Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 7:58 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 4:46 pm

Chapter11 กรีฑาทัพ



เมื่อพิธีบวงสรวงจบลง และบรรดาผู้คนต่างพากันพักผ่อนในที่พักของตนจนหมดแล้ว ที่กระท่อมหลังใหญ่ใจกลางเผ่าฟูดินันอันเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวบันดารา ซึ่งบัดนี้ดูแน่นขนัดด้วยบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่และผู้นำจากเผ่าต่าง ๆ ที่มาร่วมงานบวงสรวง ทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงใหญ่ ต่างก็พากันสงสัยที่วูจินเรียกพวกตนมาประชุมอย่างกะทันหันในยามวิกาลเช่นนี้ วูจินกระซิบเสียงเบากับฮารีซันซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตน

“วานาอันล่ะ?”

“หลับแล้วครับท่านปู่”

วูจินยิ้มน้อย ๆ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เมื่อผู้เฒ่าคนสุดท้ายเดินเข้ามาร่วมวง วูจินจึงเริ่มกล่าวขึ้น “สหายและพี่น้องทั้งหลาย ข้าต้องขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกท่าน แต่ทั้งนี้ก็เพราะข้ามีข่าวสำคัญจะต้องแจ้งให้พวกท่านทราบโดยเร็วที่สุด”

“เรื่องอะไรรึ? ท่านวูจิน” ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งอ่อนเยาว์กว่าวูจินเล็กน้อยพูดขึ้น

“เมื่อเช้านี้มีผู้พบเทพแองโกริออน” ทันใดก็มีเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ดังกระจายไปทั่วบริเวณห้องนั้น

“ท่านร้องหรือคำราม” หัวหน้าเซนทอร์ดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน เอ่ยถาม

“ท่านนิ่งเงียบและเดินจากไป” วูจินตอบสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ต่างมีสีหน้าตกใจ บางคนก็ขมวดคิ้วสงสัย ต่างถกเถียงวิเคราะห์สถานการณ์กันไปต่าง ๆ นานา

“มันหมายความว่าอย่างไรครับท่านปู่?” ฮารีซัน ถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“นั่นสิท่านผู้เฒ่า หากแองโกริออนร้องหรือคำราม ข้ารู้ว่าหมายถึงอะไร? แต่การนิ่งเงียบแบบนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ดามิก้ากล่าวเสริมขึ้น

“เหตุการณ์นี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อสมัยพวกเจ้ายังเด็กก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหมือนกัน ครั้งนั้นหลังจากเทพแองโกริออนปรากฎตัวและหายไปอย่างเงียบเชียบ เพียงไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้นก็เกิดสงครามระหว่างเผ่าขึ้น ฟูดินันตกเป็นเป้าหมายสำคัญเพราะความที่เป็นเผ่าใหญ่ที่สุด เราถูกโจมตีอย่างหนักจนในที่สุดชาวบ้านถูกเข่นฆ่าล้มตายมากมาย แม้แต่ปู่ก็ต้องเสียลูกชายที่รัก...พ่อของเจ้าไปก่อนที่น้องของเจ้าจะได้ลืมตาออกมาดูโลกเสียอีก” วูจินพูดด้วยสีหน้าสลดลง

“หมายความว่าจะเกิดสงครามระหว่างเผ่าอีกหรือ?” หัวหน้าเซนทอร์ถามเสียงเครียด

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ สิบกว่าปีมานี้เผ่าต่าง ๆ เริ่มรู้จักและเป็นมิตรต่อกันมากกว่าแต่ก่อนมากนัก” ผู้เฒ่าต่างเผ่าคนหนึ่งพูดขึ้น

“แต่ท่านอย่าลืมนะว่ายังมีอีกหลายเผ่าในป่าลึกที่ยังไม่ถูกค้นพบและเป็นที่รู้จัก” ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามวูจินท้วงขึ้น

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องทำสงครามกับเรานี่” ผู้เฒ่าผู้นั่งใกล้ฮารีซันกล่าวท้วง

“ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร? ท่านฮารีซัน” ผู้นำต่างเผ่าคนหนึ่งถามขึ้นเหมือนจะลองหยั่งเชิงหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ ฮารีซัน แม้จะยังประหม่ากับตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้รับ แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตำแหน่งหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าหนุ่มจึงนั่งตัวตรงตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น

“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าไม่เห็นถึงเหตุจูงใจที่จะก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเผ่าขึ้น บัดนี้เผ่าต่าง ๆ ล้วนอยู่กันอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือ? ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ อาณาเขตก็ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนไม่มีการล่วงล้ำอาณาเขตซึ่งกันและกัน”

“แล้วท่านจะอธิบายเหตุการณ์นี้อย่างไรเล่า?” หัวหน้าเผ่าคนเดิมยังคงตั้งคำถามต่อ

“จำเป็นด้วยหรือว่าการที่เทพราชสีห์นิ่งเงียบจะต้องหมายถึงสงครามระหว่างเผ่า?” ฮารีซันตอบเหมือนเป็นเชิงถามในที ทุกคนต่างนิ่งเงียบมองหน้ากันไปมาเหมือนจะสามารถค้นหาคำตอบจากใบหน้าของกันและกันได้ ในที่สุดทุกคนก็ดูเหมือนจะมุ่งไปหาท่านผู้เฒ่าแห่งฟูดินันเพื่อให้ไขความกระจ่างนี้ วูจินครุ่นคิดอยู่นาน สีหน้ายังคงฉายแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าขอบอกตามตรงว่าข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะตลอดชีวิตของข้า นี่เพิ่งเป็นครั้งที่สองที่เทพราชสีห์นิ่งเงียบเช่นนี้ แต่ข้าสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ” วูจินกล่าวเสียงเครียด

“ท่านแน่ใจรึ? มันอาจจะไม่รุนแรงถึงขนาดนั้นก็ได้ ท่านกล่าวเองว่านี่เพิ่งเป็นครั้งที่สองที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น” หัวหน้าเผ่าอีกคนกล่าวขึ้น

“ลางสังหรณ์ของท่านผู้เฒ่าไม่เคยผิดพลาด” ดามิก้ากล่าวโต้เสียงดัง

“ข...ขะ...ข้าก็มิได้มีเจตนาจะดูถูกหรือว่าร้ายท่านผู้เฒ่า ข้าเพียงแต่คิดว่าเรายังไม่น่าจะปักใจที่จะคิดไปในเรื่องร้ายแรง”หัวหน้าเผ่าคนเดิมกล่าวอย่างเกรง ๆ สาวจากป่าทมิฬ

“เอาเถอะ ๆ ” วูจินโบกมือปราม “ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น หวังว่าลางสังหรณ์ครั้งนี้จะผิดพลาด”

คำพูดของวูจินทำให้บังเกิดความเงียบที่น่าอึดอัดไปทั่วห้อง

“เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรล่ะ ฮารีซัน?” วูจินเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ท่านปู่ เพื่อความไม่ประมาท ข้าเห็นว่าทางที่ดีเราควรเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้านไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที” ฮารีซันตอบเสียงหนักแน่น

วูจินยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน และดูเหมือนทุกท่านก็คงเห็นด้วยกับความคิดนี้ ถ้าเช่นนั้นทุกท่านก็คงจะรู้แล้วว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรกันบ้าง เอาล่ะนี่ก็ดึกมากเหลือเกินแล้ว ข้าคงไม่รั้งตัวทุก ๆ ท่านไว้นานกว่านี้ สำหรับคืนที่แสนยาวนานนี้ขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนให้สบายเถิด” วูจินกล่าวขึ้นก่อนที่ทุก ๆ คนจะลุกขึ้นแยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่พักของตนอย่างเงียบ ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 4:47 pm

ภายในท้องพระโรงแห่งอาณาจักรซาโลม กำลังมีการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนเคลื่อนพล บรรดาเสนาอำมาตย์ และแม่ทัพนายกองทุกฝ่ายต่างอยู่กันพร้อมหน้า

“ทูลฝ่าบาท ข้าพระองค์มีเรื่องน่ายินดีสองเรื่องที่จะกราบทูลพระองค์ในวันนี้” เบลซ เซจ ทูลขึ้นทันทีเมื่อกษัตริย์ซาดินและราชินีเนอริมอร์เสด็จขึ้นสู่ที่ประทับเรียบร้อยแล้ว

“เรื่องน่ายินดีอะไรที่ทำให้เจ้าต้องรีบร้อนบอกข้าถึงขนาดนี้?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามอย่างใคร่รู้

“เพราะข้าพระองค์แน่ใจว่าข่าวนี้จะทำให้เมอร์ริเซียตกเป็นของพระองค์เร็วขึ้นอย่างไรล่ะ” เบลซ เซจกล่าวทูลพลางแสยะยิ้มกว้าง

“ถ้าเช่นนั้นก็จงรีบว่ามาสิ” ราชินีเนอริมอร์ทรงเร่งด้วยความรำคาญ

“พ่ะย่ะค่ะ” เบลซ เซจโค้งตัวเป็นเชิงขอขมา ทว่าใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าสลดแม้สักนิด “เรื่องแรกนั้นก็คือ บัดนี้กษัตริย์ซิกมันด์ที่2แห่งอาณาจักรฟีเลเซียสวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดเสียงฮือฮาก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งท้องพระโรง กษัตริย์ซาดินทรงโน้มองค์มาข้างหน้า รอยยิ้มปรากฏที่พระโอษฐ์หากแต่ยังคงสงวนท่าทีไว้

“เจ้าแน่ใจรึ?” องค์กษัตริย์ตรัสถามด้วยน้ำเสียงแคลงใจ

“ยิ่งกว่าแน่พ่ะย่ะค่ะ สายของข้าพระองค์รายงานว่า ซิกมันด์ที่2นำทัพออกไปปราบมังกรไฮดร้าแห่งวาล๊อค(Hydra of warok) และถูกพิษของมัน ทั้ง ๆ ที่หากเขารีบกลับมารักษาตัวที่อาณาจักรก็อาจจะพอรักษาชีวิตไว้ได้...แต่เขากลับยังต่อสู้จนตายทั้งสองฝ่าย ” เบลซ เซจกล่าวทูลด้วยน้ำเสียงดูแคลนพลางแสยะยิ้มกว้าง

“ช่างโง่งมอะไรเช่นนี้?” กษัตริย์ซาดินทรงเปรยขึ้น

“เพราะความหยิ่งทะนงและศักดิ์ศรีโง่ ๆ ของพวกฟีเลเซียพ่ะย่ะค่ะ และตอนนี้ผู้ที่สืบราชบัลลังก์ต่อก็คือ ซิกมันด์ที่3 ที่อายุเพิ่งจะสิบหกปีเท่านั้น ทั้งยังอ่อนด้อยประสบการณ์และบ้าศักดิ์ศรีโง่ ๆ ไม่ต่างจากบิดา บัดนี้ฟีเลเซียเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ข้าพระองค์เห็นว่าหากเราจะโจมตีฟีเลเซียตอนนี้ ก็ง่ายเสียยิ่งกว่าการยิงนกในอากาศเสียอีก”

“คงไม่ใช่จะคิดการณ์อะไรง่ายดายปานนั้นกระมัง ท่านเบลซ เซจ” เสียงอันสุขุมของนาริสดังขึ้น

“ฟีเลเซียขึ้นชื่อว่าเป็นชาตินักรบที่แม้แต่ผู้หญิงก็ยังจับดาบ ลำพังเรื่องสวรรคตคงไม่ใช่เหตุผลที่มากพอที่จะสรุปเอาได้ว่าสมควรโจมตีฟีเลเซีย และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแผนการรบในเวลากระชั้นชิดหากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่มีใครเขาทำกัน ตอนนี้ข้าเองก็ชักสงสัย หากไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก ท่านคงไม่เสนอให้โจมตีฟีเลเซียเร็วนัก”

จอมเวทย์เฒ่าหรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านนี่ช่างรู้ไปเสียทุกเรื่องท่านนาริส อีกเหตุผลหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะข้ามีขุมข้อมูลที่ทำให้ข้ารู้จักฟีเลเซียมากพอจะวางแผนยกทัพเอาชัยเหนือฟีเลเซียได้”

“เจ้าส่งคนไปสืบมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กษัตริย์ซาดินทรงยิ้ม จ้องเขม็งไปยังเบลซ เซจ

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ บังเอิญข้าได้สหายผู้ซึ่งราวกับฟ้าประทานมาเพื่อการศึกกับฟีเลเซียโดยแท้”

“เป็นใครกัน” กษัตริย์หนุ่มประทับหลังตรงขึ้นตรัสถามแทรก

“คน ๆ นี้เป็นบุตรแห่งตระกูลขุนนางใหญ่ในฟีเลเซีย ดังนั้นฟีเลเซียคือบ้านเก่าที่เขารู้ทุกซอกทุกมุม”

“ไหนเจ้าว่าพวกฟีเลเซียถือศักดิ์ศรีนัก แล้วเจ้าคนนี้จะมายอมขายชาติขายศักดิ์ศรีเพื่อเพื่อนอย่างเจ้าหรือ? งานนี้เจ้านั่นมันโง่โดนเจ้าหลอก หรือเจ้าเองที่โง่โดนมันหลอกกันแน่?” เสียงแหลมเข้มดังขึ้นจากมหาราชินี ผู้ที่ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าเกลียดชังเบลซ เซจนัก

เบลซ เซจ หลบสายตาที่เหยียดหยามชิงชังของพระนาง กัดฟันข่มความโกรธ ก่อนจะแสร้งยิ้มและกล่าวทูลว่า“เพื่อนข้าผู้นี้มีเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการเห็นฟีเลเซียย่อยยับ และที่สำคัญ หากเขาคิดหักหลังหรือหลอกลวงซาโลม เขาคงยินดีปล่อยให้กษัตริย์แห่งซาโลมตกอยู่ในวงล้อมของฝูงหนูไฟแห่งถ้ำมหาสมบัติโดยไม่ปล่อยให้รอดออกมาคิดโจมตีฟีเลเซียภายหลังเช่นนี้แน่”

กษัตริย์ซาดินทรงลุกขึ้นทันที เรื่องราวในถ้ำนั้นผุดขึ้นมาในสมอง ทรงร้องสั่งเสียงดัง

“จงนำคนผู้นั้นมาหาข้าเดี๋ยวนี้”

“ตามบัญชาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เบลซ เซจ แสยะยิ้มผายมือไปที่โถงประตูทางเข้า ที่นั่นเองมีร่างดำมืดแอบอยู่ที่ภายใต้เงามืดของซุ้มผ้าม่าน มีเพียงประกายจากลูกแก้วบนไม้เท้าเท่านั้นที่สะท้อนกับแสงเทียนภายในห้อง กษัตริย์ซาดินทรงหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในถ้ำใต้ภูเขาไฟทันที ร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกมาจากเงามืดเผยให้เห็นร่างกายที่สูงเพรียวของพ่อมดหนุ่มผู้มีใบหน้าคมเรียว นัยน์ตาดุกร้าว จนรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อสบตา แต่สิ่งที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่าคือนกปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวที่เกาะอยู่ที่ไหล่ขวา ทันทีที่ตัวของมันโผล่พ้นจากเงามืดก็ส่งเสียงร้องโหยหวนดังก้อง เสียงของมันเย็นยะเยือกบาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท พาลทำให้ทุกคนในห้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบ พ่อมดยกมือขึ้นลูบเป็นเชิงปลอบให้มันสงบลง การก้าวเดินที่แช่มช้า ราวกับมีเงามืดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เบลซ เซจ แสยะยิ้มอีกครั้งพลางกล่าวทูล
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 4:48 pm

“ข้าพระองค์ขอแนะนำสหายรักของข้าพระองค์ แบล็ค ไวเซอร์(Black Wiser) พ่อมดดำผู้มีวิชาอาคมด้านศาสตร์มืดแก่กล้าที่สุดในยุคนี้ก็ว่าได้”

“ถวายบังคมฝ่าบาท” แบล็ค ไวเซอร์โค้งตัวลงเล็กน้อยเอ่ยทูลเสียงแหบแห้ง

“เป็นเจ้าเอง...น่ายินดีนักที่ได้พบเจ้าในวันนี้ หากไม่เพราะการช่วยเหลือของเจ้าในวันนั้น...” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างยินดี

“หามิได้ฝ่าบาท การดำรงพระชนม์ของท่านคือความปรารถนาของข้าพระองค์ และรวมไปถึงการช่วยเหลือท่านยึดเมอร์ริเซียนี่ด้วย”เสียงอันแหบต่ำ ลอดริมฝีปากที่ล้อมด้วยหนวดเคราดำ

“เบลซ เซจว่าเจ้าอยากจะเห็นฟีเลเซียย่อยยับ เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงกับฟีเลเซียอย่างนั้นรึ?” กษัตริย์ซาดิตรัสถามด้วยความใคร่รู้

“ความแค้นของข้าพระองค์มันสุ่มอกเหมือนไฟนรกที่ไม่รู้ดับ มันเป็นความแค้นส่วนตัวที่ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาตที่จะไม่กล่าวถึง”

กษัตริย์หนุ่มทรงนิ่งชั่วครู่ “แล้วแต่เจ้าเถิด เจ้าช่วยเหลือข้าก็ถือว่ามีความดีความชอบแล้ว เมื่อไม่อยากพูดข้าก็ไม่อยากฟัง”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” พ่อมดดำโค้งเล็กน้อยทูลตอบช้า ๆ ด้วยเสียงแหบต่ำ ก็พอดีกับที่นกปีศาจกระพือปีกและร้องขึ้นอีกครั้ง พ่อมดดำยกมือเป็นเชิงปลอบ

“เจ้านั่นน่ะ มันคือตัวอะไรกัน....” กษัตริย์ซาดินทรงตรัสถามด้วยสีหน้าขยะแขยง

“เพื่อนคู่ชีวิตพ่ะย่ะค่ะ.......นกจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืด วิหคโลกันต์(Hellish Bird) เมื่อครู่มันร้องถวายพระพรฝ่าบาท”

กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง ในขณะที่ราชินีเนอริมอร์ทรงเบ้ปากใต้ผ้าคลุม บ่นลอดไรฟัน “ตัวทุเรศ!!......”

“สรุปว่าท่านเบลซ เซจ อยากจะตีฟีเลเซียตามความต้องการของเพื่อนรักของท่านสินะ”นาริส สุไลมาน ซึ่งยังคงความสุขุมไว้ กล่าวเข้าเรื่อง เบลซ เซจชักสีหน้าเมื่อโดนแหนบแนมอย่างไม่คาดคิด ราชินีเนอริมอร์ตรัสเสริมทันที

“ยังไงข้าก็ไม่ไว้ใจ จะให้ร่วมรบกับพวกพิลึก........” พระนางจ้องหน้าจอมเวทย์ดำด้วยแววเนตรถมึงทึง แบล็ค ไวเซอร์ ก็มองกลับด้วยสายตาที่ปราศจากความเกรงกลัว พระนางจึงทรงเกิดโทสะขึ้น

“เจ้านี่! อวดดีนัก นึกว่าเจ้าอยู่ต่อหน้าใครกัน”

“นรกข้าก็เห็นมาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องกลัว..........”

ทันใด นกปีศาจก็แผดเสียงร้องอันน่าเกลียดดังขึ้นหลายครั้งราวกับหัวเราะเยาะเย้ยนาง ดั่งน้ำมันที่สาดใส่ไฟ ราชินีแห่งซาโลมทรงยืนขึ้นตวาดลั่น

“งั้นเจ้าก็กลับไปอยู่ในนรก กับนกอุบาทว์นั่นซะ!!!”

ทั่วทั้งห้องร้อนขึ้นฉับพลัน ดวงเนตรพระนางแดงก่ำ พลังเวทย์เริ่มพลุ่งพล่าน ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างตื่นตระหนก คฑาสีแดงเริ่มส่องประกายกล้า

นกนรกกางปีกออกปกป้องเจ้านายของมัน จอมเวทย์ดำเริ่มท่องเวทย์ภาษาประหลาดและกวาดคฑาเป็นวง เกิดเงาดำลอยออกมาตามทิศทางที่คฑาเคลื่อนไป จนรวมกันอยู่หน้าจอมเวทย์ดำและเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ราชินีเนอริมอร์ เพียงชั่วขณะเดียวแสงสีแดงจ้าจากคทาของราชินีเนอริมอร์ก็ค่อยหรี่ลง พระนางทรงซวนเซเล็กน้อย

“นี่เจ้า...” ราชินีเนอริมอร์กล่าวอย่างเดือดดาล

“วิชาอะไรของเจ้า ประหลาดดีแท้” กษัตริย์ซาดินกล่าวอย่างชื่นชม

“ทูลตามตรงฝ่าบาท พลังเพลิงFurious Flame ของพระนางนั้นเป็นที่รู้กันว่ายากนักจะหาผู้ใดมาต่อกรด้วย แม้แต่ข้าพระองค์เองก็มิอาจประฝีมือด้วยตรง ๆ ข้าพระองค์จึงใช้วิธีทอนพลังเวทย์พระนางชั่วคราว”

“ถ้าท่านให้เจ้าคนสามหาวนี่ร่วมกองทัพ ข้าจะไม่ไปออกรบกับท่าน ”ราชินีเนอริมอร์ทรงแทบจะคุมอารมณ์โกรธของพระนางไม่อยู่
“ไม่ได้ กำลังของเจ้าจะช่วยข้าได้มากในการรบครั้งนี้” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงแข็ง

“ข้าไม่มีวันร่วมรบกับเจ้าคนสามหาวนี่ มันกล้าดีอย่างไรมาล่วงเกินข้าเช่นนี้” ราชินีเนอริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“ในยามนี้การมีกำลังที่เก่งกาจมาเสริมนั้นสำคัญมาก หากเจ้ายังติดใจเรื่องเมื่อสักครู่ ถ้าเช่นนั้นข้าให้เขาขอขมาเจ้าก็แล้วกัน แบล็ค ไวเซอร์เจ้าก็ขอขมานางซะ” กษัตริย์ซาดินพยายามตรัสอย่างข่มอารมณ์

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” พ่อมดดำเอ่ยเสียงแหบพร่า สายตาเย้ยยันฉายอยู่ในแววตาของเขา

“ข...” ไม่ทันที่แบล็ค ไวเซอร์จะเอ่ยคำใด ๆ ออกมา ราชินีเนอริมอร์ก็ชิงตรัสเสียก่อน

“เก็บคำพูดของเจ้าไว้พูดกับเจ้านกอุบาทว์ในนรกเถอะ”

“เนอริมอร์!!..” กษัตริย์ซาดินปรามเสียงดัง

นาริส ซึ่งนิ่งเงียบดูเหตุการณ์อยู่นาน ก็สบช่องทูลแทรกขึ้น “ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมขอเสนอความคิดสักหน่อย”

“ว่ามา” กษัตริย์ซาดินหันมาตรัส คิ้วขมวดเล็กน้อย

“ในเมื่อพระนางไม่พอพระทัยที่จะร่วมรบด้วยเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกันพระนางเองก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อกองทัพของเรา กระหม่อมเสนอว่าพระองค์น่าจะประทานอะไรบางอย่างให้แก่พระนางเป็นการแลกเปลี่ยน”

ทูลพลางหันไปยิ้มเป็นนัย ๆ ให้ราชินีเนอริมอร์ ราชินีเนอริมอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยพยายามตีความนัยที่อำมาตย์ชี้ช่องให้พระองค์ เพียงไม่กี่อึดใจพระนางก็เข้าพระทัยได้ในทันที

“ได้ข้าจะให้” กษัตริย์ซาดินทรงรีบตรัสขึ้นโดยเร็ว

“ท่านจะให้ข้าแน่นะ ท่านลั่นวาจาแล้วห้ามคืนคำ” ราชินีเนอริมอร์ตรัสด้วยน้ำเสียงเบิกบานขึ้นทันที กษัตริย์ซาดินเริ่มอึดอัด และนึกเสียพระทัยกับความปากไวของพระองค์

“ได้ เจ้าจะขออะไร” กษัตริย์ซาดินตรัสไม่เต็มเสียงนัก ในพระทัยนั้นก็หวั่นเกรงคำขอของมเหสี

“การสงครามในครั้งนี้มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าไหร่ ดังนั้นหากครบกำหนด6เดือนแล้วข้าจะขอกลับมาที่นี่”

“ไม่ได้....หากการสงครามยังไม่เสร็จสิ้นเจ้าจะทิ้งสมรภูมิไปได้อย่างไร”

“ถ้าเช่นนั้น ทุก ๆ 6 เดือนของการรบ ข้าจะขอกลับมาอยู่ที่ซาโลมเป็นเวลา 3 เดือน หลังจาก 3 เดือนผ่านไปแล้วข้าก็จะกลับไปช่วยท่านรบอีก 6 เดือน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ”

“เป็นไปไม่ได้ แค่การเดินทางไปกลับก็กินเวลาเกือบ 6 เดือนแล้ว เจ้าจะใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่ 3 เดือนได้อย่างไร”

“ข้าทำได้” ราชินีเนอริมอร์ตรัสเสียงหนักแน่น “ก็ผ้าคลุมขนนกนั่นอย่างไรเล่า ผ้าคลุมนั่นมีพลังพิเศษสามารถเคลื่อนย้ายผู้สวมใส่ไปที่ใดก็ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาท่องคาถาเพื่อปลุกเสกมันเป็นเวลา 3 เดือนเท่านั้น”

“ผ้าคลุมนั่น...” กษัตริย์ซาดินทรงหันไปทางอำมาตย์เฒ่าด้วยสายเนตรตำหนิและเคืองโกรธ ด้านนาริสก็ได้แต่ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากษัตริย์หนุ่ม กษัตริย์ซาดินทรงหายใจลึกก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 4:49 pm

“เอาเถอะ เมื่อข้าบอกว่าจะให้ก็ให้ ข้าอนุญาตเจ้า” กษัตริย์ซาดินตรัสพลางทรงหันพระพักตร์มาหาแบล็ค ไวเซอร์ ในขณะที่ราชินีเนอริมอร์นั้นในพระทัยมีแต่ความลิงโลด อารมณ์เคืองแค้นเมื่อสักครู่พลันมลายไปสิ้น สีหน้าของพระนางเบิกบานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“การรับเจ้าเข้ากองทัพทำให้ข้าต้องเสียกำลังจากพระมเหสีไปถึงคราวละ 3 เดือน หวังว่าเจ้าจะทำงานให้ข้าได้คุ้มค่า”

“พระองค์ทรงวางพระทัยได้ ข้าพระองค์จะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของข้าพระองค์” พ่อมดดำโค้งเป็นเชิงขออนุญาตน้อย ๆ

“ข้าพระองค์ขอศพทหารสัก 3 ศพจะได้ไหมฝ่าบาท”

“ฮา ฮา เอาอีกแล้วรึ ครั้งนี้พวกเจ้าจะเล่นอะไรกับศพอีกล่ะ” กษัตริย์ซาดินทรงหัวเราะชอบใจ

“ทูลฝ่าบาท สหายของกระหม่อมผู้นี้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเวทย์ไสยดำมากที่สุด ซึ่งแม้แต่กระหม่อมเองก็ยังไม่อาจเทียบ วิชาปลุกซากศพที่กระหม่อมเคยแสดงให้พระองค์ดูเมื่อครั้งก่อนก็ได้สหายผู้นี้แหละสอนให้” เบลซ เซจทูลเสริมขึ้น

เมื่อทหารนำศพมาวางกองไว้เบื้องหน้าแบล็ค ไวเซอร์ ทุก ๆ คนในห้องต่างก็พากันทำหน้าสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นและกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงที่ออกมาจากซากเหล่านั้น พ่อมดดำมีสีหน้าเรียบเฉยสูดหายใจเข้าเต็มปอดราวกับสูดกลิ่นอายที่คุ้นเคย แม้แต่เจ้านกปีศาจก็ยังตีปีกด้วยความยินดี พาลทำให้ราชินีเนอริมอร์ทรงรู้สึกขยะแขยงยิ่งขึ้น

“ข้าพระองค์ขอเสนอทหารผีนรก(Necrotrooper)จากห้วงอเวจีแด่ฝ่าบาท”

พ่อมดดำทูลขึ้น พลางประกบมือเข้าหากันและเริ่มต้นท่องคาถาเรียกอสูร เพียงอึดใจเดียวที่กลางพื้นห้องก็เกิดเป็นช่องโหว่สีดำเล็ก ๆ ขึ้นและเริ่มขยายตัวออกเรื่อย ๆ จนกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่พอประมาณ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังลั่นออกมาจากช่องสีดำ ทุกคนต่างต้องรีบอุดหู กันเป็นการใหญ่ แทบจะทันทีก็มีอะไรบางอย่างพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากช่องว่างนั้น มันเหยียดปีกทั้งสองข้างจนสุดและกรีดร้องไปทางเหล่าเสนาอำมาตย์ที่อยู่ทางปีกขวาของท้องพระโรง ทุกคนต่างตกใจทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ วิหคโลกันต์แผดเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง มันหันมาตามเสียงนั้นแล้วกระโจนมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าแบล็ค ไวเซอร์

“ขออภัยฝ่าบาทและทุก ๆ ท่านที่ทำให้ตกใจ นี่คือปีศาจสกรีค(Screak)ที่ข้าพระองค์เรียกออกมาเพื่อจะขอโลหิตปีศาจ(Demon’s Blood)จากมัน”

พ่อมดดำหันไปหาสกรีค และเริ่มพูดภาษาปีศาจกับมัน สกรีคหันหน้าไปมองกองซากศพและใช้กงเล็บของมันกรีดที่อกเบา ๆ เกิดแผลเป็นทางยาวแต่ไม่ลึกนัก แทบจะทันทีกลิ่นคาวเลือดก็กระจายคละคลุ้งอย่างรุนแรงไปทั่วทั้งห้อง เลือดสีดำสนิทก็ไหลออกมาตามรอยแผลนั้น มันใช้มือรองเลือดจนได้เต็มอุ้งมือแล้วสาดเลือดไปที่ศพเหล่านั้น หยดเลือดสีดำก็กระจายตัวซึมเข้าไปในเนื้อศพทันที สกรีคส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นอีกครั้งก่อนจะกระโดดลงไปในช่องดำหายไป แล้วช่องดำนั้นก็ค่อย ๆ ปิดจนสนิทเหมือนเดิม

แบล๊ค ไวเซอร์ยื่นไม้เท้าไปข้างหน้าโดยให้ลูกแก้วอยู่เหนือซากศพเหล่านั้นและเริ่มท่องคาถา ลูกแก้วเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้ามีควันสีเขียวลอยออกมาจากลูกแก้วนั้น ควันสีเขียวลอยตัวเป็นวงล้อมรอบกองซากศพนั้น ไม่กี่อึดใจต่อมาศพทั้งสามก็เริ่มกระตุกสั่นอย่างแรงและเริ่มละลายเป็นของเหลวหนืด ๆ มีเสียงหักของกระดูกดังเป็นพัก ๆ บัดนี้กองซากศพได้รวมกันเป็นก้อนของเหลวหนืด ๆ สีเทาดำขนาดใหญ่ พ่อมดดำหยิบขวดเล็กๆออกมาจากสายคาดเอว เปิดจุกแล้วค่อยๆหยดลงบนลูกแก้ว ทันทีที่ของเหลวสีแดงหยดลงถูกผิวลูกแก้วก็เดือดพล่านเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรืองแสงก่อนจะหยดลงสู่ก้อนหนืดเบื้องล่าง เมื่อก้อนหนืดนั้นถูกหยดด้วยน้ำสีเขียวเพียงสัมผัสแรกก็เหมือนกับมีชีวิต มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับมีคนถูกทรมานอยู่ข้างในนั้น มีมือบ้างใบหน้าบ้างขาบ้างแขนบ้างโผล่ยื่นออกมาจากก้อนนั้น พ่อมดดำท่องคาถาเสียงดังขึ้นแข่งกันเสียงร้องโหยหวน เมื่อสิ้นเสียงท่องคาถาคำสุดท้ายแบล็ค ไวเซอร์ก็ยกไม้เท้าฟาดไปเต็มแรงที่ก้อนหนืดนั้น ก้อนหนืดนั้นก็แตกออกทันทีเผยให้เห็นร่างของผีดิบเนื้อตัวสีเขียว มันค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ร่างกายของมันสูงใหญ่ มีหัวสามหัว แขนทั้งสองข้างยาวแหลม ที่ขามีกงเล็บขนาดใหญ่และแหลมคม ที่หลังก็มีปีกคู่ใหญ่แข็งแรง

ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ ทุก ๆ คนต่างตกตะลึงและยังรู้สึกขนลุกขนพองกับเหตุการณ์ตรงหน้า พ่อมดดำยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน นกปีศาจกระพือปีกและส่งเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง พาลทำให้ทุกคนสะดุ้งสุดตัวคล้ายตื่นจากภวังค์ ทันใดเสียงหัวเราะดังก้องของกษัตริย์ซาดินก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะของเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ดังตามมา

“ดีมาก ดีมาก แม้ทหารจะตายไปสักกี่พันกี่หมื่นก็จะมีกองทัพใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ บัดนี้เมอริเซียเอ๋ย จงเตรียมขนพองสยองเกล้ากับกองทัพอันเกรียงไกรและแปลกพิสดารที่สุดแห่งซาโลม ฮา ฮา ฮา” กษัตริย์ซาดินตรัสพลางหัวเราะชอบใจ

“ทีนี้พระองค์คงเห็นด้วยที่จะตีฟีเลเซียก่อนแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เบลซ เซจ ทูลพลางหันไปแสยะยิ้มกว้างใส่นาริส อย่างผู้มีชัยชนะ ในขณะที่แบล็ค ไวเซอร์ยืดอกขึ้นยิ้มอย่างมั่นใจในคำตอบที่จะได้รับ

“แล้วหากเราตีฟีเลเซียสำเร็จ.... แล้วท่านพ่อมดดำจะทำอย่างไรต่อไปรึ จะยังช่วยฝ่าบาทรบต่อหรือไม่?” คำถามของนาริสทำให้รอยยิ้มของทั้งคู่ชะงักงันลง กษัตริย์ซาดินทรงหรี่เนตรลงเล็กน้อยราวกับจะประเมินคำพูดของอำมาตย์เฒ่า ทันใดนั้นจึงทรงฉุกคิดได้

“เพื่อเป็นการยืนยันในคำมั่นของเจ้าที่ว่าจะช่วยเหลือข้าในการยึดเมอริเซีย และเพื่อพิสูจน์ฝีมือของเจ้า เจ้าจะต้องช่วยข้าพิชิตฟูดินันเสียก่อนตามแผนเดิมที่วางไว้ แล้วจึงค่อยตีฟีเลเซีย เจ้าขัดข้องหรือไม่?” กษัตริย์ซาดินตรัส

“ข้าพระองค์ยินดีพิสูจน์ความภักดีพ่ะย่ะค่ะ” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวเสียงเรียบ หากแต่นัยน์ตานั้นร้อนราวกับจะลุกเป็นไฟ

“ดี ถ้าเช่นนั้นแผนการทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้มีงานสำคัญรออยู่” ตรัสแล้วกษัตริย์ซาดินก็เสด็จกลับเข้าไปยังเขตพระราชฐานชั้นในทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter11 กรีฑาทัพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 4:50 pm

เช้าตรู่ของวันใหม่ ณ ลานกว้างหน้าพระราชวังแห่งซาโลมมหากองทัพอันเกรียงไกรแห่งอาณาจักรเพลิงกำลังแปรขบวนเพื่อจัดแต่งทัพ เสียงย่ำเท้าของเหล่าทหารกว่าห้าแสน ทั้งคน สัตว์ สัตว์ประหลาด และผีดิบดังสนั่นไปทั่วทั้งอาณาจักรซาโลม กลองใหญ่ขนาดมหึมาถูกตีเพื่อให้จังหวะการแปรขบวน เมื่อทหารกองสุดท้ายเดินเข้าประจำที่ของตนเรียบร้อยแล้ว เสียงกระหน่ำรัวจากกลองยักษ์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณแสดงความพร้อม

ที่กำแพงเหนือประตูปราสาท กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดออกศึกเต็มยศสีแดงเพลิงสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเป็นประกายมันวับ กษัตริย์ซาดินประทับอยู่อย่างองอาจทอดพระเนตรมหากองทัพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างพึงพอพระทัย เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อยคือมหาราชินีแห่งซาโลมในชุดสีแดงเพลิงประทับเด่นเป็นสง่าดุจนางพญาหงส์ไฟโดยมีองค์รัชทายาทน้อยในชุดทรงกษัตริย์เต็มยศประทับอยู่ข้างพระวรกายของพระนาง ถัดไปทางด้านหลังคือมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน อุปราชเบลซ เซจ แม่ทัพใหญ่ราโชยู และบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่

“ทูลฝ่าบาท กองทัพพร้อมเคลื่อนพลแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราโชยูทูล

“ดีมาก” กษัตริย์ซาดินเอ่ยขึ้นพลางหันไปหานาริส “ข้าจะทิ้งกองกำลังบางส่วนไว้กับท่านที่นี่”

นาริสโค้งคำนับเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำ กษัตริย์หนุ่มทรงทอดพระเนตรไปทางบุตรชายแวบหนึ่งก่อนจะตรัสว่า

“ข้าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนาน เรื่องทางนี้คงต้องฝากท่านดูแล....ข้าไว้ใจท่านที่สุด”

“พระองค์ทรงวางพระทัยได้” อำมาตย์เฒ่ารับคำอย่างหนักแน่นซึ่งรวมถึงความนัยที่กษัตริย์ซาดินทรงแฝงไว้ในคำพูดด้วย

กษัตริย์ซาดินทรงพยักพระพักตร์น้อย ๆ พลางหันหน้ากลับไปมองกองทัพของพระองค์เบื้องล่าง

“เหล่าทหารหาญแห่งข้า ถึงเวลาแล้วที่เราจะไปครอบครองแผ่นดินใหม่ แผ่นดินที่แสนอุดมสมบูรณ์ที่มีแต่พวกอ่อนแอไร้ค่าปกครองอย่างสุขสำราญ ในขณะที่พวกเราผู้แข็งแกร่งกว่ากลับต้องทนอยู่อย่างแร้นแค้นในขุมนรกทะเลทรายนี้ บัดนี้พวกมันจะได้ลิ้มรสชาติของความขมขื่นนี้บ้าง แผ่นดินอุดมสมบูรณ์นั้นต้องเป็นของพวกเรา ของลูกหลานแห่งซาโลม!!”

สิ้นเสียงของกษัตริย์หนุ่ม เหล่าทหารทั้งห้าแสนต่างก็โห่ร้องตีเกราะเคาะอกขานรับคำของกษัตริย์ซาดินเสียงดังกัมปนาท เหล่าทหารหาญแห่งซาโลมบัดนี้ล้วนมีใจฮึกเหิมอย่างยิ่ง กษัตริย์ซาดินทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณไปทางลานกว้าง ซาลามันเดอร่าขนาดใหญ่กว่าปกติสองตัวก็เดินเข้ามาเทียบที่กำแพงปราสาท บนหลังของพวกมันมีอานที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามผูกติดอยู่ กษัตริย์ซาดินทรงก้าวขึ้นไปยืนอยู่ระหว่างเขาแหลมที่หลังของมัน ในขณะที่พระนางเนอริมอร์ทรงหันไปทอดพระเนตรบุตรชายด้วยสีพระพักตร์ปวดร้าว

“เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว เจ้าจะต้องเชื่อฟังท่านนาริสอย่างดีนะลูก แล้วแม่จะรีบกลับมาหาในอีก 6 เดือนข้างหน้า”

“เสด็จแม่ เสด็จแม่ อย่าทิ้งลูกไปเลย” เจ้าชายอิสฮานทรงวิงวอน น้ำเนตรหยาดใสๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงเนตรคมโตเป็นสาย

“ลูกรัก อย่าร้องไห้ เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาทอย่าให้ใครเห็นความอ่อนแอของเจ้า จงเข้มแข็งและอดทนไว้” ราชินีเนอริมอร์ปลอบเสียงเบา หากแต่ตัวพระนางเองก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

“เสด็จแม่ หากเป็นรัชทายาทแล้วพระองค์ต้องจากลูกไปเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า” เจ้าชายอิสฮานยังทรงคร่ำครวญต่อไป

“ลูกรักอย่าร้องไห้อีกเลย ลูกรู้ไหมว่าใจของแม่ปวดร้าวเพียงไหน” พระนางเนอริมอร์ทรงกอดบุตรชายเอาไว้แน่น

“เจ้าทั้งสองกำลังทำให้การเดินทัพล่าช้า และเจ้า…” กษัตริย์ซาดินตรัสพลางทอดพระเนตรลูกชายของตน “ในฐานะที่เจ้าจะเป็นกษัตริย์แห่งซาโลมในภายภาคหน้าจงเลิกแสดงความอ่อนแอเยี่ยงอิสตรีเช่นนี้เสียที”

เจ้าชายอิสฮานทรงสะดุ้งเล็กน้อยพลางเงยพระพักตร์ขึ้นมองพระบิดาของพระองค์ด้วยความหวาดเกรงและเคืองแค้น ราชินีเนอริมอร์จึงทรงรีบตรัสแทรกขึ้นพลางใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างเช็ดคราบน้ำตาของลูกน้อย

“เอาล่ะลูกรัก แม่จะต้องไปแล้ว รักษาตัวให้ดีนะ จำเอาไว้จงเข้มแข็งและอดทน แม่จะรีบกลับมาหาเจ้า”

พระนางเนอริมอร์ทรงกอดเจ้าชายอิสฮานแน่นราวกับจะจดจำไออุ่นของลูกน้อยไว้ให้มากที่สุด พระนางทรงจูบที่พวงแก้มของลูกน้อยเบา ๆ ก่อนที่จะแข็งใจละแขนจากบุตรชายและก้าวขึ้นหลังซาลามันเดอร่าที่ตัวเล็กกว่าของกษัตริย์ซาดินเล็กน้อย ด้านเจ้าชายอิสฮานนั้นก็ทอดพระเนตรพระมารดาด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งนักแต่ก็ต้องทนฝืนกลั้นน้ำเนตรไว้ นาริส ก้าวเข้ามาย่อตัวลงกระซิบข้างพระกรรณ

“ทรงยิ้มส่งพระมารดาเถิดพระโอรส อย่าให้พระมารดาต้องเป็นกังวลตลอดการเดินทางเลย ขอทรงอดทน อีก 6 เดือน พระมารดาก็จะกลับ”

ขณะเดียวกันบรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็ขึ้นพาหนะของตน โดยราโชยูขี่หลังมังกรดำโนฟโฮทิออน(Novhothion, the Drak Dragon) ส่วนเบลซ เซจ และแบล็ค ไวเซอร์นั้นขึ้นนั่งบนรถที่ลากด้วยมอสติคอร์หุ้มเกราะ(Armor Mosticore)ขนาดใหญ่สี่ตัว เมื่อบรรดาแม่ทัพนายกองทุกคนเข้าประจำที่ของตนแล้ว กษัตริย์ซาดินก็ทรงชูกระบองของพระองค์ขึ้น

“เคลื่อนทัพได้” กษัตริย์ซาดินทรงประกาศก้อง ก่อนที่เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมของเหล่าทหารหาญและกลองชัยจะดังระรัวกึกก้องไปทั้งซาโลม

“ท่านนาริส ข้าเป็นห่วงเสด็จแม่” เจ้าชายซาร์ อิสฮาน ทรงครวญเสียงเบา

“โถ พระโอรส พระมารดาของพระองค์ ทรงเก่งกล้าสามารถนัก ต้องสงสารข้าศึกเสียมากกว่า ดูสิพระโอรส พระมารดายังทรงหันมามองอยู่เลย”

เจ้าชายทรงยิ้มพลางโบกพระหัตถ์ให้พระมารดาที่อยู่บนหลังมังกรสีแดง พยายามฝืนกลั้นความเศร้าโศกทอดพระเนตรมังกรที่เริ่มโผบินห่างไกลออกไป จนหายไปจากสายพระเนตร จึงได้ทรงรีบวิ่งเข้าห้องบรรทม กรรณแสงด้วยเสียงอันดัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron