Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ เม.ย. 28, 2024 12:44 am

หน้าเว็บบอร์ด ส่วนของผู้เล่น SMN FanCard FanArt & FanFic (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

สำหรับลงรูปแฟนอาร์ตและนิยายแต่งเองของชาวSMNครับ

(จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 06, 2009 9:56 pm

Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

**คำเตือน สำหรับผู้อ่านที่ เทิดทูนในตัวของ Alana เจ้าหญิงผู้อารีแห่งแอนดิซอง หรือ นักบุญ ผู้เสียสละ
ปิดบทความนี้มันซะเถอะ เพราะจะทำให้เกิดอาการ "ดราม่า" ขึ้นมาได้ เราเตือนคุณแล้วนะ**



Sin Chapter: Eye of Sorrow (ดวงตาอันขมขื่น)

เมืองท่า แอนดิซอง(Anndisonge Portland)

ย่างเข้าปีเตอร์(Peter) อันเป็นเดือนที่อากาศหนาวเหน็บที่สุดในรอบปี สายลมหนาวที่โชยพัดในทะเล
น้ำแข็งที่เย็นยเยือก จนแทบจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง ไปเสียหากคุณลงไปลอยคออยู่ในทะเล
ท่ามกลางสภาวะเช่นนี้แล้ว คุณคงต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ทว่าทั่วทั้งน่านน้ำ ใกล้กับเขตท่าเรือ
ของ เมื่องท่าแอนดิซอง แห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยผู้คน มากมายที่ถูกจับโยนลง ทะเลแสนหนาวเหน็บนี้
เป็นว่าเล่น เรือสินค้า หลายสิบลำที่ แล่นเข้ามาจวนเจียนจะเข้าเขตน่านน้ำของท่าเรือ ก็จะถูก

ด่านสกัดของกองเรือรบลำเบ้ง เข้าสกัดเอาไว้ จากนั้นทหารบนเรือก็จะแห่กรูกันไปตรวจสอบเรือสินค้า
เมื่อพวกเค้าพบผู้โดยสาร ที่ผิดแปลกไป ก็จะจับตัวคัดไปแยกไว้ที่ ท้ายเรือ เมื่อตรวจดูจนครบแล้ว
ทหาร ก็จะคัดเฉพาะพวก คนแก่และผู้หญิง ไปลงเรือเล็กของเรือสินค้า ที่เตรียมไว้สำหรับการกู้ภัยเมื่อ
เรือจม หลังจากที่เรือเล็กเต็มแล้ว พวกเค้าก็จะตัดเชือกปล่อยเรือเล็กเหล่านั้นให้ลอยเคว้งอยู่ในน่านน้ำ

เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเมื่อเรือหมด และคนที่เหลือซึ่งยังไม่ได้ลงเรือนั้น วิธีที่เหล่าทหาร
ทำเพื่อแก้ปัญหานั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เลย พวกเค้าบีบบังคับให้ผู้คนเหล่านั้น ลงไป
ลอยคออยู่กลางทะเลที่เย็นจัดจนทำให้ถึงตายได้ โดยไม่แยแสว่า จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนแก่
หรือผู้หญิง หากไม่ทำตาม พวกเค้าก็จะถูกจับโยนลงไป

ผู้คนเหล่านี้ คือผู้อพยพ หลีกลี้หนีภัยสงครามมา ยังเมืองท่า แอนดิซอง แห่งนี้เนื่องจาก ได้ยินเสียงร่ำลือ
ถึง พระเมตตาของ ผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองท่านี้ อลาน่า(Alana)

รูปภาพ

พวกเค้าตรากตรำลำบากเกือบตาย
เพื่อที่จะหนีออกมากับเรือสินค้า โดยฝากฝังความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือ แต่สิ่งที่พวกเค้าพบกลับกลายเป็น

การสังหารโหดเหล่านี้แทน น่านน้ำแห่งนี้กลายเป็นเหมือนสนาม ต่อสู้ของเหล่าผู้คนที่พยายามจะเอาชีวิตรอด
เรือเล็กที่มีแต่ผู้หญิงและคนชรานั่ง ในตอนแรกนั้น เมื่อถูกปล่อยลงมา พวกผู้อพยพคนอื่นที่ต้องถูกจับมาลอยคอ
อยู่กลางน้ำก็จะแห่กันขึ้นไปนั่งบนเรือเพื่อหนีจาก ความหนาวเหน็บแสนทรมาน

จนเรือบางลำถึงกับพลิกคว่ำบ้างก็ มีการกระชาก หรือดึงคนที่อยู่บนเรือลงไปและขึ้นไปนั่งแทนที่
บางกลุ่มก็พยายามจะว่ายเพื่อไปขึ้นฝั่ง ทว่าที่ฝั่งนั้นกลับมี กองทหารยืนคุมเข้ม
คอยผลักพวกเค้าตกน้ำกลับไปอีก บางคนฝืนฝ่าขึ้นมาได้ ก็จะถูก เหล่าทหาร กรูกันเข้ามาซ้อม
ก่อนจะจับโยนลงทะเลไปอีก เหตุการณ์เป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่ไม่อาจทนต่อความหนาวเหน็บ
ของทะเลน้ำแข็งนี้ได้ ก็ต้องหมดลมหายใจ กลายเป็นซากศพลอยเคว้งอยู่บนผืนน้ำแห่งนี้

ท่ามกลางความสับสนวิปริต ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงโอดครวญ และเสียงร้องขอความเมตตา
จากบรรดาผู้อพยพ นั้นดังก้องระงมไปทั่วทั้งผืนน้ำ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังลอยคออยู่กับพวกผู้อพยพ
สีหน้าของเค้าดูซีดเซียว ใบหน้าขาวซีดเพราะความเย็นของ น้ำทะเลอีกทั้งเสื้อผ้าของเด็กหนุ่ม

ก็ขาดวิ่นจากการ ฉุดกระชาก ของเหล่าบรรดา ผู้อพยพ เค้าต่อสู้แย่งยื้อมานานมากจนหมดเรี่ยวแรงที่
ขัดขืนต่อไป ได้เพียงตีขาอย่างเฉื่อยชาเพื่อลอยตัว อยู่เหนือน้ำ ความเย็นซึมซับเข้าไปถึงกระดูกดำ
หนาวไปสุดขั้วหัวใจ สัมผัสของแขนและขา ด้านชาไปหมดสติที่เริ่มพร่ามัว เส้นผมสีขาว

ที่แข็งตัวด้วยไอเย็น จนขึ้นเกล็ดน้ำแข็ง แต่ถึงกระนั้น เค้าก็ยังคงไม่ลดละ พยายามจะว่ายเข้าไปหาร่างไร้ลม
ของหญิงลอยเคว้งอยู่ในกลุ่มฝูงชน แม้จะถูกซัดกลับออกมาด้วยคลื่นฝูงชนที่พยายามจะ เอาชีวิตรอดก็ตามที



“ คุณ…..แม่…ฮะ…. ”
เด็กหนุ่มเปรย เสียงแผ่วขณะที่พยายามว่ายเข้าไปเพื่อจะเข้าไปหาร่างของผู้เป็นแม่
ที่ถูกฝูงคน ว่ายชน พัดไกลออกไปเรื่อยๆ แม้จะตอนนี้เค้าจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง และเหนื่อยหอบเพียงใด
เด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมลดละ เค้าพยายามจะว่ายเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย เค้นแรงฮึดสู้

อยู่หลายครั้งหลายครา จนเมื่อในที่สุด ร่างของผู้เป็นแม่ ก็ได้จมลงสู่ก้นบึ้งทะเล
เด็กหนุ่มตาเบิกโพล่ง ด้วยความตกใจ วินาทีนั้นเค้าไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากการ
ตามร่างของผู้เป็นมารดา ลงไปเค้ามุดดำลงไปในน้ำ วินาทีที่ใบหน้าสัมผัสกับผิวน้ำ

ความเย็นจับขั้วก็แผ่ซ่าน ไปถึงสมองเลยทีเดียวราวกับกับถูกเข็มนับพันเล่มแทง แต่เค้าก็ยังคงกัดฟันดำลงไป
เด็กหนุ่มพยายาม แข็งใจเปิดตาในน้ำที่เย็นแสนเย็นนี้ เพื่อมองหาร่างของผู้เป็นมารดา
ซึ่งห่างออกไปเรื่อยๆ เค้าพยายามจะตะเกียกตะกายดำผุดดำว่าย เข้าไปหา

ทว่าความอ่อนล้า ก็พรากเค้าออกห่างไปเรื่อย ร่างของผู้เป็นมารดา ค่อยจมหายลับลงไปในความมืดมิดของ
ท้องทะเล หยาดน้ำตาที่ไหลรินไปกับสายน้ำ เค้าพยายามยื่นมือ ออกไปสุดแขน เพื่อที่จะไขว่คว้าเอาตัว มารดา กลับ
มาทว่าท้องทะเลก็ได้พรากเอามารดา ไปจากเขาเสียแล้ว ร่างของเด็กหนุ่ม

ถูกแรงดันน้ำค่อยๆพัดกลับขึ้นไปสู่ผิวน้ำ ใบหูที่ชาเพราะความเย็น ทำให้เสียงกลลาหล
รอบด้านนั้น แผ่วเบา เด็กหนุ่มนอนลอยเคว้งแหงนเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าที่มัวหมอง
เพื่อรอเวลาที่จะได้ตาม ผู้เป็นมารดา ไป

“ หยุดเดี๋ยวนี้!! ”

น่าอัศจรรย์นัก หูด้านชาเพราะความเย็นของทะเลจนแทบจะไม่ยินเสียงใดๆอีกแล้ว แต่กลับมีเพียงเสียงนี้เท่านั้นที่ดังก้องขึ้นมาในหัวของเค้า มันเป็นน้ำเสียงที่อ่อนหวานและฟังดูอบอุ่น ความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาหลังจากได้ยินเสียงนั้น
ทำให้เค้า รู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่ดวงตาของเด็กหนุ่มจะปิดสนิทลง

ขณะเดียวกันที่ท่าเรือ ได้เกิดเสียงโห่ร้องดังสนั่นสวน ขึ้นมาบรรดากองทหาร พากันหล่อกแล่กไปชั่วครู่
ก่อนที่ ซิสเตอร์หญิงสาวนางหนึ่งและคณะซิสเตอร์ กับเหล่าผู้ยากไร้ จะแห่กันเข้ามา
ประท้วงเพื่อหยุดยั้ง การสังหารโหดเหล่านี้

“เราคือเจ้าหญิงอลาน่า ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอสั่งให้พวกเจ้าหยุดการกระทำโหดร้ายนี้เดี๋ยวนี้ ”
เสียงประกาศนามดังขึ้นจากหญิงสาวผู้ที่นำอยู่หน้าขบวนประท้วงนี้

…………………………
…………………………………..
………………………………………………

หลายชั่วโมงต่อมา กองทหารที่เคยปิดล้อมท่าเรือไว้ได้สลายตัวไปหมดแล้วบัดนี้บนท่าเรือ ทั้งคณะซิสเตอร์
และเหล่าอาสาสมัครจากพวกผู้ยากไร้ในแอนดิซอง ต่างทำงานอย่างขยันขันแข็ง
เพื่อช่วยชีวิตเหล่าผู้อพยพ ที่ขึ้นจากน้ำมาแล้ว ตอนนี้ เหนือน่านน้ำ ร่างไร้ชีวิตของบรรดาผู้อพยพ

ก็ถูกทยอยกู้ขึ้นมากองเอาไว้บนท่าเรือการค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังเหลือตกค้างอยู่ ดำเนินเรื่อยมา
จนเมื่อราตรีมาเยือน เหล่าผู้อพยพ จึงย้ายกันไปที่เต็นท์ของคณะซิสเตอร์ ที่ห่างออกไปจากท่าเรือเพื่อหลบลมหนาว
ระลอกใหม่ที่กำลังจะพัดโหมเข้ามา

ภายในเต็นท์ ช่วยเหลือนั้น เสียงสนทนา ตะโกนไปมาดังอึกอึง อีกทั้งเสียงร้องโอดครวญเสียง ร่ำไห้ด้วยความ
โศกเศร้าจากการสูญเสีย ยังคงก้องระงม คนเจ็บถูกหามมาแล้วมาเล่า ไม่มีหยุด จนเต็นท์ไม่เพียงพอ
แก่การช่วยเหลือผู้ประสบภัย

“ นี่ยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย ที่นี่แออัดจนแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่แล้วนะ ”
“ ซิสเตอร์ เชเช ไปเบิกยาที่กองพยาบาลมาที ตรงนี้มันหมดแล้วนะ ”
“ คนที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ช่วยนั่งขดๆกันหน่อยนะคะ พื้นที่เรามีไม่ค่อยจะเพียงพอแล้ว ”

เหล่าซิสเตอร์ ต่างพยายามกันอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อพยพ ทุกคน
ทว่าความช่วยเหลือจากสภาการเมืองทั้ง 3 ก็ช่างล่าช้า ที่จริง ต้นเหตุของการสังหารโหดที่
ทะเลน้ำแข็ง นั้นก็คือ สภาทั้งสามแห่งเมืองท่านี้ สภาพ่อค้า สภาศาสนา และสภาขุนนาง
ที่ลงความเห็นจะจำกัดจำนวนผู้อพยพ และเริ่มการลงมือสังหารโหดเหล่านั้น

รูปภาพ

“ ซิสเตอร์โรซาน่า(Rosana)คะจะทำยังไงดีคะตอนนี้ เราไม่สามารถรับผู้อพยพเพิ่มมาได้มากกว่า
นี้แล้วนะคะข้างนอกนั่นยังเหลือผู้อพยพอีก นับร้อยที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเลยค่ะ ”

ซิสเตอร์ฝึกหัด คนหนึ่งเข้ามารายงานสถาการณ์โดยรวมของด้านนอกเต็นท์ ให้แก่ ซิสเตอร์อาวุสโสนางหนึ่ง
ที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับปัญหาที่แก้ไม่ตกนี้ จำนวนผู้อพยพมีมากเกินกว่า กำลังของพวกเธอ
อีกทั้ง อุปกรณ์และยารักษาก็ยังไม่เพียงพออีกด้วย ระหว่างที่กำลังวิตกกับปัญหานี้ ก็มี

กลุ่มชาวบ้านในย่านสลัมแถบนี้ กรูกันเข้ามา ขนย้ายคนเจ็บและนำเอายา เข้ามาแจกจ่าย
ช่วยเสริมแรงเหล่าซิสเตอร์บรรเทาทุกข์ เหล่าผู้อพยพ ระหว่างที่หูของ ซิสเตอร์โรซาน่า
ซิสเตอร์อาวุสโส ผู้รับผิดชอบการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์อยู่ในขณะนี้กำลังต้องการคำอธิบาย

ต่อความช่วยเหลือที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวนี้อยู่ เจ้าหญิงอลาน่า ก็ทรงเสด็จเข้ามาในเต็นท์
อย่างเงียบเพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นต่อผู้อพยพที่กำลังพักฟื้นอยู่

“ ทุกคนคะช่วยกันย้ายคนเจ็บไปยังอีกเต็นท์ ข้างๆได้เลยค่ะ ตอนนี้ข้างนอกกำลังกางเต็นท์ เพิ่มอยู่
ส่วนยารักษาและอาหาร นั้นกำลังตามมาอีกประเดี๋ยวช่วยกันแจกจ่ายแก่พวกเค้าด้วยนะคะ ”
เจ้าหญิง ทรงเข้ามาตรัสกระซิบบอกกับเหล่าซิสเตอร์ โดยยกพระหัตถ์ขึ้นปรามเป็นสัญญาณไม่ให้แสดงท่าทีแตกตื่น
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุของ เหล่าผู้อพยพที่กำลังพักฟื้น ก่อนที่ ซิสเตอร์ ทุกนางจะกระจายกันออกไป
จัดการตามที่เจ้าหญิงตรัส ไม่ช้าเหล่าผู้อพยพ ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ได้รับการบรรเทาทุกข์กันครบทุกคน

“ องค์หญิงเพคะ ยารักษาและอาหารเหล่านี้มัน… ”
ซิสเตอร์ โรซาน่าเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่การช่วยเหลือเริ่มลงตัวแล้ว

“ ฉันใช้เงินส่วนตัวซื้อมาจ้ะ ส่วนพวกอาสาสมัครเหล่านี้เค้าก็ขอมาช่วยเลยทำให้เบาแรงไปเยอะเลย ”
เจ้าหญิง ตรัสตอบข้อสงสัยของเธอสายตาของพระองค์ ดูเปี่ยมสุขเมื่อได้เห็น เหล่าผู้อพยพทุกคน
ได้รับการช่วยเหลือ

“ เพคะ…ว่าแต่พระองค์เสด็จมายามวิกาล แบบนี้…เอ่อ..แถมเมื่อช่วงบ่าย ดิฉันเองก็ได้ยินมาว่า
พระองค์ทรงเดินเรื่องระงับการจำกัดผู้อพยพ ตลอดจนถึงช่วงเย็นเลย นี่เท่ากับว่าพระองค์ยัง
ไม่ได้ทรงพักพระวรกาย เลยนะเพคะ ฝืนพระองค์มากแบบนี้เกิดประชวรขึ้นมา จะไม่ดีนะเพคะ องค์หญิง ”

ซิสเตอร์ โรซาน่า กล่าวด้วยความเป็นห่วงที่ องค์หญิงทรงตรากตรำฝืนพระวรกาย เพื่อการช่วยเหลือผู้อพยพ

“ ขอบคุณค่ะ ที่ซิสเตอร์เป็นห่วง แต่ถ้าจะให้ฉันนั่งพักสบายๆแล้วทิ้งพวกเค้าเหล่านี้ไป ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ ”
องค์หญิง ตรัสตอบอย่างนุ่มนวล ขณะที่เดิน ไปยังเตียงที่ เด็กหนุ่มผมสีขาวเงิน นอนอยู่
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นและมีสีหน้าทรมาน

“ คุณ…คุณ…แม่…คุณแม่ครับ…อย่าทิ้งผม…อย่าทิ้งผมไป… ”
เสียงละเมอพร่ำเพร้อดังเล็ดลอดออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม ก่อนที่เค้าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ดวงตาของเค้าแข็งกร้าวราวกับได้เห็นช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต เค้าหายใจฝืดฝาด
รุนแรง หัวใจเต้นระรัว ด้วยความกลัวและความขมขื่นที่ฝังจับใจ เค้ายังคงนิ่งชะงักอยู่แบบนั้น
จนเมื่อ องค์หญิงทรงวางพระหัตถ์ลงไปลูบหัวของ เด็กหนุ่มอย่างนุมนวลที่สุด

“ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่ต้องกลัวหนูปลอดภัยแล้ว…ไม่ต้องกลัวนะขวัญเอย ขวัญมา…ไม่ต้องกลัวนะ ”
องค์หญิง ตรัสปลอบจิตใจที่หวาดหวั่นของ เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายมามากมาย
นับแต่วินาทีที่ได้ยินเสียงของ องค์หญิง เค้าจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียง ที่เค้าได้ยินก่อนจะหมดสติไปที่ทะเลน้ำแข็ง
ก่อนจะฝื้นขึ้นมาบนเตียงผู้ป่วยนี้ โดยไม่มีสัญญาณใดๆ น้ำตาของเด็กหนุ่มได้ไหลรินอาบสองแก้ม

เนื้อตัวสั่นเทาหาใช่เพราะความหนาวเหน็บภายนอกหากแต่ความหนาวเหน็บภายใจที่ยังคง
บาดลึกอยู่ในหัวใจ กับภาพมารดา ที่จมลงไปสู่ก้นทะเลแสนมืดมิดนั้นได้หวนกลับขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ซิสเตอร์ โรซาน่า แสดงทีท่าตกใจนิดหน่อยที่ อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ร้องออกมา องค์หญิง เห็นเช่นนั้น ก็ทรง
วางพระองค์ประทับลงข้างๆเตียงของหนุ่มน้อย ก่อนจะโอบกอดเพื่อปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของเค้า
สัมผัสที่อบอุ่นได้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจที่ เจ็บช้ำและเยียวยาบาดแผลที่ขมขื่นนั้น ทีละน้อยๆ
แม้จะไม่ถึงกับหายไปเลยซะทีเดียว แต่มันก็ทำให้เค้ารู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด
ของร่างกายก่อนจะผลอยหลับไปในที่สุด


“ เด็กคนนี้ไปเจออะไรมานะ ถึงได้แสดงดวงตาที่ดูหวาดกลัวแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนได้แบบนั้น.. ”
ซิสเตอร์โรซาน่า เปรยขึ้นหลังจากที่ องค์หญิง ทรงลุกขึ้นจากเตียงและจัดร่างของหนุ่มน้อยให้นอนกลับลงไป
ตามเดิมก่อนจะห่มผ้าห่มให้อีกที

“ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ค่ะซิสเตอร์ พวกเราเองคงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความกลัวที่เค้าต้องเผชิญมา
…….มันคงเป็นสงครามมั้งคะที่ทำให้เกิดผู้เคราะห์ร้ายมากมายขนาดนี้ ….ถ้าหากจะมีวันที่สงครามนี้สิ้นสุดลงได้
ก็คงดีนะคะ เพื่อให้วันนั้นมาถึงและไม่ต้องให้เด็กคนไหนต้องมี ดวงตาที่ขมขื่นแบบนี้อีก… ”
องค์หญิง ตรัสน้ำเสียงเรียบ

…………………..
…………………………………….
………………………………………………….

เวลาผ่านไป หลาย ปีท่ามกลางพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ เริ่มด้วย สงครามบน
แผ่นดินใหญ่ของทวีปเมอริเซีย ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดองค์หญิง อลาน่า ก็ทรงตัดสินพระทัย
ที่จะสละตำแหน่งผู้สำเร็จราชออกบวชเป็นซิสเตอร์ และเดินทางไปยังสมรภูมิ เดือดบนแผ่นดินใหญ่
เพื่อ ช่วยเหลือเหล่าผู้เคราะห์ร้ายจากสงคราม โดยเริ่มจากการก่อตั้งค่ายผู้ประสบภัย ขึ้นไม่ไกลจากเขตสมรภูมิรบ

ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้เอง ทางจักรวรรดิซาโลม(Zalom) ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมือของผู้ครองตำแหน่งบัลลังค์
ไปสู่บลาสเซจ(BlazeSage) อำมาตย์เจ้าเล่ห์ ที่ถูกล่อลวงด้วยเหล่าปิศาจร้ายจากขุมนรกเหล่า บาป(Sin)ทั้งปวง
ได้นำจักรวรรดิ์เพลิงแห่งซาโลม เข้าสู่ด้านมืด คิดการใหญ่ใช้กองกำลังปิศาจ เพื่อที่จะยึดครองทั้งเมอริเซีย

และแล้วบัดนี้ เรื่องราวการต่อสู้ที่ ได้สาปสูญไปกับพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้กำลังจะเปิดเผยขึ้นมา…..

…………….

ลมร้อนแห้งๆ พัดผิวทรายจนเป็นระลอกคลื่น กระจัดกระจายอยู่ทั่วสมรภูมิ ทะเลทราย
กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นฉุนของซากศพ ในสนามรบโชยมากับสายลม เสียงศาสตราวุธ
กระทบดังแว่วมาไม่หยุดหย่อย เสียงโห่ร้อง เสียงคำราม กึกก้องกัมปนาท ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

สายตาของชายหนุ่มผมสีขาวเงิน เหม่อมองออกไป ยังจุดสนามรบที่อยู่สุด
ขอบอีกฟาก ของเนินทรายสูงบนทะเลทราย ที่เค้ายืนอยู่นี้

“ อ้าว! ยังไม่เตรียมตัวอีกเหรอ สเวน ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวผมสั้นบ็อบสีม่วง เดินเข้ามาหาเค้าด้วยกันกับ ชายผิวคล้ำผมตั้งชี้ปลายสีดำ
อีกทั้งสวมแว่นกันแดด อันเล็กประดับไว้บนหน้า

“ ซิควู้ด กับ แรสซิล เองเหรอ… ”
ชายหนุ่มผมสีเงินหันกลับมา มองหน้าเพื่อนๆที่เค้ามาทัก

“ อีกประเดี๋ยวก็จะเริ่มกันแล้ว… ”
หญิงสาวเอ่ย พลางยิ้มอย่างน่ารักมนิดๆ ราวกับกำลังจะไปออกศึก ด้วยอารมณ์สำราญบานใจ

“ ว่าแต่จะให้ไปช่วยพวกคณะซิสเตอร์บรรเทาทุกข์งั้นเหรอ ”
ชายผิวคล้ำ เอ่ยถามอย่างฉงน แม้ว่าเค้าจะมากับเธอ แต่ก็ดูเหมือนจะถูกตามตัวมาแบบงงๆเสียมากกว่า

“ หึ….ในโลกนี้จะมีไอ้บ้าที่ไหน ส่ง Empyrean Adjust (ตัวแทนแห่งนภาสรวง) ไปบรรเทาทุกข์กันบ้างเล่า…. ”
หญิงสาว ตอกกลับติดตลก นิดๆ เพื่อให้ชายผิวคล้ำช่างสงสัย ไม่ถามไปมากกว่านี้

“ ดูเหมือนภารกิจนี้จะให้เราไปทดสอบเจ้า เครื่องใช้วิกฤติ ที่สร้างเสร็จแล้วน่ะนะ ส่วนไอ้พวก
ค่ายผู้ประสบภัยนั่นก็แค่รับใบบุญจากเราไปเท่านั้นเอง ”
หญิงสาวตอบ ก่อนจะเดินทำ ชายทั้งสอง ลงจากเนินทราย

หลังเนินทรายที่ขึ้นสูงจนบดบัง เรือจักรกลลำย่อมเอาไว้ ฐานของเรือนั้นลอยอยู่เหนือพื้นทราย
ด้วยแรงลมที่พัดออกมาจาก เครื่องจักรบนเรือ ทำให้ ฝุ่นทรายปลิวคละคลุ้ง นี่คือ เรือแล่นนภา (Travel Airship)
ที่จะออกเหาะแล่นไปบนอากาศ ดังนั้นจึงไม่เกี่ยงว่าจะเป็นทะเล หรือ ทะเลทราย

รูปภาพ

………………………….
………………………………………

ท่ามกลางสมรภูมิ เดือดบนพื้นทรายนี้ ทหารผีดิบสามหัว(Necrotrooper)ใช้ จงอยแขนที่แหลมยาว แทงฉีกทึ้งร่าง
ของทหาร ในสนามรบจนล้มตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว นักรบอสูรเพลิง(Evil Fire Warrior) ใช้ร่างที่ทรงพลัง
ตวัดดาบอัคคี กวาดล้มกองทัพ ทหารยูนิคอร์นทั้งคนทั้งม้า ล้มระเนระนาดไปทั่ว ยิ่งกองหนุนของเหล่าทหารมา
กันมากเพียงใด ก็ราวกับว่าพวกมันจะยิ่งบ้าคลั่งอาละวาดหนักมาขึ้นเรื่อยๆ

รูปภาพ
รูปภาพ

การศึกในตอนนี้ กองทัพของจักวรรดิ์ซาโลม ได้เปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งกองทัพทหารผีดิบที่ไม่มีวันตายเว้นแต่จะถูก
สับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วยังทัพนักรบอสูรเพลิงอีกนับพัน เหนือสิ่งอื่นใด การยกทัพมาตีในครั้งนี้เป้าหมายกลับไม่ใช่
การยึดครองเมืองแต่กลับเป็นการทำลายค่ายพักผู้ประสบภัย ที่ เจ้าหญิง อลาน่า ได้ทำงานอยู่
อีกทั้ง บุตรชายของซาร์ดิน(Zadin)อดีตจักรพรรดิ์แห่งซาโลม ที่ถูก เบลสเซจ ลอบปลงพระชนม์ไปนั้น

ก็ได้อยู่ช่วยงานรักษาผู้ประสบภัย อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

“ ขืนเป็นแบบนี้ พวกมันจะต้องบุกมาถึงค่ายแน่เลยนะครับ ซิสเตอร์ อลาน่า ”
เด็กหนุ่มผมหยิกหยักศก แต่งกายแบบชาวฟูดินัน กล่าวขึ้นโดยที่สายตานั้นยังคงจ้องมองออกไปยัง
เหล่ากองทัพ ผีดิบ ที่จวนเจียนจะมาถึงค่ายพักผู้ประสบภัยในอีกไม่ช้าอยู่แล้ว

“ พวกมันต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้มาปิดล้อมค่ายพักของเรากันนะ ที่นี่มีแต่คนเจ็บมากมาย
ไม่มีอะไรให้พวกมันเอาไปซักอย่าง ”
ซิสเตอร์อลาน่า เปรยด้วยสายตาเป็นกังวล เธอและคณะซิสเตอร์ พยายามจะย้ายค่ายและคนเจ็บลี้ภัยไป
ยังเขตของฟีเลเซีย เพื่อให้กองทัพศาสนจักร Ekklesia ช่วย ปกป้องจากการรุกรานของเหล่าผีร้ายพวกนี้
แต่ก็กลับติดแหงกอยู่ในวงล้อมของพวกมันทีตีกระหนาบมาทั้งสองทิศทาง

………………….

ห่างออกไป จากวงล้อมของ เหล่าทัพแห่งจักรวรรดิ์เพลิง เรือแล่นนภา ได้แล่น ตรงรี่เข้ามายัง
วงล้อมนั้น เข้าไปเรื่อยๆ

ภายในท้องเรือนั้น ชายหนุ่มผมสีเงิน กับชายผิวคล้ำ และหญิงสาวผมสีม่วง ทั้งสาม ง่วนอยู่กับการประกอบ
อุปกรณ์ ให้เป็นลักษณะเชิงตะเกียง รูปมังกร และสิ้นสุดด้วยการ เอาหินศิลาก้อนขนาดกำมือ ขึ้นมา
วางไว้เหนือหัวเชิงตะเกียงซึ่ง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อ ศิลานั้นกลับลอยอยู่เหนือเชิงตะเกียงได้โดยที่ไม่หล่นลงมา

รูปภาพ

“ ประกอบ เครื่องใช้วิกฤติ เรียบร้อยแล้ว จะให้ทำไงต่อล่ะ ”
หญิงสาวผมสีม่วง เอ่ยถามขึ้นลอยๆ ภายในห้องมืดสลัวที่พวกเค้าสามคนอยู่

“ เอามือแตะไปที่ศิลามังกร(Dragon Stone)เทียมแล้วหมุนมันช้าๆจนครบรอบนะ ”
เสียงดังตอบกลับมาจาก กรวยโทรโข่งที่ เพดานของห้อง ทั้งสามจึงทำตามเสียงนั้น
ทันทีที่ ศิลามังกรเทียมหมุนครบรอบ ก็เกิดสว่างวาบจากศิลา เข้าอาบร่างของ ทั้งสาม
และเมื่อแสงนั้นจางลง ร่างของทั้งสามกลับกลายเป็น อัศวินครึ่งคนครึ่งมังกรไปเสียแล้ว
ผนังท้องเรือ ด้านหนึ่งค่อยๆเปิดออกเป็นสะพานยื่นออกไป สู่สนามรบตรงหน้า

“ แชนเดลแซร์ ซิควู้ด (Shandelzare Silkwood) ทาโซรอส (Thasolos, the Dragoon of Thaliwilya)ไปล่ะนะ!! ”
หญิงสาวผมสีม่วงผู้กลายเป็นอัศวินมังกรร่างหุ้มด้วยเกราะเกล็ดมังกรสีน้ำตาลดินเหน็บดาบโค้งยาวไว้ที่หลัง
และหอบติดโล่กรธโหลกมังกรไว้ด้วยมือซ้าย ประกาศตัวก่อนจะวิ่งทะยานลงจากเรือไปยังสมรภูมิ
อย่างรวดเร็ว

รูปภาพรูปภาพ

“ แรสซิล ดาร์คบริว(Razzil Darkbrew) ทาลิคนัส(Thalignus, the dragoon of thaliwilya) จะไปล่ะ!! ”
ชายหนุ่มผิวคล้ำ ผู้กลายเป็นอัศวินมังกรหุ้มเกราะเกล็ดมังกรสีแดงเพลิง กระชับ กระบี่ยาว
และโล่เกล็ดมังกร ตะโกนพร้อมโจนทะยาน ตาม เธอไป

รูปภาพรูปภาพ

“ สเวน แตร์เซส(Sven Tarexex) ทาลูคัส(Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya) ออกตัว!! ”
ชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวเงิน ประกาศในร่างของ อัศวินมังกรสีขาว สยายปีกกว้างเหินออกจาก เรือลงไปสู่สมรภูมิ
พร้อมชักดาบหนังมังกรสีขาวคลิบคมคมทอง ออกมากระชับ ก่อนจะพุ่งลงไปตวัดดาบ ฟาดฟันกับเหล่ากองทัพ
ปีศาจที่เบื้องล่าง

รูปภาพรูปภาพ


To be Continue Next Cos Chapter : Phase (มุมมอง)
………………………………………………..
…………………………………………..
…………………….

เนื่องด้วยว่า SMN VR ปั่นไม่ทัน เพราะช่วงลงทะเีบียนเรียน พึ่งจะจบความวุ่นวายไป จะปล่อยให้ รอกันก็กะไรอยู่
เลยเอานี่มาให้อ่านแก้ขัดไปก่อน นะขอรับ สำหรับซีรี่ย์นี้ เป็นตอนสั้นๆ 3 Chapter จบ
ซึ่งเดิมที Fic ตัวนี้ คือต้นฉบับจริงของ ภาค วายครอสออฟทาลิวิลย่า แต่ติดที่ว่า เนื้อหามันค่อนข้างจะดราม่า
ทั้งในความหมายตรงๆตัวหรือจะอ้อมๆก็เถอะ เพราะทั้งเรื่องมันแสดงให้เห็นอีกมุมของผู้คนที่มอง อลาน่า
ต่างออกไปจากพระผู้ช่วย ที่สวรรค์โปรดมา

ถ้าใครหมั่นไส้หรือเกลียด อลาน่าอยู่แล้ว อ่านอันนี้ไปคงไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ แต่คุณชอบ อลาน่า มากๆล่ะก็
จะด่าอะไรด่าไปที่ สเวน นะขอรับ อย่ามาลงที่โผมน้า ::006:: ถ้าแค่ Chap แรกยังมองไม่เห็น ว่าเรื่องมัน
แสดงออกไปทางว่าร้าย อลาน่า ยังไงล่ะก็ รอดู Chap ที่ 2 ครับ ขอบอก โดนเละเลยเชียวล่ะ เหอๆ



นั่นคือ ข้อความที่น้องชายของดิฉันฝากมาค่ะ (นี่ ปิโยม่อน นะคะ) เฮ้อ~ พูดไปเจ้าธนัท เอ้ย เจ้าเกรม่อนน้องชาย ฉันเนี่ย
ไม่ค่อยจะได้ความเล้ย ขอบอกตรงๆค่ะ ซีรี่ย์ นี้เป็นชุดทาลิวิลย่า ที่รู้สึกไม่อภิรมย์ พระเอกซักเท่าไหร่เลย อีตา สเวน เนี่ย
มันจะเป็นไงน่ะหรือ Chap 2 กับ 3 ตอบคุณได้ค่ะ ::014::

ได้อ่านล่ะก็จะรู้เลยว่าทำไม ถึงไม่ยอมให้เอาซีรี่ย์นี้ลงจวบมาจนบัดนี้ เฮ้อ~~ ไปล่ะค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ พ.ย. 09, 2009 2:09 am, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย boy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 07, 2009 8:01 am

::035:: อลาน่าช้านนนนนนนนนนนน
ใครมีแส้กับกุญแจมือไว้ยืมฆ่าเจ้า 3 ตัวนั้นที - -+
รูปภาพ
รูปภาพ


มนุษย์ธาตุน้ำกลายเป็นมังกรธาตุไฟ......
มันช่างตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงงงงงงงงง
-//โดนดูดเข้าหลุมดำ
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ เสาร์ พ.ย. 07, 2009 2:27 pm

Cos Chapter : Phase (มุมมอง)


ภายในโลกแห่งเทอร่า(Terra) เรื่องราวเล่าขานสืบทอด ตำนาน และสงคราม ที่เก็บงำเอาไว้ในประวัติศาสตร์
ของดาวดวงนี้ บนเทอร่าแห่งนี้ประกอบด้วย มหาทวีปใหญ่ 7 ทวีป เลาดิเชีย อาริมาเธีย คาดาร่า ดิสอาปจูร่า
มิสรายิม โทร่า และ เมอริเซีย ทวีปแห่งศูนย์กลางของโลกเทอร่า ทวีปเมอริเซียผืนนี้ ประกอบไปด้วย
ลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างและหลากหลาย ทำให้วัฒนธรรมของ แต่ละประเทศในทวีปนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

บนผืนแผ่นดินใหญ่ของ เมอริเซีย นี้ประกอบด้วย อาณาจักรใหญ่ๆ 3 อาณาจักร ได้ราชอาณาจักรแห่งสายลม
นครแห่งอัศวินอันเกรียงไกร ราชอาณาจักร ฟีเลเซีย(Felasia)

ถัดไปทางทิศตะวันออก คือผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล
อันมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลจาก รากของต้นมหาพฤกษาใบสีเงิน ที่มีลำต้นใหญ่โอฬาร สายธาร ไหล

ตัดผืนป่าและเกิดเป็นทะเลสาบใหญ่ หล่อเลี้ยงทุกชีวิต วัฒนธรรมพื้นเมืองของที่นี่คือชนเผ่า ที่มาอยู่รวมกัน
และสถาปนาขึ้นเป็น อาณาจักรโดยใช้นามของ ชนเผ่ากลางเป็นชื่อแห่งราชอาณาจักรอันอุดมสมบูรณ์
นี้ว่า ฟูดินัน(Fudenun)

ห่างออกไปสุดเขตทางเหนือคือทะเลทรายกว้างสุดสายตา ตัดผ่านเส้นขอบฟ้าในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้
ได้สร้างสุดยอดนักรบที่แข็งแกร่งเพื่อจะเอาชีวิตรอด ในนรกภูมิแห่งทราย
ราชอาณาจักรแห่งเพลิงอัคคี จักรวรรดิ์อันเกรียงไกรแห่งดินแดนเถื่อน ซาโลม(Zalom)

หันลงสู่พื้นสมุทรแสนกว้างไกล แผ่นดินเล็กแผ่นดินน้อย และเกาะมากมาย บนพื้นสมุทรนี้
ราชอาณาจักรแห่งคลื่นฟองนี้ แบ่งเป็นสอง น่านน้ำที่มีมังกรร้าย เวียนว่าย
เมืองท่า (Port Land) และ แผ่นดินแม่ แห่งราชอาณาจักรแอนดิซอง วัฒนธรรมของ
พวกเค้าใกล้ชิดกับ นครแห่งใต้สมุทร เลมูเรีย(Lemuria)

สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันทำให้เกิดสภาพวัฒนธรรมที่ต่างกันไป นี่กระมังคือสาเหตุที่ความขัดแย้งจะพึงเกิดได้ทุกเมื่อ
มีคำกล่าวไว้วว่า บนภูมิฐาน ของวัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่มีใครอยาก ก้าวก่ายใคร แต่เมื่อใด
ก็ตามที่มีใครอ้างตนว่าครอบครองเหนือทั้งหมด ไม่นานก็จะมีอีกหลายคน อ้างเช่นนี้ และเกิดการแย่งชิง
บานปลายไปเรื่อยๆ

ในที่สุดเมื่อมีคนลุกขึ้นจับอาวุธ เพื่อรุกราน ก็ย่อมมีผู้โต้ตอบ ความไม่เข้าใจก่อเกิดเป็นไฟสงคราม
และแพ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เป็นดังเช่นที่คำกล่าว เมอริเซีย ตกอยู่ในภาวะของสงคราม
จากการรุกรานของ จัรกวรรดิ์แห่งเพลิง ซาโลม การศึกไม่ได้มีเพียงแค่ระหว่างประเทศ
แต่ภายในประเทศก็มีศึกเช่นกัน การแก่งแย่งชิงชัง นั้นมีมากมาย

เมื่อบังลังค์ของราชอาณาจักรเปลี่ยนมือ รูปการณ์ของสงครามก็จะเปลี่ยนไป
เคยมีอีกคำกล่าว สงครามคือวิวัฒนาการของมนุษย์ ในความสงบสุขล้วนแต่จะก่อเกิดความเหลวแหลก
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งมนุษย์ก็จะก่อสงครามขึ้นอีก เพื่อผลักดันดิ้นรน ไปสู่วิวัฒนาการใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

หากคำกล่าวนี้ถูก มนุษยชาติก็คงไม่อาจหลีกหนีไปจากสงครามได้ หากสงครามคือสัจธรรม
แล้วชีวิตที่ต้องสูญเสียไปจะมีค่าฉันใดเล่า

อีกคำกลาวคือคำสอน สู่สันติ เพื่อลบคืนวันที่มีแต่ความขมขื่นและการสูญเสีย แก่นแห่งหัวใจ
คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงทุกผู้เข้าหากัน และในเวลานั้นสิ่งจะถูกเรียกว่า สันติ

หากสันติคือความสงบสุข และ ความสงบสุขก่อเกิดความเหลวแหลก ความเหลวแหลก ก่อเกิดซึ่งสงคราม
ความแตกต่าง คือตัวแปรที่ชี้ชัดถึงผลลัพธ์ที่จะได้ เป็นดั่งเส้นแกนตรีโกณมิติ XYZ ที่แกนทั้งสามวิ่งตัดกัน
หากจะมองไปในมุมมองใดเพียงมุมเดียวก็จะพบแต่ความแตกแยก ที่ไม่มีวันมาบรรจบกันเพราะมีแต่จะ
ไกลกันออกไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด

แต่หากมองในมุมมองของทั้งสาม การมองภาพรวมจะทำให้เกิดสัจธรรมใหม่ ปลายของแกนทั้งสาม
ยืดยาวออกไปได้ไม่มีสิ้นสุด โดยมีศูนย์กลางที่ตัดกันอยู่ทั้งสามเส้น เป็นจุดบรรจบนั่นเอง
การมองในมุมมองทั้งสามแนวนี้คือ YXZ (วายครอสซีต้า)………

……………………………….
………………………………………….


ฝุ่นทรายปลิวคละคลุ้ง ปกคลุมทั่วท้องสมรภูมิทะเลทราย ต่อหน้ากองกำลังนับพัน ของฝูงทหาร ผีดิบ และ นักรบเพลิงอสูร
ที่บุกเข้าโรมรัน อย่างบ้าคลั่ง กองทหารราบ และทัพยูนิคอร์น ที่มีเพียงหยิบมือ ไม่อาจต้านทานการบุกของ กองทัพ
แห่งจักรวรรดิ์เพลิงได้แม้แต่น้อย ที่ด้านหลังแนวรบของพวกเค้า คือค่ายพักผู้ประสบภัย ที่เต็มไปด้วยคนเจ็บมากมาย
และ คณะซิสเตอร์ ที่ไร้ทางสู้ หนำซ้ำทหารผีดิบ นั้นต่อให้ฟันหัว หรือผ่าร่างของพวกมันเป็นซีกแล้วก็ตาม
มันก็ยังคงสู้ต่อไปได้ วิธีเดียวที่จะจัดการกับพวกมันเหล่านี้คือการ สับจนซากของพวกมันเป็นชิ้นๆ
แต่ด้วยจำนวนของ ทหารที่มีเพียงหยิบมือเดียวนี้ การจะทำเรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
หรืออีกวิธีคือการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ เข้าจัดการกับพวกมัน หากแต่ คณะซิสเตอร์ ก็ไม่มีอำนาจแก่กล้าพอจะ
ทำแบบนั้นได้

เอ้าหลีกๆ!! ใครไม่อยากตายก็ถอยไป !!!

เสียงตะโกน ดังลั่นขึ้นมาจากแนวหลังของกองทัพปีศาจแห่งจักรวรรดิ์เพลิง ก่อนที่ อัศวินครึ่งมังกร
สีน้ำตาลดิน จะแหวกแนววงล้อมของ เหล่าทหารผีดิบ จนแตกกระเจิง ด้วยการควบดาบโค้ง กวาด
ไปรอบๆอีกทั้งยังใช้โล่กระโหลกมังกร กระทุ้งให้ ทหารผีดิบที่ขวางทางอยู่เสียหลัก แล้วจึงตวัดคมดาบ
ผ่าร่างของมันขาดสองซีก ซากร่างของ ทหารผีดิบที่ถูกคมดาบของเธอผ่าไปนั้น แทนที่จะขยับต่อและตอบโต้

มันกลับค่อยๆสลายเป็นฝุ่นทรายไป เลือดปีศาจสดๆ ที่ไหลออกมาจากร่างของพวกมัน นั้นพากันเดือดพล่าน
ส่งเสียงฉู่ฉ่า ไปทั่วสนามรบ อีกด้านหนึ่ง เหล่าทหารผีดิบ ที่แนวหลัง ทยอยถูกไฟครอกเผาจนเกรียม
สลายเป็นเถ้าธุลี ไปทีละตัวๆ ด้วยการลงกระบี่ยาว ในมือของอัศวินมังกรสีแดง

ทุกครั้งที่กระบี่ ตัดผ่านส่วนใดก็ตามของพวกทหารผีดิบ ก็จะเกิดประกายไฟแวบวาบขึ้น
ก่อนลุกลามกลายเป็นไฟที่สุมครอกทั้งร่างของพวกมัน

“ เข้ามาอีกเซ่ จะจับย่างสดให้หมดเลยไอ้พวก ผีเน่า!! ”
อัศวินครึ่งมังกรกายสีแดงผู้กวัดแกว่งกระบี่เพลิง ท้าทายต่อวงล้อมของพวกมันที่
ตีกรอบต้อนจนเค้าจนมุม

“ แลสซิล!! ถอยออกมา!! ”
เสียงตะโกนดังขึ้น เค้าไม่รีรอที่จะหันไปมองว่าใคร สั่ง สองขาย่อเข่าลงถีบตัวกระโจน ออกจากวงล้อมของ
พวกมัน ทันที ก่อนที่ อัศวินมังกรสีขาวจะพุ่งลงมาที่ใจกลางวง พร้อมกับฟาดดาบหนังมังกร ซึ่งอาบไว้ด้วยแสง
สว่าง ลงไปบนพื้นทราย แสงสว่างที่อาบที่คมดาบ ได้แพร่กระจายตัดผ่าร่างของเหล่าทหารผีดิบ
ร่างของพวกมันระเบิดกระจุยเป็นเศษผงในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

สามนักรบมังกร ยังคงเฮโลอาละวาดไล่ตีฝ่าทะลวง กองทัพผีดิบ อย่างเมามันส์
ไม่นานทัพของพวกมันก็เริ่มที่จะร่อยหรอ นักรบอสูรเพลิง ที่อยู่กระจายกันในกองทัพทหารผีดิบ
ที่ทยอยออกมาจัดการกับ สามนักรบมังกร ก็เชื่องช้าเกินกว่าจะแตะต้องพวกเค้าได้
ไม่พ้นถูก คมดาบ จ้วงทะลวง ฟันจนล้มหงาย

สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เหล่าทหารเริ่มมีกำลังใจแม้จะยัง งงๆ กับการมาของ สามนักรบมังกร
แต่กำลังของศัตรูก็ถูกจัดการจนแตกพ่ายไม่เป็นท่า บรรดาทหารจึงเฮโลกันไล่ตีโต้กลับจน พวกมันถอนทัพไปในที่สุด
พร้อมกับ อัศวินมังกรทั้งสาม ก็ได้หายตัวไปจากที่แห่งนั้นด้วย
……………………………….
…………………………………………

หลังกองทัพแห่งจักรวรรดิ์เพลิง ถอยหนีไป เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงยามโพล้เพล้ ดวงตะวันคล้อยเกือบลับสายตา
อากาศ เริ่มเย็นลงจนไม่น่าเชื่อว่า ทะเลทรายที่แสนร้อนระอุเมื่อกลางวันนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ ได้อย่างกลับตาลปัตร เช่นนี้ อุณหภูมิที่เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสลมแรง พัดผ่านทั่วท้องทะเลทรายผืนใหญ่
จนผิวทรายก่อตัวลู่ไปกับแรงลมเป็นระนาดคลื่นไป

ในยามนี้เอง ค่ายพักผู้ประสบภัย ก็ตกอยู่ในความสับสนอลม่าน เมื่อต้องรีบจัดการ ย้ายค่ายไปให้ถึง เขตฟีเลเซียโดยเร็วที่สุด เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของ ศาสนจักร ให้ช่วยคุ้มคร้องจาก กองทัพทหารผีนรกแห่งจักรวรรดิ์เพลิง


“ พวกยารักษาเอาขึ้นรถเข็นไปเลย!!~ ตรงนั้นยังว่างอยู่!! ”
“ คนที่พอจะขยับไหว ช่วๆยกันหน่อยนะ ค้า~~ ”
“ นี่!!ตรงนี้เชือกไม่พอแล้วนะ!! ”

เสียงตะโกน โหวกเหวกดังกันอื้ออึง ในยามนี้ไม่มีใคร ข่มใจพักได้อย่างเต็มอกนัก แม้จะเหนื่อยมาจากศึกเมื่อ
กลางวันแล้วก็ตามที ทว่าศัตรูจะบุกมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเค้าจึงไม่อาจเย็นใจ ที่จะพักได้ คนที่ยังพอมีแรงก็
จะไปช่วยขนสัมภาระขึ้นรถเข็น แม้แต่งานหนักๆพวก ซิสเตอร์ก็ยังต้องมาทำไปด้วย เพราะ คนไม่พอ

ซิสเตอร์ อลาน่า ทอดสายตามองความวุ่นวายภายในกระโจมเต็นท์ เธอรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่มีทางย้ายหนีได้ทันก่อนการบุกของทัพศัตรูอย่างแน่นอน เพราะจำนวนคนเจ็บนั้นมีมากมาย การขนย้ายจึงล่าช้าไปหมด ทางเดียวที่จะช่วยค่ายแห่งนี้ได้
คือ กองกำลังของศาสนจักรจะต้องตามมาช่วยให้ทันเวลา แต่ก็เป็นการยากยิ่ง เพราะค่ายยังอยู่ห่างเกินไปที่จะกองกำลังจะตามมาช่วยได้ทัน

“ ซิสเตอร์….ซิสเตอร์ครับ….ท่านซิสเตอร์ อล่าน่า ”
เสียงเรียกเธอดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กว่าเธอจะรู้ตัว เสียงนั้นก็ต้องตะเบงเรียกอยู่นาน
อลาน่า หันไปรับคำจาก เด็กช่วยมิสซา ที่เรียกเธอทันที

“ จ้ะโฮลี่(Holy)มีอะไรเหรอ ”

“ ท่านแม่ทัพของกองกำลังคุ้มกัน มีเรื่องจะปรึกษา น่ะครับ ”
เด็กช่วยมิสซา กล่าวก่อนจะหันสายตาไปยัง นายทหารผู้มียศแม่ทัพของกองกำลังคุ้มกันค่ายแห่งนี้
ที่รอเธอ อยู่ บริเวณหน้าทางเข้ากระโจม เธอบอกให้ โฮลี่ กลับไปทำงานต่อก่อนจะเดิน เข้าไปหา แม่ทัพ

ระหว่างทางที่เธอ เดินผ่านไปนั้น หญิงสาวผมบ็อบสีม่วง และ ชายหนุ่มผิวคล้ำสวมแว่นกันแดด ซึ่งกำลังทำทีเป็น
พันผ้าพันแผล ให้ชายผมสีขาวเงิน ที่นั่งอยู่บนแคร่ ในกระโจม ทั้งสอง ชายสายตามองตามเธอไปไม่ให้คลาด รวมไปถึง
ชายที่กำลังถูกพันผ้าพันแผลด้วย

พวกเค้าทั้งสามอยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน บทสนทนาของ อลาน่า กับ แม่ทัพกอง ที่คุยกันอยู่หน้ากระโจมได้
แม้ว่าเสียงภายในกระโจมจะดังจนทำให้ ขาดตอนไปบ้างก็ตามที

“ อะไรนะคะ!! ”
สนทนากันไปได้ซักพัก ซิสเตอร์อลาน่า ก็อุทานเสียงลั่น จนดังเข้าไปถึงในกระโจม
ทำเอาทุกคนหันมามอง ทางเดียวกัน ทุกคนต่างหยุดพูดคุยสนทนาพร้อมๆกันทำให้เสียงกระโจม
เงียบลง พวกเค้าทั้งสามจึงพอจะเริ่มได้ยินบทสนทนาของ เธอและแม่ทัพกอง

“ คือว่าใจเย็นๆก่อนสิครับ….ถ้าเรายังขืนมัวชักช้าอยู่ที่นี่คงได้ตายกันหมดทั้งค่ายแน่ ”
แม่ทัพกอง เปรยเสียงแหยงๆ ด้วยไม่รู้ว่าเธอจะโกรธจนตะเบงเสียงขึ้นมาแบบนี้
ซึ่งนั่นก็พลอยทำให้ทุกคนในกระโจม รู้สึกสนใจมากขึ้นไปอีก ว่าอะไรทำให้ ซิสเตอร์ อลาน่า
ถึงกับต้องตะเบงเสียง ดังลั่นขึ้นมาแบบนั้น

“ จะให้ทิ้งพวกคนเจ็บแล้วหนีเอาตัวรอดนะเหรอคะ ดิฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ!! ”
“ ป…ป…เปล่า นะ ท่านซิสเตอร์ กระผมแค่หมายถึงว่าคนที่เกินเยียวยาน่ะถ้ายังก็ต้องตายอยู่แล้ว
ก็… ”
“ ก็จะให้ทิ้งไว้งั้นหรือคะ!! ถึงพวกเค้าไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่พวกเค้าก็มีสิทธิที่จะอยู่จนถึงวาระสุดท้าย
นะคะ!! ”

ซิสเตอร์อลาน่า เธอยังจะยืนยันเหมือนเดิมที่จะไม่ทอดทิ้งใคร เพื่อให้ตัวเองหรือคนอื่นรอดอย่างเด็ดขาด
เธอต้องการช่วยเหลือทุกคนทั้งหมดอย่างเท่าเทียม แต่ถึงกระนั้นความคิดของเธอก็ไม่อาจจะถ่ายทอดไปถึงตัว
นายแม่ทัพได้ เต็มที่นักเพราะด้วยทางการทหารแล้ว ในสงครามคนที่สู้รบไม่ได้ ก็ต้องตัดทิ้งไป
เหลือไว้เพียงคนที่สามารถใช้งานได้จริงเท่านั้น

“ แต่ว่า สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีนี่ขอรับ สู้ช่วยคนที่ยังพอจะอยู่ต่อไปได้จะ… ”
แม่ทัพกอง กล่าวตัดพ้อต่อคำพูดของเธอ ยังไม่ทันจะจบ

“ พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงประทานทุกชีวิตให้อย่างเท่าเทียม เราไม่มีสิทธิจะไปตัดสินคุณค่าชีวิตของใครค่ะ ”
เธอแทรก ขึ้นด้วยคำสอนที่เธอเรียนรู้อยู่มา เนิ่นนานแล้วตั้งสมัยที่ยังเป็นเจ้าหญิง

“ แต่ว่า…การยอมเสียส่วนน้อยเพื่อปกป้องส่วน มากจะเป็นการดีกว่ามิใช่หรือขอรับ เพราะถ้าดึงดันอยู่แบบนี้
พวกเราจะไม่รอดกันหมดเลยนะขอรับ โปรดเข้าใจด้วย ”
เค้ายังพยายามต่อไปที่จะให้เธอ ตัดสินใจ ซิสเตอร์ อลาน่า เธอต้องทนข่มอารมณ์ของตัวเองไว้
การที่แม่ทัพผู้นี้จะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการ จะสื่อเลยนั้นเป็นธรรมดา เพราะเค้าเป็นทหาร
ถูกปลูกฝังในเรื่องของการรบมา จะมาเข้าใจในอุดมการณ์ของคณะซิสเตอร์เช่นพวกเธอที่ต้องการ
จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หมดทุกชีวิตได้เยี่ยงไร

“ ดิฉันเข้าใจค่ะ….เข้าใจเป็นอย่างดีเลยด้วย แต่ว่าท่านแม่ทัพล่ะคะ เข้าใจบ้างรึเปล่าถึงเหตุผลที่เราตั้งค่ายพักผู้ประสบภัยขึ้นมา….เพื่ออะไรล่ะคะ ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจากสงครามหรอกหรือคะ!! ”
เธอเอ่ยขึ้นอย่างเกร็งๆ ริมฝีปาล่างสั่นเครือเล็กน้อย วาจาของเธอทำเอา นายแม่ทัพ เงียบไปทันที
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นภายในกระโจม มันเงียบจนเสียจนเสียงอึกอึงเอะอะวุ่นวาย
ของการขนย้ายข้าวของด้านนอก ได้ยินชัดขึ้นมาเลยทีเดียว ในตอนนี้คนที่เข้าออกกระโจม เพื่อจะขนย้ายสัมภาระ
เองก็เริ่มหยุดมือจากงาน และจ้องมาทาง ซิสเตอร์อลาน่า กับ แม่ทัพกอง

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพกอง ไม่อาจที่จะต่อรองกับเธอได้อีก เพราะหากเค้าดึงดัง อาจถูกต่อต้าน
เอาได้ และนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก

“ สมเป็นคำพูดสวยหรูของพวกขุนนางซะจริงนะ…. ”
ในวินาทีที่เงียบเฉียบนี้ ชายผมสีขาวเงิน ในกลุ่ม ของทั้งสาม กลับเอ่ยวาจา กระแหนะกระแหนต่ออุดมการณ์
ของเธอขึ้นมา ทุกสายตาในกระโจม หันไปจับจ้องเป็นที่เดียว ที่แคร่ซึ่งเจ้าของวาจานั้น นั่งอยู่

“ ฮี้ย~~ นี่ สเวน พูดออกไปแบบนั้นได้ไง ”
หญิงผมบ็อบสีม่วง ที่นั่งอยู่ข้างๆเค้ากระซิบพลางกระทุ้งสีข้าง หนุ่มปากเสีย ที่ยังจ้องเขม็งไปที่ซิสเตอร์อลาน่า
ด้วยสายตาชิงชัง ราวกับว่าเธอเป็นตัวน่ารังเกียจ หรือ เธอพูดอะไรที่สะกิดใจเค้าออกมา

“ อ….เอ้อ คือขอโทษแทนหมอนี่ด้วยนะคร้าบบบ!! พอดีมันเจ็บแผลก็เลยหัวเสียพูดอะไรเพี้ยนๆ
ออกมาแบบนี้น่ะครับอย่าถือโทษโกรธมันเลยนะคร้าบบ! ”
หนุ่มผิวคล้ำที่นั่งยองๆทำทีเป็นพันผ้าพันแผลที่แขนให้ รีบ ลุกขึ้นมาแก้ต่างลนลานเป็นการใหญ่
ทว่าเรื่องยังไม่ทันจบ เจ้าเพื่อนปากเสีย ก็ลุกพรวดขึ้นมา ชนจนตัวเองเซถลา ไปส่วนเจ้าเพื่อนปากดี
ก็ทำเป็นไม่สน เดินเข้าไปหา อลาน่า

“ อุดมการณ์สวยหรูที่พ่นๆออกมาน่ะ ถ้าทำไม่ได้จริงอย่างที่ว่าล่ะก็อย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า... ”
หนุ่มผมสีขาวเงิน ยังคงออก วาจา ติเตียนเธอ ไม่ลดราวาศอกราวกับแค้นเคืองกันมาก่อน
ขณะที่ ซิสเตอร์อลาน่า ทำได้เพียงแค่ยืนฟังคำต่อว่าของเค้า โดยที่ทำอะไรไม่ถูก

“ คิดจะซ้ำรอยเดิมอีกหรือไง!! การสังหารหมู่ที่ทะเลน้ำแข็งนั่นคงไม่สาแก่ใจล่ะสิ!! ”
เค้าแผดเสียงใส่เธอ ก่อนจะจ้ำเท้าออกจาก กระโจมไปโดย ทิ้งไว้เพียงสายตา งงๆ
ของผู้คนในกระโจม ที่ไม่เข้าใจว่าเค้าพูดถึงเรื่องอะไร แน่ล่ะสำหรับซิสเตอร์ อลาน่า
ผู้เปี่ยนเมตตาอย่างยากจะหาใครเสมอเหมือน มีหรือที่ใครจะกล่าวว่าร้ายเธอ
เช่นนี้ได้

“ ด….เดี๋ยวสิ จะไปไหนน่ะ…สเวน เฮ้ย เดี๋ยว!! ”
หนุ่มผิดคล้ำรีบ วิ่งตามออกไปทันที ทิ้งให้เพื่อนสาวผมบ๊อบสีม่วง นั่งถอนหายใจเซงๆ
อยู่ตามลำพัง

“ เอ่อ ถ้ายังงั้นข้าจะเร่งดำเนิน การขนย้ายต่อไปให้เร็วที่สุดก็แล้วกันนะขอรับ ”
แม่ทัพกอง กล่าวปัดเร็ว กับเธอ ก่อนจะขอตัวลาออกไปจัดการงานต่อตามเดิม โดยล้มเลิกความคิด
ที่จะให้ทิ้งคนเจ็บไว้ไปแล้ว เพราะหากดึงดันต่อไป ตัวเค้าอาจถูกต่อต้านเอาได้

หลังจากที่แม่ทัพเดินหนีหายไปแล้ว ความสนใจของทุกคนก็กลับไปที่งานของตัวเองตามเดิม
โดยที่อลาน่า ยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น สายตาของเธอแสดงออกถึงความว้าวุ่นอย่างชัดเจน

…………………………………..

“ สเวน!! เฮ้ย เดี๋ยวสิ สเวน… ”

ที่ด้านหลังกระโจม มีเนินทรายก่อตัวสูงห่างออกไปไม่มากนัก สเวน กึ่งเดินกึ่งวิ่ง จ้ำอ้าวๆ
มาหลบอยู่เงียบๆ โดยมีเสียงเรียกของ เพื่อนหนุ่มผิวคล้ำไล่หลังมาติดๆ

“ แกนี่น้า~ พวกเรากำลังอยู่ระหว่างแทรกซึมเข้าไปหาข้อมูลนา ทำไมอยู่ๆถึงได้ไปพูดแบบนั้นวะ
แล้วดูสิเนี่ยกับใครก็ม่าย~ พูดดันไปพูดกับ ซิสเตอร์อลาน่า คนนั้นอีก แกรู้มั้ยว่ายัยนั่นน่ะเป็นตัวตั้งตัวตี
ในการก่อตั้งค่ายนี่ขึ้นมาเลยนะเว้ย ”

เพื่อนหนุ่มผิวคล้ำ โวยวายใส่เค้าไม่หยุดปาก พลางกุมขมับกับความชวนหัว
ที่เกิดขึ้นนี้งานแทรกซึมเข้ามาสืบข้อมูลภายในค่ายนี้อาจต้องจบ หากพวกเค้ากลายเป้าสายตาเพราะดัน
ไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโต แบบนั้น

“ รู้จักสิ!ฉันรู้ดีเลยล่ะ…เพราะอุดมการณ์บ้าๆนั่นทำให้แม่ฉันตาย!! ยังไงล่ะ ”
สเวน ตะคอกอารมณ์ของเค้าครุกรุ่น และเดือดดาล เพื่อนหนุ่มถึงกับต้องชะงักเมื่อ เห็นเค้าโกรธจนตัวสั่นระริก

แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังขึ้นสองจังหวะ ก่อนที่หญิงวัยกลางคนผู้มีผมสีเขียวยาวสลวย เดินเลาะลงมาตามเนินทราย

“ เมอร์อาเน่(Mirana) ? ”
เค้าเปรยขึ้นเมื่อเห็นเธอได้ชัดถนัดตา เส้นผมสีเขียวโบกพริ้วไปกับลมราตรี ขณะก้าวย่างแต่ละก้าวของเธอ
เหยียบลงบนพื้นทรายตรงหน้าเค้า

“ แรสซิล เธอไปช่วย แชนเดลแซร์ ทำภารกิจต่อให้ทีนะ ”
“ ค…ครับหัวหน้า!! ”
เธอ สั่งพร้อมกับชี้ไปที่กระโจม หนุ่มผิวคล้ำ ตะเบ๊ะรับคำเธอที่เป็นหัวหน้าของพวกเค้าทั้งสามก่อนจะรีบแจ้นกลับไป
ที่กระโจม

“ จะต่อว่าผมหรือไง… ”
เค้า ถามเมื่อเธอยังคงยืนมองเค้าต่อโดยไม่พูดอะไร เธอยิ้มนิดๆให้ สร้างความฉงนแก่เค้าเป็นอันมาก

“ ไม่ล่ะ…..ฉันรอเธออธิบายดีกว่าจะมานั่ง พล่ามให้เธอฟังล่ะนะเพราะถึงพูดไปเธอก็ไม่เคยฟังอยู่แล้วนี่ ”
เธอ เปรยเรียบๆ ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปพักนึง จนเธออดไม่ไหวกับความเงียบกริบนี้ จึงออกปากเอ่ยถามอีกครั้ง

“ ว่าไงล่ะ สเวน พูดมาสิ เมอร์อาเน่ ไนท์เชด (Mirana Nightshade)คนนี้รอฟังอยู่นะ ”
เธอ เซ้าซิ้ไม่ลดละเพื่อจะให้หนุ่มปากหนักอย่างเค้า โพล่งอดีตของตัวเอง

รูปภาพ

“ ถ้าผมปฏิเสธล่ะ ”
“ ก็ต้องทำรายงานยาวเป็นทิวแถวเชียวล่ะ ”

ทันทีที่เค้า ถามเธอก็ตอบเสียงฉะฉาน อย่างฉับไวเล่นเอาเค้าหัวหมุน ไปกับเธอ

“ ขี้โกงกันนี่…อยากรู้เรื่องของผมขนาดนั้นเชียวเหรอ ”
เค้า ถามกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนแหงนเงยหน้ามองท้องฟ้า ที่แพรวพราวไปด้วยแสงดาวเต็มฟ้า
คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดไม่มีแสงจันทร์แสง จึงเห็นหมู่ดาวได้ชัดกว่าทุกวัน ทุกครั้งที่ได้แหงนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ยามราตรี ก็ชวนหวนให้นึกถึงอดีต ครั้งเยาว์วัย ที่เคย มองดาวพราวฟ้า ในวันคืนแห่งความสุขสงบ
ใต้นภาสีหม่น ที่สุกใสสกาวด้วยหมู่ดาราล้อม พลอ กลิ่นหญ้าอ่อน โชยไปตามสายลม ที่พัดผ่านทุ่งหญ้าท้ายคันนา
ข้าวสาลี

วัยเด็กของลูกชาวนาในอาณาจักรแห่งสายลมฟีเลเซีย เช่นเค้าการได้เฝ้ามองดู แสงดาราส่องประกายระยับ
ประดับฟ้า เช่นนี้คือสิ่งเติมเต็มความสุขที่ขาดหายไป จากความยากจนของครอบครัว

ดวงดารา แพรวฟ้าเคยฝันใฝ่จะไขว่คว้า เอาดาวมา ดังก้าวเท้าเดินตามฝัน หมั่นเพรียนขยันทำงาน เก็บเงิน
ไว้ลงเรียนศึกษา จะเป็นดาราศาสตร์ชี้ฟ้าทำนายดาว

หากแต่ฝันนั้นกลับต้องสูญสิ้นมลายหาย ท้องทุ่งนา วอดวายด้วยเพลิงกรด เผาสิ้นเสียราบเรียบ
นาเป็นเถ้า ข้าวเป็นถ่าน เมืองแตกกำแพงฉลุ ทหารเน่าเป็นศพเดินลอยชายกันพล่าน เห็นมาแต่ลิบๆ
มารดา พาวิ่งหลีกลี้หนีเร็วไว จักรวรรดิ์เพลิงมันบุกแล้วสิเอย

เป็นเพราะ ซาโลมยกทัพมาตี อย่างหนักหน่วง ทำให้ฟีเลเซีย เสียเมืองลูกไปสองสามเมือง
หนึ่งในนั้นคือ เมืองที่เค้าและ มารดา อาศัยทำไร่ทำนากินอยู่ พวกมันก็บุกเข้ามาไล่ฆ่า ชาวเมือง
คนแล้วคนเล่า มารดาพาเค้าหนีกระเซอะกระเซิง จนรอดชีวิตมาได้ แต่ทุกอย่างก็ถูกทำลายจนสูญไปสิ้น
บ้านถูกพวกมันทำลายจนพินาศสิ้น พวกเค้าสิ้นเนื้อประดาตัว

ไร้ซึ่งที่ไป ในตอนนั้น กิติศัพท์ของ เจ้าหญิงอลาน่า ผู้มากด้วยเมตตา ได้ลือแว่วมาถึงพวกเรา
ด้วยเหตุนี้จึงดิ้นรนกระเสือกกระสนกัน เพื่ออพยพหนีไป แอนดิซอง

แม่พูดไว้ ว่า ถึงแอนดิซอง แล้วคงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ไว้ตั้งตัวได้มีกินมีใช้จะส่งเจ้าเรียน
ดาราดวงใหม่เฉิดฉายขึ้น ดารานั้นมีชื่อว่า “ ความหวัง ”

หากแต่ดารานั้นไม่อาจได้พบก็ต้องจบที่ทะเลหนาว พรากแม่ไปจาก ทหารเมืองท่ามันช่างใจโหดเฮี้ยมเกินคณา
เด็กตัวเล็กๆ ยังไม่เว้นวายจะตอดต้อนให้ตายกลางทะเล หนีเสือทะเลทราย ปะ ไอ้เข้น้ำแข็งโดยแท้
หนีไฟมาพึ่งน้ำ ก็เย็นชาขับไล่ทั้งไสส่ง ตรากตรำแทบตาย เพื่อสูญเสีย เฮ้หรือไร
ระยำกันทั้งแผ่นดิน

( โหดเฮี้ยม ใช้แบบถูกศัพท์ไม่ได้ เพราะมันมีคำว่า Here อยู่ในคำว่า เฮี้ยม เลยต้องเปลี่ยนเป็นนี้น่ะครับ ไม่งั้นบอร์ดมันจะแก้เอา)

หลังจากหนีร้อนเพราะสงครามบนแผ่นดินใหญ่มาพึ่งเย็นที่ แอนดิซอง พวกเค้ากลับได้รับการต้อนรับ
ที่เยือกเย็นสุดจะเอ่ย การสังหารโหด ที่ทะเลน้ำแข็ง เริ่มขึ้นโดย การจำกัดจำนวนผู้อพยพ
ทำให้เค้า ต้องสุญเสีย มารดา อันเป็นที่รักไป

หลังจมใต้วารีเย็นสะท้าน ลืมตาอีกที อ้าวเราอยู่ไหนกันนี่!! หันซ้ายหันขวา มองไปรอบ ไม่คุ้นหน้า แม่จ๋าอยู่ไหน
ตอบลูกด้วย ลูกคนเดียวจะอยู่ยังไง แม่จ๋าตอบลูกที ลูกอยากเจอแม่!! จะแผดเสียงก้องจนแสบคอเพียงใด ก็ไม่มีสุรเสียงใด
ตอบมา หยาดน้ำตาไหลริน ขมขื่นสุดจะทน ชีวิตค้ำปากเหว เจอทั้งไฟเจอทั้งน้ำ ดิ่งร่วงลับหายไกล มืดแปดด้าน
ไร้ซึ่งแสง จบกันแล้วชีวิตเอย

หลังหมดสติไปกลางทะเลน้ำแข็ง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่รอพบเค้าคือความเดียวดาย ที่ย่างกรายเข้ามา
กัดกินดวงใจน้อยๆ แสงที่ริบหรี่ในใจดับสนิท จนมืดมัว น้ำตานองหน้าอาบสองแก้ม
สะอึกสะอื้น ปากร้องเรียกหามารดา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก ว่าไม่มีทางได้พบเจอ ก็ขอแหกปากจนคอแตกตายเสียดีกว่า

“ โอ๋อย่าร้องเลยนะหนูจ๋า ขวัญเอยขวัญมา ”

เสียงปลอบโยนที่ดังขึ้น พร้อมกับพี่สาว นางหนึ่งได้เข้ามาปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำ
หลังจากนั้นไม่นาน เธอ ก็มาเยี่ยมเค้าอยู่บ่อยๆ เธอคือคนที่จะคอยจะประคองไม่ให้แสงไฟ
ของเค้าดับลงไป ชีวิตนี้เหลือเพียงเธอเป็นแสงสุดท้ายจะประคองไว้ไม่ดับมอด

ทุกอย่างเป็นเช่นนั้น อยู่ เรื่อยมา จวบจน เจ้าหญิงอลาน่า ประกาศ สละตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ$
สูงสุดแห่งเมืองท่านี้เพื่อ ออกบวชเป็นซิสเตอร์ และนำเอาคณะซิสเตอร์กลุ่มหนึ่งออกไปตั้ง
ค่ายพักผู้ประสบภัยที่แผ่นดินใหญ่

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอคนนั้นผู้ประคับคองไฟแห่งชีวิตของเค้าก็ได้หายจากไปเสีย
แสงไฟดับมอดจนสนิทในที่สุดก่อนที่
แสงไฟดวงใหม่จะถูกจุดขึ้นมาในหัวใจที่มืดมิด แสงนี้ขับไล่ความกลัวและหนาวเหน็บ เปลวไฟนี่รุนแรงยิ่ง
กว่าไฟใดๆ มันคือไฟแค้น ที่พร้อมจะเผาทุกสิ่งให้วอดวาย

ไฟดับมอด ดวงแล้วดวงเล่าสมเป็นขุนนางเมืองสายน้ำ เย็นชาเชี่ยวกราก พรากเอาไปจากตัวข้า จนสิ้น
กิติศัพท์เอ็ง เป็นคลื่นพัดพาข้า มาเสียแม่ แล้วยังพรากไฟจากหัวใจข้าจนมอดสิ้น ตราบนี้ด้วยไฟดวงใหม่นี้ยังลุกโชน
ขอสาบาน จะผลาญให้วอดกันสิ้นทั้งแผ่นดิน ต้นเหตุไม่โทษเอ็งคนเดียวแน่ ไฟสงคราม มันแน่นัก
กุจะเผาจนม้วยมอดไปเสีย

นับแต่วันที่ไฟแห่งความแค้นนี้ถูกจุดขึ้น เป้าหมายก็ได้เปลี่ยนไปต่อให้ชีวิตต้องม้วยสิ้น
ก็ขอสาบานจะล้างลา สงครามบ้าๆนี่ให้สิ้นกันไปข้าง เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว จึงออกเดินทาง
ไปเรื่อยเพื่อที่จะสรรหาพลังมาครอบครอง

……………………

“ หลังจากนั้น เธอก็เดินทางไปจนถึง เวลล์(Vale)ที่ อาริมาเทีย(Arimathea)เลยงั้นเหรอ ”
เมอร์อาเน่ ใช้มือสาวรวบผมที่ปลิวมาบังหน้าเธอ ออกขณะที่กล่าวสำทับต่อจากปากของ สเวน

“ ที่เหลือก็คงไม่ต้องเล่าแล้วมั้ง เพราะหลังจากนั้นผมก็ถูกคุณรับเข้า Empyrean Adjust แล้วนี่ ”
สเวน เปรยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นทราย แหงนมองแสงดาวที่เริ่มลับหายไปจากสายตา
แสงตะวัน แย้มขอบฟ้าที่ทิศตะวันออก บอกเวลาเช้าตรู่ กำลังจะคล้อยประดับฟ้า
เสียงเอะอะ ชุลมุน เริ่มดังสุมกันที่หน้ากระโจมใหญ่ การเคลื่อนย้ายค่ายพัก กำลังจะเริ่มขึ้นในเช้านี้แล้ว

“……….. หากเรามองไปยังด้านล่างก็จะได้พบกับคนที่มองขึ้นมาหาเรา นั่นทำให้รู้ว่าเราเป็นที่ต้องการของคนอื่น
แต่ถ้าหากมันไม่มีใครเลย นั่นก็แปลว่าเราไม่มีคุณค่าให้ใครพึ่งพา …………………….

………………………ถ้ามองไปด้านข้าง ก็จะพบแต่คนที่เราอิจฉาริษยาหรือไม่ก็คนที่จะอิจฉาริษยาเรา ………..

…….หากมองไปด้านบนก็จะพบกับคนที่เราจะพึ่งพา แต่เมื่อมันไม่มีใครอยู่บนนั้นเราก็จะรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง…. ”
สเวน เปรยคำพูดเหล่านี้ขึ้นมาด้วยสายตาแสนอ่อนโยน ที่ไม่เคยแสดงให้ เธอได้เห็นมาก่อน
ทำให้เธอ หยุดจ้องมองด้วยความหลงไหล ไปกับสายตานั้นที่ราวกับจะสะกดให้เวลารอบตัวเธอหยุดนิ่งไป

“ คำพูดต่อจากนั้นน่ะ…..จำไม่ได้แล้วล่ะ….. ”
สเวน ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ โดยที่เค้าไม่อาจจำได้ว่าท่อนสุดท้ายของประโยคคือสิ่งใด

“ มุมมอง…ไงล่ะ ” เมอร์อาเน่ เปรย
“ มุมมอง ? ” เค้าทวนคำด้วยความฉงน

“ ก็เมื่อเราหันไปยังด้านใดด้านหนึ่งก็จะพบแต่เรื่องทุกข์ใจ ไปหมดใช่ไหมล่ะ มันคงจะหมายถึงมุมองแต่ละด้าน
ที่พวกเรามองกันนั่นล่ะ ”
เมอร์อาเน่ วิเคราะห์ ให้เค้าฟังตามที่เธอเข้าใจ พลันคำพูดของเธอมันก็ทำให้เค้านึกออกถึงคำพูดต่อจากนั้น
มันเป็นคำพูดที่ พี่สาวอาสาสมัครในคณะซิสเตอร์ พูดเอาไว้กับเค้าก่อนจะหายจากเค้าไป

……………..
ห่างจากกระโจมไปไม่มากนัก ซิสเตอร์อลาน่า กับ เด็กช่วยมิสซา โฮลี่ และซิสเตอร์คนอื่นๆ
กำลังช่วยกันจัดเตรียมสำรับอาหารที่จะนำไปแจกจ่าย ในเช้านี้

“ ซิสเตอร์ ยังติดใจเรื่องชายคนนั้นอยู่อีกเหรอครับ ”
โฮลี่ ถามเมื่อเห็นเธอดูไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน และเพียงคำถามเดียวที่แวบขึ้นมาคือเรื่อง
ที่เธอถูก ชายผมสีขาวเงิน ต่อว่าเอาในค่ายเมื่อคืน

“ จ้ะ….ฉันติดใจที่ดวงตาของเค้าน่ะ….ดวงตาที่ดูเศร้าหมอง แฝงไว้ด้วยความขมขื่นแบบนั้น…. ”
ซิสเตอร์ อลาน่า กล่าวพลางหลับตาระลึกว่าเธอเคยพบดวงตาคู่นั้นที่ไหนมาก่อน สิ่งที่แวบขึ้นมาใน
มโนสำนึก นั้นเธอก็ท่องออกมา

“……….. หากเรามองไปยังด้านล่างก็จะได้พบกับคนที่มองขึ้นมาหาเรา ทำให้รู้ว่าเราเป็นที่ต้องการของคนอื่น
แต่ถ้าหากที่นั่นไม่มีใครเลย นั่นก็แปลว่าเราไม่มีคุณค่าให้ใครพึ่งพา …………………….

………………………ถ้ามองไปด้านข้าง ก็จะพบแต่คนที่เราอิจฉาริษยาหรือไม่ก็คนที่จะอิจฉาริษยาเรา ………..

…….หากมองไปด้านบนก็จะพบกับคนที่เราจะพึ่งพา แต่เมื่อพบว่าที่นั่นไม่มีใครอยู่บนนั้นเรา
ก็จะรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง…. ”

เธอ ท่องออกมาจากที่นึกได้จนเกือบจะจบประโยคแล้ว โฮลี่ก็ แทรกถามขึ้นมา

“ เป็นวลีที่น่าเศร้านะครับแบบนั้นน่ะ มันแสดงถึงความโหดร้ายของชะตามนุษย์อย่างแท้จริง… ”
โฮลี่ แจงประโยคของเธอ เพราะคิดว่าเธอพูดจบแล้ว แต่ซิสเตอร์อลาน่า ก็ส่ายหน้าเบาๆ
เป็นนัยว่าที่เธอพูดออกไปนั้นยังไม่จบเสียทีเดียว

“ ประโยคต่อจากนั้นยังมีอีกจ้ะ ”
เธอ กล่าวก่อนจะเริ่มเอ่ยประโยคถัดไป

……………

“ คำพูดของคุณทำเอาผมนึกออกจนได้นะ…. ประโยคสุดท้ายน่ะ ”
สเวน กล่าวหลังจากที่ฟังเธอวิเคราะห์เรื่องมุมมอง ที่แทรกอยู่ในประโยคนี้

………………………………………………….
“ หากมองไปทางใดก็ตามจะพบแต่เพียง ความเป็นไปที่น่าหดหู่ ผู้ที่มองไปยังมุมมองทั้งสามพร้อมๆกัน
จะค้นพบสัจธรรมที่แท้จริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อ เป็นดั่งเส้นแกนมิติที่ตัดกันทั้งสามเส้น…………… ”

“ นั้นคือวิถีแห่งผู้ดำรงค์อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง……. วิถีแห่งสามมุมอง…..วายครอสซีต้า(YXZ) ”


…………………………………………………
………………………………..
…………………
To be Continue Tan Chapter …….YXZ………..

.......................
...........................



ตอนที่เกลียดที่สุดมาแล้วค่ะ อีตา สเวน นี่อยากจะบอกว่ามานทำมาย เกรียนเช่นเน้~~ อลาน่า เค้าอุตส่าช่วยแก
ปลอบแก ดันมาว่าเค้าเสียๆหายๆ รู้ไว้ซะถ้าวันนั้นเจ็ อลาน่า เค้าไม่เข้าไปสั่งให้ไอ้พวกทหารมันหยุด(ที่จริง อังเดรตะหาก ที่สั่งการได้ อ้างอิงจากบท การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็งของ เจ็จิง) ผลักคนลงทะเล ป่านนีั้แกก็ลงไปอยู่กับแม่แกแล้ววววววว ::014::

แต่มองอีกมุม เจ้าตัวสเวน มันไม่รู้นิเนอะ ว่าคนที่มาปลอบตอนเด็กน่ะคือ อลาน่า เพราะตัว อลาน่า เองก็ไม่บอกไป
ด้วยว่าตัวเองคือใคร

เฮ้อ~ เลยบอกไม่ถูกเลย จะสงสารเจ้าสเวนรึเกลียดมันดีล่ะเนี่ย ตอนหน้าตอนจบของซีรี่ย์นี้แล้ว รอลุ้นกันเอาละกันเน้อว่าจะจบเยี่ยงไร

ปล. รูปการ์ดประกอบชุด YXZ นี่รีบเผามาแบบให้อลุ่มอลวย อบิลิตี้มันเลยประหลาดๆน่ะนะคะ ทำใจเค่อะ ไม่ใช่ซีรี่ย์หลักก็เงี้ย
(หวังว่า ภาค เรกกะ สเปลเชี่ยล อิดิชั่น จะไม่เผาน้า~~)

ข่าวคราวที่ลอยมาอีกแล้ว(ไม่ชัวร้อยเปอร์เซ็น แต่อาจมีจริงก็ได้) คือเกรม่อนคุง เคยคุยกับ พี่อ่าน้า ว่าอยากจะเอา ทาลิภาคแรกๆนู้นเลย สมัยลอว์เรนซ์ ยังเด็กอยู่ มารีเมคใหม่ แบบรวบรัดเอาแต่ใจความ ซึ่งจาก 33 ตอนจบ จะตัดให้จบภายใน 10 ตอน ::036::
เหอๆ จากยาวเป็นพรืดแบบนั้นจะตัดเหลือแค่ 1ใน3 ของทั้งเรื่องเลยเนี่ยนะ จะทำยังไงเนี่ย

แต่อย่างว่าล่ะนะ ถ้าตัดเอามาเฉพาะเรื่องของ ลอว์เรนซ์ เท่านั้น แล้วไม่สนเนื้อเรื่องของพวก เจนัส กับตัดไอ้ที่อู้ๆไปซะ
มันก็น่าจะเหลืออยู่แค่นั้นล่ะมั้งเนอะ แถมรู้สึกว่า จะต้องมีการเขียนบทปรับปรุงใหม่อาจต้องแก้ไข
หรือเปลี่ยนบางช่วงของเนื้อเรื่องเพื่อให้มัน ประติดประต่อกันได้ด้วย ข่าวนี้จริงๆไม่จริง ไม่ยืนยันเน้อ
เพราะเจ้าตัวเกรม่อนคุงเอง ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่แค่บ่นมาเฉยๆ

ก็ถ้าโชคดีคงจะอ่านภาครีรัน กันอีกรอบล่ะงานนี้(พวกลอว์เรนซ์ จากอนิเมการ์ด จะกลายเป็น CG การ์ดด้วย
แถม Op ให้ด้วยอีกมั้งเหอๆ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า) Cos Chapter

โพสต์โดย boy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 07, 2009 6:41 pm

อืม.....
ผักว่าคลาสสิคแบบเก่าก็ดีแล้วนะฮะ
แต่ถ้าจะมีรีรันผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ::006::
ปล.ตอนเห็นชื่อฟิคนี้ มองผ่านๆคิดว่าเป็นจับเอาตัวเอกทุกภาคมาวายก็ Orz
(ก็ชื่อมันเป็น YXZ นี่นา~)
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า) Cos Chapter

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ เสาร์ พ.ย. 07, 2009 7:57 pm

อ่ะ ฮ้า ในที่สุดภาคนี้มันก็มาลงบนบอร์ดจนได้ เฮ้อ~~ งั้นไหนๆก็ไหนๆแล้ว เจ็ ขอแจงแทน เจ้าเกรม่อน
ละกันที่ ปิโยม่อน เค้าแจงว่าภาคนี้คือต้นฉบับจริงๆของ วายครอสคืออะไรกันแน่

ที่จริงภาควายครอสที่ ได้อ่านกันไปนั้น(ภาคที่เชื่อมกับ ACE อ่ะ) โยไร ไอริ กับ ยารุย เป็นตัวละคร ที่อยู่อีกทีมของ
Empyrean Adjust รุ่นก่อตั้ง ก่อนที่ อิสฮาน จะเข้ามากุมอำนาจบริหารไป แล้วก็พัฒนาระบบ Valkyrier ขึ้นมาอีกที
ดังนั้นที่จริงแล้วภาคนี้เนื้อเรื่องดดยตรงคือ การอธิบายว่า Empyrean Adjust มีที่มาจากไหน

ซึ่งจะตอบปัญหาเรื่องระบบ Thaliwilya System ที่ เรกกะใช้ได้ อย่่างละเอียดเลยทีเดียว นั่นคือแรกเริ่ม ที่พวก สเวนประกอบ
ตะเกียงศิลามังกร ตัวหินศิลาที่เป็น Core นั้นคือของเทียม ที่สร้างขึ้นด้วยวิทยาการอาริมาเทีย
แต่รุ่นนี้ยังไม่สมบูรณ์ เลยไม่มี Full Charge (ท่าไม้ตาย Great of Dragon ประจำตัวทุกซีรี่ย์ของ ทาลิน่ะแหล่ะ)

หลังจากนั้น โครงการก็จะพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงยุคของเรกกะ หรือ 200 กว่าปีให้หลังการก่อตั้งมิราบิลิส
ศิลาที่ฝังในตาซ้ายของ เรกกะ คือ Core ที่สมบรูณ์ที่สุด และมีความใกล้เคียงกับ ศิลาของอัศวินทาลิวิลย่าตามตำนาน
เหมือนที่ ลอว์เรนซ์ ภาคแรกใช้นั่นเอง

กลับเข้าเรื่องต่อ จากตะกี้บอกว่า Empyrean Adjust นั้นกำลังพัฒนา ระบบ ทาลิวิลย่าิซิสเทม ได้สร้างศิลาเทียมขึ้นมา 6 ชิ้น
และคัดเลือกบุคลากรที่จะมาทดสอบ ก็คือพวก สเวน และ โยไร นั่น เองโดยแยกกัน ทดสอบ
ให้พวก สเวน เข้าแทรกแซง ที่ เมอริเซีย ส่วนพวกโยไร จะทำการแทรกแซงใน อาริมาเทีย เพื่อเป็นการเก็บข้อมูล

โดยรุ่นที่พวก สเวน ใช้ นั้นคือรุ่นจำลองจากศิลาของ ลอว์เรนซ์ โดยตรงจึงเป็นร่างทาลิวิลย่าของ เมอริเีซีย แทน
ในขณะที่ คอร์ตัวสมบูรณ์ของ เรกกะ นั้นเป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงให้มีพลังมากกว่า(ติงต๊องกว่าด้วย!!)
รุ่นทดสอบ และกลายเป็น ทาลิวิลย่าของ อาริมาเทีย ไป

ดังนั้น Fic ทาลิวิลย่า ตั้งแต่ ภาค ของ เรกกะ นั้นจะไม่ได้อ้างไปถึงตำนานของ ทาลิวิลย่าอาริมาเทีย เวอร์ออริจินอลมาก เหมือนภาค ลอว์เรนซ์ แต่กลับเป็นตำนานการกำเนิดของ ทาลิวิลย่า อาริมาเทีย แทน

ซึ่งในภาค YXZ นี่ก็คือส่วนหนึ่งของเนื้อหลักทั้งหมด ที่ถูกเขียนออกมาแล้ว แต่มีการทอนเนื้อหาออกไป
จนเหลือเพียงเรื่องของ เรกกะ เท่านั้น ในภาค ทาลิวิลย่าอาริมาเทีย ฮ่ะ

จริงแล้วพอเริ่มภาคของพวกเรกกะ มันคืองานช้างเลยทีเดียว เพราะเราสร้างโลกของ ัมมอนเนอร์ขึ้นมาใหม่
โดยข้าม Time Line ของนิยาย เจ๊จิงไปเยอะเลยทีเดียว มันเลยมีรายละเอียดแน่นเอี้ยดเป็นพิเศษ
ให้เขียนทั้งวันก็ไม่หมดอ่ะจ้ะ ดังนั้นเพื่อไม่ให้โครงการ ทาลิภาคอาริมาเทีย มันยืดตอนยาวจนเกินเลยตัดทอนเรื่องที่มาของ
Empyrean Adjust และ การสร้างเรกกะ ออกเหลือเพียงใจความสำคัญเท่านั้น

ดังนั้นถ้าจะให้เขียนออกมาล่ะก็สงสัย ได้เรื่องทำต่ออีกภาค หลัง ACE แน่เรย~~ หุๆ ::011:: ::034::
ว่าแล้วก็ขอสปอยซักหน่อยกับ SMN VR ล่ะเน้อ จากที่เห็นใน Op 2 นั้นจะมีฉากเกือบท้ายๆ
ที่โคทาคุง กับ ธนัท หันหน้าเข้าหากันแล้วมีทาลิ กะ การ์เดี้ยนลอสรูน มายิงกันน่ะ ไม่ต้องจิ้นอะไรมากมาย
คู่นี้กลับมากัดเอง ตามสูตรหนุ่มหมาต้องทะเลาะตาหนูมังกร ซะทุกภาค ::022::

เอาเหอะ อย่างน้อยมันคือสีสันให้จิ้นวายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะถ้าสนิทกันตั้งกะต้นซีซั่น ยันจบก็ไม่ลุ้นสิเน้อ~~
แต่อีกใจมันทำเอาปวดตับปวดไตเหมือนกันนะเนี่ย เคะ กับ เสะ มาตีกันเอง เฮ้อหวังว่าถ้าสู้กันจริงๆ
ก็เป็น Battle แบบ SM ว๊าย วาย เหมือนภาค เรกกะ อีกได้มะเนี่ย เรกกะ กับ เฟนท์คุง SE เมื่อไหร่จะม๊า~~~
เห็นบอกตามโอกาสพิเศษ ลอยกระทงก็พึ่งผ่านวัน ปิยะฯ ก็เลยมาครึ่งค่อน ทำไมไม่โผล่ซักตอนเล้ยยยยย อ๊าคคค

ปีใหม่นี้สินะ....ปีใหม่สินะ....หึๆๆ.....ปีใหม่ ต้องมานะเว้ยยยยย ::008::



อืม.....
ผักว่าคลาสสิคแบบเก่าก็ดีแล้วนะฮะ
แต่ถ้าจะมีรีรันผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ::006::
ปล.ตอนเห็นชื่อฟิคนี้ มองผ่านๆคิดว่าเป็นจับเอาตัวเอกทุกภาคมาวายก็ Orz
(ก็ชื่อมันเป็น YXZ นี่นา~)



แอบเสียดายสินะ นั่นอ่ะจิ ::023:: ตอนตั้งชื่อภาคนี้ เจ๊ไม่ได้อยู่ด้วย พอได้ฟังกำหนดการของภาคที่ลงอย่างตอนวายครอส
ภาคโยไร ก็ทำเอาจิ้นเตลิดเลย ว่าในที่สุด วายจะครองฟิค แล้วเย้ๆ ไปๆมาๆ ตัดจบไปลง ACE ซะงั้น
แล้วก็มี YXZ เป็นบทต้นฉบับออริจินอลที่จะต้องลงจริงๆมาเก็บดองเล่นไว้ซะ

แต่จริง YXZ เนี่ยมันเส้นแกนในสูตรตรีโกมิติ นั่นเองแหล่ะจ้าแถมชื่อ แต่ล่ะ Chapter ยังเป็น Sin Cos Tan
อีกตังหาก (Sin Chapter ตอนแรกใครเห็นคงคิดว่า เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ พวกบาปทั้งหลาย
บวกกับจั่วเรื่องว่ามันลบหลู่ อลาน่าก็คงคิดกันเป็นทิวแถวว่า เป็นฟิค เข้าข้างพวกบาป แต่จริงๆมันอ่าน
ไซน์ แชปเตอร์ ตังหาก เป็นฟังค์ชันตัวหนึ่งใน หลักตรีโกณมิติ)


ที่เหลือมันก็ไม่มีอะไรแล้ว ล่ะที่มาของชื่อเรื่องเนี่ย ส่วนชื่อตัวละครที่ออกแบบมาในภาคนี้ ถ้าคนเคยเล่น Dota
จะเก็ทมุขทันที เหอๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00

Re: Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า) Cos Chapter

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ จันทร์ พ.ย. 09, 2009 2:06 am

Tan Chapter …….YXZ………..
เพื่อที่จะยุติซึ่งสงครามอันไร้แก่นสาร เหล่าผู้เคียดแค้นต่อไฟสงคราม ได้เฝ้าใฝ่สรรหาพลังมาครอบครอง
และในการนั้น เครื่องใช้แห่งวิกฤติ หรือ Crisis Terminal จึงได้ถูกคิดค้นขึ้น โดยองค์กร Empyrean Adjust
เพื่อที่จะทดสอบประสิทธิภาพของ เครื่องใช้แห่งวิกฤติ สเวน แตร์เซส และเพื่อนร่วมทีม ได้รับภารกิจ
เข้ามาทำการแทรกแซง การบุกโจมตีค่ายพักผู้ประสบภัย การศึกในครั้งแรกนั้นผ่านไปได้ด้วยดีทว่า
ลำพังเพียงแค่พลังมันจะพอแน่หรือ ที่จะหยุดสงครามนี้ได้ คำตอบของบทสรุปนั้นกำลังจะเปิดเผยออกมา……

……………..
………………….

สายลมพัดหอบเอาฝุ่นทราย ปลิว คละคลุ้งไปทั่วสมรภูมิ ทะเลทราย และอีกครั้งที่ กองทัพทหารผีนรกแห่งจักรวรรดิ์เพลิง
ได้เคลื่อนทัพตรงเข้ามา ยังค่ายพักผู้ประสบภัย ที่พึ่งจะตั้งกำลังเพื่อหยุดพักจากการเดินทาง ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงบ่ายนี้
กองพลปีศาจ เคลื่อนมาให้เห็นฝุ่นตลบอยู่ลิบๆ เหล่าทหารที่ต้องออกไปสู้ต่างก็เหน็ดเหนื่อยมากับการเดินทาง
พวกเค้าไม่มีเรี่ยวแรง พอที่จะต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ จุดจบคงจะมาเยือนพวกเค้าในอีกไม่ช้านี้

“ เอ้า!! คนที่ยังไหว รีบมาตั้งแถวเร็วเข้า พวกมันจะมากันแล้ว ”
“ รีบตั้งแนวป้องกัน!! ”

เสียงตะโกนบัญชาการของ นายกอง ดังก้องขึ้น บรรดา พลทหาร พากันวางมือจาก สำรับอาหาร
ที่ยังไม่ได้แตะ ลุกขึ้นจับอาวุธ วิ่งหน้าตั้งกันออกมาเรียงแถวเพื่อสร้างแนวป้องกันไม่ให้ พวก ปีศาจบุกเข้า
ไปทำร้ายเหล่า ซิสเตอร์และคนเจ็บ พวกเค้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย ตั้งแต่เที่ยงเรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมีเหลือ

บางคนสีหน้าก็ดูจะซีดเซียวเกินกว่าจะไปรบ ไม่ต่างกันไปจากแม่ทัพและเหล่านายกองที่ ต่างก็เหน็ดเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน
แต่ทว่ากองทัพปีศาจแห่งจักรวรรดิ์เพลิง อันประกอบด้วยเหล่าทหารผีนรกนั้น แม้พวกมันจะเดินทางข้ามทะเลทรายมากี่วันกี่คืนก็ตาม กำลังวังชาของพวกมันก็ไม่อาจถดถอยลงไปแม้แต่น้อย

ยามเมื่อสายลมพัดครั้งสุดท้าย เหล่าทหารผีนรก ก็แห่กรูกันเข้ามา โจมตีพวกเค้าที่อ่อนแรง ใช้จงอยแขนที่เรียวแหลม
เสียบแทงและฉีกทึ้งร่างของพวกเค้า ไม่นาน แนวป้องกันก็ถอยร่นลงมาเรื่อยๆจนถูกตีแตกในที่สุด

ทหารผีนรกกลุ่มหนึ่งกรูตรงเข้าไปที่ค่ายพักทันที พวกมันฉีกผนังกระโจมใหญที่พึ่งตั้งเมื่อไม่นาน
จนขาดวิ่นแล้วเข้าไปอาละวาด ฆ่าคนเจ็บที่ไร้ทางตอบโต้คนแล้วคนเล่า ซิสเตอร์ บางคนที่ ไม่ทันได้หนีก็ถูกพวกมัน
ฉีกร่างเป็นชิ้นๆ

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความสับสนอลหม่าน นั้นบนท้องฟ้าได้ปรากฏเงาของ อัศวินมังกรทั้งสาม
ดิ่งลงมา ยังกลางสมรภูมิเดือดนี้ทันที



“ หนอยไอ้เจ้าผีเน่าพวกนี้!! ”
อัศวินมังกรเพลิง ทาลิคนัส สบถก่อนจะตวัดกระบี่ผ่าร่างของ ทหารผีนรก ไปตัวหนึ่ง
และเผาร่างของมันจนวอดวาย

/นี่ จากยานหลักนะ ขอ ออกคำสั่งให้พวกเธอใช้ รูปแบบการจู่โจมประสาน Formation Delta /
เสียงของ เมอร์อาเน่ ดังก้องขึ้นมาในหัวของพวกเค้า ทั้งสามหันมามองหน้ากันซักครู่ก่อนจะ
ยกดาบของตนขึ้นประสานกันไว้ ทันทีที่ดาบสัมผัสกัน ก็เกิดแสงสว่าง วาบขึ้นมาจากหมู่ของพวกเค้าทั้งสาม
แสงสว่างนั้นได้พุ่งสูงขึ้นบนท้องฟ้าและกลายเป็น มังกรลำแสง พุ่งฉวัดเฉวียนไปมา

“ Full Gauge Great of Dragon!! ”
ทั้งสามประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน มังกรลำแสงตีตัววก พุ่งกลับลงมาที่กลุ่มของพวกเค้า ขณะเดียวกัน
ฝูงทหารผีนรก ที่ล้อมกรอบพวกเค้าทั้งสาม ก็แห่กันเข้าไปเพื่อจะหยุดยั้งพวกเค้า ทว่าทันทีที่ลำแสงมังกร
พุ่งกลับลงมาอาบร่างของพวกเค้าแล้วนั้นเอง…

ฟ้าวววว~~ ฉัวะ!!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

อัศวินมังกรทั้งสาม พุ่งตัวแยกกกันออกมาเป็นสามทิศทาง อย่างรวดเร็ว พร้อมกับ ตวัดดาบ
ระหว่างที่เคลื่อนที่ไปด้วยจนสุดการเคลื่อนที่ของทั้งสามที่พร้อมกันเป๊ะๆ วงล้อมของเหล่าทหาร
ผีนรก ได้กลายสภาพเป็นกองชิ้นเนื้อ หล่นเกลื่อนพื้นทราย เสียงเลือดปีศาจ เดือดพล่านด้วยพลัง
ศักดิ์สิทธิ์ดั่งฉู่ฉ่า ไปทั่วสมรภูมิ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กองทหารผีนรกกว่าครึ่งของกำลังพล
นับแสนที่พวกมันยกมาในครั้งนี้ เป็นอันมลายสิ้นไปในพริบตา

ขณะที่ กำลังหยิ่งผยองในชัยชนะ ของพวกเค้า สายตาของอัศวินมังกรแสง ก็เหลือบไปเห็นกระโจมค่าย
หลังหนึ่งกำลังถูกพวกทหารผีนรก ฉีกทึ้ง ภาพการสังหารโหดของพวกมัน ซ้อนขึ้นมากับความทรงจำในวัยเด็ก
สเวน กัดฟันด้วยความแค้น ก่อนจะพุ่งตัวออกไป

“ ห…อ้าวเดี๋ยวสิ สเวน!! จะไปไหนของนายน่ะ…อ๊า!! ”
อัศวินมังกรแห่งพสุธา ตะโกนเรียกเค้าอยู่ในวงล้อมของ ทหารผีนรก ที่กำลังกรูกันเข้ามารุม
ทำร้ายเธอ

“ ให้มันได้ยังงี้สิ! ออกไปนะ! ออกไป! ”
เธอ สบถอย่างหัวเสีย พร้อมกับแกว่งดาบในมือ ไปรอบๆทว่า พวกมันมีมากเกินไป หลายครั้งที่เธอรับ มือกับการโจมตีของพวกมันไม่ทัน จึงถูก จงอยแขน แทงทะลุเกราะเกล็ดมังกรลงไปบ้าง โลหิตสดๆไหลอาบบาดแผลของเธอ
แต่กระนั้น เธอก็ยังไม่อาจหยุดมาสนใจได้ เพราะมือหนึ่งก็ต้องคอยถือโล่กระโหลกมังกร
รับการโจมตีของพวกมัน อีกมือก็ตวัดดาบฟันโต้กลับไปด้วย

หลายครั้งเธอ พยายามที่จะใช้โล่กระโหลกมังกรของเธอกำบังแล้ว พุ่งแหวก วงล้อมนี้ออกไปเสีย
แต่เรี่ยวแรงของพวกมันเมื่อรวมกันเป็นหมู่มากทำให้เธอ ถูกปัดกระเด็นกลับเข้ามา อยู่เรื่อย

โผละ!!

โล่กระโหลกมังกร ถูกจงอยแขนของทหารผีนรกตนหนึ่ง เสียบทะลุและกระชากจนหลุดจากมือของเธอ
ก่อนจะถีบเธอจนล้มกลิ้งไปอีกที

“ อุ่ก…ด…เดี๋ยวสิ.. ”
เธอ สำลักจุก จากการถูกถีบเมื่อครู่แต่ยังไม่ทันตั้งตัว ทหารผีนรกตัวต่อไปก็บุกเข้ามา ปัดดาบของเธอกระเด็นหลุดมือไปอีก
ตอนนี้เธอไม่มีอะไรเหลือให้ใช้ป้องกันตัวได้อีกแล้ว

“ อ๊า!!~~~~~ ”
เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนที่สุดดังก้องออกจากปากของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เหล่าทหารผีนรก แห่กันรุม
กระทืบ แทงจงอยแขน ฉีกทึ้งร่างของเธออย่างไม่ปราณี เกราะเกล็ดมังกร ฉีกขาด พร้อมกับโลหิตสดๆไหลอาบนองพื้นทรายจนแดงเถือก

“ ซิควู้ด!!!! ”
อัศวินมังกรเพลิง ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจาก กลุ่มทหารผีนรกตรงนั้น เค้ามองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อหน้า ก็ตะโกน ร้องขึ้นมา และพยายามจะบุกฝ่าทะลวงเข้าไปช่วยเธอ

“ ย้ากกกก!! ”
อัศวินมังกรแห่งแสง ได้บุกเข้ามาถึงกระโจม พร้อมกับตวัดดาบ ผ่าร่างศัตรูจน
ล้มหงายไปตัวแล้วตัวเล่า โดยไม่ยอมให้ พวกมันแตะต้อง คนที่ยังเหลือดรอด ซึ่งกำลังหนีกระเซอะกระเซิง ออก
จาก กระโจม

“ หนอย~…พวกแก!!!! ”
เค้าตะคอก พร้อมกับตวัดดาบผ่าร่างของทหารผีนรกไปอีกตน ก่อนที่มันจะลงมือฆ่านายทหารที่นอนเจ็บบนพื้น
ซิสเตอร์ คนหนึ่งวิ่งเข้ามาประคองชายผู้นั้นก่อนจะรีบหามออกจากกระโจมไปทันที

“ ซิควู้ด!! ซิควู้ด!!! ”
อัศวินมังกรเพลิง ยังคงร้องเรียกต่อไปโดยหวังว่า เธอจะขานรับแต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับใดๆมาจากเธอ
ทำให้เค้ายิ่งร้อนใจขึ้นไปอีก และเริ่มออกแรง ลงกระบี่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเปลวเพลิง
ลุกโชนขึ้นมาบนคมกระบี่ และใช้กระบี่นั้นฟาดฟันฝ่าเข้าไปช่วย เธอที่ถูกรุมสะกำ อยู่

“ ซิควู้ด!! ฉันมาช่วยแล้วนะ!! ซิค….. ”
เค้าตะโกนเรียกเธอ ขณะที่ปัดร่าง ของทหารผีนรกให้ออกไปพ้นทางก่อนจะแทงกระบี่ใส่ให้
ไฟครอกร่างของมัน ทว่าเมื่อเค้าหันกลับมามองที่ๆ ซิควู้ด ควรจะล้มนอนอยู่ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ทำให้ เค้าช็อคไปเลยทีเดียว ที่กองอยู่บนพื้นนั้น เป็นเศษชิ้นอวัยวะ ที่มีเศษเกล็ดมังกร หุ้มอยู่เล็กน้อย

กระจายเกลื่อนพื้น ที่แดงฉานไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง มีเพียงดาบโค้งที่ปักตระหง่านอยู่บนพื้น
เท่านั้นที่เป็นประจักษ์พยานถึงการตายของเธอ อัศวินมังกรเพลิงเลือดขึ้นหน้า คำรามออกมาอย่างเหลือ อด
ยกกระบี่เพลิงขึ้นกวัดแกว่ง ใส่ทัพทหารผีนรก ที่กรูกันเข้ามา อย่างไม่ขาดสาย

“ พวกแก!! ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด!! ไอ้พวกผีเน่า!!! ย้ากกกกกก!!! ”
เค้าแหกคอตะโกนออกมาเสียงลั่นดังสนั่นก้องสมรภูมิ นี้
อัศวินมังกรแห่งแสง ที่แตกกลุ่มออกไปช่วย คนในกระโจม ได้ยินเสียงนี้เข้า ก็หยุดมือไป
ชั่วขณะ

“ เสียงนั่นมัน….แรสซิล… ”
อัศวินมังกรแห่งแสง เปรยขึ้น เสียงที่เค้าได้ยินนั้นเป็นเสียงของ สหายร่วมตายของเค้า

/สเวน!! สเวน!! ได้ยินรึเปล่า!!/
เสียงของ เมอร์อาเน่ ดังขึ้นในหัวของเค้า

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะเมื่อกี้ ได้ยินเสียง แรสซิล ตะโกนด้วยแถมก่อนหน้านั้นยัง… ”
คำถามถูกยิงออกไปทันที ความสงสัยต่อเสียงโทสะที่ดังขึ้นเมื่อครู่ กระตุ้นให้เค้าอยากรู้มันมากขึ้นไปอีก

“ แชน….แชน….แชนเดลแซร์ น่ะ….เราเสียเธอไปแล้วล่ะ ”
ทันทีที่ได้รับคำตอบกลับมา ลมหายใจของเค้าเป็นอันสะดุดไปวูบหนึ่ง เสียงตอบของเมอร์อาเน่ นั้นยังคง
ก้องกังวาลอยู่ในหัวของเค้า มีเพียงเสียงนี้เท่านั้นที่ยังคงก้องอยู่ แม้ว่า เสียงกรีดกร้อง หรือ เสียงเอะอะ
รอบๆจะดังตระหนกซักเพียงใด ก็ฟังดูเงียบเชียบจนราวกับเค้า ไม่ได้อยู่ที่นี่

“ สเวน!! สเวน!! เป็นอะไรไปน่ะ สเวน ตอบฉันซิ ได้ยินรึเปล่า สเวน!! ”
เสียงติดต่อของ เมอร์อาเน่ ยังคงเรียกดังมาเรื่อยๆ โดยที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบใดๆจากเค้าแม้แต่น้อย
สเวน ได้สยายปีกพุ่งทะยานตรงกลับไปยังที่ๆเค้าแยกจาก กลุ่มมาทันที

“ แรสซิล!!! ”
เค้าตะโกน เรียกพร้อมกับ กวาดสายตามองหา เพื่อนของตน จนมาหยุดที่ วงล้อมหนึ่ง
ซึ่ง อัศวินมังกรเพลิง ยังคงกวัดแกว่งกระบี่ในมือ ฟาดฟันกับ ทหารผีนรก อย่างเอาเป็นเอาตาย
สองปีกสะบัดกระพรือก่อนจะทะยานเข้าไปเพื่อช่วยเพื่อนของตน

มือที่ยื่นออกไปเพื่อให้ อัศวินมังกรเพลิง คว้าเพื่อจะพาหนีออกจากวงล้อม ของศัตรู แต่ทว่ายังไม่ทันที่
เพื่อนของเค้าจะส่งมือมา ลูกไฟดวงยักษ์ก็พุ่งสวนเข้ามา ยังที่อัศวินมังกรเพลิง ยืน

บรึม!!!!!!!

“ แรสซิล!!!!!!!! ”
เสียงตะโกนเรียกลั่นขึ้นพร้อมกับภาพของเพื่อนอัศวินมังกรที่ ถูกกองเพลิงนรก กลืนกินหายไปต่อหน้าต่อตา
พร้อมๆกับพวกทหารผีนรกที่อยู่รอบๆนั้น ได้กลายเป็นเถ้าถ่ามตามไปด้วยกันแรงระเบิด ส่งให้เค้าที่ ลอยตัวอยูเหนือวงล้อม

กระเด็น ปลิวออกมา ทรายบนพื้นคลุ้งกระจายไปทั่ว ดาบโค้งและกระบี่ยาว ทั้งสองเล่มกระเด็นไถ
มาหยุดที่ข้างกาย กลิ่นเหม็นไหม้ไอควันความร้อนของเพลิงนรกจากทั้งสองเล่มโชยออกมาราวกับ
จะตอกย้ำถึงความตายของเจ้าของ



เมื่อฝุ่นควันที่ฝุ้งตลบอบอวล จางลง ร่างของมือสังหาร ก็ปรากฏขึ้น ดวงตาที่เย็นชาไร้ซึ่งความกรุณา
จับจ้องมาที่เค้า ซึ่งยังล้มกองอยู่บนพื้นทราย ปีกพังผืดโบกสะบัดพัดเอาไอร้อนจากร่างของมันโหมใส่เค้า

มารแห่งขุมนรก(Deep pit Demon) ย่างสามขุมเลยผ่านเค้าไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ กับเหยื่อที่
หมดกำลังใจและไร้หนทางสู้นี้เลย มันปล่อยให้ เหล่าสมุนทหารผีนรก รับไปจัดการต่อ พวกมันกรูกันเข้ามาล้อม

รูปภาพ

เค้ากัดฟันเค้นแรงที่ยังมีเหลืออยู่ยันตัวเองขึ้นด้วยดาบในมือ สายตากวัดไกว่มองไปรอบตัว
ทั่วทุกทิศของเค้านั้นรายล้อมด้วยทัพทหารผีนรก ที่สุมกันอยู่ตรงนี้ ในขณะที่ทัพส่วนใหญ่เคลื่อนกองบุก
เข้าไปยังค่ายด้านในแล้ว

………………..
……………………
………………………

“ บ้าจริง!! เพราะคลื่นความร้อนพุ่งสูงขึ้นมา สัญญาณเลยโดนตัดขาดไปแล้ว!! ”
เมอร์อาเน่ สบถพลางทุบมือลงไปบนวิทยุสื่อสารภายในเรือ เธอขาดการติดต่อกับพวก สเวนไปตั้งแต่ที่
มารขุมนรก ปรากฏกายขึ้นอุณหภูมิของเพลิงนรกที่มันปล่อยออกมาทำให้ ความร้อนพุ่งสูง
จนคลื่นสัญญาณติดต่อที่เธอใช้ ถูกรบกวนและขาดหายไป

…………………………
…………………………………
…………………………………………..

“ พวกท่านซิสเตอร์ รีบหนีไปกันเถอะขอรับ พวกข้าจะถ่วงเวลาไว้เอง ”
แม่ทัพกอง ออกปากให้ ซิสเตอร์ อลาน่า และคณะที่ยังเหลือรอดปลอดภัยอยู่ หนีไปส่วนพวกนเหล่าทหารคุ้มครอง
จะอยู่ต้านเอาไว้ แต่ทว่า อลาน่า นั้นไม่ยอมที่จะหนีไปโดยต้องทิ้งคนเจ็บเอาไว้ที่นี่ได้
ลำพังแค่กำลังพวกเธอไม่อาจพาหนีไปได้ทั้งหมด

“ พวกมันฝ่ากองสุดท้ายมาแล้ว!! ”
เสียงตะโกนของ นาทหารที่แนวหน้า กำลังวิ่งหน้าตั้งหนีทัพ ทหารผีนรกที่นำโดย มารขุมนรก
ตรงมาที่พวกเค้า

“ เตรียมพร้อม!! เอาไว้!! ”
แม่ทัพกอง ออกคำสั่งให้ เหล่าทหารชุดสุดท้ายออกไปตั้งแถว ก่อนจะหันกลับมา พูดกับเธอ

“ ขอร้องล่ะ ท่านจะให้พวกข้าสูญเสียอย่างเปล่าประโยชน์ ก็แล้วแต่ท่าน พวกข้าได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองดังนั้นแม้จะต้องสังเวยซักกี่ชีวิต ข้าก็ไม่มีสิทธิที่จะบ่น….แต่ว่าอุดมการณ์มันก็เป็นไปได้เพียงแต่ในอุดมคติเท่านั้น ความจริงมันแตกต่างกัน….. ”

แม่ทัพกอง เอ่ยจบ ก็ตามลูกกองออกไปเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นครั้งสุดท้าย โดยมีสายตาของผู้คนที่พวกเค้าจะต้องปกป้อง
เอาไว้ มองคล้อยหลังไปจนลับสายตา เวลาผ่านไปไม่นานนัก เสียงเคร้งคร้างของ
ดาบที่เหล่านายทหารใช้ต่อสู้ ก็ดังระรัว ตามมาด้วยเสียง ร้องครวญโอดโอย

ก่อนที่ ความเงียบสงัดจะเข้ามาปกคลุมแทน เธอ กับ คณะซิสเตอร์ และคนอื่นๆ
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือขยับไปไหนสายตาได้แต่จับจ้องไปยัง เนินทรายตรงหน้า ที่เหล่าทหาร หายลับไป
มันเป็นเวลาที่ไม่นานนักแต่ สำหรับพวกเค้าแล้วนั้นมันเนิ่นนานราวกับรอมาทั้งชั่วโมง

ที่สุดแล้วเงาร่างที่ทอดขึ้นมาบนเนินทรายนั้น ก็คือฝูง ทหารผีนรก นับร้อยที่กระหายการสังหาร
เดินกระเฮี้ยนกระหือรือ ตรงรี่เข้ามาหาพวกเค้า

“ พระองค์…ช่วยลูกด้วย…ลูกไม่อยากให้คนเหล่านี้ต้องตาย โปรดช่วยลูกด้วยมอบพลังให้ลูกที ”
เธอ หลับตาประสานมือภาวนาด้วยใจแรงกล้า ในขณะที่คนอื่นๆ แตกตื่นหนีตายกันจ้าระหวั่น
ระหว่างนั้นเอง ทหารผีนรก ตนหนึ่งก็ตรงรี่เข้ามาหาเธอ มันง้างจงอยแขนขึ้นหมายจะตัดหัวของเธอ

“ ถอยไป!! ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่แขนของทหารผีนรก ถูกตัดจนขาดกระเด็นหลุดลอยไป ก่อนที่กระบี่จะเสียบทะลุ
ออกของมันและถูกไฟครอกจนกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อ เธอลืมตาขึ้นมาผู้ที่มาช่วยเธอไว้ คืออัศวิน
มังกรแห่งแสงที่มาพร้อมกับ ดาบสามเล่ม ด้วยกัน หนึ่งมือถือกระบี่คมแดงฉานดังเปลวเพลิง
อีกมือ กวัดแกว่งดาบโค้งเสี้ยวจันทรา อีกดาบหนังมังกรขาวพิสุทธิ์ตา เหน็บหลังไว้ใช้งาน

“ เอาอีกแล้วเหรอ พอทำอะไรไม่ได้ ก็เอาแต่ให้พระเจ้าช่วยอยู่เรื่อย ”
อัศวินมังกร ติเตียนเธอ ขณะที่ตวัดดาบในมือทั้งสองผ่าร่างของ ทหารผีนรกที่เข้ามาใกล้พวกเค้า
ขณะที่เธอได้แต่นิ่งอึ้ง กับการปรากฏตัวของ เค้า

“ เชอะ!! ทีนี้เลยหนีไม่ได้เลยเห็นไหมล่ะ คนอย่างเธอน่ะมีแต่จะลากคนมาตายเพิ่มเท่านั้นเอง ปัดโธ่เว้ย!! ”
อัศวินมังกร ยังคงกล่าวโทษเธอไปต่างๆนานา พร้อมกับ พยายามจำกัดไม่ให้พวกทหารผีนรก เล็ดลอด
เข้าไปทำร้ายคนข้างหลังได้

“ แต่เอาเถอะ! ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะไม่ให้ใครต้องมาตายไปมากกว่านี้อีกแล้ว..แล้วก็จำ
ไว้อย่างที่ทำนี่น่ะไม่ได้ทำเพื่อเธอหรอกนะ จบเรื่องแล้วฉันมีเรื่องจะถาม อย่าตายซะล่ะ ”
อัศวินมังกร ลงดาบครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทัพทหารผีดิบ ที่บุกเข้ามาจะกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อไปในพริบตา
เค้าหันกลับมาสั่งเธอ ก่อนจะวิ่งลุยเข้าหากองทัพของศัตรู


“ เมื่อกี้….หรือว่า…จะเป็นเค้าเมื่อตอนนั้น.. ”
เธอ เปรยพร้อมกับนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เธอถูกคนในค่ายพัก ต่อว่าเอาหลังจากได้พินิจถึงลักษณะการพูดของ
อัศวินมังกรตนนั้น

“ ย้ากกกกก!!! เข้ามาเลยจะสับให้เละให้หมดไปเลยไอ้พวกผีเน่า เอ้ย!! ”
อัศวินมังกร แหกคอตะโกนป่าวร้องไปพร้อมๆกันกับ แกว่งดาบในมือ
ผ่าร่างของทหารผีนรก ตัวแล้วตัวเล่า ระหว่างนั้นเองเค้ารวมไปถึงทุกคนที่ก็เริ่มสังเกตุเห็น
กองทหารผีนรก เริ่มบางตาลงไปมาก ดูเหมือนพวกมันจะถอยกันลงไปแนวหลังหลายตัวเลยทีเดียว
ไม่นานคำตอบก็มาถึง เมื่อลูกไฟดวงยักษ์ ที่อยู่ในอุ้งมือของ มารขุมนรก กำลังจะถูกขว้างมา

“ หนอยแน่!! นี่มันคิดจะล้างบางพวกเราเลยรึไงกัน!! ”
เขาสบถ ลูกไฟในมือของ มารขุมนรกค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทหารผีนรก ทยอยกัน
ออกจากบริเวณ ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจนานนักสองปีกกางสยายออก เตรียมจะพุ่งทะยานขึ้นไป

“ นี่!! เธอน่ะ….หรือว่า!! ”
อลาน่า ตะโกนเรียก เขาเอาไว้แต่ทว่า เขากลับพุ่งตัวออกไปเสีย โดยที่ไม่ได้ฟังที่เธอจะพูดเลยแม้แต่น้อย
ลูกไฟถูกขว้างมาแล้ว เวลาเหลือน้อยลงทุกขณะ อัศวินมังกรเร่งความเร็วขึ้นไปอีก โดยพุ่งตรงเข้าหาลูกไฟ
อย่างไม่ลดละ สองมือกระชับดาบแน่นยกขึ้นไขว้ประสาน ก่อนจะปะทะเข้ากับลูกไฟ

แรงปะทะทำให้ลูกไฟระเบิดเสียตรงนั้น ก่อนจะไปถึงที่หมาย เศษสะเก็ดไฟและแรงระเบิดที่สะท้อนกลับออกมา
จึงครอกไปโดนกองทัพทหารผีนรกที่กระจุกรวมกันอยู่ด้านล่างแทน พวกมันกว่านับพันตน ถูกไฟครอก
จนหายอีกเสียครึ่งกอง ท่ามกลางหมู่ควันไฟที่ตลบอบอวลอยู่เหนือท้องฟ้านี่ ร่างของอัศวินได้มังกร

ได้พุ่งทะยานตรงเข้าดิ่งเข้าหา มารขุมนรก อย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ ร่างของอัศวินเต็มไปด้วยรอยไหม้
และควันไอร้อนก็ยังคงโชยออกมาจากทั่วทั้งร่าง ปีกทั้งสองฉีกขาด แต่กระนั้น อัศวินมังกร
ยังคงอาศัยแรงพุ่งทะยานที่ทำเอาไว้ก่อนเข้าปะทะ พุ่งตรงเข้ามา

………….เมื่อมองไปข้างล่างก็จะพบคนที่จะพึ่งพาเรา …………

“ ย้ากกกกกก!! ”
อัศวินมังกร ร้องคำรามก้องพร้อมกับปักกระบี่แดง ลงไปที่ต้นคอของ มารขุมนรก
และใช้เป็นหลักยึดยืนอยู่บนร่างของมัน

“ นี่ส่วนของ แรสซิล!! ”
เค้าตะโกน ขณะที่มารขุมนรก ดิ้นทุรนทุราย พยายามที่สะบัดเค้าให้หลุดออก

………………เมื่อมองไปรอบข้างตัวเรา ก็จะพบผู้คนที่ริษยาอิจฉาเรา……………..

“ และนี่ของ ซิควู้ด!! ”
เค้าตะโกนลั่นก่อนจะจามดาบโค้ง ลงบนกบาลของมันและลากผ่าจนขาดเป็นทางมาถึงอก
เจ้ามารขุมนรก ถึงกับดิ้นพล่าน พยายามจะยกมือขึ้นมา ปัดเค้าออกไป

………………………..เมื่อมองไปข้างบนก็จะพบกับคนที่เราจะพึ่งพา……………..

ก่อนที่มือของมันเข้าถึงตัว เค้าดีดตัวกระโดดขึ้นไปสูงจากเหนือหัวของมันพร้อมกับชักเอาดาบหนังมังกรที่
เหน็บหลังไว้ออกมา

“ หึ…ดูเหมือนคงจะไม่ได้พบอีกแล้วสินะ…..ทั้งที่แค่อยากจะ….เจอหน้าอีกสักครั้งเท่านั้นเอง ”
อัศวินมังกร เปรยออกด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่แฝงไว้ด้วยความเสียดาย ขณะที่ภาพความทรงจำ
ในวัยเด็กที่ต้องสูญเสียครอบครัว ไปวันเวลาที่มีคนเพียงคนเดียวคอยปลอบโยน

“ พี่สาว ทำไมวันนี้ทำหน้าเศร้าจังล่ะ ”
“ อ๊ะ ขอโทษนะแต่เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้พี่จะต้องไป…..ไปในที่ไกลแสนไกลออกไปจากที่นี่น่ะจ้ะ ”
“ เอ๋!! พี่สาวจะไปไหนกันน่ะ จะทิ้งผมไว้เหรอ… ”
“ อย่างอแง แบบนี้สิ ไม่อย่างนั้นพระผู้เป็นเจ้า จะโกรธเอานะ ”
“ งั้นผมไม่ร้องไห้ก็ได้…แต่พี่สาว…พี่สาวจะกลับมานะ กลับมาแน่ๆนะ ”
“ อืม…….จ้ะพี่จะต้องกลับมาหาแน่นอนเลยจ้ะ ”
“ สัญญานะ ”
“ อื้ม! สัญญาสิ!....ว่าแต่หนูน่ะชื่อ อะไรยังไม่เคยบอกพี่เลยนะ…บอกพี่สาวทีได้ไหม๊จ้ะ ”
“ ผมชื่อ…ชื่อ สเวน ฮะ…สเวน แตร์เซส…….. ”
ครั้งสุดท้ายที่ได้ พูดคุยกับเธอนั้นยังคงตราตรึงอยู่จนถึงวันนี้และในเวลานี้
เมื่อเค้ายื่นคมดาบออกไปจนสุดแขน เพื่อที่จะลงไปลากมารขุมนรกไปลงนรกพร้อมๆกับเค้า
การโจมตีนี้ ผลของแรงสะท้อนจะทำให้ร่างของเค้าเละเป็นจุลไปด้วย

“ สเวน!!!!!!!!!!!!! ”
เสียงตะโกนได้ดังแทรกขึ้นมา เค้าเหลือบสายตาหันไปมองเจ้าของเสียงในทันที
ด้วยอารมณ์วูบไหว มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้ชื่อของเค้า นอกจาก พรรคพวก

“ อย่าตายนะ!!!! สเวน!!!!!! นั่นเธอสินะเป็นเธอจริงๆด้วย…..ห้ามตายนะ สเวน!!!!!! ”
อลาน่า ตะโกนออกมาสุดเสียงของเธอ ขณะที่ อัศวินมังกรหันมามองเธอ
ด้วยสายตาที่แฝงความตะลึงเอาไว้ แต่สุดท้ายรอยยิ้มจางๆก็ปรากฏบนใบหน้าของเค้า

“ บ้าจริง…..ทำไมถึง….พึ่งจะมาบอก…เอาตอนนี้ล่ะ… ”
เค้าเปรยเสียงแผ่วด้วยความเสียดาย ก่อนจะกลืนเอาความรู้สึกที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาลงท้องไป

……………………..เมื่อมองไปทางใดๆก็จะพบกับความเป็นไปที่น่าหดหู่………………

“ และนี่….คือส่วนของฉัน!! ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!! ”
เค้าประกาศก่อนจะพุ่งดิ่งลงมา ร่างของเค้าพุ่งทะลวงจาก กลางศีรษะของมารขุมนรก
ทะลุลงไปในร่างของมัน ขณะเดียวกัน ที่คมดาบก็เปล่งแสง ขึ้นมาไปพร้อมๆกัน ภายในร่างของมารขุมนรก
เพลิงนรกที่ร้อนระอุ ลุกโชนและกำลังรอที่จะผาผลาญร่างของเค้าให้เป็นจุล

…………….จงมองไปยังมุมมองทั้งสามนั้นสิแล้วจะได้ เห็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อ……………

“ นี่สินะคือ….การลงทัณฑ์สำหรับฉัน…. ”
เค้าเปรย ออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตกลงไปยังไฟนรกในร่างของ มารขุมนรก

………………….วิถีแห่งมุมองทั้งสาม YXZ…………….

คมดาบที่ตกลงมาในร่างของมารขุมนรกพร้อมกับ อัศวินมังกร ซึ่งเปล่งแสงอยู่ ได้ส่องแสงสว่าง
ทะลุร่างของมันออกมาจากภายใน ร่างของมารขุมนรก หยุดแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง ก่อนจะระเบิดเป็นจุล
พร้อมกับเพลิงนรกในร่างของมันได้แผ่ ท่วมลงมาครอกกองทัพทหารผีนรกทั้งกองทัพจนสิ้นลงในคราเดียว

“ สเวน!!!!!!!! ”
เสียงกรีดร้องที่ดังกลั้วมากับเสียงสะอื้นไห้ ล่องลอยไปตามสายลมที่พัดกรรโชก ท่ามกลางสมรภูมิทะเลทราย
อันเวิ้งว้างแห่งนี้…………..
……………………………………..
…………………………………………….

……………………………ในคืนของวันนั้นเอง พวกเราที่เดินตัวเปล่าหามคนเจ็บ มาตลอดทางก็ได้
รับความช่วยเหลือจาก กองกำลังของ ศาสนจักร พวกเค้ามาช่วยได้เพราะเห็นแสงจากการระเบิด
ในทะเลทราย จึงส่งคนมาสำรวจ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระผู้เป็นเจ้า ทรงช่วยพวกเราไว้

หากเป็นฉันเมื่อก่อนนี้ ก็คงจะเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ที่ฉันจะคิดว่าพระองค์ทรงไม่ได้ช่วยเหลือ แต่ เป็นผู้คนรอบตัวฉันต่างหากที่ได้แก้ไขสถานการณ์ เลวร้ายให้ผ่านพ้นไป
แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะพูดได้ว่ามันเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ความคลางแคลงใจนี้ ผุดขึ้นมา

มันจะสั่นคลอนให้ฉันไม่อาจเชื่อมั่นใน สิ่งที่เคยยึดมั่นได้อีกแล้วรึเปล่า เรื่องนั้นยังคงเป็นปัญหาที่ฉันยังคง
ต้องหาคำตอบต่อไป แต่สำหรับคำตอบที่สมรภูมิแห่งนี้…..ฉันได้รับมันแล้ว
………………………………………….
…………………………………………………………………..

ท่ามกลางหมู่ดาวพราวฟ้าในราตรีแห่งทะเลทรายนี้ ชวนหวนให้เค้านึกย้อนถึงวัยเด็กที่ได้เฝ้ามองดู
ดวงดาวบนท้องฟ้า ที่ๆซึ่งความฝันก่อตัวขึ้น และประดับประดาเป็นแสงทอประกายในทุกค่ำคืน
ร่างที่นอนจมกองทราย แหงนเงยมองฟ้าด้วยสายตาที่โหยหา อะไรบางอย่าง

คลิกเพื่อเปิดทำนองประกอบเนื้อเพลงด้านล่างนี้ด้วยจากตรงนี้จะเป็นบทบรรยายความรู้สึกของสเวน

ฉันไม่ได้ยินสิ่งใดนอกเสียจาก ความเศร้าโศกสีฝ้าฟางของบทเพลงแห่งความขมขื่น
ฉันได้มองขึ้นสู่ฟากฟ้า.
สายลมที่ห่างไกลเปล่งประกายขาวนวลอยู่.

รู้สึกอบอุ่นจากด้านของฉัน จึงตัดสินใจจะไม่หนีอีกต่อไป.

หากเป็นความจริงอันเจ็บปวดร้าวราน ฉันจะปิดทุกหัวใจของฉัน จะไม่ย้ายสายตาไปจากอีก ~.
ก้าวข้ามกำแพงอันบิดเบี้ยวไปสู่ประตูแห่งดวงดาว ... เสียงกระทบฝีก้าว ที่ลืมเลือน อาจจะยังไม่หยุดฝนสีแดงที่โปรยปราย.
ความรู้สึกที่เต้นขึ้นมา เมื่อจับมือของเธอ.

แสงดาวอันไม่สิ้นสุด เฉิดฉาย ลงสู่ความสัมพันธ์เงียบงัน.
บางอย่างเปลี่ยนแปลงเมื่อมือทั้งสองเปิดออกและนั่นคือความจริง.
ฉันได้เปิดประตูข้างของฉันและจะไปยังที่ฉันต้องการจะไป.

หากเป็นความจริงอันเจ็บปวดร้าวราน ฉันจะปิดทุกหัวใจของฉัน จะไม่ย้ายสายตาไปจากอีก~.
ก้าวข้ามกำแพงอันบิดเบี้ยวไปสู่ประตูแห่งดวงดาว ...

…………………….[ถึงตรงนี้แล้วปิดทำนองเพลงเลย]

/สเวน…..ได้ยินไหม สเวน….ฉันมารับแล้วนะ….สเวน/

เสียงครืดคราดดังขึ้นมาจากส่วนหัวเกราะเกล็ดมังกรที่ ฝังทรายอยู่ข้างๆร่างของเจ้าของ
ที่ดวงตาค่อยๆปิดสนิทลง ใต้นภาที่แพรวฟ้าไปด้วยดวงดาวบนผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

…………………………….
………………………………………………..
Fin Chapter
.........................
...................................


ก็จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับ YXZ สำหรับฉันแล้ว แม้ซีรี่ย์นี้เดิมทีจะเป็นพล็อตที่ถูกคัดออกก็ตามที
แต่มันก็ผลงานที่ น่าประทับใจ(ตรงไหน) อีกเรื่องที่น้องชายฉันได้รังสรรขึ้นมานะคะ
สำหรับใน Chapter สุดท้ายที่พึ่งจบไปนั้น คงทำให้ทุกเรื่องราวกระจ่างขึ้นมาบ้างนะคะ

สำหรับเรื่องของตัวเอกในภาคนี้ แม้นิสัยออกจะดูแย่ๆไปหน่อย แต่เพราะมีปมมาตั้งแต่เล็ก การที่จะกลายเป็นคนแบบนั้นก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จริงโทนเรื่องตอนที่เขียน ต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้รู้สึกร่วมไปกับ สเวน
และมองสงครามกับอุดมการณ์ของ อลาน่า ในมุมมองทีต่างออกไปค่ะ

นี่หลักของเรื่องจริงๆที่ต้องการจะสื่อ เพราะถ้าไปอ่านใน นิยายต้นฉบับของ SMN แล้วล่ะก็
อลาน่า คงไม่นิ่งให้ สเวน ด่าได้แน่นอนค่ะ ที่จริงแล้วมีสัมภาษณ์ เล็กๆน้อย เกี่ยวกับบทความนี้จากน้องชายฉันมาฝากกันด้วย


ถาม:ทำไมถึงคิดที่จะแต่งเนื้อเรื่องโทนแบบนี้ขึ้นมาล่ะ?

ตอบ: อยากลองอะไรที่แปลกใหม่ดูบ้าง ล่ะมั้ง

ถาม:แล้วคิดยังไงกับตัว อลาน่า ในเรื่องนี้บทของเธอคนที่ สเวน ครวญหา แต่ไม่รู้จนในตอบจบใช่ไหม?
ตอบ: ก็ไม่เชิง หากอ่านดูแล้วคงจะคิดว่าเป็นแบบนั้น ที่จริงแล้ว แกนหลักของเรื่องนั้น อยู่ที่ตัวอลาน่า เองด้วย
ส่วน สเวน คือผลลัพธ์อีกรูปแบบจากการกระทำของเธอ และเป็นบททดสอบ ต่อความตั้งมั่นในพระผู้เป็นเจ้าของเธอ


ถาม:ในตอนจบ สเวนตายรึเปล่า?
ตอบ:ตรงนี้ขอไม่ตอบให้ไปจิ้นกันเอาเอง แต่โดยส่วนตัวแล้ว อยากให้ สเวน ตายน่ะแหล่ะเพราะในที่สุดก็สมหวังแล้ว
ได้เจอเธอคนนั้นอีก แถมไปต่อว่าเธอซะขนาดนั้น คิดว่าจะเหลือแรงใจพออยู่บนโลกแบบนี้ต่อไปหรือ?


ถาม:แล้วเรื่องนี้จะมีรีรัน โครงการขึ้นมาเขียนต่ออีกไหม?
ตอบ: ถ้ามีมันก็จะเป็นเหมือนภาควายครอส ที่ กำหนดให้ เรกกะ ไม่ได้ตายในภาค อาริมาเทีย และ กลับมา
มีบทบาทในภาควายครอส ซึ่งผลลัพธ์มันก็เป็นอย่างที่เห็น เรื่องมันได้จบลงไปในตัวของมันสมบูรณ์แล้ว
ไม่งั้นก็ต้องต่อเรื่องไปลง ACE อีกนะสิ(ฮา)

ถาม:ทำไมอัศวินทาลิวิลย่า ปรากฏตัวน้อยกันจัง ทุกทีเห็นมีกันตั้ง 6-7 ตัวหรือไม่ก็ 15 ตัวแบบภาคอาริมาเทีย?
ตอบ: มันเป็นซีรี่ย์สั้นๆที่ไม่ได้ มีความตั้งใจในการสร้างเรื่องให้ยืดยาวอยู่แล้ว
พล็อตของตัวเอกอย่างสเวน ก็สั้นเกินไปไม่เหมาะที่จะทำเนื้อเรื่องยาวๆ เหมือนอย่าง ลอว์เรนซ์ หรือ เรกกะ
เพราะงั้นจะให้มาใช้เท่ากันคงเป็นไปไม่ได้

ถาม:สุดท้ายแล้ว ทำไมความแข็งแกร่งของ ทาลิวิลย่า ที่พวก สเวน ใช้ในภาค นี้ถึงได้อ่อนแอ นักทั้งที่ปกติต่อให้
มังกรเฮโลกันมาเป็นน้ำในสมุทร ก็จัดการได้สบายบรื๋อ?

ตอบ:เพราะมันเป็นของที่ไม่สมบูรณ์ และยังเป็นของที่สร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์ ไม่เหมือนกับศิลาแท้
ดังนั้นความแข็งแกร่งต่างกัน ตัวเปรียบเทียบคือ เรกกะ ที่ทาลิวิลย่า แห่งอาริมาเทีย นั้นสำแดงพลังมาจากศิลาเทียม
พลังจึงไม่ได้มีเท่าตัวจริง


นั่นคือบทสัมภาษณ์ที่คิดว่าน่าจะตอบคำถามได้ครบนะคะ(ยังงงอยู่เลยที่ตอบมาทั้งหมดนั้นหมายถึงอะไรกันหว่า)

แล้วเจอกัน อาทิตย์หน้ากับ SMN VR TAG!! นะคะ

ปล.เจ้า เกรม่อน มันเลือกเพลงประกอบให้ฟังได้รันทดใจจริงๆ เกือบเล็ดแล้วน้ำตาเนี่ย
อย่านะ...อย่าไหลออกมานะ พระเอกแบบนี้ฉันไม่ได้พิสวาทมันนะว้อยยย!! อ๊าค อดเศร้าตามไม่ได้ ::023::
แก้ไขล่าสุดโดย Wargreamon เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 1:03 am, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Kickz! เมื่อ จันทร์ พ.ย. 09, 2009 8:41 pm

อ่านแล้วเหมือน กับ อ่าน กันดั้มซี้ด เดสตินี้
ประโยคเด็ด ๆ ก็เยอะ 555+
ปล. เอ่ะ ใจ ตอนที่ คำแรก ที่เจ้า ผมขาว พูดเรย สมเป็นคำพูดสวยหรูของพวกขุนนางซะจริงนะ…. 555+ เปลียน นิดหน่อยเอง
Kickz!
0
 
โพสต์: 1143
Cash on hand: 150.00

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Palmon เมื่อ จันทร์ พ.ย. 09, 2009 10:59 pm

อ่านแล้วเหมือน กับ อ่าน กันดั้มซี้ด เดสตินี้
ประโยคเด็ด ๆ ก็เยอะ 555+
ปล. เอ่ะ ใจ ตอนที่ คำแรก ที่เจ้า ผมขาว พูดเรย สมเป็นคำพูดสวยหรูของพวกขุนนางซะจริงนะ…. 555+ เปลียน นิดหน่อยเอง



อืม เปลี่ยนนิดหน่อยจริงๆด้วยสิ ก็ว่ามันคุ้นๆอยู่ แอนดิซองเป็นเกาะเหมือนกันอีกต่างหาก งั้นอองเดร ก็เป็น ฟรีด้อมน่ะสิ เหอๆ
น่าสงสาร มามะมาให้ เค้ากอดปลอบใจหน่อยเร้วววว นู๋ชิน ...เอ้ย นู๋ สเวน (สเวน นี่ มันก็ สเวน คอล บายัน จากStar Gazer นิหว่าผมขาวเหมือนกันอีก)

เอาเถอะน่า แค่คล้ายกันล่ะมั้งเนอะเกรม่อนคุง เหอๆ
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย boy เมื่อ พุธ พ.ย. 11, 2009 6:14 pm

::030::
นิฮุๆๆๆๆๆๆ จบลงด้วยความเศร้า...
เป็นฟิคเรื่องแรกที่จบลงแนวรันทดแล้วไม่มีต่อให้ในมุมมองผมนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
boy
0
 
โพสต์: 2105
Cash on hand: 3,250.00
ที่อยู่: Golden Land

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย JX~Mystalgikus เมื่อ พุธ พ.ย. 11, 2009 7:43 pm

boy เขียน:::030::
นิฮุๆๆๆๆๆๆ จบลงด้วยความเศร้า...
เป็นฟิคเรื่องแรกที่จบลงแนวรันทดแล้วไม่มีต่อให้ในมุมมองผมนะ


+1 ครับ

แต่แอบกลัวนิดๆ ถ้ามี 'ส่วนกลับของเรื่อง' อยู่อีก คงจะ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
JX~Mystalgikus
0
 
โพสต์: 181
Cash on hand: 350.00
ที่อยู่: ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Wargreamon เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 12:34 am

อันนี้ตัว เกรม่อน เองล่ะนะ พี่ปิโย เล่นเอามาลงไม่บอกก่อนเลยน้าเนี่ย แถมแอบมาหลอกสัมภาษณ์ไปอีก
เลยตอบแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่

ความจริง ซี่รี่ย์นี้ตั้งใจจะให้เป็น ซีรี่ย์ ต่อภาคลอว์เรนซ์ ตั้งแต่ก่อนภาคเรกกกะ จะออกแล้วต่างหากเน่อ
แต่บังเอิญว่า อย่างที่พูดไปพล็อตตัวเอกมันตื้นไปนิด สั้นมากๆ เลยได้แค่เนี้ย

ก็เลยไปจับเอา เรกกะ ขึ้นมายำลงจอไปแทน น่ะนะ

ส่วนซีรี่ย์นี้ ถ้ายังหวังจะให้มีตอนต่อล่ะก็ ไปเลือกสายการเล่นใน ACE เน่อ เอ้อพอดีเลยงั้นไหนๆ
แล้วขออธิบายเรื่องแนวเรื่องของ ACE หน่อยละกัน คือยังงี้นะ เนื่องจากเราๆรู้กันอยู่แล้วว่า ACE
คือการยำซีร่ย์ตั้งแต่ ฟิคของผม ไปจนถึงอนิเมการ์ตูนอีกหลายเรื่องที่จะมาลงแบบไม่ต้องกรอง
หรือพูดง่ายๆคือ พอจบในตอนส่วนที่ตอนต่อไปเป็นทางแยกสายการเลือกเส้นทางดำเนินเรื่อง

เช่นก่อนจบตัวผมทิ้งคำถามไว้ว่า จะเลือกไปสายไหนอย่างเช่น ไปโรงเรียนมาโฮระ หรือ ไปมนต์วิทยา
แล้วก็จะมีชื่อซีีีรี่ย์ ที่จะโผล่เพิ่มาในสายนั้นๆให้ดูเพื่อตัดสินใจว่าจะไปทางใด หากเลือกไปมาโฮระ
ล่ะก็แน่นอนว่าตอนต่อไปคุณจะได้เจอกับ เนกิ ชัวร์ หรือถ้าไปมนต์วิทยา ในตอนหน้า ธนัท ก็จะโผล่มาแทน

ช่วงการแยกสายจะมีมาทีล่ะช่วงแล้วแต่บท ดังนั้น ACe จะมีตอนจบเช่นไร ขึ้นอยู่กับการโหวตสายของแต่ล่ะคนด้วย
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นจะจบเศร้าเฮฮา แฮปปี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกสายด้วยเน้อ และแต่ล่ะสายก็จะให้แต้มการลงเอย

ของตัวผมกับตัวละคร ในเรื่องด้วย ยกตัวอย่าง เลือกสายที่มีแต้มพัลม่อนกันบ่อยๆ ตอนจบตัวผมก็จะลงเอยกับ พัลม่อนจัง
แต่ถ้าเลือกสายการุรุม่อนบ่อยๆล่ะก็ตอนจบก็ลงเอยกับ เจ้าการุรุม่อน(หรือแบบวายนั่นเอง ::036:: )

หรือถ้าตอนจบแล้วแต้มไล่เลี่ยกัน ก็อาจจะตัดสินจากเกณฑ์ คะแนน ก็จะเป็นแบบ ลงเอยกับทั้งสองคนเลย
ไม่ก็ ไอ้สองตัวนั่นตายหมด ผมรอดคนเดียวเหอๆ ::006::

หรือไม่ก็ผมตายคนเดียวได้อีกเหมือนกันน่ะแหล่ะ


แต่แอบกลัวนิดๆ ถ้ามี 'ส่วนกลับของเรื่อง' อยู่อีก คงจะ...


คงจะอะไรอ่า ไม่เคลียบอกทีจิ


นิฮุๆๆๆๆๆๆ จบลงด้วยความเศร้า...
เป็นฟิคเรื่องแรกที่จบลงแนวรันทดแล้วไม่มีต่อให้ในมุมมองผมนะ
::030::
นิฮุๆๆๆๆๆๆ จบลงด้วยความเศร้า...
เป็นฟิคเรื่องแรกที่จบลงแนวรันทดแล้วไม่มีต่อให้ในมุมมองผมนะ


บอกจบรันทดแต่ไหงดูระรื่นผิดปกติล่ะคร้าบเอ๊ะหรือเพราะ ว่าพระเอกไม่วายบวกเลว
เลยดีใจที่จบแบบนี้ ชิมิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wargreamon
0
 
โพสต์: 224
Cash on hand: 250.00

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย Palmon เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 1:16 am

แต่แอบกลัวนิดๆ ถ้ามี 'ส่วนกลับของเรื่อง' อยู่อีก คงจะ...


เค้าคงหมายถึงถ้าเกิดมีภาค Spin off แบบที่เคยเอาภาคเรกกะ มาเขียนใหม่ให้ เฟนท์เป็นตัวเอกล่ะมั้ง
เหอๆ ถ้ากลับกันให้ อลาน่า ตายแทนสงสัยจะดิ่งลงเหวล่ะนะ ::036::

ว่าแต่ซีรี่ย์นี้เห้อ~ ตอนเข้าทีมมาใหม่ๆ ก็เคยอ่านผ่านไปแล้วแท้ๆ แต่อ่านอีกทีก็ซึ้งแหะ สเวนคุง ซึนเดเระ นี่เอง
ว่าแต่ได้เป็นลูกทีมเกรม่อนคุง นี่ดีจังเลยน้า ได้อ่านฟิครายสัปดาห์ก่อนใครทุกคนในบอร์ด
ได้ดูได้อ่าน ฟิคที่เขียนไว้แล้วแต่ไม่เอาลง อย่างซีรี่ย์นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น หุๆๆ ออฟฟิช ของเกรม่อนคุง นี่มัน
สวรรค์แห่งฟิควายดราม่าจริงๆเลย (พูดให้ชาวบ้านอิจฉาเล่น[มันจะมีเรอะ!])

อีกเรื่อง หนูขอเลยได้ไหมอ่า ตอนลงภาค ACE ช่วยๆกันโหวตให้สายหนูแต้มความสัมพันธ์กับ เกรม่อนคุง พุ่งเยอะๆเลยน้า
จะได้ลงเอยกับ เกรม่อนคุง หุๆ นะๆๆๆ ::030::
Palmon
0
 
โพสต์: 33
Cash on hand: 50.00

Re: (จบบริบูรณ์)Legend of the Thaliwilya YXZ(วายครอสซีต้า)

โพสต์โดย MetalGaruruMoN เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 1:24 am

^
^
^
^

แอร๊ย~~!!! ได้ไง พัลม่อนจัง อยู่ๆมาหาเสียงหนุนกันแบบนี้ เจ๊ไม่ปล่อยเกรม่อนคุง ให้ง่ายหรอกนะย๊า~~~ ::008::

ว่าแล้วคุณๆท่าน ช่วยกันโหวตให้ เจ๊นะฮ้า เพื่อพลังวายจะได้แผ่ซ่านสืบสานกันต่อปาย~~
(แอบ สปอย์สายเจ๊ถ้าเลือกมาล่ะก็มีไปเจอตัวละครจะ แว่วเสียงนกนางแอ่นกะแว่วเสียงเรไร
ด้วยนะเออ[เท่านี้ก็ได้มาฟรีๆแล้ว 1 เสียงไม่ต้องบอกเนอะว่าคราย~ อิๆรู้กัน])

อ่อ ช่วงหลังจะมีอีกสายเป็นสายที่สาม ของพี่ปิโย เค้าน่ะสายนั้นอย่าไปเลือกเชียวล่ะ เจ๊ยังไม่อยากให้เกรม่อนคุง
กลายเป็นหญ้าอ่อน ให้คุณเธอคาบไปเคี้ยวเอื้องเอา จุ๊ๆๆๆ อย่าไปบอกใครล่ะ ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
MetalGaruruMoN
0
 
โพสต์: 75
Cash on hand: 50.00


ย้อนกลับไปยัง SMN FanCard FanArt & FanFic

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน