกยานแบ่งเป็นพื้นที่รับยานขาเข้าและพื้นที่ส่งยานขาออก
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ของสถานีวิจัยด้านอากาศยาน และ กรมอุตุนิยมวิทยา

แต่ภาวะสงครามขณะนี้ เจ้าหน้าที่และคนอื่นๆบน เกาะอพยพหนีออกไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียง ทหารบางส่วน
ซึ่งสังกัดกับฝ่ายรัฐบาลกลาง และพวกกลุ่มสภาสูง ทั้งหมดก็อยู่ที่นี่ พวกเขากำลังรอ โจน่า อยู่ในท่าส่งออก
เพื่อขึ้นยานลำเลียง หนีไปพร้อมๆกัน ภายในยานนั้น อัสโมดาย นั่งรอจนเหนียนยาน และเริ่มจะหมดความอดทน

“ ช้า…ทำไมถึงได้ช้าแบบนี้ ถ้าขืนไม่รีบออกยานตอนนี้ล่ะก็.. ”
อัสโมดาย บ่นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชะงักฝีปากเจ้าอารมณ์ เพราะเสียงเอะอะจากนอกยาน
สายตาเจ้าเล่ห์ หันไปมองผ่านหน้าต่างจากที่นั่งของเขา ที่ท่าส่งยาน พวกสภาสูงที่ยังไม่ขึ้นมากับ ทหาร
เหล่านั้น ถูกกำลังทหารของฝ่าย พันธมิตรล้อมเอาไว้หมดแล้ว

ที่ กองกำลังของฝ่ายพันธมิตรสามารถเข้ายึดครองเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้อย่างง่ายดายนั้น
เป็นเพราะการรายงานของทหารที่อยู่ในอำนาจของสภาสูงแจ้งรายงานเท็จกลับไปที่กองบัญชาการว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่
อีกแล้วเพื่อที่จะหลบหนีได้สะดวก เพราะงั้นทางกองบัญชาการจึงไม่ได้ส่งกำลังมาปกป้องเกาะแห่งนี้เลย
และยังถอนกำลังรอบนอกของเกาะนี้ไปช่วย แนวหน้าจนหมด

“ รีบออกยานเร็ว! ”
อัสโมดาย หันไปสั่งนักบิน ด้วยท่าทางกระวนกระวาย

“ แต่ว่า คนอื่นยัง.. ”
“ ไม่มีเวลามารอไอ้พวกตัวถ่วงนั่นแล้วรีบออกยานเร็ว! ไม่งั้นทั้งแกทั้งชั้นได้ถูกพวกมันจับตัวแน่ ”
อัสโมดาย ร้อนรนแต่นักบินก็ยังคงยืนยันคำเดิมเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นสภาพข้างนอก ที่กองทัพฝ่ายพันธมิตร เตรียมจะเข้ามาในยานอยู่แล้ว

ด้วยรักตัวกลัวตาย อัสโมดาย ไม่คิดจะเลือกวิธีการอีกต่อไป เขาหยิบเอาสวิตซ์ ที่กำไว้ตั้งแต่ขึ้นยาน ส่งให้นักบินดู
พร้อมกับขู่

“ ใต้ฐานของเกาะนี่ฉันให้ลูกน้องเอาระเบิดไปวางไว้ก่อนจะให้หนีไป คงจะรู้นะว่าหมายถึงอะไร รีบออกยานซะ ”

นักบินกลัวคำขู่ เขาติดเครื่องยนต์ยานทันทีตามที่สั่ง ตัวยานเคลื่อนออกจากท่าอย่างช้าๆ บรรดาทหารพันธมิตรที่อยู่บนท่า
พยายามจะเกาะขึ้นยานตามไป แต่แล้วก็เกิดแรงสะเทือน อย่างรุนแรงจากด้านล่างของเกาะ จนทุกคนบนท่าล้ม
ระเนระนาด ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนในดวงตาของ อัสโมดาย ซึ่งยิ้มอย่างพอใจไม่มีใครตามมาขัดขวางเขาอีกแล้ว

“ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆก่อนที่ชั้นจะจากพวกแกไปเสพสุขกับพระเจ้าบนสวรรค์ซะที ลาขาดล่ะนะ เจ้าพวกโง่ ”
อัสโมดาย รำพึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แสยะอย่างน่าเกลียดบนใบหน้า

/คงจะไม่เป็นแบบนั้นแล้วล่ะมั้ง/
เสียงดังจากวิทยุสื่อสารและตามมาด้วยภาพของ ประธานสูงสุดแห่ง Empyrean Adjust ลอว์เอน

รูปภาพ

“ อะไรอีกล่ะ ลอว์เอน อย่าบอกนะว่าแกยังมาไม่ถึงอีก ”
อัสโมดาย หันไปตอบโต้ทันที และพูดเหมือนกับว่าตัวเขารู้จักกับ ลอว์เอน เป็นอย่างดี

/ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกนะเพราะตอนนี้ฉันอยู่ใกล้ๆกับแกนั่นแหละ ถ้าจะห่วงก็ห่วงว่าแกจะมาถึง
รึเปล่าดีกว่ามั้ง /
ลอว์เอน พูดอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่เคยมีของเขาหุบลงไปทันทีความไม่ชอบมาพากลจาก
คำพูดของลอว์เอน ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก

“ หมายความว่ายังไง ไหนแกบอกจะให้ชั้นไปด้วยไงล่ะ เพราะงั้นถึงได้ร่วมมือกับแกเดินหน้าแผนการนี้แล้วก็
จัดการพวกส่วนเกินทิ้งไปแล้ว.. ”
อัสโมดาย แย้งแต่ ลอว์แอน แทรกเข้ามา

/เพราะว่าแกพลาด ทำให้คนในองค์กร รู้เรื่องระหว่างฉันกับแกแล้วน่ะสิ แล้วก็อีกอย่างฉันหลอกแกไว้เรื่องหนึ่ง
ความจริงแล้วแผนการณ์ไม่ได้ปูทางไปสู่สวรรค์หรอกนะแต่เป็นการปูทางจากสวรรค์มาโลกต่างหากล่ะ….ลาขาดล่ะนะ/
สายติดต่อขาดหายไปทันที พร้อมกับเรดาห์ของ ยานส่งเสียงเตือนขึ้นมา นักบินอ่านผลการแสดงของเรดาห์
เขาหันมาแจ้งกับ อัสโมดาย ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ ข้างหลังเรามีวัตถุขนาดใหญ่ขวางอยู่ครับ เราหักหลบมันไม่ทันแล้ว ”

ดวงตาของ อัสโมดาย เบิกโผลง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความกลัวสุดขีด ขณะหันกลับไปมองกระจกหลังของยาน
ยอดปลายแหลมคล้ายเข็มหมุดของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ กำลังตรงเข้ามา เพียงเสี้ยววินาที ปลายเข็มหมุดยักษ์
เจาะทะลุผนังยานและบีบเข้ามาแทงยอดทะลุไปถึงหลัง ปอดของ อัสโมดาย ฉีกและตายในคาเข็มในทันที
นักบิน รีบร้อนเปิดประตูยานแล้วกระโดดหนีออกจาก ยานที่กำลังจะระเบิด แต่เขาก็ตกลงไปบี้แบนบนพื้นข้างล่างอยู่ดี
ยานระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ โดยที่ศพของ อัสโมดาย กลายเป็นจุลในกองเพลิง ค่อยๆร่วงหล่นตกจากอากาศไป

………………………………………………

จากยอดเข็มหมุดยักษ์ ซึ่งเป็นยอดจั่วหลังคาของปราสาทหินอีกที ปราสาทหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางความสูงของมัน
เกือบ 4 กิโลเมตร รอบนอกมีดาบสลักจากแร่หินโบราณ 7 เล่มเรียงเป็นแนววงแหวนล้อมรอบฐานของปราสาท
แต่ล่ะเล่ม มีขนาดประมาณเสาค้ำมหาวิหาร หลังย่อมๆรอบปราสาท อบอวลไปด้วยละอองอนุภาคสีเงิน
แบบเดียวกับละอองของ ไครซิสเซอร์ต้นกำเนิด ที่พวก เรกกะ ใช้กนัอยู่ในตอนนี้
อนุภาคห่อหุ้มทั้งหมดนั้นปล่อยออกมาจาก ดาบทั้ง 7 เล่มและขับดันให้ ปราสาทเคลื่อนที่ไปในอากาศได้อย่างอิสระ
มันลอยสูงขึ้นในทุกวินาที


…………………………………………………..

กองบัญชาการภาคพื้นเมกาโทโปลิส ความวุ่นวายถือกำเนิดขึ้นจาก รายงานเกี่ยวกับระเบิดที่เกิดบน
เกาะเต่าลอยฟ้าของทางรัฐสภา จากการระเบิดนั้นทำให้มันตกลงมาและมีวิถีการตก ไปถึงพื้นที่ของผู้อพยพ

“ จากการคำนวณฝ่ายยุทธการคาดว่า เกาะ จะตกลงไปในอีก 30 นาทีขอรับ ”
ชายแม่ทัพวัยกลางคน รายงานแก่ เซน่าด้วยท่าทีแข็งขัน

“ 30 นาที…มันไม่ได้กำลังร่วงลงมาหรอกเหรอ? ”
เซน่า นิ่วหน้าคิ้วขมวดปมด้วยความเครียด

“ จากรายงานบอกว่า เครื่องลอยตัวของเกาะยังคงทำงานอยู่บางส่วนทำให้มันค่อยๆตกลงมาน่ะขอรับ ”
“ 30 นาที…พอจะอพยพทุกคนออกมาทันรึเปล่า ”

เซน่า ถาม แม่ทัพยกกระดาษรายงานขึ้นอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

“ มีการสั่งลงไปให้เร่งรีบทำการอพยพแล้วล่ะครับ แต่ว่าแค่ 30 นาทีไม่เพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายได้ทันการแน่ขอรับ ”

ดวงตาของเธอฉายประกายของความผิดหวังอยู่นิดหน่อย

“ แล้วพวกวอลคีรีเออร์ ที่ให้ไปจัดการล่ะ ”
“ ตอนนี้พวกเขาไปถึงที่หมายแล้วขอรับ ”

ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีการติดต่อเข้ามาในห้องบัญชาการ เป็นสายจาก แสตกท์ นั่นเอง

รูปภาพ รูปภาพ

ภาพจากสถานที่เกิดเหตุฉายขึ้นบนมอนิเตอร์….แผ่นดินบนหลังเต่ายักษ์ กำลังลุกไหม้และร่วงหล่นอย่างช้าๆ

“ พอได้มาดูใกล้ๆแล้วไอ้เกาะนี่มันใหญ่เอาเรื่องเลย จะทำลายมันได้จริงๆเหรอเนี่ย ”
เสียงของ อาวล์ ดังแทรกเข้ามา จากที่เกิดเหตุ เขากำลังบินสำรวจบนเกาะที่ เอียงเกือบจะตั้งฉากกับพื้น
แผ่นดินแบกรับซึ่งอาคารและศูนย์วิจัย ต่างๆกำลังเคลื่อนตัวผ่านหน้าเขาไปอย่างเชื่องช้า

รูปภาพ รูปภาพ

“ ทางฉันเตรียมตัวพร้อมแล้วล่ะจะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น ”
หนนี้เป็นเสียงของ พรายด์ ทุกคนในห้องบัญชาการกำลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมุมมอง
ของ แสตกท์ ที่ส่งภาพมาให้ด้วยกล้องวิดีโอมือถือของกองทัพ

“ ตอนนี้เราให้กองยานรบกับหน่วยปืนใหญ่ ตั้งกำลังรอไว้แล้ว เริ่มได้เลย ”
เซน่า ประกาศ คำสั่งออกไป

ที่สถานที่เกิดเหตุ รอบบริเวญถูกวางกำลัง ไว้ทั่ว แผมการณ์คือ พรายด์ แสตกท์ และ อาวล์ จะใช้พลังของ
วอลคีรีเออร์ ทำลาย เกาะให้แตกเป็นส่วนเล็กย่อย จากนั้นให้กองปืนใหญ่ และ ยานรบยิงทำลาย
ส่วนย่อยเหล่านั้น

……………………………………………………..
…………………..

ที่น่านน้ำทะเลสาบนีรันด้า


การปะทะ ระหว่าง เรกกะ กับ ซาราเบลด ยังคงดำเนินต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ แม้ต่างฝ่ายจะต่างพลัดกัน
ออกลูกเล่นทั้งหมดที่มีใส่กันไปแล้ว แต่ยังไม่มีใครคนใดล้มลงไป แม้ด้าน เรกกะ จะมี เฟนท์ คอยสนับสนุน

และเพราะพลังของ ไครซิสเซอร์ ทำให้ด้านความเร็วก่อนหน้านี้ของ เขาจะมากกว่า ซาราเบลดเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ซาราเบลด ก็ปรับตัวและตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน ทั้งยังไม่ถูกภาพติดตาหลอกเอาอีกแล้ว
ตอนนี้พวกเขาต่างฝ่ายต่างหยุดดูเชิงคู่ต่อสู้กันหมดจนไม่มีใครยอมขยับตัวเลย

/Gun Del Sol/
เสียงเครื่องจักรกังวาล จากเครื่องไครซิสเซอร์ ของคนอื่นนอกจากพวกเขา กระสุนอนุภาคสีแดงทรงกลม นับสิบนัด
กระจายเข้าหา ซาราเบลด แต่ก็สามารถป้องกันไว้ได้ด้วย กำแพงพลังงาน

“ อาวุธแบบนี้..พวก เอ็กซ์เทนเดอร์ เหรอ?! ”
ซาราเบลด พึมพำ ชื่อเอ็กซ์เทนเดอร์ ที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงกลุ่ม วอลคีรีเออร์ ขององค์กรที่สวมชุดเกราะไครซิสเซอร์
ที่มีรูปลักษณ์ถอดแบบกันมาหมด คือชุดเกราะโลหะสวมคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนอัศวิน และทวนสองปลาย
ปลายท้ายสั้น ปลายหัวยาว (Valkyrier Extender VF-035)

รูปภาพ


“ เรกกะ ซาราเบลด วางอาวุธแล้วยอมจำนนซะ ”
ทหารหนุ่มหนึ่งในเอ็กซ์เทนเดอร์ เป็นหัวหน้ากองแยกออกจากกลุ่มมาประกาศจับตัว ซาราเบลด
ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ ต่างสับสนและงงงวย กับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ ซาราเบลด เองก็ยังไม่เข้าใจที่ถูกพวกเดียวกัน
ไล่ต้อนเอาแบบนี้

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
ซาราเบลด นิ่วหน้าด้วยความเครียด บางอย่างไม่ชอบมาพากล ก่อนหน้านี้ กองกำลังรอบๆตัวเขา
ต่างก็สู้รบกับ ฝ่ายเมกาโทโปลิสอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครต่อสู้อีกแล้วยานรบทุกลำไปจนถึงเรือรบ และทหารพาหนะบิน
ไม่มีใครหรืออะไรเคลื่อนไหวอีกแล้ว และทุกสายตาในสนามรบจับจ้องมาที่เขา

รูปภาพ

ภายในยาน พอลลิดัส ฮายาเตะ และ สมาชิกยานทุกคนก็ตกอยู่ในความสับสนงงงวยไม่แพ้กัน
จนเมื่อการติดต่อจาก เรือธงของฝ่ายตรงข้ามเข้ามา ซาน ซึ่งคุมหน้าที่ต้นหนทำการต่อสายและเอาภาพคู่สนทนา
ขึ้นจอมอนิเตอร์

รูปภาพ รูปภาพ


/นี่เป็นข้อความที่ส่งผ่านช่องการสื่อสารแบบเปิด ถึงฝ่ายเมกาโทโปลิส และ เหล่า วอลคีรีเออร์ แห่งพอลลิดัส../
ผู้ประกาศไม่ใช่ใครอื่น เมออาร์เน่ กัปตันแห่งยานรัฟอัส ที่จมไปแล้วนั่นเอง ตอนนี้เธออยู่ที่ เรือธงกับ สเวน
และทำการประกาศความจริงเบื้องหลังขององค์กร ที่เธอสืบทราบมา

/จากนี้ไปฝ่ายพันธมิตรของเรา จะหยุดทำการโจมตีและขอเจรจาอีกครั้ง เนื่องด้วยองค์ประธานแห่งสัมพันธมิตร
ลอว์เอน ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์ แก่ซอร์ดอร์ม ดังนั้นคำสั่งโจมตีจึงถือเป็นโมฆะ ขอให้กองกำลังทั้งหมดหยุดสู้รบและถอนกำลังกลับชั่วคราว/

“ น…นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย งงไปหมดแล้ว ”
ไอ ถามทุกคนในยานแต่พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน มีเพียงฮายาเตะ ที่นั่งคิดเงียบเพียงลำพัง ครู่ต่อมาเธอให้ ซานต่อสายตรงไปยัง เรือธงของฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากสายถูกต่อแล้ว เธอจึงเริ่มเจรจากับ เมอร์อาร์เน่

“ ฉัน ฮายาเตะ ไฮเดย์ กัปตันยานพอลลิดัส คุณคือกัปตันของยานรัฟอัส ที่ประกาศพักรบเมื่อซํกครู่สินะคะ เรื่องที่ว่า
ลอว์เอน ผู้ซึ่งเป็นองค์ประธานฝ่ายสัมพันธมิตร มีความเกี่ยวข้องกับซอร์ดอมเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้
ดิฉันอยากจะถามซักเรื่องค่ะ……แต่ก่อนจะเข้าถึงรายละเอียดเรื่องนั้น ขอถามก่อนละกันนะคะ พวกคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับผังการจัดเรียงแสงแห่งโอดิน มั่งรึเปล่าคะ ”


………………………………………………………………..

“ ยัยผู้หญิงคนนั้น.. ”
ซาราเบลด จิกปากอย่างฉุนเฉียว เขาเสียรู้ให้แก่ เมอร์อาร์เน่ ที่ปล่อยให้เธอขุดคุ้ยความจริงจนได้
ตอนนี้เขาโดนล้อมไว้หมดแล้ว โดยเหล่า เอ็กซ์เทนเดอร์

อนุภาคจำนวนมากหลั่งไหลจากดาบห่อหุ้มทั้งร่างของ ซาราเบลด บรรดา เอ็กซ์เทนเดอร์ กระชับหอกของตนมั่น
เพื่อทำการจับกุม แต่ ซาราเบลด ทะยานหนีออกจากวงล้อมขึ้นไปในอากาศ ได้เร็วกว่า ไม่มีใครตามเขาไปได้ทัน
เบื้องล่างทุกผู้ในสนามรบต่างก็จับตามองว่า เขาจะไปที่ใดกัน จนเมื่อบางอย่างแหวกออกจากกลุ่มเมฆทางเหนือ

สายตาทุกคู่ก็ราวกับถูกสะกดให้จับจ้องอย่างเหม่อลอย ปราสาทลอยฟ้าล้อมด้วยวงแหวนดาบศิลา เคลื่อนตัว
ขึ้นสูงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ซาราเบลด บินเข้าไปใน ปราสาท หลังนั้น เรกกะ ตั้งท่าจะตามขึ้นไป แต่ก็ถูกเฟนท์ ดึงให้
ไปสนใจทิศที่ เมกาโทโปลิส ตั้งอยู่

“ ที่กองบัญชาการคงจะเกิดเรื่องใหญ่ซะแล้วล่ะ ”
เฟนท์ พูดน้ำเสียงเจือไว้ด้วยความกังวล พวกเขาพึ่งจะสังเกตุว่าเรื่องใหญ่ก็เกิดขึ้นในอีกสถานที่เช่นกัน
เกาะเต่าลอยฟ้า กำลังจะร่วงหล่นลงไปยังตัวเมือง ทั้งสองรีบบึ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุในทันที


…………………………………………………
……………..


“ เอาล่ะนะ! เพลงดาบปีกสวรรค์ อามาโนะฮาบากิริ ”/ Ama no Habakiri/
พรายด์ ตะโกนเป็นสัญญาณ เริ่มแผนการณ์ทำลายเกาะ ที่กำลังร่วงหล่น ไครซิสเซอร์ ดาบคุซานางิแคนเบลด
ที่แขนทั้งสอง แยกปลายอ้าออกเป็นปากกระบอก อนุภาคสีเงินหลั่งไหลเข้าไปรวมในดาบ ครู่ต่อมาคมดาบแสงอนุภาค
สีเงินขนาดยาวเป็นสองเท่าความสูงของเขาหรือเกือบๆสี่เมตร พรายด์ สะบัดดาบไปมา เพื่อลองพลังของมันจนแน่ใจ
แล้วว่าควบคุมได้

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

พรายด์ บุกตรงเข้าไปแล้วตวัดมือซ้ายหวดคมดาบแสง ปักทะลุพื้นดินบนเกาะ เขาออกแรงลากคมดาบผ่าพื้นหินแข็ง
ไปตามแนวแผ่นดิน ไปตามท้องเต่าที่กำลังลุกไหม้ จนวนกลับมาครอบรอบอีกครั้ง เก่าค่อยๆแยกออกเป็นสองส่วน
จากแกนด้านในที่ยังเชื่อมให้ทั้งสองซีกไม่หยุดออกจากกัน พรายด์ ขึ้นไปอยู่เหนือเกาะที่เริ่มเอียง
จนเฉียงตั้งฉาก เขาประสานดาบแสงทั้งสองเล่มเข้าหากัน

พรายด์ เร่งอนุภาคให้ลุกโชนยิ่งขึ้น และพุ่งลงฟาด คมดาบผ่ากลางเกาะวนจนครบรอบเช่นเดิม และแล้ว
เกาะได้กลายเป็นสี่ส่วนย่อย พรายด์ สลายคมดาบแสง และตั้งแคนเบลดขึ้นเสมอไหล่ ยืดมันออกไปสุดแขน
ทำการเล็งเป้าหมาย

“ แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท ยาคูซะโนะอิคาทซึจิ ”/ Yakusa no Ikadzuchi/
แคนเบลด ประจุอนุภาคสีเงินเข้าเป็นพลังงาน ลำแสงอนุภาคพุ่งออกจากปากกระบอกและแตกระแหง เป็นเส้นแสงอีก
แปดเส้นด้วยกัน คล้ายแสงฟ้าแลบ ลำแสงทำลายซีกเกาะทั้งสี่จนกลายเป็นชิ้นๆ แต่เศษซากเหล่านั้น
ก็ยังมีขนาดใหญ่จนเป็นอันตรายที่จะปล่อยให้ตกลงไป เศษซากเกาะ ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกมันกลายเป็นซาก
กอองปืนใหญ่ และ ยานรบด้านล่าง เริ่มการจู่โจมเพื่อทำลายซากที่เหลือ

“ ย้าก!!! ”/Ever Blue Strike/
อุปกรณ์คล้ายจานดาวเทียมบนหลังของ อาล์ว ปล่อยแสงสีฟ้าอาบเหล่าชิ้นส่วนเกาะ ทั้งหมดเอาไว้ ชิ้นส่วนที่ต้อง
แสงเหล่านั้น ร่วงหล่นช้าลง ด้วยความสามารถในการชะลอการเคลื่อนไหวของอนุภาค อันเป็นลักษณะเด่นประจำ
ไครซิสเซอร์ จาเวลลินออฟกุลา

รูปภาพ

บรรดาเศษวากที่ร่วงหล่นอย่างเชื่องช้า ตกเป็นเป้าของหน่วยทำลายได้อย่างง่ายดาย

“ จะยิงไม่ให้เหลือเลย ”/Gaizer Gunner/
สแตกท์ เอ่ยก่อนจะลั่นไก ไครซิสเซอร์ลักษณะอาวุธแบบหน้าไม้ยิงลำแสง ซึ่งอานุภาพทำลายของลำแสงที่ยิงออกไปนั้น
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำแสงที่กลืนเรือรบทั้งลำได้ อีกทั้งยังยิงพร้อมๆกันได้ถึง 5 สาย ถึงจะต้องเสียเวลา
ประจุอนุภาคมาเป็นพลังงาน เป็นอย่างมากก็ตาม แต่สำหรับการทำลายเศษซากที่ตอบโต้อะไรไม่ได้แบบนี้
นับเป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดของ บาวกันออฟอาวาริเทีย

รูปภาพ

อย่างไรก็ดี ซากของเกาะ ยังมีมากเกินไป พวกเขาคงทำลายไม่ได้ทั้งหมด ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที

“ เยอะขนาดนี้ถ้าตกลงไปคนได้ตายเป็นเบือแน่ ”
พรายด์ สบถนี่เป็นการเตือนใจวิธีหนึ่งของเขาให้พยายามจนกว่าจะถึงที่สุด ถึงอย่างนั้นพลังของเขา ก็ไม่เพียงพอ
หลังจากใช้พลังหมดไปกับการแยกส่วนเกาะ ตอนนี้ แคนเบลด ไม่สามารถปล่อยท่าชุดใหญ่ออกมาได้จนกว่าจะ
สะสมอนุภาคได้เพียงพอ

/Positron/
เสียงเครื่องจักรกังวาล พร้อมกับ เฟนท์ บินฝ่าซากเกาะ ที่กำลังร่วงหล่นเข้าไปยังส่วนใจกลาง
เฟนท์ กำหมัดแน่นทั้งสองมือ ตั้งการ์ดเหมือนกับนักมวย ละอองอนุภาคสีเงินรอบตัวถูกดึงมารวมยังกำปั้น
เหล็กทั้งสอง เพียงชั่วอึดใจ ในห้าวินาที เฟนท์ พุ่งหมัดชกออกไปได้ถึงร้อยครั้ง และในห้าวินาที ลำแสง
อนุภาคควบแน่นจากหมัดของ เฟนท์ เกิดขึ้น เป็นร้อยสาย ภายในห้าวินาทีเดียวกันอีกที่ เศษซากเกาะถูกทำลายจนหมด

เหลือเพียงชิ้นที่ใหญ่ที่สุด มันยัคงมีขนาดเกือบเท่ากับส่วนย่อยที่แบ่งออกเป็น 4 แม้ว่าทุกกองปืนและยานรบจะระดม
ยิงเต็มที่ ขนาดของมันก็ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมมากนัก เฟนท์ เสียแรงไปกับการทำลายเศษเล็กเศษน้อยจนหมด
ตอนนี้ตัวเขายังต้องหอบหายใจอย่างรุนแรง เพื่อจะทรงตัวไม่ให้เสียหลักร่วงลงไป

/Saber Hyperion/
ดาบแสงอนุภาคเล่มมหึมาพาดผ่านท้องฟ้า เผาผลาญซากเกาะชิ้นเป้งให้หายไปในพริบตา
ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด หลังจาก ปลดโหมดดาบอนุภาคแล้ว เรกกะ ถึงกับไหล่ทรุดหมดแรงพอๆกับ เฟนท์
ที่หอบหายใจถี่ขึ้นยิ่งกว่าตะกี้ ทั้งสองเร่งสุดกำลังจากสนามรบมาถึงตรงนี้แล้วยังต้องเสียพลัง
ไปกับการทำลายซากเกาะอีกด้วย นับเป็นภาระที่หนักและทำให้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
แต่เรื่องวุ่นวายก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อ มีสัญญาณจากยานไซเบอร์ทิก้า เรียกมาที่พวกเขาทั้งสองคน

/เรกกะ เฟนท์ อีกเดี๋ยวฉันจะขับ ไซเบอร์ทิก้า ผ่านไปแถวนั้นนะพวกนายสองคนโดขึ้นมาเลย เราไม่มีเวลาจอด
รับแล้ว ไว้ขึ้นมาแล้วจะอธิบายอีกที/
เป็น ลอว์เรนซ์ ที่ติดต่อเข้ามา เด็กหนุ่มทั้งสองถอนใจ นี่พวกเขายังต้องสู้ต่ออีกนานแค่ไหนกัน
ไม่มีเวลาให้บ่นหรือพักผ่อนนานนัก ยานมังกรเทียมไซเบอร์ทิก้า บินตรงมาแล้ว

รูปภาพ

สองหนุ่มตั้งท่าเตรียม เมื่อยานมาถึงพวกเขาถลาลงไปบน ดาดฟ้าของยานได้อย่างงดงาม
ทันทีที่ขึ้นมาอยู่บนยานอย่างแรกที่ทั้งคู่เห็นตรงกันคือ ปลดชุดเกราะออกและหาเวลาพักก่อนจะถึงเวลาสู้อีกครั้ง

รูปภาพ รูปภาพ

หลังกลับมาอยู่ชุดปกติแล้ว เรกกะ เฟนท์ ทั้งสองเดินลงจากดาฟ้าเพื่อไปยังห้องควบคุมหลัก
ประตูห้องเปิดออก ข้างในห้องซึ่งติดตั้งแผงควบคุมยานและ มอนิเตอร์แสดงผลขนาดใหญ่ สมาชิกในห้องมี
ลอว์เรนซ์ ราชาฟ มาธิอัส และ โครโน่ รวม 4 คน หากนับพวกเขาด้วยก็เป็น 6 คน
ตอนนี้ สองหนุ่มอยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมดใจจะขาดพอๆกับได้พักผ่อนไปด้วยในตัว

รูปภาพ รูปภาพ
รูปภาพ รูปภาพ



หลังจากมากันพร้อมหน้าแล้ว โครโน่ ถึงได้เริ่มอธิบายสถานการณ์ อย่างจริงจัง

“ ระหว่างที่พวกนายไปจัดการซากของเกาะลอยฟ้า เราได้เจรจากับพวกทัพสัมพันธมิตร ตอนนี้เรื่องที่เรารู้แล้วอย่างแรกคือ
การปราบซอร์ดอร์ม เป็นเรื่องบังหน้าแผนการณ์บางอย่างของประธาน ลอว์เอน แล้วก็อย่างที่สอง ป้อมปราการลอยฟ้าที่เรากำลังจะบุกเข้าไปคือ หนึ่งในโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับไครซิสเซอร์ เหมือน สเลปเนียร์ กับ วาลฮารา
ชื่อของมันคือ เกทออฟกินนัมกาแก็บ หรือ ประตูสู่จุดจบ ”( Gate of Ginnungagap)

ระหว่างอธิบาย โครโน่ ส่งสัญญาณบอกเป็นนัยให้ มาธิอัส เอาภาพขึ้นจอมมอนิเตอร์ บนจอตอนนี้คือภาพของป้อมปราการที่ พวกเขากำลังใกล้เข้าไปทุกขณะ

“ ป้อมปราการทั้งหลังนี่คือเกท ที่เอาไว้เชื่อมต่อสู่ภพหน้า เราสันนิษฐานกันแบบนั้นแต่เรื่องที่เรายังไม่รู้แน่ชัดคือ
เป้าหมายของ ประธานลอว์เอน แต่ถึงยังไงเราก็ต้องยับยั้งมันอยู่ดี ตอนนี้เรื่องที่ เมกาโทโปลิส ทิ้งให้พวก เซน่า
จัดการกันไปก่อนเพราะฉะนั้นคนที่จะหยุดแผนการณ์นี้ได้ ตอนนี้มีแต่พวกเราเท่านั้น ”

“ ทุกคนเราจะลงจอดแล้วนะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่แต่คงต้องลงแบบฉุกเฉินน่ะ เพราะเจ้าป้อมนี่ยิ่งสูงมันยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆเลยถ้าบินตามไปแบบนี้เราตามมันไม่ทันแน่ ”

มาธิอัส ประกาศ ทุกคนพากันหาที่ยึดจับเอาไว้ มาธิอัส เรกกะ เฟนท์ ราชาฟ และ ลอว์เรนซ์ จับเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่
ส่วนโครโน่ นั้นยึดตัวไว้กับเสาในห้อง ยานโคลงเคลงไปมา และสั่นอย่างบ้าคลั่ง ข้าวของในห้องพากันล้มระเนระนาด

ทุกอย่างสงบลง ยานของพวกเขาลงจอดบริเวญ ลานหอคอยปราสาทพอดี โดยที่ตัวยานลากไถกับพื้นปราสาทลอก
กระเบื้องปูพื้นออกเป็นทางที่มันไถมา

ทั้ง 6 คนลงจากยานอย่างระมัดระวัง พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆเ ไม่มีผู้คุ้มกัน หรือใครอยู่บน ปราการแห่งนี้เลย
ประตูทางเข้าปราสาทตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืน มีเพียงสะพานเชื่อมหอคอยแคบๆ ขนาดเดินผ่านไปได้พร้อมกัน
เพียงสองคน

“ ฮี้ย~~~น…หนาวพวกนายไม่เย็นกันบ้างเหรอ ”

ราชาฟ กอดแขนแนบติดตัว ฟันกระทบกึกๆด้วยความหนาวสั่น ลมหายใจของพวกเขาเริ่มจะเป็นไอแล้ว
นั่นเพราะ ป้อมกำลังบินสูงขึ้นเรื่อยๆ มันขึ้นมาสูงจากพื้นดินมาก แม้แต่ท้องฟ้าตอนนี้ก็ไม่มีเมฆซักก้อน

ทั้ง 6 คนจ้ำอ้าวข้ามสะพานเชื่อมหอคอย ตรงไปยังปราสาททันทีไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะหนาวตายอยู่ข้างนอกแน่
ทันทีที่มาถึงประตูมันเป็นเพียงประตูไม้เก่าๆ ที่ปิดช่องทางเข้าเล็กๆไว้ นี่ดูไม่เป็นทางเข้าของปราสาทเลย
มันเหมือนกับ หน้าต่างของหอคอยมากกว่า

อากาศภายนอกเย็นจัดลงอย่างน่าตกใจ ขึ้นทุกขณะพวกเขาไม่สนรายละเอียดปลีกย่อยใดๆอีกแล้วนอกจาก
หนีจากความหนาวเหน็บนี้ ต่อให้ต้องตกลงไปในดงของศัตรูก็ตามที

พวกเขา เข้ามาข้างในได้สำเร็จ ข้างในปราสาทอากาศอบอุ่นและมีกลิ่นอับ อีกทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น
มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟโบราณติดผนังไล่ไปตลอดทาง ที่จริงมันควรจะเป็นเทียนไขจุดใส่โคม แต่ที่อยากจะบอก
คือมันใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานไม่ต่างไปจากโคมไฟบ้านดีๆนี่เอง
สภาพภายในดูเก่าซอมซ่อ ราวกับถูกทิ้งมาเป็นปีๆ นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะ โครโน่ บอกแต่แรก
แล้วว่านี่เป็น โบราณสถานเก่าแก่(ที่มีโคมไฟแบบใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน..มีด้วยเรอะ!!)

จากห้องเล็กที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ มีช่องบันไดวนทอดยาวขึ้นไปหลายสิบชั้น แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องเดินขึ้นไปอยู่
ดีต่อมีเป็นร้อยๆชั้นก็เถอะ ใช้เวลาเกือบ สิบนาที พวกเขาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว และตกลงจะหยุดพัก
เหนื่อยกันซักครู่

หลังจากพักแล้ว จึงออกเดินต่ออีกครั้งยิ่งใกล้ชั้นบนสุดเข้าไป พวกเขายิ่งต้องระแวงมากขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึง
กลิ่นอายความอันตรายที่แผ่ลงมาจากข้างบน อีกเพียงชั้นเดียว ก็จะถึงประตูของห้องชั้นบนสุดแล้ว
แต่ตอนนี้ มีคนมาขวางทางพวกเขา ไม่ใช่ใครอื่น ซาราเบลด นั่นเองโดยที่ติดตั้งชุด วอลคีรีเออร์ มาพร้อม

น่าโมโหอยู่ที่พวกเขาเข้ามาในถิ่นศัตรูแล้วแต่กลับไม่ยอมติดตั้ง ไครซิสเซอร์ รอไว้ก่อนเลย
แต่ก็โทษกันเองไม่ได้ ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ ต่างก็ยังเหนื่อยกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ และไม่อยากจะติดตั้งไปจนกว่า
จะถึงตัวประธาน หรือ จำเป็นจะต้องสู้จริงๆนั่นแหละ

“ พวกแกนี่ตามตื้อได้ตลอดเลยนะ ”
ซาราเบลด แยกเขี้ยวใส่อย่างไม่ใยดี พร้อมประคะบประคองดาบคาตานะ เตรียมจัดการพวกเขา

“ ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน พวกนายขึ้นไปก่อนเลย”
ลอว์เรนซ์ พูดจบก็ชักดาบประจำตัวของเขาออกมารับดาบของ ซาราเบลด ตัวดาบเป็นโลหะเงาหุ้มด้วยหนังมังกรอย่างดี
นี่คือดาบของอัศวินมังกรทาลิวิลย่าในตำนาน ดาบมาคายาเดีย

รูปภาพ

ซาราเบลด มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็น มาคายาเดีย กับตาตัวเองเขาพึมพำออกมาโดยอัตโนมัติ

“ มาคายาเดีย..ทำไมแกถึงมีดาบที่พ่อเคยใช้ได้! ”
ซาราเบลด จ้องเขาอย่างเหม่อลอย เปิดจังหวะให้ พวก เรกกะ ชิ่งขึ้นไปได้สะดวกโยธิน
พอได้สติแล้ว ซาราเบลด เตรียมจะไล่ตามขึ้นไปขัดขวาง แต่ก็ถูก ลอว์เรนซ์ จับกระชากปกเสื้อ
เหวี่ยงไปกระแทกผนังเสียก่อน

“ ก่อนจะไปน่ะมาคุยกันตามประสาพ่อลูกซักแปปก่อนไหม… ”
ลอว์เรนซ์ เปรยพร้อมกับยื่นหน้าผากเข้ามาแนบติดหน้าผากของ ซาราเบลด เมื่อถูกปฏิบัติแบบพิสดารอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหน ซาราเบลดถึงกับยอมจำนนแต่โดยดี

…………………………………………………..
…………………………………………………………………………….

พวก เรกกะ วิ่งขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว และผลักประตูห้องเข้าไปทันที พวกเขาทั้ง 5คนได้ก้าว
เข้าสู่ใจกลางของปราสาทแล้ว

เป็นห้องโถงกลมกระจกบนผนังห้องเชื่อมติดกันเป็นวงโค้งและสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟโบราณ-แบบใช้ไฟฟ้า
ที่ติดอยู่รอบห้อง บนพื้นห้องมีลวดลายแกะสลักไว้เป็นวงแหวนและรูปดาวหกแฉก สำหรับประกอบพิธีกรรมเวทมนต์
บางอย่าง

ที่ใจกลางของห้องโถง ลอว์เอน และ เด็กสาวผู้มีใบหน้าเหมือนกับ ราชาฟ ไม่มีผิดเพี้ยน ยืนอยู่ด้วยกันบนวงเวทย์
แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องประหลาดใจเท่าไหร่สำหรับพวกเขาตอนนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขาจริงๆ คือภาพทิวทัศน์ภายนอก
ที่กลายเป็นกลางคืน….ไม่ใช่มันไม่ใช่เวลากลางคืน เพียงแต่มืดสนิทจนเหมือนกับกลางคืน ยิ่งกว่านั้น
รอบนอกของปราสาทยังมองเห็นดวงดาวนับล้านๆดวง กระพริบเต็มไปหมด

รูปภาพ รูปภาพ

พวกเขาพากันมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างไม่วางตา และที่กำลังมองอยู่นั้น คือผลส้มลูกใหญ่มโหราฬและมีสีฟ้า
ห่อหุ้มด้วยสีขาว มันคือผลส้มที่งดงามดั่งอัญมณี ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ลอว์เอน ยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะพูดกับพวกเขา ที่ยังจ้อง ผลส้มสีฟ้าข้างนอกนั่นอย่างเหม่อลอย

“ งดงามมากใช่ไหมล่ะนี่เป็นทิวทัศน์เดียวที่จะมองได้จาก กินนัมกาแก็บ ดวงดาวสีฟ้านั่น….คือ เทอร่า อย่างไงล่ะ ”

“ เทอร่า…นี่น่ะเหรอคือที่ๆพวกเรา ที่ๆสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ”
เรกกะ เปรยเขามองดวงดาวที่เป็นบ้านเกิดด้วยความรู้เหลือเชื่อเกินจะสรรหาคำใดๆมาเปรียบเทียบ
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็น เทอร่า จากมุมมองแบบนี้เชื่อว่า อีก 4 คนที่มาด้วยกันและกำลังจ้องมอง
อยู่นี้ก็คงจะไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน

“ ใช่เทอร่า..มันเคยเป็นดวงดาวที่งดงามที่สุดใน กินนัมกาแก็บ…ใช่แล้วเคยงดงามแต่แล้วก็มีจุดด่างพล้อย
เกิดขึ้นมา….พวกเจ้าไม่เห็นบ้างเลยหรือ จุดด่างพล้อยเหล่านั้นล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งสงครามทั้ง
การล้างผลาญ ความโลภที่มีไม่รู้จักหมดจักสิ้นมันกำลังกัดกร่อน เทอร่า อัญมณีที่งดงามที่สุดที่ประมุขทรงสร้างขึ้นมา
แต่วันนี้ประวัติศาสตร์อันเน่าเหม็นของ มนุษย์ก็ต้องจบลงตรงนี้ เมอร่า จะถูกชำระล้าง ฉันรอเวลานี้มานานเป็นร้อยปีแล้ว
บัดนี้จะได้เริ่มกันเสียที ”

ลอว์เอน ประกาศและเริ่มทำอะไรบางอย่าง เขาดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้ระบบของ ปราสาทเริ่มการทำงาน
ลายสลักบนพื้น เปล่งแสงเป็นสีแดงวูบวาบ

“ เอาล่ะ V2 จงปลดปล่อยออกมา ปลดปล่อยรหัสแห่งคาทราสโทฟี ”
ลอว์เอน สั่ง เด็กสาวผู้มีใบหน้าเป็น ราชาฟ ขับขานบทเพลงอันเศร้าสร้อย วงเวทย์ที่แกะสลักไว้บนพื้นห้องเองก็สว่างขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แสงบนวงเวทย์ วิ่งขึ้นไปบนร่างของเธอ และอาบทั้งร่างของเธอไว้ ครู่ต่อมา
ร่างกายของเธอเริ่มสูญสลายแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังร้องและร้องเพลงต่อไป เพลงซึ่งมีทำนองชวนให้โศกเศร้า
และหมดสิ้นในความหวัง ที่สุดแล้วร่างของเธอก็ได้สูญสลายไปจนหมด

ภายในปราสาทเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดาบศิลาที่เรียงกันเป็นวงแหวนอยู่รอบฐานป้อมปราการ
เคลื่อนตัววนไปรอบๆ และขยายรัศมีห่างออกจากปราสาท จนถึงระยะหนึ่งดาบศิลาทั้งหมดหยุดเคลื่อนไหว
แต่เปลี่ยนเป็นเคลื่อนเบนเล่มดาบให้นอนตั้งขนานไปกับฐานของปราสาทแทน

เกทออฟกินนัมกาแก็บ ในเวลานี้หากมองจากที่ไกล มันคล้ายกับดอกไม้ที่ผลิบานกลีบออก
ละอองอนุภาคสีเงิน ที่เปล่งออกจากดาบศิลาทั้ง 7 เล่มถูกดึงไปรวมกันที่ยอดแหลมบนหอคอยปราสาท
อนุภาคก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนแสงสีเงินทอประกายระยิบระยับราวกับแสงดาว ก้องแสงกระพริบอยู่ไม่นาน

กลายเป็นลำแสงพุ่งแหวกออกไปในความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด เหมือนจะเป็นเพราะลำแสงอนุภาค ความมืดเริ่มบิดเบี้ยว
และแหวกออก มันกลายเป็นหลุมดำ จากขนาดเล็กเท่าจานในตอนแรกผ่านไปห้าวินาที มันขยายขนาดจนมี
เส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าดวงจันทร์เสียอีก

ในใจกลางอันมืดมิดของพายุหลุมดำนั้น ปรากฏร่างสีขาวนวลผุดผ่อง และเปล่งประกายจริสแสงดั่งดวงดาว
มันกำลังผุดออกมาจากหลุดดำยักษ์ เป็นจำนวนมาก ร่างสีขาวนั้นมีปีกสีขาวคลุมด้วยขนปีก คล้ายปีกนก
และยังมีวงแหวนแสงลอยเคว้งเหนือศรีษะ รูปร่างเจ้าของปีกนกเหล่านี้ มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์

รูปภาพ

ร่างสีขาวเหล่านี้นอกจากจะมีรูปลักษณ์คล้ายกับมนุษย์และมีปีก ร่างของพวกมันยักปกคุมด้วยสิ่งที่คล้ายกับยุทธภัณฑ์
ชุดเกราะของอัศวิน ทุกตนจะมีดาบยาวแบบลองซอร์ด(Long Sword) กันคนละเล่ม
ในอดีต ผู้คนบนเทอร่ามักจะให้การศักการะแก่ ร่างสีขาวเหล่านี้และพวกเขารู้จักพวกมันในนามของทูตสวรรค์


………………………………………………………………….
…………………………

บนเทอร่า การเจรจาหาแนวทางต่อไปร่วมกันของ กองกำลังสัมพันธมิตร และเมกาโทโปลิส กำลังดำเนินไป
อย่างราบลื่น

ที่กองบัญชาการเมกาโทโปลิส ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า พวก เรกกะตาม ลอว์เอน ขึ้นไปบนกินนัมกาแก็บ แล้ว

“ ท…ท่านเซน่า เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ”
แม่ทัพนายหนึ่ง วิ่งแจ้นเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลอยทำให้เธอนึกสงสัยว่าในสถานะการณ์ที่พึ่งจะเริ่มสงบ
จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก

“ ข….ข้างนอก..ตอนนี้มีหลุม….ใหญ่…ใหญ่มากๆบนท้องฟ้ามีหลุมใหญ่มากๆปรากฏอยู๋ขอรับ!! ”

เซน่า เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความฉงน

…………………………………

ตอนนี้ผู้คนทั้งหมดบนเทอร่า ทำในสิ่งเหมือนๆกันโดยไม่มีการนัดหมายแต่อย่างใด นั่นคือแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า
จับตาดูปรากกการณ์ประหลาดอย่างหลุมดำ ยักษ์ที่ลอยห่างออกไปนอกชั้นบรรยากาศ

………………………………….

ภายในเกทออฟกินนัมกาแก็บ ลอว์เอน กำลังยิ้มอย่างอิ่มเอมที่แผนการณ์ของตนเดินหน้าไปอย่างราบรื่น
ขณะที่ พวกเรกกะ ยืนงงเต็ก พวกเขาไม่รู้และไม่เข้าใจว่าตอนนี้กำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง หนนี้ผู้มาเยือนคือ ซาราเบลด และ ลอว์เรนซ์ โดยที่ ซาราเบลด มีสีหน้า
คร่ำเครียดเหมือนโกรธอะไรมา เขาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชี้หน้า ลอว์เอน

“ ลอว์เอน นี่มันหมายความว่ายังไง แกโกหกฉันเรื่องพ่อถูกทิ้งให้ตายเพื่อหลอกใช้ฉันใช่ไหม ”

ซาราเบลด ตะคอกตอนนี้เขารู้ความจริงทั้งหมดจาอ ลอว์เรนซ์ แล้วและเป็นเดือดเป็นดาลสุดขีดจะทานทน
เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอด ลอว์เอน ยิ้มรับแห้งๆก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดังก้อง

“ แกมันเหมือนกับ V2 เป็นแค่เครื่องสังเวยต่อแผนการณ์นี้ ไม่ต่างไปจาก อัสโมดายเท่าไหร่หรอก ถูกอย่างที่แกว่า
ฉันปลุกแกขึ้นมาเพื่อจะใช้ประโยชน์ นี่เป็นการทวงคืนตามสัญญามนุษย์ละเมิดข้อห้ามของสวรรค์และนำ อิออน ไปใช้
แถมยังเอาไปใช้ในสงครามอีก จุดจบสำหรับมนุษย์มันก็ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น ”

“ แก….ไอ้สารเลว! ” /Laguna Blade/
ซาราเบลด ขึ้นเสียงพร้อมกับตวัดดาบคาตานะ สร้างคมดาบอนุภาคโค้ง จู่โจม แขนของลอว์เอน ปรากฏ
ฝักดาบสีขาวเสียบดาบเล่มงาม ห้อยติดกับแขนเสื้อ เขาชักดาบออกมาปัด คมดาบแสง
ของ ซาราเบลด ได้อย่างง่ายดาย

“ ภายในกินนัมกาแก็บอันหนาวเหน็บ นี้มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่อาจจะทนอยู่ได้หรอก จงมองดูความพินาศ
จากนี้ไปให้สำราญใจเถอะเจ้าพวกไร้ค่า ”
ร่างกายของ ลอว์เอน เปลี่ยนไป ขนาดของร่างกายเติบโตขึ้นเป็นสองเท่า แผ่นปีกสีขาวนวลงอก
จากแผ่นหลังที่ขยายออก ผมดำยาวสลวยหลุดร่วงจนหมดและมีผมบลอนสีทองขึ้นปกคลุมศีรษะ
แทน ร่างกายห่อหุ้มด้วยยุททธภัณฑ์ชุดเกราะเต็มยศอลังการงานสร้าง

เฮมล์เม็ท(Helmelt=หมวกกันกระแทก) สีขาวคล้ายปีกนกพิราบ ลอว์เอน สวมมันลงบนศีรษะ
และรัดให้แน่นด้วยเชือกคล้อง ฝักดาบสีขาว ขึ้นห้อยแขนทั้งสองข้าง บัดนี้ร่างของ ลอว์เอน
ได้กลายเป็นเทพบุตรรูปงาม สายตาคมคายดุดันแลดูน่าเกรงขาม ร่างกายแข็งแกร่งบึกบึน
สมนักรบ ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขาคือ อัครเทวทูตมิคาเอล ผู้เป็นจอมทัพแห่งสวรรค์

Archangel Michael
รูปภาพ
จอมทัพแห่งสวรรค์โบกสะบัดปีกยักษ์ของเขา แรงลมที่เกิดจากการกระพือปีกส่งให้กระจกผนังร้าวและแตกในที่สุด
เหมือนเป็นเรื่องบ้าบอ มีแรงบางอย่างจากข้างนอกดึงให้ทุกอย่างในห้องกระเด็นออกไป
จอมทัพสวรรค์ กลับโบยบินออกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนทิ้งให้พวกเขา ดิ้นรนหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้หลุดไปกับแรงดึงที่
รุนแรงบ้าคลั่งราวกับพายุนี้


ในห้องมีเพียง ซาราเบลด ที่อยู่ในชุด วอลคีรีเออร์ แล้ว จึงสามารถต้านแรงดูดซึ่งเกิดจากการไหลรั่วของอากาศภายในห้องออกไปสู่ภายนอกที่ไม่มีอากาศของ กินนัมกาแก็บ เขาฝ่าแรงดูดเข้าไปกดสวิตซ์บนแท่นควบคุมที่ริมห้อง
โคมไฟในห้องทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีแดง เสียงเตือนดังหวอขึ้นมาพร้อมกับ แผ่นเหล็กเลื่อนตัวลงจากขอบหน้าต่างปิดเข้ามา

ทุกอย่างในห้องกลับเป็นปกติ ผนังเหล็กที่ปิดลงช่วยหยุดการไหลรั่วของอากาศ และเปลี่ยนสภาพเป็นจอมอนิเตอร์ ที่ฉาย
ภาพด้านนอกของปราสาทแทน

ตอนนี้ข้างนอกนั่นในความเวิ้งว้างอันมืดมิด ถูกเติมเต็มด้วยกองทัพทูตสวรรค์ จากการคาดคะเนด้วยสายตา
ไม่อาจสรุปจำนวนที่แน่นอนได้แต่มั่นใจว่าเกิน ล้านไปแล้ว



“ ในกินนัมกาแก็บ เป็นสถานที่ที่ไม่มีอากาศให้เราหายใจแล้วข้างนอกนั่นอุณหภูมิก็ลดต่ำจนเป็นน้ำแข็งได้ทันทีที่ออกไปเลย แต่ยังมีหนทางอยู่ถ้าใช้อนุภาคอิออนห่อหุ้มร่างกายไว้จะทำให้อยู่ในสภาพเลวร้ายนี้ได้ ”
ซาราเบลด พูดเสียงเรียบแต่สีหน้าของเขาก็เจือด้วยความเครียดแทน ถึงจะมีหนทางตอบโต้ตามที่ว่ามา
แต่ด้วยจำนวนของพวกเขาที่อยู่ที่นี่ ไม่มีทางต่อกรกับ กองทัพเทวทูต นับล้านข้างนอกได้แน่

ในนาทีแห่งความสิ้นหวังนี้เอง มาธิอัส เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ เดินเข้าไปตรวจแท่นควบคุม ที่ซาราเบลด ใช้มันปิด
หน้าต่างห้อง เขากอด อกแล้วมือขวาเท้าคางทำท่าใช้ความคิด ขณะไล่สายตาดูรายละเอียดของแท่นควบคุม
หลังจากคิดอยู่นาน มาธิอัส ถึงเริ่มลงมือ มือซ้ายและขวา วางลงบนแผงวงจร นิ้วทั้งห้าขยับขึ้นลงใส่คำสั่งบางอย่างลงไป

พริบตาต่อมา บนมอนิเตอร์ที่แสดงภาพแทนหน้าต่างห้อง ก็ขึ้นรายละเอียดต่างๆเป็นภาพโครงร่างวงจร
บางอย่าง

“ งี้นี่เอง เกท นี่คือตัวขยายอนุภาคอิออน สินะเพราะงั้นผังการจัดเรียงแสงแห่งโอดิน กับ รหัสคาทราสโทฟี ถึงเป็นสิ่ง
จำเป็น แต่ว่ารายละเอียดแผนการณ์ทั้งหมดถูกเข้ารหัสไว้ นายพอจะรู้อะไรบ้างรึเปล่า ”
มาธิอัส ถาม ซาราเบลด ที่ยืนอยู่ข้างหลังโดยที่ตัวเองไม่หันมามอง แต่ยังตั้งหน้าตั้งตา เข้ารหัสที่เข้าไม่ได้
ต่อไป

ซาราเบลด ส่ายหัว “ ไม่เลย…ลอว์เอน ไม่เคยบอกเกี่ยวกับแผนการณ์ของเขาให้ฟังเลย เขาบอกแค่ว่า
ถ้าฉันช่วยเขาจะทำให้มีโอกาสแก้แค้น สุดท้ายแล้วฉันมันก็แค่เครื่องมือของเขาเท่านั้น… ”

“ แล้วนายจะปล่อยไว้แบบนี้น่ะเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ พูด
“ …………….. ”
ไร้การตอบกลับ ซาราเบลด ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดอย่างไร จะต้องตอบอย่างไร ตลอดมาเขาแค่ทำตามคำสั่งของ
ลอว์เอน เท่านั้นไม่เคยได้คิดด้วยตัวเอง แต่ ลอว์เรนซ์ ต่างออกไปมองเขาอย่างเข้าใจ และให้สิทธิในการเลือก
แก่ตัวเขา

“ ถ้ามี V2 อยู่ด้วยล่ะก็…… ”
/เรียกดิฉันหรือคะ/

ระหว่างที่ ซาราเบลด พึมพำนั้นเอง ได้มีการตอบกลับจากลำโพงในห้อง เป็นเสียงของ V2 หรือเด็กสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับ ราชาฟ

“ V2! นั่นเธอเหรอ….นึกว่าหายไปแล้วซะอีก ”
ซาราเบลด เงยหน้าขึ้นและพูดโต้ตอบ

/ค่ะดิฉันอยู่ที่นี่ ไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่กลายเป็นระบบเท่านั้นค่ะ/

“ หมายความว่าประธานสารเลวนั่นเอาเธอเป็นเครื่องสังเวยให้ไอ้ปราสาทนี่ทำงานงั้นเหรอ ”
เฟนท์ ถาม

/ไม่ค่ะแต่เดิมดิฉันไม่ได้มีร่างกายอยู่แล้ว ประธานเพียงจำลองร่างกายของฉันจากรหัวพันธุกรรมของตัวต้นแบบ
เพื่อที่จะเคลื่อนย้ายรหัสแห่งคาทราสโทฟี มายัง เกท นี้ได้ค่ะ/

“ ตัวต้นแบบที่ว่านั่นคือฉันสินะ แต่ไม่เห็นเข้าใจเลยในเมื่อสร้างรหัวคาทราสโทฟี เองได้จะเอาใครมาเป็น
ภาชนะเคลื่อนย้ายก็ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องส่งพวกวอลคีรีเออร์ ไปเผาบ้านเพื่อจับตัวฉันด้วยล่ะ ”

ราชาฟ ถามขึ้นบ้าง นี่เป็นข้อสงสัยสำหรับเธอและ เรกกะ มาตลอดและเป็นเหตุให้พวกเธอต้องออกเดินทาง
จนมาจบลงที่การทำสงครามกับ องค์กร

“ เพราะรหัสใช่ว่าจะเข้าร่างกายใครก็ได้น่ะสิ ถึงต้องส่งคนไปจับตัวเธอแต่จริงๆแล้วเราต้องการอะไรก็ได้ที่มีรหัสพันธุกรรม
ของเธอ อย่างเส้นผมน่ะ ”

ซาราเบลด ชิงตอบให้เธอหายข้องใจ แต่จริงๆแล้วเขาหวังเปลี่ยนเรื่องไม่ตอบคำถามของ ลอว์เรนซ์

“ ถ้างั้นเธอ…เอ่อ V2 ช่วยปลดรหัสแผนการ์ให้หน่อยได้ไหม ”
มาธิอัส พูดโดยเจือน้ำเสียงออดอ้อน หวังให้เธอใจอ่อน และได้ผลรหัสที่เขาพยายามถอดมันแทบตาย
หายไปแล้ว รายละเอียดแผนการณ์ทั้งหมดไปจนถึงวิธีใช้งาน เกท ปรากกขึ้นบนจอพึ่บพั่บ อย่างล้นหลาม
มาธิอัส มองข้อมูลพวกนั้นจนตาค้าง มันมากมายซะจนเขาไม่คิดว่าจะอ่านได้หมด

“ โครโน่ นายมาช่วยฉันหน่อยสิ ถ้าต้องอ่านหมดนี่ มนุษยชาติคงจบสิ้นแน่ ”
มาธิอัส กวักมือเรียก โครโน่ ถอนใจอย่างเซ้ง แต่ก็ตามมาช่วยเขาจัดการกับ ไฟล์ข้อมูลมหาศาลบนจอ

“ ถ้างั้นระหว่างนี้ เราไปสะกัดพวกข้างนอกก่อนเถอะ ”
เรกกะ หันไปพูดกับ เฟนท์ จากนั้น สองหนุ่มหยิบเอา ไครซิสเซอร์ ของตัวเองขึ้นมา

รูปภาพ รูปภาพ

“ อวาทรานซ์!! ”



หลังจากติดตั้งชุดเกราะเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่ก็พร้อมจะออกสู่สนามรบแล้ว มาธิอัส ป้อนคำสั่ง
ให้เตรียมเปิดหน้าต่างห้องอีกครั้ง เมื่อ เรกกะ และ เฟนท์ ห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยอนุภาคสีเงินของพวกเขาแล้ว
มาธิอัส จึงโบกมือให้สัญญาณพร้อมกับกดสวิตซ์

มอนิเตอร์รอบห้องยกตัวเปิดออกสู่ด้านนอก อากาศภายในรั่วไหลออกและพยายามโยนทุก
อย่างในห้องออกไป เรกกะ เฟนท์ ทั่งสองทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ มาธิอัส จึงกดสวิตซ์ให้มอนิเตอร์
เลื่อนปิดอีกครั้ง

“ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม V2 ”
ราชาฟ เงยหน้าขึ้นพูดกับ ระบบ

/ยินดีค่ะ/
“ ตลอดเวลา ที่เธอเป็นมนุษย์ เธอได้รับการปฏิบัติแบบไหนกัน ”

ไร้การตอบกลับอยู่นานเนื่องจาก เธอกำลังประมวลผล

/ท่านประธานให้ ดิฉันทำตามคำสั่งเท่านั้นนอกจากนั้นแล้วจะทำอะไรก็ได้โดยไม่เกินเลยคำสั่ง/

ราชาฟ ก้มหน้าลงถอนใจ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าเดาคำตอบของเธอถูก

“ แล้วตอนนี้เธอยังต้องทำตามคำสั่งของเขาอยู่รึเปล่า ”

V2 ใช้เวลาประมวลผลนานอีกตามเคยก่อนจะให้คำตอบ

/ไม่ค่ะ ตอนนี้การยืนยันตัวตนของประธานหายไปแล้ว แต่ดิฉันจะทำตามคำสั่งต่อไป/
“ คำสั่งของใครล่ะ ”
/………………………/

หนนี้เธอใช้เวลาประมวลนานมาก นานเสียจนทุกคนคิดว่าเธอคงจะไม่ตอบแล้ว

“ งั้นจากนี้ไปเธอคิดด้วยตัวเองก็แล้วกันนะ ”
ราชาฟ พูดอย่างอ่อนโยน

/แต่….ดิฉันไม่รู้ว่าจะคิดด้วยตัวเองอย่างไร ดิฉันไม่สามารถตัดสินใจด้วยเองได้ค่ะ/
“ งั้นก็มาเรียนรู้สิ มาเรียนรู้ไปพร้อมๆกับฉันแต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่เธอจะต้องเข้าใจด้วยตัวเอง เพราะที่นี่ตอนนี้เธอ
ก็คือเธอฉันก็คือฉัน แม้ว่าเธอจะได้รับความนึกคิดหรือนิสัยไปจากฉันแต่เธอก็ไม่ใช่ฉันเข้าใจนะ ”

/ค่ะ มาสเตอร์ ยืนยันการตอบสนองคำสั่งของ ราชาฟ ราเอล ให้เป็นมาสเตอร์ เพื่อทำการเรียนรู้และปรับปรุง
ข้อมูลตรรกะใหม่อีกครั้ง/

โคมไฟทั้งห้องเปลี่ยนเป็นสีเขียวราวกับเป็นการแสดงอารมณ์ของ V2 ที่ตอบรับคำขอของ ราชาฟ

“ เอ้า มาธิอัส นายเข้าใจวิธีหยุดไม่ให้พวกข้างนอกนั่นผุดออกมาได้รึยัง ”
ราชาฟ หันไปถามความคืบหน้าของ มาธิอัส และ โครดน่ ที่กำลัง ตีความรายละเอียด
ของไฟล์ข้อมูลทั้งหมดอยู่

“ ไม่ไหวฉันลองค้นดูหมดแล้วนะไม่มีวิธีปิด ประตูข้ามของพวก เทวทูตนั่นเลย ”
มาธิอัส ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ราชาฟ เบือนสายตาจาก มาธิอัส ขึ้นไปมองเพดานห้อง

“ แล้วเธอล่ะ V2 ”
/ดิฉันเองก็ไม่สามารถทำได้ค่ะ ลักษณะการบิดเบี้ยวของมิติอาจจะเกิดจากการทำงานของระบบ แต่ผลลัพท์นั้น
อยู่นอกเหนือการควบคุมค่ะ/

ดูเหมือนจะหมดสิ้นหนทางในการยับยั้งศัตรูแต่พวกเขายังคงไม่ทิ้งความหวัง ราชาฟ หยุดคิดอะไรบางอย่าง
และแล้วเธอก็ปิ๊งขึ้นมา

“ นี่มาธิอัส นายบอกว่านี้เป็น เครื่องขยายอิออน ใช่ไหมถ้างั้นเราใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลยเหรอ ”

มาธิอัส หันมามองเธอสายตาของเขาฟ้องอยู่เป็นนัย….นี่เธอคิดจะทำอะไรแผลงๆอีกรึไง
ราชาฟ ยักไหล่ เธอไม่สนอยู่แล้วว่าเขาจะมองยังไง แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่เธอคิด

“ เอาก็เอาว่าแต่เธอจะทำมันยังไงล่ะ รหัสคาทราสโทฟี ก็ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอแล้วนี่ ”

“ เรื่องแค่นั้นอย่างนายจัดการได้อยู่แล้วล่ะน่า ที่ฉันต้องทำน่ะก็แค่ร้องมันออกมาไม่ใช่เหรอ ”

ราชาฟ มองเขาด้วยสายตาที่เชื่อมั่น….แต่มันเป็นภาระที่ดูจะหนักหนาเอาการแต่ก็มีความเป็นไปได้ที่สูงอยู่
วินาที มาธิอัส ได้เริ่มเตรียมการบางอย่างตามที่ เธอขอทันที

“ อะไรของเจ้าพวกนี้กันนะ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีหวังอยู่อีกรึไง ”
ซาราเบลด มองตาค้างขณะพยายามทำความเข้าใจกับ สิ่งที่พวกเธอทำในตอนนี้

“ ก็เพราะพวกนี้น่ะเป็นพวกบ้าที่ทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงวันพรุ่งนี้อย่างไงล่ะ ต่อให้พระเจ้าพิโรธหรือเทอร่าดับสูญ
แต่ถ้ายังมีหนทางที่จะไปถึงวันพรุ่งนี้ก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป ”

ลอว์เรนซ์ พยายามอธิบาย

“ แล้วนายล่ะไม่อยากไปให้ถึงบ้างเหรอวันพรุ่งนี้ของตัวเองน่ะ ”

ซาราเบลด มองมาที่ ลอว์เรนซ์ อย่างเหม่อลอย ตอนนี้เขาวกกลับมาคำถามที่ค้างอยู่อีกครั้ง หลังจากนึกอยู่นาน
เขาก็ตัดสินใจได้
ลอว์เรนซ์ มองดูเขาอย่างเข้าใจ และชักดาบมาคายาเดีย ออกมา

“ ถึงจะไม่มีอนุภาค แต่ถ้าเป็นเทพก็น่าจะพอถูไถล่ะนะ ”
ลอว์เรนซ์ เปรยดาบของเขาเปล่งแสง ร่างกายเปลี่ยนเป็นเกล็ดมังกรสีน้ำตาลออกทอง บัดนี้ตัวเขาคือ
อัศวินมังกรเทพทาลิวิย่า

Thaliwilya, the God of Dragoon
รูปภาพ

“ อย่างที่พูดเสมอ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดไปสู่อนาคต ไปสู่วันพรุงนี้ ”

…………………………………………………………………………….
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Up: Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ เม.ย. 16, 2011 8:44 pm

ด้านนอก เกท ภายในความมืดมิดอันเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด….กินนัมกาแก็บ เป็นดั่งนรกสำหรับมนุษย์
ทั้งอากาศที่หนาวเย็นจนเป็นน้ำแข็งได้ในทันที อีกทั้งยังไร้ ซึ่งอากาศที่จะใช้หายใจ

แต่สำหรับเทพเจ้า ที่นี่กเป็นเพียงท้องฟ้ายามราตรี ที่กว่างข้างอย่างไร้ขอบเขตเท่านั้น

ภายใต้สภาพที่ยากลำบาก แต่เด็กหนุ่มวอลคีรีเออร์ ทั้งสองยังคงกัดฟันสู้รบปรบมือกับเหล่าอัศวินสวรรค์
ดาบอัลสวิน ของ เรกกะ ยิงกระสุนอนุภาคแทบจะตลอดนอกจากนี้ยังใช้รับดาบกับ พวกที่เข้ามาประชิดตัว

เหล่า อัศวินสวรรค์ไม่เพียงแต่มีดาบเป็นอาวุธ ไว้ฟาดฟัน แต่ยังใช้ยิงแสงเป็นลำแสงทะลุทะลวง
ได้ นอกจากนี้รอบกายของ เทวทูตทุกตน จะมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้ เป็นเกราะที่ช่วยกันการโจมตีของพวกเขา
แม้ว่า กระสุนของ เรกกะ และลำแสงหมัด ของ เฟนท์ จะทะลวงเกราะที่ว่าเข้าไปได้แต่ในกรณีที่เป็นเกราะของ เทวทูต
เพียงหนึ่งหรือสองตนเท่านั้น พวกนี้เคลื่อนไหวเป็นทัพและกำแพงป้องกันยังรวมตัวจนหนาแน่น
การโจมตีของพวกเขาไม่อาจแหวกทะลวงเข้าไปถึงตัวของ เทวทูตได้

ในวงล้อมศัตรู โล่อาวาร์ค ของ เรกกะ ยังมิอาจป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ ยิ่ง เฟนท์ ที่ไม่มีอุปกรณ์
ป้องกันตัวใดๆเลย จึงเจ็บหนักกว่า ชุดเกราะของ เฟนท์ เต็มไปด้วยริ้วรอยจากการฟัน
แต่ก็ยังไม่มีส่วนใดฉีกขาด เรกกะ ไม่ได้ใช้โล่เพียงเพื่อปกป้อตัวเขาคนเดียว แต่ยังปันไปช่วย
รับการโจมตีให้ เฟนท์ และให้เขารับหน้าที่โต้ตอบด้วย หมัดลำแสง ที่รุนแรง ก็พอจะได้ผลอยู่บ้างกับวิธีการนี้

จำนวนที่แตกต่างคือข้อเสียเปรียบที่เด่นชัดที่สุดของพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม สภาพแบบนี้
คงต้านไว้ได้ไม่นาน
จอมทัพสวรรค์ จับตาดูอย่างพึงพอใจ ร่วมกับเหล่าเทวทูตชั้นอัครเทวดา อีก 6 องค์ด้วยกัน
จากหน้าหลุมดำ ที่ยังคงส่งทัพอัศวินสวรรค์ ออกมาเรื่อยๆ

“ เกรทออฟดราก้อน ”(Great of Dragon)

มังกรลำแสงทะยานตัดผ่านกองกำลังสวรรค์ส่วนหนึ่งและกองกำลังในส่วนนั้นถึงคราวย่อยยับในทันที
เทวทูต ที่พ่ายแพ้และดับสูญ วงแหวนแสงเหนือศีรษะจะหายไป จากนั้นร่างกายจึงสูญสลายตามไปด้วยพร้อมกับ
แสงสว่างเจิดจ้าระเบิดอย่างรุนแรง

อัศวินมังกรทาลิวิลย่า-ลอว์เรนซ์ ซึ่งแปลงร่างมา ทะยานฝ่าเข้าไปในวงล้อมจากทางที่เปิดด้วยลำแสงมังกร
และเข้าไปสมทบกับกลุ่ม ของเรกกะ ได้สำเร็จ

“ ….มืดมิดยิ่งกว่าราตรี ลึกล้ำกว่าค่ำคืน ข้าแต่มหาราชแห่งมารร้าย และเพลิงล้างบาปที่เผาผลาญ เอ๋ย จงมาเป็นแรงพลังให้ข้าเผาพลาญคนบาปให้สิ้นไป… ดาบปราบมาร มุรามาซะ กระบรวนท่าสยบมังกร ดราก้อนสลาฟ ” /Dragon Slave/

ความร้อนของเปลวเพลิงซึ่งลุกโชนด้วยอนุภาคอิออนดิวเทเรี่ยนสีแดง ดึงดูด เทวทูตทุกตนให้หันมาทางเดียวกัน
ซาราเบลด แบกลูกไฟยักษ์ไว้เหนือศรีษะ หลังขว้างมันออกไป ลูกไฟระเบิดกระจาย กลืนทูตสวรรค์ มากมาย
ให้ดับสิ้นเป็นแสงสว่างในกองเพลิง ก่อนจะมอดลงด้วยอุณหภูมิเย็นจัด และ สภาพไร้อากาศของกินนัมกาแก็บ
จึงไร้เชื้อเพลิง ให้ลุกไหม้

การโจมตีของ สองพ่อลูก ซาราเบลด ดูจะได้ผลชะงัด รูปแบบการวางกำลังของศัตรู ถึงคราวแตกกระเจิง
แต่นั่นหาได้เป็นกังวลต่อ จอมทัพสวรรค์ เพียงไม่วินาที ด้วยความอาจหาญโดยปราศจากความขลาดกลัว
ของอัศวินสวรรค์ รูปแบบการรบที่เคยแตกสะเปะสะปะ ย้อนกลับคืนมาได้สมบูรณ์ดั่งเดิม
กลายเป็นพวกเขา 4 คน ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู แทน

จากจุดที่ เหล่าอัครเทวดา อยู่หน้าหลุมดำ นอกจาก อัศวินสวรรค์แล้ว ตอนนี้มีเทวทูต ที่ต่างออกไปเริ่มทยอย
ตามกันออกมา 14 องค์ แบ่งเป็น2 กลุ่มกลุ่มละ 7 องค์ แต่ล่ะกลุ่มจะถือสิ่งของต่างกัน คือ ขัน และ แตร

จอมทัพสวรรค์ โบกมือเป็นสัญญาณ หนึ่งในทูตสวรรค์กลุ่มถือแตร โบยบินออกไป

รูปภาพ

ทูตสวรรค์ถือคันแตร ลงไปใกล้จนถึงชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มเทอร่า และยกคันแตรขึ้นเป่า วงแหวนแสงเหนือศีรษะ
หายไปและร่างของทูตสวรรค์ก็ดับสูญตามไปด้วย แสงสว่างซึ่งระเบิดจากร่างของ ทูตสวรรค์
กระจายแผ่เป็นประกายแสง ประกายแสงเหล่านั้นทันทีที่มันเสียดสีกับชั้นบรรยากาศ จะลุกเป็นไฟ
ประกายแสงทั้งหมดลุกเป็นไฟและตกลงไปยังแผ่นดิน ราวกับลูกเห็บ

ลูกเห็บไฟกระจายตกไปตามส่วนต่างๆของแผ่นดิน และลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง ป่ามากมายตกอยู่ในกองเพลิงทันที
แม้แต่ในตัวเมืองที่มนุษย์อาศัย ก็ยังลุกไหม้ความเสียหายเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง

ที่เมกาโทโปลิส ลูกเห็บเพลิงก็ลกลงมาเช่นกัน


“ ทุกหน่วยยิงทำลายลูกไฟนั่นให้หมดอย่าให้มันตกลงไปในเมืองได้นะ! ”
เซน่า ออกมาสั่งการด้วยตัวเองที่หน้ากองบัญชาการ ตอนนี้ไม่เพียงแต่กำลังรบของ เมกาโทโปลิส ที่ช่วยกัน
ยิงทำลายลูกเห็บไฟ แต่ฝ่ายกำลังสัมพันธมิตร เองก็เข้าช่วยเหลือด้วยเช่นกัน

“ แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท ”/ Yakusa no Ikadzuchi/

สายฟ้าแปดลำพุ่งจาก แคนเบลดของพรายด์ เข้าทำลายลูกเห็บไฟ อาล์ว และ สแตกท์ ต่างก็มาช่วย
ทำลายพวกมันด้วย แม้จะมีบางส่วนตกลงมาหน่วยดับเพลิงของ เมกาโทโปลิสก็สามารถยับยั้งได้ทัน
แต่ยังมีลูกเห็บอื่นตกลงไปในป่าด้วยเช่นกัน และไฟก็เริ่มลุกลามแล้ว


“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นบนนั้นกันแน่นะ ”
เซน่า เปรยแม้เธอจะพยายามแหงนมองเพ่งสายตา ขึ้นไปบนท้องฟ้าเท่าไหร่ ก็ไม่พบอะไรนอกจาก หลุมดำขนาดใหญ่
ที่ลอยอยู่ไกลออกไป

………………………………………………………………………….

ลูกเห็บไฟ กระตุ้นให้พวก เรกกะ เข้าใจขึ้นมาได้ทันที ไม่ใช่แค่กองทัพอัศวินสวรรค์ แต่เหล่าเทวทูต
ยังมีพลังอื่นที่จะล้างผลาญเทอร่า อยู่อีก จอมทัพสวรรค์ ไม่รีรอ ส่งทูตสวรรค์ลงมาอีก
คราวนี้เป็นทูตสวรรค์ถือขันน้ำ

รูปภาพ


“ เรกกะ นายไปหยุดมันซะฉันจะเปิดทางให้เอง ”
เฟนท์ พูด สองมือของเขากำหมัดแน่นยกขึ้นเสมอไหล่ ในท่าตั้งการ์ดมวย ด้วยการคุ้มกันของ ซาราเบลด และ ลอว์เรนซ์
ทำให้มีเวลารวบรวมอนุภาค

/Positron/
เสียงเครื่องจักรกังวาลจากดาบ อัลสไวเดอร์ ที่เหน็บอยู่บนหลัง กำปั้นเหล็กทั้งสองของ เฟนท์ รัวชกออกไปอย่างรวดเร็ว
ลำแสงอนุภาคนับร้อย ก็พุ่งทะลวงออกไปเช่นเดียวกัน อัศวินสวรรค์กลายเป็นแสงพร้อมๆกัน เป็นร้อย
และนั่นทำให้เกิดช่องว่าง ของรูปขบวน เรกกะ อาศัยช่องว่างนี้บินฝ่าออกไปหา ทูตสวรรค์ถือขันน้ำ

/Plasma/
เสียงเครื่องจักรดังกังวาล กระสุนอนุภาคสามนัด ลอยไปปะทะเข้ากับกำแพงป้องกันของ ทูตสวรรค์
ทั้งสามนัดกระเด็นออกหมด เรกกะ รู้ซึ้งในทันทีว่าเกราะของ ทูตสวรรค์ นี้แข็งแกร่งกว่าอัศวินสวรรค์

เขาเปลี่ยนเป็นเข้าประชิดแต่ก็ผ่านเกราะป้องกันเข้าไปใกล้ไม่ได้ เรกกะ ปักดาบอัลสวิน ลงไปบนเกราะป้องกัน
และรัวไกยิงกระอนุภาคแบบเผาขน….มันได้ผลเกราะป้องกันสูญสลายไปแล้ว เรกกะ หวดดาบเต็มแรง
ฟันเข้าที่คอของทูตสวรรค์ขาดสะบั้นในครั้งเดียว วงแหวนแสงดับลงและร่างระเบิดออกเป็นแสงสว่างในทันที


จอมทัพสวรรค์รับไม่ได้กับผลลัพท์นี้ และส่งทูตสวรรค์ลงมาอีกทันที โดยคราวนี้ มาพร้อมกันทีเดียว2องค์ทั้ง
ขันและแตร

รูปภาพ รูปภาพ

ทูตสวรรค์แยกกันเดินเป็นสองทาง เรกกะ จะต้องเลือกทำลายตัวใดตัวหนึ่ง เวลามีมากนัก เขาตัดสินใจ
ทำลาย ทูตสวรรค์ถือขันที่อยู่ใกล้กว่า

เมื่อเข้าประชิดได้แล้วจึงเริ่มทำแบบเดิมอีกครั้งคือเอา ดาบปักลงไปบนเกราะและกระหน่ำรัวกระสุนอนุภาค
จนเกราะแตกสลาย จากนั้นจึงใช้ดาบแทงทะลุอกไปถึงหลังของ ทูตสวรรค์ วงแหวนแสงดับลงและร่างกระเบิดกลายเป็นแสงสว่าง

“ ขอให้ทันทีเถอะ ”
เรกกะ ภาวนาพร้อมกับทะยานข้ามไปอีกฝั่ง ทูตสวรรค์ถือคันแตรเตรียมจะยกคันแตรขึ้นเป่าแล้ว
ระหว่างทาง อัศวินสวรรค์ แบ่งกำลังลงมาขวางทาง เรกกะ หยุดและเสียบดาบอัลสวิน เข้าไปในโล่อาร์วาค

/Saber Hyperion/
เสียงเครื่องจักรกังวาล อนุภาครอบตัวถูกดึงให้รวมในปากกระบอกดาบ เขายกมันขึ้น โดยให้มือขวามือจับด้ามดาบ
แนบลำตัว มือซ้ายประคองส่วนของโล่ ที่ประกอบติดกับตัวกั้นคมดาบ

แสงสีเงินสว่างวาบจากปากกระบอก ทะลุทะลวงทัพสวรรค์ที่ริอาจมาขวางเส้นทางของมัน
โชคร้ายที่ลำแสง ของดาบไปไม่ถึง เรกกะ จึงต้องผลักดาบเข้าไปอีก ทูตสวรรค์เป่าคันแตร
แล้ว วงแหวนแสงดับลง ร่างของทูตสวรรค์กลายเป็นแสงส่องประกายเจิดจ้าอยู่พักนึง
มันขยายตัวออกจนมีขนาดเท่าภูเขา และร่วงหล่นสู่แผ่นดิน

แสงดาบอนุภาค ไปไม่ทันที่ทำลายร่างของทูตสวรรค์หรือแม้แต่ แสงสว่างที่กลายเป็นลูกไฟดวงยักษ์
คมดาบก็สลายก่อนจะไปถึงเสียอีก

หากลูกไฟดวงนั้นตกลงไปจะต้องเกิดความเสียอย่างที่ไม่อาจประเมินได้ขึ้นแน่ เขาจะยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้
เรกกะ บินตามลงไป ชักดาบอัลสวิน ออกจาก โล่แล้วกระหน่ำยิงกระสุนอนุภาค

กระสุนไม่ระคายผิวของมันเลย หนำซ้ำตอนนี้ตัวเขาถูก อัศวินสวรรค์ จับรั้งเหนี่ยวไว้จนตามไปไม่ได้อีก
เขาทั้งดิ้นและสะบัดมือสะบัดเท้า เพื่อให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้ง อัศวินสวรรค์ ที่เกาะอยู่รอบตัวเขา
บนใบหน้าสีขาวเรียบสนิทที่ดูไม่มีอะไร กลับเปิดฉีกออกอวดฟันสีขาวเรียบคมกริบดั่งมีดโกน
พวกอัศวินสวรรค์ ลงมือขย้ำร่างกายของเขา โดยไร้ปราณีไม่แยแสต่อเสียงร้องควรญด้วยความเจ็บปวด
ฟันอันคมกริบ ฝังลงไปบนเกราะของ เรกกะ ได้ไม่มากนักเพราะความแข็งเป็นพิเศษของโลหะที่ใช้สร้าง
เพียงแต่แค่แรงบีบของขากรรไกร ก็เพียงพอจะสร้างความเจ็บปวดทรมาน เหมือนถูกคีมดัดเหล็ก
บิดกระดูกทั้งร่าง


ในวังวนแห่งความสิ้นหวังนั้นเอง ลูกไฟที่กำลังจะตกลงไปเผาผลาญเทอร่า พลันระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เศษซากที่เหลือของมันเสียดสีกับอากาศและเผาไหม้จนหมดก่อนจะลงไปถึงแผ่นดินเสียอีก
สิ่งที่โผล่มาช่วย ให้เทอร่าผ่านพ้นวิกฤติก็คือ……..

“ แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท ” /Yakusa no Ikadzuchi/
“ นภารุ่งสาง ”/ Akatsuki No Sora/

แสงสายฟ้าฟาดแล่นปราบ เข้าปัดร่างของอัศวินสวรรค์ที่รุมทึ้ง เรกกะ จนกระเด็นออกไปหมด ก่อนจะถูก
ระดมยิงด้วยปืนใหญ่ของ ยานพอลลิดัส จนดับสูญในทันที

“ พ….พอลลิดัส ”
เรกกะ มองยานพอลลิดัส บินผ่านหน้าไปด้วยสายตาเหม่อลอย ระหว่างนั้นเอง เซน่า ซึ่งติดตั้งชุดวอลคีรีเออร์แล้ว
กับพรายด์ ก็เข้าช่วยพยุงเขากลับขึ้นไป

รูปภาพ

“ พี่….เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมทุกคนถึงขึ้นมาบน….ขึ้นมาที่ กินนัมกาแก็บ นี่ได้ ”
เรกกะ พูดติดๆขัดๆ ทั้งดีใจและประหลาดใจไปพร้อมๆกัน

“ ไม่ใช้แค่พวกเราหรอกนะลองมองไปรอบๆดูสิ ”
เซน่า ผายมือออกให้ เรกกะ เปิดสายตามองรอบตัวพวกเขา บัดนี้มีทั้งกองยานรบ ของเมกาโทโปลิส
และ ฝ่ายสัมพันธมิตร นอกจากนี้ยังมี วอลคีรีเออร์ เอ็กซ์เทนเดอร์ ขององค์กร เป็นทัพหนุนอีก

ระหว่างที่เขากำลังสู้เป็นตายจนไม่ได้สนใจอะไร รอบตัวเขากลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อนุภาคอิออน
สีเขียว กระจายฟุ้งไปหมดไม่เพียงรอบตัวเขา แต่มันกำลังห่อหุ้ม เทอร่าทั้งใบ และรัศมีโดยรอบเกือบทั้งระบบ
สุริยะ อาณาเขตของ อนุภาคแผ่ขยายกว้างออกไปมาก และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้ กองยานบน เทอร่า
ออกมาถึงกินนัมกาแก็บได้ ที่มาของละอองอนุภาคจำนวนมากมายมหาศาลนั้นคือ ป้อมปราการ เกทออฟกินนัมกาแก็บ นั่นเอง

ย้อนกลับไปสิบนาทีก่อน
บนเกทออฟกินนัมกาแก็บ ตัวการแพร่กระจายอนุภาค ทั้งสามส่งเสียงฉลองอย่างมีชัย
หลังจากตระเตรียมแผนการณ์ทุกอย่างเสร็จสิ้น

“ เท่านี้ก็เตรียมการพร้อมแล้วล่ะเริ่มได้ทุกเมื่อเลย R2 ”
มาธิอัส กล่าวมือทั้งสองของเขาจ่อรออยู่บนแผงควบคุมแล้ว ส่วนโครโน่ ส่งไมโครโฟนให้กับเธอ
โดยมีสีหน้าแหยงๆ

“ ถ้างั้นเริ่มล่ะนะ ”
ราชาฟ ให้สัญญาณ วงเวทย์บนพื้นห้องเปล่งแสงหลากสีสลับกัน เช่นเดียวกับโคมไฟที่เปลี่ยนสีไปด้วย
บันดาลให้ห้องพิธีกรรมกลายเป็น ดิสโก้คาราโอเกะ ในพริบตา
เสียงของ ราชาฟและ เสียงของ V2 เริ่มสอดประสานและขับร้องเป็นบทเพลง

[ใครอยากจะดูป้าแกดิ้นก็ได้นะ ปล.เครดิตนักร้องอยู่ใน MV เรียบร้อย]




“ ตอนที่เธอบอกว่าจะร้องเพลงฉันก็นึกว่าอะไรซะอีกแต่นึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้น่ะสิ ”
โครโน่ พูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ

“ แต่มันก็เป็นวิธีที่ได้ผลล่ะนะ ให้ R2 จูนเข้ากับ V2 จากนั้นใช้เพลงของเธอเป็นตัวกระตุ้นรหัสคาทราสโทฟี
เท่านี้ เกทก็จะทำหน้าที่ของมันได้ ตอนนี้เราใช้พลังจาก เกท สร้างพื้นที่กระจายอนุภาคขึ้นมาก่อนแล้วจากนั้น
เรียกพวกเราขึ้นมาตะลุมบอน เท่านี้เรื่องจำนวนเราก็พอสูสีละ ”

มาธิอัส อธิบายไปพลางระหว่าง ใส่ข้อมูลต่างลงแท่นควบคุม

“ โชคดีนะที่ข้างล่างตอนนี้ พวกเราหยุดสู้รบกันแล้วเลยตอบรับคำขอให้ช่วยของเราได้น่ะ ”
โครโน่ พูดอย่างสบายใจขึ้น เมื่อเห็นกองยานและเหล่า วอลคีรีเออร์ อีกมากมาย ตามขึ้นมาจาก เทอร่าเพื่อร่วมสู้ไป
กับพวกเขา

“ เหลือแค่ประกาศกฏกติกากันนิดหน่อยเท่านี้ฝ่ายเราก็พร้อมรบแล้ว เจ้าเทพนั่นต้องมีอึ้งกันบ้างล่ะ ”
มาธิอัส ยิ้มหน้าระรื่น ตัวเขาอดใจที่จะเริ่มแผนการณ์ต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ งั้นฉันออกไปร่วมวงข้างนอกด้วยก็แล้วกัน ”
โครโน่ พูดจบก็หยิบเอา ไครซิสเซอร์ขึ้นมาติดตั้งทันที

รูปภาพ


…………………………………………………

/ประกาศผ่านช่องสัญาณเปิด มาธิอัส ไบรทีส จาก เกทออฟกันนัมกาแก็บ จากนี้ไปขอให้ทุกกองรบ
เปิดช่องสัญญาณที่ 348 เอาไว้ด้วยเราจะรายงานความคืบหน้าและข้อมูลการรบที่สำคัญผ่านช่องนั้น
และสุดท้ายตามที่ได้รายงานไปก่อนแล้ว ภายใน กินนัมกาแก็บ นี้ทุกท่านห้ามออกจากรัศมีของละอองอนุภาค
เด็ดขาด ทราบแล้วเปลี่ยน /

ประกาศของมาธิอัส ดังผ่านช่องการสื่อสารของทุกคน รวมถึง เรกกะ และ พวกเฟนท์ ที่ยังตกอยู่ในวงล้อม
ฝ่ายมนุษย์เริ่มทำการตอบโต้แล้ว เอ็กซ์เทนเดอร์ ทุกหน่วยบุกแหวกขบวนทัพอัศวินสวรรค์
จนแตกกระเจิง ช่วยให้พวก เฟนท์ รอดออกจากวงล้อมในที่สุด

ขณะเดียวกัน กองยานรบและหน่วยทหารเครื่องแอคเซลแอคเซเรราเตอร์ ทำการบุกตีกระนาบจากด้านข้าง
ด้วยการบุกแบบไม่ทันตั้งตัว กองทัพสวรรค์ถึงกับแตกกระเจิงไม่ท่า ทันที
สร้างความอัปยศแก่ จอมทัพสวรรค์ จนใบหน้าเหยเกด้วยความพิโรธ

/ประกาศช่องสัญญาณจาก 348 ขอให้หน่วยที่ยังเหลืออยู่บุกเข้าจูโจม คณะทูตสวรรค์ที่ถือแตรและขัน
หน้าหลุมดำโดนด่วนคร้าบ~~/

ประกาศจากช่องสัญญาณทำให้มีกองกำลังหลายส่วนบินตรงไปยังหลุมดำ ยานรบลำหนึ่งเล็งปืนใหญ่
ยิงใส่คณะทูตสวรรค์ทั้งขันและแตร แต่เกราะป้องกันของทั้งคณธรวมกันนั้นยังพอทานอำนาจปืนใหญ่ยานรบได้อยู่บ้าง
บรรดาทูตสวรรค์ในคณะถึงกับหน้าซีดเผือดขึ้นมา

โดยเร็วไว กองกำลังส่วนหนึ่ง นำโดยยานพอลลิดัส บุกฝ่าไปยังหลุมดำ

“ เชิดหน้าขึ้น30 เตรียมการยิงอาคาเดี้ยนพลาสม่า ”
กัปตันยานพอลลิดัส ออกคำสั่ง

“ เชิดหน้า 30 ”
ไรด์ ทำหน้าที่คนขับยานขานรับคำสั่ง

“ ปืนหลักประจุอนุภาค 80 เปอเซ็นต์พร้อมยิงแล้วค่ะ ”
ไอ ขานรับตอนนี้เธอทำหน้าที่ควบคุมการยิงปืนหลักของยาน

“ อาคาเดี้ยนพลาสม่า ยิง!! ”
และกัปตันของยานพอลลิดัสในขณะนี้ไม่ใช่ ฮายาเตะ แต่เป็น เมออาร์เน่ จากยานรัฟอัส
ปืนใหญ่อนุภาคบีบอัด คำรามลั่นลำแสงทำลายกลืนกิน อัศวินสวรรค์ที่ขวางทางจนถึงหลุมดำ
จนสิ้น เปิดทางให้ โครโน่ ที่ตามออกจาก เกท แล้วนำหน่อวยเอ็กซ์เทนเดอร์
ข้ามหัวเหล่าอัครเทวดา จัดการกับ คณะทูตสวรรค์ขันและแตร

/Gun Del Sol/
เสียงเครื่องจักรกังวาล เอ็กซ์เทนเดอร์ สิบนายประคองหอกประจำตัว กระหน่ำยิงกระสุนอนุภาคสีแดง
ใส่คณะ ทูตสวรรค์ฝ่ายขันและแตร จนดับสูญไปด้วยกัน 8 องค์

รูปภาพ รูปภาพ
รูปภาพ รูปภาพ

รูปภาพ รูปภาพ
รูปภาพ รูปภาพ


บัดนี้เหลือเพียง ทูตสวรรค์ ขันและแตรอย่างละองค์แล้ว และทั้งสองกำลังจะกลายเป็นเหยื่อให้
กับ กระสุนอนุภาคของ โครโน่ ทว่ากระสุนอนุภาค สะท้อนกระเด็นออกอย่างง่ายดาย โดยการ
ปกป้องจากปีกสีขาวของ อัครเทวดาองค์หนึ่ง อัครเทวดาทรงชุดสีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์
และมือถือชูกำยาน เครื่องหมายอันแสดงถึงตัวตนในการเป็นอัครเทวดาแห่งนมัสการ

รูปภาพ

จอมทัพสวรรค์ ไม่อาจทนนิ่งดูดายได้อีกต่อไปหลังจากถูกมนุษย์ปีนเกลียว จนต้องเสียคณะขันและแตร
ไปเกือบทั้งหมดก็ถึงเวลาที่ ชั้นอัครเทวดา จะแสดงฝีมือแล้ว

อัครเทวดาแห่งนมัสการ เหวี่ยงกำยานในมือสาดขี้เถ้ากำยาน ใส่กลุ่มเอ็กซ์เทนเดอร์ พลันร่างของเหล่าเอ็กซ์เทนเดอร์
ลุกไหม้ด้วยไฟ พวกเขาดิ้นทุรนทุรายจากความร้อนและความทรมาน นั่นยังไม่เพียงพอ ไฟลุกโหมจนระเบิด
เหมือนดอกไม้ไฟ ส่งให้ร่างของ เอ็กซ์เทนเดอร์เหล่านั้น กลายเป็นจุลในทันที
คนที่ยังเหลือรอด ต่างกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความกลัวต่อพลังทำลายของ อัครเทวดา
สถานการณ์วิกฤติเสียแล้ว โครโน่ ใช้พลังไครซิสเซอร์ของเขาเพื่อจะหยุดเวลา ไปลอบโจมตี
ทูตสวรรค์แห่งขันและคันแตรที่ยังเหลือรอด แต่ฝ่ายเทวทูต กลับขยับตัวได้ห้วงเวลาที่หยุดสนิท
พลังของเขาจะยิ่งกลายเป็นผลร้ายต่อฝ่ายตัวเองเสียมากกว่า โครโน่ ในตอนนี้จึงไร้พิษสงค์พอๆกับเหล่า
เอ็กซ์เทนเดอร์ไปโดยปริยาย เมื่อนับเทียบกับเหล่าเทวทูต


อัครเทวดาองค์หนึ่งอาภรณ์เครื่องทรงทำด้วยไฟและน้ำแข็ง ทรงเป็นอัครเทวดาแห่งพระประสงค์
ยามเมื่อวาดมือในอากาศ ก็เกิดเป็นลูกไฟผสมหิมะ นับร้อยนับพัน ยิงจมยานรบฝ่ายมนุษย์
ล่มไปสองสามลำในครั้งเดียว

รูปภาพ

กลุ่มวอลคีรีเออร์ ที่นำโดยโครโน่ ใกล้จะถูกสำเร็จโทษ โดยอัครเทวดาแห่งการพิพากษา ไฟบนคบของอัครเทวดา
หหมุนเกลียวคล้ายสว่าน เมื่อแกว่งไปมา พลันบันดาลพายุหเปลวเพลิง เข้าล้อมกรอบพวกเขาทันที

รูปภาพ

อัครเทวดาองค์หนึ่งสองมือของท่านแบกรับสิ่งที่เรียกว่าดวงหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นอัครเทวดาแห่งพระเมตตา
เมื่อต้องแสงจากดวงหฤทัยนั้น
พวกเขาไม่อาจขยับตัวได้ ไฟกำลังล้อมกรอบเข้ามา อีกไม่ช้าพวกเขาจะไหม้เป็นตอตะโก

รูปภาพ

/Plasma/
กระสุนอนุภาคสีเขียว แบบยิงกระหน่ำ รัวใส่ดวงหฤทัยจนแตกสลายในทันที พวกเขาขยับตัวได้แล้ว
และกระโจมออกจากวงล้อมเพลิงทันที

โครโน่ มองหาตัวเรกกะ ที่น่าจะเป็นเจ้าของกระสุนอนุภาคเมื่อครู่แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือ สีของอนุภาคเป็นสีเขียว
แบบอิออน ธรรมดาไม่ใช่สีเงินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเหมือนทุกหน ความสงสัยกระจ่างทันที เมื่อเขาเห็น
ฮายาเตะ ในชุดวอลคีรีเออร์ สีดำลอยตัวอยู่ใกล้ๆกับพอลลิดัส โดยใช้ละอองอนุภาคสีเขียวที่ผลิตจาก ปีกร่อน
อาวุธไครซิสเซอร์ของ เธอมีหน้าตาเหมือนกับของเรกกะ เพียงแต่เป็นสีดำหมดทั้งดาบและโล่

เธอประกอบดาบเข้ากับโล่และตั้งท่าเหมือนที่ เรกกะ ทำอนุภาคสีเขียวรอบตัวเธอถูกดึงให้
รวมเข้าไปในปากกระบอกดาบ

/Saber Hyperion/
ลำแสงดาบอนุภาคสีเขียวเล่มมหึมาทอดตัวตัดผ่านหน้าของ เหล่าอัครเทวดา จนต้องถอยหนี
พวก โครโน่ จึงอาศัยจังหวะนั้น ถอยกลับมารวมกันที่ ยานพอลลิดัส ทันทีที่มาถึง โครโน่ รีบเข้าปุถามคำถามกับเธอทันที

รูปภาพ

“ ฮายาเตะ เธอมาอยู่ข้างนอกนี่แล้วใครคุมยานกันล่ะ ”
“ เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกัปตันเมอร์อาร์เน่ ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะยังไงซะฉันก็ไม่ถนัดที่จะนั่งสั่งเฉยๆอยู่แล้วล่ะ ”

เธอ พูดโดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร แถมยังโล่งใจมากกว่าเสียอีก เวลาสนทนามีไม่มาก
กลุ่มอัครเทวดา กำลังย้อนกลับมา

“ เอานี่ไปกิน ”/Deep Lance/
อาล์ว พุ่งตัดหน้าทั้งสอง เข้าไปแทงหอกใส่ อัครเทวดาแห่งพระเมตตา แต่เกราะป้องกันที่มองไม่เห็นสามารถสกัดเอาไว้ได้

รูปภาพ

“ จะแข็งซักแค่ไหนกันเชียว ”
อาล์ว ขึ้นเสียงและออกแรงแทงหอกให้ลึกลงไปยิ่งขึ้น เกราะป้องกันเริ่มปริร้าว อัครเทวดาแห่งพระประสงค์ผู้มีไฟและน้ำแข็งเป็นอาภรณ์ เสกเพลิงสวรรค์เข้าแผดเผา อุปกรณ์รูปจานบนหลังของอาล์ว เริ่มทำงาน
มันหันเข้าหาไฟที่กำลังจะมาถึง

/Cold Snapping/
แสงสีฟ้าฉายอาบไฟสวรรค์ พริบตาต่อมาไฟกลายเป็นน้ำแข็งได้อย่างน่าอัศจรรย์
กระนั้น อัครเทวดาองค์อื่นได้ยื่นมือเข้ามาช่วยอีก อัครเทวดาองค์นี้ทรงชุดเช่นนักเดินทา
และมีไม้เท้าประจำตัว และไม้เท้านี้เอง ที่ยิงกระสุนแสงได้เหมือนกระสุนอนุภาคของพวกเขา

รูปภาพ

“ กระจกเทพคุ้มภัย ยาตะโนะคากามิ ”/ Yata no Kagami/
เซน่า แทรกมาขั้นระหว่าง อาล์ว กับ กระสุนแสง เธอกางกำแพงป้องกันด้วยละอองอนุภาคสีทอง
กระสุนแสงกระทบกัยกำแพงและสะท้อน กลับใส่ อัครเทวดาแห่งการเดินทาง กระสุนแทงทะลุร่าง วงแหวนแสง
เหนือศรีษะ ดับลงสนิทร่างของ อัครเทวดาแห่งการเดินแตกสลายในบัลดล
สร้างความเดือดดาลให้กับ จอมทัพสวรรค์ เป็นอันมาก ระหว่างนี้เอง สแตกท์

รูปภาพ

เล็งหน้าไม้ใส่ ทูตสวรรค์แห่งคันแตร

/Spellic Arrow/

ลูกดอกอนุภาคสีแดงสามดอกลอยตรงไปยัง ทูตสวรรค์ แต่แล้ว จอมทัพสวรรค์ กลับเข้ามาขวาง
ด้วยอำนาจระดับจอมทัพ เกราะป้องกันจึงแข็งแกร่งทนทานที่สุดในบรรดาทูตสวรรค์ด้วยกันทั้งหมด
ลูกดอกอนุภาคไม่แม้แต่จะสะกิดเกราะให้เกิดริ้วรอยหรือการกระเพื่อมใดๆเลย

หลังจากยืนดูอยู่นาน จอมทัพสวรรค์จะเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตนเองแล้ว ดาบคู่บารมีทั้งสองถูกชักออกจากฝักที่แขน
และผู้สังเวยต่อคมรายแรก คือ อาล์ว ที่ยังติดอยู่กับการแทงให้ทะกุเกราะป้องกันของ อัครเทวดาแห่งพระเมตตา

“ เพลงดาบปีกสวรรค์ ”/Ama no Habakiri /
พรายด์ ทะยานเข้ามาพร้อมกับสร้างคมดาบอนุภาคเล่มยาวแทงใส่รอยร้าวบนเกราะของอัครเทวดาแห่งพระเมตา
แล้วเลยไปเสียดแทงร่างของอัครเทวดาด้วย วงแหวนแสงเหนือศรีษะดับสิ้นลงพร้อมกับการดับสูญของ
อัครเทวดาแห่งพระเมตตา

พรายด์ อุ้ม อาลว์บินหนีจากคมดาบของ จอมทัพได้ทันเวลาพอดีอีกด้วย
ตอนนี้เหลือ อัครเทวดา อีกเพียง 4 องค์กับจอมทัพสวรรค์


“ นี่ มาธิอัส ถึงตอนนี้จะยังสู้กับฝ่ายโน้นได้อยู่ก็เหอะ แต่ไม่มีวิธีที่จะหยุดให้พวกมันออกมาบ้างเหรอ ”
เรกกะ ติดต่อโดยสายตรงไปที่ เกทออฟกินนัมกาแก็บ

มาธิอัส: ถ้าจะถามเรื่องพวกนี้ล่ะก็ฉันว่าเราน่าจะลองถามความเห็นทุกคนดูเลยดีกว่าเพราะตอนนี้ฉันยังมองไม่เห็น
หนทางเลย

ครู่ต่อมา สายของทุกคนก็ถูกต่อเข้ามา ประกอบด้วย เฟนท์ เซน่า พรายด์ อาวล์ แสตก ฮายาเตะ
โครโน่ ซาราเบลด และสายตรงจากยานพอลลิดัส

เฟนท์:เรื่องวิธีเนี่ยไม่ใช่ว่าพวกนายเตรียมไว้แล้วหรอกเหรอ
มาธิอัส:ถามเตรียมแล้วฉันจะเรียกประชุมฉุกเฉินเรอะ
เรกกะ: ใครมีความคิดดีๆมั่ง
พรายด์:ก็จัดการพวกมันให้หมดนั่นแหละ จะมาอีกกี่ร้อยกี่ล้านก็สอยให้หมดๆไปเลย
อาล์ว: ใช่ๆเห็นด้วยที่สุด
สแตกท์:ไม่ต้องไปคิดให้มากความหรอกน่า จัดการให้หมดๆไปกพอ
เอรี่(พอลลิดัส):พี่คะ! แล้วนายสองหน่อนั่นด้วย ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกนะ

รูปภาพ

พรายด์ อาล์ว สแตกท์ :ข…ขอโทษ
เซน่า:ใช่แล้วอย่างที่คุณพ่อบอก พลังก็ยังคงเป็นแค่พลังเท่านั้น หนทางแห่งสันติไม่ได้ใช้พลังเพื่อไขว่คว้า หากแต่พลังมีไว้เพื่อทำให้ทางที่ว่าเปิดออก เราต้องลองเจรจากับฝ่ายโน้นดู
โครโน่:ให้เจรจากับพระเจ้าเนี่ยนะ
เมออาร์เน่(พอลลิดัส): มีวิธีที่จะทำแบบนั้นได้รึเปล่า

ทุกเสียงในสายเงียบลงต่างคนต่างนึกหาวิธีจนไม่มีใครพูดตอบโต้กันเลย

ลอว์เรนซ์: ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ฉันอาจจะทำให้เป็นไปได้นะ
เรกกะ:เอ๋…ลอว์เรนซ์ นายไม่มีไครซิสเซอร์นี่ แล้วทำไมมีเสียงเข้ามาได้ล่ะ?
ซาราเบลด:ใช้ผ่านช่องสัญญารฉันน่ะ ตอนนี้เรากำลังยิงต้านพวกอัศวินสวรรค์ อยู่ข้างหน้า เกท เนี่ย
มาธิอัส:แล้ววิธีที่ว่าล่ะ
ลอว์เรนซ์:ดาบมาคายาเดีย ของฉันสามารถดึงเอาความนึกคิดของผู้คนมาเป็นพลังได้เพื่อใช้ดาบแห่งคำอถิษฐานได้
ถ้าแสดงพลังแห่งความตั้งใจนั่นให้เห็นบางที พระเจ้าอาจจะยอมเข้าใจก็ได้

ฮายาเตะ:เป็นคำพูดที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่แฮะ
ไรด์(พอลลิดัส):ก็ไม่เสี่ยงเกินที่จะลองนะยังไงตอนนี้เราก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่
ซาน(พอลลิดัส):ฉันเองก็เห็นด้วยนะ
เอมิล(พอลลิดัส):แล้วเราจะต้องแสดงมันตรงไหน มีใครรู้ที่อยู่ของพระเจ้ารึไง

รูปภาพ รูปภาพ

ทุกคนเงียบเสียงลงไปอีกครั้ง

V2:ที่อยู่ของพระเจ้าดิฉันพอจะทราบค่ะ
มาธิอัส:V2 เธอเองก็ฟังการประชุมอยู่เหรอ
V2:ค่ะดิฉันฟังอยู่ตลอดตั้งแต่แรกแล้ว
ฮายาเตะ:V2…ใครอ่ะ?

โครโน่:เรื่องมันยาวอ่ะนะ ไว้ก่อนก็แล้วกันว่าแต่เธอบอกว่ารู้เนี่ยแล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะที่อยู่ของพระเจ้าน่ะ
V2:ดิฉันคิดว่าหลังหลุมดำที่พวกทูตสวรรค์ใช้เป็นทางผ่านออกมา น่าจะเป็นอาณาจักรของพระเจ้าค่ะ
เฟนท์:ก็ฟังดูเข้าท่านะ แต่เราจะเข้าไปข้างในหลุมนั่นได้เหรอ บางทีที่นั่นอาจจะมีสภาพที่แย่กว่าไอ้ กินนัมกาแก็บ นี่ซะอีก
เรกกะ:ถ้าส่งไปแต่พลังอย่างเดียว ทำได้รึเปล่า

ลอว์เรนซ์:เรื่องนั้นก็ต้องรู้ระยะทางก่อนน่ะว่าลึกสุดหลังหลุมดำนั่นมันประมาณไหน จะได้กะพลังถูกเพราะถึงดาบคำ
อถิษฐาน ของฉันมันจะยื่นออกไปได้ยาวก็เถอะแต่ก็ขึ้นกับระดับพลังความนึกคิดของทุกคนว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแค่ไหนด้วย

มาธิอัส: เรื่องความลึกของหลุมน่ะ ถ้าใช้ระบบคำนวณของเกท น่ะทำได้รึเปล่า V2

V2:ทำได้ค่ะแต่หลังหลุมดำนั่นดิฉันตรวจพบคลื่นรบกวนและความบิดเบี้ยวซับซ้อนทางมิติมากมาย คาดว่าต้องเสียเวลาในการคำนวณขั้นต่ำ 1 ชั่วโมงค่ะ

ซาราเบลด:วิธีนี้มันจะได้ผลแน่เหรอ…
ไอ(พอลลิดัส):ได้ผลสิ ต้องได้ผลแน่เคยได้ยินคำว่า ‘ด้วยศรัทธา ,เราจะสร้างปาฏิหารย์’ รึเปล่าหากเป็นพระเจ้าจริงล่ะก็
จะต้องรับรู้ได้แน่ถึงความปราถนาของพวกเราศรัทธาของพวกเรา
รูปภาพ

เฟนท์: ฉันเองก็คิดเหมือน ไอ นะถ้าเป็นพระเจ้าจะต้องรู้แน่ๆ
โครโน่:นั่นสินะ

ทุกเสียงในห้องเปลี่ยนเป็นเห็นด้วยกับแผนการณ์นี้

เรกกะ:บางทีนี่อาจจะเป็นบททดสอบของพระเจ้าที่มอบให่พวกเราก็ได้ มาพยายามกันเถอะ บอกให้พระเจ้ารู้
ว่าพวกเรายังต้องการวันพรุ่งนี้

“ อื้ม!! ”
ทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน

ภายใน เกทออฟกินนัมกาแก็บ ราชาฟ ยังคงร้องเพลงโดยไม่พักเพื่อให้เกท ทำงานของมันต่อไป มาธิอัส เป็นห่วง
สภาพร่างกายของเธอ แต่เธอก็ให้สัญญาณมือว่ายังไหวอยู่ จากการประเมินด้วยสายตาแล้ว ขีดจำกัดของเธอคง
ได้อีกไม่เกิน 1 ชั่วโมง หัวสมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว พยายามกรั่นกรอง ความคิดหาหนทางที่เสียเวลาน้อยที่สุดอย่างไรก็ดีแผนการณ์ขึ้นต่ำต้องมีเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับการคำนวณระยะทาง และ ราชาฟ จะต้องร้องเพลงยาว
ตลอดจนครบหรือนานต่อไปกว่านั้นอีก

ต่อจากการคำนวณระยะทาง เส้นทางที่จะใช้ดาบคำอถิษฐานจะต้องไม่สิ่งกีดขวางใดๆเลยไม่อย่างนั้นพลังงานจะไม่พอ
เหนือสิ่งอื่นใด เพื่อขัดขวางแผนการณ์นี้ เหล่าทูตสวรรค์ อาจจงใจมาทำลาย เกทแห่งนี้เพื่อตัดกำลังรบของพวกเขา

ถ้าไร้เกท พื้นที่คละคลุ้งด้วยละอองอิออน จะหายไปแล้วคนที่ไม่มีไครซิสเซอร์ข้างนอกนั่นจะกลายเป็นน้ำแข็งกันหมด
ด้วยเงื่อนไขที่มากมายมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หนำซ้ำต่อให้ทำได้ ก็ใช่ว่าแผนการณ์นี้จะได้ผล
พวกเขามีแต่ยืนบนเส้นด้ายแห่งความเสี่ยงเหนือห้วงเหวของความล้มเหลว ถ้าพลาดมนุษยชาติจะถึงกาลพินาศ

ดังนั้นเขาจะต้องคิดให้รอบคอบที่สุด หลังผ่านการประมวลผลและคิดคำนวณในสอมงอยู่นาน มาธิอัส
เปิดช่องการติดต่อ 348 เพื่อประกาศแผนการณ์รบใหม่
/จากเกท ทราบแล้วเปลี่ยน จากนี้ไปขอให้ทุกคนทำตามแผนการณ์รบที่แถลงด้วย กำลังพลที่เข้าปะทะ
รัศมีห่างจาก เกท ออกไปเกิน 3 กิโลเมตรให้ถอยกลับเข้ามาในวงที่กำหนด กองกำลังใกล้กับเกท ขอให้เข้าคุ้มกันหลักศิลา
ทั้ง 7 ของเกทด้วย กำลังพลที่ว่างและเหลืออยู่ให้มารวมกันที่หน้าเกทและทำการยิงต่อต้าน/

มาธิอัส สับเปลี่ยนช่องสัญญาณกลับไปยังช่องที่พวกเขาใช้ประชุมหลังจากประกาศแผนรบใหม่แล้ว

มาธิอัส:ลอว์เรนซ์ นายบุกฝ่ากลับมาเตรียมตัวที่หน้าเกทก่อน อ้อซาราเบลด นายก็มาด้วยกันนะจะได้เป็นสื่อให้ฉันคุยกับ ลอว์เรนซ์ได้

ซาราเบลด:เข้าใจแล้วจะไปเดี๋ยวนี้แหละ

ด้านนอก ลอว์เรนซ์ในร่างอัศวินมังกร กับ ซาราเบลด ทั้งสองฟาดดาบเป็นพัลวัล เพื่อฝ่ากลับมาให้ถึงเกท
ที่หน้า ป้อมปราการ ตอนนี้มีกลุ่มก้อนของกองกำลังมา รอยิงสนับสนุนอยู่ก่อนแล้ว อัศวินสวรรค์จึงตาม
พวกเขาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก

ลอว์เรนซ์ กับซาราเบลด ลงจอดที่ระเบียงหอคอยของห้องควบคุม ซึ่งมาธิอัส สามารถมองเห็นพวกเขาได้
ชัดเจนจากมอนิเตอร์ที่ฉายภาพต่างหน้างต่าง


บริเวณดาบศิลาที่ปล่อยอนุภาค กองกำลังกระจุกตัวเข้าคุ้มกันไม่ให้ อัศวินสวรรค์เข้ามาระราน
พวก เรกกะ ที่ออกไปสู้อยู่แนวหน้าตอนนี้ก็ถอยลงมาตั้งรับแล้ว ยานพอลลิดัส ลอยลำมา
จอดที่หน้าหอคอยควบคุมของ ป้อมปราการเช่นกัน

ตอนนี้รูปขบวนฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนเป็นตั้งรับและกระชับพื้นที่การรบ โดยมีศูนย์กลางเป็น เกท
แม้จะไม่รู้เหตุผลที่ทัพมนุษย์ล่าถอยไป แต่จอมทัพสวรรค์ถือโอกาสนี้ส่ง ทูตสวรรค์ขันและแตรชุดสุดท้ายออกไปทันที
หวังจจะปิดเกมนี้เสีย

รูปภาพ รูปภาพ

จากห้องควบคุมบนเกท มาธิอัส เฝ้าจับตาดูกลุ่มของ ทูตสวรรค์ขันและแตรอยู่โดยตลอด นี่เป็นสิ่งที่
เขากังวลที่สุด กลุ่มทูตสวรรค์ขันและแตร ที่ยังเหลือเป็นชุดสุดท้ายนี้ มีพลังอำนาจทำให้ เทอร่าพินาศได้ทันที
หากแตรหรือขันได้สำแดงอิทธิฤทธิ์

/ทุกคน! อย่าให้ทูตสวรรค์ที่ถือคันแตร กับ ขันลงไปที่เทอร่า ถ้าหากว่ามันทำสำเร็จพวกเราจะพินาศกันหมด/

ประกาศของ มาธิอัส ส่งให้ทุกกองกำลังยานรบและ เหล่าวอลคีรีเออร์เอ็กซ์เทนเดอร์ เล็งยิงไปที่จุดเดียวกัน
แต่ฝ่ายสวรรค์เองก็ไม่ยอมง่ายๆ อัศวินสวรรค์ใช้ร่างของตัวเองเป็นโล่กันการโจมตีให้สองทูตสวรรค์
จนไม่มีการโจมตีใดเข้าถึง

“ บ้าเอ้ย! ”
สแตกท์ สบถหน้าไม้ของเรากระหน่ำยิงลูกดอกออกไปนับสิบแต่ เข้าไม่ถึงเป้าหมายเลย
ความเครียดเพิ่มสะสมให้กับทั้งกองกำลังเมื่อ สองทูตสวรรค์ ลงไปถึงชั้นบรรยากาศและกำลังจะเริ่มเป่าคันแตร เทขันน้ำ

/Ex-Charger/
จักรกลรับใช้รูปร่างคล้ายคลึงกับดาบคุซานางิแคนเบลดของพรายด์ แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก และมีลวดลายทั้งสีเขียวและแดง ดดยสีแดงจะมีอยู่อันเดียว ที่เหลืออีกสามจะเป็นสีเขียว จักรกลรับใช้ บินเข้าไปล้อมกรอบ
ทูตสวรรค์ถือคันแตร กระหน่ำยิงกระสุนอนุภาคสีเขียว แน่นอนว่าเกราะป้องกันของ ทูตสวรรค์กันไว้ได้
จักรกลระดมยิงทุกทิศทุกทางและยังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ สุดท้ายทูตสวรรค์ ถูกต้อนจนขยับหนีไปไหนไม่ได้แล้ว

/Raydon Arrow/
ลูกศรอนุภาคแหวกตัดอากาศอย่างรวดเร็วชนเข้ากับเกราะป้องกัน จนปริร้าวในครั้งเดียว ลูกศรปักลึกและยัง
ไม่หายไปไหน ก่อนจะระเบิดตูใหญ่ในเวลาต่อมา เกราะป้องกันของทูตสวรรค์ แตกละเอียด
และอยู่ในสภาพไร้การป้องกัน

“ เพลงหมัดพยัคคำรนมังกรล่องนภา ” /Tapas Claw/

ชายหนุ่มวอลคีรีเออร์ สวมสนัมมือติดกรงเล็บ บุกเข้าประชิดร่างของทูตสวรรค์ เขาใช้กรงเล็บฉีกกระชาก คันแตร
ให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะหลบฉากออกมาให้ จักรกลรับใช้เผด็จศึกด้วยการกระนห่ำยิงกระสุนอนุภาค
จนดับสูญ

หลังเสร็จสิ้นหน้าที่ จักรกลรับใช้ ย้อนกลับไปหา หญิงสาววอลคีรีเออร์ หน้าใหม่อีกคนเธอโบกพัดเหล็กในมือ
ท่าทางสบายใจ ข้างๆเธอ ยังมีนักธนูหญิงวอลคีรีเออร์ คอยอารักขาอยู่ใกล้ๆ

“ ล..หลง ผิง แล้วก็ หลีเม่ย ”
ฮายาเตะ ร้องโดยอัตโนมัติ วอลคีรีเออร์ทั้งสามที่พึ่งทำลายทูตสวรรค์ไปคือสมาชิก วอลคีรีเออร์
รุ่นเดียวกับพวกเขาซึ่งร่วมงานกันในสงครามเมื่อ 2 ปีก่อน

(Rymei, the Valkyrier of Feodora)
(Ping, the Valkyrier of Dahna)
(Long, the Valkyrier of Maya)
รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

“ มีงานเลี้ยงสังสรรค์ไม่บอกพวกเราแบบนี้มันเสียมารยาทนะรู้ไหม ”
หลีเม่ย สาวพัดเหล็กผู้มาดมั่น พูดจาวางก้ามติดหยิ่งหน่อยๆ

“ โทษทีนะเรื่องล้อเล่นคงต้องไว้ก่อนล่ะ ทูตสวรรค์นั่นกำลังจะเทขันแล้วนะ ”
โครโน่ แย้งขึ้นมา

“ ไม่ต้องห่วงครับ ”
หลง หนุ่มนักสู้หมัดกรงเล็บตอบเสียงเรียบ
โดยไม่ทุกร้อน เช่นเดียวกัน ผิง ก็พูดจาน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต่างไปจาก 2 ปีก่อนเลย
“ ทางโน้นเดี๋ยวก็จะมีคนมาจัดการแล้วเหมือนกัน ”


เป็นไปตามนั้น ทูตสวรรรคื ยังไม่ทันได้เทขัน เกราะป้องกันก็ถูกจามด้วยขวานจนแตกสลาย ก่อนจะถูก
กระสุนอนุภาคสีเขียว กระหน่ำยิงจากหน้าไม้ ของ ชารี่ ในชุดวอลคีรีเออร์ สีเขียว จนดับสูญตามไป

“ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า ”
เซน่า เปล่งเสียงด้วยความดีใจ สาวสามสหายคนสนิทของเธอนั่นเอง หลังจากเซน่า ออกเดินทางไปกับพวก เรกกะ
สามสาวก็ไม่ได้นิ่งดูดายพวกเธออกเดินทางไปขอแรง หลีเม่ย หลง และ ผิง ให้มาช่วยเป็นกำลังให้กับเซน่า

Chary , Signum ,Elita
รูปภาพรูปภาพรูปภาพ

“ พวกเรามาแล้วค่าท่าน เซน่า ”
สามสาวโบกมือให้อย่างร่าเริง การพบกันครั้งนี้เหมือนจะเป็นงานรวมญาติของ Empyrean Adjust กลายๆถ้าไม่ต้องติดอยู่กลางสงครามชี้ชะตามนุษยชาติแบบนี้

อีกครั้งที่จอมทัพสวรรค์ใช้มือขยี้ใบหน้าอันคราคร่ำไปด้วยความเครียด โองการณืสวรรค์ที่ควรจะเสร็จสิ้นไป
อย่างง่ายๆทำไมถึงได้มีตัวเกะกะมาขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า

จอมทัพ โบกมือเป็นสัญญาณบุกเต็มกำลัง หนนี้ เหล่าอัครเทวดา ก็ตามเขามาด้วย เว้นแต่อัครเทวดาองค๋หนึ่งที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ และยังคงเฝ้าจับตาดูการรบจากหน้าหลุมดำ

ทัพมนุษย์และ และ ทูตสวรรค์ เข้าตะลุมบอนกันอีกครั้ง และรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาฝ่ายทูตสวรรค์ มีมาก
ที่ดับสูญกลายเป็นแสงสว่างไปจากากรถูกยิงและแทงจนทะลุเกราะป้องกันเข้าไปถึงตัวได้
แต่ฝ่ายมนุษย์ก็เสียหายไม่แพ้กัน ยานรบสามลำพังพินาศ ด้วยอำนาจของ อัครเทวดาเพียงองค์เดียว
และเกราะป้องกันก็แข็งเสียจนการโจมตีของพวกเขาไม่ส่งผลใดๆเลย

เป็นการปะทะกันครั้งสุดท้าย ทุกคนต่อสู้แบบลืมเป็นลืมตาย ทั้งมนุษย์และทูตสวรรค์
ภายในห้องควบคุมเกท ก็มีการต่อสู้เกิดขึ้นเช่นกัน การต่อสู้กับขีดจำกัดทางร่างกายของ ราชาฟ เธอร้องเพลง
เพื่อปลุกปลอบพลังให้กับ เกท อย่างต่อเนื่องเป็นขั่วโมงๆแล้ว และตอนนี้ เธอกำลังจะหมดแรงเสียงของเธอ
แหบและแห้ง อีกไม่นานเธอจะไม่มีเสียงให้ร้องออกมาอีก ท่วงทำนองที่ตกลงส่งผลต่อการทำงานของ เกท
พื้นที่ซึ่งเคยคละคลุ้งด้วยละอองอนุภาค เริ่มหดตัวเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย ถ้าปล่อยไว้ต่อไปทุกคนข้างนอกที่ไม่ได้
เป็นวอลคีรีเออร์ จะกลายเป็นน้ำแข็งกันหมด

สถาการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น จอมทัพสวรรค์เหมือนจะรู้ทันแผนของพวกเขา จึงสั่งให้กองัพอัศวินสวรรค์ จู่โจม
ใส่ดาบศิลาของ เกท แม้จะมีการเตรียมกำลังรับมือไว้แล้ว แต่การโจมตีของฝ่ายสวรรค์กลับเน้นหนักไปที่
จุดเดียว เทียบกับฝ่าย มนุษย์ที่ต้องป้องกันไม่ให้เสียทุกจุด นับว่าเสียเปรียบมาก

ในขณะที่ทัพมนุษย์ร่อยหรอลงทุกๆนาทีการรบ ฝ่ายทูตสวรรค์กลับเพิ่มจำนวนจากหลุมดำ
ความต่างด้านจำนวนมีเค้าลางเด่นชัดขึ้นทุกขณะ

จอมทัพสวรรค์ นำกำลังส่วนหนึ่งกับ อัครเทวดาแห่งนมัสการ ฝ่าทะลวง เอ็กซ์เทนเดอร์ และ กองยานคุ้ม
กันดาบหลักศิลา ซีกขวาของเกท เล่มหนึ่ง การโจมตีของหน่วยคุ้มกันเข้าไม่ถึง ตัวจอมทัพสวรรค์แม้แต่ปลายเล็บ
กลับกัน จอมทัพสวรรค์เพียงองค์เดียวโดยใช้ดาบสองเล่มและความเร็วอันยวดยิ่ง ก็สามารถปราบทุกอย่าง
สิ้นลงได้อย่างเหลือเชื่อ


“ ย้ากกกก ”
เฟนท์ ทะยานข้ามจากดาบหลักศิลาที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ลงสู่ใจกลางทัพศัตรู ที่บุกเข้ามา
ใช้หมัดลำแสง กำราบอัศวินสวรรค์รอบๆจนสิ้น อัครเทวดาแห่งนมัสการ สาดขี้เถ้ากำยานใส่

แม้จะกางเกราะอนุภาคป้องกันไว้ แต่ละอองขี้เถ้าสามารถเล็ดลอดเข้าไปลุกไหม้ ร่างของเฟนท์ ได้
และลุกโหมขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามดับไฟแค่ไหนจะทุบจะตีอย่างไรไฟจากขี้เถ้ายังคงลุกไหม้
ราวกับจะไม่หยุดจนกว่าร่างของเขาจะไหม้เป็นจุล

/Krustallos Rod/
เสียงจักรกลดังกังวาล จากคฑาช่อดอกไม้ของ เอลิต้า หนึ่งสามสาววอลคีรีเออร์คนสนิทของเซน่า
ประกายแสงอนุภาค สีเขียวโปรยปรายลงอาบร่างของ เฟนท์ ไฟสวรรค์ดับสนิทอย่างน่าอัศจรรย์
แม้แต่ อัครเทวดาแห้งนมัสการก็ยังไม่เข้าใจว่า ไฟสวรรค์จากขี้เถ้ากำยาน ควรจะไม่ดับจนกว่าร่างของศัตรู
จะไหม้เป็นจุล กลับดับสนิทลงไป

“ อึ้งเลยล่ะซี้~~ ไครซิสเซอร์ของ เอลิต้าน่ะคือคฑาครัสทอลรอส แห่งวอลคีรี่อานิต้า มีพลังรักษาทุกรูปแบบ
กะอีแค่แผลไฟไหม้น่ะจิ๊บๆ เนอะ ”
ชารี่ สาวแว่นหนึ่งในสามสหาย ตามมาเยาะเย้ย ก่อนจะยิงลูกดอกอนุภาคด้วยหน้าไม้ของเธอ
เกราะป้องกันของ อัครเทวดาแห่งนมัสการ กันเอาไว้ได้ จู่ๆกลับมีการโจมตีด้วยลูกดอกหน้าไม้อนุภาค
เช่นกันจากด้านหลัง สแตกท์ นั่นเอง เขากับ อาวล์ บินจากดาบศิลาฝั่งที่ เฟนท์ ข้ามมาเพื่อตามมาสนับสนุน

“ เจ๊แว่นเนี่ยฝีมือเล็งหน้าไม้ไม่เบาเลยนะ ”
สแตกท์ แกล้งเหน็บ เธอหันมามองด้ยสายตาฉุนเฉียว

“ อย่ามาเรียกเจ๊แว่นนะยะ ฉันพึ่งจะ 18 ไล่ๆกะนายเองนะยะ ”

“ ชารี่ ระวัง! ”
ซิกนัม หนึ่งในสาวสามสหายผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ ร้องตะโกน ลูกไฟจาก อัครเทวดาแห่งพระประสงค์
กำลังตรงเข้าเล่นงานเธอ

/Beam Breaker/
เฟนท์ เข้ามาขวางไว้แล้วใช้ดาบอัลสไวเดอร์ ผ่าลูกไฟเป็นสองท่อน จังหวะนี้ ซิกนัม พุ่งเข้าประชิด
ตัวอัครเทวดาแห่งพระประสงค์ แล้วจามขวานลงบนเกราะป้องกัน มันปริร้าวในทันที
เฟนท์ ตามมาแทงดาบซ้ำลงไป เกราะป้องกันแตกทลายลง

“ เอานี้ไปกิน!! ” /Deep Lance/
อาล์ว กู่ร้องพร้อมกับพุ่งหอกจากด้านหลังของ อัครเทวดาแห่งนมัสการ วงแหวนแสงเหนือศรีษะดับวูบลง
ร่างแตกสลายเป็นแสงสว่าง

อัครเทวดาแห่งนมัสการ ใช้ขี้เถ้ากำยานจู่โจมและเช่นเคย เอลิต้า โปรยละอองแห่งการรักษาจาก คฑาของเธอ
สวนกลับจนการโจมตีของ อัครเทวดาไร้ผลไปในที่สุด

/Saber Hyperion/
ลำดาบอนุภาคสีเงิน ทอดตัวกระทบกับ เกราะป้องกันของ อัครเทวดาแห่งนมัสการ จนแตกทลายในครั้ง
เดียวก่อนจะเป่า ตัวอัครเทวดาให้หายไปกับลำแสงของดาบด้วย

“ ทุกคนปลอดภัยดีนะ ”
เรกกะ สลายคมดาบแสงแล้ว บินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง

อีกด้านหนึ่ง ณ ฝั่งตรงกันข้ามของดาบหลักศิลา ที่พวก เรกกะ สู้อยู่
การต่อกรกับ อัครเทวดาแห่งการพิพากษา ซึ่งนำกองกำลังอัศวินสวรรค์ รุกคืบฝ่ากองกำลังคุ้มกันดาบหลักศิลาฝั่งซ้าย
เป็นไปด้วยความยากลำบาก

พายุเพลิงจากคบไฟแห่งอัครเทวดา โหมกระหน่ำ กองยานรบและเหล่าเอ็กซ์เทนเดอร์ ที่เข้า
มาจู่โจม พินาศนักต่อนัก

“ ฮึ่ม เป็นแบบนี้ก็โจมตีเข้าไปไม่ได้เลยสิ ”
หลีเม่ย จิกปากด้วยความหงุดหงิด ไม่ว่าจะใช้จักรกลรับใช้ ของเธอ หรือให้ หลง กับ ผิง บุกเข้าไปก็ไม่เป็นผลทั้งนั้น
ลำพังกระสุนอนุภาคอย่างเดียวไม่อาจระคายผิวเกราะป้องกัน ของอัครเทวดา

“ หลีเม่ย หลง ผิง ฉันจะทำลายเกราะคุ้มกันของศัตรูเอง พวกเธอช่วยจัดการปิดท้ายให้ทีนะ ”
ฮายาเตะ อาสาพร้อมกับ ประกอบดาบเข้ากับโล่เตรียมใช้ดาบอนุภาคยักษ์

/Saber Hyperion/
ลำแสงดาบอนุภาคสีเขียว ทอดตัวกระทบเกราะของอัครเทวดาแห่งการพิพากษาจนแตกทลายลงในหนเดียว
แต่พลังการโจมตีมีไม่มากเท่ากับ ของจริงที่เรกกะ มี อัครเทวดา จึงคงอยู่รอดปลอดภัย

ฮายาเตะ เปลี่ยนไครซิสเซอร์ของ เธอกลับคืนเป็นหนังสือสีดำ นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของ ไครซิสเซอร์
หนังสือแห่งความอาดูร(Sorrow Book) พลังของมันคือการจำลองรูปแบบและความสามารถ ไครซิสเซอร์
ของวอลคีรีเออร์ อื่นมาได้แต่พลังที่ความสามารถที่ใช้ของ อาวุธนั้นจะขึ้นกับพลังของผู้ใช้และตัวหนังสือแห่งความอาดูรเอง

รูปภาพ

“ ติดตั้ง…คฑา ครัสทอลรอส ” /Krustallos Rod Set Up!/
หนังสือแห่งความอาดูร เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็น คฑาช่อดอกไม้เหมือนกับ คฑาครัสทอลรอส ของเอลิต้า
ไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่มีสีคฑาเป็นสีดำทั้งด้าม

ฮายาเตะ ใช้มันโปรยละอองแห่งการรักษาดับพายุเพลิงที่ห้อมล้อม อัครเทวดาแห่งการพิพากษา
หลีเม่ย ส่งจักรกลรับใช้ ของเธอเข้าไประดมยิงกระสุนอนุภาคทันที ผิง ตั้งคันธนูเล็งยิงแล้ว
และ หลง พุ่งเข้าประชิดตัว อัครเทวดา พร้อมกับใช้กรงเล็บฉีกกระชากปีกออกไม่ให้ อัครเทวดา หนี
ต่อไปได้อีก ศรอนุภาค พุ่งปักคาอก

หลีเม่ย ลอยเข้ามาใกล้แล้วเหวี่ยงพัดเหล็กของเธอ ควงติ้วบั่นร่างของ อัครเทวดา เป็นส่องท่อนวงแหวนแสงดับ
วูบลงพร้อมกับบการดับสุญของร่าง

เฟนท์ , เรกกะ ทั้งสองประดาบกับจอมทัพสวรค์ โดยมีการยิงสนับสนุนจาก แสตกท์ และ ชารี่
ซิกนัม และ อาล์ว พยายามจะตามเข้าไปช่วยแต่ทั้งสองตามความเร็วของ จอมทัพสวรรค์ ไม่ทัน
กระนั้นพวกที่ยิงสนับสนุนจากวงนอก ก็เล็งไม่ถูกตัวอยู่ดี จึงมีเพียง เรกกะ กับ เฟนท์ เท่านั้นที่สู้ประชิดตัวกับ
จอมทัพ ได้อย่างสูสี

ด้านจอมทัพสวรรค์ เห็นว่าฝ่ายตนเสียเปรียบอีกทั้ง อัครเทวดาที่ลงมาต่อสู่นอกจากตนแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
ทัพอัศวินสวรรค์ ที่บุกลงมาทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำถอยหลักกันอยู่แล้ว

จอมทัพงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา ท่านทิ้งห่างระยะจาก เรกกะ กับเฟนท์ ไปประมาณหนึ่งเมตร
สยายแผ่นปีกของท่านออกกว้าง พร้อมเหยียดแขนทั้งสองออกด้านข้างสุดแขน
จอมทัพหมุนตัวควงสว่านเสียสองรอบ แผ่นปีกเหวี่ยงไปตามการเคลื่นไหวของร่าง แรงเหวี่ยงของปีก
ช่วยสลัดให้ขนปีกหลุดออก ขนปีกเหล่านั้นไซร้เมื่อหลุดออกกลับเป็นดั่งคมดาบแสง
กระจายตัวเข้าระรานศัตรู ผู้ใดที่ถูกขนปีกเสียบปักติดกับร่าง จะถูกกลืนหายไปกับแสงระเบิดซึ่ง
ตามมา

ขนปีก กระจายไปทั่วทั้งสนามรบบรรดา เอ็กซ์เทนเดอร์ ที่แม้จะกลางกำแพงอนุภาคป้องกันไว้แล้ว
ยังมิแคล้ว ถูกกลืนหายไปกับแสงระเบิดของขนปีก ที่กระทบเข้ากับกำแพง

ความเสียหายฝ่ายมนุษย์มากเกินคณานับ ยานรบเกือบทุกกองยาน พังพินาศสิ้น แม้แต่กองกำลังที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่จอมทัพสวรรค์โจมตีมา ยังพังพินาศไปตามๆกัน

เหล่า วอลคีรีเออร์ ต่างเสียหายกันไม่น้อย โดยเฉพาะ อาลว์ สแตกท์ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า
ทุกคนบาดเจ็บหนักเกินกว่าจะขยับเขยื้อนตัวได้

บนยานพอลลิดัส คนที่อยู่ในยานตอนนี้ คือ เอมิล ,ซาน ,ไรด์ ,ไอ ,เมอร์อาร์เน่ และ สเวน
ทุกคนพากันตื่นตระหนกกับแรงสะเทือนที่เขย่าทั้งลำยานได้ จากจุดที่กองกำลังของพวกเขา
ประจำอยู่ ได้รับความเสียหายน้อยที่สุดถึงอย่างนั้น มันก็ข่มขวัญกำลังใจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี


“ แรงสะเทือนตะกี๊มันมาจากไหนน่ะ ”
เมอร์อาร์เน่ ถาม ซานกับไรด์ ซึ่งนั่งประจำที่ต้นหนเรือทั้งสองคน เร่งมือหาสาเหตุทันที
และส่งมันขึ้นจอมอนิเตอร์ยาน ภาพความเสียหายของกองกำลัง บั่นทอนขวัญและกำลังใจพวกเขาไปมากทีเดียว
นอกจากกองกำลังของพวกเขาแล้วหน่วยอื่นที่กระจายกันไปคุ้มกันดาบหลักศิลา เละเทะพังพินาศหมดแล้ว
หนำซ้ำ ดาบหลักศิลา 3 ใน7เล่ม ยังชำรุดเสียหายไปพร้อมกับโจมตีเมื่อครู่

พื้นที่คละคลุ้งด้วยละอองอนุภาคหดตัวลงอย่างรวเร็ว ตอนนี้เหลือรัศมีรอบ ป้อมปราการ ไม่เกิน 1 กิโลเมตรแล้ว
กองยานรบ ต้องถอยเข้ามาเบียดเสียดกันเพราะพื้นที่ลดลงไปเรื่อยๆ สาเหตุทั้งหมดไม่ได้
มาจากการที่ดาบหลักศิลาถูกทำลายจนชำรุดเสียหายเพียงอย่างเดียว แต่ ราชาฟ ที่อยู่ใน
หอคอยควบคุมของ ป้อมปราการ ใกล้จะหมดแรงเต็มแก่ เธอไม่อาจทรงตัวยืนไว้ได้อีกต่อไป
แต่มือของเธอยังคงจับไมค์และไม่หยุดร้อง มาธิอัส เห็นว่ามันถึงขีดจำกัดแล้ว แต่การคำนวณระยะทางยัง
ไม่เสร็จดีเขาจึงคิดจะทำอะไรบางอย่าง

/จากช่องสัญญาณ 348 ประกาศปรับแผนการณืรบใหม่ ของให้ ทุกหน่วยที่ยังเหลือรอด แปรขบวนแถวเป็นแนวกระดานตอนเรียงหนึ่ง ตั้งเป็นชั้นกำแพงหน้า เกท /

คำสั่งของมาธิอัส ถูกส่งผ่านช่องสัญญาณ กองยานและหน่วยเอ็กซ์เทนเดอร์ เริ่มปรับรูปขบวนอีกครั้ง
โดยตั้งแนวรบเป็นกำแพงกระจุกกันอยู่ข้างหน้า เกท

หลังจากแนวรบเป็นขบวนขึ้นมาใหม่แล้ว มาธิอัส ทำการปรับค่าสนามอนุภาคที่เกทปล่อยออกมา ให้ลด
เหลือแค่ด้านหน้าเท่าที่กองกำลังอยู่เท่านั้น เพื่อประหยัดพลังงานของ เกท ให้ยังคงทำงานต่อไปได้

“ หลง ผิง พวกเธอไปช่วยคนที่ยังเหลือรอดซะ ”
หลีเม่ย สั่งให้ผู้ติดตามชาย-หญิงออกไปพาคนที่ยังรอดชีวิตจาก การโจมตีของ จอมทัพ
ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็น มีริ้วรอยแห่งความเครียดเจือขึ้นมา

จอมทัพสวรรค์ ย้ายกายา มาอยู่หน้าทัพมนุษย์ที่มากระจุกตัวกันอย่างแน่นหนา เตรียมจะสลัดขนปีกอีกครั้ง
หวังกวาดล้างในคราเดียว

“ ไม่ยอมใหทำได้หรอกน่า ”
เรกกะ กู่ร้องมาแต่ไกล พร้อมกับยิงกระสุนอนุภาค แต่เกราะป้องกันของจอมทัพ สามารถต้านทานไว้ได้
จอมทัพกระชับดาบคู่ในมือไว้มั่น พุ่งเข้าประดาบกับ เรกกะ

/Positron/
หมัดลำแสงของ เฟนท์ กระทบเข้ากับ เกราะอย่างจังแต่ยังไม่อาจสร้างริ้วรอยให้ได้แม้แต่น้อย
จอมทัพ กระพือปีกสลัดขนปีกจำนวนหนึ่งใส่ เฟนท์ ชักดาบอัลสไวเดอร์ ที่เหน็บหลังออกมา
หวดพวกมันทิ้งไป

จอมทัพ รับมือกับพวกเขาได้อย่างสูสี เรกกะ ที่เคยเป็นฝ่ายบุกเข้าหา ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายตั้งรับ
ดาบคู่อย่างเดียว โล่อาร์วาค แม้จะมีอนุภาคอิออน เป็นกำแพงป้องกันให้อีกชั้น ยังถูกฟันจนเกิดริ้วรอย

“ นภารุ่งสาง ” /Akatsuki no Sora/
ลำแสงอนุภาคสีทองห้าเส้น ปะทะเข้ากับเกราะป้องกันจอมทัพอย่างจัง
เซน่า บินเข้ามาช่วยสนับสนุน พร้อมกับ พรายด์ และ โครโน่


“ แปดเทพเจ้าสายฟ้ากัมปนาท ”/Yakusa no Ikadzuchi/
พรายด์ ตั้งลำดาบแคนเบลดทั้งสองแล้วยิงลำแสงสายฟ้า แม้เกราะป้องกันจะทานไว้ได้
แต่แรงปะทะก็ส่งให้ร่างของจอมทัพกระเด็นออกไป

“ อีก 10 นาทีจะทำตามแผนการณืขั้นสุดท้ายแล้วต้องกันเจ้านั่นออกไปก่อน.. ”
โครโน่ แจ้งพร้อมกับชี้ไปที่ จอมทัพทว่าไม่ทันที่เขาจะอธิบายจบ พายุขนปีกจำนวนมหาศาล
ได้ลอยมาหาพวกเขาแล้ว

เรกกะ ตั้งโล่อาร์วาคขึ้นป้องกัน แต่เพียงขนปีกสองสามขนเท่านั้น กำแพงป้องกันระเบิดไม่มีชิ้นดี
โล่ไม่อาจป้องกันเขาได้อีกต่อไป ตัวโล่ถูกระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแตกละเอียดในที่สุด

พายุขนปีกระเบิดลั่นสนันในความมืดมิด หลังการระเบิด ทั้ง เซน่า พรายด์ และ โครโน่ ต่างหมดสภาพ
ชุดเกราะฉีกขาดและอาวุธชำรุดเสียหาย เลือดไหลอาบจากแผดบาลชโลมกาย
กันทุกคน ยิ่ง เรกกะ ที่รับหน้าก่อนใครเพื่อน นอกจากจะเสีย โล่อาร์วาค

ตอนนี้ ชุดเกราะของเขาชำรุดจนดูไม่เป็นชุดเกราะไปแล้ว ปีกสีแดงสดขาดวิ่น สะพายแล่ง
หน้าผากอาบชะโลมด้วยเลือดสีแดงสด สัมผัสทั้งร่างกายด้านชาไปชั่วขณะ สายตาของเขามองเห็นเพียง เฟนท์
ที่ไม่ได้ตกเป็นเหยื่อการโจมตี ซัดเอาเป็นเอาตายกับ จอมทัพสวรรค์เพียงลำพัง

ไร้ผล เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง หมัดลำแสงของเขา เจาะไม่เข้าหรือแม้แต่จะทำให้เกิดริ้วรอย
บนเกราะป้องกันของ จอมทัพเลย ยิ่งสู้แบบเอาตัวเข้าแลกนานไป มีแต่บาดแผลของเขาจะเพิ่มขึ้น
ดาบของจอมทัพ ปาดชิมโลหิตและทิ้งบาดแผล มากมายไว้ ดาบอัลสไวเดอร์ทั้งใหญ่และหนักอึ้ง
กลายเป็นส่วนเกะกะสำหรับการต่อสู้

ไม่ว่าเหวี่ยงดาบซักกี่หนจอมทัพ จะเอี้ยวตัวหลบได้หมด ความหวังเพียงหนึ่งเดียวคือ หวดดาบให้โดน
เกราะป้องกันก็ยังดี เพราะความสามารถ Beam Breaker ของอัลสไวเดอร์ เท่านั้นที่แหวกเกราะ
ทรงอานุภาพของ จอมทัพสวรรค์ได้ แต่ก็เป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ ร่างกายของเขาที่เคลื่อนไหวช้าลง
จากบาดแผล แม้แต่จะเข้าประชิดยังยากลำบาก

จอมทัพสู้เหมือนกับเล่นสนุก นั่นทำให้เขาโมโหและอยากจะตั๊นหน้าขึ้นไปอีก
แต่จะทำยังไงเล่า ความเร็วของเขาตามไม่ทันเลย

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว เฟนท์ หยุดเคลื่อนไหวตามหรือแม้แต่จะหลบหลีกการฟันด้วยดาบ
เขาหยุดนิ่งและตั้งท่าแต่จะชกหมัดลำแสงออกไป

จอมทัพคิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปสู้ระยะไกลแทน จึงไม่ทันระวัง บินเข้าประชิดตัว หารู้ไม่ว่านี้คือแผน
ดาบคู่เสียบทะลุช่วงท้องกับไหล่ซ้าย เฟนท์ กระอักออกมาเป็นเลือด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดหนี
ดาบอัลสไวเดอร์ เงื้อขึ้นเตรียมจะฟาด

จอมทัพ กระวนกระวายจะชักดาบออกแต่ เฟนท์ ใช้มือซ้ายจับดาบเอาไว้ ไม่ให้หลุด
อัลสไวเดอร์ ปะทะเข้ากับเกราะ สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบ ดาบเปลี่ยนเป็นสีเงินและเปล่งประกายยิ่งขึ้นจากอนุภาคที่
กระจุกเกาะติดกับคมดาบ

“ แหลก….ไปซะ!!!!! ” /Beam Breaker/
วินาทีนี้ จอมทัพสวรรค์ตัดใจทิ้งดาบของตน และถอยออกมาแต่ดาบของเฟนท์ หวดเกราะป้องกัน
จนปริร้าว แต่ยังไม่อาจทำลายมันลงได้

จอมทัพขมวดคิ้วและจิกปากเจ็บใจ ก่อนจะแผ่สยายแผ่นปีกออกแล้วสลัดขนปีกใส่
เฟนท์ หายไปกับ แสงระเบิดครู่หนึ่ง โดยที่ดาบอัลสไวเดอร์ หลุดกระเด็นจากมือ
ร่างโชกเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผล ลอยแน่นิ่งในความมืดมิด


ที่พอลลิดัส ภาพความพ่ายแพ้ของ เฟนท์ ถูกจับตามองโดยลูกเรือทั้งยาน ไอ เรียกชื่อของเขาทั้งน้ำตา
ไม่มีใครพูดออก ขวัญและกำลังใจของพวกเขาถูกบั่นทอนลงไป เมื่อสองหัวหอกหลัก พ่ายแพ้ไปแล้ว

“ เฟนท์!! ลืมตาสิ……เฟนท์ ”
น้ำเสียง ไอ สั่นเครือด้วยความกังวล และโศกเศร้าระทม ระหว่างนั้น ซาน เดินเข้ามา
หาและมอบสิ่งหนึ่งให้ มันเป็นเครื่องไครซิสเซอร์ รุ่นเก่าที่เธอเคยใช้ เมื่อ 2 ปีก่อน
ไอ มองตาเธออย่าง งงๆ ซาน ยิ้มตอบเธอเงียบๆ

“ จะไปไม่ใช่เหรอ…ตอนนี้เขาต้องการให้ใครซักคนไปอยู่เคียงข้าง…นี่ล่ะสังหรณ์ของพี่สาวอย่างฉัน ”
ไอ เข้าใจในทันทีเธอกล่าวขอบคุณ แล้วออกจากห้องไปทันที

“ ให้ตายสิ ฉันยังไม่ได้อนุญาติเลยนะ..สเวน นายเองก็ตามไปคุ้มครองทีฝากด้วยล่ะ ”
เมอร์อาร์เน่ สั่งเสียงเรียบ สเวน ยิ้มแห้งๆรับคำแล้วเดินตามออกไปอีกคน

“ ที่ว่าเป็นสังหรณ์ของพี่สาวเนี่ย เรื่องจริงเหรอ? ”
เอมิล ถามขณะที่ย้ายจากที่นั่งผู้ช่วยนักบินไปที่นั่งควบคุมอาวุธแทน ไอ

“ มีจริงซะที่ไหนเล่า..แค่อยากให้ตาทึ่มนั่นได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาซักที อีกอย่างได้ ไอเป้นน้องสะใภ้
ก็ไม่เลวหรอกนะว่าไหม ”

ระหว่างที่กำลังคุยเล่นกันอยู่นั้น ก็มีสัญญาณต่อเข้ามาถึงยาน ซาน เดินกลับไปที่นั่งและต่อสายสัญญาณนั้น

/ถึงพอลลิดัส นี่เป็นข้อความจาก มาเรียลูส ประธานสหพันธ์โลก…../

……………………………………………………………
…………………
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ เม.ย. 16, 2011 8:45 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ เม.ย. 16, 2011 8:45 pm

ภายใน ห้องควบคุมเกท ราชาฟ หยุดร้องเพลงแล้วเธอหมดสติไปกลางคน ถึงอย่างนั้นตอนนี้เกท ก็มีพลังงานพอจะ
คงสภาพสนามอนุภาคได้อีกซักพัก มาธิอัส แบกร่างของเธอให้นอนลงบนเก้าอี้ที่เอามาต่อกันต่างเตียง
และกลับไปจัดการแท่นควบคุมต่อ

/การคำนวณเสร็จสิ้น/

“ แจ๋ว ที่เหลือก็เคลียเส้นทางแล้วเริ่มเลย ”
มาธิอัส พูดพร้อมกับเตรียมจะต่อสัญญาณเพื่ออกคำสั่งต่อไป แต่เกิดแรงสะเทือน ขึ้นมาจนชะงักไปกลาง
คัน เมื่อมองผ่านจอมอนิเตอร์ ดาบหลักศิลา ที่เหลืออีกเพียง 4 เล่ม ถูกโจมตีโดยกองทัพอัศวินสวรรค์
โดยมีเล่มหนึ่ง ที่จอมทัพสวรรค์ลงมือเอง ดาบศิลาเล่มนั้น แหลกเป็นชิ้นๆในพริบตานี่คือสาเหตุของความสั่นสะเทือน
แต่ไม่มีเวลาจะกระจายพื้นที่อนุภาคแล้วให้กองยานไปจัดการ ทุกอย่างขึ้นกับความเร็วในการเดินหน้าแผนสุดท้ายเท่านั้น
มาธิอัส ต่อช่องสัญญารแล้วเริ่มประกาศ

/ทุกหน่วยหน้าเกท ขอให้ทำการโจมตีเพื่อเคลียเส้นทางด้วยเราจะเริ่มแผนการณ์ขั้นสุดท้ายแล้ว/


“ ได้เวลาแล้วสินะ ”
ลอว์เรนซ์ ในร่างทาลิวิลย่า ตั้งดาบมาคายาเดีย ขึ้น กองยานทั้งหมดเปิดกระบอกปืน และเตรียมประจุ
พลังงานปืนหลัก

จอมทัพสวรรค์สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวแปลกๆจึงส่งกำลังผลทั้งหมดที่ ทำการจู่โจมดาบหลักศิลา ขึ้น
ไปตีกระนาบกองกำลัง ด้วยการโจมตีจากด้านข้าง ทำให้ทัพฝ่ายมนุษย์ ที่เตรียมการโจมตีเพื่อกวาดล้างด้านอย่าง
เดียวไม่ทันตั้งรับ

“ บ้าจริงมันรู้ตัวเหรอเนี่ย ”
มาธิอัส สบถขบวนรบเริ่มสะเปะสะปะและทำท่าจะแตกฮือในอีกไม่ช้า แต่แล้วกลับมีกองยานไม่ปรากฏฝ่าย
และหุ่นรบนับสิบนับร้อย ขึ้นมาโรมรัน กับเหล่าอัศวินสวรรค์

“ ยานรบเหรอ? แถมยังอยู่ในกินนัมกาแก็บโดยไม่ต้องมีอนุภาคด้วย แล้วยังเกเซอร์(Gazor)พวกนั้นอีก ”

เกเซอร์ คือคำที่ใช้เรียกรวมๆของหุ่นรบแรกเริ่มมันถูกพัฒนาโดยประเทศ บริทเทเนอร์ ต่อมาได้กลายเป็น
อาวุธที่แพร่หลายและมีใช้กันมาที่สุดในหมู่สหพันโลก ว่าแล้ว ยานรบที่มาช่วยเหล่านั้น
ยังมีตราของสหพันโลกอีกด้วย มีสายการติดต่อหนึ่งเข้ามา มาธิอัส เปิดมันด้วยความสงสัย

/ถึง หอบัญชาการพวกเราคือหน่วยสหพันโลก เรามีความประสงค์จะช่วยเหลือท่านในการรบครั้งี้โปรดแจ้งรายละเอียดแผนการณ์ด้วย/

“ องค์หญิง มาเรียลูส…ทำไมถึงทราบเรื่องการรบที่นี่ได้ล่ะแล้วยังขึ้นมาถึงนี่ได้อีก ”

ผู้ติดต่อเข้ามาคือ มาเรียลูสผู้นำแห่งสหราชอาณาจักร อาริมาเทียและยังเป็นองคประธานฝ่ายสูงของสหพันโลก
ที่เขาและพวก เรกกะ เคยขอความช่วยเหลือไปนั่นเอง

/ไม่ใช่แค่สหพันโลกหรอกนะ แต่ฝ่ายสหประชาคมโลก ก็มาร่วมทัพกับพวกเราด้วยเช่นกัน ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีที่
ในความโชคร้ายล่ะนะ ตอนนี้บนแผ่นดิน เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเต็มไปหมด ทุกอย่างแทบจะลอยในอากาศ
ได้แบบไม่มีเหตุผลเลย นั่นทำให้เราเอา ยานรบลอยลำขึ้นมานี่ได้น่ะ/

“ งี้นี่เอง หลุมดำที่พวกเทวทูตใช้เป็นทางผ่านส่งผลกระทบกับแรงดึงดูดของเทอร่าด้วยสินะ แต่ว่าอากาศบนนี้มันโคตรจะซุปเปอร์เย็นเลยไม่ใช่เหรอ แล้วอยู่กันยังไงเนี่ยองค์หญิง ”

/อาริมาเทียเราวิจัยมังกรเป็นงานหลักน้า~~กับพวกที่ไวต่อสิ่งเร้าอุณหภูมิเป็นเรื่องสำคัญ ประเทศเราจึงมีเครื่องปรับอากาศคุณภาพดีเป็นสินค้าส่งออกไงล่ะ อากาศหนาวแค่เนี้ยสบายบรื๋อ ทั้ง เกเซอร์ทั้งยานรบติดกัน
แบบฟูลออฟชั่น/

“ แหมเวลาแบบนี้ยังมาโฆษณากันอีกเอาเถอะเดี๋ยวกระหม่อมจะส่ง แผนการร์รบไปให้ฝากเจ้าหญิงกระจายต่อพวกที่มาใหม่ทีละกันขอรับ ”
มาธิอัส พูดอย่างสบายใจขึ้น พร้อมกับส่งไฟล์ข้อมูลรายละเอียดไปที่ยานของ องค์หญิง
จากนั้นจึงเปิดช่องสัญญาณ 348 อีกครั้ง

/เอาล่ะทุกหน่วยหน้าเกท เตรียมการกวาดล้างอีกครั้ง ตอนนี้เรามีกำลังหนุนจาก สหประชาคมและสหพันโลกอย่าให้
โอกาสดีแบบนี้เสียไปได้/

ที่หน้าเกท หลีเม่ย กำลังเตรียมตัวใช้ ไครซิสเซอร์ของเธอ ทำการกวาดล้างตามแผนการณ์ร่วมกับยานรบอื่นๆ

“ หลีเม่ย ฉันจะช่วยอีกแรงนะ ”
ฮายาเตะ บินตามมาสมทบ และคืนสภาพไครซิสเซอร์กลับเป็นหนังสือแห่งความอาดูรอีกครั้ง
ก่อนจะเลียนแบบ ไครซิสเซอร์ของ หลีเม่ย หนังสือแยกออกเป็น พัดและ จักรกลรับใช้ สีดำสี่เครื่อง

“ ถ้างั้นมายิงพร้อมๆกันเลย ”
หลีเม่ย ตอบเสียงเรียบ จักรกลรับใช้ ทั้ง 8 เครื่องเรียงตัวเป็นวงล้อมและเริ่มประจุอนุภาคสีเขียวไว้ข้างในวง

“ ยิง!!!!! ” /Extream Charge/

ลำอนุภาคขนาดใหญ่ ทอดตัวออกไปพร้อมๆกับ ลำแสงปืนใหญ่ และมิสไซล์จากกองยาน

รูปภาพ

กองทัพทูตสวรรค์ ซึ่งกระจุกตัวขวางเส้นทาง แม้จะกางเกราะป้องกันไว้ แต่ก็ถูกพัดหายไปกับแสงสว่าง
เส้นทางจาก ป้อมปราการถึงหลุมดำ โล่งสะดวกแล้ว ลอว์เรนซ์ สยายปีกพุ่งจากหอคอย มาอยู่ข้างหน้า
กองยาน

“ ไปเลย! มาคายาเดีย ไปเป็นสะพานให้พวกเรา ไปให้ถึงพระเจ้า…..ดาบแห่งคำอธิษฐาน!!! ”

ดาบมาคายาเดีย เปล่งแสงและยื่นยาวออกไป ทุกคนในกองกำลัง ต่างภาวนาด้วยหัวใจ
ความรู้สึกที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกันถูกส่งต่อให้กับ มาคายาเดีย และกลายเป็นความยาวของดาบ

…………………..

ห่างออกไปจากเกท ร่างทรุดโทรมของ เฟนท์ ลอยเคว้งกลางวงล้อมอัศวินสวรรค์ ฉีกปากเตรียมจะ
ขย้ำไม่ให้เหลือซากนั้นเอง

“ ออกไปให้พ้นจากตรงนั้นนะเจ้าพวกบ้า! ” /Apollo Coffin/

กระสุนอนุภาคสีเขียวนับพันๆลูก ลอยทะลุร่างอัศวินสวรรค์ โดยมีการควบคุมลูกกระสุน ไม่ได้พุ่งเป็นทางตรงแต่
วิ่งชนใส่กองทัพอัศวินสวรรค์ จนแดกฮือ ไอ ในชุดวอลคีรีเออร์ ของซาน วอลคีรีเออร์แห่ง แดนนิล่า โผเข้ากอดร่าง
ชุ่มเลือดของ เฟนท์ เอาไว้ โดยมี สเวนตามมาคุ้มกัน


รูปภาพ รูปภาพ


“ เฟนท์ ฉันมารับเธอแล้วเรากลับไปที่ยานกันเถอะ ”

“ อ…ไอ เหรอ ”

เฟนท์ พูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา ดวงตาของเขาพร่าเลือนทำให้มองเห็นไม่ชัด

“ อืม..ฉันเองทำใจดีๆไว้นะ ฉันรีบพานายไปรักษาที่ยานเดี๋ยวนี้ล่ะ ”

“ ย…อย่า…อย่าพึ่งพากลับไป… ”
เฟนท์ ใช้มือขวาแตะที่ไหล่ของเธอ เป็นการปรามให้หยุด

“ แผลนั่นถ้าไม่รีบรักษาล่ะก็ ”
“ ไอ..ช่วยฟังคำขอร้องของฉัน…หน่อย..อัก ”

เฟนท์ กระอักแขนซ้ายกระตุกนิดหน่อย เหมือนเขาขะพยายายามขยับมันแต่ไม่ได้ผล แผลจากไหล่ซ้าย
ที่ถูกแทงและดาบยังคงฝังอยู่ ทำให้เอ็นแขนซ้ายไม่ขยับ ยิ่งฝืนมาก เลือดก็พาลจะไหลไม่หยุด

“ พอเถอะ เดี๋ยวจะยิ่งเสียเลือดนะ ”
ไอ พยายามห้าม

“ ถ้างั้น ไอ….เธอช่วย..แค่ก จับแขนขวาฉัน…ที..อ่อก ”
เขายื่นแขนขวาที่ยังขยับได้แบบไม่มีแรง ไอ จับมันไว้ตามที่บอก

“ ทีนี้เล็งมัน….ไปที่ไอ้เจ้าของดาบ…ที่แทงฉันที ”
“ นี่เธอคิดจะทำอะไรกันเนี่ย เฟนท์ ”
“ …ก็จะ…ซัดมันน่ะสิ…ขอร้องล่ะ ”

ไอ เข้าใจและรู้ว่าเฟนท์ ต้องการจะทำอะไร แต่การเสี่ยงแบบนั้นผลที่เกิดตามมา อาจทำให้เขาตายได้ เธออยากปฏิเสธ
แต่ก็ปฏิเสธสีหน้าอ้อนวอนของ ชายที่รักไม่ได้

“ เข้าใจแล้วฉันจะเป็นตาให้เธอเอ็งแต่….สัญญานะว่าจะไม่ตายน่ะ ”
“ อืม… ”

…………………………….

“ ไปให้ถึงพระเจ้าเลย มาคายาเดีย!!! ”
ลอว์เรนซ์ กู่ร้องปลุกใจ ดาบมาคายาเดีย ยืดออกไปจนเกือบจะถึงหลุมดำแล้ว ทว่า จอมทัพสวรรค์ เอาตัวเข้ามาขวางไว้
แสงของดาบไม่อาจผ่านเกราะป้องกันของ จอมทัพ ไปได้

“ บ้าจริง! ขืนเป็นแบบนี้พลังไม่พอแน่ ”
ลอว์เรนซ์ สบถแต่ตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องจับมาคายาเดีย

“ ฉันจะไปเอามันออกเอง ”
ซาราเบลด พุ่งออกมา ดาบมุรามาซะ ถูกย้อมด้วยแสงอนุภาคจนเป็นสีแดง

“ ….มืดมิดยิ่งกว่าราตรี ลึกล้ำกว่าค่ำคืน ข้าแต่มหาราชแห่งมารร้าย และเพลิงล้างบาปที่เผาผลาญ เอ๋ย จงมาเป็นแรงพลังให้ข้าเผาพลาญคนบาปให้สิ้นไป… ดาบปราบมาร มุรามาซะ กระบรวนท่าสยบมังกร ดราก้อนสลาฟ ” /Dragon Slave/

ดาบกลายเป็นลูกไฟดวงยักษ์ ซาราเบลด ทุ่มมันใส่ เกราะป้องกันเต็มแรง กระนั้นยังไม่สะเทือนอะไรอยู่ดี
กองยานและ วอลคีรีเออร์ คนอื่นตามมายิงสนับสนุนบ้างแต่ไร้ผล มี่การโจมตีใดๆ ฝ่าเกราะป้องกันอันปข็งแกร่งไปได้

/Plasma/
กระสุนอนุภาคสีเงินลอยมากระทบ เกราะป้องกัน เรกกะ บินอ้อมมาจากด้านบนและกระหน่ำยิง
ใส่รอยร้าวของเกราะที่ เฟนท์ สร้างไว้ ด้วยความกังวลว่าเกราะจะทนไม่ไหว จอมทัพสวรรค์ สลัดขนปีก
ใส่ ในจำนวนที่น้อย เรกกะ จึงหลบมันได้ ซึ่งจอมทัพจะเสียสมาธิไปกับการโจมตีมากกว่านี้ไม่ได้อีก

เพื่อคงสภาพเกราะป้องกันให้รับการโจมตีได้ทุกทาง จอมทัพตั้งจิตมั่น สภาพของเกราะมั่นคงขึ้นและ
แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน แม้แต่แสงดาบคำอธิษฐาน ยังสะท้อนออกมา

เรกกะ ยังกระหน่ำยิงโดยไม่ย่อท้อ แต่ความพยายามนั้นเหมือนจะไร้ผล เพราะขาดโล่อาร์วาคไปทำให้
ไม่สามารถใช้ Saber Hyperion ได้ลำพังดาบอัลสวิน ก็ไม่มีพลังพอจะทะลวงเกราะของอัครเทวดา
หนทางแห่งความหวังดูจะริบหรี่เต็มที

“ ไม่ไหวแค่ดาบเล่มเดียวพลังมันไม่พอจบแล้ว….จบสิ้นแล้ว ”

/เจ้าบ้า! อย่าถอดใจง่ายๆนะ…อั่ก/
เสียงดังมาจากข้างบนเหนือหัวของเขา เป็นเสียงของเฟนท์ เรกกะ แหงนหน้ามอง
เสียงนั่นมาจากดาบอัลสไวเดอร์ ซึ่งมันหลุดจากมือ เฟนท์ หลังจากเข้าปะทะกับจอมทัพ
และมันได้ลอยมาอยู่ใกล้กับเขาพอดี

/ถ้าเล่มเดียวไม่พอ ก็ใช้ 2 เล่มสิเอาของฉันไปใช้เลย/

เพราะดาบอัลสไวเดอร์ มาอยู่ตรงนี้พอดีจึงทำให้ เฟนท์ ได้ยินคำพูดของเรกกะ และพยายาม
เตือนสติ เรกกะ รับดาบมาตอนนี้เขามีพลังของ เฟนท์ คอยหนุนด้วยอีกแรง สายตาแห่งความมั่นใจปรากฏ
ขึ้นแทนที่ความกังวลและสิ้นหวัง

เรกกะ ทะลายตัวลงไปอย่างรวดเร็ว มือขวาลั่นไกยิงกระสุนอนุภาคไม่ให้ขาด เมื่อมาถึงระยะดาบ
เรกกะ แทงอัลสไวเดอร์ ของเฟนท์ ลงไปในรอยร้าว และใช้อัลสวินของเขา ทุบแทงลงไปตามรอยแยกที่ปริออก

/Beam Breaker/
เรกกะ ออกแรงกดดาบอัลสไวเดอร์ โดยการปล่อยอัลสวินทิ้งไป และกดน้ำหนักลงบนดาบด้วยสองมือ
ตัวดาบเริ่มปริร้าวเช่นกันกับเกราะป้องกันของ จอมทัพ มันก็ร้าวด้วยรอยแยก
ปรากฏขึ้นรอบเกราะ เรกกะ กดดาบลงจนสุดคมดาบแตกละเอียด แต่เกราะป้องกัน
ยังไม่หายไป มือขวาคว้า อัลสวินมาปักลงไปบนรอยร้าว พร้อมกับกระหน่ำยิงกระสุนอนุภาคแบบเผาขน
เกราะเริ่มสั้นสะเทือน จอมทัพสวรรค์ ถึงกับคิ้วกระตุก เมื่อเกราะคุ้มกัน เริ่มจะบิดแตก
ทั้งแสงจากดาบคำอธิษฐาน และการโจมตีอื่นๆ ที่กระหน่ำยิงมา และกระสุนของเรกกะ ที่ยิงระยะเผาขน
เกราะใกล้จะทานไม่ไหวแล้ว

อัศวินสวรรค์ เห็นนายของตนกำลังเพรี่ยงพล้ำจะตามเข้าไปช่วย โดยการขัดขวางของ หลีเม่ย และ ฮายาเตะ
พวกมันไม่สามารถเข้าไปในเส้นทางที่ จอมทัพขว้างกั้นได้

“ มันหยุดแล้ว…ใช่ไหม ”
เฟนท์ ถามเสียงแผ่วเบาและหอบหายใจแรงขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของ ไอ ที่ประคองแขนขวา
ของเขาไว้ หมัดเหล็กถึงเริ่มประจุอนุภาคเพื่อโจมตีเต็มกำลัง แน่นอนแรงสะท้อนจากการยิง
จะสั่นสะเทือนร่างกายที่บอบช้ำอวัยวะภายในอาจจะเละเทะจนใช้การไม่ได้อีก
เป็นความเสี่ยงที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน แต่หัวใจของเขาก็ร่ำร้องที่จะต่อสู้จนถึงวาระสุดท้ายให้ได้

“ พร้อมแล้วจะยิงเมื่อไหร่ก็ได้….แต่สัญญาแล้วนะ นายห้ามหนีฉันไปไหนอีก..เข้าใจนะ ”
น้ำเสียงสั่นเครือของ ไอ ช่วยให้รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้

“ ….ฉันไม่หนีไปไหนหรอก…. ”
“ สัญญา….แล้วนะ ”
“ อืม…สาบานด้วยใจเลยล่ะ…. ”
“ เฟนท์…. ”

/Positron/
ประจุอนุภาคที่อัดรวมกันแน่นในหมัดขวาของสมิงหนุ่ม ระเบิดตัวทะยานออกไป พริบตานั้น
แรงสะท้อนของมันทำร้ายอวัยวะภายในของเขา ราวกับกล้ามเนื้อทั้งร่างจะแหลกเหลว ปอด
แทบจะแยกออกจาก ร่างกายกำลังจะฉีกเป็นชิ้น มีเพียงอ้อมกอดของ ไอ ที่ประคองไว้ไม่ให้
เขาเละกลายเป็นเศษเนื้อและเลือดซะก่อน เธอใช้ร่างกายทั้งหมดของเธอ แบ่งเบาแรงสะเทือน
ไปจากเขา

“ แค่ก….. ”
เฟนท์ สำลักเลือดออกมากองใหญ่ หลังจากหมัดอนุภาคถูกปล่อยไปหมดแล้ว กำปั้มที่เคยกำไว้แน่นคลายออก
แรงที่เคยดึงแขงขวาให้ตั้งขึ้นหายไป แขนขวาห้อยตกลงอย่างอ่อนแรง พร้อมๆกับสติที่เลือนหายไป
ทุกอย่างกลายเป็นความมืดสนิท

“ เฟนท์….เฟนท์!!!!!!! ”

……………………………………..

ในเสี้ยงวินาทีที่การตัดสินกำลังจะมาถึงนี้เอง ในหอคอยควบคุมเกท ราชาฟ ฟื้นจากความเหนื่อยอ่อน
และหยิบไมค์ ของเธอขึ้นมา

“ เฮ้ยๆ จะไหวเหรอ เธอน่ะพักต่อไปเถอะ ”
มาธิอัส พยายามจะห้าม

“ ทุกคนข้างนอกกำลังพยายามกันอยู่…..แล้วนายจะให้ฉันนอนไปถึงเมื่อไหร่กัน ”
ราชาฟ พูดเสียงแผ่วเบา ตัวเธอเองก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาดีเท่าไหร่นัก บทเพลงเริ่มขับขานอีกครั้ง
ส่งให้ เกท กลับมามีพลังสนามอนุภาคขยายตัวออกอย่างรวดเร็วครอบคลุมทั้งสนามรบ

………………….
เป็นเพราะ เพลงของ ราชาฟ ที่ทำให้สนามอนุภาคกลับมา อาวุธไครซิสเซอร์ทุกอย่างจึงมีแหล่งพลังงาน
ที่มากขึ้น ส่งให้อานุภาพการทำลายมีมากตามไปด้วย

ความมั่นใจและความทรนงของ จอมทัพสวรรค์ คือความแข็งแกร่งในเกราะป้องกันที่แข็งที่สุดเหนือบรรดาอัครเทวดา
ทุกองค์ บัดนี้ได้ปริร้าวไปตามๆกัน ทั้งการโจมตีของเรกกะ และพลังของดาบคำอธิษฐาน
แทบจะบอกได้ว่า สิ่งที่มนุษย์ใช้ต่อกรกับ เทพในตอนนี้คือพลังใจที่มีอย่างไม่รู้จักหมดพลังในการ
เอาชีวิตรอดความต้องการที่จะอยู่ต่อไปกำลังกลายเป็นพลัง เพื่อใช้ตอบโต้กับ อำนาจสวรรค์

หลังจากพยายามอยู่นานในที่สุดความพยายามที่ผ่านมาก็ส่งผล พร้อมๆกับที่ดาบอัลสวินของ เรกกะ แหลกละเอียด
ด้วยแรงสะท้อนกระสุนที่ยิงแบบเผาขน เกราะป้องกันของจอมทัพสวรรค์ แหลกกระจายเป็นชิ้นละเอียด
แรงระเบิดจากดาบอัลสวิน ส่งให้ เรกกะ กระเด็น ห่างออกจากจุดที่อยู่เดิม แสงดาบคำอธิษฐานและการโจมตี
ที่ถล่มยิงมาเข้าถึงตัวจอมทัพสวรรค์ ชุดเกราะยุทธภัณฑ์ วิเศษที่สวมอยู่บนร่างแทบจะไม่ช่วยอะไร
ยุทธภัณฑ์ทั่วทั้งร่างของจอมทัพ ฉีกขาด ลุกไหม้

และเมื่อหมัดลำแสงที่ เฟนท์ เค้นกำลังทั้งหมดยิงเข้าปะทะ ร่างของจอทัพ ปลิวกระเด็นออกนอกเส้นทาง
แสงดาบแห่งคำอธิษฐาน สามารถเดินทางต่อไปได้จนผ่านเข้าไปในหลุมดำ

แม้จะสูญเสียเกราะป้อง และยุทธภัณฑ์ ต่างๆไปจนหมด จอมทัพยังไม่คิดท้อถอย แผ่สยายแผ่นปีกออก
เตรียมจะโจมตีใส่ ลอว์เรนซื ที่จับดาบคำอธิษฐาน

“ ลอว์เอน!!!! ”
เรกกะ ที่กระเด็นไปก่อนหน้านี้ ทะยานกลับมาโดยที่ไม่มีอาวุธหรือเสื้อเกราะ ใดๆปกป้องร่างกาย
เช่นเดียวกัน มีเพียงหมัดลุ่นๆ ใช้อัดใบหน้าจนบิดเบี้ยว

“ จำใส่หัวเอาไว้ซะ… ”
เรกกะ ตะคอกพร้อมกับ แทงเข่าใส่ช่วงท้อง จอมทัพถึงกับกระอัก

“ ว่ามนุษย์… ”
หมัดขวาและซ้ายเหนี่ยวใบหน้าให้หันไปตามทิศที่ชก ถึงสองครั้ง

“ …ไม่ได้ไร้ค่า!! ”
หมัดขวาเสยปลายคาง หัวของจอมทัพตั้งเงยขึ้นอย่างรุนแรงจนคอรับน้ำหนักไม่ทัน วงแหวนแสงเหนือศรีษะดับลง
พร้อมกับลมหายใจของจอมทัพ และแสงว่างที่ตามมา

…………………………….

/ลอว์เรนซ์ ระยะทางจากตรงนี้ยังไปยังไม่ถึงส่วนที่ลึกที่สุด นายต้องดันมันเข้าไปใกล้กว่านี้/
มาธิอัส ประกาศโดยใช้ลำโพงของป้อมปราการ โดยตัวอนุภาคเป็นสื่อจึงนำเสียงแทนอากาศได้ในที่ที่ๆไม่มีอากาศ

“ ยังไม่พออีกเหรอเนี่ย ”
ลอว์เรนซ์ พยายามออกแรงสุดใจขาดดิ้นขยับดาบต่มันก็เขยื้อนไปได้ไม่ไกลจากเดิมเท่าไหร่ แรงสะท้อนของดาบมีมาก
เกินกว่าที่เขาคนเดียวจะผลักมันออกไปได้

“ โธ่เว้ย…ขยับเซ่!! ”
แม้จะออกแรงมากแค่ไหนแต่ปลายดาบก็ยังไปถึง ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่ามีใครกำลังผลักดัน
แผ่นหลังของเขา ซาราเบลดนั่นเอง และไม่ใช่แค่คนเดียว ทั้ง ฮายาเตะ ,หลีเม่ย ,หลง และ ผิง ที่ไปช่วย
พวก เซน่า กลับมาและ เซน่า ,พรายด์ , อาล์ว, สแตกท์ , ชารี่ , เอลิต้า , ซิกนัม ,ฮายาเตะ และ เอ็กเทนเดอร์
ที่เหลือรอด ทุกคนมาช่วยกันผลักกันดัน ปลายดาบเขยิบเข้าไปในหลุมที่ละเล็กทีละน้อย และในที่สุด
มันก็จะเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด ส่วนที่พระเจ้าผู้จะตัดสินทุกอย่างประทับอยู่

ทุกคนช่วยกันดันและผลัก จนด้ามดาบจ่ออยู่หน้าหลุมดำห่างไปเพียงไม่กี่มิล
แสงดาบหายไปแล้วทุกคน ต่างรอดูผลลัพธ์ด้วยใจระทึก แม้แต่อัศวินสวรรค์
ก็ยังหยุดมองดูเช่นกัน

จากหลุมดำ อัศวินสวรรค์ชุดใหม่ ผุดออกมาอีก ทุกคนถอยกลับไปตั้งลำกันใหม่
ดูเหมือนแผนการณ์จะล้มเหลวพระเจ้าไม่ประสงค์จะให้มนุษย์มีอยู่อีกต่อไป

แต่แล้ว….อัครเทวดา องค์สุดท้ายที่ไม่ได้เคลื่อนไหวใดตั้งแต่แรกเพียงแต่เฝ้าจับตามองการรบ
ลอยเข้ามาขวางไว้ระหว่างทัพมนุษย์และทัพสวรรค์ อัครเทวดาองค์นี้มี ปีกที่โดดเด่นไปด้วยสีสัน
และถือดอกลิลลี่

[จงฟังเหล่ามนุษย์เอ๋ย…..เราคือกาเบรียล เป็นผู้ถือสารของพระองค์ผู้เป็นใหญ่]
สิ่งที่ได้ยินอยู่ในขณะนี้ไม่ใช้เสียงที่ดังตามช่องวิทยุสื่อสารหรือเป็นเสียงพูดของ ตัวอัครเทวดา
แต่เป็นจิตที่พูดผ่านเข้าไปในสมองโดยตรง มนุษย์ทุกคน เทวทูตทุกองค์ จะรับรู้ได้ถึงการสื่อสารนี้

รูปภาพ
……………………………

ในระหว่างนี้ เด็กสาวกำลังผจญกับความโศกเศร้า ที่สูญเสียคนรักของเธอไป อาจจะเป็นเรื่องโหดร้ายไปซักหน่อย
ที่จะบอกว่าน้ำตาที่เธอหลั่งให้กับผู้เป็นที่รักนั้น….เสียของ

“ ไอ…นี่เธอร้องไห้อีกแล้วเหรอ ”
สมิงหนุ่ม เอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมกอดไว้แน่น
“ ตาบ้า…อย่าทำให้เป็นห่วงสิ ”
“ อ..อืมแต่ว่านะกอดแรงไปแล้วล่ะ…ถ้ายังไงดาบที่เสียบอยู่นี่… ”
เธออกแรงกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนหนุ่มเจ้าร้องครวญ

“ โอ้ยๆๆ ไอ มันเจ็บนะ…จ๊ากกก เจ๊บบบบบ!! ”
“ เงียบซะคนบ้า ”
…………………………………………………….


[พระองค์ได้ตัดสินจากการกระทำของพวกเจ้าแล้ว จากนี้ไปเราจะเป็นตัวกลางให้พวกเจ้าได้เจรจากับพระองค์โดยตรง]

คำตอบของ อัครเทวดาผู้ถือสารเป็นที่ชัดเจน พวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาปกป้องอนาคตของสนุษยชาติเอาไว้ได้
จากนั้นการเจรจาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าโดยตรงได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
จากนี้ไปพวกเขาจะมุ่งไปในทางใด คำตอบได้ชัดเจนแล้ว

…………………………………………………………….
…………………………
……………..

1 ปีต่อมา

ภายในห้องแต่งตัว บนโต๊ะกระจกเครื่องสำอางมากมายวางกองพะเนิน ไม่เป็นที่เป็นทาง สาวผมทองในชุดขาว
ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลัง พินิจพิเคราะห์การแต่งหน้าของเธออย่างถี่ถ้วน

“ นี่ งานจะเริ่มอยู่แล้วนะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก ”
หนุ่มผมแดง-ไรด์ ถามอย่างกระวนกระวาย พลางดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือของเขาเป็นระยะๆ

“ อืม…นายว่าฉันสวยพอรึยังน่ะ ”
“ แค่นี้งามหยดย้อยในสายตาเจ้า เฟนท์ มันแล้วล่ะน่า เลิกแต่งหน้าแล้วรีบไปกันเถอะ ”
“ อืม.. ”
สาวชุดขาวลุกจากโต๊ะ โดยไม่ลืมที่จะหยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวมาสวมไว้ และให้ ไรด์ จูงเธอ ออกจาห้อง

ก้าวเท้าผ่านประตูออกมา คือทางเดินเพดานโค้งภายในโบถส์ ทั้งสองเดินไปตามพรมแดงที่ปูรอไว้อยู่แล้ว
จนถึงหน้าประตูที่จะนำไปสู่ห้องใหญ่ ไรด์ ผลักประตูเข้าไป เสียงตะโกนและกู่ร้องด้วยความยินดี ดัง
ออกมาจากทุกสารทิศในห้อง ผู้คนมากมายต่างมาที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยาน ที่สุดทางเดินในห้องใหญ่
จ้าวบ่าวสมิง ในชุดสูทสีขาว รอเธอด้วยท่าทางกระวนกระวาย ไรด์ เดินไปส่งเธอ ให้กับจ้าวบ่าว

ก่อนจะเดินไปนั่งร่วมกับแขกที่เก้าอี้ด้านหน้าสุด ข้างๆเขาคือ ซาน เรกกะ ราชาฟ เซน่า ฮายาเตะ
เอมิล นอกจากนี้ คนอื่นๆก็ล้วนแต่เป็นคนคุ้นหน้า ทั้งชารี่ เอลิต้า ซิกนัม หลีเม่ย หลง ผิง

บนเวที โครโน่ แต่งชุดบาทหลวงพร้อมกับถือหนังประกอบพิธีไว้ในมือ ขณะรอ จ้าวบ่าวพาจ้าวสาว ควงแขนขึ้นมาพร้อมกัน
จากนั้นจึงเริ่มพิธี

“ เฟนท์ นีโอเวล เจ้าจะรับเธอคนนี้เป็นภรรยาหรือไม่ ”
โครโน่ เอ่ยตามพิธี

“ ครับ ”
สมิงหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ

“ เจ้าสาว ไอ เลมูเรีย ล่ะจะยอมรับจ้าวบ่าวเป็นสามี หรือไม่ ”
“ รับค่ะ ”
จ้าวสาว ตกปากรับคำทันที

“ ถ้าอย่างนั้นขอประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันนับแต่บัดนี้ มีใครจะค้านไหม ”
โครโน่ เอ่ยตามพิธีต่อ แน่ล่ะไม่มีคู่ไหนจะเหมาะสมกันเท่านี้อีกต่อไปแล้ว

“ ถ้าเช่นนั้นแล้วขอให้จ้าวบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าแล้วแลกแหวนกันได้ ”

เฟนท์ จับผ้าคลุมหน้าสีขาวเบาๆแล้วเปิดมันออกอย่างนุ่มนวลที่สุด ใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้น
คือหญิงสาวที่สวยที่สุดในโลกสำหรับเขา

ทั้งสองแลกแหวนกัน ก่อนจะสวมกอดและจุมพิต เป็นหลักฐานแห่งความรักไปชั่วนิรันด์
ท่ามกลางเสียงเชียร์อย่างออกรสของผองเพื่อนและบรรดาแขกที่มาร่วมงาน
………………………………

หลังจบมหาสงครามพิพากษาโลก นั้นเป็นจุดเริ่มต้นการติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
เทอร่า พัฒนาไปสู่ยุคใหม่ผู้คนเริ่มต้นที่จะเข้าใจกันและกัน เพื่อออกเดินทางไปสู่ กินนัมกาแก็บ ดินแดนของพระเจ้า
ในซักวัน ความขัดแย้งจึงค่อยๆหมดไป เพราะการร่วมมือและการเจรจาโดย ปราศจากอคติ ต่อกัน

- ซาราเบลด ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของ Empyrean Adjust และคอยช่วยเหลือ เมกาโทโปลิส
- เซน่าแต่งตั้งกลุ่มรัฐบาลกลางขึ้นใหม่ โดยมี โครโน่ ฮายาเตะ และ เอมิล เป็นสมาชิก
- ไรด์ ออกเดินทางตามความฟันอีกครั้งหลังงานแต่งของเฟนท์กับไอ
- เฟนท์และไอ ทั้งสองแต่งงานกันและย้ายไปอยู่ที่มิราบิลิส
- สองพี่น้องพรายด์ เอรี่ ทั้งสองกลับไปอยู่ด้วยกัน โดยยมี อาลว์และสแตกท์ เป็นครอบครัวร่วมกัน
- เมอร์อาร์เน่ และ สเวน ลาออกจากองค์กร และเข้าทำงานที่สถาบันการฑูตระหว่างมนุษย์และทูตสวรรค์
- มาธิอัส ทำงานเป็นอาจารย์สอนวิชามังกรศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแมกนัส ของอาริมาเทีย
- หลีเม่ย หลง และ ผิง ทั้งสามเปิดร้านอาหารที่ อาริมาเทีย ชื่อ แม่ยเว่ย(Meiwei)
- ชารี่ ซิกนัม และเอลิต้า ทั้งสามยังคงติดตามเซน่า ต่อไป
- สหพันโลกและ สหประชาคมโลก ยุบรวมกันในปีนั้นในชื่อใหม่คือ พันธมิตรแห่งสาธารณโลก
- เรกกะ และ ราชาฟ ทั้งสองย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ไหนซักแห่งที่ห่างไกล

-คนเปลี่ยนการเรียกสถานที่อยู่บนดาวดวงนี้จากเทอร่าเป็น โลกมนุษย์ และไม่มีใครเรียกมันว่าเทอร่าอีกต่อไป-

……………………………………………..จบบริบูรณ์…………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………….


Next Generation

ภายในความมืดมิด แสงสว่างจากไฟฉาย แกว่งไปมา โดยกลุ่มคนสองถึงสามคน กำลังติดตั้งอุปกรณ์ และเครื่องจักร
อย่างขะมักเขม้น

“ ศาสตราจารย์ครับ เราต่อสายเข้าเครื่องปั่นไฟเรียบร้อยแล้วครับ ”
“ ดี! งั้นเปิดไฟเลย ”
ทั้งห้องสว่างขึ้นด้วยแสงสีขาวจากโคมไฟโบราณแบบใช้ไฟฟ้า ซึ่งตั้งเรียกกันรายล้อมไปรอบห้อง
บนพื้นห้อง มีรอยแกะสลักเป็นรูปดาวหกแฉกสภาพภายในห้อง เกลื่อนกลาดไปด้วย อุปกรณ์ และเครื่องจักรหน้าตา
ประหลาด ซึ่งเป็นของกลุ่มนักวิจัย ทั้งสามคน โดยมี ชายแก่เป็นผู้นำและผู้ช่วยวัยกลงคนอีก 2 เป็น
ชายและหญิงอย่างละคน

“ ไฟฟ้าเข้าไปในระบบแล้วค่ะ ”
ผู้ช่วยหญิง รายงานหลังจากเธอ อ่านหน้าจอแสดงผลของ เครื่องจักรที่กำลังส่งไฟให้กับห้อง
ชายแก่ ใช้มือลูบเคราสีขาวทำท่าใช้ความคิดอยู่ซักพัก จึงลงมือกดปุ่มบนแท่นควบคุมที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง
รอยสลักดาวหกแฉกบนพื้นเรืองแสงสีเขียว ผนังห้องซึ่งเขรอะไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ กลายเป็น
จอมอนิเตอร์ แสดงภาพข้อมูลและอักขระโบราณ มากมาย
ทั้งสามมองสิ่งเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งน่าทึ่งและลึกลับ

ลำโพงในห้องส่งเสียงหวีดแหลมคล้ายเสียงลม จนพวกเขาต้องยกมือขึ้นอุดหู เสียงดังอยู่นาทีกว่าๆ
และเงียบลง

/ดิฉันคือ ระบบหลักของ เกทออฟกินนัมกาแก็บ แห่งนี้มีอะไรให้รับใช้…/
เสียงพูดจากลำโพงดังขึ้น ทั้งสามปล่อยมือที่อุดหูออกด้วยท่าทางสบายใจขึ้น
ชายแก่ เริ่มการสนทนากับ ระบบทันที

“ เราอยากจะรู้เอ่อ… ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อใช้สมองหาคำพูดที่สื่อ ออกไป

“ ..เกี่ยวอนุภาคแสงสีเขียวๆที่อยู่ในห้องเครื่องชั้นล่างมันคืออะไรเหรอ ถ้าหากเธอตอบได้ล่ะก็มันจะเป็นประโยชน์
ต่อมนุษย์อย่างพวกเราทีเดียว ละอองนั่นให้พลังงานที่สูงและมีความบริสุทธิ์ อย่างที่หาไม่ได้มาก่อน ”

/นั่นคือ….อิออนค่ะ สำหรับรายละเอียดจะส่งขึ้นที่มอนิเตอร์…/
ข้อมูลรายละเอียด ต่างๆเกี่ยวกับอิออน ผุดขึ้นมาบนมอนิเตอร์มากมาย หนึ่งในข้อมูลเหล่านั้น
มีชื่อเต็มของ อนุภาควิเศษนี้เขียนอยู่ เขาเพ่งสายตาค่อยๆอ่านชื่อของมัน

“Mystique Aeon Generatic Impracticable Controller เธอเรียกมันว่า อิออน เหรอ ”
/ค่ะผู้ใช้คนก่อนของดิฉันเรียกมันแบบนั้นและทุกๆคนก็เรียกมันอย่างนั้น/
“ ทุกคนเลยเหรอ…หมายความว่าคนในสมัยนั้นเรียกมันว่า อิออน สินะ จดบันทึกไว้ด้วยนะ ”
ชายแก่ หันไปสั่งผู้ช่วยหญิง เธอหยิบเอาสมุดพกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ ขึ้นมาและเริ่มจดทุกอย่าง

/คุณพูดว่า…คนในสมัยนั้น….หมายความว่านี่คืออนาคตหรือคะ ดิฉันหลับไปนานแค่ไหนกัน/
“ ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันเพราะนั้นคือสิ่งที่ฉันอยากจะรู้จากเธอเป็นอย่างต่อไปนะ ”
/ถ้างั้นดิฉันขอให้คุณเพิ่มเติมข้อมูล วันที่ จุดมุ่งหมายด้วยค่ะ/

“ นั่นสินะเพื่อที่เธอจะได้ทำงานสะดวกขึ้น เริ่มจากจุดมุ่งหมายของเราเลย ตอนนี้มนุษยชาติ
กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ พลังงานพวกเราเดินทางมาที่นี่ เพราะต้องการค้นหาแหล่งพลังงานใหม่
และที่นี่ก็มีมัน เจ้าเอ่อ…อิออนน่ะ แหมเรียกยากจังขอเรียกเป็น แมจิกได้ไหมเนี่ย ”

/แมจิก/

“ อืม.. M.A.G.I.C. แมจิก แปลว่าเวทมนต์ ไงล่ะเหมือนที่พลังงานนี้เป็นมันมีคุณประโยชน์มากมาย
จนน่าอัศจรรยืมันเหมือนกับเวทมนต์ นะในสายตาของตาแก่อย่างชั้นน่ะ ฮะๆๆ ”

ชายแก่ พูดติดตลกแต่ความสงสัยยังเกิดขึ้นในระบบ เหมือนว่าสิ่งที่มีข้อมูลเกี่ยวกับ เทอร่า
จะไม่ค่อยตรงกับ สิ่งที่ชายคนนี้พูด

/ยืนยันเสร็จสิ้น ดิฉันได้รับข้อมูลจุดมุ่งหมายแล้ว ขอรายละเอียดเกี่ยวกับวันที่ด้วยค่ะ เป็นปี A.K.( ANNO KYRIOS) ที่เท่าไหร่คะ/
คำถามของระบบ ทำให้ชายแก่ลูบเคราอย่างใช้ความคิดอีกครั้ง

“ เอ่อ…โลกของเราไม่ได้ใช้ศักรราชเป็น A.K.แล้วน่ะแต่เป็น A.D.(Anno Domini) เป็นปีที่ 2020 หรือถ้าเรียกตาม
พุทธศักราชนี้ก็พ.ศ.ที่ 2563 ”
/……………………………………./
ระบบไร้การตอบกลับไปครู่หนึ่ง กำลังประมวลผลจากข้อมูลของเขา

/คุณเป็นใครกัน?/
“ ผมเหรอ…กีก้าสเลฟ…ดาวินซ์ กีก้าสเลฟ…… ”
Get to Next Summoner Master VR!!

……………………………………………………………………….
…………………………..
…………..



กินนัมกาแก็บ นั้นอ้างอิงจากตำนานเทพนอร์ท มันคือจักรวาลอวกาศนั่นเองครับ ตอนแรกก็คิดๆอยู่ ว่าจะลากออกไปสู้นอกเทอร่า(โลก)เลยมันจะแหวกแนวไปรึเปล่า แต่สุดท้ายศึกใหญ่แบบนี้ก็ต้องสู้กันในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่กันหน่อย
ส่วนตอนท้ายที่เขียนเป็น GenX ต่อไปภาค VR ก็ตามนั้นครับ เพราะงั้นละอองเวทมนต์ใน Vr ถึงเป็นละอองเขียวๆ
เหมือนอิออน และของพวก เกร ถึงได้เป็นสีเงิน ตรงนี้ต้องไปตามต่อเอาใน VR Tag Turn น่อ

สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากเขียนทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเรกกะและโลกเทอร่า ของพวกเขาก็ได้ถ่ายทอดออกมาตลอดเกือบ 1 ปี
ได้จบลงแล้วก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับนิยายนะครับ แล้วอย่าลืมติดตามกันต่อ VR Tag Turn น่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: (อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย Palmon เมื่อ อังคาร เม.ย. 19, 2011 5:44 pm

ยาวสมเป็นตอนพิเศษฉลองสงกรานต์ ว่าแต่จบดื้อๆงี้เลยเรอะ! แถมมีต่อเรื่องไป SMN VR เฉยเลย!!
สงกะสัย จะมีครอสโอเวอร์ ไป VR ต่อแล้วสินะ(ว่าไปมันก็ครอสไปทีแล้วนิตอนการ์ดเฟนท์ หลุดไปโลกนู้น)

อีกจุดที่น่าสังเกตุ เฟนท์บทเด่นมาก!!! เด่นกว่าเรกกะอีก!!! แถมทำไม รูปแบบการ์ดของเฟนท์ มีเยอะมว้ากกกก
รูปตอนเป็น
บอร์ดี้การ์ด
ทีมแชงกริร่า

มีร่างวอลคีรีเออร์ ตั้งสองร่างถ้านับในภาคปกติด้วยก็ 3 ถ้า ไม่นับร่างเจอรัลดีนแท้ แม่เจ้า

มีร่างตอนกลับไปอยู่กับ เรกกะ อีกร่าง

รวมทั้งหมดแค่เฟนท์คุงคนเดียว ล่อไป 6 ร่าง....นี่เรายังลืมนับอะไร
ไปอีกหรือเปล่านิ ::009:: อ้อใช่ นับร่างอื่นๆในในภาคปกติด้วยก็มีร่าง
ตอนเป็นองครักษ์ให้ เรกกะ
ร่างก็อบชุดสุซาคุ อีกร่าง
รวมแล้ว 8 ร่าง

นี่มันวอลคีรีเออร์ หรือ ร็อคแมนคะเนี่ย เกรม่อนคุง!!!
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Re: (อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย boy เมื่อ พุธ เม.ย. 20, 2011 5:53 pm

อาาาาห์ จบซะที =__= หลังจากคนอ่านทรมานคนเขียนมานานนม (ฮา)
ขอบคุณนะครับที่คลอดเรื่องนี้ออกมาให้อ่านกัน

ปล.
ไรด์ ออกเดินทางตามความฟันอีกครั้งหลังงานแต่งของเฟนท์กับไอ

ฟันเลยทีเดียว OTL
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: (อวสาน): Crisis Valkyrier SE (IV) ……We will be alive……..

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2011 10:37 pm

boy เขียน:อาาาาห์ จบซะที =__= หลังจากคนอ่านทรมานคนเขียนมานานนม (ฮา)
ขอบคุณนะครับที่คลอดเรื่องนี้ออกมาให้อ่านกัน

ปล.
ไรด์ ออกเดินทางตามความฟันอีกครั้งหลังงานแต่งของเฟนท์กับไอ

ฟันเลยทีเดียว OTL


เป็นฉากจบลับที่เกรคุว ซ่อนไว้สินะ เจ๊อ่านก็ผ่านๆตรงจุดนี้ไปแหะ พอ บอยคุง ทักทีนี่ต้องย้อนขึ้นไปดูใหม่เลย

โอ้ฉันเห็นเรือด้วยล่ะสวยมากๆเลยด้วย ::036::
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

ย้อนกลับ

ย้อนกลับไปยัง SMN FanCard FanArt & FanFic

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน