ไกลออกไปยังผืนทวีปอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งได้ถูกเล่าขานเป็นตำนานแห่งผืนแผ่นดินและถูกบันทึกลงในหน้าประวัติ ศาสตร์ของมวลมนุษยชาติว่า ครั้งหนึ่งดินแดนแห่งนี้เคยเป็นที่ชุมนุมของแหล่งอารยะธรรมอันอบอวลไปด้วย มิตรภาพของผู้คนภายใต้วัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของผองชน และสืบสานวิทยาการ วิถีความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรมแห่งความนึกคิดจนถึงอุดมการณ์แห่งการดำรงชีวิต จนกลายเป็นดินแดนแห่งอารยะธรรมที่หลากหลาย
ความแตกต่างทางภูมิประเทศนี่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความแตกต่างแห่งวิถีการ ดำเนินชีวิตโดยขีดเส้นแดนกั้นกลางไว้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือตามเผ่า พันธุ์และได้ถูกก่อตั้งเป็นดินแดนน้อยใหญ่โดยมีอุดมการณ์ของแต่ละเผ่าชนเป็น อธิปไตยชี้นำทางให้ผู้คนในเผ่าได้ยึดถือและสืบทอดต่อกันมา ดินแดนแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงความกว้างใหญ่สุดประมาณ และได้ขนานนามทวีปแห่งนี้ว่า เมอริเซีย (Merrisia) อันแปลว่าผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์
เมื่อ เมอริเซีย เปรียบดั่งผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ บนฟากฟ้านั้นย่อมมีหมู่ดาวน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่ ซึ่งดาวเหล่านั้น ก็เปรียบเสมือนดั่งเมืองน้อยใหญ่ที่รวมตัวกันจนกลายเป็นนครใหญ่ หรือเป็นเพียงเผ่าเล็กเผ่าน้อยกระจายไปทั่วแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ เมอริเซียนี้เหมือนดั่งว่ามีชีวิตจิตใจ และความรู้สึกนึกคิด นี่เป็นเพราะดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้มีสิ่งหนึ่งซึ่งเคลื่อนย้ายถ่ายเทพลัง แห่งชีวิตหล่อเลี้ยงเมอริเซียอยู่ นั่นคือเหล่าธาตุแห่งธรรมชาติทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งเมอริเซียนี้ร้อนแรงประหนึ่งไฟ พริ้วไหวได้ดั่งลม นิ่งสงบดุจน้ำ และมั่นคงเสมอดิน ด้วยเหตุนี้เมอริเซียจึงเป็นสถานที่ที่รวมทุกสรรพชีวิตไว้ด้วยกันทั้ง ทวยเทพ มนุษย์ สิงห์สาราสัตว์ อสูรกาย แมลง หรือแม้แต่เครื่องจักรกล ทุกสรรพสิ่งนี้ต่างก็มีกาย และวิญญาณ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันนั้นคือ มนุษย์ซึ่งมีความแตกต่างทางจิตใจ และอุดมการณ์โดยมีแสงสว่างและความมืดเป็นเครื่องชี้นำจิตใจ
ความรัก ความเมตตา คือแสงสว่างแห่งชีวิตที่สร้างสรรพสิ่งขึ้น แต่ กิเลส ราคะ ตัณหา และ ความโลภ เป็นสาเหตุให้ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด จนความมืดเข้ามาครอบงำจิตใจ กลายมาเป็นชนวนของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่ต้องจารึกไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้คนว่า สงครามนั้นคือการทำลายล้างที่สร้างไว้แต่ความสูญเสียที่มิอาจเรียกกลับคืน ได้ และเป็นมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตที่แม้แต่เหล่าทวยเทพ ยังต้องสะพรึงกลัว
สงครามย่อมเกิดจากสองฝ่าย ทั้งผู้รุกราน และผู้ถูกรุกราน ซึ่งฝ่ายหลังนี้ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกปักษ์รักษาเอกราชอันทรงเกียรติ แห่งมาตุภูมิของตนเองไว้แม้ต้องสิ้นชีพไป เกียรติยศแห่งชาตินักสู้และศักดิ์ศรีแห่งมาตุภูมิคือสิ่งที่มิใช่การถ่าย ทอดทางตำรา ทว่าคือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผองชนในทุกเผ่าพันธุ์อันสืบสานมาจากเลือด นักสู้ของวีรชนคนกล้าที่แม้แต่ฟ้ายังต้องหลั่งน้ำตาให้เมื่อเขาได้ตายจากไป ด้วยพิษแห่งสงคราม
สิ่งที่ใช้เพื่อเขียนลงบันทึกเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์นี้มิใช่เป็นลาย เส้นที่แต่งเขียนด้วยปลายพู่กัน หรือรอยหมึก หากแต่เป็นรอยเลือดของผองชนซึ่งถูกละเลงลงบนหน้าประวัติศาสตร์ที่หลอก หลอนอยู่ในความทรงจำอันมิอาจจะลืมเลือนได้ ทว่าสิ่งที่เลือนไปนั้นคือ..สันติภาพ ที่เรียกหาได้แต่เพียงในจินตนาการ…