Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ เม.ย. 26, 2024 9:56 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 1 เหตุแห่งเพลิง @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 1 เหตุแห่งเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:42 am

ไกลออกไปยังผืนทวีปอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งได้ถูกเล่าขานเป็นตำนานแห่งผืนแผ่นดินและถูกบันทึกลงในหน้าประวัติ ศาสตร์ของมวลมนุษยชาติว่า ครั้งหนึ่งดินแดนแห่งนี้เคยเป็นที่ชุมนุมของแหล่งอารยะธรรมอันอบอวลไปด้วย มิตรภาพของผู้คนภายใต้วัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของผองชน และสืบสานวิทยาการ วิถีความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรมแห่งความนึกคิดจนถึงอุดมการณ์แห่งการดำรงชีวิต จนกลายเป็นดินแดนแห่งอารยะธรรมที่หลากหลาย

ความแตกต่างทางภูมิประเทศนี่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความแตกต่างแห่งวิถีการ ดำเนินชีวิตโดยขีดเส้นแดนกั้นกลางไว้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือตามเผ่า พันธุ์และได้ถูกก่อตั้งเป็นดินแดนน้อยใหญ่โดยมีอุดมการณ์ของแต่ละเผ่าชนเป็น อธิปไตยชี้นำทางให้ผู้คนในเผ่าได้ยึดถือและสืบทอดต่อกันมา ดินแดนแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงความกว้างใหญ่สุดประมาณ และได้ขนานนามทวีปแห่งนี้ว่า เมอริเซีย (Merrisia) อันแปลว่าผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์

เมื่อ เมอริเซีย เปรียบดั่งผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ บนฟากฟ้านั้นย่อมมีหมู่ดาวน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่ ซึ่งดาวเหล่านั้น ก็เปรียบเสมือนดั่งเมืองน้อยใหญ่ที่รวมตัวกันจนกลายเป็นนครใหญ่ หรือเป็นเพียงเผ่าเล็กเผ่าน้อยกระจายไปทั่วแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ เมอริเซียนี้เหมือนดั่งว่ามีชีวิตจิตใจ และความรู้สึกนึกคิด นี่เป็นเพราะดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้มีสิ่งหนึ่งซึ่งเคลื่อนย้ายถ่ายเทพลัง แห่งชีวิตหล่อเลี้ยงเมอริเซียอยู่ นั่นคือเหล่าธาตุแห่งธรรมชาติทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งเมอริเซียนี้ร้อนแรงประหนึ่งไฟ พริ้วไหวได้ดั่งลม นิ่งสงบดุจน้ำ และมั่นคงเสมอดิน ด้วยเหตุนี้เมอริเซียจึงเป็นสถานที่ที่รวมทุกสรรพชีวิตไว้ด้วยกันทั้ง ทวยเทพ มนุษย์ สิงห์สาราสัตว์ อสูรกาย แมลง หรือแม้แต่เครื่องจักรกล ทุกสรรพสิ่งนี้ต่างก็มีกาย และวิญญาณ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันนั้นคือ มนุษย์ซึ่งมีความแตกต่างทางจิตใจ และอุดมการณ์โดยมีแสงสว่างและความมืดเป็นเครื่องชี้นำจิตใจ

ความรัก ความเมตตา คือแสงสว่างแห่งชีวิตที่สร้างสรรพสิ่งขึ้น แต่ กิเลส ราคะ ตัณหา และ ความโลภ เป็นสาเหตุให้ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด จนความมืดเข้ามาครอบงำจิตใจ กลายมาเป็นชนวนของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่ต้องจารึกไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้คนว่า สงครามนั้นคือการทำลายล้างที่สร้างไว้แต่ความสูญเสียที่มิอาจเรียกกลับคืน ได้ และเป็นมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตที่แม้แต่เหล่าทวยเทพ ยังต้องสะพรึงกลัว

สงครามย่อมเกิดจากสองฝ่าย ทั้งผู้รุกราน และผู้ถูกรุกราน ซึ่งฝ่ายหลังนี้ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกปักษ์รักษาเอกราชอันทรงเกียรติ แห่งมาตุภูมิของตนเองไว้แม้ต้องสิ้นชีพไป เกียรติยศแห่งชาตินักสู้และศักดิ์ศรีแห่งมาตุภูมิคือสิ่งที่มิใช่การถ่าย ทอดทางตำรา ทว่าคือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผองชนในทุกเผ่าพันธุ์อันสืบสานมาจากเลือด นักสู้ของวีรชนคนกล้าที่แม้แต่ฟ้ายังต้องหลั่งน้ำตาให้เมื่อเขาได้ตายจากไป ด้วยพิษแห่งสงคราม

สิ่งที่ใช้เพื่อเขียนลงบันทึกเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์นี้มิใช่เป็นลาย เส้นที่แต่งเขียนด้วยปลายพู่กัน หรือรอยหมึก หากแต่เป็นรอยเลือดของผองชนซึ่งถูกละเลงลงบนหน้าประวัติศาสตร์ที่หลอก หลอนอยู่ในความทรงจำอันมิอาจจะลืมเลือนได้ ทว่าสิ่งที่เลือนไปนั้นคือ..สันติภาพ ที่เรียกหาได้แต่เพียงในจินตนาการ…
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Chapter 1 เหตุแห่งเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:43 am

Chapter1 เหตุแห่งเพลิง



ณ ตอนเหนือแห่งทวีปเมอริเซีย อันเป็นสถานที่ตั้งของ จักรวรรดิซาโลม (Zalom) ซึ่งได้รวมเอาแคว้นใหญ่น้อยที่ตั้งอยู่ในเขตตอนเหนือนั้นเข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้มีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึงหนึ่งในสี่ของทวีปเมอริเซีย (Merrisia) แต่ทว่าความกว้างใหญ่ไพศาลนั้นกลับไม่สามารถก่อประโยชน์ใดๆได้เลย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศแห่งนี้ช่างแห้งแล้งกันดารนัก มีแต่ทะเลทรายที่กินอาณาบริเวณกว้างไกลสุดสายตา ไร้ซึ่งความร่มรื่นของป่าไม้ และความชื่นฉ่ำของกระแสน้ำ ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้ต้องดำเนินชีวิตด้วยความยากแค้นแสนเข็ญ ความลำบากที่ได้รับถูกแปรเปลี่ยนเป็นความอดทนเพื่อความอยู่รอด อดทนเพื่อรอสักวันจะได้ผันไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ลมเหนือพัดกระหน่ำไปตามเนินทรายสูงๆต่ำๆได้หอบเอาเม็ดทรายเป็นตันๆลอยหมุน คว้างขึ้นไปในอากาศ สายลมอันร้อนผ่าวที่ดังวีดหวิวอย่างหน้าสะพรึงกลัวเสียดสีกับเม็ดทรายซึ่ง พัดหมุนตัดกับเส้นขอบฟ้าที่ไร้ซึ่งต้นไม้แม้เพียงสักต้นมาขวางกั้น เมื่อลมเริ่มสงบลง เม็ดทรายที่มันได้หอบหิ้วมาก็ค่อยๆปลิวตกลงสู่ผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ จนเกิดเป็นเนินทรายใหม่ๆขึ้นมา และเมื่อกระแสลมสงบลงมิได้เคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นแก่สายตา ณ ที่นั้น คือ เมืองที่ยิ่งใหญ่แลดูน่าเกรงขามยิ่ง รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวกำแพงเมืองสีขาวซีดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ทรายและรอยเผาไหม้จากแสงแดด รวมกับความร้อนระอุของผืนทะเลทราย ทำให้รู้สึกประหวั่นกลัวยิ่งนักเมื่อได้เข้าไปใกล้ แสงอาทิตย์ยามเที่ยงสาดส่องลงมาเหนือสถานที่แห่งนี้และกระทบกับยอดหลังคา ปราสาทรูปโดมทรงกลมสีแดง มีธงแดงผืนใหญ่ปักไว้เหนือยอดทรงกลมซึ่งบัดนี้กำลังโบกไสวไปตามกระแสลม เหนือแลดูเหมือนดั่งเปลวไฟที่กำลังโหมกล้า เสียงโบกสะบัดของธง ชวนให้รู้สึกสะพรึงกลัวยิ่ง ดั่งสร้างไว้เพื่อกักขังความน่ารักมโหดที่อยู่ภายใน ทางเข้าประตูใหญ่สลักลวดลายของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาดูน่ากลัวยิ่งนัก

เมื่อผ่านเข้าประตูบานใหญ่ไป ก็จะพบกับตลาดใหญ่กลางเมือง ผู้คนจำนวนมากเดินไปมากันขวักไขว่ดูสับสนวุ่นวายเสียงตะโกนเร่ขายสินค้า เสียงพูดคุย เสียงต่อรองราคาดังเซ็งแซ่ไปทั่ว

ผู้ชายในเมืองนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสัน หน้าตาของเขาเหล่านี้ดูถตัวเองทึงดุดัน นัยน์ตาส่องประกายเป็นสีเหลืองบุษราคัมเมื่อแสงแดดสะท้อนดูราวกับตาของเสือ ร้าย ผิวเนื้อมีสีเข้ม ผมเผ้าดูรุงรัง บ้างก็ไว้หนวดเคราดกหนา สวมเสื้อคลุมยาวเพื่อป้องกันแสงแดดที่แผดเผาและป้องกันฝุ่นทรายที่ผัดมากับ สายลม ฝ่ายสตรีนั้นดวงตาโตคมประกาย ผิวเนื้อออกสีน้ำตาลไม่เข้มนัก สวมผ้าคลุมเนื้อหนายาวมิดชิด และมีผ้าคลุมหน้าเปิดช่องแค่ที่ตาไว้เพื่อป้องกันแสงแดดที่โหดร้ายมิให้เผา ไหม้ผิวเนื้อ แต่ภายในนั้นกลับสวมเสื้อผ้าเนื้อบางเบาสีต่างๆ นี่คือรูปลักษณ์ของผู้คนในจักรวรรดิซาโลม การดำเนินชีวิตด้วยอาศัยแรงกายเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต การค้าขายแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สร้างความคึกคักให้แก่จักรวรรดิซาโลม ผ้าไหม เพชรจินดา และสัตว์เลี้ยงคือสินค้าหลักของผู้คนที่นี่

ต่อจากตลาดใหญ่กลางเมืองนั้น เป็นทางเข้าสู่เขตที่พำนักของเหล่าผู้มีอำนาจปกครอง และผู้มียศศักดิ์ ภายในที่แห่งนั้นประดับประดาด้วยเพชรมณีสีสด ทางเดินปูด้วยพรมสีแดงฉาดซึ่งตัดกับสีพื้น และเสาซึ่งเป็นสีขาวนวล บรรยากาศต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่มีแต่ความเงียบที่ดูอึมครึมเท่านั้น ระหว่างทางเดินใหญ่นั้นเป็นทางแยกย่อยทั้งซ้ายขวาซึ่งแยกไปยังส่วนต่างๆอีก มากมาย

สุดปลายทางเดินใหญ่นั้น เป็นเขตพระราชฐานมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่ประตูเข้าทำด้วยทองคำประดับด้วย อัญมณีเป็นลวดลายทั่วทั้งบาน ณ ห้องโถงนั้นมีเสาใหญ่สิบหกต้นค้ำตัวห้องอยู่ ทางเดินปูด้วยไหมพรมสีแดงสดชั้นดี และในห้องนั้นกว้างขวางยิ่ง ณ ที่นั้น มีเสียงสนทนากันระหว่างบุรุษสองคนที่แยกได้จากโสตสัมผัสว่าเป็นเสียงของผู้ นำกำลังเจรจากันอยู่ในใจกลางห้องโถงที่มากด้วยสิ่งประดับล้ำค่ามากมายเหลือ คณานับ

“การรวบรวมแคว้นต่างๆที่เหลือในผืนทะเลทรายที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไปจัดการ บัดนี้รุดหน้าไปถึงไหนแล้ว”

น้ำเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นดังกึกก้องห้องโถง เพียงแค่เปล่งเสียงออกมาธรรมดาๆ กลับดังกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ

“ข้าแต่พระองค์ แม้พระองค์จะมิได้ทรงนำทัพเองเหมือนแต่ก่อน แต่ด้วยพระบารมีของพระองค์ และความเก่งกล้าสามารถของเหล่าทหารหาญแห่งจักรวรรดิซาโลม บัดนี้เราสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆได้สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะ” เสียงของชายคนที่สองดังขึ้น แม้ฟังดูมีอำนาจ ทว่าเป็นรองน้ำเสียงของชายคนแรก

“ฮ่า ฮ่า ดี!! ดีมาก” บุรุษผู้ทรงอำนาจกระหยิ่มใจ “ในที่สุดข้าก็ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่บนผืนทะเลทรายแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครจะมายิ่งใหญ่เกินข้าอีกแล้ว เจ้าว่าจริงหรือไม่”

ผู้ถูกถามยิ้มรับ และตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ข้าเชื่อว่า สักวันท่านจะได้เป็นใหญ่ในผืนทะเลทรายแห่งนี้ทุกแว่นแคว้นแดนทะเลทรายจะ ยอมสิโรราบแก่ท่านโดยดุษฎี และต้องก้มหัวให้ท่านแต่ผู้เดียว จักรวรรดิซาโลมจะกลายเป็นชื่อที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไป”

“เจ้าพูดได้ดีดุจเคยนะ บลาส เซจ (Blaze Saze, Viceroy of Zalom) สมแล้วที่เป็นอุปราชแห่งซาโลม มิเสียแรงที่ข้าชุบเลี้ยงเจ้าไว้ข้างกายข้า”

บลาส เซจ เพ่งมองมายังเจ้านายของเขา ซาดิน อิบริด (Zadin Ebrid, Knight of Wands) ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทะเลทราย ผู้กำลังอยู่อยู่ในวัยฉกรรจ์ ด้วยวัยเพียงแค่ 25 กลับผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน เข่นฆ่าชีวิตผู้คนมามิใช่น้อย นามแห่ง ซาดิน และ ซาโลมนี้ได้ขจรขจายไปทั่วทุกคุ้งแคว้น สร้างความสะพรึงกลัวทุกคราเพียงเมื่อได้ยิน ซึ่งมาบัดนี้ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และ สถาปนาแคว้นซาโลมเป็นจักรวรรดิซาโลม ซึ่งขณะนี้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท่าทีที่น่าเกรงขามยิ่ง ท่าทางสง่างาม แววตาแหลมคมประหนึ่งพญาเหยี่ยว ผิวสีแดงดำ ใบหน้าคมสันได้รูป คิ้วใหญ่ดำหนา และสวมใส่ชุดเกราะแดงมันเงาวับ นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำสีเหลืองอร่ามตา ซึ่งได้ถูกประดับประดาไปด้วยขนทองของตัวกริฟฟอนด้วยท่าทีองอาจสมเป็นผู้นำ แห่งซาโลมยิ่ง

“ขอบพระทัยในสิ่งที่ฝ่าบาทได้ประทานให้ ข้าพระองค์มีแต่ความภักดีเป็นที่มั่น และข้าพระองค์ก็ภูมิใจที่ชีวิตของข้าพระองค์ได้มารับใช้ผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยง ฝ่าบาท” บลาส เซจ ตอบและจ้องตาซาดินเขม็ง “ทว่าความภูมิใจแห่งข้าพระองค์นี้จะเป็นความภูมิใจที่สุดสมดั่งที่ข้า พระองค์ตั้งไว้นั้นก็ยังหามิได้” บลาส เซจ รำพัน ทำให้ผู้เป็นนายฉงนใจยิ่ง

“เจ้าพูดเช่นนี้ มีหมายความว่าอย่างไรหรือ จงอธิบายมาให้กระจ่าง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Chapter 1 เหตุแห่งเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:45 am

บลาส เซจ หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท พระองค์ภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของผืนดินเพียงหยิบมือนี้หรือ พระองค์พอใจกับการเป็นเจ้าของผืนทะเลทรายอันไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือ ความภูมิใจต่อสิ่งที่ข้าพระองค์ได้เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ และความภูมิใจที่ได้เห็นพระองค์ยิ่งใหญ่อยู่ทุกวันนี้นั้น ยังมิอาจถือว่าเป็นความภูมิใจอันสูงสุดของข้าพระองค์ แต่เมื่อวันใดพระองค์นั้นได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าและครอบครองอำนาจทั้งหมดไว้ สิ้นแล้วนั้น นั่นจึงจะเป็นความภูมิใจอันสูงสุดของข้าพระองค์ ท่านซาดินผู้เรืองเกียรติข้าพระองค์มิได้หมายให้ท่านเป็นใหญ่แต่ในแดนทะเล ทรายนี้ดอก แต่ท่านต้องเป็นใหญ่ให้ได้ทั้งผืนดินแดนแห่งทวีปเมอริเซียนี้ต่างหาก ให้นามแห่งซาโลมระบือไกลไปสุดขอบฟ้า”

“อะไรนะ!” ซาดิน อุทานขึ้น “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าเป็นใหญ่ใน ทวีปเมอริเซีย หรือ ไฉนเจ้าชักนำการณ์ใหญ่เช่นนี้มาสู่ข้า......”

“พระองค์ลองหวนคิดย้อนกลับไปในสมัยพระราชบิดาแห่งพระองค์ดูเถิด พระองค์ทรงลืมไปแล้วว่าชาวซาโลมต้องทนทุกข์ทรมานเพียงไร ความเจ็บปวดที่พวกเราได้รับจากการถูกไล่ต้อนจากบ้านเกิดเมืองนอน” บลาส เซจ เริ่มยุแยงผู้เป็นนาย

ความโกรธแค้นเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตัวของซาดิน ตวาดเสียงดังว่า

“ข้ายังจำได้ดี!! ถึงความอ่อนแอของบิดาข้า ทำให้ต้องถูกพวกชาวเผ่าอื่นรุกราน ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เร่ร่อนไปในทะเลทรายที่แล้วที่เล่า จนต้องระ เห็ดไปอยู่ในที่ๆแห้งแล้งสุดกันดาร จนในที่สุดทั้งบิดาและมารดาของข้าก็ต้องถูกพวกอริศัตรูฆ่าตายอย่างอนาจ หากข้าไม่ได้ ท่านนาริส (Naris Sulaiman, Zalom’s Grand Councillor) ช่วยไว้ ป่านนี้ข้าและเนริมอร์(Nerimor, Princess of Wands) ก็คงถูกฆ่าตายไม่ต่างกัน ข้าจะไม่ยอมเป็นเหมือนบิดาข้าที่เอาแต่ก้มหน้ารับชะตากรรมหรอก ข้าจะต้องดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า”

บลาส เซจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางเสริมขึ้น

“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์กว่า สิ่งที่เราขาดไปไฉนเราจึงไม่ไขว่คว้ามันมาหรือ ในเมื่อศักยภาพแห่งซาโลมและแห่งท่านย่อมเรียกหามันได้ไม่ยากเย็นนัก ท่านลองตรองดูเถิดว่าป่าไม้ ลำธาร ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เหล่านั้น มันจะวิเศษสักเพียงใด ถ้าเราได้มันมาครอบครองเสีย น่าเสียดายยิ่งที่สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อ่อนแอ ยโส และ โง่เขลา ถึงเวลาอันควรหรือยังเล่าพระองค์ที่ดินแดนเหล่านี้จะได้หลุดพ้นจากความเขลา ของคนขลาด มาเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง โอ้! ข้าแต่พระองค์ ทวีปเมอริเซีย นี้มิได้ใหญ่เกินกว่าพระปรีชาสามารถของพระองค์เลย ”

ซาดิน หันหน้าออกไปทางหน้าต่างใคร่ครวญดูท้องทะเลทรายที่ทอดตัวยาวไปไกลสุดลูกหู ลูกตา ประกายวับจากเม็ดทรายที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ ช่างแลดูอ้างว้างนัก

“ข้าไม่เคยลืมความลำบากยากแค้นของประชาชนแห่งข้าที่ต้องมีชีวิตดิ้นรนอย่าง แร้นแค้นในแดนทะเลทรายอันโหดร้ายนี้มาช้านานนัก ข้าประจักษ์ถึงความทุกข์ระทมของผู้คน ในทะเลทรายแห่งนี้ที่แม้ต้นไม้สักต้นยังมิอาจมีชีวิตอยู่ได้ ทะเลทรายที่ไร้ซึ่งความร่มรื่นของป่าไม้ ไร้ความชื่นฉ่ำของกระแสน้ำ เมื่อเปรียบกับอาณาจักรทางใต้ที่อุดมด้วยทรัพยากร ป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร แต่ผู้อื่นที่อ่อนแอกว่ากลับได้มันไปครอบครอง มันช่างไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนและลี้พลที่แข็งแกร่งแห่งข้าที่ต้องมาอยู่ ในที่แห้งแล้งกันดารเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก ยุคแห่งความแร้นแค้นในแดนทะเลทรายควรจะถึงกาลสิ้นสุดแล้วมิใช่หรือ เมอริเซียจะต้องเป็นของจักรวรรดิซาโลม ข้าจะให้พวกมันได้รับรู้รสชาติแห่งความขมขื่นในดินแดนทะเลทรายนี้บ้าง”

ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังแทรกผ่านเข้ามา

“ช้าก่อน ซาดิน ท่านจะยึด ทวีปเมอริเซีย นี้หรือ”

เจ้าของเสียงค่อยๆย่างก้าวเข้ามาจากทางประตูใหญ่ มีนางกำนัลอีกสองคนติดตามมาเบื้องหลัง นางผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นเดินตรงมายังหน้าบัลลังก์ที่ผู้ครองซาโลมประทับ อยู่ เมื่อ บลาส เซจ แลเห็นเจ้าของเสียงจึงโค้งตัวคำนับและค่อยๆหลีกตัวเยี้องไปทางด้านข้างของ บัลลังก์ ซาดิน มองผู้เข้ามาใหม่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง ซึ่งต่างจากมอง บลาส เซจ

“เจ้าได้ยินหมดสิ้นแล้วหรือ เนริมอร์ การณ์ใหญ่ในครั้งนี้ที่ซาโลมของเราจะแผ่แสนยานุภาพไปทั่วดินแดนแห่งเมอริ เซีย เราจะรวบรวมเมืองต่างๆเพื่อปกครองหัวเมืองเหล่านั้น ถึงเวลาแล้วที่ธงแห่งซาโลมจะโบกสะบัดไปทั่วแคว้นแห่งเมอริเซีย ข้าจะนำซาโลมไปสู่ยุคใหม่”

เนริมอร์ ภรรยา ซาดิน อิบริด ผู้อยู่ข้างกายซาดินมาช้านานและเคยร่วมออกสู้รบในสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่ กับซาดินบ่อยครั้ง สตรีผู้นี้รูปร่างสูงระหง มีผ้าบางเบาสีแดงคลุมหน้า เหลือไว้แต่เพียงดวงตาสีดำขลับคมโต หากแต่ความงามของนางนั้น แม้ผ้าคลุมหน้าก็มิอาจบดบังได้ ผมยาวเป็นลอนสีดำเงางามและผิวเนื้อละเอียดสีน้ำผึ้ง เมื่ออยู่ในชุดสีแดงสดแล้วยิ่งทำให้นางดูสวย ปราดเปรียว ดุดัน ดั่งนางพญาสิงห์ นางเอ่ยขึ้น

“ซาดิน ข้ายินดีที่ท่านจะนำพาผู้คนแห่งซาโลมไปสู่ยุคใหม่ แต่ขอท่านลองตรองดูใหม่เถิด ณ เวลานี้ท่านก็ได้เป็นเจ้าของดินแดนทางตอนเหนือทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ ทั่วทุกเขตแคว้นต่างก็ศิโรราบให้แก่ท่านแต่เพียงผู้เดียว เวลานี้ซาโลมก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกร มิมีแม้เพียงผู้ใดจะคิดต่อกรด้วย เหตุไฉนท่านจึงจะก่อสงครามขึ้นอีกเล่า ท่านลองตรองดูเถิดหลังจากการรวบรวมแคว้นต่างๆนั้น เราต้องเสียไพล่พลไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ ประชาชนระส่ำระสาย ครอบครัวต้องพลัดพราก ผู้คนเบื่อหน่ายกับสงครามเต็มทนแล้ว ......... ”

“ฝ่าบาท....” บลาส เซจ พยายามพูดแย้งขึ้น

“ไหนจะลูกของเราอีก ท่านก็รู้ดีว่าการสงครามนั้นต้องกินเวลานานเพียงไร หากสงครามยืดเยื้อและท่านต้องบัญชาการอยู่ในสนามรบเล่า ท่านจะให้ ซาร์ อิสฮาน (Sire Ishan) เติบโตขึ้นมาโดยมิมีท่านหรือ” เนอริมอร์ พยายามพูดหว่านล้อม ซาดิน เป็นการใหญ่

ซาดิน เมื่อได้ฟังวอนขอของภรรยานั้น ก็เริ่มมีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง

“ฝ่าบาท ข้าพระองค์คิดว่า....”บลาสเซจพยายามอีกครั้ง

“ซาดิน ได้โปรดตรองดูใหม่เถิด” เนริมอร์ก็มิยอมแพ้เช่นกัน

“เอาเถอะ! เอาเถอะ! ตกลง เนริมอร์ ข้าจะลองหารือเรื่องนี้พร้อมกับ ท่านนาริส และเหล่าขุนนางดูอีกครั้ง บลาส เซจ พรุ่งนี้เจ้าจงเรียกประชุมเหล่าขุนนาง พรุ่งนี้ข้าจะนำเรื่องนี้เข้าหารือด้วย อ๋อ!แล้วเจ้าจงตามตัว นาซาอี(Nazae, the Oracle of Zalom) เข้าพบข้าด้วย ข้าอยากจะให้นางทำนายถึงลูกชายข้า ก่อนจะเริ่มการประชุม เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว บลาส เซจ” ซาดิน ผู้ตัดบท

เนริมอร์สีหน้ามีความหวังขึ้นทันที เพราะนางรู้ดีว่า นาริส และเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จะต้องคัดค้านการรุกราน เมอริเซีย เป็นแน่

ด้านฝ่าย บลาส เซจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไปพร้อมกับโค้งคำนับ ซาดิน และ เนริมอร์ แล้วจึงหันหลังกลับ เดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว มีก็แต่นางกำนัลสองคนที่ได้ทันเห็นสีหน้าที่เคียดแค้นชิงชังเพียงแวบเดียว ของ บลาส เซจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Chapter 1 เหตุแห่งเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พุธ ส.ค. 12, 2009 1:47 am

ณ ห้องบรรทมของพระโอรสในเขตพระราชฐานชั้นใน ภายในห้องนั้นถูกตกแต่งอย่างประณีตบรรจงแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ ภายในปราสาทอย่างสิ้นเชิง ของเด็กเล่นนานาชนิด อีกทั้งเครื่องบรรณาการสูงค่าจากแคว้นต่าง ๆ มากมายถูกนำมาวางไว้ ณ ห้องนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นของกำนัลให้แก่ซาร์ อิสฮานพระโอรสของกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์ที่เพิ่งประสูติได้ไม่นาน ที่กลางห้องนั้นมีเปลนอนหลังใหญ่ สลักเสลาลวดลายอย่างวิจิตรประณีต ประดับด้วยอัญมณีเม็ดเล็ก ๆ หลากสีเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงามยิ่งนัก
ในเปลนั้น ซาร์ อิสฮานพระโอรสน้อยกำลังบรรทมอย่างเป็นสุข ข้างเปลนั้นมีหญิงวัยกลางคนผู้ทำหน้าที่เป็นแม่นมคอยดูแลอยู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเปลนอนมากนักมีนางกำนัลอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ นางกำลังเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดในท้องพระโรงอย่างออกรส

“ท่านแม่นมเชื่อหรือไม่? พอพระนางเนริมอร์เอ่ยปากนะ องค์ซาดินก็รับปากว่าจะคิดทบทวนใหม่ทันที โอ้ ท่านต้องได้เห็นสีหน้าของ อุปราช เบลซ เซจ คงจะโกรธจนลมออกหูเลยเชียวล่ะ”

“เจ้าเบาเสียงของเจ้าลงหน่อยจะได้ไหม? ประเดี๋ยวพระโอรสน้อยก็ตกใจเสียงเจ้าจนตื่นกันพอดี” แม่นมเหน็บปรามเสียงเบา นางกำนัลจึงค่อยเบาเสียงลงพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ท่านแม่นม ข้าว่าข้าก็อยู่รับใช้ในวังนี่มาก็นานแล้ว เห็นความโหดร้ายเด็ดขาดของพระนางเนริมอร์ก็ออกบ่อยครั้ง แต่หลังจากมีพระโอรสแล้วดูพระนางทรงแปลกไปนะ ดูอย่างวันนี้สิ พระนางทรงขอร้ององค์ซาดินให้หยุดสงครามเพื่อเห็นแก่ประชาชน หรืออย่างการที่พระนางทรงทุ่มเทความรักให้พระโอรสน้อยอีก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพระนางจะทรงรักลูกได้ถึงเพียงนี้”

แม่นมก้มหน้าลงมองพระโอรสองค์น้อยพลางพูดว่า

“แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังรักลูกของมัน มนุษย์เราก็มิผิดกันหรอก พระนางเนริมอร์ช่างน่าสงสารนัก พระนางถูกจับแต่งงานตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ความรักที่ควรได้รับจากพ่อแม่ก็แทบจะไม่รู้จัก เมื่อมาอยู่ที่นี่ความรักที่ควรได้รับจากสามีนั้นก็มิใช่ความรักที่สมบูรณ์นัก เพราะในตอนนั้นองค์ซาดินเองก็ยังทรงพระเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจความรักได้ เมื่อพระนางไม่เคยได้รับความรักไม่เคยถูกรักและไม่เคยรักใคร พระนางจึงมีอารมณ์รุนแรงอย่างที่เจ้าเห็น พระนางเป็นคนที่รักแรง เกลียดแรง จึงไม่น่าแปลกใจเลย ในเมื่อพระนางโหยหาความรักตลอดมา เมื่อพระนางมีพระโอรสน้อยแล้วจึงทุ่มเทชีวิตจิตใจให้เพียงนี้ เพราะพระนางรู้ดีว่าพระนางมีพระโอรสที่สามารถทุ่มเทความรักให้ และที่สุดแล้วพระโอรสเองนี่แหละจะเป็นผู้ที่รักพระนางตอบและรักพระนางมากที่สุด”

“ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ข้าคงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้หากข้าเป็นพระนาง” นางกำนัลครวญพลางมองไปรอบ ๆ ห้อง “มิน่าเล่า ห้องนี้ถึงได้สวยงามแปลกตากว่าทุก ๆ ห้องในปราสาท เพราะพระนางทรงตกแต่งทั้งห้องด้วยตัวพระนางเอง”

“เจ้าหยุดพูดเสียเถิด จวนจะได้เวลาที่พระนางจะเสด็จมาหาพระโอรสแล้ว หากพระองค์ได้ยินว่าเจ้านั่งพูดคุยเรื่องของพระนางอยู่เช่นนี้มีหวังคงโดนโทษประหารกันทั้งคู่แน่” แม่นมปรามอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ สิ้นคำของแม่นม นางกำนัลต้นห้องก็เปิดประตูเดินเข้ามา กล่าวเสียงเบาว่า

“พระนางเนริมอร์ เสด็จแล้ว”

ทันใดนั้น ราชินีเนริมอร์ก็เสด็จเข้ามาแทบจะทันที แม่นมและนางกำนัลต่างสะดุ้งกันสุดตัว เนื่องด้วยเกรงว่า พระนางเนริมอร์อาจจะทรงได้ยินในสิ่งที่พูดกัน แต่ราชินีเนริมอร์มิได้เหลียวมองนางทั้งสองเลย กลับรีบเดินตรงไปยังเปลของโอรสน้อยอย่างรวดเร็ว พระนางค่อย ๆ ก้มตัวลง ทรงใช้หลังหัตถ์สัมผัสพวงแก้มของโอรสน้อยอย่างเบามือ พระพักตร์ของพระนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน แม่นมและนางกำนัลค่อยคลายความตระหนกลง ต่างแอบถอนหายใจกันอย่างโล่งอก มีเพียงนางกำนัลที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นความฉงนสนเท่ห์แทน เพราะภาพของราชินีเนริมอร์ยามเมื่ออยู่กับบุตรชายนั้นเป็นสิ่งที่นางมิเคยเห็นมาก่อน ราชินีเนริมอร์ในเวลานี้ช่างผิดแผกจากเมื่อก่อนเหลือเกิน พระนางมีวิญญาณของความเป็นแม่อยู่เต็มเปี่ยม

“ลูกสุดที่รักของแม่” ราชินีเนริมอร์ตรัสเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่รักเจ้ามากเพียงใด? แม่แทบจะทนไม่ได้แม้เพียงสักนาทีที่จะห่างเจ้า”

ราวกับทารกน้อยรับรู้ถึงความรักที่แผ่ออกมาอย่างท่วมท้น ซาร์ อิสฮานค่อย ๆ ปรือดวงเนตรขึ้นช้า ๆ เมื่อเห็นมารดาของตนอยู่ตรงหน้า โอษฐ์น้อย ๆ ก็ค่อยคลี่ยิ้มออก รีบชูแขนทั้งสองข้างขึ้น พลางใช้ขาน้อย ๆ ทั้งสองข้างเหยียดยันเบาะแอ่นตัวขึ้นหาพระมารดาเพื่อให้พระนางอุ้ม

“โอ้ ลูกรัก เจ้าช่างน่ารักน่าชังเสียนี่กะไร แล้วอย่างนี้แม่จะทิ้งเจ้าไปไหนเสียได้”

ว่าแล้วพระนางก็ทรงรีบช้อนตัวบุตรชายจากเปลขึ้นมาแนบอก จูบเบา ๆ ที่พวงแก้มทั้งสองข้าง พลางมองดวงหน้าน้อย ๆ ของบุตรชาย ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทองคมเข้ม พวงแก้มสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งสูงอันน้อย ๆ ปากเล็ก ๆ ที่อิ่มเต็ม

“ลูกแม่ แม้อายุยังน้อยนักเจ้ายังรูปงามถึงเพียงนี้ หากเจ้าเติบใหญ่แล้วสตรีทั่วแคว้นแดนไกลคงถวิลหาแต่เจ้าทุกเวลาแน่ ๆ พวกเจ้าคิดอย่างนั้นไหม?”

ราชินีเนริมอร์ ตรัสถามแม่นมและนางกำนัลขณะที่พระนางยังทรงหยอกล้อบุตรชาย แม่นมยิ้มพลางกล่าวว่า

“พระโอรสน้อยได้ทั้งความแข็งแกร่งหล่อเหล่าจากองค์ซาดิน และได้ความคมเข้มงดงามมาจากพระนาง ไม่น่าแปลกใจเลยเพคะที่พระโอรสจะรูปงามถึงเพียงนี้”

“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ” นางกำนัลรีบเสริมทันที

“พวกเจ้าช่างพูดได้ถูกใจข้านัก” พระนางเนริมอรทรงยิ้มอย่างชอบใจ หากแต่ยังคงมิได้วางเนตรจากลูกน้อยเลย “...เปลหลังใหม่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? ลูกข้านอนได้สบายดีหรือไม่?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามพลางพยักพระพักตร์ไปทางเปลที่อยู่กลางห้อง พลางยกหัตถ์ลูบไล้หลังของลูกน้อยอย่างเบามือ

“ข้าแต่พระนาง เปลหลังใหม่นี้ช่างดีเหลือเกินเพคะ พระโอรสน้อยทรงบรรทมได้อย่างเต็มอิ่ม แทบจะไม่ตื่นจากบรรทมเลยเพคะ” แม่นมตอบ

“และยังงดงามมากด้วยเพคะ”นางกำนัลกล่าวบ้าง

ราชินีเนริมอร์ทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้พลางปรายเนตรสีอำพันไปยังเปลอีกครั้ง

“ใช่มันสวยงามมากจริง ๆ ช่างฝีมือในซาโลมของเราไม่สามารถประกอบเปลเช่นนี้ได้หรอก มันเป็นเปลของแคว้น ๆ หนึ่งทางใต้ ว่ากันว่ามันทำจากส่วนหนึ่งของต้นไม้ยักษ์ที่ชื่ออิกดราซิล(Yggdrasil) ซึ่งอยู่ไกลถึงเผ่าฟูดินัน(Fudenun)ที่อยู่ตอนกลางทวีปโน้น ทารกที่นอนในเปลนี้ในฤดูร้อนก็จะรู้สึกเย็นสบายแต่ในฤดูหนาวกลับรู้สึกอบอุ่น ช่างน่าเสียดายพวกช่างฝีมือในแคว้นนั้นนัก เพื่อให้ได้เปลหลังนี้มาซาดินถึงกับเผาแคว้นนั้นและประหารผู้คนหมดทั้งแคว้น” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ก่อนจะหันไปสนใจลูกน้อยดังเดิม

ทั้งแม่นมและนางกำนัลถึงกับใบหน้าซีดเผือดลงทันที พลางหันไปมองที่เปลหลังนั้นด้วยความสยองเกล้า เปลหลังเดียวถึงกับต้องแลกมาด้วยเลือดของคนทั้งแคว้น ทั้งสองได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้จะเอื้อนเอ่ยใด ๆ อีก ในขณะที่ราชินีเนริมอร์นั้นยังทรงเล่นหยอกล้อกับพระโอรสซาร์ อิสฮานโดยมิได้สนใจคนทั้งสองแม้แต่น้อย

เป็นที่ทราบกันดีว่าราชินีเนริมอร์นั้นมักจะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันของพระนางอยู่ภายในห้องนี้ ทุก ๆ วันของพระนางจะเริ่มต้นด้วยการเร่งจัดการกับกิจหน้าที่ต่าง ๆ ภายในวังให้เสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะตรงมายังห้องนี้ทันทีเพื่อมาอยู่กับเจ้าชายน้อยจนมืดค่ำแล้วจึงจะกลับไปยังห้องบรรทมของตน เหล่าข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในวังต่างรู้ดีว่าหากพระนางเข้าไปในห้องของพระโอรสซาร์ อิสฮานแล้ว ก็ยากนักที่จะสนพระทัยสิ่งอื่นใดภายนอกอีก ซึ่งต่างกับกษัตริย์ซาดินที่จะใช้เวลาว่างของตนอยู่ในฮาเร็ม สถานที่ชุมนุมของเหล่าสาวงามจากทั่วทุกสารทิศเพื่อกิจหน้าที่ปรนเปรอความสุข และนี่คือเรื่องสามัญธรรมดาสำหรับกษัตริย์ซาดินที่จะยินดีหาความสุขจากที่แห่งนี้มากเสียกว่าจะอยู่กับลูกชายในไส้และมเหสีของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron