Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. เม.ย. 25, 2024 9:30 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:56 am

Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา


เมื่อพระนางเนริมอร์ทรงแน่พระทัยว่ากษัตริย์ซาดินจะทรงทำศึกแน่แล้ว เย็นวันนั้นพระนางจึงทรงรุดเข้าไปพบกษัตริย์ซาดินภายในห้องเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเวลาที่กษัตริย์ซาดินทรงทำกิจการอื่น ๆ นอกเหนือจากการออกว่าราชการ

“ซาดิน” ราชินีเนริมอร์ทรงเอ่ยเรียกผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ

กษัตริย์ซาดินซึ่งขณะนั้นกำลังง่วนอยู่กับการดูแผนที่ภูมิประเทศทางการทหารอยู่จึงมิได้ใส่พระทัยใด ๆ มากนัก เพียงแต่เหลือบเนตรสีเข้มขึ้นทอดพระเนตรเล็กน้อย เมื่อทรงเห็นว่าเป็นมเหสีของพระองค์จึงได้ทรงยืดตัวขึ้น และยิ้มให้

“อ้า! เนริมอร์ เจ้ามาได้จังหวะดีจริงเชียว ข้ากำลังจะให้ทหารไปตามเจ้าอยู่พอดี”

“ซาดิน การศึกครั้งนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว” พระนางเนริมอร์ทรง รีบตรัสอย่างร้อนตัว

กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วลงทันที ทั้งแปลกพระทัยระคนสงสัยในตัวผู้เป็นมเหสีนัก “ทำไมรึ? ก่อนนี้เจ้าก็ยินดีที่จะร่วมทัพจับศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าด้วยทุกครั้งคราไมใช่หรือ?”

“แต่เวลานี้เรามีลูกแล้วนะ อิสฮาน ยังเล็กนักท่านจะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไร? ใครจะดูแลเขาเล่า?”

“ก็แม่นมกับพวกนางกำนัลไงเล่า เจ้าคิดว่าเรามีข้าทาสบริวารไว้ทำไมรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างมิอาทรร้อนพระทัยนัก

“ซาดิน ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ท่านไม่เคยสนใจไยดีลูกของเราเลย เมื่อคราวที่อิสฮานล้มป่วย ข้าให้คนมาตามท่านครั้งแล้วครั้งเล่าท่านก็ไม่มาดูดำดูดี” ราชินีเนริมอร์ทรงตัดพ้อ

กษัตริย์ซาดินทรงเอียงเศียรเล็กน้อยราวกับพยายามรำลึกเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสขึ้น “ในตอนนั้นถึงข้าจะอยู่หรือไม่มันก็ไม่ทำให้ อิสฮาน หายป่วยได้เพราะข้าไม่ใช่หมอ”

ราชินีเนริมอร์ทรงชะงักนิ่งอึ้งกับวาจาที่เย็นชาของสวามี กษัตริย์ซาดินทรงหันมาทอดพระเนตรดวงพักตร์ของผู้เป็นมเหสี พลางขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพระนาง

“ข้าก็ตามหมอหลวงให้แล้วอย่างไรเล่า และอีกอย่างการดูแลลูกก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่มิใช่หรือ?”

“ท่านรักลูกของเราบ้างไหม?” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนวิงวอนประหนึ่งว่าจะเป็นตัวแทนของบุตรชายร้องขอความรักจากผู้เป็นบิดาก็ไมปาน

“เหลวไหล ความรักเป็นเรื่องโง่เขลา เป็นความรู้สึกของพวกคนอ่อนแอ มันไม่มีประโยชน์อะไรต่ออนาคตของลูกเรา” กษัตริย์ซาดินทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้น และเริ่มจะไม่ชอบพระทัยการโต้ตอบกับมเหสีในเรื่องนี้มากขึ้นทุกที

คิ้วของพระนางเนริมอร์ขมวดเข้าหากันดวงเนตรเบิกกว้าง พระนางทรงจ้องมองลึกลงไปยังดวงเนตรของสวามีเหมือนจะเค้นหาความจริง

“นี่ท่านพูดอะไรออกมา” ในพระทัยของพระนางเจ็บปวดนัก ริมฝีปากเริ่มสั่น พระนางตรัสพลางจ้องมองกษัตริย์ซาดินเขม็ง

“ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อเลยหรือ?”

“ข้ากำลังทำอยู่ เจ้าคิดว่าข้าทำศึกครั้งนี้เพื่อใครกัน?” กษัตริย์ซาดินพยายามตรัสด้วยระดับน้ำเสียงปกติอย่างอดทน หากแต่แฝงการตำหนิในน้ำเสียงนั้น ดวงเนตรดุดันขึ้น “อนาคตของอิสฮานจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง มรดกที่ข้าจะให้กับเขาคือทวีปเมอร์ริเซียอย่างไรเล่า”

กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรราชินีเนริมอร์ครู่หนึ่งก่อนจะทรงทรุดกายลงประทับบนเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ “พอเถิด ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าในเรื่องนี้อีก ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้”

พระนางเนริมอร์ทรงกัดริมฝีปากแน่นเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ดวงเนตรสีอำพันวาวโรจน์ก่อนจะทรงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาล
“ไม่!! ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะอยู่กับลูกของข้า”

กษัตริย์ซาดินทรงถึงกับนิ่งอึ้งที่พระนางเนริมอร์กล้าขึ้นเสียงใส่พระองค์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องใดหรือแม้กระทั่งที่พระองค์มีฮาเร็มใหญ่โตมีสาวงามรายล้อมมากมายพระนางก็มิเคยมีปากมีเสียง แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พระนางกล้าตวาดใส่พระองค์เช่นนี้ ข้างฝ่ายราชินีเนริมอร์นั้นก็โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น ดวงเนตรสีอำพันดุดันและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พระนางทรงจ้องมองผู้เป็นสามีอย่างโกรธเกรี้ยว กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นจ้องมเหสีภรรยาด้วยสีพระพักตร์แข็งกระด้างแล้วจึงตรัสด้วยเสียงราวกับคำรามว่า “ ข้าสั่งเจ้า!! ในฐานะกษัตริย์แห่งซาโลม ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:57 am

ณ ห้องบรรทมของ พระโอรสซาร์ อิสฮาน


พระนางเนริมอร์ทรงอุ้มเจ้าชายตัวน้อยไว้แนบอก พระนางประทับบนเบาะทรงกลมสีแดงใบใหญ่ สีพระพักตร์ของพระนางนิ่งเฉยสายพระเนตรจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างแต่แววเนตรกลับว่างเปล่า ทั้งแม่นมและนางกำนัลต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความอึดอัดและประหลาดใจ ด้วยว่าหลังจากที่พระนางเสด็จกลับมาจากการเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาดินเมื่อเย็นวาน พระนางก็ทรงตรงเข้าอุ้มพระโอรสน้อยที่กำลังบรรทมหลับอย่างเป็นสุขในเปลทันทีแล้วเสด็จไปประทับนิ่งบนเบาะกลมนั้นโดยไม่ตรัสใด ๆ อีกเลยจนกระทั่งล่วงเข้าเช้าวันใหม่แล้ว จนเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงเข้ามาตามช่องหน้าต่าง

“มีราชโองการมาเพคะ” นางกำนัลต้นห้องก็เปิดประตูเข้ามาโค้งคำนับทูล

แล้วจึงหลีกทางให้ทหารผู้ถือราชโองการสามนายเดินเข้ามา ทหารทั้งสามโค้งคำนับแล้วจึงคุกเข่าโดยทหารที่ถือราชโองการยังคงยืนอยู่ ทั้งสามต่างรีรออยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าองค์ราชินียังคงนิ่งเฉยไม่สนใจใด ๆ จึงได้แต่มองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะอ่านราชโองการดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอ่านราชโองการในที่สุด

“กษัตริย์ซาดินแห่งจักรวรรดิซาโลม มีราชโองการถึงพระราชินีเนริมอร์ว่าดังนี้ เนื่องด้วยจักรวรรดิซาโลมจะได้ประกอบการศึกสงครามอันทรงเกียรติโดยการรวบรวมแผ่นดินทั้งหลายในทวีปเมอร์ริเซียเข้าไว้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน ด้วยภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ องค์กษัตริย์จึงมีรับสั่งให้ พระนางเนริมอร์เข้าร่วมในกองทัพอันเกรียง....”

ทันใดนั้นร่างของทหารผู้อ่านราชโองการก็ลอยละลิ่วไปกระแทกผนังหินอ่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที เลือดสีแดงสาดกระจายเป็นทางยาว เหล่าทหารและนางกำนัลทุกคนต่างตกตะลึงตัวสั่นหน้าซีดเผือดจ้องไปยังราชินีซึ่งบัดนี้อุ้มโอรสน้อยด้วยพระกรขวาส่วนพระหัตถ์ซ้ายนั้นทรงถือคทาคู่กาย แววเนตรคมกล้าของพระนางวาวโรจน์ดุดัน อุณหภูมิภายในห้องเริ่มร้อนระอุขึ้น ฉับพลันพระนางทรงปราดเข้าหานายทหารเคราะห์ร้ายผู้กำลังตัวสั่นงันงกก้มกราบครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดที่ศีรษะเปื้อนพื้นเป็นวงแดงฉาน

“โปรดเมตตา! โปรดไว้ชีวิตข้าน้อย ได้โปรด! พระนาง ได้.........”

ผัวะ!

ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของทหารผู้เชิญราชโองการพุ่งชนโต๊ะไม้สลักจนหักสะบั้น ใบหน้าที่ซีดเผือดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดตัดกับเลือดสีแดงที่ไหลเป็นทางอาบหน้า แขนทั้งสองข้างของเขาหักงอจนผิดรูป เขาตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นก่อนจะสำลักเลือดออกมากองใหญ่ ปากสั่นระริกพูดร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นฟังแทบไม่เป็นภาษา แววตาที่เบิกโพลงด้วยความกลัวสุดขีดมองมายังมหารานีซึ่งบัดนี้เป็นเหมือนเพชฌฆาตผู้อำมหิต

“ข้าจะเผาลิ้นโสโครกของเจ้าซะ” เสียงรอดออกมาจากไรฟันที่ขบกันแน่น พระนางเนริมอร์ทรงชูคทาประดับพลอยสีแดงขึ้น ทันใดนั้นไฟเวทย์ก็ลุกโชนจากคทานั้นและขยายตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฉับพลันทั้งห้องก็ถูกปลุกให้ตื่นจากบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่นของพระโอรสน้อยซึ่งไม่มีใครทันได้สังเกตว่าทรงตื่นขึ้นเมื่อใด หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกคนที่ทั้งหวาดกลัวและตกตะลึงได้สติขึ้น ต่างก็รีบร้องขอชีวิตนายทหารเคราะห์ร้ายจนเสียงดังลั่นห้อง พระนางผู้กริ้วโกรธบัดนี้ค่อยๆ ลดหัตถ์ลงด้วยน้ำตาคลอเบ้าตะทรงโกนสั่งจนสุดเสียง

“ออกไป๊! ออกไป! ไสหัวออกไปให้หมด!”

เหล่านางกำนัล และแม่นม ต่างตื่นตระหนก กึ่งวิ่งกึ่งคลานออกจากห้อง ในขณะที่นายทหารทั้งสองก็รีบพยุงร่างไร้สติของเพื่อนที่เพิ่งรอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิดออกจากห้องทันทีเช่นกัน

“ออกไป! ออกไปให้พ้น......” พระนางตะโกนราวกับคนเสียสติ

ทันทีที่เหลือเพียงพระนางในชุดแดงผู้โอบกอดทารกน้อยที่กำลังร้องไห้จ้าไว้ในอ้อมพระกรเพียงลำพัง นางพญาผู้น่าสะพรึงกลัวเมื่อสักครู่ก็ทรุดกายลง กอดทารกน้อยไว้แนบอก และร่ำไห้อย่างขมขื่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:58 am

ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่เพลาเมื่อนาริส สุไลมานก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระโอรส มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่มองสภาพห้องที่พังพินาศ ทั้งยังมีกลิ่นคาว และคราบเลือดเปื้อนเปรอะกระจายอยู่ทั่วห้องด้วยสายตาตกตะลึง และคาดไม่ถึงว่าพระนางจะกล้าต่อต้านราชโองการของกษัตริย์ซาดินถึงเพียงนี้ ที่ใจกลางห้องนั้นเองราชินีเนริมอร์ยังทรงอุ้มซาร์ อิสฮานแนบอกไว้เช่นเดิม พระนางประทับนิ่งอยู่บนเบาะทรงกลมดวงเนตรทั้งสองบวมช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก แววตาดูว่างเปล่าเหม่อลอยจนพระนางมิได้ทรงสังเกตว่านาริสได้เดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ พระนางแล้ว มหาอำมาตย์เฒ่าถอนหายใจยาวก่อนจะย่อเข่าลงถวายบังคม กล่าวทูล

“พระนางเนริมอร์” นาริสเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน

ราชินีเนริมอร์ค่อย ๆ หันมาช้า ๆ เมื่อทรงเห็นว่าเป็นนาริสก็รีบลุกขึ้นยืน น้ำเนตรก็เอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง พระนางพยายามบังคับริมฝีปากที่สั่นเทาให้สงบ ตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“ท่านนาริส ข้าจะทำอย่างไร? ข้าจะทำอย่างไรดี?”

“สงบพระทัยลงก่อนเถิด กระหม่อมเข้าใจในความรู้สึกของพระนางดี” นาริสทูลปลอมประโลม “แต่ขอให้พระนางคลายความตระหนกและฟังสิ่งที่กระหม่อมจะกราบทูลก่อน การสงครามครั้งนี้มิใช่จะเริ่มขึ้นภายในอีกชั่วเวลาเดือนสองเดือนนี้เสียเมื่อไหร่ กว่าจะเตรียมไพล่พล ฝึกทหาร ตระเตรียมวางแผนก็อย่างน้อยสองถึงสามปีแล้ว ทั้งสะสมเสบียงอาหาร ซึ่งก็คงจะไม่ต่ำกว่าสามปี”

“อะไรกัน ข้าจะมีเวลาอยู่กับลูกอีกแค่สามปีเท่านั้นหรือ? ไม่! ข้าจะทิ้งลูกที่ยังเล็กอยู่ได้อย่างไรกัน? ท่านต้องช่วยข้านะ” ราชินีเนริมอร์ตรัสอย่างรนราน ดวงเนตรฉายแววเจ็บปวดและหวาดกลัว

“กระหม่อมคงไม่อาจจะเปลี่ยนพระทัยองค์ซาดินได้ แต่กระหม่อมอาจสามารถถ่วงเวลาเพื่อให้พระองค์อยู่กับพระโอรสนานขึ้นได้” นาริสทูลเสียงเครียด ในดวงเนตรของราชินีเนริมอร์ สะท้อนแววแห่งความหวังขึ้น

“แต่กระหม่อมไม่อาจรับปากว่าจะถ่วงเวลาได้นานแค่ไหน เพราะหากองค์ซาดินยังมีเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นอยู่เคียงข้างคอยยุยงอยู่เช่นนี้” นาริสทูล ส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยสีหน้าหนักใจเมื่อนึกถึงอุปราชเฒ่า “วันเวลาที่ผ่านพ้นไปและวัยที่ร่วงโรยไม่ได้สอนให้เขารู้จักคำว่า ’พอ’ เลย”

“ไอ้ปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น มันนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งหมด ข้าอยากจะลากลิ้นสอพลอของมันออกมาสับให้เป็นหมื่นชิ้น เลาะกระดูกออกมาจากหนังเหี่ยว ๆ ของมัน และ.....”

นาริส ยกมือปรามราชินีเนริมอร์ไว้ก่อนจะเอ่ยทูลว่า “พระนางอย่าตรัสให้เสียพระทัยอีกเลย กระหม่อมจะพยายามยืดเวลาออกไปให้มากที่สุด”

“ท่านจะทำด้วยวิธีใดเล่า?” ราชินีเนริมอร์ ตรัสถามแววเนตรยังคงเออล้นด้วยน้ำหยาดใส

“โปรดวางพระทัย พระองค์เชื่อใจกระหม่อมได้เสมอ”

นาริส ชำเลืองมองโอรสน้อยที่กำลังมองตาแป๋วจ้องมาที่เขาพลางยกกำปั้นน้อย ๆ ใส่ปากอย่างไร้เดียงสา นาริสยิ้มให้อย่างอ่อนโยนด้วยความรักใคร่ก่อนจะโค้งคำนับราชินีเนริมอร์แล้วเดินจากไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:59 am

เป็นเวลาโพล้เพล้แล้วเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงกลับจากการออกว่าราชการและกำลังอยู่ในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนฉลองพระองค์ เหล่านางกำนัลต่างก็ช่วยกันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เจ้าเหนือหัว กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดเสื้อขาวแขนยาวเนื้อดีที่ปล่อยชายยาวเกือบจรดพื้น มีผ้าแพรสีดำนิลขลิบทองเป็นลวดลายสวยงามคาดเอวอยู่ ที่พระเศียรมีผ้าโพกสีดำประดับด้วยอัญมณีสีแดงสดอยู่ตรงกลางแลดูสง่าน่าเกรงขาม

ขณะที่กษัตริย์ซาดินกำลังสวมเสื้อคลุมสีดำดิ้นทองอยู่ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทหารองครักษ์เข้ามาทูลว่านาริส สุไลมานกำลังรออยู่ที่ห้องรับรองชั้นในเพื่อขอเข้าเฝ้า กษัตริย์หนุ่มออกจะแปลกพระทัยอยู่ไม่น้อยที่นาริสขอเข้าเฝ้าในยามนี้ หากแต่ก็ทรงออกไปพบแต่โดยดี

ภายในห้องรับรองชั้นใน มหาอำมาตย์ใหญ่กำลังยืนมองแผนที่ของจักรวรรดิซาโลมที่ขยายอาณาเขตแผ่กว้างจนแทบจะเต็มเขตแดนตอนเหนือทั้งหมด มันถูกแขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งสิบกว่าปีที่ผ่านมา แผนที่นี้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลย มหาอำมาตย์ได้แต่รำพึงอยู่ในใจ ทันใดเสียงทหารยามก็ประกาศการมาถึงของกษัตริย์ซาดิน นาริสโค้งตัวลงคำนับระหว่างที่กษัตริย์ซาดินเสด็จเข้ามาในห้อง

“ตามสบาย ท่านนาริส” กษัตริย์ซาดิน ตรัสด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พลางประทับลงบนเก้าอี้ทองคำ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เมื่อนาริส สุไลมานเงยหน้าขึ้นและเห็นเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ซาดิน ซึ่งบ่งบอกว่ากษัตริย์หนุ่มกำลังจะไปหาความสำราญในฮาเร็มนั้นเอง นาริสจึงโค้งอีกครั้งกล่าวทูล “ขอประทานอภัยฝ่าบาท ที่มาเข้าเฝ้าในเวลาที่พระองค์จะไปผ่อนคลายอิริยาบถเช่นนี้”

“ไม่เป็นไร ท่านนาริส “กษัตริย์หนุ่มทรงโบกพระหัตถ์อย่างไม่จริงจัง” วันนี้ข้าไปที่นั่นเร็วกว่าเวลาปรกติอยู่สักหน่อย ว่าแต่ท่านมีกิจด่วนสำคัญใดจึงมาพบข้ากะทันหันเช่นนี้หรือ?”

“กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล หากแต่มิใคร่สะดวกที่จะกราบทูลในท้องพระโรง จึงต้องมาขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์”

“เรื่องอะไรหรือ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น

“เกี่ยวกับ พระนางเนริมอร์ ฝ่าบาท……พระองค์ทรงทราบปฏิกิริยาของพระนางแล้ว?”

“ใช่ ข้ารู้แล้ว” กษัตริย์ซาดินตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

มหาอำมาตย์หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสร้งสงสัย “ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พระนางอภิเษกสมรสกับพระองค์ด้วยวัยเพียงสิบชันษา พระนางก็มิเคยขัดคำสั่งพระองค์แม้เพียงสักครั้งมิใช่หรือ? หน้าที่การงานต่าง ๆ พระนางก็มิเคยบกพร่อง ครั้งนี้คงถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา……”

กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มเล็กน้อย ทอดพระเนตรมายังมหาอำมาตย์ผู้เป็นเสมือนญาติสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ ตรัสตอบเหมือนรู้ความนัยที่แฝงในคำพูดนั้น

“ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ ท่านนาริส ข้าเห็นท่านมาตั้งแต่จำความได้ น้ำเสียงกับสีหน้าแบบนั้นมันแปลว่าท่านเริ่มจะวาดลีลาวาทศิลป์ให้ข้าเวียนหัวอีกแล้วนะ…..หึหึ”

นาริส สุไลมานยิ้ม “ก็เหมือนกับที่กระหม่อมทราบว่าที่จริงพระองค์ก็ทรงกังวลเรื่องของพระนางอยู่ไม่น้อย แต่กลับทรงเงียบเฉยเสีย”

กษัตริย์ซาดินทรงหรี่เนตร และพยักพระพักตร์เล็กน้อย “ท่านรีบเข้าเรื่องของท่านเถอะ นาริส”

“ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบดีว่ากระหม่อมจะทูลอะไร พระนางเนริมอร์มีสิ่งสำคัญในชีวิตของพระนางอยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่พระนางจะยอมไม่ได้ที่จะเสียมันไปแม้สักวินาที กระหม่อมยังจำได้ดี ในงานถวายราชบรรณาการของแคว้น มาชฮา ทางตะวันตกที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องเพชรนิลจินดาและแพรพรรณอันงดงาม แม้แต่เหล่านางสนมกำนัลเพียงได้เห็นก็นัยน์ตาลุกวาวตื่นเต้นตามประสาอิสตรี แต่พระนางเนริมอร์กลับทรงหันพระพักตร์ไปทางห้องบรรทมของพระโอรสตลอดเวลา และยังเสด็จออกจากงานไปหาพระโอรสถึงสามครั้ง ซ้ำยังเสด็จออกจากงานไปก่อนที่งานจะจบลง ในชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมพบเห็นความรักของแม่และลูกมามาก แต่สำหรับพระนางเนริมอร์นั้นใครที่เห็นก็คงอดตื้นตันไม่ได้”

“ความอ่อนไหวเกินกว่าเหตุของอิสตรี” กษัตริย์ซาดิน ตรัสพลางทอดสายพระเนตรออกไปไกลนอกหน้าต่าง “ท่านจะให้ข้ายึดเอาเรื่องไร้สาระนี้เป็นสิ่งร่วมในการตัดสินใจการศึกอย่างงั้นหรือ?”

“ฝ่าบาท…..”

กษัตริย์ซาดิน ทรงสูดหายใจเข้าลึกไม่ยอมหันมาสบเนตรพลางยกพระหัตถ์ห้าม “พอเถอะ ท่านนาริส ไว้คุยเรื่องนี้ทีหลังแล้วกัน ท่านกำลังจะทำให้ข้าหมดอารมณ์กับความสำราญในฮาเร็ม”

กษัตริย์หนุ่มก้าวจะเสด็จออกไปจากห้อง อำมาตย์ชราสีหน้าวิตกร้องห้าม “ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด ความสุขในฮาเร็มจะสำคัญอย่างไร? แต่เรื่องนี้นั้น………”

กษัตริย์ซาดินทรงหมุนตัวกลับ จ้องเขม็งไปยังนาริส “ท่านเห็นว่าข้ากำลังทำสิ่งไม่เหมาะสมในเวลาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยมิบังอาจ……”

“ท่านนาริส ชีวิตของข้าเองก็เหมือนไฟ วันนี้สว่างไสว แต่ไม่รู้วันใดจะดับมอด..... หากข้าจะหาความสุขให้มากที่สุดตราบที่มีชีวิต มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้วมิใช่หรือ?”

เมื่อกษัตริย์ซาดินตรัสจบก็ทรงยิ้มให้นาริสก่อนที่จะเสด็จจากไป อำมาตย์เฒ่าได้แต่มองตามหลังกษัตริย์เพลิงไปพลางถามตัวเองอยู่ในใจว่า ‘ข้าเห็นความเศร้าแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้นรึ? หรือเป็นเพียงแค่อาการตาฝ้าฟางจากความชรากันนะ?’
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน

cron