**คำเตือน สำหรับผู้อ่านที่ เทิดทูนในตัวของ Alana เจ้าหญิงผู้อารีแห่งแอนดิซอง หรือ นักบุญ ผู้เสียสละ
ปิดบทความนี้มันซะเถอะ เพราะจะทำให้เกิดอาการ "ดราม่า" ขึ้นมาได้ เราเตือนคุณแล้วนะ**
Sin Chapter: Eye of Sorrow (ดวงตาอันขมขื่น)
เมืองท่า แอนดิซอง(Anndisonge Portland)
ย่างเข้าปีเตอร์(Peter) อันเป็นเดือนที่อากาศหนาวเหน็บที่สุดในรอบปี สายลมหนาวที่โชยพัดในทะเล
น้ำแข็งที่เย็นยเยือก จนแทบจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง ไปเสียหากคุณลงไปลอยคออยู่ในทะเล
ท่ามกลางสภาวะเช่นนี้แล้ว คุณคงต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ทว่าทั่วทั้งน่านน้ำ ใกล้กับเขตท่าเรือ
ของ เมื่องท่าแอนดิซอง แห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยผู้คน มากมายที่ถูกจับโยนลง ทะเลแสนหนาวเหน็บนี้
เป็นว่าเล่น เรือสินค้า หลายสิบลำที่ แล่นเข้ามาจวนเจียนจะเข้าเขตน่านน้ำของท่าเรือ ก็จะถูก
ด่านสกัดของกองเรือรบลำเบ้ง เข้าสกัดเอาไว้ จากนั้นทหารบนเรือก็จะแห่กรูกันไปตรวจสอบเรือสินค้า
เมื่อพวกเค้าพบผู้โดยสาร ที่ผิดแปลกไป ก็จะจับตัวคัดไปแยกไว้ที่ ท้ายเรือ เมื่อตรวจดูจนครบแล้ว
ทหาร ก็จะคัดเฉพาะพวก คนแก่และผู้หญิง ไปลงเรือเล็กของเรือสินค้า ที่เตรียมไว้สำหรับการกู้ภัยเมื่อ
เรือจม หลังจากที่เรือเล็กเต็มแล้ว พวกเค้าก็จะตัดเชือกปล่อยเรือเล็กเหล่านั้นให้ลอยเคว้งอยู่ในน่านน้ำ
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเมื่อเรือหมด และคนที่เหลือซึ่งยังไม่ได้ลงเรือนั้น วิธีที่เหล่าทหาร
ทำเพื่อแก้ปัญหานั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เลย พวกเค้าบีบบังคับให้ผู้คนเหล่านั้น ลงไป
ลอยคออยู่กลางทะเลที่เย็นจัดจนทำให้ถึงตายได้ โดยไม่แยแสว่า จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนแก่
หรือผู้หญิง หากไม่ทำตาม พวกเค้าก็จะถูกจับโยนลงไป
ผู้คนเหล่านี้ คือผู้อพยพ หลีกลี้หนีภัยสงครามมา ยังเมืองท่า แอนดิซอง แห่งนี้เนื่องจาก ได้ยินเสียงร่ำลือ
ถึง พระเมตตาของ ผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองท่านี้ อลาน่า(Alana)
พวกเค้าตรากตรำลำบากเกือบตาย
เพื่อที่จะหนีออกมากับเรือสินค้า โดยฝากฝังความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือ แต่สิ่งที่พวกเค้าพบกลับกลายเป็น
การสังหารโหดเหล่านี้แทน น่านน้ำแห่งนี้กลายเป็นเหมือนสนาม ต่อสู้ของเหล่าผู้คนที่พยายามจะเอาชีวิตรอด
เรือเล็กที่มีแต่ผู้หญิงและคนชรานั่ง ในตอนแรกนั้น เมื่อถูกปล่อยลงมา พวกผู้อพยพคนอื่นที่ต้องถูกจับมาลอยคอ
อยู่กลางน้ำก็จะแห่กันขึ้นไปนั่งบนเรือเพื่อหนีจาก ความหนาวเหน็บแสนทรมาน
จนเรือบางลำถึงกับพลิกคว่ำบ้างก็ มีการกระชาก หรือดึงคนที่อยู่บนเรือลงไปและขึ้นไปนั่งแทนที่
บางกลุ่มก็พยายามจะว่ายเพื่อไปขึ้นฝั่ง ทว่าที่ฝั่งนั้นกลับมี กองทหารยืนคุมเข้ม
คอยผลักพวกเค้าตกน้ำกลับไปอีก บางคนฝืนฝ่าขึ้นมาได้ ก็จะถูก เหล่าทหาร กรูกันเข้ามาซ้อม
ก่อนจะจับโยนลงทะเลไปอีก เหตุการณ์เป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่ไม่อาจทนต่อความหนาวเหน็บ
ของทะเลน้ำแข็งนี้ได้ ก็ต้องหมดลมหายใจ กลายเป็นซากศพลอยเคว้งอยู่บนผืนน้ำแห่งนี้
ท่ามกลางความสับสนวิปริต ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงโอดครวญ และเสียงร้องขอความเมตตา
จากบรรดาผู้อพยพ นั้นดังก้องระงมไปทั่วทั้งผืนน้ำ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังลอยคออยู่กับพวกผู้อพยพ
สีหน้าของเค้าดูซีดเซียว ใบหน้าขาวซีดเพราะความเย็นของ น้ำทะเลอีกทั้งเสื้อผ้าของเด็กหนุ่ม
ก็ขาดวิ่นจากการ ฉุดกระชาก ของเหล่าบรรดา ผู้อพยพ เค้าต่อสู้แย่งยื้อมานานมากจนหมดเรี่ยวแรงที่
ขัดขืนต่อไป ได้เพียงตีขาอย่างเฉื่อยชาเพื่อลอยตัว อยู่เหนือน้ำ ความเย็นซึมซับเข้าไปถึงกระดูกดำ
หนาวไปสุดขั้วหัวใจ สัมผัสของแขนและขา ด้านชาไปหมดสติที่เริ่มพร่ามัว เส้นผมสีขาว
ที่แข็งตัวด้วยไอเย็น จนขึ้นเกล็ดน้ำแข็ง แต่ถึงกระนั้น เค้าก็ยังคงไม่ลดละ พยายามจะว่ายเข้าไปหาร่างไร้ลม
ของหญิงลอยเคว้งอยู่ในกลุ่มฝูงชน แม้จะถูกซัดกลับออกมาด้วยคลื่นฝูงชนที่พยายามจะ เอาชีวิตรอดก็ตามที
“ คุณ…..แม่…ฮะ…. ”
เด็กหนุ่มเปรย เสียงแผ่วขณะที่พยายามว่ายเข้าไปเพื่อจะเข้าไปหาร่างของผู้เป็นแม่
ที่ถูกฝูงคน ว่ายชน พัดไกลออกไปเรื่อยๆ แม้จะตอนนี้เค้าจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง และเหนื่อยหอบเพียงใด
เด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมลดละ เค้าพยายามจะว่ายเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย เค้นแรงฮึดสู้
อยู่หลายครั้งหลายครา จนเมื่อในที่สุด ร่างของผู้เป็นแม่ ก็ได้จมลงสู่ก้นบึ้งทะเล
เด็กหนุ่มตาเบิกโพล่ง ด้วยความตกใจ วินาทีนั้นเค้าไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากการ
ตามร่างของผู้เป็นมารดา ลงไปเค้ามุดดำลงไปในน้ำ วินาทีที่ใบหน้าสัมผัสกับผิวน้ำ
ความเย็นจับขั้วก็แผ่ซ่าน ไปถึงสมองเลยทีเดียวราวกับกับถูกเข็มนับพันเล่มแทง แต่เค้าก็ยังคงกัดฟันดำลงไป
เด็กหนุ่มพยายาม แข็งใจเปิดตาในน้ำที่เย็นแสนเย็นนี้ เพื่อมองหาร่างของผู้เป็นมารดา
ซึ่งห่างออกไปเรื่อยๆ เค้าพยายามจะตะเกียกตะกายดำผุดดำว่าย เข้าไปหา
ทว่าความอ่อนล้า ก็พรากเค้าออกห่างไปเรื่อย ร่างของผู้เป็นมารดา ค่อยจมหายลับลงไปในความมืดมิดของ
ท้องทะเล หยาดน้ำตาที่ไหลรินไปกับสายน้ำ เค้าพยายามยื่นมือ ออกไปสุดแขน เพื่อที่จะไขว่คว้าเอาตัว มารดา กลับ
มาทว่าท้องทะเลก็ได้พรากเอามารดา ไปจากเขาเสียแล้ว ร่างของเด็กหนุ่ม
ถูกแรงดันน้ำค่อยๆพัดกลับขึ้นไปสู่ผิวน้ำ ใบหูที่ชาเพราะความเย็น ทำให้เสียงกลลาหล
รอบด้านนั้น แผ่วเบา เด็กหนุ่มนอนลอยเคว้งแหงนเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าที่มัวหมอง
เพื่อรอเวลาที่จะได้ตาม ผู้เป็นมารดา ไป
“ หยุดเดี๋ยวนี้!! ”
น่าอัศจรรย์นัก หูด้านชาเพราะความเย็นของทะเลจนแทบจะไม่ยินเสียงใดๆอีกแล้ว แต่กลับมีเพียงเสียงนี้เท่านั้นที่ดังก้องขึ้นมาในหัวของเค้า มันเป็นน้ำเสียงที่อ่อนหวานและฟังดูอบอุ่น ความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาหลังจากได้ยินเสียงนั้น
ทำให้เค้า รู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่ดวงตาของเด็กหนุ่มจะปิดสนิทลง
ขณะเดียวกันที่ท่าเรือ ได้เกิดเสียงโห่ร้องดังสนั่นสวน ขึ้นมาบรรดากองทหาร พากันหล่อกแล่กไปชั่วครู่
ก่อนที่ ซิสเตอร์หญิงสาวนางหนึ่งและคณะซิสเตอร์ กับเหล่าผู้ยากไร้ จะแห่กันเข้ามา
ประท้วงเพื่อหยุดยั้ง การสังหารโหดเหล่านี้
“เราคือเจ้าหญิงอลาน่า ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอสั่งให้พวกเจ้าหยุดการกระทำโหดร้ายนี้เดี๋ยวนี้ ”
เสียงประกาศนามดังขึ้นจากหญิงสาวผู้ที่นำอยู่หน้าขบวนประท้วงนี้
…………………………
…………………………………..
………………………………………………
หลายชั่วโมงต่อมา กองทหารที่เคยปิดล้อมท่าเรือไว้ได้สลายตัวไปหมดแล้วบัดนี้บนท่าเรือ ทั้งคณะซิสเตอร์
และเหล่าอาสาสมัครจากพวกผู้ยากไร้ในแอนดิซอง ต่างทำงานอย่างขยันขันแข็ง
เพื่อช่วยชีวิตเหล่าผู้อพยพ ที่ขึ้นจากน้ำมาแล้ว ตอนนี้ เหนือน่านน้ำ ร่างไร้ชีวิตของบรรดาผู้อพยพ
ก็ถูกทยอยกู้ขึ้นมากองเอาไว้บนท่าเรือการค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังเหลือตกค้างอยู่ ดำเนินเรื่อยมา
จนเมื่อราตรีมาเยือน เหล่าผู้อพยพ จึงย้ายกันไปที่เต็นท์ของคณะซิสเตอร์ ที่ห่างออกไปจากท่าเรือเพื่อหลบลมหนาว
ระลอกใหม่ที่กำลังจะพัดโหมเข้ามา
ภายในเต็นท์ ช่วยเหลือนั้น เสียงสนทนา ตะโกนไปมาดังอึกอึง อีกทั้งเสียงร้องโอดครวญเสียง ร่ำไห้ด้วยความ
โศกเศร้าจากการสูญเสีย ยังคงก้องระงม คนเจ็บถูกหามมาแล้วมาเล่า ไม่มีหยุด จนเต็นท์ไม่เพียงพอ
แก่การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
“ นี่ยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย ที่นี่แออัดจนแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่แล้วนะ ”
“ ซิสเตอร์ เชเช ไปเบิกยาที่กองพยาบาลมาที ตรงนี้มันหมดแล้วนะ ”
“ คนที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ช่วยนั่งขดๆกันหน่อยนะคะ พื้นที่เรามีไม่ค่อยจะเพียงพอแล้ว ”
เหล่าซิสเตอร์ ต่างพยายามกันอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อพยพ ทุกคน
ทว่าความช่วยเหลือจากสภาการเมืองทั้ง 3 ก็ช่างล่าช้า ที่จริง ต้นเหตุของการสังหารโหดที่
ทะเลน้ำแข็ง นั้นก็คือ สภาทั้งสามแห่งเมืองท่านี้ สภาพ่อค้า สภาศาสนา และสภาขุนนาง
ที่ลงความเห็นจะจำกัดจำนวนผู้อพยพ และเริ่มการลงมือสังหารโหดเหล่านั้น
“ ซิสเตอร์โรซาน่า(Rosana)คะจะทำยังไงดีคะตอนนี้ เราไม่สามารถรับผู้อพยพเพิ่มมาได้มากกว่า
นี้แล้วนะคะข้างนอกนั่นยังเหลือผู้อพยพอีก นับร้อยที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเลยค่ะ ”
ซิสเตอร์ฝึกหัด คนหนึ่งเข้ามารายงานสถาการณ์โดยรวมของด้านนอกเต็นท์ ให้แก่ ซิสเตอร์อาวุสโสนางหนึ่ง
ที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับปัญหาที่แก้ไม่ตกนี้ จำนวนผู้อพยพมีมากเกินกว่า กำลังของพวกเธอ
อีกทั้ง อุปกรณ์และยารักษาก็ยังไม่เพียงพออีกด้วย ระหว่างที่กำลังวิตกกับปัญหานี้ ก็มี
กลุ่มชาวบ้านในย่านสลัมแถบนี้ กรูกันเข้ามา ขนย้ายคนเจ็บและนำเอายา เข้ามาแจกจ่าย
ช่วยเสริมแรงเหล่าซิสเตอร์บรรเทาทุกข์ เหล่าผู้อพยพ ระหว่างที่หูของ ซิสเตอร์โรซาน่า
ซิสเตอร์อาวุสโส ผู้รับผิดชอบการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์อยู่ในขณะนี้กำลังต้องการคำอธิบาย
ต่อความช่วยเหลือที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวนี้อยู่ เจ้าหญิงอลาน่า ก็ทรงเสด็จเข้ามาในเต็นท์
อย่างเงียบเพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นต่อผู้อพยพที่กำลังพักฟื้นอยู่
“ ทุกคนคะช่วยกันย้ายคนเจ็บไปยังอีกเต็นท์ ข้างๆได้เลยค่ะ ตอนนี้ข้างนอกกำลังกางเต็นท์ เพิ่มอยู่
ส่วนยารักษาและอาหาร นั้นกำลังตามมาอีกประเดี๋ยวช่วยกันแจกจ่ายแก่พวกเค้าด้วยนะคะ ”
เจ้าหญิง ทรงเข้ามาตรัสกระซิบบอกกับเหล่าซิสเตอร์ โดยยกพระหัตถ์ขึ้นปรามเป็นสัญญาณไม่ให้แสดงท่าทีแตกตื่น
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุของ เหล่าผู้อพยพที่กำลังพักฟื้น ก่อนที่ ซิสเตอร์ ทุกนางจะกระจายกันออกไป
จัดการตามที่เจ้าหญิงตรัส ไม่ช้าเหล่าผู้อพยพ ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ได้รับการบรรเทาทุกข์กันครบทุกคน
“ องค์หญิงเพคะ ยารักษาและอาหารเหล่านี้มัน… ”
ซิสเตอร์ โรซาน่าเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่การช่วยเหลือเริ่มลงตัวแล้ว
“ ฉันใช้เงินส่วนตัวซื้อมาจ้ะ ส่วนพวกอาสาสมัครเหล่านี้เค้าก็ขอมาช่วยเลยทำให้เบาแรงไปเยอะเลย ”
เจ้าหญิง ตรัสตอบข้อสงสัยของเธอสายตาของพระองค์ ดูเปี่ยมสุขเมื่อได้เห็น เหล่าผู้อพยพทุกคน
ได้รับการช่วยเหลือ
“ เพคะ…ว่าแต่พระองค์เสด็จมายามวิกาล แบบนี้…เอ่อ..แถมเมื่อช่วงบ่าย ดิฉันเองก็ได้ยินมาว่า
พระองค์ทรงเดินเรื่องระงับการจำกัดผู้อพยพ ตลอดจนถึงช่วงเย็นเลย นี่เท่ากับว่าพระองค์ยัง
ไม่ได้ทรงพักพระวรกาย เลยนะเพคะ ฝืนพระองค์มากแบบนี้เกิดประชวรขึ้นมา จะไม่ดีนะเพคะ องค์หญิง ”
ซิสเตอร์ โรซาน่า กล่าวด้วยความเป็นห่วงที่ องค์หญิงทรงตรากตรำฝืนพระวรกาย เพื่อการช่วยเหลือผู้อพยพ
“ ขอบคุณค่ะ ที่ซิสเตอร์เป็นห่วง แต่ถ้าจะให้ฉันนั่งพักสบายๆแล้วทิ้งพวกเค้าเหล่านี้ไป ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ ”
องค์หญิง ตรัสตอบอย่างนุ่มนวล ขณะที่เดิน ไปยังเตียงที่ เด็กหนุ่มผมสีขาวเงิน นอนอยู่
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นและมีสีหน้าทรมาน
“ คุณ…คุณ…แม่…คุณแม่ครับ…อย่าทิ้งผม…อย่าทิ้งผมไป… ”
เสียงละเมอพร่ำเพร้อดังเล็ดลอดออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม ก่อนที่เค้าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ดวงตาของเค้าแข็งกร้าวราวกับได้เห็นช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต เค้าหายใจฝืดฝาด
รุนแรง หัวใจเต้นระรัว ด้วยความกลัวและความขมขื่นที่ฝังจับใจ เค้ายังคงนิ่งชะงักอยู่แบบนั้น
จนเมื่อ องค์หญิงทรงวางพระหัตถ์ลงไปลูบหัวของ เด็กหนุ่มอย่างนุมนวลที่สุด
“ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่ต้องกลัวหนูปลอดภัยแล้ว…ไม่ต้องกลัวนะขวัญเอย ขวัญมา…ไม่ต้องกลัวนะ ”
องค์หญิง ตรัสปลอบจิตใจที่หวาดหวั่นของ เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายมามากมาย
นับแต่วินาทีที่ได้ยินเสียงของ องค์หญิง เค้าจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียง ที่เค้าได้ยินก่อนจะหมดสติไปที่ทะเลน้ำแข็ง
ก่อนจะฝื้นขึ้นมาบนเตียงผู้ป่วยนี้ โดยไม่มีสัญญาณใดๆ น้ำตาของเด็กหนุ่มได้ไหลรินอาบสองแก้ม
เนื้อตัวสั่นเทาหาใช่เพราะความหนาวเหน็บภายนอกหากแต่ความหนาวเหน็บภายใจที่ยังคง
บาดลึกอยู่ในหัวใจ กับภาพมารดา ที่จมลงไปสู่ก้นทะเลแสนมืดมิดนั้นได้หวนกลับขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ซิสเตอร์ โรซาน่า แสดงทีท่าตกใจนิดหน่อยที่ อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ร้องออกมา องค์หญิง เห็นเช่นนั้น ก็ทรง
วางพระองค์ประทับลงข้างๆเตียงของหนุ่มน้อย ก่อนจะโอบกอดเพื่อปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของเค้า
สัมผัสที่อบอุ่นได้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจที่ เจ็บช้ำและเยียวยาบาดแผลที่ขมขื่นนั้น ทีละน้อยๆ
แม้จะไม่ถึงกับหายไปเลยซะทีเดียว แต่มันก็ทำให้เค้ารู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด
ของร่างกายก่อนจะผลอยหลับไปในที่สุด
“ เด็กคนนี้ไปเจออะไรมานะ ถึงได้แสดงดวงตาที่ดูหวาดกลัวแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนได้แบบนั้น.. ”
ซิสเตอร์โรซาน่า เปรยขึ้นหลังจากที่ องค์หญิง ทรงลุกขึ้นจากเตียงและจัดร่างของหนุ่มน้อยให้นอนกลับลงไป
ตามเดิมก่อนจะห่มผ้าห่มให้อีกที
“ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ค่ะซิสเตอร์ พวกเราเองคงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความกลัวที่เค้าต้องเผชิญมา
…….มันคงเป็นสงครามมั้งคะที่ทำให้เกิดผู้เคราะห์ร้ายมากมายขนาดนี้ ….ถ้าหากจะมีวันที่สงครามนี้สิ้นสุดลงได้
ก็คงดีนะคะ เพื่อให้วันนั้นมาถึงและไม่ต้องให้เด็กคนไหนต้องมี ดวงตาที่ขมขื่นแบบนี้อีก… ”
องค์หญิง ตรัสน้ำเสียงเรียบ
…………………..
…………………………………….
………………………………………………….
เวลาผ่านไป หลาย ปีท่ามกลางพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ เริ่มด้วย สงครามบน
แผ่นดินใหญ่ของทวีปเมอริเซีย ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดองค์หญิง อลาน่า ก็ทรงตัดสินพระทัย
ที่จะสละตำแหน่งผู้สำเร็จราชออกบวชเป็นซิสเตอร์ และเดินทางไปยังสมรภูมิ เดือดบนแผ่นดินใหญ่
เพื่อ ช่วยเหลือเหล่าผู้เคราะห์ร้ายจากสงคราม โดยเริ่มจากการก่อตั้งค่ายผู้ประสบภัย ขึ้นไม่ไกลจากเขตสมรภูมิรบ
ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้เอง ทางจักรวรรดิซาโลม(Zalom) ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมือของผู้ครองตำแหน่งบัลลังค์
ไปสู่บลาสเซจ(BlazeSage) อำมาตย์เจ้าเล่ห์ ที่ถูกล่อลวงด้วยเหล่าปิศาจร้ายจากขุมนรกเหล่า บาป(Sin)ทั้งปวง
ได้นำจักรวรรดิ์เพลิงแห่งซาโลม เข้าสู่ด้านมืด คิดการใหญ่ใช้กองกำลังปิศาจ เพื่อที่จะยึดครองทั้งเมอริเซีย
และแล้วบัดนี้ เรื่องราวการต่อสู้ที่ ได้สาปสูญไปกับพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้กำลังจะเปิดเผยขึ้นมา…..
…………….
ลมร้อนแห้งๆ พัดผิวทรายจนเป็นระลอกคลื่น กระจัดกระจายอยู่ทั่วสมรภูมิ ทะเลทราย
กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นฉุนของซากศพ ในสนามรบโชยมากับสายลม เสียงศาสตราวุธ
กระทบดังแว่วมาไม่หยุดหย่อย เสียงโห่ร้อง เสียงคำราม กึกก้องกัมปนาท ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
สายตาของชายหนุ่มผมสีขาวเงิน เหม่อมองออกไป ยังจุดสนามรบที่อยู่สุด
ขอบอีกฟาก ของเนินทรายสูงบนทะเลทราย ที่เค้ายืนอยู่นี้
“ อ้าว! ยังไม่เตรียมตัวอีกเหรอ สเวน ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวผมสั้นบ็อบสีม่วง เดินเข้ามาหาเค้าด้วยกันกับ ชายผิวคล้ำผมตั้งชี้ปลายสีดำ
อีกทั้งสวมแว่นกันแดด อันเล็กประดับไว้บนหน้า
“ ซิควู้ด กับ แรสซิล เองเหรอ… ”
ชายหนุ่มผมสีเงินหันกลับมา มองหน้าเพื่อนๆที่เค้ามาทัก
“ อีกประเดี๋ยวก็จะเริ่มกันแล้ว… ”
หญิงสาวเอ่ย พลางยิ้มอย่างน่ารักมนิดๆ ราวกับกำลังจะไปออกศึก ด้วยอารมณ์สำราญบานใจ
“ ว่าแต่จะให้ไปช่วยพวกคณะซิสเตอร์บรรเทาทุกข์งั้นเหรอ ”
ชายผิวคล้ำ เอ่ยถามอย่างฉงน แม้ว่าเค้าจะมากับเธอ แต่ก็ดูเหมือนจะถูกตามตัวมาแบบงงๆเสียมากกว่า
“ หึ….ในโลกนี้จะมีไอ้บ้าที่ไหน ส่ง Empyrean Adjust (ตัวแทนแห่งนภาสรวง) ไปบรรเทาทุกข์กันบ้างเล่า…. ”
หญิงสาว ตอกกลับติดตลก นิดๆ เพื่อให้ชายผิวคล้ำช่างสงสัย ไม่ถามไปมากกว่านี้
“ ดูเหมือนภารกิจนี้จะให้เราไปทดสอบเจ้า เครื่องใช้วิกฤติ ที่สร้างเสร็จแล้วน่ะนะ ส่วนไอ้พวก
ค่ายผู้ประสบภัยนั่นก็แค่รับใบบุญจากเราไปเท่านั้นเอง ”
หญิงสาวตอบ ก่อนจะเดินทำ ชายทั้งสอง ลงจากเนินทราย
หลังเนินทรายที่ขึ้นสูงจนบดบัง เรือจักรกลลำย่อมเอาไว้ ฐานของเรือนั้นลอยอยู่เหนือพื้นทราย
ด้วยแรงลมที่พัดออกมาจาก เครื่องจักรบนเรือ ทำให้ ฝุ่นทรายปลิวคละคลุ้ง นี่คือ เรือแล่นนภา (Travel Airship)
ที่จะออกเหาะแล่นไปบนอากาศ ดังนั้นจึงไม่เกี่ยงว่าจะเป็นทะเล หรือ ทะเลทราย
………………………….
………………………………………
ท่ามกลางสมรภูมิ เดือดบนพื้นทรายนี้ ทหารผีดิบสามหัว(Necrotrooper)ใช้ จงอยแขนที่แหลมยาว แทงฉีกทึ้งร่าง
ของทหาร ในสนามรบจนล้มตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว นักรบอสูรเพลิง(Evil Fire Warrior) ใช้ร่างที่ทรงพลัง
ตวัดดาบอัคคี กวาดล้มกองทัพ ทหารยูนิคอร์นทั้งคนทั้งม้า ล้มระเนระนาดไปทั่ว ยิ่งกองหนุนของเหล่าทหารมา
กันมากเพียงใด ก็ราวกับว่าพวกมันจะยิ่งบ้าคลั่งอาละวาดหนักมาขึ้นเรื่อยๆ
การศึกในตอนนี้ กองทัพของจักวรรดิ์ซาโลม ได้เปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งกองทัพทหารผีดิบที่ไม่มีวันตายเว้นแต่จะถูก
สับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วยังทัพนักรบอสูรเพลิงอีกนับพัน เหนือสิ่งอื่นใด การยกทัพมาตีในครั้งนี้เป้าหมายกลับไม่ใช่
การยึดครองเมืองแต่กลับเป็นการทำลายค่ายพักผู้ประสบภัย ที่ เจ้าหญิง อลาน่า ได้ทำงานอยู่
อีกทั้ง บุตรชายของซาร์ดิน(Zadin)อดีตจักรพรรดิ์แห่งซาโลม ที่ถูก เบลสเซจ ลอบปลงพระชนม์ไปนั้น
ก็ได้อยู่ช่วยงานรักษาผู้ประสบภัย อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“ ขืนเป็นแบบนี้ พวกมันจะต้องบุกมาถึงค่ายแน่เลยนะครับ ซิสเตอร์ อลาน่า ”
เด็กหนุ่มผมหยิกหยักศก แต่งกายแบบชาวฟูดินัน กล่าวขึ้นโดยที่สายตานั้นยังคงจ้องมองออกไปยัง
เหล่ากองทัพ ผีดิบ ที่จวนเจียนจะมาถึงค่ายพักผู้ประสบภัยในอีกไม่ช้าอยู่แล้ว
“ พวกมันต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้มาปิดล้อมค่ายพักของเรากันนะ ที่นี่มีแต่คนเจ็บมากมาย
ไม่มีอะไรให้พวกมันเอาไปซักอย่าง ”
ซิสเตอร์อลาน่า เปรยด้วยสายตาเป็นกังวล เธอและคณะซิสเตอร์ พยายามจะย้ายค่ายและคนเจ็บลี้ภัยไป
ยังเขตของฟีเลเซีย เพื่อให้กองทัพศาสนจักร Ekklesia ช่วย ปกป้องจากการรุกรานของเหล่าผีร้ายพวกนี้
แต่ก็กลับติดแหงกอยู่ในวงล้อมของพวกมันทีตีกระหนาบมาทั้งสองทิศทาง
………………….
ห่างออกไป จากวงล้อมของ เหล่าทัพแห่งจักรวรรดิ์เพลิง เรือแล่นนภา ได้แล่น ตรงรี่เข้ามายัง
วงล้อมนั้น เข้าไปเรื่อยๆ
ภายในท้องเรือนั้น ชายหนุ่มผมสีเงิน กับชายผิวคล้ำ และหญิงสาวผมสีม่วง ทั้งสาม ง่วนอยู่กับการประกอบ
อุปกรณ์ ให้เป็นลักษณะเชิงตะเกียง รูปมังกร และสิ้นสุดด้วยการ เอาหินศิลาก้อนขนาดกำมือ ขึ้นมา
วางไว้เหนือหัวเชิงตะเกียงซึ่ง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อ ศิลานั้นกลับลอยอยู่เหนือเชิงตะเกียงได้โดยที่ไม่หล่นลงมา
“ ประกอบ เครื่องใช้วิกฤติ เรียบร้อยแล้ว จะให้ทำไงต่อล่ะ ”
หญิงสาวผมสีม่วง เอ่ยถามขึ้นลอยๆ ภายในห้องมืดสลัวที่พวกเค้าสามคนอยู่
“ เอามือแตะไปที่ศิลามังกร(Dragon Stone)เทียมแล้วหมุนมันช้าๆจนครบรอบนะ ”
เสียงดังตอบกลับมาจาก กรวยโทรโข่งที่ เพดานของห้อง ทั้งสามจึงทำตามเสียงนั้น
ทันทีที่ ศิลามังกรเทียมหมุนครบรอบ ก็เกิดสว่างวาบจากศิลา เข้าอาบร่างของ ทั้งสาม
และเมื่อแสงนั้นจางลง ร่างของทั้งสามกลับกลายเป็น อัศวินครึ่งคนครึ่งมังกรไปเสียแล้ว
ผนังท้องเรือ ด้านหนึ่งค่อยๆเปิดออกเป็นสะพานยื่นออกไป สู่สนามรบตรงหน้า
“ แชนเดลแซร์ ซิควู้ด (Shandelzare Silkwood) ทาโซรอส (Thasolos, the Dragoon of Thaliwilya)ไปล่ะนะ!! ”
หญิงสาวผมสีม่วงผู้กลายเป็นอัศวินมังกรร่างหุ้มด้วยเกราะเกล็ดมังกรสีน้ำตาลดินเหน็บดาบโค้งยาวไว้ที่หลัง
และหอบติดโล่กรธโหลกมังกรไว้ด้วยมือซ้าย ประกาศตัวก่อนจะวิ่งทะยานลงจากเรือไปยังสมรภูมิ
อย่างรวดเร็ว
“ แรสซิล ดาร์คบริว(Razzil Darkbrew) ทาลิคนัส(Thalignus, the dragoon of thaliwilya) จะไปล่ะ!! ”
ชายหนุ่มผิวคล้ำ ผู้กลายเป็นอัศวินมังกรหุ้มเกราะเกล็ดมังกรสีแดงเพลิง กระชับ กระบี่ยาว
และโล่เกล็ดมังกร ตะโกนพร้อมโจนทะยาน ตาม เธอไป
“ สเวน แตร์เซส(Sven Tarexex) ทาลูคัส(Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya) ออกตัว!! ”
ชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวเงิน ประกาศในร่างของ อัศวินมังกรสีขาว สยายปีกกว้างเหินออกจาก เรือลงไปสู่สมรภูมิ
พร้อมชักดาบหนังมังกรสีขาวคลิบคมคมทอง ออกมากระชับ ก่อนจะพุ่งลงไปตวัดดาบ ฟาดฟันกับเหล่ากองทัพ
ปีศาจที่เบื้องล่าง
To be Continue Next Cos Chapter : Phase (มุมมอง)
………………………………………………..
…………………………………………..
…………………….
เนื่องด้วยว่า SMN VR ปั่นไม่ทัน เพราะช่วงลงทะเีบียนเรียน พึ่งจะจบความวุ่นวายไป จะปล่อยให้ รอกันก็กะไรอยู่
เลยเอานี่มาให้อ่านแก้ขัดไปก่อน นะขอรับ สำหรับซีรี่ย์นี้ เป็นตอนสั้นๆ 3 Chapter จบ
ซึ่งเดิมที Fic ตัวนี้ คือต้นฉบับจริงของ ภาค วายครอสออฟทาลิวิลย่า แต่ติดที่ว่า เนื้อหามันค่อนข้างจะดราม่า
ทั้งในความหมายตรงๆตัวหรือจะอ้อมๆก็เถอะ เพราะทั้งเรื่องมันแสดงให้เห็นอีกมุมของผู้คนที่มอง อลาน่า
ต่างออกไปจากพระผู้ช่วย ที่สวรรค์โปรดมา
ถ้าใครหมั่นไส้หรือเกลียด อลาน่าอยู่แล้ว อ่านอันนี้ไปคงไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ แต่คุณชอบ อลาน่า มากๆล่ะก็
จะด่าอะไรด่าไปที่ สเวน นะขอรับ อย่ามาลงที่โผมน้า ถ้าแค่ Chap แรกยังมองไม่เห็น ว่าเรื่องมัน
แสดงออกไปทางว่าร้าย อลาน่า ยังไงล่ะก็ รอดู Chap ที่ 2 ครับ ขอบอก โดนเละเลยเชียวล่ะ เหอๆ
นั่นคือ ข้อความที่น้องชายของดิฉันฝากมาค่ะ (นี่ ปิโยม่อน นะคะ) เฮ้อ~ พูดไปเจ้าธนัท เอ้ย เจ้าเกรม่อนน้องชาย ฉันเนี่ย
ไม่ค่อยจะได้ความเล้ย ขอบอกตรงๆค่ะ ซีรี่ย์ นี้เป็นชุดทาลิวิลย่า ที่รู้สึกไม่อภิรมย์ พระเอกซักเท่าไหร่เลย อีตา สเวน เนี่ย
มันจะเป็นไงน่ะหรือ Chap 2 กับ 3 ตอบคุณได้ค่ะ
ได้อ่านล่ะก็จะรู้เลยว่าทำไม ถึงไม่ยอมให้เอาซีรี่ย์นี้ลงจวบมาจนบัดนี้ เฮ้อ~~ ไปล่ะค่ะ