Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 1:59 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:17 am

Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน



ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออกของทวีปเมอร์ริเซีย สถานที่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วย คีรีบันดา (Kerebanda) เทือกเขาขนาดใหญ่มหึมาที่ทอดตัวยาวครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทางตอนเหนือแผ่กว้างล้อมทั้งทางด้านตะวันออกจนสุดเขตแดนด้านตะวันตก ราวกับปีกมารดาแห่งวิหคยักษ์ที่กางออกเพื่อปกป้องลูกน้อยของตน เทือกเขานี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผืนทวีป เมอร์ริเซีย และเป็นที่รู้จักของชนชาว เมอร์ริเซีย เป็นอย่างดี เพราะความยิ่งใหญ่แห่งอดีตกาลที่สร้างตำนานการต่อสู้ไว้มากมาย ณ ที่นั่น ทั้งยังเป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพต่าง ๆ และยังมีตำนานเล่าขานกันว่ายังมีมังกรเจ้าพิภพ 2 หัวนาม ไพทอน (Python, Kerebanda’s Guardian) คอยปกปักษ์รักษาดั่งองครักษ์เฝ้าพิทักษ์มหาภูเขาลูกนี้อยู่ เมื่อเอ่ยนาม คีรีบันดา

ลมทะเลที่พัดมาจากทางใต้ส่งผลให้พื้นที่บริเวณตีนเขามีฝนตกชุก อีกทั้งเทือกเขาที่มีลักษณะทอดยาวเช่นนี้ยังเป็นเหมือนแขนที่โอบกั้นมิให้เมฆฝนลอยผ่านไปได้ ทำให้บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้มีฝนตกตลอดปี ก่อกำเนิดความอุดมสมบูรณ์อย่างสุดขีดให้ผืนดิน พันธุ์ไม้ทุกชนิดเจริญงอกงามจนมีขนาดใหญ่กว่าไม้พันธุ์เดียวกันที่เติบโตในเขตอื่นของทวีป กระทั่งเกิดเป็นป่าไม้สูงใหญ่ครึ้มเขียวขจี อบอวลไปด้วยกลิ่นพฤกษานานาพันธุ์ ส่งกลิ่นอายแห่งความสดชื่นมีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งพงไพร

ที่ใจกลางป่าแห่งนี้มีมหาพฤกษา อิกดราซิล (Yggdrasil) ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อย่างสงบ ใบของต้น อิกดราซิล นี้มีสีเงินยวงส่องประกายระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วบริเวณราวกับอัญมณีที่หยอกล้อกับแสงไฟ ที่แง่งรากด้านหนึ่งมีธารน้ำผุดซึ่งได้กลายเป็นต้นน้ำของแม่น้ำ ลำธารหลายสายไหลกระจายไปทั่วภูมิภาคนี้ และมีสายหนึ่งที่ไหลลงสู่ทะเลสาบ นีรันดา (Nerunda Lake) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักให้ชนเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์กัน

พื้นที่บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก มีป่าน้อยใหญ่แบ่งย่อยอยู่ในพื้นที่นี้มากมาย และมีจำนวนไม่น้อยที่ยังมิเคยถูกค้นพบหรือสำรวจมาก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้มีมากมายหลายเผ่าด้วยกันและรวมไปถึงเผ่าสมิงต่าง ๆ ด้วย หากแต่เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือ เผ่า ฟูดินัน (Fudenun)

ผู้คนใน เผ่าฟูดินัน นี้เป็นผู้ที่รักสงบอยู่กันอย่างสันติ มีน้ำใจไมตรี ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดา ในแต่ละวันผู้คนจะออกไปหาอาหารในป่าบ้าง ทำไร่ทำสวนบ้าง ขาดเหลืออะไรก็จะมาแบ่งปันกัน การแต่งกายก็เรียบง่ายไม่หรูหราฉูดฉาด เสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ถักทอกันเองด้วยเส้นด้ายที่ปั่นจากใยพืช เผ่าฟูดินันที่ถูกบ่มเพาะจากธรรมชาติเช่นนี้ จึงมีแต่ความสงบสุขเรียบง่าย ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานและรักสันติ

บ่ายแก่ ๆ ของวันที่อากาศแจ่มใส สายลมโชยอ่อนๆพัดพาเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบานได้ไม่กี่วันให้อบอวลไปทั่วบริเวณ ณ ชายป่าด้านหนึ่งของเผ่า ฟูดินัน มีเสียงต่อสู้อึกทึกครึกโครมดังแว่วอยู่ ใกล้ต้นไม้ใหญ่มีเด็กชายสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนพื้น ฝุ่นดินและเศษหญ้ากระจายฟุ้ง ไม่ใกล้ไม่ไกลนักมีเด็กหญิงเล็ก ๆ วัย หก ปีคนหนึ่งกำลังยืนดูให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ชั่วอึดใจทั้งคู่ก็กลิ้งลงเนินไปชนกับต้นสนขนาดกลางที่อยู่ใกล้ ๆ ดังโครมจนต้นสนโอนเอนไปมาอย่างแรง เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดังพลางรีบวิ่งไปหาทั้งสอง ทั้งคู่ต่างกระเด็นไปคนละทิศละทาง เมื่อทั้งคู่หันหน้าไปมองต้นสนแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองกันและกัน ฉับพลันทั้งคู่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“ท่านพี่…ท่านพี่เป็นอะไรกันรึเปล่าค่ะ?” เด็กหญิงที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามเสียงเบาพลางหอบหายใจ

หนึ่งในนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ขาทั้งสี่ที่หยัดตัวขึ้นเผยให้เห็นร่างม้าครึ่งตัวที่ยังโตไม่เต็มที่ของลูก เซนทอร์(Centaur) ซึ่งพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กหญิง

“ข้าไม่เป็นไรหรอก ท่านไปดูพี่ท่านจะดีกว่าว่าบาดเจ็บหรือไม่?” เซนทอร์ กล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางเด็กชายอีกคน ใบหน้ายังคงมีแววขบขันอยู่

เด็กน้อยวิ่งไปนั่งลงใกล้ ๆ เด็กชายที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง พลางมองสำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บ เด็กชายยิ้มให้น้อย ๆ พลางลูบหัวเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “พี่ไม่เป็นไรหรอก วานาอัน (Wanaan) พี่แข็งแรงออกจะตายนี่ไงเห็นไหม?”

เด็กชายว่าพลางทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู เด็กหญิงหัวเราะคิก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส เซนทอร์น้อย เดินเข้ามาสมทบด้วย “ใช่ ข้ารับประกันเรื่องความทรหดของพี่ท่านเลย ถ้าเทียบกับเด็กวัยสิบขวบด้วยกัน ข้าให้พี่ของท่านเป็นที่หนึ่งเลยนะ”

หนูน้อยวานาอันยิ้มอย่างภูมิใจในตัวพี่ชายจนแก้มปริ เซนทอร์น้อยเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมื่อเห็นว่าเริ่มบ่ายคล้อยลงมากแล้วจึงต่างร่ำลากันกลับบ้านของตน ขณะที่สองพี่น้องเดินผ่านป่าไปได้สักครู่ ชั่วขณะนั้นเองทั้งสองก็ได้ยินเสียงแตรล่าสัตว์ดังแว่วอยู่ไกล ๆ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นฝูงนกบินหนีมาจากทิศทางตรงข้าม เด็กชายก้มหน้ามองน้องสาวของตนด้วยสีหน้าครุ่นคิดพลางมองกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแล้วจึงหันกลับมาและคุกเข่าลงมองตาของน้องสาว

“วานาอัน น้องเดินกลับบ้านไปเองได้ไหม? พี่จะไปดูอะไรทางโน้นสักหน่อยแล้วเดี๋ยวพี่จะรีบตามกลับไป”

เด็กหญิงมองหน้าพี่ชาย คิ้วน้อย ๆ ขมวดแน่นส่ายหน้าช้า ๆ มือป้อม ๆ จับมือพี่ชายเอาไว้แน่น พี่ชายจึงใช้มืออีกข้างลูบหัวน้องสาวเบา ๆ

“งั้นเอาอย่างนี้นะ เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ เดี๋ยวพี่จะรีบไปรีบมา”

เด็กหญิงส่ายหน้าแรงขึ้น หน้าเบ้ น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า เด็กชายจึงรีบพูดขึ้น

“เด็กดีอย่าร้องไห้สิ พี่คิดว่าทางโน้นต้องมีพวกมาล่าสัตว์แน่ ๆ พี่จะไปดูสักหน่อย แต่พี่ไม่อยากให้เจ้าไปด้วยเพราะว่ามันอาจมีอันตรายได้…”

เด็กน้อยได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ร่วงเผาะไหลลงอาบสองพวงแก้ม เด็กชายเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบเช็ดน้ำตาให้น้อง “เอาล่ะ!ก็ได้ อย่าร้องไห้นะ เจ้าไปกับพี่ก็ได้ แต่ห้ามอยู่ห่างพี่เด็ดขาดเลยนะ ตกลงไหม?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:18 am

เด็กหญิงรีบพยักหน้าอย่างเร็ว พี่ชายจึงยิ้มให้ และจูงมือน้องสาวออกเดินไปยังทิศทางตรงข้ามลึกเข้าไปในป่า ทั้งสองเดินกันได้สักพักใหญ่ก็เห็นรอยเลือดหยดเล็ก ๆ เป็นทางยาว เด็กทั้งสองเดินตามหยดเลือดไปเรื่อย ๆ รอยเลือดนั้นหายเข้าไปในพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ เด็กทั้งสองค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้น วานาอันจับชายเสื้อพี่ชายไว้แน่น เด็กชายเอามือแหวกพุ่มไม้เบา ๆ ทันใดนั้นก็ได้เห็นร่างของนกเนดา(Naeda) ซึ่งเป็นหนึ่งในนกสวยงามของ ฟูดินัน ปีกทั้งสองข้างของมันเป็นสีรุ้งแวววาวสวยงาม หากแต่ตอนนี้มีลูกธนูเสียบคาอยู่ที่ปีกข้างหนึ่งมีเลือดไหลนองพื้นเป็นวงใหญ่ เด็กหญิงเห็นดังนั้นก็เริ่มร้องไห้ด้วยความสงสารนกน้อย เด็กชายจึงหันไปปรามเนื่องด้วยเกรงว่านกจะตกใจ เด็กน้อยจึงค่อยเบาเสียงลงและร้องไห้อยู่เงียบ ๆ เมื่อมันเห็นเด็กทั้งสองเดินเข้ามาก็พยายามตะเกียกตะกายบินหนีอย่างอ่อนแรง เด็กชายเดินเข้าไปดูอาการใกล้ ๆ พยายามจับนกเนดาที่ตื่นกลัวให้อยู่นิ่ง ๆ เพื่อไม่ให้ปากแผลฉีกไปมากกว่าเดิม เด็กชายถอดเสื้อตัวนอกของตนออกคลุมหัวนกไว้เพื่อมิให้มันเห็นอะไรจะได้คลายความกลัวลงพลางค่อย ๆ อุ้มมันขึ้นมาอย่างเบามือ ส่วนวานาอันก็ค่อย ๆ เอามือน้อย ๆ ลูบตัวนกเนดาเบา ๆ เมื่อความรู้สึกที่เป็นมิตรเอ่อล้นมายังสัตว์ป่าที่บาดเจ็บนี้ มันจึงค่อย ๆ คลายความพยศลง เด็กชายมองดูสภาพบาดแผลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะกล่าวว่า

“พี่ว่าเราต้องรีบพามันกลับไปหาท่านปู่เร็วที่สุดเลย…”

“เจ้าจะเอานกของเราไปไหนกัน? นั่นเป็นสมบัติของเรานะ”

เสียงกังวานใสดังขึ้นทางด้านหลัง เด็กชายหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว ส่วนวานาอันก็รีบวิ่งไปแอบอยู่หลังพี่ชายด้วยความเร็วพอกัน ข้างต้นไม้ใหญ่นั้นปรากฏร่างของเด็กหญิงสูงศักดิ์ขี่ม้าสีขาวสะอาดตา ดวงตาโตสีเขียวมรกตกำลังจับจ้องเด็กทั้งสองไม่วางตา

“เธอเป็นคนยิงนกตัวนี้หรือ?” เด็กชายถาม

“ไม่ใช่เราหรอก น้องชายของเราเป็นผู้ยิง เราเพียงอาสามาเก็บให้เท่านั้น” เด็กหญิงผู้มาใหม่พูดพลางพิจารณาเด็กชาวป่าทั้งสอง เด็กคนพี่นั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนเด็กหญิงคนน้องนั้นแอบมองตนผ่านทางช่องแขนของพี่ชาย และเมื่อเห็นว่าตนก็มองอยู่เช่นกันก็รีบหลบเข้าข้างหลังพี่ชายทันที

“รึว่านั่น เป็นนกที่เจ้าทั้งสองเลี้ยงไว้?” เด็กหญิงเอ่ยถาม พลางผ่อนสายบังเหียนม้าลงเพื่อให้ม้าได้เล็มหญ้าอ่อนที่อยู่ตรงหน้าแล้วจึงเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าเดินเข้ามาใกล้เด็กชาวป่าทั้งสอง

“ไม่ใช่หรอก แต่นกนี่เป็นสมบัติของป่านี้ และทุกชีวิตในป่านี้มิได้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ”

“ถ้าเช่นนั้นนกตัวนี้ก็ต้องเป็นของเรา”

“เธอจะเอามันไปทำอะไร? เอาไปกินหรือ? นกพันธุ์นี้รสชาติไม่อร่อยหรอกนะ”

เด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงใส “ใครบอกเล่าว่าเราจะนำไปกิน เราไม่นำไปกินอยู่แล้ว เราเพียงแต่แข่งกันว่าใครจะเป็นผู้ยิงนกที่แสนสวยนี่ได้ก่อน”

เด็กชายได้ยินดังนั้นก็พูดเสียงดัง “เธอยิงมันด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้หรือ?! ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเกินกว่าที่เธอจะฆ่าเล่นเพื่อความสนุกแบบนี้นะ”

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ก็ในเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีอำนาจเหนือสัตว์เหล่านี้ และให้เรามนุษย์เป็นผู้ปกครองดูแลพวกมันอยู่แล้วนี่”

“แล้วเธอปกครองดูแลพวกมันแบบนี้หรือ?”

เด็กหญิงผู้มาใหม่เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งงันไป เด็กชายชาวป่าจึงกล่าวเสริมขึ้น “หากบิดาของเธอให้ของขวัญกับเธอ แล้วเธอทำลายมันทิ้งด้วยเหตุเพียงว่ามันเป็นของของเธอแล้วเธอจะทำอย่างไรกับมันก็ได้อย่างนั้นรึ? เธอไม่คิดว่าบิดาของเธอจะเสียใจบ้างหรือ?”

เด็กหญิงตกตะลึงกับเหตุผลอันเกินคาดคิดของเด็กชาวป่า พลางคิดทบทวนคำพูดนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อนเลย เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว… เมื่อพระเจ้าให้มนุษย์เป็นผู้ปกครองสัตว์ทั้งมวล เราควรดูแลทุกชีวิตด้วยเมตตา จึงจะเป็นที่พอพระทัยพระองค์…” เด็กหญิงชะงักคำพูดลงเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กชาวป่าก้มหน้าลงมองนกสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้พูดเบาเสียงลง “เจ้ายังโกรธเราอยู่หรือ?”

“ทำไมเราจะต้องโกรธเธอด้วยล่ะ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองคิ้วขมวดน้อย ๆ สีหน้างุนงง

“ก็เจ้าทำหน้าบึ้งตึงอยู่นี่”

“เราไม่ได้โกรธ เราเพียงแต่เป็นห่วงนกตัวนี้ต่างหาก”

เด็กหญิงนิ่งอึ้ง เพราะทุกคำตอบของเด็กชาวป่าคนนี้ล้วนเหนือความคาดหมายของเธอ เด็กคนนี้มีแต่ใจที่เป็นห่วงนกมากกว่าที่จะมาคิดโกรธเคือง เด็กหญิงทั้งประหลาดใจระคนสนใจในตัวเด็กชาวป่าผู้นี้นัก เพราะช่างมีจิตใจต่างกับผู้คนที่เธอเคยเจอะเจอมา

ฉับพลันเสียงกีบเท้าม้านับสิบก็ดังลั่นทั่วป่า เสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วดังควบคู่กับเสียงกีบเท้าม้าและเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เด็กทั้งสามหันหน้าไปทางต้นเสียงนั้น วานาอันรีบหลบหลังพี่ชายเกาะชายเสื้อแน่นกว่าเดิม

“คงจะเป็นเสียงคนของเรา”

“เจ้าหญิงเรจิน่า เจ้าหญิงเรจิน่า”

มีเสียงเรียกดังจากด้านหลังของเด็กหญิง แล้วทหารในชุดล่าสัตว์ร่วมสิบนายก็ปรากฏกายขึ้นเป็นแถวทางด้านหลัง หนึ่งในนั้นขี่ม้ามาหยุดทางด้านข้างเด็กหญิง กล่าวด้วยสีหน้าตื่น ๆ เล็กน้อย

“เจ้าหญิงไม่น่าทรงม้ามาผู้เดียวเช่นนี้เลย ในป่ามีอันตรายมากมาย เจ้าชายก็ทรงเป็นห่วงมากเนื่องจากทรงหายตัวไปนาน สั่งให้พวกข้าพระองค์เร่งออกตามหา อีกสักพักเจ้าชายก็คงตามมา…..”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:18 am

สิ้นเสียงทหารนั้นก็มีเสียงกีบเท้าม้าอีกกลุ่มควบดังตามมา ฝุ่นดินและเศษหญ้าฟุ้งขึ้นราวกับกลุ่มควันไฟกองใหญ่ ชั่วอึดใจเดียวทหารอีกกลุ่มก็มาถึง ซึ่งนำหน้าโดยเด็กชายตัวเล็ก ๆ ผมสีน้ำตาล อายุประมาณ 9 ปี นั่งอยู่บนม้าสีขาวครีม เชิดหน้าอย่างสง่างามเกินเด็ก สวมชุดล่าสัตว์ที่ทำจากผ้าเนื้อดีสีเขียวสลับขาว เด็กชายมีสีหน้ายุ่งดูหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อเห็นเด็กชาวป่าทั้งสอง

“เสด็จพี่อยู่ที่นี่เอง” เด็กชายร้องเสียงดัง กระโดดลงจากหลังม้าแล้วหันมามองเด็กชาวป่าทั้งสอง

“เอานกของเรามานะไอ้เจ้าคนป่า ไอ้ขโมยสกปรก เอานกของเรามา!!”

เด็กชายตะโกนเสียงแหลม พลางหยิบดาบขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นมาแกว่งอย่างน่ากลัว

“หยุดนะ ซิกมันด์”เจ้าหญิงตรัสดุพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีแดง “เราขอโทษด้วยที่น้องของเราทำเสียมารยาท” “เสด็จพี่ห้ามพูดกับมันนะ ข้าห้ามพระองค์พูดกะพวกมันนะ” เด็กชายยิ่งตะโกนเสียงดังและแหลมกว่าเดิม

“แกด้วย ไอ้พวกสกปรกอย่าบังอาจมายุ่งกับเสด็จพี่นะ แกต้องถูกลงโทษที่บังอาจขโมยนกเรา และบังอาจมายุ่งกับเสด็จพี่ของเรา”

ฉับพลันเจ้าชายน้อยก็ทรงกวัดแกว่งดาบเข้าหาเด็กชาวป่าทั้งสอง เด็กชายชาวป่าเอื้อมมืออีกข้างเข้ากอดน้องสาวตัวน้อยที่เริ่มร้องไห้อีกครั้งด้วยความกลัว แววตาของเขาจ้องเขม็งอย่างไม่กลัวอาวุธตรงหน้า ทันใดนั้นดาบในมือเด็กชายสูงศักดิ์ก็ลอยละลิ่วกระเด็นไปไกล เด็กหญิงที่เหล่าทหารเรียกเธอว่า เจ้าหญิงเรจิน่าบัดนี้ทรงถือดาบของพระองค์ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าด้วยฝีมือดาบที่ดีกว่า พระองค์ได้สะบัดดาบของเจ้าชายจนกระเด็นออกไปก่อนกล่าวเสียงดุ

“ซิกมันด์!! ลืมที่เสด็จพ่อเคยสอนแล้วหรือว่าห้ามหันดาบใส่ผู้ไร้อาวุธ!?!”

เจ้าชายซิกมันด์หน้าเสีย เรจิน่า เก็บดาบก่อนตรัสแก่พวกทหาร

“พวกเจ้าเชิญเสด็จเจ้าชายไปรอที่ชายป่าก่อน แล้วเราจะตามไป”

“แต่นกของ……” เจ้าชายซิกมันด์ ตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังนกในมือเด็กชาวป่า

เจ้าหญิงเรจิน่าทรง จับไหล่พระอนุชา พลางตรัส “วันนี้พี่เพิ่งได้นาฬิกาพกอันใหม่เป็นของกำนัลจากลอร์ด คาร์ลแลนซ์ พ่อของชาร์ล (Charles) พี่จะยกให้เธอแลกกับนกนั้น ดังนั้นไปรอที่ชายป่าพร้อมพวกทหารแล้วพี่จะไม่บอกเสด็จพ่อเรื่องที่เจ้าทำวันนี้”

เจ้าชายทรงครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงทรงพยักพระพักตร์ก่อนขึ้นทรงม้าและเชิดคางขึ้น ปรายหางพระเนตรมายังเด็กชาวป่าสองคนทรงทำพระพักตร์เหยียดหยามครั้งหนึ่งก่อนจะสะบัดบังเหียนทรงม้าควบจากไป ข้างฝ่ายเหล่าทหารผู้ติดตามบางส่วนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อ เรจิน่า ยังทรงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งยังส่งสัญญาณให้ล่วงหน้าไปก่อน จึงได้ตัดสินใจควบม้าจากไปกันหมด กระทั่งเด็กทั้งสามถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพังแล้ว เจ้าหญิงจึงเสด็จเข้าไปหาเด็กชาวป่าทั้งสอง

“เราขอโทษแทนน้องของเราที่เสียมารยาทอีกครั้งนะ”

“เธอเก่งนะใช้ดาบได้ด้วย ผู้หญิงในเผ่าของเราไม่มีใครใช้ดาบเป็นเลยจะมีก็แต่ใช้เวทมนตร์เท่านั้น”

เด็กทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกัน เจ้าหญิงทรงยิ้มน้อย ๆ เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตรัสโพล่งออกมาราวกับเพิ่งนึกได้ “จริงสิ! เรายังไม่รู้จักกันเลย เรานี่ช่างแย่จริงเชียว เราชื่อ เรจิน่า อรีธา (Regina Aretha) เป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร ฟีเลเซีย (Felasia) ที่อยู่ทางฝากตะวันตกโน่น แต่ช่วงสัปดาห์นี้เรามาท่องเที่ยวที่เมือง วอลเนีย (Valnia District) ที่อยู่ตรงเขตชายแดน จึงมาล่าสัตว์ในป่านี้”

“เราชื่อ ฮารีซัน บันดารา (Harison Bandara) เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าฟูดินัน ที่อยู่ทางชายป่าด้านโน้น”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นเจ้าชายด้วยนะสิ เพราะเจ้าเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านี่”

เด็กชายยิ้มให้“ไม่ใช่หรอก เราก็มีฐานะเท่า ๆ กับเด็กคนอื่น ๆ ในเผ่านั่นแหละ”

“น่าอิจฉาจริง เราก็อยากจะเป็นเด็กธรรมดา ๆ บ้าง มีอิสระอย่างพวกเจ้า จะไปไหนมาไหนก็ได้ เราจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีทหารตามกันเป็นพรวน”

“เธอก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปออก… น้องของเธอเสียอีกที่ดูเป็นคนสูงศักดิ์”

“จริงหรือ? เราเหมือนเด็กธรรมดา ๆ ทั่วไปจริงหรือ?”เจ้าหญิงน้อยตรัสเสียงตื่นเต้น

“ใช่” เด็กชายยืนยัน “และอีกอย่าง หากเธอไม่ชอบใจก็บอกพวกเขาสิว่าไม่ต้องตาม”

“พวกเขาไม่ยอมหรอก เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวก…” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงหยุดพูดเมื่อเห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลสดใสแอบลอบมองพระองค์จากช่องแขนของฮารีซัน

ฮารีซันมองตามแล้วก็ยิ้มกว้างเอี้ยวตัวไปทางขวาเล็กน้อย “นี่คือน้องสาวของเรา ชื่อวานาอัน”

วานาอันรีบก้มหน้าลงใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจนถึงใบหูเจ้า เรจิน่าทรงเห็นดังนั้นจึงเขยิบองค์เข้าไปใกล้พลางยิ้มให้ตรัสว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ วานาอัน” เจ้าหญิงรอจนกระทั่งเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นสบตา จึงได้เห็นวานาอันยิ้มให้อย่างน่ารักน่าชัง

“ยิ้มเก่งจริง เมื่อตะกี้ยังร้องไห้อยู่เลย นี่ยิ้มได้แล้ว” เจ้าหญิงตรัสอย่างชื่นชม

“วานาอันเป็นแบบนี้แหละ ใบหน้าจะอมยิ้มตลอดเวลา หรือถ้าไม่ก็จะร้องไห้ไปเลย ไม่เคยแสดงสีหน้าเฉยๆหรอก”

“จริง ๆ นะหรือ?” เรจิน่าทรงยิ้มชอบใจ “จริงสิ!! แล้วนกตัวนี้พวกเจ้าจะทำอย่างไร?”

“เราจะนำไปให้ท่านปู่รักษา ท่านปู่เชี่ยวชาญเรื่องสารพัดรวมถึงการรักษาด้วย ท่านปู่ต้องช่วยมันได้แน่”

“ดีจัง ถ้าเช่นนั้นเราว่าพวกเจ้าควรรีบไปดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์ เราก็คงต้องไปเช่นกันเพราะเราอยู่ที่นี่นานแล้ว เดี๋ยวน้องชายเราจะส่งคนมาตามอีก”

เมื่อเด็กทั้งสามร่ำลากันและกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหญิงน้อยก็เหวี่ยงองค์ขึ้นม้าขาวอย่างคล่องแคล่ว

“หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะ” เจ้าหญิงเรจิน่า ตรัส

“หวังว่าคงได้พบกันอีก” ฮารีซัน ตอบกลับ

ทั้งคู่มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามทางของตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน

cron