Chapter6 เมื่อหิมะละลาย
ที่กราบเรือด้านหน้าซึ่งประดับประดาด้วยบรรดาดอกไม้สีขาวสะอาดตาและริ้วธงหลากสี รูปปั้นของนางไซเรน(Siren)ที่อยู่ตรงหัวเรือนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิดราวกับเป็นคนจริง ๆ นกทะเลนับร้อยตัวบินวนเวียนเหนือผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวดูช่างเป็นภาพที่สวยงามดุจภาพวาดของจิตรกรเอกก็ไม่ปาน
ราชองครักษ์อองเดร ยังคงยืนอย่างมั่นคงองอาจสายตามองออกไปยังท้องทะเลไกลโพ้น ผ้าพันคอผืนขาวพริ้วไสวตามแรงลมดูงามสง่าระหว่างกวาดสายตาตรวจดูความเรียบร้อย พลางก็คิดทบทวนอดีตที่ผ่านมา อดีตที่เขาไม่มีวันลืม อดีตที่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตของเขา และอดีตที่นำพาเขามา ณ จุดนี้ จากเด็กกำพร้าที่ถูกนายทหารเก็บมาเลี้ยง แต่ไม่ใช่การให้ความรักเยี่ยงบุตร เขากลับถูกเลี้ยงดูให้เป็นทหาร ถูกสอนให้อยู่แต่ในกฎระเบียบที่เข้มงวด ให้รับรู้หน้าที่อันสูงสุดคือการจงรักภักดีต่อประเทศชาติและราชวงศ์ ไม่รู้จักความหมายอื่นใด และไม่มีเป้าหมายใดในชีวิต...
ครั้งนั้นเมื่อสัตว์ประหลาดอมาดิลลอน(Armadillon) ห้าตัวพลัดหลงเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยแถบชานเมือง ชาวแอนดิซอง ต่างหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น ทหารราบสองกองร้อยได้รับคำสั่งให้ทำการขับไล่อมาดิลลอนและทำการช่วยเหลือชาวบ้านทันที เหล่าทหารต่อสู้กับอมาดิลลอนอย่างดุเดือด ฝูงอมาดิลลอนที่ตกใจกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้านและอาวุธที่เหล่าทหารพุ่งเข้าใส่ พวกมันจึงอาละวาดหนัก เข้าฟาดฟันใส่ทหารอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะปราบเหล่าอมาดิลลอนลงได้ก็ใช้เวลาถึงสองชั่วโมง มีทหารบาดเจ็บหลายสิบนาย พยาบาลและคณะซิสเตอร์ต่างก็ออกช่วยเหลือทหารและชาวบ้านอย่างรวดเร็ว พลทหารอองเดรซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปียังเป็นเพียงทหารราบชั้นผู้น้อย และไม่เคยเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริงมาก่อน ภารกิจแรกของทหารใหม่ หากศึกแรกได้รับชัยชนะนั่นหมายถึงการสอบผ่านการเป็นนักรบที่แท้จริง แต่หากได้รับความพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายถึงความล้มเหลวแห่งการฝึกฝนอันยาวนาน และยิ่งกับพลทหารใหม่ มันช่างไม่ต่างกับมดปลวกที่แค่ออกไปตายอย่างไร้ค่าเท่านั้น แม้นายทหารอองเดรจะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมแต่ทว่าความอ่อนประสบการณ์ และโชคที่ไม่เข้าข้าง เขาพลาดพลั้งถูกผลึกน้ำแข็งของอมาดิลลอนแทงทะลุสีข้างบาดเจ็บสาหัส และก่อนที่เจ้าอมาดิลลอนยักษ์จะตรงเข้าสังหารเขา นายกองก็ได้เข้าสังหารเจ้าสัตว์ร้ายบ้าคลั่งเสียก่อนที่มันจะสังหารเขา แต่มิใช่เพื่อช่วยเหลือเขาหากเพียงแค่เข้าฉวยจังหวะเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายมัวสะใจกับเหยื่อตรงหน้าเท่านั้น นายทหารชั้นเลวนอนรอความตายด้วยความเจ็บปวดทั้งใจและกายอย่างแสนสาหัสเคียงข้างซากเจ้าสัตว์ยักษ์โดยไม่มีใครใส่ใจ สภาพของทหารยศต่ำสุดนอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดคงจะถูกมองว่าเกินเยียวยา การรักษาย่อมมีให้แก่ผู้ที่ยศสูงกว่าและผู้ที่พอมีหวังรอดมากกว่า พลทหารหนุ่มใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดยันกายขึ้นนั่งพิงซากเจ้าสัตว์ยักษ์ขนปุย หอบหายใจรวยริน เพื่อจะบอกว่าเขายังมีแรงพอจะลุกได้ เขายังไม่ตาย แต่ภาพเบื้องหน้าคงมีแต่การวิ่งวุ่นของเหล่าทหารที่แบกร่างของเพื่อนที่บาดเจ็บ ภาพของเหล่านักบวชจำนวนน้อยนิดที่พยายามใช้พลังรักษาทหารบาดเจ็บนับสิบที่ร้องครวญคราง บางคนหันมามองเขาแต่เมื่อพิจารณาได้สักพักก็ส่ายหน้า ก่อนเดินผละจากไปรักษาผู้อื่น
‘เราคงต้องตายแบบนี้แน่..........’ พลทหารอองเดรคิดในใจ
เขาไม่ใช่คนจำพวกที่จะร้องขอชีวิตหรือร้องขอความช่วยเหลือ เพราะเขาคิดว่าหากการร้องขอนั้นถูกปฎิเสธคงเป็นความอัปยศอย่างที่สุด ความหดหู่ใจและความสิ้นหวังได้ทำให้เขาเลือกทางที่จะตายอย่างทรนง คงจะเป็นเพียงสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจำต้องเลือกยอมรับในขณะนี้
ระหว่างที่ตัดสินใจนั่งรอความตายที่กำลังก้าวกระชั้นเขาเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่ เขารีบหันไปยังทิศทางนั้นทันที ชั่วขณะนั้นใจของเขาก็หล่นวูบตกประหม่าในทันใดเมื่อเห็นเจ้าหญิงน้อยอลาน่าทรงยืนขมวดคิ้วจ้องมองบาดแผลของเขาอยู่
“พระอาญามิพ้นเกล้า..... ทรงเสด็จมาทำอะไรที่นี่ ที่นี่อันตรายมาก.... พระองค์”นายทหารกล่าวเสียงแผ่ว
อลาน่าน้อยทรงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ยิ้มจนดวงเนตรเล็กหยีตรัสว่า “ฉันมากับซิสเตอร์โรซาน่าจ้ะ ซิสเตอร์มาช่วยคนบาดเจ็บ ซิสเตอร์อยู่ตรงนู้น” เจ้าหญิงน้อยทรงชี้พระหัตถ์ไปอีกฟากของถนน เขาจึงเห็นแม่ชีรูปหนึ่งกำลังใช้พลังรักษาทหารที่บาดเจ็บนายหนึ่งอยู่ น้อยทรงหันพระพักตร์กลับมา คิ้วน้อย ๆ ขมวดกันอีกครั้ง แววเนตรแสดงออกซึ่งความห่วงใย
“คุณทหารก็บาดเจ็บเหมือนกัน คุณทหารท่าทางเจ็บมากนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะรักษาให้ ฉันรักษาเป็นนะ ฉันเห็นซิสเตอร์ทำบ่อย ๆ ” ว่าแล้วเจ้าหญิงน้อยก็ทรงรีบเอาพระหัตถ์แตะที่บาดแผลของเขา ทหารหนุ่มตกใจเป็นกำลังรีบเขยิบออกห่าง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากบาดแผลจนเขาชะงักค้าง คิ้วขมวดเกร็งกัดฟันแน่น ก่อนจะกล่าวเสียงแหบพร่า
“องค์หญิง...... กระหม่อม.......จะทำให้พระหัตถ์สกปรก.........”
บุรุษผู้ถูกสอนมาชั่วชีวิตว่าประเทศชาติและราชวงศ์สำคัญยิ่งชีพ ณ บัดนี้เบื้องหน้าเขาคือเจ้าชีวิตผู้สูงส่งเทียมฟ้า ทรงเอียงพระเศียรเกิดความสงสัยในแววเนตร ก่อนจะทรงขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม
“ไม่สกปรกหรอกจ้ะ แต่คุณทหารอย่าขยับอีกนะ คุณทหารต้องเจ็บมากแน่ ๆ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่”
พระหัตถ์น้อย ๆ ของเจ้าหญิงเอื้อมมาจับที่ไหล่อันอ่อนแรง พร้อมกับทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์นั้นลูบที่หัวไหล่อย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจของพลทหารผู้สิ้นหวัง
“ทำใจดี ๆ ไว้นะจ๊ะ อดทนไว้นะจ๊ะ”
เสียงอันอ่อนโยนกับพระหัตถ์ที่อบอุ่น ทำให้พลทหารหนุ่มเกิดความรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างประหลาดไหลซ่านเข้ามายังร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดเริ่มคลายลง ดวงตาสีฟ้าจางๆ ของเขาคลอไปด้วยน้ำตา
เจ้าหญิงน้อยทรงยิ้มอย่างเมตตา คุกเข่าลงเคียงข้าง เลื่อนพระหัตถ์มาที่บาดแผลของเขา เลือดที่ไหลออกมาโดนอาภรณ์ล้ำค่าของเจ้าหญิง พระหัตถ์นุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและคราบดิน เจ้าหญิงน้อยทรงหลับเนตร ความสว่างสดใสอันอบอุ่นดูเหมือนกับแผ่ออกมาจากร่างบอบบางนั้น แต่ด้วยวัยเพียงหกชันษาเจ้าหญิงน้อยจึงมิอาจคงพลังแห่งการรักษาไว้ได้ แสงจึงค่อย ๆ จางลงไป
“แย่จริง คงต้องลองใหม่ ขอโทษนะจ๊ะ ฉันเองเพิ่งเคยลองทำจริง ๆ ครั้งแรก”
เจ้าหญิงทรงยิ้มก่อนจะทรงหลับเนตรลงอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ ก็ไม่ต่างจากครั้งแรก เจ้าหญิงทรงขมวดคิ้วน้อย ๆ มองหน้านายทหารหนุ่มอีกอย่างเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแสงสว่างและพลังอันอบอุ่น ดูจะไหลผ่านเข้ามาในร่างที่บาดเจ็บนั้นแต่เพียงชั่วครู่ก็จางลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าหญิงไม่ทรงลืมตาขึ้นหากแต่เริ่มตั้งสมาธิใหม่ทันที แสงสว่างสดใสขึ้นมาก่อนจะจางลง และเริ่มสว่างอีก