Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 4:07 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi 9 Chapter 1 รอยยิ้มที่ไม่มีวันจางหาย @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi 9 Chapter 1 รอยยิ้มที่ไม่มีวันจางหาย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 1:19 pm

Chapter 1 รอยยิ้มที่ไม่มีวันจางหาย


ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทติดต่อกันหลายครั้งอย่างน่ากลัว ราชินีเนริมอร์ทรงกอดพระโอรสไว้แน่น พระทัยของพระนางแทบแหลกสลายเมื่อทรงเห็นโอรสหายใจแผ่วลงทุกที ๆ ทั้งโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากบาดแผลต่าง ๆ ไม่หยุด เพียงแค่บาดแผลถลอกเล็กน้อยพระนางก็ทรงสงสารลูกน้อยจับพระทัยแล้ว นี่ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว โอรสของพระนางอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ เพียงแค่ทรงคิดเช่นนั้น ความกลัวชนิดจับขั้วหัวใจก็ทิ่มแทงพระนางราวกับตกนรกทั้งเป็น

ราชินีเนริมอร์ทรงหันไปทอดพระเนตรอุปราชเบลซ เซจ และ แบล็ค ไวเซอร์ อีกครั้ง แรกทีเดียวพระองค์ทรงคิดว่า หากทรงรีบจัดการเจ้าอสรพิษสองตัวนี่ด้วยพลังเวทย์ซึ่งรวมเอาความโกรธ ความเคียดแค้นของพระนางเข้าไว้ด้วย ก็คงจะสามารถกำจัดเจ้างูพิษสองตัวนี่ได้ไม่ยากนัก ทว่าเมื่อมีโอรสอยู่ในอ้อมพระกรเช่นนี้ พลังของพระนางก็ลดฮวบลงแทบจะทันที จากผู้ที่เป็นฝ่ายบุก เวลานี้พระองค์ทรงทำได้แค่ตั้งรับเท่านั้น ยิ่งมีพ่อมดดำคอยดูดพลังเวทย์ของพระองค์อยุ่เช่นนี้ พระนางอาจจะมีพลังเวทย์เหลือสำหรับการโจมตีอีกไม่กี่ครั้ง แต่ในขณะด้านไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น พลังเวทย์ของมันกลับสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ นี่มันอวิชชาประเภทไหนกัน เบลซ เซจไม่มีทางจะมีพลังเวทย์มากมายถึงเพียงนี้ หรือนี่คือสิ่งที่นาซาอีบอกไว้ ‘ความช่วยเหลือจากเปลวเพลิงแห่งความมืดมิด’

เงามืดเริ่มก่อตัวขึ้นเบื้องหลังบุรุษทั้งสอง เบลซ เซจ ชูแขนทั้งสองขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหย๋เก ทว่าริมฝีปากกลับแสยะยิ้มน่ารักมเกรียม ลูกไฟสีเขียวขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนืออุปราชเฒ่าและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มวลอากาศรอบ ๆ เริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว

เมื่อทรงหันมาทอดพระเนตรโอรสของพระนางที่กำลังพยายามยกหัตถ์น้อย ๆ ขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงเนตรจับจ้องแต่ลูกไฟสีเขียวเหนืออุปราชเฒ่า และพยายามจะร่ายเวทย์อีกครั้ง น้ำเนตรของพระนางก็พาลจะไหลออกมาอีก หรือพระนางได้ทรงตัดสินพระทัยผิดพลาดไปเสียแล้วที่ทรงคิดจะกำจัดเจ้าอสรพิษร้ายในเวลานี้

ราชินีเนริมอร์ทรงรีบคว้าหัตถ์ของโอรสไว้ด้วยความรักจนสุดพรรณนา นี่คือความรักที่พระองค์โหยหา นี่คือความความรักที่พระองค์เฝ้ารอมาตลอดชีวิต ความรักแท้ที่ทำได้แม้ยอมตายแทนผู้อื่น พระนางทรงได้รับความรักนั่นแล้วจากเด็กชายในวัยแค่สิบเอ็ดปี เมื่อทรงคิดได้ดังนั้น น้ำเนตรแห่งความยินดีก็ค่อย ๆ เอ่อล้นแทนที่น้ำเนตรแห่งความโศกเศร้าและหวาดกลัว รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏบนพระโอษฐ์ ความทุกข์แปรเปลี่ยนเป็นความสุขได้ง่ายเหมือนแค่มีเยื่อบาง ๆ กั้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว หากพระองค์จะทรงตัดสินพระทัยใด ๆ ลงไป มันก็จะเป็นการชี้ชะตาที่ไม่อาจแก้ไขใด ๆ ได้อีก พระนางทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเช็ดดวงพักตร์ของโอรสด้วยความทะนุถนอม หากมีใครในวันนี้ที่ต้องตาย คน ๆ นั้นจะต้องไม่ใช่โอรสของพระนาง อิสฮานจะต้องปลอดภัยไม่ว่าเวลานี้หรือในอนาคต พระนางจะต้องทรงส่งโอรสของพระนางไปยังที่ที่ปลอดภัยที่สุด คงมีแต่ที่นั่นเท่านั้น...สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่พระนางจะทรงคิดออก และพระนางจะต้องทรงทำให้แน่พระทัยด้วยว่าจะไม่มีใครสามารถตามไล่ล่าอิสฮานได้อีก ซึ่งจากพลังเวทย์ที่เหลือของพระนาง ก็คงจะเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น

“ลูกรัก จงอยู่อย่างมีความสุข อย่าให้เหมือนพ่อของเจ้าที่แสวงหามันมาตลอดชีวิตแต่ไม่เคยได้พบ”

“เสด็จแม่?!”

พระนางทรงยิ้มใส่ดวงเนตรของโอรสด้วยความรัก ในดวงเนตรคมดำขลับนั้น มีภาพของพระนางสะท้อนออกมาทั้งสองข้าง

“ลูกรัก ดวงใจของแม่ จดจำรอยยิ้มของแม่ไว้นะลูก” พระนางทรงพลิกอุ้งหัตถ์ของบุตรชายแนบกับริมพระโอษฐ์ที่ยังทรงแย้มยิ้มอยู่ “จำรอยยิ้มของแม่ไว้นะ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน แม่จะอยู่กับเจ้าเสมอ”

ผ้าคลุมขนนกแดงที่ห่อหุ้มเจ้าชายน้อยไว้ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น

“ไม่ ไม่ เสด็จแม่ ลูกจะอยู่กับเสด็จแม่” เจ้าชายทรงพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระ ยิ่งพระองค์ทรงเห็นว่าอุปราชเฒ่ากำลังจะทำอะไร พระองค์ก็ยิ่งทรงออกแรงมากขึ้น ทว่าพระมารดาก็ยังทรงยิ้มให้พระองค์อยู่เช่นเดิม

เปลวเพลิงเริ่มลุกท่วมพระกายของพระนางและเริ่มก่อเป็นลูกไฟเวทย์ขนาดใหญ่ ทว่าพระนางแทบไม่ได้ทรงสนพระทัยความร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงรอบ ๆ พระองค์เลย โอรสของพระนางรักพระนางจนยอมสละแม้ชีวิต พระนางเองก็รักโอรสมากเสียจนไม่ทรงคิดเสียดายชีวิตเลย

ทันทีที่โอรสของพระนางลอยผ่านเข้าไปในช่องมิติที่เปิดออก เสียงร้องที่เกรี้ยวกราดทางด้านหลังแสดงให้ทรงรู้ว่าอุปราชเฒ่ารู้แล้วว่าพระองค์ทรงกำลังจะทำอะไร และคงไม่ชอบใจอย่างที่สุด

“ข้าจะไม่ยอมให้แกพามันหนี มันจะต้องตายที่นี่ และ เดี๋ยวนี้! ย๊ากกกกกกกกกกก!!!” อุปราชเฒ่าตะโกนสุดเสียงพร้อม ๆ กับเขวี้ยงลูกไฟเวทย์ขนาดยักษ์เข้าใส่ช่องมิติที่กำลังจะปิดลง

“พวกแกต่างหากที่จะต้องตายที่นี่และเดี๋ยวนี้...พร้อมกับข้า!” ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงปลดปล่อยพลังเวทย์ทั้งหมดออกมาทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายEpi 9 Chapter 1 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 1:21 pm

อุปราชเฒ่าตาเบิกโพลงด้วยความตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่าเจ้าชายอิสฮานกำลังลอยหายเข้าไปในช่องมิติที่เปิดออก แขนทั้งสองข้างนั้นสั่นเกร็งเพราะพลังเวทย์อันมหาศาลที่ไหลบ่าจากทางด้านหลังของเขาขึ้นสู่มือทั้งสองข้างก่อนจะพุ่งขึ้นม้วนตัวกลายเป็นลูกไฟเวทย์ขนาดยักษ์ เบลซ เซจ รู้สึกว่าเส้นเลือดและกล้ามเนื้อของเขาขยายกว้างขึ้นจนเหมือนแขนกำละงจะระเบิด แต่หากไม่ชูมือขึ้นไว้เหนือศีรษะเช่นนี้ ลูกไฟเวทย์คงจะร่วงลงมาเผาผลาญตัวเขาเองจนมอดไหม้ และเวลานี้พลังเวทย์นั่นไหลบ่าเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวเขาเองทนรับแทบไม่ไหวแล้ว

“เร็วเข้า! มันกำลังจะหนีไปแล้ว รีบจัดการมันก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอุตส่าห์เตรียมการไว้จะสูญเปล่า” เสียงกระซิบที่น่ารักมเกรียมชนิดที่เรียกได้ว่าเขย่าโสตประสาทผู้ฟังก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง

“ข้าจะไม่ยอมให้แกพามันหนี มันจะต้องตายที่นี่ และ เดี๋ยวนี้! ย๊ากกกกกกกกกกก!!!” เบลซ เซจรวบรวมพลังทั้งหมดขว้างลูกไฟเวทย์เข้าใส่ช่องมิตินั้นทันที

แต่แล้วพลังเวทย์มหาศาลจากทิศตรงข้ามก็พุ่งสะท้อนกลับอย่างแรง เกิดเสียงปะทะกันของพลังเวทย์จนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ปราสาททั้งหลังสั่นสะเทือนราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อม ๆ กับเปลวเพลิงร้อนราวไฟบรรลัยกัลป์พุ่งกระแทกใส่ร่างของเขาอย่างจัง ความร้อนที่รุนแรงยิ่งกว่าลาวาเดือดของมหาภูเขาไฟเผาไหม้ร่างของเบลซ เซจทันที

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!” อุปราชเฒ่าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดลง

อุปราชเฒ่าตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความเจ็บปวดราวกับเนื้อกำลังแยกออกจากกระดูก ผิวหนังละลายจนเขารู้สึกว่าใบหน้าไหลย้อยมารวมกันอยู่ที่ปลายคาง เบลซ เซจมองไปรอบ ๆ เปลวเพลิงดูเหมือนจะหยุดชะงักอยู่เช่นนั้น คล้ายเวลารอบ ๆ ตัวเขาหยุดไปชั่วขณะ

“ท่านอวารูเซจ ท่านอวารูเซจ” เสียงเรียกของเบลซ เซจที่ดังออกมาจากปากนั้นเป็นเพียงเสียงลมที่ถูกดันผ่านช่องปากออกมาเท่านั้น คล้ายกับว่ากล่อมเสียงของเขามอดไหม้ไปเสียแล้ว

“น่าสงสารจริง ๆ ข้ารับใช้ที่ภักดีของข้า เจ้ากำลังจะตาย” ปีศาจอวารูเซจ พูดจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งภายในเปลวเพลิงรอบ ๆ นั้น

“ช่วย...ช่วยข้า” เบลซ เซจ พยายามเค้นเสียงออกมา

“ข้าทำไม่ได้” ปีศาจร้ายทำเสียงอ่อนเหมือนสงสารอุปราชเฒ่าจับใจ

“ช่วยข้า……! “ เบลซ เซจกรีดร้องอย่างโหยหวน

“ข้าช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่มีของแลกเปลี่ยน เจ้าก็รู้ธรรมเนียมดีมิใช่หรือ? ใครจะยอมทำอะไรให้เจ้าฟรี ๆ กัน” เสียงจากเปลวเพลิงดังก้อง

“สมบัติของข้า” อุปราชเฒ่าเค้นเสียง

“สมบัติของเจ้าไม่มีค่าอันใดกับปีศาจอย่างข้า คิดสิ! อะไรที่คู่ควรกับชีวิตของเจ้า”

“ร่าง...ร่างของข้า วิญญาณของข้า!!!” เบลซ เซจตะโกนอย่างจนตรอก

“ดูสารรูปตัวเจ้าเองตอนนี้สิ เจ้าเหลือร่างที่พอใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง ... มันไม่พอจะสร้างร่างใหม่ให้เจ้า” เสียงหัวเราะเยาะที่น่ารังเกียจดังขึ้นคล้ายจะสมเพชซากร่างกายตรงหน้า

เบลซ เซจได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องโหยหวนราวกับคลุ้มคลั่ง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของแบล็ค ไวเซอร์ ซึ่งร่างที่กำลังมอดไหม้ไปบางส่วนนั้นก็ถูกหยุดเวลาไว้เช่นกัน

“ร่างของเจ้านั่น... ร่างของเจ้านั้น” เบลซ เซจ ละล่ำละลักตะโกนร้องสุดเสียง

“นั่นมันเพื่อนของเจ้าไม่ใช่หรือ?” เสียงปีศาจแสร้งสงสัยแต่ก็หัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์ไปด้วย

“ชะ...ใช่! ใช่! เพื่อน... เพื่อนย่อมต้องช่วยเพื่อนในยามที่กำลังลำบาก มันเคยบอกข้าว่ามันยอมทำทุกอย่าง ถ้าข้าช่วยมันแก้แค้น นี่ยังไงล่ะ! เวลานั้นมาถึงแล้ว มันจะต้องยินดียกร่างของมันให้ข้า เพื่อข้าจะได้แก้แค้นให้มันได้สำเร็จ ว่ายังไงล่ะ ร่างของมันกับร่างของข้าเพียงพอแล้วใช่ไหม?” เบลซ เซจกล่าวด้วยเสียงที่มีแต่ลมแทรกผ่านช่องว่างออกมาด้วยความหวังที่มีมากขึ้น

“ฮี่! ฮี่! ฮี่! ร่างของเจ้านั่นก็ไหม้ไปเกือบครึ่งแล้วนะ” เจ้าปีศาจพูดแหย่ทำให้ เบลซ เซจ ต้องกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังอีกครั้ง “แต่เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่ความพยายามของเจ้า ข้าจะยอมให้สักครั้ง เอาไว้เจ้ามีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้ แล้วข้าจะค่อยมาทวงเพิ่มทีหลัง”

“ได้! ได้! อะไรก็ได้ ข้าจะให้... ช่วยข้าเร็วเข้า” เบลซ เซจ ดีใจรีบเอ่ยปากรับคำทันที เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เจ้าลั่นวาจาเป็นสัญญาแล้วนะ ทีนี่...เจ้าจะได้ตามที่เจ้าปรารถนาเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงปีศาจอวารูเซจ เปลวเพลิงทั่วทั้งห้องก็กลับมีชีวิตอีกครั้ง เบลซ เซจกรีดร้องอย่างโหยหวนทันทีเพราะความร้อนที่แผดเผา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายEpi 9 Chapter 1 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 1:21 pm

ทันใดนั้นแสงสีเขียวเรืองแสงก็พุ่งออกมาจากปากของอุปราชเฒ่าเหมือนเชือกที่มีชีวิต มันม้วนพันรอบตัว เบลซ เซจ ก่อนจะพุ่งไปพันร่างที่ร่างวิญญาณของแบล็ค ไวเซอร์ ราวกับวาจาของ เบลซ เซจเปลี่ยนเป็นรูปร่างเพื่อผูกมัดร่างทั้งสองตามสัตย์วาจาที่ได้ทำการผูกมัดไว้ในสัญญาปีศาจ และเพียงพริบตาเดียว ร่างทั้งสองกถูกกระชากเข้าหากันอย่างแรง แรงกระแทกนั่นรุนแรงจนอุปราชเฒ่าร้องเสียงหลง

แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อร่างทั้งสองถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน เหมือนมีมือล่องหนกำลังบีบขย๋ำร่างทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียว เสียงกระดูกหักดังลั่นพร้อม ๆ กับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของเบลซ เซจ ที่ถูกหักกระดูกทั้งเป็น ทั้งยังรู้สึกขยักแขยงและสะอิดสะเอียนเหมือนมีพลังบางอย่างหรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังแทรกผ่านผิวเนื้อของเขา เขาไม่รู้เลยว่ามันกำลังเจาะลุเข้าไปในตัว หรือกำลังดันทะลุออกมาจากร่างของเขากันแน่


นี่หรือความรู้สึกของบรรดาทหารซาโลมหรือแม้แต่ซาดินที่ถูกเปลี่ยนร่างด้วยคำสาปแห่งอเวจี มันช่างเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสและน่าขยักแขยงจนสุดบรรยาย ท่ามกลางมหาเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ เบลซ เซจกรีดร้องอย่างโหยหวนครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่ามกลางซากปราสาทที่เริ่มถล่มและยุบตัวลงมา ณ ใจกลางเปลวเพลิงนั้นเอง กองลูกไฟขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น มันค่อย ๆ ปริแตกเหมือนเวลาลูกนกกำลังจะออกจากไข่ รอยปริร้าวค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ลุกพรวดทะลุกองไฟนั้นขึ้นมา ร่างนั้นเป็นร่างของชายรูปร่างกำยำในชุดเกราะแปลกตาสีแดงเข้ม มีผ้าคลุมที่ดูเหมือนจะเป็นหนังของสิ่งมีชีวิตที่ถูกตีแผ่เป็นหนังบาง ๆ ติดอยู่ข้างหลัง เบื้องหลังของเขาสามารถมองเห็นดวงตาปีศาจปรากฏลาง ๆ อยู่ถึงสามคู่ มันเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากกันอย่างสิ้นเชิงและกลอกกลิ้งไปมาตลอดเวลาอย่างน่าขนลุก มือทั้งสองข้างไขว้กันเหนือใบหน้าเหมือนจะปกป้องผิวที่เพิ่งเกิดใหม่จากไฟเวทย์ที่แผดเผา ที่มือขวานั้นถือคทาที่มีหัวเป็นเม็ดทับทิมสีแดงวาวโรจน์ขนาดใหญ่บ่งบอกถึงพลังอำนาจแฝงของคทาซึ่งแตกต่างจากคทาธรรมดาทั่วไป

ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างก็สะบัดออกพร้อม ๆ กับการเปล่งเสียงที่แผดดังกึกก้องกัปนาท

“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”

ทันทีที่เสียงพุ่งออกไป เปลวเพลิงก็ราวกับถูกพลังมหาศาลพัดใส่อย่างแรงจนเปลวเพลิงแหวกออกเป็นวงกว้างก่อนจะถูกพลังมหาศาลพัดสลายหายไปในชั่วพริบตานั้น ทว่ากลางซากปราสาทที่ไหม้ดำเป็นตอตะโก เบลซ เซจในร่างใหม่ของปีศาจก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

S


ไกลออกไปยังพื้นที่ที่แสนอุดมสมบูรณ์ทางตอนกลางของทวีปเมอร์ริเซีย ภายในอาณาจักรฟูดินันนั้นกำลังตระเตรียมงานกันอย่างเอิกเกริก เพื่อเตรียมงานฉลองการสถาปนาอาณาจักรฟูดินันอย่างเป็นทางการโดยกำหนดเอาวันโซลัม (Solum) แรกของเดือนมัทธิวเป็นวันสถาปนาของอาณาจักร เทียบเชิญถูกส่งไปยังอาณาจักรฟีเลเซียและแอนดิซองซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากทั้งสองอาณาจักร จึงทำให้การเตรียมการในครั้งนี้ต้องดีที่สุดและน่าประทับใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อต้อนรับและสร้างความประทับใจให้แก่อาคันตุกะที่มีความสำคัญระดับต้น ๆ ของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง โดยทางอาณาจักรแอนดิซอง เจ้าหญิงอลาน่าได้ส่งผู้แทนพระองค์ คือ ซิสเตอร์โรซาน่ามาร่วมพิธี ในขณะที่ทางฟากอาณาจักรฟีเลเซีย กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามจะเป็นเสด็จมาเอง

ซึ่งในการเตรียมการครั้งนี้ เจ้าหญิงเรจิน่าทรงได้รับอนุญาตร่วมเดินทางกับบิชอปเกรเกอรี่เพื่อช่วยในการตระเตรียมการฉลอง ให้อยู่ในมาตราฐานและขอบเขตที่จะไม่เป็นการล่วงเกินอันคันตุกะจากอาณาจักรทั้งสอง ตามคำร้องขอของอาณาจักรฟูดินัน โดยคณะของบิชอปเกรเกอรี่และเจ้าหญิงได้เดินทางมาถึงอาณาจักรฟูดินันล่วงหน้าการเฉลิมฉลองหนึ่งเดือน

ในการจัดเตรียมงานนั้น พิธีกรรมและระเบียบต่าง ๆ ในพิธีถูกตัดออกและเพิ่มเติมหลายครั้ง เช่นพิธีบูชายัญสิ่งมีชีวิตที่ถูกตัดออกไป หรือขั้นตอนการจัดลำดับที่นั่งของอาคันตุกะ การจัดเตรียมที่ทางไว้อำนวยความสะดวกแต่คณะของอาคันตุกะ ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างของทั้งสองอาณาจักรก็ถูกสอนให้แก่ชาวฟูดินันที่จะต้องมีหน้าที่ดูแลให้ความสะดวกแก่อาคันตุกะจากทั้งสองอาณาจักร เหล่านี้ทำให้ทุกคนในอาณาจักรฟูดินันในเวลานี้ต่างก็มีงานที่ต้องทำการล้นมือ แต่ทุกคนต่างก็เต็มใจและยินดีที่จะเสนอตัวทำหน้าที่ตระเตรียมงาน โดยเฉพาะหน้าที่ที่ต้องใหล้ชิดกับอาคันตุกะจากทั้งสองอาณาจักร เพราะต่างก็ไม่มีใครเคยเห็นคนจากอาณาจักรฟีเลเซียและแอนดิซองมาก่อน ทุกคนต่างก็เคยแต่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวถึงความหรูหรา เก่งกาจ เลิศเลอ และอื่น ๆ มากมายจากการเล่าปากต่อปากของบรรดาพ่อค้าเร่หรือคนพเนจร เมื่อมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวจริงใกล้ ๆ ต่างก็ไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนั้น

ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีใครบ่นหรือไม่พอใจพิธีรีตองที่มากมายที่ต้องทำ เพราะต่างก็รู้สึกว่าการกระทำนั้น ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้ไปสัมผัสอาณาจักรทั้งสองจริง ๆ

เมื่อใกล้ถึงวันที่กำหนด ทุกคนก็ยิ่งวิ่งวุ่นเตรียมงานกันจ้าละหวั่นเพราะต่างก็อยากจะให้งานออกมาดีที่สุด ขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงตรวจดูการตระเตรียมที่จัดเลี้ยงรับรองอาคันตุกะอยู่นั้น ฮารีซันก็เดินเข้ามาสมทบด้วย อันที่จริงเจ้าหญิงทรงแอบเห็นฮารีซันเดินลังเลเป็นครู่ใหญ่กว่าจะตัดสินใจเดินเข้ามา ซึ่งพระองค์ก็ต้องทรงแอบหัวเราะขำในท่าทางของชายหนุ่ม แต่นั่นก็ทำให้พระองค์ได้ทรงมีโอกาสลอบพิจารณาชายหนุ่มไปด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายEpi 9 Chapter 1 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 1:22 pm

พระองค์ทรงหวนคิดถึงวันที่ทรงเดินทางมาถึงฟูดินัน น่าแปลกที่เพียงไม่ได้เจอกันไม่กี่เดือนฮารีซันกลับดูแปลกตากว่าที่พระองค์ทรงเคยจำได้ ด้วยวัยยี่สิบเอ็ดปีชายหนุ่มดูสูงใหญ่กำยำสมชายชาตรี มีความเป็นผู้นำ โอบอ้อมอารี แต่ขณะเดียวกันก็ดูสงบเยือกเย็นจะเว้นเสียแต่ก็เฉพาะตอนที่พระองค์ทรงแกล้งเขานั่นแหละ ที่ความสงบสุขุมจะลดน้อยลงไป คงจะเพราะความเคยชินที่พระองค์ทรงได้เห็นเขาบ่อย ๆ ในค่ายกลางสนามรบ ทำให้พระองค์ยังทรงติดภาพเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงได้พบกันครั้งแรกในฐานะแม่ทัพของฟูดินันเมื่อสามปีก่อน เวลานั้นเขาอายุสิบแปดย่างสิบเก้าและพระองค์ก็ทรงเคยชินกันภาพนั้นเสมอมา จนในวันนี้ที่สายพระเนตรของพระองค์ได้ทรงมองห็นเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ทรงตระหนักถึงชายวัยฉกรรจ์ที่น่าเคารพยกย่อง ชายผู้เคยเสี่ยงชีวิตปกป้องพระองค์ไว้หลายครั้ง และยังเป็นชายที่ทำให้พระทัยของพระองค์หวั่นไหวอีกด้วย

“เจ้าห..ญิง…เออ... เจ้าหญิง” ฮารีซันเอ่ยทักเสียงไม่ค่อยมั่นคงนักจนต้องเอ่ยทักอีกรอบ

ฮารีซันเอง ตั้งแต่ได้พบกับเจ้าหญิงอีกครั้ง เขาก็ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวตรงหน้าเช่นกัน เพียงไม่กี่เดือนที่ไมได้พบหน้า เจ้าหญิงก็กลายเป็นหญิงสาวในวัยยี่สิบเอ็ดปีที่งามสพรั่งเต็มไปด้วยความสง่างาม ฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบ มีเสน่ห์ชวนมอง ทั้งยังร่าเริงสดใส และเขาก็ยังตระหนักถึงความรู้สึกในใจของตนที่เด่นชัดมากขึ้นเมื่อเขาได้มีเวลาอยู่ห่างจากเจ้าหญิง แต่เขาเองก็ยังกล้าคิดไปไกลเกินกว่าจุดที่เขายืนอยู่ เพราะฐานะอันแตกต่างของเขาจึงได้แต่ข่มจิตใจของตนไว้แม้มันจะยากลำบากมากขึ้นทุกที

“ข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงาน” ฮารีซันกล่าวขึ้นในที่สุด

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าดูแลอย่างดีเชียวละ หรือว่าท่านคิดว่าข้าจะทำอะไรผิดพลาดหรือ?” เจ้าหญิงทรงแกล้งตรัสแหย่

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงแต่คิดว่ามีอะไรขาดเหลือที่ข้าอาจจะพอช่วยได้ ตั้งแต่เตรียมสถาปนาฟูดินันเป็นอาณาจักร ใคร ๆ ดูจะไม่ค่อยอยากให้ข้าทำงานสักเท่าไหร่” ฮารีซันกล่าวเสียงเรียบ แต่เจ้าหญิงก็ทรงจับความรู้สึกเศร้าและไม่สบายใจน้อย ๆ เล็ดรอดออกมา

“เป็นธรรมดา เพราะท่านกำลังจะเป็นกษัตริย์ของชนชาตินี้ ซึ่งตามจริงก็สามารถเรียกได้ว่าท่านเป็นกษัตริย์แล้ว เพียงแต่ยังไมได้สถาปนาอย่างเป็นทางการเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้ท่านลงมือทำงานหนัก กษัตริย์ไม่จำเป็นต้องทำงานพวกนี้” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถึงความเป็นจริงของสิทธิของชนชั้นกษัตริย์

“แต่สำหรับข้า การเป็นกษัตริย์ไม่ควรแต่นั่งเสวยสุขแล้วปล่อยให้ชาวบ้านทำงานหนัก โดยที่เราไม่ได้ร่วมรับรู้หรือมีส่วนรับผิดชอบใด ๆ กับพวกเขาเลย ข้าไม่อยากเป็นกษัตริย์เช่นนั้น” ฮารีซันตอบ ซึ่งก็ทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าต้องทรงยิ้มออกมอย่างชื่นชม

“ข้าเคยชินกับการได้รับความสะดวกสบายในฐานะเจ้าหญิง ข้าไม่เคยต้องทำงานหนักเหมือนที่พวกนางกำนัลหรือชาวบ้านเขาทำกัน ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน ข้าคิดว่าฟูดินันโชคดีที่มีกษัตริย์ที่คิดเช่นนี้” เจ้าหญิงตรัส

“ขออภัยเจ้าหญิง ข้าไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิท่าน” ฮารีซันรีบกล่าวอย่างตกใจ

“ข้ารู้ ข้าก็ไมได้คิดว่าท่านอยากจะพูดจาเหน็บข้าเสียหน่อย” เจ้าหญิงตรัสยิ้ม ๆ อย่างนึกสนุก “แต่ในเมื่อท่านอยากจะมีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้บ้าง ท่านก็มาถูกที่แล้วละ”

ฮารีซันมีสีหน้าเบิกบานขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“ข้าอยากให้ท่านไปเกณฑ์พวกผู้ชายมาช่วยกันจัดวางโต๊ะพวกนี้ใหม่ ในที่สุดข้าก็คิดหาวิธีจัดการกับการจัดเลี้ยงโต๊ะอาหารพวกนี้ได้ เพราะเราชาวฟีเลเซียให้ความสำคัญกับลำดับที่นั่ง ผู้ที่สำคัญที่สุดจะนั่งที่หัวโต๊ะ ในครั้งนี้ซิกมันด์อุตส่าห์ยอมรับปากว่าจะมาร่วมพิธี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นการบ่งบอกว่าการร่วมรบตลอดสามปีที่ผ่านมา ซิกมันด์ได้เปิดใจยอมรับพวกท่านมากขึ้น แต่ถ้าให้ท่านนั่งที่หัวโต๊ะ บรรดาผู้ติดตามฝั่งฟีเลเซียอาจจะไม่พอใจได้ ทั้งตัวซิกมันด์เองข้าก็ไม่อาจเดาได้ว่ามีปฏิกริยาอย่างไร เพราะเรายึดมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง แต่ถ้าจะให้ซิกมันด์นั่งที่หัวโต๊ะ ทางฝ่ายฟูดินันก็คงจะไม่ยอม ส่วนทางแอนดิซองนั่นไม่มีปัญหาเพราะเจ้าหญิงอลาน่าส่งท่านราชครู ซิสเตอร์ โรซาน่ามา ท่านเป็นนักบวช เราสามารถจัดให้ท่านนั่งกับท่านบิชอปเกรเกอรี่ได้”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าหญิงคิดจะแก้ปัญหาอย่างไร?” ฮารีซันถาม

“ข้าจะจัดให้มีสองหัวโต๊ะ” เจ้าหญิงตรัสอย่างร่าเริง พลางทรงยิ้มกว้างเมื่อเห็นฮารีซันทำตาโต คิดไม่ถึงกับคำตอบของพระองค์ “ดีใช่ไหมล่ะ? ได้นั่งหัวโต๊ะทั้งคู่เลย เวลาเริ่มวางอาหารก็ให้วางพร้อมกัน เริ่มต้นที่หัวโต๊ะทั้งคู่แล้วค่อยวางไล่ลำดับไป ส่วนเรื่องธรรมเนียมของชาวฟูดินันที่ต้องกินแพะเขาทอง(Golden Horn Goat)ย่างในงานเทศกาลสำคัญ แล้วต้องให้ส่วนหัวใจที่มีอยู่เพียงอันเดียวแก่ผู้ที่สำคัญที่สุดในงาน ก็แน่นอนว่าข้าให้คนเตรียมไว้สามตัวเลย”

ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะกับการแก้ปัญหาของเจ้าหญิงไม่ได้ ทั้งท่านบิชอป ทั้งเขา ต่างก็คิดหาวิธีที่จะแก้ปัญหานี้กันไม่ตกมาหลายวัน เขาไม่คิดว่าเจ้าหญิงจะแก้ปัญหาด้วยวิธีเช่นนี้ เธอช่างเป็นหญิงที่มีความคิดเกินจะคาดเดาจริง ๆ
“ทีนี่เราก็มาคอยลุ้นให้งานในวันมะรืนสำเร็จลงด้วยดีได้แล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสียงใส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายEpi 9 Chapter 1 @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ก.ย. 02, 2009 1:23 pm

เมื่อถึงวันโซลัม ทั่วทั้งฟูดินันก็คราคร่ำไปด้วยฝูงชนจากทั่วทุกสารทิศ ผู้คนจากเผ่าต่าง ๆ ซึ่งบัดนี้ได้เลื่อนระดับกลายเป็นเมืองของอาณาจักรฟูดินันต่างก็เดินทางกันเข้ามาร่วมงานในวันนี้แต่เช้า ภายในเมืองตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ ริ้วธงสัญลักษณ์รูปต้นไม้บนผืนผ้าสีน้ำตาลซึ่งได้กลายมาเป็นธงประจำอาณาจักรโบกสะบัดไปทั่วเมือง ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจกับการสถาปนาอาณาจักร ต่างก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีและสวยที่สุดเท่าที่จะหาได้ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลงทุนทอผ้าผืนใหม่เพื่อจะได้ใส่ฉลองในวันนี้ บนเวทีมีการแสดงของเหล่านักร้องนักเต้นจากเมืองต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปแสดงให้ผู้คนได้ชม ซึ่งก็เรียกเสียงฮือฮา และ เสียงปรบมือจากผู้ชมได้ตลอดเวลา และหากไม่ชมการแสดงบนเวที บริเวณลานกว้างต่าง ๆ ภายในเมืองก็ยังมีการละเล่นต่าง ๆ ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ร่วมสนุกกัน

เมื่อเริ่มสาย เสียงแตรขบวนอาคันตุกะจากแอนดิซองก็มาถึง เสียงกลองระรัวขานรับจากซุ้มประตูเมืองโดยรอบก็ดังกระหึ่มขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทำให้บรรดาชาวบ้านรีบวิ่งกรูกันไปที่ซุ้มประตูเมืองฝั่งทิศใต้ทันที เพราะขบวนอาคันตุกะของแอนดิซองล่องเรือมาเทียบท่าที่เมืองเลียบชายทะเลทางตอนใต้ ก่อนเคลื่อนขบวนขึ้นเหนือมาจนถึงฟูดินัน

บรรดาชาวบ้านต่างก็ตั้งแถวเบียดเสียดยัดเยียดกันตลอดเส้นทางจากซ้มประตูทิศใต้จนมาถึงแถวประรำพิธี เพราะทุกคนต่างก็ได้ยินกิตติศัพท์ความร่ำรวยและมั่งคั่งของแอนดิซองจนอยากจะดูให้เห็นกับตา ทันทีที่เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้งพร้อม ๆ กับเห็นธงสีน้ำเงินโบกสะบัดที่ชายป่าไกล ๆ ทุกคนก็รีบเขย่งปลายเท้ากันสุดตัว

พลแตรของแอนดิซองกว่าห้าสิบนายนำหน้าพลธงของแอนดิซองอีกกว่าร้อยนายเดินตบเท้าเข้าสู่เขตเมือง ทุกคนอยู่ในชุดสีน้ำเงินขาวแลดูงดงามยิ่ง ถัดจากนั้นจึงเป็นขบวนทหารแห่งแอนดิซอง(ANNEDISONGE SOLDER) ที่ลำเลียงของกำนัลซึ่งมีทั้งเงิน ทอง อัญมณี ผ้าแพรเนื้อดี ฯลฯ มาร่วมแสดงความยินดีอีกห้าสิบนาย จากนั้นจึงเป็นรถลากสีขาวขลิบทองซึ่งมีซิสเตอร์ โรซาน่านั่งอยู่ แล้วจบด้วยทหารอีกสิบนาย

ทันทีที่ขบวนอาคันตุกะเคลือนผ่านหน้าไป บรรดาชาวฟูดินันก็จะปรบมือไชโยโห่ร้องต้อนรับพร้อม ๆ กับเสียงพูดคุยวิพากวิจารณ์ถึงความสวยงามของขบวนอาคันตุกะอย่างตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว ขบวนนี้ถูกขอให้ลดความหรูหราลงอย่างมากจากเจ้าหญิงอลาน่า ทั้งนี้เพราะบรรดาสมาชิกสภาทั้งสามต่างก็อยากจะโอ้อวดความร่ำรวยมั่งคั่งของอาณาจักรแอนดิซองให้ชาวอาณาจักรใหม่ได้เห็น เหมือนเป็นการข่มขวัญกลาย ๆ ถึงศักยภาพและความเจริญรุ่งเรือง แต่เจ้าหญิงอลาน่าทรงเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จึงตัดการตบแต่งต่าง ๆ ลงกว่าครึ่งและงดการใช้อัญมณีจำนวนมาก แต่เพียงเท่าที่เป็นอยู่ก็สร้างความตื่นเต้นให้แก่บรรดาชาวฟูดินันที่ไม่เคยเห็นความหรูหราของชาวแอนดิซองได้เป็นอย่างดีแล้ว

เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึงบริเวณประรำพิธีที่จะมีการเลี้ยงฉลองกัน เฒ่าวูจิน ฮารีซัน เจ้าหญิงเรจิน่า วานาอัน และ บิชอปเกรเกอรี่ก็ยืนรอคอยท่าอยู่แล้ว ทันทีที่ซิสเตอร์โรซาน่าก้าวลงจากรถ นักบวชหญิงก็ยอบกายคำนับทุกคนด้วยความอ่อนน้อม ซึ่งทุกคนก็รีบโค้งคำนับซิสเตอร์ทันทีเช่นกัน

“ถวายพระพรเพคะ กษัตริย์ฮารีซัน และขอแสดงความยินดีกับการสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักร สิ่งเหล่านี้เป็นของกำนัลจากอาณาจักรแอนดิซอง” ซิสเตอร์โรซาน่าเอ่ยขึ้น

“ข้าขอฝากคำขอบคุณอย่างจริงใจไปยังอาณาจักรแอนดิซองด้วย แต่ซิสเตอร์อย่าเพิ่งเรียกข้าเช่นนั้นเลย ยอ่างน้อยเวลานี้ข้าก็ยังไม่ได้ประกอบพิธีอย่างเป็นทางการ” ฮารีซันซึ่งยังไม่ชินกับคำราชาศัพท์หรือการเปลี่ยนสถานะตนเอง เมื่อซิสเตอร์ที่ตนให้ความเคารพและเคยให้ความช่วยเหลือเขามาโค้งคำนับจึงรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย

ซิสเตอร์ผู้สูงวัยเมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูและเข้าใจ ก่อนจะหันไปทักทายวูจิน

“ท่านผู้นี้คงจะเป็นท่านวูจิน ฉันได้ยินเรื่องความน่าเคารพและความปราดเปรื่องของท่านมามากมายจากทั้งท่านฮารีซันและบรรดาผู้อพยพ ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสพบกับท่านในวันนี้” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวจบก็โค้งให้

“ข้าก็เป็นเพียงแค่คนแก่ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ข้าเองเสียอีกที่ได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงการอุทิศตนของพวกท่านและของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองที่ช่วยเหลือพวกเราชาวฟูดินันอย่างดี ทั้งยังเคยให้ความช่วยเหลือฮารีซัน หลานชายของข้า ข้าไม่รู้จะกล่าวคำขอบคุณอย่างไรจึงจะเพียงพอ” วูจินกล่าวจบก็โค้งคำนับซิสเตอร์เช่นกัน

“อย่าขอบคุณฉันเลยคะ ท่านผู้เฒ่า พวกเราเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณพระเจ้าเถิดคะ” ซิสเตอร์กล่าวอย่างนอบน้อม

วูจินยิ้มน้อย ๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบคุณพระเจ้าของท่านที่มีผู้รับใช้ที่ดีเช่นนี้” ผู้เฒ่ากล่าวจบก็ใช้มือตบหลังมือของหลานสาวเบา ๆ “ขอให้ข้าแนะนำหลานสาวคนนี้สักหน่อย เขาค่อยข้างจะขี้อาย เอา!วานาอัน ทักทายซิสเตอร์เขาเสียสิ”

“สวัสดีคะ ซิสเตอร์โรซาน่า” หญิงสาวในวัยสิบเจ็ดผู้มีใบหน้างามหมดจดยิ้มอย่างอาย ๆ แก้มเป็นสีแดงเรื่อขึ้นเมื่อเห็นซิสเตอร์ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“ส่วนทางด้านนี้คือเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งฟีเลเซีย ท่านมาช่วยพวกเราตระเตรียมการต่าง ๆ พร้อม ๆ กับท่านบิชอปเกรเกอรี่” วูจินกล่าวแนะนำต่อ

ซิสเตอร์โรซาน่ายอบกายลงอีกครั้ง

“ถวายพระพรเพคะ เจ้าหญิงเรจิน่า ข่าวเรื่องพระปรีชาสามารถและความสง่างามของพระองค์ดังไปถึงอาณาจักรของเราเสมอเพคะ”

“ข่าวของซิสเตอร์และเจ้าหญิงอลาน่าที่เสียสละ อุทิศตนเพื่อผู้ยากไร้ และ ผู้อพยพก็โด่งดังมาถึงฟีเลเซียเสมอ ซึ่งข้ารู้สึกชื่นชมมาก” เจ้าหญิงเรจิน่าซึ่งเวลานี้ทรงงามสง่าราวพญาหงส์ ตรัสตอบ

“ขอบพระทัยเพคะ” ซิสเตอร์ทูล ก่อนจะหันไปหา บิชอปเกรเกอรี่ และยอบกาย “ท่านบิชอป ข่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์และน่าเลื่อมใสของท่านก็โด่งดังไม่แพ้กัน ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสฉันได้เจอท่านด้วย”

“เราก็ต้องขอบคุณพระเจ้าเช่นกันที่มีโอกาสได้พบกับผู้ศักดิ์สิทธิ์เช่นท่าน” บิชอปเกรเกอรี่กล่าวตอบ

และแล้วในขณะที่กำลังทักทายกันอยู่นั้นเอง เสียงแตรเงินอันเป็นสัญญาณแห่งทัพเปกาซัสก็ได้ขึ้น พร้อม ๆ กับฝูงเปกาซัสกว่าร้อยตัวปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าของอาณาจักรฟูดินัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน

cron