Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อังคาร เม.ย. 23, 2024 7:27 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 4 เตรียมการรบ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 4 เตรียมการรบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:03 am

Chapter 4 เตรียมการรบ



ในขณะที่แสงทองของวันใหม่เพิ่งจะสาดแสงไปทั่วจักรวรรดิซาโลมได้ไม่นานนัก แต่ในท้องพระโรงกลับเนืองแน่นไปด้วยบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ เนื่องด้วยว่าวันนี้มีการประชุมหารือกันเรื่องการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับการทำศึก

เบลซเซจและนาริสซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์พระที่นั่งต่างก็ยืนนิ่งมิพูดอะไรกันเลย เบลซเซจ นั้นชำเลืองมองนาริสเป็นครั้งคราว หากแต่ทุกครั้งจะแฝงแววยิ้มเยาะอยู่ในที ฝ่ายมหาอำมาตย์เฒ่าจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างรู้ทันกล่าวว่า

“ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ? ท่านอุปราช”

“หึหึ ท่านคิดจะทำอะไรรึ?มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถึงได้ลอบเข้าเฝ้าเจ้าเหนือหัวเป็นการส่วนพระองค์ในยามวิกาลเช่นนั้น”

นาริสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “อ้า! หูตาของท่านนี่ช่างกว้างไกลดีแท้ ข้าเลื่อมใสฝีมือการสืบและสอดส่องของท่านจริง ๆ แม้มดสักตัวก็คงไม่พ้นสายตาเป็นแน่”

เบลซเซจยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “คงแปลกน่าดู ถ้ามหาอำมาตย์แห่งซาโลมคิดหาทางยับยั้งสงคราม”

“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นหรอก ท่านอุปราช” นาริสยิ้ม

เบลซเซจหรี่ตาลงข้างหนึ่งจ้องมองนาริสอย่างระแวดระวัง คิดสงสัยว่านาริสจะทำอะไรกันแน่ เมื่ออำมาตย์เฒ่าเห็นดังนั้นก็หัวเราะในลำคอมิตอบใด ๆ อีก ชั่วอึดใจเสียงทหารยามก็ประกาศก้อง

“กษัตริย์ซาดิน เสด็จแล้ว”

ทั่วทุกคนในท้องพระโรงต่างก็รีบลุกขึ้นถวายความเคารพ กษัตริย์ซาดินซึ่งอยู่ในชุดเต็มยศก้าวขึ้นบัลลังก์อย่างองอาจ เมื่อองค์กษัตริย์ประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้วจึงส่งสัญญาณให้เหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองต่าง ๆ นั่งลง

“บัดนี้ซาโลมจะประกาศสงครามกับดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปเมอร์ริเซียเพื่อสร้างยุคใหม่ขึ้น ข้าอยากรู้ว่าสภาพการณ์ของกองทัพขณะนี้เป็นอย่างไร?”

กษัตริย์หนุ่มตรัสถามขึ้นพลางหันพระพักตร์ไปยังเหล่าแม่ทัพที่นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งขวาของบัลลังก์ นายทหารที่นั่งทางหัวแถวค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นร่างที่สูงใหญ่ยักษ์กำยำซึ่งทำให้ทหารยามภายในห้องแลดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ใบหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดของหมวกเหล็กดูดุดัน อีกทั้งชุดเกราะสีม่วงดำที่ทำมาจากส่วนกะโหลกของมังกร และรวมถึงเคียวมรณะ(Dead Scythe) ที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้นายทหารผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น นายทหารผู้นี้ก็คือ ยอดขุนพลแห่ง ซาโลม ซึ่งมีฉายาว่าจอมทัพกระหายเลือด ราโชยู(Rachoyu ,Bloodlust General) นั้นเอง ราโชยู โค้งเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวทูลด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ทูลฝ่าบาท เหล่าทหารของเราซึ่งเรียกกลับมาประจำการณ์ บัดนี้มีห้าหมื่นเศษ เป็นทหารฝีมือดีเสียสองหมื่น อีกทั้งกองสนับสนุนอันได้แก่กองกำลังนกโมฮา(Zalom’s Rider) เจ็ดร้อยนาย มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม(Zalom’s Headman) ห้าร้อยนาย ผู้ฝึกสัตว์ประหลาด(Zalom’s Tamer) หกร้อยนาย นักรบเพลิงมาร(Evil Fire Warrior) ห้าร้อยนาย ฮาโวก้า(Havoca) แปดร้อยตัว มังกรซาลามันเดอร่า(Salamandera) ยี่สิบตัว อีกทั้งสัตว์ประหลาด และอสูรกายเผ่าต่างๆอีก ห้าร้อยตัว รวมทั้งสิ้นเบ็ดเสร็จก็ร่วมหกหมื่นพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซาดินได้ยินดังนั่นก็ทรงขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “กำลังทหารเพียงเท่านี้ แล้วจะเพียงพอต่อการทำศึกใหญ่นี้ได้อย่างไร?”

“ที่เหลือทหารเพียงเท่านี้ก็สืบเนื่องมาจากเมื่อคราวที่ยกทัพไปปราบ เยซีฮาน (Yacehan ,the Lord of Larzal) ที่แคว้น ลาร์ซาล(Larzal) ครั้งนั้นทำให้เราสูญเสียทหารไปมากทีเดียว ข้าพระองค์จึงมีความเห็นว่าเราอาจจะต้องว่าจ้างพวกนักรบรับจ้างจาก เผ่ามอร์ (Mor Mercenary) ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เก่งกาจมาเสริมทัพอีกส่วนหนึ่ง” ราโชยูกราบทูล

“เยซีฮาน!!” กษัตริย์ซาดินทรงเคี้ยวฟัน พระพักตร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้ ทรงประกาศก้องทั่วท้องพระโรง “เยซีฮาน ไอ้กบฎทรยศมันบังอาจตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้า หากไม่ใช่เพราะแคว้น ลาร์ซาล อยู่ในพื้นที่ที่ได้เปรียบ รวมทั้งแหล่งน้ำมันธรรมชาติที่อยู่บริเวณนั้นอย่างมากมายแล้วล่ะก็ ข้าคงพิชิตแคว้นเล็กกระจ้อยร่อยนั่นได้นานแล้ว และมัน ไอ้เยซีฮาน ก็จะต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือข้า”

บรรยากาศในที่นั้นตึงเครียดขึ้นทันที ด้วยว่าเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงลุแก่โทสะแล้วไม่ว่าใครก็ไม่อาจทัดทานได้ นาริสจึงกล่าวปรามขึ้น

“ฝ่าบาท โปรดทรงคลายโทสะลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ แคว้น ลาร์ซาล นั้นไม่ใช่เพียงแค่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีทรัพยากรน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น หากแต่ตัวเยซีฮานเองก็ขึ้นชื่ออยู่ว่าเป็นแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึกนัก อีกทั้งเมื่อคราวที่ยังรับใช้ฝ่าบาทอยู่นั้น ก็ได้เรียนรู้กลศึกแผนการรบจากพระองค์ไปไม่ใช่น้อย ผนวกกับทุนเดิมที่เป็นคนเฉลียวฉลาด เยซีฮานจึงสามารถแก้เกมการรบของพระองค์ได้ทุกครั้ง แต่อย่ากระนั้นเลยแคว้นลาร์ซาลไม่ใช่สาระสำคัญในการประชุมวันนี้ ในเมื่อพระองค์หมายจะพิชิตเมอร์ริเซียนี้จำนวนทหารที่เรามีอยู่คงต้องเสริมขึ้นอีกอย่างน้อยสามเท่าตัว”

“หืมม์! สามเท่าตัวเป็นอย่างน้อยรึ?” ซาดิน ทรงใช้พระหัตถ์ลูบคางตรัสด้วยความประหลาดใจ

นาริสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะทูลด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์อย่าทรงลืมว่าแม้กองทัพของเยซีฮานไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์ ซ้ำยังไม่เคยยกทัพมาประชิดเราสักครั้ง แต่หากพระองค์ยกทัพใหญ่ไปทำสึกกับเมอร์ริเซียแล้ว กระหม่อมเกรงว่าเยซีฮานอาจใช้โอกาสนี้บุกซาโลมก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”

“จริงของท่าน” กษัตริย์ซาดินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด แววเนตรยังขึงโกรธ “สักวันข้าต้องบั่นหัวมัน ไม่ให้อยู่เป็นหอกข้างแคร่ข้าอีก… ท่านนาริส การศึกที่ทั้งห่างไกลทั้งต้องระวังรอบด้าน เหล่าอสูร และมังกรคงต้องมากกว่ามิใช่แค่สามเท่า หากต้องเป็นห้าหรือหกเท่าทีเดียว ทั้งทหารที่มีฝีมือต้องจำนวนเรือนแสนขึ้นไปเท่านั้น ไหนยังต้องฝึกให้รู้จักการรบในภูมิประเทศที่แตกต่างอีก อือม์.........”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 4 เตรียมการรบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:04 am

กษัตริย์ผู้ชาญศึกเริ่มคิดประเมินสถานการณ์

“ถูกแล้วฝ่าบาท..... การศึกนี้มิใช่การศึกที่โจมตีรวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยเหมือนครั้งก่อนๆ แล้ว หากแต่เป็นการบุกสู่ถิ่นที่ไม่ อีกทั้งระยะทางห่างก็ไกล รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เราได้รู้สถานการณ์ของเราแล้ว หากแต่ไม่รู้สภาพการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเท่าใดเลย.......”

นาริสกางแผนที่ขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะกลางท้องพระโรง ใช้ไม้ยาวลากจาก ซาโลม ลงไปทางใต้พลางกล่าวทูล

“บริเวณนี้เป็นอาณาเขตของอาณาจักรฟีเลเซีย(Felasia) ส่วนบริเวณนี้เป็นป่ากว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์อันประกอบด้วยเผ่าน้อยใหญ่มากมาย เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือเผ่าฟูดินัน(Fudenun) ซึ่งอาศัยใกล้ต้นไม้ยักษ์ อิกดราซิล (Yggdrasil) ฟีเลเซียอยู่ทางตะวันตก ฟูดินันอยู่ทางตะวันออก อาณาจักรฟีเลเซียนั้นปกครองโดยแบ่งเป็นเมืองย่อย ๆ โดยเจ้าเมืองได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้ปกครองตนเอง ซึ่งอำนาจการตัดสินใจต่าง ๆ ของเจ้าเมืองเหล่านี้ล้วนขึ้นตรงกับกษัตริย์ซิกมันด์ที่2ซึ่งประทับอยู่ที่เมืองฟีเลเซีย และเป็นที่รู้กันทั่วทั้งทวีปว่าอาณาจักรนี้เต็มไปด้วยนักรบผู้กล้า เป็นอาณาจักรชาตินักรบโดยแท้ มีกองทัพที่เกรียงไกรและปราบสัตว์ประหลาดและมังกรน้อยใหญ่มาแล้วมากมาย อาณาจักรที่แม้แต่สตรียังเรียนวิชาดาบ อีกทั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีคือเป็นที่สูง หากแต่ทางตะวันออก ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มีเพียงเผ่าน้อยใหญ่กระจัดกระจาย ล้วนประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ทำการประมงทางใต้ และค้าขายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นหากเปรียบไป ฟีเลเซียเป็นดั่งราชสีห์ผู้พร้อมต่อกร ทว่าฟูดินันนั้นเป็นดั่งวัวอ้วนที่มิรู้จักระวังตัว.......”

“หากได้ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เพียงนี้มาอยู่ในอาณัติ ความอดอยากข้นแค้นใน ซาโลมก็จะไม่มีอีกต่อไป หากแต่....”

กษัตริย์ซาดิน ทรงหยุดคิดก่อนจะตรัสต่อ “ความอุดมสมบูรณ์ของมันมิเพียงแต่ให้อาหาร หากแต่ให้การปกป้องอีกด้วย......”

“ฝ่าบาทคงหมายถึงป่าดงดิบพื้นที่มหาศาลใน ฟูดินัน” นาริสกล่าวอย่างรู้ใจผู้เป็นนาย

“ใช่ มันเป็นที่ซ่อนที่ดีที่สุด ทหารของเราชำนาญการรบแบบประจัญหน้าในที่โล่ง การรบในป่าดงดิบคงไม่ต่างกับคนตาบอด และที่สำคัญ กำแพงธรรมชาติที่อยู่นี่อีกเล่า เทือกเขายาวเหยียดจนจรดดินแดนของ ฟีเลเซีย........”

“ใช่แล้วฝ่าบาท เทือกเขาคีรีบันดาโอบล้อมดินแดนนี้..... ฟูดินันไม่เพียงเป็นดั่งวัวอ้วนที่ไม่รู้จักระวังตัว แต่ยังเป็นวัวที่มีคอกล้อมป้องกันอยู่แน่นหนานัก.......”

“เช่นนั้นแล้วคงมีเพียงสองทาง หนึ่งนั้นคือพังคอกสูงเสียดฟ้า.... ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้” ราโชยูกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมองนาริส “ส่วนทางที่สองคือฆ่าราชสีห์ที่เฝ้าปากคอกเสีย”

กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มออกมาอย่างน่ารักมเกรียมก่อนตรัสชื่นชมขุนศึกทมิฬ “เจ้ายังใจกล้าบ้าบิ่นเช่นเดิมนะราโชยู หึหึ ข้าชักอยากเห็นเจ้าเอาเคียวของเจ้าตัดหัวพญาราชสีห์ให้ดูเป็นขวัญตาซะแล้วสิ”

“หรือมิฉะนั้นก็ปีนข้ามคอกซะยังง่ายกว่า”

เสียงของมหาอำมาตย์นาริสกล่าวแทรก กษัตริย์ซาดินและ ราโชยูหยุดมองอย่างสงสัย.....

“เพียงข้ามเขาเข้าตีฟูดินันที่อ่อนแอ แล้วเราก็จะได้ทั้งเสบียงอาหารและดินแดนในเวลาเดียวกัน เมื่อหันเข้าตีฟีเลเซียย่อมกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากเข้าตีฟีเลเซียที่เข้มแข็งก่อน การศึกที่ยากลำบากต่อให้ได้ชัยชนะเราคงเสียไพร่พลไปไม่น้อยเมื่อหันไปตีฟูดินัน เมื่อนั้นจากศึกง่ายอาจกลายเป็นศึกยากยิ่งขึ้น”

“อือม์ ท่านนาริสกล่าวได้ดีมีเหตุผล” กษัตริย์ซาดินตรัส ราโชยูเองก็พยักหน้ายอมรับ นาริสจึงทูลต่อ

“แต่ฝ่าบาท จากที่กระหม่อมได้ทูลแล้ว เราเองมีความรู้ในภูมิประเทศและสภาพการณ์ในฟีเลเซียและฟูดินันเพียงผิวเผินเท่านั้น ลำพังเพียงเท่านี้เราไม่อาจแน่ใจในสิ่งใดได้เลย กระหม่อมจึงเห็นว่าเราควรส่งคนเข้าสอดแนม และสืบสภาพความเป็นไปในทุกด้านของทั้งสองประเทศนี้”

“เราเห็นดีด้วยในเรื่องนี้” กษัตริย์ซาดินกล่าว

“อย่างน้อยเวลาหนึ่งปีในการสอดแนมจะช่วยให้เราวางแผนการรบทุกอย่างได้รัดกุม…..”

“มันไม่นานไปหน่อยหรือ ท่านนาริส?” เบลซเซจซึ่งนิ่งเงียบตลอดการหารือ เมื่อกล่าวคำขึ้นทุกคนในท้องพระโรงจึงหันไปมองเป็นตาเดียวกัน

นาริสมองไปยังขุนนางเฒ่าอย่างระแวดระวัง เพราะการที่คนเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนอย่างเบลซเซจนิ่งเงียบอยู่นาน แลดูจะเป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่าเมื่อยามพูด เพราะนั่นย่อมหมายถึงการนิ่งเงียบเพื่อคิดสร้างแผนชั่วในใจมากกว่าอย่างอื่น และเมื่อเริ่มต้นพูดอาจหมายถึงการเริ่มแผนชั่วนั้น

“ท่านอุปราช…” นาริสกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กับฟูดินันเองนั้น ข้าคิดว่าอาจส่งคนเข้าปะปนสืบข่าวได้ง่ายนัก เพราะข้าได้ยินมาว่าคนแถบนี้ จิตใจดี ไว้ใจและเชื่อคนง่าย หากแต่ฟีเลเซีย.... ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ความหยิ่งผยองที่ไม่น้อยไปกว่าความชาญศึกของคนอาณาจักรนี้มาบ้าง ความรังเกียจคนต่างถิ่นต่างเผ่าต่างผิวต่างพันธุ์ แม้แต่กับฟูดินันที่อยู่ติดกันยังไม่ละเว้น ท่านคิดว่าการส่งคนตีสนิทชิดเชื้อตลอดจนอยู่อาศัยในอาณาจักรที่คิดว่าตนสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องง่ายกระนั้นหรือ? อีกทั้งนิสัยนักรบด้วยแล้ว การระแวงระวังคนต่างถิ่นมีอยู่ในสัญชาตญาณ ดังนั้นหนึ่งปี ในการเข้าสอดแนมในฟีเลเซีย ข้ายังคิดว่าอาจยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ..”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 4 เตรียมการรบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 2:05 am

อุปราชเฒ่าเจ้าเล่ห์เงยหน้าขึ้นจะกล่าวคำ นาริส สุไลมานผู้อ่านออกได้ทันทีว่าสิ่งที่จะออกมาจากปากเฒ่าเจ้าเล่ห์คือสิ่งใดก็ชิงพูดต่อทันที

“การทำศึกโดยไม่รู้จักศัตรู แม้มังกรต่างถิ่นยังอาจพ่ายงูดินเจ้าของบ้าน และคนฉลาดจะไม่ทำศึกกับผู้ที่ไม่รู้จัก และคนฉลาดย่อมไม่ละโอกาสที่จะรู้ข้อมูลของศัตรู และโดยเฉพาะคนฉลาดอย่างท่านอุปราชเองคงไม่ลืมพื้นฐานแสนง่ายข้อนี้”

เบลซเซจชะงักด้วยรู้สึกว่าเหมือนดังถูกด่าอยู่ในที

“โอ้ข้าลืมไป ท่านอุปราช คือผู้เชี่ยวชาญการสอดแนม โดยเฉพาะเรื่องราวในปราสาทนี้ แต่ทหารที่ข้าส่งไปแม้ที่มือดีที่สุดก็คงสอดแนมได้ไม่เชี่ยวชาญเท่ากับท่าน ครั้นข้าจะส่งท่านไปสอดแนมเสียด้วยตัวเองก็ดูจะเป็นการเสียดายที่จะให้คนเก่งกาจรู้มากรู้มายอย่างท่านไปออกห่างไกลจากปราสาท ดังนั้นโปรดได้เห็นใจในความสามารถที่มิเทียบเท่าท่าน ของบรรดาเหล่ากองสอดแนมของข้าด้วย”

เมื่อสิ้นคำ นาริสก็ยิ้มและโคลงศีรษะให้ เบลซเซจซึ่งก็ยิ้มตอบ หากแต่ดวงตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือด และแววตาที่เคียดแค้น เนื่องจากถูกด่าอย่างไม่ทันรู้ตัว เมื่อเบลซเซจนิ่งอึ้งด้วยความโกรธ กษัตริย์ซาดินยิ้มอย่างหน่ายใจ ราโชยู และเหล่าขุนนางต่างก็พยายามกลั้นความขันไว้ นาริสจึงเสริมต่อ

“นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นอีก ระยะทางระหว่างการข้ามทะเลทรายอันห่างไกลไปยังตีนเขาคีรีบันดานี้มีโอเอซิสเพียงสี่แห่ง แต่ละแห่งเป็นที่รู้กันว่ายังไม่มีเผ่าใดได้ครอบครอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเสียเวลาสู้กับเหล่าสฟิงค์(Sphinx)ที่ชอบยึดเอาโอเอซิสบริสุทธิ์ที่มนุษย์ยังไม่ได้จับจองใช้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน ถ้าเราโชคดีตอบคำถามของพวกมันได้ถูกต้องพวกมันก็จะหนีหายไป แต่ถ้าตอบไม่ถูกเราคงต้องเสียเวลาต่อสู้กับเจ้าสฟิงค์พวกนี้อีก ทำให้เราเสียกำลังพลไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบด้วยซ้ำ” นาริส ชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่ “แล้วโอเอซิสที่สุดท้ายคือที่นี่ ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณสามถึงสี่เดือน และจากโอเอซิสนี่ไปถึงคีรีบันดาคือสามสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน นั่นหมายความว่าจากที่นี่ไปเราต้องมีเสบียงพอเลี้ยงคนนับแสนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”

สิ้นคำนี้ทั่วท้องพระโรงก็เงียบงันลง

“การศึกนี้ใหญ่หลวงนัก....” กษัตริย์ซาดินตรัส สายพระเนตรยังคงจับจ้องอยู่บนแผนที่ “แล้วเราจะต้องใช้เวลาเตรียมเสบียงกี่ปีกันเล่า?”

นาริสจึงทูลเสริม “ขณะนี้เมืองที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะเก็บเกี่ยวได้ทางตะวันออก ก็มีอาคิม (Akim) ไต้ฝุ่นปีศาจออกอาละวาดจนพืชผลเสียหายยากแก่การเก็บเกี่ยว”

“เช่นนั้นเราคงต้องปราบเจ้านี่ก่อน” กษัตริย์ซาดินทรงคิดโดยที่สายพระเนตรยังคงจับจ้องอยู่บนแผนที่

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพระองค์เอง ฝ่าบาท” เบลซเซจกล่าวแทรกขึ้น

“ดีมาก เบลซเซจ ถ้าเช่นนั้น ท่านนาริส ท่านคิดว่าเราจะต้องใช้เวลาในการเตรียมเสบียงกี่ปีหรือ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถาม
มหาอำมาตย์ใหญ่โค้งรับคำ ก่อนที่จะทูลตอบ “หากเรางดเก็บภาษีประชาชนสักสองปี เพื่อให้ประชาชนได้ประกอบสัมมาอาชีพ เพาะปลูกกันอย่างเต็มที่แล้ว กระหม่อมคาดว่าคงใช้เวลาทั้งสิ้นห้าปี”

“ข้าให้งดภาษีได้เพียงหนึ่งปี และเก็บเกี่ยวให้ได้ภายในสี่ปี”

“พ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่า รับคำมิกล้าโต้เถียงใด ๆ

“แล้วเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์เล่า? มีการเตรียมความพร้อมไปถึงไหนแล้ว?” กษัตริย์ซาดินตรัสถาม

ราโชยู โค้งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวทูล “อาวุธยุทโธปกรณ์ของเราเสียหายมากทีเดียว ทั้งการเกณฑ์ไพล่พลมากขนาดนี้ เราคงต้องเร่งทำอาวุธเพิ่มขึ้นอีกมากมาย”

เมื่อนาริสได้ฟังคำของยอดขุนพล ก็พลันนึกขึ้นได้ “ฝ่าบาท นอกจากการทำอาวุธเพิ่มขึ้น เรายังต้องสร้างยุ้งฉางขนาดใหญ่ขึ้นมาหลายหลังเพื่อกักเก็บเสบียง อีกทั้งรถเกวียนจำนวนมากเพื่อจะสามารถขนเสบียงติดตามไปกับกองทัพอีกด้วย”

“เช่นนั้นแล้ว ท่านนาริส ท่านก็จงดำเนินการเรื่องนี้ในทันที” กษัตริย์ซาดินรับสั่ง

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท และนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เรื่องสภาพภูมิประเทศนั้นยังเป็นสภาพที่กองทัพของเราไม่มักคุ้น ฟูดินันเป็นป่าดงดิบ ส่วนฟีเลเซียก็เป็นที่ราบสูงชัน ซ้ำทหารยังต้องเดินทางไกล เราจะต้องฝึกให้กองทัพมีความทรหดอดทนอย่างมาก”

“ราโชยู เจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่? จึงจะเกณฑ์ไพล่พลเสริมกำลังทัพได้ครบตามจำนวน รวมทั้งฝึกฝนทักษะการรบให้แกร่งกล้าพอที่จะออกศึกใหญ่ครั้งนี้ได้”

ราโชยู หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวทูล

“การเกณฑ์ไพล่พลทั่วอาณาจักรรวมทั้งตามหัวเมืองต่าง ๆ คงไม่ยากเย็นเท่าใดนัก กระหม่อมคาดว่าสี่เดือนคงได้ ส่วนการฝึกฝนทักษะนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารมาก่อนคงต้องใช้เวลาสามถึงสี่ปีทีเดียว แต่กระหม่อมเกรงว่าผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะผ่านการฝึกของกองทัพจะมีไม่ถึงหนึ่งในสาม ทั้งประชากรที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็คงมีแต่ผู้หญิง และเด็กเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้นก็จงเกณฑ์เด็กชายที่อายุตั้งแต่สิบสองปีขึ้นไปเข้ากองทัพเสีย” เบลซเซจกล่าวเสียงเรียบ

“ท่านเสียสติไปแล้วรึ? เด็กอายุเพียงเท่านั้นจะทนรับการฝึกหนักในกองทัพได้อย่างไร?” นาริส แทบไม่เชื่อหูตนเอง โทสะครุกรุ่นในน้ำเสียง

“เด็ก ๆ จะไปทำอะไรได้ เมื่อคราวที่ข้านำทัพบุกแคว้นใดสักแคว้นทางตอนเหนือ การสู้รบดำเนินอยู่เนิ่นนานแรมเดือนจนแคว้นนั้นแทบจะไม่เหลืออะไรมาสู้กับข้าแล้ว ในที่สุดก็ต้องเอาเด็ก ๆ ออกมาจับอาวุธสู้กับข้า ซึ่งข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใดเลย รังแต่จะเป็นเหยื่อให้กับคมหอกคมดาบของข้า”

“ฝ่าบาท ในเวลานี้พระองค์อาจจะเห็นว่าไร้ประโยชน์ ทว่าในอีกห้าปีข้างหน้า พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นทหารที่เก่งกล้าสามารถ การที่เราต้องรอให้เด็กเหล่านี้โตในอีกห้าปีข้างหน้าแล้วจึงค่อยฝึกต่ออีกสามปีนั้น ข้าพระองค์เห็นว่าเป็นการเสียเวลาเกินไป ซึ่งอาจทำให้เราเสียการณ์ใหญ่ได้” เบลซเซจกล่าวทูลพลางหันหน้ายิ้มเยาะไปทาง อำมาตย์เฒ่า

“ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว” นาริสพูดน้ำเสียงแข็งกร้าว

“จะทำการณ์ใหญ่ต้องน่ารักมโหด” เบลซเซจกล่าวด้วยรอยยิ้มที่น่ารักมเกรียม

กษัตริย์ซาดินทรงนิ่งเงียบไปราวกับกำลังชั่งพระทัยอยู่นาน พระโอษฐ์เม้มแน่นสีพระพักตร์เคร่งเครียดครุ่นคิด ที่สุดจึงรับสั่งขึ้น
“อีกหกถึงเจ็ดปีข้างหน้าเด็กเหล่านั้นก็ต้องมาเป็นทหารของ ซาโลม อยู่ดี..... ถ้าวันหน้ามันเป็นทหารที่มีฝีมือไม่ได้ วันนี้มันก็สมควรตาย!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron