Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 17, 2024 12:02 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter2 The Sun @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter2 The Sun @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:51 am

Chapter2 The Sun


รุ่งเช้าของวันใหม่เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วจักรวรรดิซาโลม หลายชีวิตเพิ่งจะเริ่มวันใหม่ได้ไม่นานนัก หากแต่ที่ท้องพระโรง ณ ใจกลางปราสาทนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพ นายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ ซึ่งมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างก็นั่งอยู่บนเบาะทรงกลมใบใหญ่หลากสีที่เรียงรายอยู่สองฝั่งข้างท้องพระโรง ลดหลั่นกันไปตามลำดับยศ เหล่าทหารยามร่างใหญ่กำยำหลายนายถือดาบโค้งเสี้ยวพระจันทร์ยืนประจำตามเสาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางแข็งขัน เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรงนั้น ที่ฐานบัลลังก์ทองคำอันประดับด้วยขนทองของกริฟฟิน มีบุรุษสองคนยืนขนาบทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอยู่ บุรุษผู้อยู่ทางซ้ายมือนั้นก็คือ อุปราชเบลซ เซจนั้นเอง

เบลซ เซจนั้นมีใบหน้าที่ยาวแหลม แก้มตอบ จมูกงุ้มงอ ริมฝีปากบางดำคล้ำ ไว้หนวดยาวแหลมที่ใต้คาง รูปร่างผอมสูงชะลูด ผิวขาวซีดจนดูเขียวคล้ำ คิ้วยาวเหยียดตรงปลายคิ้วชี้สูง หากแต่ดวงตานั้นกลับแหลมคมรีเล็กราวกับพญาเหยี่ยวที่คอยจ้องจับเหยื่อ ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าทุกครั้งยามเมื่อถูกจ้องมอง อีกทั้งท่วงท่าสีหน้าและการวางตัวนั้นก็สงบนิ่งยากนักที่จะคาดเดาใจได้
ซึ่งต่างกับบุรุษผู้ที่ยืนอยู่ทางเบื้องขวายิ่งนัก บุรุษผู้นี้มีร่างที่กำยำกว่าทหารทั่วไป ผมหยักเป็นลอนสีน้ำตาลเข้มแซมขาว ไว้เคราดกหนา ใบหน้าคมได้รูป หากแต่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏอยู่ที่หางตาและร่องแก้มทั้งสองข้าง บ่งบอกถึงวัย และประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างโชกโชนในวัยหนุ่ม คิ้วเข้มหนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมฉายแววแน่วแน่มุ่งมั่น จมูกเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากอิ่มหนา แลดูสุขุมเยือกเย็น บุรุษผู้นี้ยืนอย่างสง่าในชุดเสื้อคอปกสีขาวทับด้วยเสื้อแขนกุดสีแดงขลิบทอง กางเกงขายาวปลายพองสีแดง และผ้าคลุมกำมะหยี่เนื้อดีสีแดงเข้ม ยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้ดูสุขุม และทรงอำนาจยิ่งขึ้น บุรุษผู้นี้ก็คือนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้เรืองปัญญาแห่งจักรวรรดิซาโลม ผู้เคยรับใช้พระบิดาของกษัตริย์ซาดินมาแต่ครั้งก่อนและคอยสอนสั่งในเรื่องต่าง ๆ ให้พระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัยนั่นเอง ทั้งยังเคยช่วยชีวิตของกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงต่างเคารพและให้เกียรตินาริส สุไลมานยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลเรื่องกฎหมายบ้านเมืองให้แก่จักรวรรดิซาโลมได้อย่างมิมีบกพร่องอีกด้วย

หากจะเปรียบไปแล้วนาริส สุไลมานก็มิต่างจากมือขวาของกษัตริย์ซาดิน ส่วนเบลซ เซจนั้นก็เป็นเสมือนมือซ้าย ซึ่งต่างก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ทว่าเป็นที่รู้กันดีว่านาริส สุไลมานและเบลซ เซจไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่มักเกิดเรื่องโต้เถียงกัน เพราะทั้งสองคนนั้นเสมอกันด้วยอำนาจ ภูมิปัญญา ความสุขุมลุ่มลึก ความหลักแหลมแห่งปฏิภาณ วัยวุฒิรึก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้แต่กษัตริย์ซาดินเองก็ยังหน่ายใจ และไม่อาจเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ เพราะเกรงจะสร้างความบาดหมางแก่อีกฝ่าย จึงจำต้องเป็นคนกลางคอยอะลุ่มอล่วยประนอมความให้แก่บุคคลทั้งสองอยู่เนือง ๆ

ขณะที่ทั้งสองต่างก็ยังคงจ้องมองกันและกันด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านออก เสียงประกาศจากทหารก็ดังขึ้น

“กษัตริย์ซาดิน และราชินีเนริมอร์ เสด็จแล้ว”

ทันใดนั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรีบลุกขึ้นยืนโค้งทำความเคารพ ทั่วท้องพระโรงที่เคยอึกทึก มาบัดนี้กลับเงียบสนิทไร้ซึ่งสำเนียงใด ๆ เพียงชั่วอึดใจกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ก็เสด็จเข้ามาภายในท้องพระโรง กษัตริย์ซาดินนั้นค่อย ๆ ย่างก้าวอย่างองอาจไม่ต่างกับราชสีห์ขึ้นสู่แท่นบัลลังก์ทองคำ โดยมีราชินีเนริมอร์เสด็จตามหลังด้วยท่วงท่าราวพญาหงส์ พระนางเสด็จไปประทับยังเบาะสีแดงสดขลิบทองใบใหญ่ที่ถูกจัดไว้ทางซ้ายเยื้องไปทางเบื้องหลังของบัลลังก์ทองคำเล็กน้อย เมื่อทุกฝ่ายต่างนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วกษัตริย์ซาดินจึงตรัสขึ้น

“ก่อนที่เราจะเริ่มการหารือกันในวันนี้ ข้าอยากจะฟังคำทำนายถึงบุตรชายข้าเสียก่อน” แล้วจึงหันพระพักตร์ไปทาง เบลซ เซจ

“นาซาอี เดินทางมาถึงได้สักพักแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เบลซ เซจค้อมตัวเล็กน้อยกล่าวทูลอย่างรู้งาน แล้วจึงส่งสัญญาณให้กับทหารต้นห้อง

เสียงเบิกตัวนาซาอีดังขึ้นทันทีที่ประตูท้องพระโรงเปิดออก ปรากฏร่างหญิงสาวหุ่นเพรียวบางยืนอยู่อย่างสงบ นางอยู่ในชุดสีแดงยาวเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ในมือของนางถือกล่องใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งซึ่งสลักลวดลายเป็นอักขระโบราณทั่วทั้งกล่อง นางค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้าตามพรมสีแดงสดที่ปูเป็นทางยาวกลางท้องพระโรงนั้น สายตาของเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างจับจ้องไปที่นาง ทั้งนี้มิใช่เพราะนางเป็นคนสวยเลิศเลอ หากแต่เพราะการทำนายของนางนั้นมิเคยผิดพลาดแม้เพียงสักครั้ง อีกทั้งยังไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเสียงพูดคุยของนาง ทุก ๆ คำที่ออกมาจากปากของนางล้วนแล้วแต่เป็นคำทำนายทั้งสิ้น

เมื่อนาซาอีเดินมาหยุดยืนอยู่ ณ กลางท้องพระโรงตรงที่ทหารองครักษ์ได้นำโต๊ะทรงเตี้ยและเบาะรองนั่งมาจัดวางไว้ให้นั้น นาซาอีก็ค่อย ๆ โค้งคำนับกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์อย่างช้า ๆ

“นาซาอี เจ้าคงรู้แล้วว่าข้ามีกิจใดที่เรียกเจ้ามาในวันนี้ เจ้าจงทำนายถึงซาร์ อิสฮานบุตรชายของข้าสิ!!” กษัตริย์ซาดินตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจ นาซาอีโค้งคำนับอีกครั้งก่อนที่จะนั่งลงบนเบาะที่ถูกจัดเตรียมไว้ บนโต๊ะนั้นมีผ้าสีดำผืนใหญ่ปูแผ่อยู่ นางค่อย ๆ วางกล่องในมือลงบนโต๊ะนั้น พลางเปิดกล่องหยิบสำรับไพ่ทำนายออกมา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter2 The Sun @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:52 am

ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างเงียบกริบราวกับจะหยุดหายใจ ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมาจากบรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์เลย เพราะต่างก็ใจจดจ่ออยู่กับการทำนายของนาง นางสับไพ่ในมือและจัดวางไพ่อย่างพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำด้วยท่วงทำนองที่ไม่มีใครได้ยิน เมื่อการวาดมือของนางสิ้นสุดลง ไพ่บนโต๊ะก็ถูกจัดวางเป็นรูปวงกลมอย่างสวยงาม มีไพ่อยู่หนึ่งใบวางอยู่ ณ ใจกลางวงกลมนั้น นางยื่นมือไปแตะที่ไพ่ใบนั้น

“ไพ่ใบนี้......หมายถึง พระโอรสซาร์ อิสฮาน” นาซาอีกล่าวพร้อมทั้งค่อย ๆ หงายไพ่ขึ้น ปรากฏเป็นรูปดวงอาทิตย์สีแดงดวงโตส่องประกายเจิดจรัส ทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณนั้น

“ไพ่ใบนี้มีความหมายว่าอย่างไร?” ราชินีเนริมอร์ทรงโพล่งออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้จนแทบจะทนประทับอย่างสงบต่อไปไม่ไหว
นาซาอีค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองผู้สูงศักดิ์ทั้งสองแวบหนึ่งแล้วจึงเบนสายตาช้า ๆ กลับมาสนใจที่ไพ่ใบนั้น “ในวันที่พระโอรสประสูตินั้น ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเป็นสีทองไปทั่วทั้ง จักรวรรดิซาโลม” แล้วจึงเงยหน้าขึ้น ประกาศคำทำนายด้วยเสียงอันดัง “หาก ซาดิน เป็นได้ถึงจักรพรรดิ บุตรของเขาจะเป็นใหญ่ยิ่งกว่า ซาดินคือมหาเพลิงที่น่ากลัว แต่บุตรของเขา......คือ ดวงอาทิตย์”

ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบกริบเหมือนกับเวลาถูกหยุดอยู่กับที่ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ จากนั้นอีกเพียงชั่วอึดใจเดียวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งท้องพระโรงนั้น

กษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ทรงต่างนิ่งเงียบงงงันพยายามซึมซับทบทวนถ้อยคำทำนายนั้นอย่างถี่ถ้วน แต่เพียงชั่วครู่กษัตริย์ซาดินก็ทรงค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา สีพระพักตร์บ่งบอกถึงความปิติยินดีอย่างยิ่ง “เจ้าหมายความว่าบุตรชายข้า จะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าข้าอย่างนั้นรึ?”

ด้านราชินีเนริมอร์เองก็ทรงยกหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นปิดพระโอษฐ์ด้วยพระนางแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ทรงได้ยิน ดวงเนตรสีอำพันพราวระยับ หทัยโลดเต้นด้วยความยินดี ดวงตาของนาซาอีเล็กหรี่แคบลงฉายแววแห่งความยินดีดูคล้ายกับว่านางกำลังคลี่ยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าของนางไว้ นาซาอีมิได้ตอบคำถามใด ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นโค้งคำนับและหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับทิ้งปริศนาแห่งคำทำนายของนางไว้เบื้องหลัง

ทันทีที่นาซาอีจากไปทุกคนในท้องพระโรงทั้งเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างก็ตีความปริศนาในคำทำนายของนาซาอีกันไปต่าง ๆ นานา กษัตริย์ซาดินจึงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา

“เอาล่ะ ๆ เงียบกันได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองมีความเห็นว่าอย่างไร?” พระองค์หันพระพักตร์ไปทสงเบลซ เซจและนาริส สุไลมาน เบลซ เซจจึงรีบก้าวออกมาโค้งคำนับพลางทูลว่า

“ฝ่าบาท คำทำนายของนาซาอีนั้น เป็นการยืนยันถึงสิ่งที่เรากำลังจะหารือกันในวันนี้อย่างแน่นอน การประสูติของพระโอรสน้อยนับเป็นมหามงคลยิ่ง แสงทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องไปทั่วซาโลมในวันประสูตินั้นก็คือ นิมิตหมายที่บ่งบอกว่ายุคทองของ จักรวรรดิซาโลม ได้มาถึงแล้ว และคำทำนายในวันนี้ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าฝ่าบาทจะมีชัยเหนือทวีปเมอร์ริเซีย ทั่วทุกแว่นแคว้นจะต้องยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าฝ่าบาท เมอร์ริเซียจะต้องเป็นของชาวซาโลม และตระกูลอิบริด ชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่แท้”

เมื่อกษัตริย์ซาดินทรงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างพอพระทัยยิ่ง ข้างฝ่ายบรรดาเสนาอำมาตย์ต่างก็ส่งเสียงดังอื้ออึงอีกครั้ง ทั้งเสียงสนับสนุน และเสียงคัดค้านโต้ตอบกันไปมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ข้างราชินีเนริมอร์นั้นก็ว้าวุ่นพระทัยยิ่งนัก พระนางทอดพระเนตรไปยังนาริส สุไลมาน เมื่อทรงเห็นว่ามหาอำมาตย์ใหญ่ก็มีทีท่าไม่เห็นชอบด้วยเช่นกัน พระนางจึงค่อยมีความหวังขึ้น

ครั้นเมื่อคิดว่าเงียบอยู่ต่อไปคงไม่เป็นการดีแน่ นาริสจึงก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้าองค์กษัตริย์ โค้งคำนับแล้วจึงทูลว่า

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงหมายจะพิชิตเมอร์ริเซียนี้ทรงตรึกตรองดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? การณ์ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่ใช่จะสามารถกระทำได้ง่าย ๆ อาณาจักรทั้งสามทางใต้นั้นล้วนแล้วแต่มียอดฝีมืออยู่มากมาย ทั้งวิชายุทธ์ก็ออกจะแปลกพิสดารกว่าเรามากนัก อีกทั้งสภาพภูมิประเทศที่แตกต่าง ทหารของเราแม้จะเก่งกาจชำนาญศึก แต่ก็เฉพาะในถิ่นทุรกันดารนี้เท่านั้น คู่ต่อสู้ที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพวกแคว้นเล็กแคว้นน้อย....”

“อ้า!! ท่านนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านจึงมีใจเยี่ยงอิสตรีเช่นนี้เล่า? ท่านผู้เปรียบเสมือนราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับกลัวการตะปบหนูตัวจ้อยในพงไพร ท่านพูดเหมือนกับว่าซาโลมจะต้องพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนี้ ถ้อยคำดูแคลนเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของท่าน” เบลซ เซจว่าเหน็บแนมด้วยสีหน้ายียวนและท้าทาย

“ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูแคลน หรือ ขลาดกลัวอย่างที่ท่านกล่าวหา อย่ามองอะไรแต่เพียงด้านเดียวสิ และโปรดอย่าใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่นด้วยท่านอุปราช ข้ากำลังนึกถึงหลักความเป็นจริงโดยมีพื้นฐานอยู่บนความสงบสุขของจักรวรรดิและประชาชนแห่งซาโลมต่างหาก” นาริส สุไลมานกล่าวด้วยทีท่าสงบแต่แฝงนัยยะบางอย่างไว้ในคำพูด จนทำให้เบลซ เซจถึงกับถลึงตาจ้องอำมาตย์เฒ่าเขม็ง นาริสจ้องตอบพร้อมกับเจือความขบขันน้อย ๆ ในแววตา ก่อนจะหันมาทางกษัตริย์ซาดิน “ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงตรองดูเถิดว่าสิ่งที่กระหม่อมกราบทูลนั้นเป็นจริงหรือไม่?”

กษัตริย์ซาดินทรงนิ่งเงียบไปสักพักราวกับกำลังชั่งพระทัยในสิ่งที่ได้สดับฟัง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “ถ้าเช่นนั้นแล้วซาโลมจะเข้าสู่ยุคทองที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์นั้นมา?” กษัตริย์หนุ่มผู้ที่ทั้งชีวิตมีแต่การช่วงชิงเพื่อความอยู่รอด ไม่เข้าใจเจตนาที่มหาอำมาตย์ตั้งใจจะกราบทูลแม้แต่น้อย

“จากประสบการณ์ที่กระหม่อมได้กรำศึกน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน กระหม่อมเกรงว่าการศึกในครั้งนี้อาจจะกลายเป็นมหาสงครามที่กินเวลายาวนานและอาจลุกลามรุนแรงจนมิอาจควบคุม เราจักรวรรดิเดียวต้องเป็นศัตรูกับอาณาจักรน้อยใหญ่อื่น ๆ ทั้งทวีปเมอร์ริเซีย ศึกครั้งนี้สิ่งที่เราจะได้มาอาจจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เราจะต้องสูญเสียไปนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter2 The Sun @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:54 am

กษัตริย์ซาดินทรงมีสีพระพักตร์เคร่งเครียดยิ่งขึ้นพลางเหลือบเนตรไปทางเบลซ เซจเพื่อขอความเห็น

“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเหตุการณ์จะเป็นดังที่ท่านว่า? นี่ท่านเฒ่าชราจนหูอื้อเลยไม่ได้ยินคำทำนายถึงพระโอรสกระมัง?” เบลซ เซจเอ่ย เหยียดปากยิ้มเยาะ นาริสจึงหันกลับไปตอบเบลซ เซจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดุจกัน

“หูของข้ายังได้ยินชัดเจนดี ว่าแต่ตัวท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านตีความคำทำนายได้ถูกต้อง?”

สีหน้าเบลซ เซจกลับมาเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ พลางกล่าว

“มหาอำมาตย์พูดเช่นนี้ หมายความว่าข้าตีความผิด แล้วท่านสามารถตีความได้ถูกต้องกว่าข้าอย่างนั้นรึ? เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องขอฟังการวิเคราะห์อันชาญฉลาดจากท่านเสียหน่อยแล้ว”

“ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้วท่านอุปราช ข้ามิได้มีเจตนาจะดูแคลนท่านหรอก แต่ถ้าท่านจะคิดเช่นนั้นข้าก็คงจะไปบังคับความคิดของท่านไม่ได้ เพียงแต่ข้าอยากให้ท่านใช้ความคิดในการตีความให้รอบคอบและหลายแง่มุมกว่านี้สักหน่อย” นาริสยิ้มน้อย ๆ ยกนิ้วชี้เคาะที่ขมับขวาเบา ๆ มองไปทางอุปราชเฒ่าพลางหันมาโค้งคำนับให้กษัตริย์ซาดินอีกครั้ง แล้วจึงทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ใช่นักปราชญ์ที่จะวิเคราะห์ถอดความคำทำนายได้ดีกว่าคนอื่น ๆ หากแต่กระหม่อมไม่เห็นว่าสงครามและการเข่นฆ่าที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบสิ้นจะทำให้ซาโลมเข้าสู่ยุคทองได้ แทนที่พระองค์จะทรงก่อสงครามขึ้นทั่วผืนทวีปนี้ ใยพระองค์ไม่หันหน้ามาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองเล่า? เมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่ายุคทองของซาโลม ฝ่าบาท เราสูญเสียมามากพอแล้วกับการทำศึกสงครามตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งทรัพย์สินในท้องพระคลัง ทั้งไพร่พลมากมาย”

กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใช่ เราสูญเสียไปมาก โดยเฉพาะไพร่พล...”

เบลซ เซจ เห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท พระองค์ทรงกลัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? เหล่าทหารพร้อมจะพลีชีพเพื่อพระองค์อยู่แล้ว ซาโลมเป็นดั่งไฟ เมื่อไฟให้พลัง ให้ประโยชน์ใด ๆ แก่พระองค์ มันย่อมต้องเผาผลาญบางสิ่งเพื่อเป็นเชื้อเพลิง ดังนั้น การที่แผ่นดิน ประเทศ ผู้คนต้องถูกเผาผลาญเพื่อสร้างยุคใหม่อันยิ่งใหญ่ และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งซาโลม มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

กษัตริย์ซาดินที่มีพระทัยเอนเอียงในสงครามอยู่แล้วจึงทรงยิ้มอย่างพอพระทัยเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ในแววเนตรมีประกายวาวดูน่ารักมเกรียม พลางพยักพระพักตร์ช้า ๆ ตรัสเปรยขึ้น “จริงของเจ้า”

“ฝ่าบาท แล้วหากไฟนี้ร้อนแรงเกินกว่าเราจะควบคุมได้ จนไฟนี้ย้อนกลับมาเผาผลาญผู้ที่จุดเสียเองเล่า?” นาริสไม่ยอมแพ้เช่นกัน

ด้านราชินีเนริมอร์นั้น ไม่อาจเก็บความร้อนพระทัยได้อีกต่อไป จึงตรัสแทรกขึ้น

“ซาดิน ข้าคิดว่าการณ์นี้เราอาจได้ไม่คุ้มเสีย เหล่าทหารของเราก็......” พระนางเนริมอร์หยุดตรัสทันทีเมื่อกษัตริย์ซาดินยกพระหัตถ์ห้าม พระองค์ทรงหันไปมองเบลซ เซจ นัยว่าจะให้เบลซ เซจเป็นผู้โต้คำของพระนางเนริมอร์เอง

เบลซ เซจแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย กล่าวลากเสียงช้า ๆ จนฟังดูน่าโมโห “พระนางเนริมอร์ แล้วถ้าหากในการทำศึกครั้งนี้ ฝ่าบาทจะไม่เสียกำลังไพร่พลแม้เพียงสักคน ซ้ำยังมีกำลังพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้นเล่า?”

“เหลวไหล! ” ราชินีเนริมอร์ทรงลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดัง “เจ้าพูดเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว จริงอยู่ว่ารบโดยมิเสียกำลังไพร่พลอาจทำได้ แต่การเพิ่มจำนวนกำลังพลอย่างเจ้าว่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้”

“แล้วหากข้าพระองค์ทำได้ล่ะ?” เบลซ เซจกล่าวอย่างท้าทาย

ทั้งกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ต่างก็ประหลาดพระทัยในความมั่นอกมั่นใจของอุปราชเฒ่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาเสนาอำมาตย์ดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง ด้านนาริสเองก็ขมวดคิ้วมองอุปราชเฒ่าด้วยความสงสัย แต่ในพระทัยของราชินีเนริมอร์ขณะนี้เต็มไปด้วยความกังวลร้อนใจ และโทสะจากการยั่วยุของเบลซ เซจ จึงไม่ทันได้ระวังอุบายที่เบลซ เซจวางไว้ จนเผลอประกาศกร้าวออกไป

“น่าขันนิ ก็เอาสิ!หากเจ้าพิสูจน์ว่าทำได้จริง ข้าก็จะไม่ขัดขวางการศึกครั้งนี้อีก”

กษัตริย์ซาดิน ได้ฟังเช่นนั้นก็นึกฉงนด้วยเช่นกัน “เบลซ เซจ เจ้าจะใช้วิธีใดรึ? ไหนลองบอกข้าสิ”

“ฝ่าบาททอดพระเนตรด้วยพระองค์เองจะดีกว่า ข้าพระองค์ได้เตรียมการไว้แล้ว”

เบลซ เซจ ค้อมศีรษะ เป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะปรบมือสองครั้งเป็นสัญญาณ ทหารองครักษ์สองนายก็หามศพของนายทหารคนหนึ่งเข้ามา กลิ่นซากศพที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วท้องพระโรงนั้น เหล่าเสนาอำมาตย์บ้างก็เบือนหน้าหนี บ้างก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับกลิ่นสาบสาง นาริส สุไลมานเห็นดังนั้นจึงเอ่ยตำหนิเสียงเข้ม

“นี่ท่านเสียสติไปแล้วหรือ? ถึงได้นำศพเข้ามาในเขตพระราชฐานเช่นนี้”

เบลซ เซจหันไปมองด้วยสายตาสมเพท ก่อนจะแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่กล่าวตอบใด ๆ เมื่อนายทหารทั้งสองวางศพลงที่กลางท้องพระโรง เบลซ เซจก็ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าบัลลังก์ที่ประทับ

“ข้าพระองค์ได้เรียนรู้วิชานี้จากนักปราชญ์มนต์ดำผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ ถึงแม้วิชาจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่หากให้เวลาข้าพระองค์อีกสักระยะ ข้าพระองค์มั่นใจว่าสามารถฝึกได้จนสมบูรณ์”

ว่าแล้วเบลซ เซจก็หยิบขวดกระเบื้องสีแดงเล็ก ๆ ขวดหนึ่งออกมาเปิดจุกออก ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาจากขวดนั้นตลบอบอวนไปทั่วทั้งท้องพระโรง เบลซ เซจเดินเข้าไปใกล้ศพนั้นพลางเทของเหลวสีดำสนิทลงไปที่ศพสองสามหยด จากนั้นก็ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วก็เริ่มร่ายมนต์ด้วยภาษาที่แปลกหู ทุกคนในห้องต่างเงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่กับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า สิ้นเสียงร่ายมนต์ของเบลซ เซจ ภายในห้องก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทางโดยหาที่มาของเสียงไม่ได้ และแล้วในทันใดนั้นทุกอย่างก็สงบลงแทบทันที ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น

“จงตื่นขึ้นมาด้วยวิญญาณใหม่แห่งมารเถิด ทาสแห่งข้า” เบลซ เซจสั่งด้วยเสียงอันดัง

ทันใดนั้นซากศพก็ส่งเสียงร้องโหยหวน และเริ่มขยับตัวลุกขึ้น เสียงประหวั่นพรั่นพรึงจากบรรดาเสนาอำมาตย์ก็ดังไปทั่วท้องพระโรง เบลซ เซจยิ้มอย่างพอใจกล่าวว่า “แสดงพลังในตัวเจ้าให้ข้าดูหน่อยสิ”

ซากศพนั้นก็ชักดาบออกมาจากฝักและหันหน้าไปทางทหารองครักษ์ทั้งสองที่เป็นผู้หามตนเข้ามา ทหารองครักษ์ทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบชักดาบออกมาด้วยสัญชาตญาณในการป้องกันตัวเองทันที

“หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็จงฆ่ามันซะ” เบลซ เซจหันไปกล่าวกับทหารทั้งสองนาย

สิ้นคำของเบลซ เซจซากศพนั้นก็กระโจนเข้าใส่ทหารทั้งสองทันที ทั้งสามต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ซากศพนั้นแม้จะถูกฟันแทงกี่ครั้งกี่หนก็ไม่สิ้นฤทธิ์ ยังคงตรงเข้าห้ำหั่นทหารทั้งสองอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดทหารทั้งสองก็เริ่มอ่อนแรงด้วยความเหนื่อยล้าและเพราะพิษบาดแผล ร่างของทหารทั้งสองจึงค่อย ๆ ทรุดลงและสิ้นใจตายอยู่แทบเท้าซากศพนั้น

“ดูสิว่าท่านทำอะไรลงไป!” ทันทีที่หายจากอาการตื่นตระหนก นาริสก็หันไปจ้องหน้าเบลซ เซจกล่าวเสียงกร้าว “ท่านทำให้เราเสียทหารฝีมือดีไปถึงสองคน! แล้วนี่...วิชาต้องห้ามแบบนี้ท่านไปร่ำเรียนวิชาชั่วร้ายเช่นนี้มาจากไหนกัน?”

เบลซ เซจ เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง “ข้าก็บอกไปแล้วนิว่าข้าเรียนมาจากสหายของข้า และท่านก็เข้าใจผิดแล้วมหาอำมาตย์ผู้ชาญฉลาด เราไม่ได้เสียทหารฝีมือดีไป แต่ข้าทำให้เรามีทหารที่เก่งกาจ และแข็งแกร่งที่สุดเพิ่มขึ้นอีกสองคนต่างหากเล่า”

ว่าแล้ว เบลซ เซจ ก็ทำการร่ายมนต์ปลุกทหารทั้งสองขึ้นมา ศพของทหารทั้งสองก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าที่บัลลังก์ ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างพากันนิ่งเงียบตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งงงงันและพรั่นพรึง แม้แต่นาริส สุไลมานก็อยู่ในอาการไม่ต่างกันได้แต่จ้องมองเบลซ เซจด้วยความสะอิดสะเอียนในความวิปริตของอุปราชเฒ่า ข้างฝ่ายพระนางเนริมอร์นั้นทั้งตกตะลึง โกรธกริ้ว และทรงรู้เสียหน้าอย่างยิ่ง หากแต่พระนางไม่สามารถกล่าวใด ๆ ได้อีก เพราะได้ทรงลั่นวาจาออกไปแล้ว จึงได้แต่ขบกรามแน่น ลุกขึ้นสะบัดพระพักตร์ เสด็จออกจากท้องพระโรงไปด้วยความกริ้วโกรธ

กษัตริย์ซาดินนั้นเมื่อคลายความตกตะลึงลงแล้วก็ทรงคลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ารักมเกรียม

“ดีมากเบลซ เซจ! กองทัพที่ไม่มีวันตายใครเล่าจะหาญกล้าต่อกรด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

เสียงหัวเราะของกษัตริย์แห่งซาโลมดังลั่นท้องพระโรง ในขณะที่เหล่าขุนนาง ต่างนิ่งเงียบ รู้สึกขนพองสยองเกล้ากับเหตุการณ์วิปริตที่เกิดขึ้น ข้างฝ่ายอุปราชเฒ่าก็ยืนยิ้มอย่างผู้มีชัย เคียงข้างศพเดินได้ทั้งสามนั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน