Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. มี.ค. 28, 2024 11:28 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter5 เสด็จสู่เมืองท่า @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter5 เสด็จสู่เมืองท่า @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:07 am

Chapter5 เสด็จสู่เมืองท่า


ไกลออกไปยังดินแดนโพ้นทะเลทางใต้สุดของทวีปเมอร์รีเซีย ดินแดนที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมกินอาณาบริเวณกว้างถึงครึ่งประเทศ หากทว่าความหนาวเย็นของน้ำแข็งนี้กลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนในประเทศแม้แต่น้อย แอนดิซอง(Annedisonge) ประเทศที่การค้าและการประมงนำมาซึ่งความร่ำรวยและมั่งคั่ง ผู้คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่อย่างหรูหรา มีการปกครองด้วยระบอบสามสภา คือ สภาขุนนางซึ่งขึ้นตรงกับราชวงค์ สภาศาสนา และ สภาการค้าวาณิช

ประเทศ แอนดิซอง แบ่งพื้นที่ของประเทศออกเป็นสองส่วน โดยเรียกส่วนที่ใหญ่กว่าว่า แอนดิซองแผ่นดินใหญ่ (Annedisonge Mainland) และ เรียกส่วนที่เป็นเกาะว่า เมืองท่าแอนดิซอง (Annedisonge Portland) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง หากแต่ว่ามีมังกรยักษ์จอร์มันกาน์ด(Jormungand) มังกรยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาลและดุร้ายว่ายผ่านระหว่างเกาะเมืองท่าและแผ่นดินใหญ่ โดยจะหลับจำศีลในถ้ำใต้ทะเลเป็นเวลาสี่เดือนต่อปี

ณ แอนดิซองแผ่นดินใหญ่ ทั่วทั้งอาณาจักรถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ประชาชนต่างก็นำธงชาติ แอนดิซองมาติดที่หน้าบ้านของตน โดยเฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางหลักที่มุ่งตรงจากปราสาทล้วนตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่แข่งกันแย้มบานอวดสีสันอย่างงามตา ทั้งริ้วธงหลากสีที่พากันพริ้วไสวหยอกล้อกับสายลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระลอก หน้าบ้านแต่ละหลังถูกตกแต่งอย่างเต็มที่ราวกับจะประกวดประชันขันแข่งกันก็มิปาน ผู้คนมากมายต่างก็หยุดพักงานและสวมชุดที่ดีที่สุดของตนออกมายืนตั้งแถวอยู่ริมสองข้างทางอย่างไม่กลัวความหนาวเย็น แต่ละคนต่างก็ชะเง้อหน้ามองตามเส้นทางที่ทอดออกมาจากปราสาทอย่างใจจดใจจ่อราวกับกลัวจะพลาดเสี้ยววินาทีสำคัญ

แม้ภายในเมืองจะถูกตกแต่งสวยงามเพียงใดก็ยังมิอาจเทียบเท่ากับภายในปราสาทที่ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตายิ่งกว่า เสาหินอ่อนสีฟ้ามันวาวทุกต้นถูกพันร้อยด้วยโซ่ทองถักทอเป็นลวดลายแปลกตา ที่บนยอดเสาแต่ละต้นมีดอกไม้เมืองหนาวพันธุ์หายากหลายหลากสี ซึ่งดอกไม้เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้แม้บนน้ำแข็งหนา กลิ่นของมวลดอกไม้ส่งกลิ่นหอมที่ยิ่งกว่าความหอมใด ๆ ไปทั่วบริเวณปราสาท มีการนำภาพทั้งสีน้ำ สีน้ำมัน ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของอาณาจักร ศาสนา บรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงในราชนิกูล บทกวี ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาจักร ซึ่งวาดโดยช่างฝีมือเอกทั่วอาณาจักรมาตกแต่งบนผนังตามระเบียงเรื่อยจนถึงโถงทางเดิน มีการนำต้นไม้น้ำแข็ง หรือจะเรียกให้ถูกก็คือน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปต้นไม้แล้วใช้ผลึกน้ำแข็งมาติดทำเป็นใบ ส่วนดอกก็ทำจากอัญมณีหลากสีทั้งเพชร พลอย และบุษราคัม มาวางไว้ตามจุดต่าง ๆ โดยรอบปราสาท เมื่อแสงแดดส่องกระทบผลึกน้ำแข็งและอัญมณีก็สะท้อนประกายแสงสาดส่องระยิบระยับไปทั่วปราสาททั้งหลัง


*****************


ณ ท้องพระโรงที่ตั้งอยู่ใจกลางปราสาทขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชชายหญิงกว่าพันคนยืนเรียงแถวตามลำดับยศซ้อนแถวชั้นแล้วชั้นเล่าไปจนสุดฟากผนังทั้งสองด้าน โดยแบ่งออกเป็นสองฝั่งเว้นช่องทางเดินตรงกลางห้องที่ปูด้วยกลีบดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์แล้ววางทับด้วยแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ เพื่อไม่ให้กลีบดอกไม้ปลิวออกไป ทั้งยังทำให้กลีบดอกไม้แลดูแวววาวราวกับอัญมณีอีกด้วย บนเพดานมีโคมระย้าที่ทำจากผลึกน้ำแข็งขนาดมหึมาแขวนไว้ ที่ระเบียงชั้นสองเหนือขึ้นไปทั้งสองฝั่งท้องพระโรงมีคณะนักขับเพลงนับพันคนอยู่ในชุดคลุมสีขาวมันวาว สวมทับด้วยเสื้อตัวหลวมสีฟ้าน้ำทะเลสดใสปล่อยชายยาวแค่เอว ทุกคนถือคทาเล็ก ๆ ความยาวประมาณฟุตครึ่งที่ปลายมีดวงไฟเวทย์สีฟ้าเงินลุกโชนอยู่ ทำให้ท้องพระโรงดูสว่างไสวเย็นตา ทั้งหมดกำลังร้องประสานเสียงเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เหนือขึ้นไปบนบัลลังก์ทองคำ กษัตริย์เอ็ททิเอ็น (King Etienne) และ ราชินีคอรัลลี่ (Queen Coralie) ประทับอยู่เคียงข้างกันบนบัลลังก์อย่างสง่า หน้าบัลลังก์นั้นมีแท่นทองคำเตี้ย ๆ ที่สลักเป็นลวดลายมังกรยักษ์จอร์มันกาน์ด พันรอบแท่นนั้นอย่างสวยงามตั้งอยู่ เยื้องไปทางซ้ายของบัลลังก์พระที่นั่ง คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ (Marsillio, Cardinal of Annedisonge) ยืนอยู่ในชุดคลุมขาวมีเสื้อสีแดงสดเข้มสวมทับอีกชั้นนึง มีหมวกคาร์ดินัลบนศีรษะ ในมือถือคทาประจำตำแหน่งที่หัวคทาส่องประกายแวววาว คาร์ดินัลรวมทั้งทุก ๆ คนในท้องพระโรงต่างหันหน้าไปทางประตูท้องพระโรงบานใหญ่ที่สูงจรดเพดาน

เมื่อกษัตริย์เอ็ททิเอ็นทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณทหารสี่นายก็เปิดประตูออก ช่องบานประตูที่ค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ เผยให้เห็นเด็กสาวสูงศักดิ์วัยสิบสี่ชันษาผู้งดงามหมดจดในชุดสีฟ้าครามยาวเปิดไหล่ซึ่งช่วยขับผิวผ่องให้ขาวราวหิมะ บนศีรษะมีหมวกใบเล็ก ๆ สีขาวปักสัญลักษณ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังของหมวกมีผ้าสีขาวเนื้อบางเบาปล่อยชายยาวคลุมผมไว้ เด็กสาวค่อย ๆ เยื้องย่างไปตามทางเดินอย่างแช่มช้อยหากแต่มั่นคง เพลงประสานเสียงจากคณะนักขับเพลงก็ดังก้องยิ่งกว่าเดิม เพิ่มบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระราชพิธีมากขึ้น ทุก ๆ ย่างก้าวที่เธอเดินผ่านไปบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชก็จะย่อตัวคำนับลงอย่างพร้อมเพรียงกัน และเมื่อมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พระที่นั่งแล้วจึงคุกเข่าลงบนแท่นที่ถูกจัดเตรียมไว้ กษัตริย์และราชินีต่างทรงยิ้มให้เจ้าหญิงวัยเยาว์อย่างอ่อนโยนรักใคร่ คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้จึงก้าวออกมายืนต่อหน้าเจ้าหญิง เสียงขับร้องบัดนี้ได้เงียบเสียงลงแล้ว คาร์ดินัลจึงประกาศเสียงดังก้องว่า

“ขอพระองค์โปรดให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระเจ้า โดยมีสภาขุนนาง สภาศาสนา และ สภาการค้าวาณิช เป็นพยานว่าพระองค์จะถือซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระมหากษัตริย์ และประเทศแอนดิซอง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter5 เสด็จสู่เมืองท่า @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:08 am

“เรา อลาน่า มารี ชาริเต้ (Alana Marie Charite`) ขอให้คำสัตย์ว่า เราจะไม่กระทำการใด ๆ อันนำความเสื่อมเสียมาให้แก่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ ทั้งจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวแอนดิซองเป็นอย่างดี”

“จงรับเครื่องหมายแห่งคำสัตย์ของพระองค์”

พอสิ้นคำ คาร์ดินัลก็ส่งถ้วยศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามให้ เมื่อเจ้าหญิงทรงรับถ้วยศักดิ์สิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์สิลิโอจึงกล่าวต่อว่า “และบัดนี้ ในนามของพระผู้เป็นเจ้า จงรับมงกุฎนี้เพื่อแสดงถึงอำนาจอาญาสิทธิ์ของพระองค์”

คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ค่อย ๆ วางมงกุฎทองคำสลักลวดลายอย่างสวยงามลงบนพระเศียรของเจ้าหญิงอลาน่า เมื่อทำพิธีสวมมงกุฎเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินหลบไปทางด้านข้าง กษัตริย์เอ็ททิเอ็นจึงทรงยืนขึ้น พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี ทรงปรกพระหัตถ์เหนือ เจ้าหญิงอลาน่า รับสั่งว่า

“เรา เอ็ททิเอ็น กษัตริย์แห่งแอนดิซอง ขอแต่งตั้งเจ้าหญิงอลาน่าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งเราไปปกครอง เมืองท่าแอนดิซอง คำพูดของเจ้าหญิงอลาน่าก็คือคำพูดของเรา การตัดสินใจของเจ้าหญิงอลาน่าก็คือการตัดสินใจของเรา และเราขอแต่งตั้ง อองเดร ออเนอเร่ (Andre Honore`) เป็น ราชองครักษ์ประจำตัวเจ้าหญิงอลาน่า และ ซิสเตอร์ โรซาน่า (Sister Rosana) ในฐานะราชครูประจำพระองค์ โดยให้ทั้งสองตามเสด็จไป เมืองท่าแอนดิซอง ด้วย”

สิ้นคำกษัตริย์แห่งแอนดิซอง อองเดร ออเนอเร่ นายทหารวัยฉกรรจ์สูงสง่าในชุดเสื้อเกราะสีฟ้าครามเป็นประกายเงาวับก็ก้าวออกมาจากแถวอย่างหนักแน่นและรวดเร็ว ผ้าพันคอสีขาวปล่อยชายยาวจรดพื้นโบกสะบัด ผมยาวสีทองตัดกับเสื้อเกราะแลดูเป็นประกายไม่แพ้ความเงาของเสื้อเกราะเลย เขาย่อเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้าบัลลังก์ถัดไปทางด้านหลังของ เจ้าหญิงอลาน่าด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้หน้ากากมิได้แสดงอาการใด ๆ หากแต่ดวงตานั้นฉายประกายแห่งความปิติและมุ่งมั่นออกมาอย่างชัดเจน ข้างฝ่ายซิสเตอร์โรซาน่านั้นกลับค่อย ๆ ก้าวออกมาอย่างนอบน้อม ชุดสีน้ำเงินเข้มขลิบเหลืองที่คลุมร่างเรียบร้อยมิดชิด และตราสัญลักษณ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าของหมวกคลุมผมสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้นักบวชหญิงคู่นี้ดูอบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ใบหน้าของซิสเตอร์เจือรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับรับคำบัญชา


ตลอดทางไม่ว่าขบวนเสด็จของ เจ้าหญิงอลาน่าจะ ผ่านไปที่ใด ประชาชนชาวแอนดิซองมากมายก็จะโบกธงและโปรยกลีบดอกไม้สีขาวเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงอันเป็นที่รักของพวกเขา กลีบดอกไม้ขาวที่ร่วงลงมาดูราวกับฝนดอกไม้ขาวบริสุทธิ์โปรยปรายไปทั่วอาณาจักร เมื่อเจ้าหญิงอลาน่าทรงโบกพระหัตถ์ไปทางใด ประชาชนที่อยู่ฟากนั้นก็จะโห่ร้องอย่างยินดีกล่าวคำสรรเสริญกันสุดเสียง

“ไชโย!แด่เจ้าหญิงอลาน่า ไชโย!แด่เจ้าหญิงผู้งามเพรียบพร้อม”

เมื่อขบวนเสด็จมาถึงท่าเรือก็ปรากฏฝูงชนนับหมื่นมารอส่งเสด็จ เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มให้พลางโบกพระหัตถ์เป็นการขอบคุณประชาชนที่ตามมาส่งแล้วจึงหันมากอดพระบิดาและพระมารดาเป็นการร่ำลา ดวงเนตรสีเทาอมฟ้าบัดนี้มีน้ำใส ๆ ขึ้นเอ่อคลอ เจ้าหญิงยังทรงยิ้มหากแต่ริมฝีปากบางสั่นน้อย ๆ

ราชินีคอรัลลี่ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัสแก้มนวลของเจ้าหญิงอลาน่าอย่างอ่อนโยน น้ำตาหยาดน้อยค่อยๆไหลออกมา “ลูกรัก การจากกันครั้งนี้มิใช่ลาจากกันชั่วชีวิต จงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี แม่จะสวดภาวนาให้ลูกเสมอ”

เจ้าหญิงอลาน่าทรงพยายามกระพริบตาเพื่อไล่หยดน้ำที่เออขึ้นมาบดบังภาพพระบิดาและพระมารดา น้ำเนตรยังคงเอ่อล้นขึ้นมาไม่หยุด พระองค์ตรัสเสียงสั่น “ลูกก็จะสวดภาวนาให้เสด็จพ่อ เสด็จแม่เสมอเพคะ”

กษัตริย์เอ็ททิเอ็นดวงเนตรเปียกชื้น ทรงกอดพระธิดาไว้แน่น “ลูกรักของพ่อ ภารกิจนี้ใหญ่หลวงสำหรับเจ้านัก หากเป็นไปได้พ่อคง....”

เจ้าหญิงอลาน่าทรงแตะแขนพระบิดาเบา ๆ พลางยิ้มให้แม้ดวงเนตรยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ “ลูกเข้าใจเพคะ ลูกจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี ไม่ให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องทรงผิดหวัง”

ทันใดนั้นเสียงแตรสัญญาณจากเหล่าทัพเรือก็ดังขึ้น อันเป็นสัญญาณแห่งการจากลาของบุคคลทั้งสาม เจ้าหญิงทรงรีบเช็ดคราบน้ำตาออกโดยเร็ว ทรงกอดพระบิดาพระมารดาอีกครั้งอย่างแนบแน่นเนิ่นนานราวกับจะประวิงเวลาแห่งการจากลาไว้ พระองค์หลับเนตรแน่นพยายามจดจำไออุ่นของทั้งสองพระองค์ ในที่สุดเจ้าหญิงน้อยแห่งแอนดิซองก็ทรงปล่อยพระกรขยับองค์ออกห่างบุคคลที่รักยิ่งทั้งสอง บัดนี้พระองค์พร้อมแล้วสำหรับการเป็นผู้คานอำนาจสภาการค้าวานิชที่เมืองท่าแอนดิซอง เจ้าหญิงเสด็จขึ้นเรือรบแอนดิซอง(Annedisonge’s Battleship) ไปสมทบกับคณะผู้ติดตาม ซิสเตอร์โรซาน่าและอองเดร ออเนอเร่ก็ยืนรอรับเสด็จอยู่ด้านหน้าของกาบเรือด้วย เรือรบค่อย ๆ บ่ายหน้าออกสู่ทะเลโดยมีเสียงถวายพรของบรรดาประชาชนดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์และเกลียวคลื่น

เมื่อเรือรบเคลื่อนออกจากท่าได้ประมาณห้าเมตร เหล่าทหารเงือก (Merman Trooper) หนึ่งกองร้อยนำโดย ผู้บัญชาการเงือก อีริค (Eric, Merman Commander) เงือกหนุ่มผู้อยู่ในชุดเสื้อเกราะสีฟ้าดูองอาจปราดเปรียว ในมือขวาถือหอกสามง่าม พุ่งตัวสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็วขึ้นว่ายนำขบวนเสด็จ

ดวงเนตรของเจ้าหญิงอลาน่ายังทรงจับจ้องแผ่นดินบ้านเกิดที่ค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งขอบแผ่นดินหายลับไปเหลือแต่ท้องทะเลเวิ้งว้าง เจ้าหญิงจึงได้สังเกตเห็นกองทัพเงือกที่ว่ายนำหน้าเรือรบพระองค์จึงตรัสเปรยกับท่านราชครู

“เมืองท่าก็อยู่ไม่ไกลนัก ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้กองทัพเงือกนำหน้าขบวนเลยคะซิสเตอร์”

ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มให้อย่างเอ็นดู “พระองค์ไม่ชอบกองทัพเงือกหรือเพคะ?”

“กองทัพเงือกเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในบรรดาเหล่าทัพทั้งสามของแอนดิซอง กองทัพเงือกเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดและเก่งที่สุดใคร ๆ ก็ทราบดี” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสตอบพลางหันพระพักตร์เลี่ยงไปอีกทาง

“พระองค์ตอบไม่ตรงคำถามนะเพคะ” ซิสเตอร์ยิ้มอย่างรู้ทัน

อองเดร ซึ่งเผอิญได้ยินการสนทนาของทั้งสองเข้า จึงรีบทูลขึ้นทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter5 เสด็จสู่เมืองท่า @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:09 am

“เพราะพระองค์เป็นบุคคลสำคัญของชาวแอนดิซอง ความปลอดภัยของพระองค์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่ใช้ทหารเงือกจึงเป็นสิ่งสมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านอองเดร......” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวหยอก

“ไม่มีชาวแอนดิซองคนใดจะไม่รักและภักดีต่อเจ้าหญิงผู้เป็นดังแม่พระของประชาชนได้”อองเดรกล่าวแก้ เสียงเย็นชา

เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มประหม่าเล็กน้อย แก้มงามมีสีเลือดฝาดขึ้น ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตนว่า

“ฉันไม่ได้ดีงามสูงส่งถึงเพียงนั้นหรอกจ้ะ ฉันเพียงแต่ทำสิ่งเล็กน้อยเท่าที่พอจะทำได้เพื่อประชาชนยากจนที่น่าสงสาร และเพื่อพระเจ้าเท่านั้น”

“เจ้าหญิงที่ลงมือตักอาหารแจกคนจนด้วยพระองค์เองทุกเย็น ทรงเรียกว่าเล็กน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่ลงสัมผัสจับต้องคนป่วยข้างถนนที่สกปรก เพียงเพราะคิดว่าจะทำให้คนชั้นต่ำเหล่านั้นได้มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ โดยทนรังเกียจ.........”

เสียงของนายทหารผู้เยือกเย็น ค่อย ๆ คุกรุ่นด้วยอารมณ์หงุดหงิด ในทันใดก็ถูกขัดด้วยเสียงนุ่ม อ่อนโยน

“ฉันไม่เคยนึกรังเกียจพวกเขา ฉันได้เคยบอกเธอหลายครั้งแล้วนะอองเดร ทุกคนคือบุตรของพระเจ้า แม้คนที่ต่ำต้อยที่สุดก็มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ฉันเองมองเขาเหล่านั้นไม่ต่างจากคนร่ำรวย และไม่ต่างจากเธอ หรือตัวฉันเอง”

“พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมเพียงแต่อดโมโหไม่ได้ ที่เห็นพระองค์ต้องตกระกำลำบากเพื่อผู้อื่น ทั้งที่ไม่จำเป็น คนเหล่านั้นเพียงให้ข้าวของเครื่องใช้บริจาคก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องลดองค์ลงลำบากเองเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มก้มหน้า ทูลอย่างหงุดหงิดใจ

“อองเดรจ๊ะ” เจ้าหญิงตรัสพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา “ถ้าเธอคิดว่าคนจน ขาดแต่เพียงข้าวของ และอาหาร เธอก็เข้าใจผิดอย่างมหันต์ สิ่งที่คนจน คนป่วย โดยเฉพาะคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างถนน ผู้เป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของคนทั่วไป ขาดแคลนที่สุด ก็คือการให้เกียรติในฐานะมนุษย์ จากมนุษย์ด้วยกันต่างหาก”

เมื่อเห็นว่าอองเดรยังคงก้มหน้า ไม่โต้เถียง เจ้าหญิงจึงรับสั่งต่อ

“ฉันคิดเสมอว่าที่พระเจ้าให้ฉันเป็นเจ้าหญิง ไม่ใช่เพื่อให้ฉันอยู่เหนือพวกเขา แต่เพราะทรงต้องการให้ฉันได้มีโอกาสช่วยพวกเขาได้มากกว่าคนอื่น”

“กระหม่อมอยากให้พระเจ้าเลือกคนอื่นเพื่อทำหน้าที่นี้ ทำไมจะต้องเป็นเจ้าหญิง.............” อองเดรกล่าวทูล พลางมองไปยังซิสเตอร์โรซาน่า ซึ่งยืนอยู่ถัดไป เจ้าหญิงทรงยิ้ม

“ฉันเองได้บอกเธอหลายครั้งแล้วเหมือนกันนะจ๊ะ ว่าฉันเองไม่ได้จำใจหรือทุกข์ทรมานที่ทำสิ่งเหล่านี้ ฉันเองมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำแบบนี้ มากกว่าการออกงานเต้นรำ มากกว่าการจับจ่ายซื้อของหรูหรา ฉันเบื่อเรื่องพวกนั้นตั้งแต่จำความได้ แต่รอยยิ้มกับแววตาที่มีประกายแห่งความหวัง ของประชาชนที่น่าสงสารเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ใจฉันชุ่มชื่นเหลือเกิน อองเดรจ๊ะ ฉันอยากให้เธอเข้าใจเหลือเกินว่า ความรู้สึกที่ว่าชีวิตมีค่าเมื่อได้กระทำสิ่งดี ๆ ให้ผู้อื่นมันเป็นอย่างไร ฉันอยากให้เธอเห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ ที่กินขนมปังอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่มันเป็นของเหลือทิ้งจากงานเลี้ยงที่กินทิ้งกินขว้างกันมากมาย ฉันไม่เคยเห็นความสุขที่แสนเรียบง่ายแต่น่ารักแบบนั้นจากในวัง ฉันไม่อยากพลาดโอกาสนั้นจนฉันอดไม่ได้ที่จะเป็นคนมอบอาหารและความสุขเหล่านั้นให้พวกเขาด้วยตัวฉันเอง”

“กระหม่อมเพียงอยากให้เจ้าหญิงทรงรักตัวพระองค์เองบ้าง มิใช่เพียงแต่รักพวกคนจน” อองเดรกราบทูลอย่างจนใจ

“ฉันรักตัวเองเสมอจ้ะ และฉันก็รักทุก ๆ คนเท่า ๆ กับที่ฉันรักตัวเอง”เจ้าหญิงตรัสตอบ

“กระหม่อมไม่เข้าใจ............”

“คนดีมีความสุขเมื่อทำความดี และเมื่อเขาทำความดีเขาจะรู้สึกว่าทำง่ายกว่าทำความชั่ว ตรงข้ามกับคนชั่ว เขาจะมีความสุขเมื่อทำความชั่ว และรู้สึกว่าการทำความดีช่างยากเย็นนัก..... นั่นคือเหตุผลที่คนดีชอบทำดี คนชั่วก็ชอบทำชั่ว”เสียงอันราบเรียบสุขุมดังขึ้นจากแม่ชีผู้ซึ่งมองทอดสายตาไปยังท้องทะเลสีฟ้าอมเขียวโดยไม่หันมามองคนทั้งสอง “น่าดีใจที่แอนดิซองมีเจ้าหญิงเช่นนี้มิใช่หรือคะ? ท่านอองเดร”

นายทหารในชุดเกราะน้ำเงิน นิ่งเงียบ เขามิใคร่ชอบนักบวชหญิงผู้นี้นัก เขาถือเอาว่าซิสเตอร์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าหญิงที่เขาเทิดทูนยิ่ง หลงใหลในภารกิจที่หนักหนาสาหัส และยากลำบากโดยไม่จำเป็น เจ้าหญิงอลาน่า ทรงเห็นบรรยากาศไม่สู้ดี จึงรับสั่งขึ้นว่า

“เอาเถิดจ้ะ ฉันจะระวัง และคิดถึงตัวเองบ้าง ฉันขอรับรองเพื่อให้เธอสบายใจนะจ๊ะ ว่าฉันมีความสุขกายสบายใจดี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ และฉันดีใจที่เธอเป็นห่วงฉันเสมอ”

องครักษ์เกราะน้ำเงิน โค้งคำนับ ดวงตาที่ลอดออกมาจากหน้ากากเหล็ก หรี่ลง เหมือนกับกำลังยิ้มแต่ก็เพียงแค่แว่บหนึ่งเท่านั้น

“เสด็จเข้าข้างในเถิดเพคะ เจ้าหญิง” ซิสเตอร์กล่าวพร้อมจับพระหัตถ์ เจ้าหญิงทรงยิ้มให้อองเดรเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเดินเคียงกับซิสเตอร์โรซาน่าเข้าไปภายในเรือ พอเริ่มคล้อยหลัง ซิสเตอร์ก็กล่าวขึ้นอย่างนึกขัน

“ราชองครักษ์ อองเดร ออเนอเร่ ขึ้นชื่อนักเรื่องความสุขุมเด็ดขาด เย็นชา จนคนขยาดไปทั่ว แต่เมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องของเจ้าหญิง กลับร้อนรน พูดเป็นต่อยหอย”

“ซิสเตอร์ พูดเปรียบแบบนั้นได้ยังไงกันคะ ถ้าอองเดรได้ยินเข้าคงโกรธแย่” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มขัน

“นั่นสินะ เวลาเขาโกรธนี่น่ากลัวนัก เมื่อสามวันก่อน ตอนที่มีขุนนางกลุ่มของท่านเสนาบดีการค้าสินค้าเวทมนตร์กล่าวนินทาพระองค์ในงานเลี้ยงกลางแจ้งที่อุทยานวังหน้า ท่านอองเดรได้ยินเข้าก็คว้าดาบผลึกน้ำแข็งฟาดโต๊ะหินอ่อนที่สามคนนั้นนั่งขาดเป็นสองท่อนแล้วบอกว่าขออภัยดาบหลุดมือ แต่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์กล่าวว่านัยน์ตาท่านอองเดรเหมือนจะฆ่าสามคนนั้นมากกว่า”

ซิสเตอร์กล่าวปนขัน เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มพลางถอนพระทัย “โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ...... ไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลย เพราะจะทำให้คนกลัวเขามากขึ้น อีกอย่างถึงคนจะนินทาว่าร้ายเราอย่างไร ถ้าเราไม่เป็นแบบที่เขาว่าเราก็ไม่ต้องเดือดร้อน จริงไหมคะ..?”

“เจ้าหญิงเพคะ ในสายตาของขุนนางพวกนั้นก็ไม่พ้นการดูถูกสิ่งที่พระองค์ทำ เป็นเพียงการกระทำของสตรีสูงศักดิ์ที่อยากทำอะไรแปลก ๆ เพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น ยิ่งพระองค์ไม่ค่อยสมาคมกับพวกเขา เขาก็ยิ่งหาว่าพระองค์เข้าใจยาก และที่ทำก็เพราะต้องการเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน”

เจ้าหญิงสีพระพักตร์สลดลง “ทำไมพวกเขาคิดกันเป็นแต่เรื่องเลวร้ายแบบนี้นะ? ทำไมไม่มีใจนึกสงสารคนอื่นบ้าง? ความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์มีค่าต่อพวกเขาแค่เพียงเรื่องคะแนนนิยม กับการเอาหน้าเท่านั้นหรือ? แอนดิซองเรามีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงมาก และพวกเขานอกจากไม่ใส่ใจแก้ไขแล้ว ยัง........”

“เป็นธรรมดาของขุนนาง และนักการเมืองเพคะ ที่เมืองท่าซึ่งเต็มไปด้วยพ่อค้า และเหล่าขุนนางร่ำรวย เราคงต้องเผชิญสิ่งที่หนักหนากว่านี้” ซิสเตอร์กล่าวพร้อมกุมพระหัตถ์ของเจ้าหญิงแน่น เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มออกมา ในแววตาฉายแววแห่งความมุ่งมั่น และพร้อมต่อสู้กับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน

cron