Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. มี.ค. 28, 2024 10:00 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 6 การรบครั้งสุดท้ายของแม่ทัพราโชย@@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi9 Chapter 6 การรบครั้งสุดท้ายของแม่ทัพราโชย@@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 2:36 pm

Chapter 6 การรบครั้งสุดท้ายของแม่ทัพราโชยู



เสียงแตรเขาสัตว์และเสียงกลองให้จังหวะดังไปทั่วสนามรบ ทั้งกองทัพฝ่าย เบลซ เซจ และกองทัพ ฝ่ายราโชยูต่างก็โห่ร้องข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามกันจนเสียงดังอื้ออึง พลธนูทั้งสองฝ่ายต่างก็ขึ้นสายเอ็นง้างธนูจนสุดแขน พร้อมจะปล่อยลูกดอก เพื่อปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามทุกเมื่อ แสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนจิตใจของเหล่าทหารที่กำลังเดือดระอุจวนจะระเบิดเข้าไปทุกขณะ

เมื่อจิตสังหารของบรรดาทหารพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แม่ทัพราโชยูก็ตวัดเคียวกู่ร้องเสียงดังก้อง

“โจมตี!!”

เสียงทหารเฮโลขานรับผู้เป็นนายดังจนผืนทรายสะเทือน ลูกธนูนับพันดีดตัวพุ่งทะยานใส่เป้าหมายไม่ยั้งเครื่องยิงหินและเครื่องยิงธนูยักษ์ถูกใช้อย่างเต็มกำลัง เพื่อทำลายกำแพงและประตูเมืองด้านทิศใต้ให้ราบเป็นหน้ากลองยิ่งเข้าเมืองได้ช้าเท่าไหร่ โอกาสยึดอำนาจคืนจากเบลซ เซจก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะ เสบียงอาหารของกองทัพแทบจะไม่มีเหลือแล้วมิใช่ว่าแม่ทัพราโชยูจะโง่เขลาเบาปัญญาที่คิดจะทำสงครามโดยไร้เสบียง ทว่าในสภาวะสงครามที่แสนยืดเยื้อนี้ เสบียงอาหารหายากและมีจำนวนจำกัด แม้เขาจะยกทัพกลับมาเขาก็นำเสบียงมาแค่พอให้สามารถอยู่รอดได้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ทหารนาวหน้าต้องขาดแคลนเสบียงอาหารแม่ทัพทมิฬหวังจะเพิ่งโอเอซิสที่ใกล้กับเมืองหลวง ทว่าโอเอซิสกลับถูกทำลายจนแทบใช้การใด ๆ ไม่ได้ ซึ่งแม่ทัพทมิฬก็เชื่อว่าคงจะเป็นแผนลอบกัดที่แสนถนัดของเบลซ เซจที่คิดจะตัดกำลังกองทัพของเขาก่อนนั่นเอง

ข้างฝ่ายกองทัพของกษัตริย์ เบลซ เซจ ก็ระดมยิงลูกธนูชุดแล้วชุดเล่าใส่กองทัพเบื้องล่างอย่างเอาเป็นเอาตาย เครื่องยิงหินที่ถูกติดตั้งบนตัวกำแพงก็ยิงหินก้อนมหึมาใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด บ้างก็ยิงถังน้ำมันใส่พยายามเล็งไปให้ใกล้เครื่องยิงหินของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะยิงธนูเพลิงใส่หมายจะเผาทำลายเครื่องทุ่นแรงของแม่ทัพใหญ่ ขณะเดียวกันทหารฝ่ายแม่ทัพก็รีบตักทรายสาดใส่กองเพลิงที่กำลังลุกไหม้จนสามารถดับไฟได้ทันการณ์ และไม่ใช่เป็นเพียงแค่ฝ่ายตั้งรับเท่านั้น กองทัพของแม่ทัพราโชยูก็ใช้ไฟในการก่อกวนอีกฝ่ายเช่นกัน กองทัพของฝ่ายแม่ทัพก็ใช้แท่นยิงหิน ยิงถังน้ำมันใส่กำแพงเมือง ก่อนจะใช่ธนูเพลิงเผาเพื่อให้ควันและเขม่าบดบังวิสัยทัศน์ของเหล่าทหารบนกำแพงเมือง ที่สุดเมื่อควันไฟหนาทึบจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ผนวกกับความร้อนระอุของทะเลทรายยามเที่ยงวัน และอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนแทบจะละลายหินจากไฟที่เผากำแพงเมือง แผนกดดันฝ่ายตรงข้ามของแม่ทัพราโชยูก็ได้รับการาตอบสนอง ประตูเมืองเปิดออกพร้อมกับเหล่ากองทัพเพลิงไหลทะลักออกมาประจัญบานกับกองทัพของราโชยู

แม่ทัพราโชยูตวัดเคียวเป็นสัญญา เสียงกลองก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะ ทันใดนั้นทัพสัตว์ประหลาดและสัตว์ปีกก็ขู่คำรามเสียงดังก้อง พร้อมกับกระโจนเข้าใส่กองทัพหน้าของกษัตริย์เบลซ เซจ ทันที ทะเลทรายสีน้ำตาลทองบัดนี้ชโลมไปด้วยเลือด เสียงร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังอื้ออึงไปทั้งสนามรบ การต่อสู้นั้นดูสับสนอลหม่านจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร

ท่าเพียงไม่กี่นาที บรรดาสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดก็ล้มลงชักดิ้นชักงอ บ้างก็น้ำลายฟูมปากขาดใจตายแทบจะหมดสนาม กองทัพเพลิงของกษัตริย์เบลซ เซจ จึงรีบตั้งขบวนทัพใหม่ พร้อมกับกองทัพใหม่ที่กรูกันออกมาจากประตูเมือง

“เกิดอะไรขึ้น !? ทำไมทัพสัตว์พากันล้มตายกันหมดเช่นนี้?” แม่ทัพราโชยูดวงตาเบิกโพลงจับจ้องเหตุการณ์ที่จู่ ๆ ก็นำกองทัพของเขาเข้าสูวิกฤต

“ท่านแม่ทัพ กองทัพของพวกเราอาจถูกวางยาพิษ” รองแม่ทัพกล่าวด้วยเสียงร้อนรน เมื่อมองสภาพของสัตว์ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายจนน้ำลายฟูมปาก

“นี่ เจ้าเบลซ เซจ มันเลวเสียยิ่งกว่าเลว ข้าไม่คิดเลยว่า นอกจากช่างประจบสอพลอ จิตใจโหดน่ารักมอำมหิตและมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว มันยังสารเลวถึงขนาดลอบกัดด้วยวิธีการต่ำช้าและขี้ขลาดที่สุด ถึงข้าจะได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพจอมโหดแห่งซาโลม แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำการชั่วช้าสารพัดเช่นนี้” แม่ทัพราโชยูถึงกับคำรามด้วยความเจ็บแค้น จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับอุปราชเบลซ เซจไม่ได้ถึงกับสนิทสนมมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางขัดแย้งกันเหมือนกรณีมหาอำมาตย์นาริส ที่ผ่านมาเขาจะมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันก็แต่เรื่องทหารเรื่องกองทัพเท่านั้น แต่เพียงแค่เพื่ออำนาจ อุปราชเบลซ เซจ กลับชั่วช้าเลวทรามได้ถึงเพียงเท่านี้ บัดนี้เมื่อโดนเข้ากับตัวเองเขาจึงได้รู้แจ้งแล้วว่าทำไม พระราชินีเนริมอร์ และมหาอำมาตย์นาริสจึงต่อต้านและขัดกับอุปราช เบลซ เซจตลอดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยาย SMN Epi9 Chapter 6 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 2:37 pm

เหล่าทหารของแม่ทัพราโชยู รีบแปรขบวนทัพใหม่ทันทีที่ได้ยินเสียงกลองสัญญาณ เสียงปะทะของศาสตราวุธก็ดังกระหึ่มไปทั่วสมรภูมิรบอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างก็ฟัดฟันใส่กันอย่างดุเดือด แต่สู้กันได้เพียงไม่นาน ทหารฝ่ายแม่ทัพราโชยูก็เริ่มจะอ่อนเปรี้ย เพราะผลจากการได้รับพิษด้วยเช่นกัน อุณหภูมิที่สูงขึ้น และการทุ่มเทแรงกายมหาศาลในการรบทำให้พิษที่มีอยู่ในตัวเร่งปฏิกิริยาเร็วขึ้น เริ่มมีทหารหลายคนกระอักเลือดล้มลงขาดใจตายทีละคนสองคน ทหารของแม่ทัพราโชยูถูกรุกไล่ให้ถอยร่นเข้าสู่แนวหลังเข้าไปทุกที ขณะเดียวกันกองทัพของกษัตริย์เบลซ เซจ ที่มีจำนวนมากกว่าก็แปรขบวนโอบล้อมกองทัพของแม่ทัพราโชยูถึงสามด้าน

“สั่งการลงไป ทั้งทัพปีกซ้ายและปีกขวา บุกทะลวงออกไป อย่าให้มันล้อมเราได้!!” แม่ทัพราโชยูตะโกนสั่งการเสียงเครียด เมื่อสถานการณ์เริ่มเข้าขั้นวิกฤต กองทัพทั้งปีกซ้ายและปีกขวาก็เร่งทำการรุกไล่กองทัพของกษัตริย์เบลซ เซจกันอย่างสุดกำลัง ทว่าไม่นานก็เพรียงพร่ำถูกตีถอยร่นเข้ามาอีก

“ท่านแม่ทัพ ทำอย่างไรดี กองทัพของเบลซ เซจ มีมากมายเหลือเกิน ทั้งทหารฝ่ายเราก็อาการไม่สู้ดี ต้องเป็นเพราะน้ำในโอเอซิสที่ถูกทำลายนั่นแน่” รองแม่ทัพกล่าวอย่างร้อนรน เพราะแม้กระทั่งเขาและแม่ทัพทมิฬก็ดื่มน้ำจากโอเอซิสนั่นเหมือนกัน เช่นนี้แล้วคงมีแต่ตายกับตายจะต่างกันก็ตรงที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

แม่ทัพราโชยูเมื่อมองสีหน้ารองแม่ทัพก็เข้าใจได้ไม่ยาก เขาโง่เองที่ประมาทสันดานชั่วของเบลซ เซจ ทำให้ทหารทั้งกองทัพและตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เพียงเวลาหนึ่งชั่วยามของการต่อสู้ที่แสนจะดุเดือดทหารของเขาก็เหลือไม่ถึงครึ่ง ซ้ำยังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูที่มีกำลังพลมากกว่าถึงสามเท่า ในขณะที่กำลังพยายามคิดหาวิธีตีฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าหนทางจะริบหรี่เต็มที แต่แล้วจู่ ๆ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้น บอกการมาของบุคคลสำคัญ แม่ทัพราโชยูซึ่งบัดนี้เหงื่อและเลือดชุ่มโชกไปทั้งตัวก็ก้าวออกมาข้างหน้า พลางกระชับเคียวในมือมั่น เตรียมพร้อมรับการจู่โจมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกวินาที

ที่หลังวงล้อมของทหาร เบลซ เซจ ในชุดเกราะเต็มยศอย่างกษัตริย์ยืนแสยะยิ้มอยู่บนรถศึก ยิ่งเห็นหน้าใกล้ ๆ ก็ยิ่งทำให้จอมทัพร่างยักษ์รู้สึกทั้งประหลาดใจและขนลุกขนพอง ใบหน้านั้นคือเบลซ เซจ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่เบลซ เซจที่เขาเคยรู้จัก

“ฮี่! ฮี่!ฮี่! เจ้ายักษ์หน้าโง่ รู้ไหมว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่?” กษัตริย์ เบลซ เซจตรัสเยาะ “ข้ากำลังคิดว่าจะฆ่าพวกเจ้าด้วยวิธีไหนดี ให้เจ็บปวด ทรมาน และโหดน่ารักมที่สุด ชนิดที่เรียกว่าจะไม่มีใคร กล้าแม้แต่จะคิดขบฏต่อข้าอีกเลย”

เหล่าทหารต่างหันมองหน้ากันเลิกลั่ก เสียงร่ำลือเรื่องการฆ่าอย่างวิตถารและโหดน่ารักมอำมหิตของเบลซ เซจ นั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว

“ฮี่! ฮี่! ฮี่! แต่ว่า... ถ้าเจ้ายอมคุกเข่าก้มหัวลงขอร้องข้า ข้าจะไว้ชีวิตทหารที่เหลือพวกนี้และรับพวกมันกลับเข้ากองทัพเหมือนเดิม จะมีเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ต้องโทษ หรือว่าให้ข้าฆ่าทหารใต้บัญชาของเจ้าทั้งหมด แล้วไว้ชีวิตเจ้าคนเดียว เลือกเอา ว่าไง!? เห็นไหม... ข้าใจดีก็เป็น “กษัตริย์เบลซ เซจทรงผายพระหัตถ์ทั้งสองข้างออก ตรัสด้วยพระพักตร์เห็นอกเห็นใจ

แม่ทัพร่างยักษ์จ้องกษัตริย์เบลซ เซจจนแทบจะไม่กระพริบ ขบกรามแน่นด้วยความดุดัน เขาควรจะยอมแพ้ในขณะที่ยังมีโอกาสหรือไม่? หากเขาเสียสละเพียงคนเดียวเพื่อแลกกับนายทหารใต้บัญชานับหมื่นที่ยังเหลืออยู่

“ข้าจะไว้ใจคำพูดของเจ้าได้มากแค่ไหน?” ราโชยูคำรามถาม

“คำพูดของข้าคือคำพูดของกษัตริย์แห่งซาโลม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” กษัตริย์ เบลซ เซจตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็ได้!!” แม่ทัพร่างยักษ์ทิ้งเคียวลงกับพื้น ก่อนจะคุกเข่าลงวางมือทั้งสองบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ แต่ศีรษะยังคงแหงนเงยมองเบลซ เซจ พยายามข่มอารมณ์เต็มที่

“ท่านแม่ทัพ!” “ท่านแม่ทัพ” เสียงจากบรรดานายทหารร้องทักท้วง ด้วยเพราะทนไม่ได้ที่นายของตนยอมเสียสละตนเอง

“ลุกขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ!” รองแม่ทัพคุกเข่าลงกับพื้นทราย พยายามขอร้องให้แม่ทัพทมิฬเปลี่ยนใจ

“พวกเจ้ารับใช้ข้าด้วยความภักดีมาก็หลายปี ชีวิตข้าฆ่าคนมาเป็นหมื่นเป็นแสน วันนี้จะใช้ชีวิตแลกกับหมื่นกว่าชีวิตมันก็คุ้มฆ่าดีไม่ใช่รึ?” แม่ทัพพูดอย่างไม่กลัวความตาย “เบลซ เซจ เจ้าจะละเว้นชีวิตทหารเล่านี้ใช่หรือไม่?” แม่ทัพทมิฬถามซ้ำเหมือนจะตอกย้ำให้มั่นใจ

“ถูกต้อง ข้าจะละเว้นชีวิตพวกมัน ถ้าเจ้ายอมก้มหัวขอร้องข้า” กษัตริย์ เบลซ เซจตรัส อย่างตื่นเต้นจนแทบจะคุมพระพักตร์ดีพระทัยไว้ไม่อยู่

และแล้วราโชยู จอมทัพร่างยักษ์ก็ก้มหน้าโน้มศรีษะจรดพื้นทราย ท่ามกลางเสียงอื้ออึงทั้งขัดค้านและสำนึกในบุญคุณจากบรรดานายทหารใต้บัญชาของแม่ทัพร่างยักษ์

“หึ!หึ!หึ! ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัยชนะ ของกษัตริย์เบลซ เซจ ดังสะท้อนไปทั่วทะเลทราย ในขณะที่ราโชยูนั้นจิกมือลงในพื้นทรายกำหมัดแน่น อดทนต่อเสียงหัวเราะแสนยียวนน่าหมั่นไส้

“ทหารทุกนาย เตรียมบุก!” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงตะโกนเสียงดังลั่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยาย SMN Epi9 Chapter 6 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 2:38 pm

“เบลซ เซจ!! นี่เจ้า...” แม่ทัพราโชยู คว้าเคียวดีดตัวขึ้นแทบจะทันที กรามขบกรอด ร่างทั้งร่างสั่นเทิ่ม เขาไม่เคยโกรธจนแทบระเบิดเช่นนี้มาก่อน “ไอ้จอมปลิ้นปล้อนคิดจะตบัดสัตย์หรือ?”

“จะบอกให้ ข้าไม่ต้องการทหารที่มีชีวิตของเจ้าหรอก ข้าต้องการวัตถุดิบไว้ทำทหารผีดิบมากกว่า เจ้าโง่เองที่หลงกลข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ควับ! ฟิ้ว!ฉัวะ ๆ ๆ ๆ

ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม่ทัพราโชยูก็คว้างเคียวโจมตีกษัตริย์เบลซ เซจทันที คมเคียวที่ควงหมุนราวกับใบพัดเหล็กตัดคอทหารที่ล้อมอยู่หลายชั้นเบื้องหน้ากษัตริย์เบลซ เซจจนเลือดสีแดงฉานพุ่งกระจายไม่ต่างจากน้ำพุเลือด

แต่แล้วเคียวก็หยุดชะงักค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะถึงตัวเบลซ เซจเพียงนิ้วเดียว พระพักตร์ที่เหยเก หลับพระเนตรเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทว่าพระหัตถ์ข้างซ้ายกลับขยับเหมือนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับผู้เป็นเจ้าของมันโบกขึ้นโบกลงเหมือนร่ายคาถาอยู่กลางอากาศเพียงครู่เดียว เคียวก็ดีดตัวหมุนควงกลับมาด้วยความเร็วมากกว่าเมื่อครู่เป็นสองเท่า ก่อนที่จะพุ่งปักเข้าที่ไหล่ซ้ายของแม่ทัพทมิฬอย่างแรง คมเคียวเจาะทะลุเกราะไหล่จมลึกเข้าไปกว่าคืบเลือดสด ๆ ไหลทะลักรอดผ่านรอยต่อของชุดเกราะเป็นทาง เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังรอดออกจากปากแม่ทัพใหญ่ทันทีราโชยูยกมือขวาจับด้ามเคียวก่อนจะดึงออกตามความโค้งของคมเคียว

“ฮี่ ฮี่ ฮี่” เสียงหัวเราะอย่างยียวนดังขึ้นอีกครั้ง แต่เจ้าของอากัปกิริยาของเจ้าของเสียงกลับไม่ไปด้วยกัน เมื่อใบหน้ายังเบ้เอียง นัตน์ตาข้างหนึ่งปิดแน่นกับอีกข้างเบิกกว้างกลิ้งกรอกไปมา ซึ่งมองดูแลชวนขนลุกไม่น้อยทีเดียวเพียงครู่เดียวพระพักตร์ของกษัตริย์เบลซ เซจก็หันกลับมาและกลายเป็นปกติ แต่ก็เหมือนจะเพิ่งเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นตรงหน้า เพราะดวงเนตรทั้งคู่เบิกกว้าง พร้อมกับหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจจนทหารทั้งสองฝ่ายต้องขมวดคิ้วมอง คิดว่ากษัตริย์เบลซ เซจเสียสติหรือวิกลจริตไปแล้ว

“เป็นบ้าอะไรของเจ้า?! เสียสติไปแล้วรึไง?” แม่ทัพร่างยักษ์เบ้ปากจะด้วยเพราะความเจ็บหรือเพราะความขยะแขยงก็ไม่อาจทราบได้

“ข้าไม่ได้เสียสติ แต่เป็นเจ้าต่างหากที่จะต้องเสียสติ ฮี่! ฮี่! ฮี่!” กษัตริย์เบลซ เซจทรงชูไม้เท้าขึ้นด้วยพระพักตร์ซ้าย ส่วนพระหัตถ์ขวาก็ชูขึ้นเหนือเศียรพร้อมกับเปล่งเสียงร่ายคาถาดังลั่น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากทุกทิศทุกทางและดูเหมือนจะดังออกมาจากใต้พื้นทราย เม็ดทรายบนพื้นเต้นเร่า บรรดานายทหาร สัตว์ร้องระงมขู่คำรามเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นซากศพของทหารฝ่ายแม่ทัพราโชยูก็เริ่มขยับ ทหารที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็เริ่มขยับถอยด้วยความตื่นตระหนก ไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า

“ฮี่! ฮี่! ฮี่! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ราโชยู ... คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าถูกกัดกินทั้งเป็นหรอกจริงไหม? ฮี่! ฮี่! ฮี่! เตรียมตัวตายอย่างทรมานจากทหารของตัวเองเถอะ ฮา ฮา ฮา” กษัตริย์ เบลซ เซจหัวเราะอย่างชั่วร้าย พลางทรงตวัดไม้เท้าอีกครั้ง ศพทหารทั้งหลายก็เริ่มมีฟันแหลมงอกออกมา น้ำลายไหลยืดเหมือนสัตว์ป่าหิวโซ บรรดานายทหารที่เหลือกำอาวุธในมือมั่น ค่อย ๆ ถอยมารวมกันเข้าที่กลางวงล้อมด้วยความประหวั่น

“ฆ่ามัน!!” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงตะโกนสุดเสียงพร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องอย่างยินดีของเหล่าซากศพพวกมันต่างกระโจนเข้าหาทหารที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทัพและกัดกินอย่างไม่ปราณี เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นชโลมพื้นทรายราวกับทะเลอาละวาดคลั่ง บรรดานายทหารที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็ฟาดฟันใส่ซากศพเหล่านั้นอย่างไม่คิดชีวิต ภาพความหฤโหดน่าสยดสยองราวกับนรกบนดินทำให้แม้แต่บรรดาทหารของกษัตริย์เบลซ เซจที่ล้อมวงอยู่ต้องเบือนหน้าหนี บางคนถึงกับอาเจียนออกมา

“ดูซะ! ใครหันหน้าหนี ข้าจะจับโยนลงไปร่วมกับพวกมันด้วย!!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสสั่งด้วยพระพักตร์ชั่วร้ายและน่ารักมเกรียม

ข้างฝ่ายแม่ทัพราโชยูก็ควงเคียวตวัดเกี่ยวตัดร่างของซากศพเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซากแล้วซากเล่า ทว่าก็ดูเหมือนซากศพเหล่านี้มีจำนวนมหาศาลเหลือเกิน บรรดานายทหารก็เริ่มล้มหายลงไปในกองซากศพทีละคน ทันทีที่ใครล้มลงบรรดาซากศพก็จะกรูกันเข้ากรุ้มรุมจนมองแทบไม่เห็นร่าง และด้วยความที่ใส่ชุดเหมือนกันทำให้บางนายก็พลาดฟันถูกพวกที่ยังมีชีวิตอยู่บ้าง ทำให้ทั้งสนามรบเวลานี้ดูสับสนอลหม่านจนแทบจะแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร

เพียงแค่ครึ่งชั่วยามอันแสนหฤโหด ที่ดูเหมือนยาวนานนับปี ที่สุดก็เหลือเพียงแม่ทัพราโชยูกับซากศพปิศาจของกษัตริย์เบลซ เซจสามสิบตัว ยืนอยู่บนเศษเนื้อและเลือดที่กระจัดกระจายชโลมพื้นทราย แม่ทัพร่างยักษ์บัดนี้มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว เลือดไหลโทรมกาย ยืนหอบจนตัวโยน ในสมองของเขาตอนนี้แทบจะไม่มีสติพอจะคิดพินิจพิเคราะห์อะไรได้อีกแล้ว แม่ทัพจอมโหดหรือ สมญานามนี้ฟังดูกระจอกงอกงอยเหมือนเด็กอมมือไปเลย เมื่อเทียบกับความชั่วร้ายและโหดน่ารักมของเบลซ เซจในเวลานี้ เขาเคยคิดว่าเขาคงจะจบชีวิตในสนามรบสักวันหนึ่ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาจบชีวิตอย่างน่าอนาถเช่นนี้

“เจ้ายักษ์โง่ เจ้าทำตัวให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ที่ยังยืนอยู่ได้ ทั้งที่เจ้าก็รับพิษไปไม่น้อยซ้ำโดนจู่โจมถึงขนาดนี้ น่าเสียดายที่ที่ทางของข้าไม่มีที่ว่างมากพอจะแบ่งกับเจ้า”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยาย SMN Epi9 Chapter 6 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 2:38 pm

ราโชยูจ้องมองเบลซ เซจด้วยความโกรธแค้นพลางถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา อกสะท้อนขึ้นลงสูบฉีดอากาศเข้าเต็มปอด

“อย่ามัวพูดจาเล่นลิ้นให้เสียเวลา เก็บคำพูดของเจ้าเอาไว้พูดกับตัวเองเถิด”

“หึ! โง่แล้วยังโอหัง จะตายอยู่แล้วยังมาปากดีอีกรึดีละ! ถ้าเช่นนั้นก็จงตายซะเดี๋ยวนี้” กษัตริย์เบลซ เซจ ชูคฑาขึ้นพร้อม ๆ กับบรรดาทหารผีพุ่งจู่โจมเข้าใส่พร้อม ๆ กัน ราโชยูพยายามกวัดแกว่งเคียวสุดกำลัง ทว่าทหารผีที่เกาะตามแขนขาถ่วงน้ำหนักจนเขาขยับแทบไม่ได้ เพียงพริบตาเดียวร่างทั้งร่างก็ถูกซากทหารเกาะจนมองไม่เห็นตัวแม่ทัพทมิฬ เสียงกรีดร้องอย่างสะใจจากซากทหารดังระงม ทว่ากลับไม่มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากปากแม่ทัพทมิฬเลย ร่างทั้งร่างยังคงยืนทรงตัวอยู่ได้ แม้จะต้องรับน้ำหนักของซากทหารกว่าสามสิบร่าง มือที่กำเคียวไว้แน่นสั่นเกร็งอย่างน่ากลัวก่อนที่โครงร่างจะค่อย ๆ ผุบตัวลง กลายเป็นกองซากที่ไต่กันยั้วเยี้ยบนพื้นทราย ปิดฉากชีวิตของแม่ทัพทมิฬผู้โหดน่ารักมแห่งกองทัพเพลิง

“ฝ...ฝ่า...ฝ่าบาท” แม่ทัพหน้าใหม่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล กษัตริย์เบลซ เซจทรงเหลือบพระเนตรไปหา ทำให้แม่ทัพรีบหลบสายตาทันที “พะ...พระอาญามิพ้นเกล้า ถ...ถ้าซากทหาร ละ...เหล่านี้ กะ...ก...กินร่างแม่ทัพราโชยูหมดแล้ว ละ...แล้วเราจะจัด...จัดการพวกมันอย่างไรดีพะ...พ่ะย่ะค่ะ?”

กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงแสยะยิ้มพลางทอดพระเนตรกองซากทหารผีเบื้องหน้า

“เดี๋ยวพวกมันก็กัดกินกันเองจนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว พวกเจ้ารอเก็บเศษซากที่ยังพอใช้ได้กลับเข้าเมืองด้วยละ ส่วนซากของเจ้ายักษ์นั่น ...” กษัตริย์เบลซ เซจทรงหยุดคิดครู่หนึ่ง พลางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “เอาไปแขวนประจานไว้ที่ประตูเมือง” ตรัสแล้วก็ชักรถศึกกลับเข้าเมืองพร้อมเสียงหัวเราะอันแสนชั่วร้าย ปล่อยให้บรรดานายทหารที่เหลือรู้สึกสยดสยองและหวาดกลัวในความหฤโหดของกษัตริย์แห่งตน

******

ในฤดูร้อนของอาณาจักรแอนดิซองอากาศอบอุ่นสบายแสงแดดสาดส่องไออุ่นแข่งกับน้ำแข็งแห่งทะเลใต้ ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง เพื่อขยายพันธุ์ในช่วงฤดูสั้น ๆ ที่แสนจะมีค่านี้

ผู้คนในอาณาจักรแอนดิซองเริ่มปรับเปรียบเสื้อผ้าเป็นแบบเนื้อบางมากขึ้น ประตูหน้าต่างถูกเปิดออกต้อนรับไออุ่นแห่งฤดูร้อน

ที่ค่ายพักของผู้อพยพ แม้ฤดูร้อนจะช่วยให้บรรดาผู้ยากไร้ทั้งหลายอาศัยอยู่กันได้อย่างสบายมากขึ้น ทว่างานของบรรดาซิสเตอร์ทั้งหลายไม่ได้ลดน้อยลงเลย นั่นเพราะจำนวนผู้อพยพที่มากมายมหาศาล ซึ่งแออัดยัดเหยียดภายในค่ายพัก ทั้งยังมีบรรดาผู้อพยพหน้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ จนค่ายผู้อพยพแทบไม่เหลือที่ว่าง

เจ้าหญิงอลาน่าในชุดซิสเตอร์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเช็ดหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก ไม่ใช่อุณหภูมิสูงที่ทำให้เหงื่อของพระองค์ออก เพราะอากาศในฤดูร้อนของเมืองท่าแอนดิซองไม่เคยร้อนจนอบอ้าว หากแต่เป็นเพราะความแออัดและงานที่มากมายจนแทบจะล้นมือต่างหาก เจ้าหญิงทรงเงยพระพักตร์ขึ้นจากการพยาบาลคนป่วย เพื่อทอดพระเนตรแถวของบรรดาผู้อพยพที่เจ็บป่วยซึ่งรอการรักษาจากบรรดาซิสเตอร์อยู่

“มีอะไรหรือเพคะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลถาม เมื่อเห็นพระองค์นิ่งไปนาน “ทรงล้าหรือเพคะ? พักสักครู่ดีไหมเพคะ?”
“เปล่าค่ะ ซิสเตอร์ ฉันไม่ได้เหนื่อยถึงขนาดนั้น เพียงแต่ฉันกำลังคิดว่า ฉันเริ่มเห็นผู้อพยพชาวซาโลมมากขึ้น น่าแปลกเหลือเกินนะคะ ทำไมแม้แต่พลเมืองของอาณาจักรที่รุกรานถึงยังต้องอพยพหนีมา สงครามไม่ได้เกิดแค่ตอนกลางทวีปหรอกหรือค่ะ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างประหลาดพระทัย

ซิสเตอร์โรซาน่าจึงหันไปมองตามเจ้าหญิง “นั่นสิเพคะ พวกเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่ได้สังเกตหรือรับทราบข่าวคราวของสงครามเลย เราอาจจะพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปก็ได้นะเพคะ”

“เจ้าหญิง...” หญิงวัยกลางคนที่เจ้าหญิงทรงพันแผลให้อยู่พูดขึ้น

“โอ้... ขอโทษนะจ๊ะที่ฉันมัวแต่คุยกับซิสเตอร์เพลินไปหน่อย จะเสร็จแล้วจ๊ะ” เจ้าหญิงตรัสขออภัยหญิงวัยกลางคน

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างตื่นเต้น เพราะดีใจที่ได้พูดคุยกับเจ้าหญิง นางโชคดีที่เข้าคิวได้แถวของเจ้าหญิง นางเป็นแค่คนยากจนไม่รู้หนังสือ แค่ได้พูดคุยเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว “อิฉัน แค่จะบอกเจ้าหญิงถึงเรื่องของเจ้าคนพวกนั้นเจ้าค่ะ”

“หมายถึง... พวกผู้อพยพจากซาโลมน่ะหรือ?” เจ้าหญิงทรงถามโดยไม่ใส่ใจถือสาหาความว่า พระองค์ถูกแอบฟังการสนทนาและพูดสอดแทรกขึ้นกลางคัน แต่พระองค์ติดพระทัยเรื่องลักษณะการพูดถึงผู้อพยพชาวซาโลมมากกว่า ทว่าพระองค์ก็ยังทรงสงวนท่าทีอยู่และปล่อยให้หญิงชาวบ้านพูดเล่าสิ่งที่ต้องการจะบอก

หญิงวัยกลางคนก็รีบเล่าถึงข่าวลือและสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซาโลม ทั้งความโหดน่ารักมของกษัตริย์องค์ใหม่ของอาณาจักร ผู้ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อพยพเหล่านี้หนีมาลี้ภัยถึงอาณาจักรแอนดิซอง หญิงวัยกลางคนเล่าอย่างออกรส ทั้งสนุกปากและอยากจะทำให้เจ้าหญิงพอใจและแอบหวังว่าเจ้าหญิงอาจจะมีรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนนางก็ได้

เจ้าหญิงทรงฟังอย่างสงบนิ่งปล่อยให้หญิงวัยกลางคนเล่าจนจบ จนเมื่อดูเหมือนนางจะไม่สามารถนึกหาอะไรมาเล่าได้อีกแล้ว เจ้าหญิงจึงตรัสขึ้น

“ขอบใจนะจ๊ะ ที่เล่าให้ฉันฟัง ระยะหลัง ๆมานี้ ฉันแทบจะไม่ได้รับรู้ข่าวคราวใด ๆ เลย” หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง แต่ก็ค่อย ๆ หุบยิ้มลง ขมวดคิ้วด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อเห็นเจ้าหญิงพระพักตร์เศร้าลง “แต่ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ในท่าทางและวิธีการพูดเวลาที่เธอพูดถึงผู้อพยพชาวซาโลม”

เจ้าหญิงตรัสเพียงเท่านั้น หญิงวัยกลางคนก็หน้าแดงขึ้นทันที พลางหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตา เริ่มจะกลัวว่าเจ้าหญิงอาจจะไม่พอพระทัยจนสั่งลงโทษนางก็ได้

“คะ... ใคร ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอิฉันทั้งนั้นแหละเจ้าคะ ทุกคนต้องพลัดพรากจากบ้านจากครอบครัวมาก็เพราะพวกซาโลมไม่มีใครยอมรับหรืออยากเสวนากับคนพวกนี้หรอกเจ้าคะ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยาย SMN Epi9 Chapter 6 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 2:39 pm

เจ้าหญิงอลาน่ารู้สึกที่ไม่ค่อยเป็นมิตรในหมู่ผู้อพยพได้ แต่พระองค์ทรงคิดว่าคงจะเป็นเพียงความไม่คุ้นเคยระห่างผู้อพยพเก่าและผู้อพยพใหม่ ที่จะค่อย ๆ ปรับตัวกันได้ในเวลาไม่นาน ไม่ทรงคิดว่าจะเป็นการรังเกียจชาติพันธุ์กันเช่นนี้

“แล้วมีการกระทบกระทั่งกันรุนแรงหรือเปล่าจ๊ะ?”

“เท่าที่อิฉันรู้ ก็ยังหรอกเจ้าคะ เป็นแค่การแสดงออกด้วยท่าทางและวาจามากกว่า ทุกคนล้วนเป็นผู้อพยพไม่มีใครกล้ามีเรื่องปะทะกันรุนแรงหรอกเจ้าคะ เพราะกลัวจะถูกส่งตัวกลับ”

“โอ้...” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงแฝงแววเศร้าสร้อยจนหญิงวัยกลางคนและซิสเตอร์โรซาน่าต้องเงยหน้ามอง

“ฝ่าบาท!?” ซิสเตอร์โรซาน่าเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง

“ถูกแล้ว ทุกคนที่นี่ก็เป็นผู้อพยพด้วยกันทั้งนั้น ทำไมถึงยังรังเกียจเดียดฉันท์ ขับไล่กันเองอีกเล่า?” เจ้าหญิงตรัสพ้อด้วยความเสียพระทัย และผิดหวังกับความพยายามต่าง ๆ ที่พระองค์พยายามทำเพื่อผู้อพยพเหล่านี้

“ซิสเตอร์ค่ะ ฉันปล่อยปละละเลย การดูแลผู้อพยพเกินไปรึเปล่าค่ะ? ถึงได้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น...”

“ไม่เลยเพคะ ฝ่าบาทดูแลผู้อพยพอย่างดีและมากเกินกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ แต่ผู้อพยพที่มากขึ้นเกินขีดความสามารถของเราที่จะดูแลได้อย่างใกล้ชิดต่างหาก” ซิสเตอร์วัยชราทูลปลอบและชี้แจง

เจ้าหญิงทรงหันไปทอดพระเนตร แถวผู้อพยพอีกครั้งจึงสังเกตเห็นหญิงผิวเข้มผมดำขลับหยักเป็นลอนยืนอยู่ในแถวด้วย นางคลุมผ้ามิดชิดยืนตัวลีบอยู่กลางแถว รอบ ๆ ตัวนางเหมือนจะถูกเว้นระยะอย่างจงใจ คล้ายกับไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ นางคงจะหนาวเพราะอากาศในฤดูร้อนของแอนดิซองก็ถือว่าเย็นเมื่อเทียบกับอากาศในทะเลทรายที่นางจากมาพระองค์ช่างเขลานัก ที่ไม่ได้ฉุกสังเกตอาการต่าง ๆรอบตัวพระองค์ เจ้าหญิงทรงรู้สึกเศร้าพระทัยนักพยายามคิดว่าพระองค์ควรจะทำอย่างไรดี ที่สุดพระองค์จึงทรงเงยพระพักตร์ขึ้นหลับพระเนตรลงคล้ายกับกำลังภาวนาขอความสว่างจากเบื้องบน

ครั้นเมื่อพระองค์ทรงเปิดพระเนตรขึ้น เจ้าหญิงก็ทรงลุกขึ้นและดำเนินฝ่าแถวผู้อพยพเข้าไปทันที

“ฝ่าบาท!? จะเสด็จไปไหนเพคะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามด้วยความตกใจ รีบวิ่งตามออกไปทันที

บรรดาผู้อพยพต่างแหวกแถวออกมองตามเจ้าหญิงอลาน่ากันเป็นตาเดียว เจ้าหญิงดำเนินจนมาหยุดตรงหน้าหญิงชาวซาโลม หญิงชาวซาโลมตกใจกับปฏิกิริยารอบข้างหันรีหันข้างก่อนจะก้มหน้างุดหมายจะวิ่งหนีไปจากแถว

“เดี๋ยวจ๊ะ อย่ากลัวเลย ฉันไม่ได้มาทำร้าย”เจ้าหญิงตรัส แต่ดูเหมือนหญิงชาวซาโลมจะไม่เข้าใจจึงออกวิ่งทว่าเจ้าหญิงทรงขว้ามือไว้ได้ทัน หญิงชาวซาโลมสะดุ้งแต่ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เป็นมิตรทำให้นางกล้า ๆ กลัว ๆ ก็ตาม

เจ้าหญิงทรงพิจารณาหญิงตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว นางดูเหมือนหญิงชาวบ้านธรรมดา วัยใกล้เคียงกับพระองค์หรืออาจจะมากกว่าพระองค์เล็กน้อย เสื้อผ้าเก่าขาดคงไม่มีความรู้มากมาย และเพราะอาศัยอยู่ในดินแดนทะเลทรายที่ห่างไกลจากอาณาจักรอื่น ๆ นางคงจะไม่รู้ภาษาอื่นใดนอกจากภาษาของอาณาจักรซาโลม

“ซิสเตอร์พูดภาษาซาโลมได้ไหมคะ?” เจ้าหญิงตรัสถาม

“นิดหน่อยเพคะ” ซิสเตอร์ทูลตอบ “หม่อมฉันเคยเรียนมาบ้าง เมื่อสมัยเรียนที่ซาโลมอนอคาเดมี่”

“ดีเลยคะ ช่วยบอกเขาว่า ฉันยินดีต้อนรับเขาและผู้อพยพชาวซาโลมทุกคนค่ะ” เจ้าหญิงตรัสโดยทรงทอดพระเนตรดวงตาของหญิงซาโลมตลอด ซิสเตอร์แปลข้อความให้นางฟัง ซึ่งหญิงซาโลมทั้งตกใจที่มีชาวแอนดิซองพูดภาษาของนางได้ ทั้งยังประหลาดใจกับข้อความที่ได้ยิน นางห่อตัวลีบด้วยไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน

“และฉันขอโทษแทนผู้อพยพทุกคนที่ไม่ต้อนรับ และปฏิบัติกับผู้อพยพชาวซาโลมไม่ดี ทั้ง ๆ ที่พวกเธอก็ถูกทำร้ายและหนีภัยสงครามมาเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงที่นี่แทนที่จะได้อยู่อย่างเป็นสุข กลับยังต้องมารับแรงแค้นและโทษที่พวกเธอไม่ได้ก่อ โปรดรับคำขอโทษจากฉันแทนคนเหล่านี้ด้วย” ตรัสแล้วเจ้าหญิงอลาน่าก็โค้งองค์ลงก้มพระเศียรขอโทษหญิงชาวซาโลมด้วยกริยานอบน้อมสุภาพที่สุดเพื่อแสดงความจริงใจ

ซิสเตอร์โรซาน่าแปลข้อความของเจ้าหญิงพร้อมบอกสถานะของเจ้าหญิงว่าเป็นใคร เพียงเท่านั้นหญิงชาวซาโลมก็ทรุดเข่าลงจับชายกระโปรงของเจ้าหญิงไว้และก้มหน้าร้องไห้ด้วยความดีใจ เพราะได้รู้ว่านางและเพื่อนร่วมชาติก็เป็นที่ต้อนรับอยู่บ้าง โดยเฉพาะจากบุคคลที่ไม่คาดคิดเช่นนี้

บรรดาผู้อพยพคนอื่น ๆ เมื่อได้เห็นและได้ยินดังนั้นต่างก้มหน้าลงบ้างก็เบือนหน้าหนี รู้สึกละอายใจกับสิ่งที่พวกตนทำ เมื่อเริ่มคิดถึงคำพูดของเจ้าหญิงก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาโยนความโกรธแค้นชิงชังใส่บรรดาผู้อพยพชาวทะเลทรายอย่างไม่ยุติธรรม และจากเหตุการณ์ครั้งนี้เองทำให้ผู้อพยพชาวซาโลมเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในค่ายอพยพแห่งเมืองท่าแอนดิซอง และแล้วชื่อเสียงความเมตตาของเจ้าหญิงอลาน่าก็ยิ่งเป็นที่ร่ำลือมากยิ่งขึ้นไปอีก ทว่าบรรดาผู้ต่อต้านและชิงชังพระองค์ก็ยิ่งมีมากขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน