Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 1:34 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


<<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:05 pm

หลังการเดินทางอันยาวนาน อิสฮานและพลพรรคผู้ติดตามก็ได้รับชัยชนะเหนือบลาสเซจ และสามารถนำความสงบสุขกลับมาสู่ซาโลมและละแวกแคว้นใกล้เคียงได้สำเร็จ ในที่สุด หลังศึกครั้งนี้ผู้ติดตามอิสฮานแต่ละคนก็ได้แยกย้ายกันกลับไปยังถิ่นฐานของแต่ละคน เว้นแต่ฟาริด วานาอัน และ ซาลิม่า หรือเจ้าหญิงซูไลก้า ที่ยังอยู่คียงข้างอิสฮานในซาโลม


เรื่องสงครามครั้งใหญ่นี้เป็นที่ขับขานเล่าต่อกันไปอีกหลายรุ่นต่อหลายรุ่น โดยได้มีผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ด้วยกันถึง 3 คน คือ โจฮัน ผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในรูปแบบบทเพลงสำหรับขับร้อง เกรเกอรี่ ผู้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในสมุดบันทึกประจำตัวของตน และเวเรี่ยน เวสเล่ย์ ผู้บันทึกเป็นพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ ผู้บันทึกทั้ง 3 ท่าน ได้บันทึกถ่ายทอดเหตุการณ์สงครามในครั้งนี้แตกต่างกันออกไปตามสำนวน โวหาร รูปแบบการเล่าเรื่องและมุมมองของแต่ละคน ซึ่งถึงแม้จะแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่เนื้อหาหลักก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วน จากการศึกษาเหตุการณ์เดียวกันผ่านบันทึกของทั้ง 3 ท่านนี้ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของสงครามครั้งนี้ได้อย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น

แม้สงครามดูเหมือนจะจบลงแล้วแต่ปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดก็หาจบลงไปด้วยไม่ อิสฮานที่ได้นำความสงบสุขกลับมาสู่ซาโลมแล้วกลับต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความรักสามเส้าของตัวเขาเอง ในส่วนตัวเขานั้นมีความรักและความผูกพันต่อวานาอันมาอย่างช้านานแล้ว แต่ความรักของเขานั้นกลับไม่อาจตอบสนองได้ ด้วยว่าหากเขาจะสมรส ผู้ที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ก็คือซูไลก้า เจ้าหญิงของแคว้นลาซาลเท่านั้นอันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะผสานปัญหาและสร้างความมั่นคงทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ ส่วนวานาอัน ผู้เป็นคนต่างชาติต่างเผ่า อันหากต้องการได้นางมาครองคู่ก็ต้องรับเข้ามาในภายหลังในฐานะนางสนมในฮาเรมเช่นเดียวกับที่ซาดีนบิดาของตนเคยทำมา ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อิสฮานต้องการเป็นแน่ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและหน้าที่ของกษัตริย์ผู้ปกครอง อิสฮานเมื่อตกอยู่ภาวะกดดันอย่างแสนสาหัส เพราะการตัดสินใจของเขาจะเป็นการชี้ชะตาของจักรวรรดิ์ซาโลม และแคว้นลาซาล ตลอดจนอนาคตของประชาชนทั้งหมดที่ได้ทุ่มเทความหวังในตัวของเขา เขาจึงชลอการเข้ารับตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ์ของซาโลมและสงวนท่าทีของตนเอาไว้ก่อน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทหารซาโลมบางส่วนที่ยังไม่แน่ใจกับบบาทของทางซาโลม ยังคงทำการรบต่อ ในขณะที่บางส่วนก็ทิ้งกองทัพกลับบ้าน สิ่งนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความระส่ำระสายอย่างมากในกองทัพ และในสนามรบ ภาวะการณ์ต่างๆเหล่านี้ยิ่งบีบคั้นอิสฮานให้ตัดสินใจอะไรลงไปให้เด็ดขาด
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:06 pm

ทางด้านแอนดิซอง ได้มีพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง วิโอเรีย กับ อองเดร ขึ้น ซึ่งถ้าท้าวความไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากยิ่งของอองเดร อองเดรในตอนนั้นได้คิดคำนึงถึงเจ้าหญิงอลาน่าที่ได้เสด็จออกจากวังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามในค่ายกลางทะเลทรายจนเขาไม่เป็นอันกินอันนอน ทำให้นี่เป็นช่องว่างให้วีโอเรียหาทางเข้าแทรกได้ วิโอเรียอาศัยที่ตนมีหน้าตาคล้ายกับอลาน่าอยู่แล้ว แต่งตัวปลอมมาเป็นอลาน่าเข้าใกล้ชิดอองเดร พร้อมทั้งร่ายมนต์สะกดใจของเขา จนเมื่ออองเดรได้เข้าใจผิดว่าตนเป็นอลาน่า และได้หลอกล่ออองเดรที่ขาดสติทั้งจากความตรอมใจและเวทย์มนต์จนเขาได้ตกในหลุมพรางของเธอ เมื่อมีข่าวลือที่โจษจันทั่วประเทศว่าอองเดรและวิโอเรียได้อยู่ร่วมห้องกัน ในคืนวันหนึ่ง ซึ่งหลังจากอองเดรได้สติกลับคืนมา ก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น และข่าวลือที่ได้แพร่สะพัดไปได้ วีโอเรียก็ได้ดำเนินแผนการต่อไป คือให้เจ้าหญิงวิโอล่ามารดาของตนดำเนินเรื่องไปยังพระราชาและพระราชินีแห่งแอนดิซองเพื่อประกาศบังคับให้ตนอภิเษกสมรสกับอองเดร โดยอาศัยซึ่งความร่วมมือจากรูฟัสและสภาพ่อค้าผลักดันเรื่องนี้ยกเรื่องเหตุผลต่าง ๆ ทางการเมืองสนับสนุน โดยประเด็นหนึ่งที่ได้หยิบยกขึ้นมา คือ “ไม่สมควรปล่อยบัลลังก์ให้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งราชวงศ์ปกครองแบบนี้” และ “เพื่อรักษาเกียรติของวิโอเรีย” ซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงค์ลำดับถัดมาจากอลาน่า ในที่สุดอองเดรต้องยอมอภิเษกสมรสกับวิโอเรีย โดยที่ในใจลึก ๆ ของเขายังจงรักภักดีต่ออลาน่าเจ้านายเพียงคนเดียวของเขาอยู่ อย่างมิเสื่อมคลาย วิโอเรียหลังได้เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งแอนดิซองเมืองท่า แทนอลาน่าแล้ว เธอก็ได้ใช้เส้นสายนำเครือญาติพี่น้องและคนที่สนับสนุนเธอทั้งหมดเข้ามารับตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมืองทีละคน ๆ จนในที่สุดอำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดก็ตกอยุ่ในมือของเธอ วิโอเรียและสภาพ่อค้านั้นต้องการให้สงครามดำเนินต่อไป เพราะผลประโยชน์ในการค้าอาวุธและสินค้าของเหล่าพ่อค้าหน้าเลือด และเพื่ออาศัยการได้เปรียบในขณะที่ซาโลมกำลังระส่ำระสายและไม่มีความแน่นนอนทางการเมือง ให้ได้เปรียบในการรบ แอนดิซองได้ประชุมสภา3ฝ่ายคือ ฝ่ายพ่อค้า ฝ่ายราชวงค์ และฝ่ายศาสนา เห็นพ้องประกาศเป็นราชโองการไม่ถอยทัพกลับจนกว่าซาโลมจะชดใช้ค่าปฏิกรณ์สงครามทั้งหมดที่แอนดิซองต้องเสียไปในการทำสงครามนี้ โดยยกเหตุผลว่าสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นจากฝ่ายซาโลมเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและกำลังไพร่พลของประเทศต่างๆไปมาก หากฝ่ายซาโลมจะถอนตัวออกจากสงคราม ฝ่ายซาโลมก็ต้องยอมรับว่าตนเป็นผู้แพ้และจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับทางแอนดิซองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าซาโลมที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูประเทศย่อมไม่มีทางหาเงินจำนวนมากมาจ่ายให้ได้ หนำซ้ำทหารที่ห่างไกลออกไปบริเวณชายแดนของสนามรบบางส่วนที่ยังไม่รู้ข่าวการพ่ายแพ้ของบลาสเซจ และบางส่วนที่ยัง ไม่แน่ใจในบทบาทของอิสฮานที่ไม่ยอมขึ้นครองราชย์เสียที ก็ทำให้สงครามยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย


อังเดรเป็นผู้หนึ่งที่อยากให้สงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด เมื่อมีราชโองการเช่นนี้ และเขาไม่สามารถขัดได้ ด้วยความหวังว่าหากสงครามครั้งนี้จบลง เจ้าหญิงอลาน่าก็น่าจะเสด็จกลับมา เขาจึงตัดสินใจว่าต้องถล่มซาโลมให้ราบคาบอย่างรวดเร็วที่สุด และคิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาหวัง และแล้วการรุกโจมตีอย่างดุเดือดและโหดน่ารักมของแอนดิซองก็เริ่มขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:07 pm

ทางฝ่ายฟีเลเซียนั้น คาร์ดินัล มาซิลิโอ้ ได้ติดต่อยื่นสมณฎีกาศาสนจักรสูงสุด มายังเกรเกอรี่ (ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอาร์คบิชอปแล้ว) ออกคำสั่งให้เขานำนักบวช และทหารศาสนจักรของฟีเลเซียเข้าร่วมกับฝ่ายแอนดิซองต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เกรเกอรี่ลำบากใจอย่างมาก เขาคิดว่าสงครามนั้นน่าจะจบลงได้แล้ว การหลั่งเลือด และความสูญเสียนั้นมีมากมายเกินพอแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะเข้าร่วมและจุดชนวนไฟสงครามขึ้นมาใหม่ แต่เขาก็ไม่อาจขัดสมณฎีกาศาสนจักรของพระชั้นผู้ใหญ่เยี่ยงมาซิลิโอ ในท่ามกลางความสับสนที่มิอาจหาคำตอบได้นี้ เกรเกอรี่อุทิศเวลาของเขาในการรำพึงภาวนาต่อสวรรค์ดั่งที่เขาทำอยู่เป็นประจำ โดยในครั้งนี้นั้น เขาได้อธิษฐานถามอารักขเทวดาทั้ง 5 ของเขาโดยบอกเจตจำนงไปว่า ตนนั้นไม่อยากนำศาสนจักรฟีเลเซียเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เลย ซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบจากอารักขเทวดาทั้ง 5 ว่า พวกเธอก็มีความคิดของตัวเองเหมือนกัน แต่พวกเธอจะไม่ขอออกความเห็นอะไร หากเกรเกอรี่เห็นเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่สมควร ก็ขอให้เขาทำไปตามนั้นเถิด เกรเกอรี่เมื่อได้รับคำตอบมาเช่นนั้นก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะยืนยันในความคิดของตน เขาจึงได้ตอบปฏิเสธไปยังทางคาร์ดินัล มาซิลิโอ้ สิ่งนี้ทำให้ระเบียบแห่งการลงโทษผู้ละเมิดสมณฎีกาถูกนำมาใช้ทันที อาร์คบิชอป เกรกอรี่ ต้องรับการลงโทษปลดออกจากตำแหน่งที่วิหาร ฟรานเชสก้า


เกรเกอรี่ถูกคุมตัวมารับการลงโทษที่วิหารฟรานเชสก้า ณ ที่นั่น ตรา ดีทีโอเลจิส ที่ประทับอยู่บนสมณฎีกาศาสนจักรได้ลุกโชนเป็นไฟสีขาวขึ้นมา ตราประทับนี้เป็นตราศักดิ์สิทธิ์ เมื่อประทับลงบนสมณฎีกาใดๆ สมณฎีกานั้นจะกลายเป็นกฏอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรที่มิอาจล่วงละเมิดได้ และเมื่อใดก็ตามที่มีการล่วงละเมิดกฎเกิดขึ้น ตรานั้นจะลุกเป็นไฟเพื่ออัญเชิญทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์กฎอันศักดิ์สิทธิ์มาลงทัณฑ์ผู้ล่วงละเมิด โดยการปลดสมณศักดิ์ทั้งหมด และริบความศักดิ์สิทธิ์ พระพรจากสวรรค์ และอำนาจต่างๆคืนกลับสู่สวรรค์


ดังนั้นเมื่อมีนักบวชปฏิเสธสมณฎีกาที่ประทับตรานี้ ตราดีทีโอเลจิสจึงเผาตัวเองเพื่ออัญเชิญ “ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์” ลงมาจากสวรรค์ ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ปรากฏกายขึ้นพร้อมร่างที่ใหญ่โตสูงจรดเพดานของวิหาร ปีกของท่านสยายออกกว้าง ดวงตาถูกปิด เพื่อจะไม่เกิดความรู้สึกเมตตาในผู้ที่จะถูกลงทัณฑ์ ในมือถือดาบอันใหญ่ และตราชั่งขนาดยักษ์ พร้อมที่จะลงทัณฑ์ผู้ล่วงละเมิดกฎอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวลานั้นเองที่อารักขเทวดาทั้ง 5 ของเกรเกอรี่ปรากฏขึ้นและเข้าปกป้องเกรเกอรี่จากการลงทัณฑ์ในครั้งนั้น แต่อารักขเทวดาทั้ง 5 ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยว่าทูตสวรรค์องค์นั้นเป็นเทวดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าพวกตนมากนัก ในเสี้ยววินาทีที่เกรเกอรี่จะถูกลงทัณฑ์นั้นเอง เขาได้ภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ภาวนาถามพระเจ้าว่าสิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนเชื่อ และหวังนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และขอให้สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามพระประสงค์พระองค์ ทันใดนั้นเองเกิดแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับการปรากฏของ “ทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้า” ทูตสวรรค์องค์นี้ปรากฏกายขึ้นพร้อมร่างกายที่ใหญ่โตไม่แพ้ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์เลย ท่านได้ปรากฎขึ้นด้านหลังของเกรกอรี่ และค่อย ๆ สยายปีกทั้ง 6 ออกอย่างช้า ๆ เปล่งรัศมีแสงสว่างกระจายออกมาจากร่างกายของท่าน จากนั้นทูตสวรรค์องค์นี้จึงค่อย ๆ ใช้ปีกขนาดใหญ่ทั้ง 6 โอบ เกรเกอรี่ และ อารักขเทวดาทั้ง 5 ของเขาไว้ ในการปกป้อง มือทั้งสองข้างของท่านประสานพนมมือ ขณะที่ใบหน้าเงยขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบนวอนขอพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ได้ใช้ดาบฟาดฟันลงมาใส่เกรเกอรี่ แต่ปีกของทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้าก็ป้องกันไว้ได้หมดราวกับดาบนั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาเท่านั้น ทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้านั้นเป็นทูตสวรรค์ที่พำนักในสวรรค์ชั้นสูงสุดซึ่งมียศและความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ขึ้นไปอีก ทำให้ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์มิอาจทำอันตรายอะไรเกรเกอรี่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านจึงค่อย ๆ ลดตาชั่งและดาบลง และกลับคืนสู่สวรรค์ไป มาซิลิโอ้เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็ได้แต่ตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก เช่นเดียวกับบรรดานักบวชและทุก ๆ คนในวิหารที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้ เมื่อได้รู้แล้วว่าสวรรค์มีประสงค์เช่นไร มาซิลิโอ้จึงตระหนักว่าความคิดของตนนั้นผิด จึงได้เดินทางกลับโดยไม่ได้เอาความเกรเกอรี่หรือบังคับเขาต่อแต่อย่างใด และศาสนจักรทั้งของฟีเลเซีย และแอนดิซอง ก็ไม่เข้าร่วมในสงครามนี้อีกต่อไป


ต่อมาเหตุการณ์นี้ได้เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า “พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระยุติธรรมของพระองค์”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:09 pm

แต่สำหรับทางฟีเลเซียแล้ว นี่เป็นคนละเรื่องกัน ด้วยเหตุผลทางการเมืองราชสำนักของแอนดิซอง ส่งทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ขอความช่วยเหลือในการรบมาที่ฟีเลเซีย ฟีเลเซียจึงมิอาจนิ่งเฉยต่อสงครามในครั้งนี้ได้ เพราะเมื่อคราทัพซาโลมบุกมายังฟีเลเซีย แอนดิซองก็ได้ให้ความช่วยเหลือยกทัพมาช่วยฟีเลเซียด้วย ดังนั้นในครั้งนี้ทางฟีเลเซียจึงจำเป็นต้องส่งทหารไปร่วมรบเข้ากับทางแอนดิซองเป็นการตอบแทนเช่นกันในฐานะพันธมิตร กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 ที่อยู่ในสภาพกลัดกลุ้มพระทัยได้ปรึกษากับเรจิน่าพี่สาวของตนจนได้ให้ข้อสรุปกับทางแอนดิซองว่า จะส่งกองทหารม้าบิน เพกาซัส ไปเข้าร่วมรบด้วย โดยตนนั้นจะนำทัพด้วยตนเอง ซึ่งการที่ซิกมันด์ทำเช่นนี้นั้นก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องดึงทหารฟีเลเซียทั้งหมดเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย โดยเสียสละเพียงแค่ทัพเพกาซัสของตนเพียงทัพเดียว โดยยกเหตุผลว่าทัพเพกาซัสที่ตนยกทัพไปนั้น เป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุด และการที่กษัตริย์อย่างซิกมันด์ถึงกับเป็นผู้นำทัพไปเองนั้น ทำให้ทางแอนดิซองยอมรับในทัพที่เข้าร่วมของฟีเลเซีย โดยฟีเลเซียก็สูญเสียน้อยที่สุดเช่นกัน


ขณะที่สงครามที่ชายแดนกำลังดำเนินไป ทัพแอนดิซองที่นำโดยอองเดรก็กำลังรุดหน้าเข้ามาทางเขตซาโลมเรื่อย ๆ เมื่อปราศจากกองทัพภูติผีของซาโลม และปราศจากการเข้าร่วมของฝ่ายศาสนา กองทัพของมนุษย์กับมนุษย์จึงได้เข้าห้ำหั่นกันอย่างป่าเถื่อน และโหดน่ารักม โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฝ่ายซาโลมที่ระส่ำระสายและอ่อนแอได้เพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบได้พ่ายแพ้ และถอยหนีอย่างไม่เป็นท่า แม้สิ่งนี้จะสร้างความทุกข์และเสียใจให้อิสฮานอย่างมาก แต่อิสฮานกลับยังคงลังเลใจในเรื่องนี้อยู่ ตัวเขาไม่อยากสานสงครามครั้งนี้ต่อแล้ว เพราะสงครามนั้นนำมาซึ่งความเศร้า การสูญเสียและการพลัดพราก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการจากไปของมารดาอันเป็นที่รักของเขาซึ่งก็มีต้นเหตุมาจากสงครามนั่นเอง แต่การจะปล่อยวางเฉยแบบนี้ก็ไม่ใช่การกระทำอันควรของผู้ปกครองซาโลม รัชทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว และเขาก็ไม่สามารถทนแรงกดดันจากคนรอบข้าง ประชาชน และความตายของทหารซาโลมจำนวนมาก


ในห้วงแห่งความสับสนและลังเลใจนี่เองเป็นการเปิดช่องว่างให้มารร้าย SIN บาปที่ร้ายกาจที่สุด (Pecca Ignorantia) ได้เข้าแทรก เพคคา อิคนอแรนเธีย ได้ปรากฏขึ้นในสิริโฉมอันงดงามสว่างไสวราวทูตสวรรค์ ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอิสฮาน ล่อลวงให้อิสฮานเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย โดยมันได้ยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นมา เช่น การกระทำนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องปกป้องอาณาจักรเอาไว้ อาณาจักรที่แม่ได้ฝากฝังเอาไว้มิควรปล่อยให้ล่มสลายถูกอริศัตรูยึดเอาไปได้ และประชาชนมากมายก็ยังฝากความหวังไว้กับเขาด้วย อิสฮานที่เริ่มจะคล้อยตามคำล่อลวงที่เต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ก็ได้รับการเตือนสติจากอารักขเทวดาของเขา อารักขเทวดาได้เตือนอิสฮานว่า เขาไม่สมควรจะไปรบ เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายของมันเองเมื่อเวลามาถึง แต่ SIN แห่งการละเลยก็ไม่ยอมแพ้ ได้ยกเหตุผลขึ้นมาอ้างต่อ โดยเหตุผลที่ทำให้อิสฮานสะดุดใจมากคือเรื่องของ พระมารดาของเขา (เนอริมอร์) ที่ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ตกอยู่ในนรกของ SIN บาปโกรธา (Pecca Ira) ตามนิสัยของนางที่มักโกรธอยู่บ่อย ๆ SIN ในคราบทูตสวรรค์ได้หลอกอิสฮานว่าหากเขาต้องการช่วยเหลือวิญญาณแม่ของเขา เขาต้องยอมเสียสละตัวเองไถ่บาปแทนแม่ ด้วยการช่วยเหลือผู้คนในซาโลม ยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิ์ตามความหวังของแม่ และเข้าร่วมสงครามซะ แล้วครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แล้ววิญญาณแม่ของเขาจะหมดห่วงและไปสู่สุขติ เมื่อรวมเหตุผลนี้เข้ากับเหตุผลอื่น ๆ ที่ดูมีน้ำหนักและเป็นรูปธรรมที่ SIN ได้ยกขึ้นมาล่อลวงแล้ว อิสฮานจึงตัดสินใจเชื่อ และประกาศเข้าร่วมสงครามในที่สุด โดยเขาได้นำทัพซาโลมออกรบ โดยมี วานาอัน ซูไลก้า และ ฟาริด ที่ติดตามเขาไปด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:09 pm

ทัพซาโลมของอิสฮาน และทัพแอนดิซองของอองเดร ได้เคลื่อนพลมาปะทะกันจนถึงสมรภูมิรบ เขตภูเขาหินทะเลทรายรกร้างในเขตทะเลทรายของซาโลม การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งในครั้งนี้เป็นการประหัตถ์ประหารกันระหว่างมนุษย์และทหารล้วน ๆ โดยแท้ เพราะในครั้งนี้ไม่มีภูติผีปีศาจจากทางซาโลม เทวดาของทางฟีเลเซีย หรือแม้แต่อัศวินศาสนจักร ทัพนักบวชอื่นใด เข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามแล้ว การรบในครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด และรุนแรงมากกว่าในทุก ๆ ครั้ง จากพื้นที่ที่เปิดโล่ง ชัยภูมิที่ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางป้องกันใด ๆ ทำให้ทหารทั้งหมดต่อสู้นองเลือดกันอย่างตรง ๆ

ท่ามกลางไฟสงคราม เลือด และการฟาดฟันกันกลางทะเลทรายนั้น ค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยของเจ้าหญิงอลาน่าและคณะซิสเตอร์ก็อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นด้วย จำนวนผู้ประสบภัยและได้รับบาดเจ็บจากสงครามได้เพิ่มมากขึ้นจนอลาน่าแทบจะรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยล้า กลัดกลุ้มกับสงครามที่ไม่ยอมจบลงเสียที และรู้สึกเวทนาสงสารผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องมาพัวพันกับการเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ด้วยกัน ท่ามกลางห้วงแห่งความทุกข์ระทมของเธอนั้นเอง เธอเริ่มเข้าใจความหมายของนิมิตที่เธอเคยได้รับในครั้งอดีต นิมิตจาก “ทูตสวรรค์แห่งถ้วย” (Angel of Cup)



ในครั้งอดีตตอนที่อลาน่าได้บวชเป็นซิสเตอร์ใหม่ ๆ นั้น เธอได้พบกับเด็กชายตัวเล็กๆที่ช่วยในพิธีมิสซา(พิธีกรรมทางศาสนา)คนหนึ่งชื่อ โฮลี่ เด็กคนนี้ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเบื้องหน้ากระจกสีรูปเทวดาที่มีแสงส่องผ่านมาด้านหลัง จนทำให้เขาดูงดงามและสว่างไสวราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยที่มีปีกจริง ๆ และในระหว่างที่เธอบวชเป็นซิสเตอร์ โฮลี่ ก็คอยคุยและให้กำลังใจเธอด้วยดีเสมอมา แต่ที่แปลกคือเด็กคนนี้ปรากฏตัวอยู่เสมอ แม้แต่ในพิธีมิสซาที่มีเด็กช่วยมิสซาครบ 4 คนแล้ว โฮลี่ก็ยังอยู่ด้วย เป็นเด็กช่วยมิสซาคนที่ 5 ที่ไม่มีใครสังเกตหรือตะขิดตะขวงใจเลย ในครั้งที่อลาน่าอาสาช่วยผู้ประสบภัยสงคราม ที่ค่ายนี้ โฮลี่ ก็ได้ติดตามเธอมาด้วย และคอยช่วยเหลือเธอด้วยดีมาโดยตลอด


จนกระทั่งคืนหนึ่งเวลาตี 3 ในที่พักของเธอในค่ายผู้ประสบภัย โฮลี่ได้มาปลุกเธอ และบอกว่า “มีใครบางคนต้องการพบซิสเตอร์ครับ” เขาพาอลาน่าไปที่กระโจมส่วนกลางที่ทำขึ้นชั่วคราวสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในค่ายผู้ประสบภัย เมื่ออลาน่าไปถึงที่นั่น เธอจึงสวดภาวนา เพื่อรอ “ใคร” ที่จะมาพบเธอ ทันใดนั้น ก็ปรากฏเกิดภาพนิมิตเป็นทูตสวรรค์แห่งถ้วยปรากฏกายขึ้นต่อหน้าอลาน่า ท่านกางปีกออกอย่างช้า ๆ ขณะที่มือข้างหนึ่งถือถ้วยเงิน และอีกข้างถือถ้วยทอง ท่านค่อย ๆ ปล่อยมือทั้ง 2 ข้างอย่างช้า ๆ แต่ถ้วยก็ยังคงลอยอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งท่านเอามือมาประทับที่หน้าอก ถ้วยเงิน และถ้วยทองก็จึงเอียงเข้าหากัน มีน้ำไหลออกมาจากถ้วยเงิน และโลหิต ไหลออกมาจากถ้วยทอง ในตอนแรกนั้นอลาน่าเข้าใจว่าถ้วยแทนถึงผู้ที่จะมาช่วยทำให้สงครามจบลง และเมื่อเธอพบอิสฮานครั้งแรกตั้งแต่สมัยที่เขาเป้นเด็กหนุ่มติดตามมากับฮารีซัน เธอก็รู้ว่าถ้วยเงินแทนสื่อถึงอิสฮานผู้ต้องเสียสละน้ำตา และความทุกข์หลายครั้งในชีวิต เพื่อนำสันติสุขให้ผู้คน แต่มาถึงตอนนี้เธอเข้าใจความหมายของนิมิตนั้นแล้วว่าถ้วยสีทองคือใคร และเลือดหมายถึงการเสียสละชีวิตของผู้เป็นถ้วยสีทองนั้นนั่นเอง


มีปรัชญทางเทวศาสตร์ของฟีเลเซียว่าไว้ว่า
“มนุษย์คือดาบในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า อันมีหน้าที่ปราบสิ่งชั่วร้ายผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

ตามแนวคิดชาตินักรบของฟีเลเซีย ขณะเดียวกันก็มีปรัชญาทางเทวศาสตร์ของแอนดิซองว่า
“มนุษย์เป็นดังถ้วยที่รองรับพระพรจากพระเจ้าเพื่อแจกจ่ายต่อให้ผู้อื่น ภาชนะแตกต่างกันไปตามแต่ละคนเพื่อที่จะรับพระพรที่ต่างกันออกไป และขนาดของภาชนะจะแตกต่างออกไปตามคุณงามความดีของผู้นั้น”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ส.ค. 31, 2009 11:10 pm

การต่อสู้ในสมรภูมิรบดำเนินไปอย่างดุเดือด ศพแล้วศพเล่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนทัพหลักของอิสฮานเคลื่อนพลมาเผชิญหน้ากับทัพหลักของอองเดร เป็นตอนนั้นเองที่อลาน่าเดินออกมาจากค่ายและเดินเข้าไปกลางสมรภูมิรบในทันที ทหารแอนดิซองเมื่อเห็นเจ้าหญิงของตนก็รีบจะเข้าไปอารักขา ด้วยกลัวว่าเจ้าหญิงจะเป็นอันตรายจากการมุ่งร้ายของพวกซาโลม แต่พวกซาโลมก็หาทำอันตรายอะไรเธอไม่ เพราะทหารซาโลมจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากค่ายของเธอเช่นเดียวกัน และความเมตตาปราณีของเธอที่ไม่เคยแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา ร่ำลือและได้รับการยกย่องจากทหารทุกคนในสมรภูมิรบ ทำให้ไม่มีใครเลยซะคนที่จะเข้าไปทำภัยอันตรายใด ๆ กับเธอ ทั้งหมดได้แต่ยืนมองเธอค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ กลางสมรภูมิรบราวกับตกในภวังค์

อลาน่าเดินขึ้นไปบนยอดชะโงกหินเตี้ยๆที่อยู่ตรงกลางสนามรบ ปักคทาของเธอลงบนกลางยอดนั้น พร้อมเริ่มสวดภาวนาขอพระเจ้าให้ตนได้ทำหน้าที่ถ้วยรองพระพรของพระเจ้า ขอเสียสละตนเพื่อพิสูจน์ความรักยิ่งใหญ่ที่มนุษย์จะมีต่อเพื่อนมนุษย์

ทันใดนั้นเองฟ้าสวรรค์เปิดออก ราวกับตอบรับคำภาวนาของเธอ แสงสว่างมหาศาลพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ฉายส่องลงมากลางสมรภูมิรบ แสงสว่างทั้งหมดพุ่งมายังสู่ซิสเตอร์อาลาน่าที่คุกเข้าเงยหน้าภาวนา จนดูราวกับเธอเรืองแสง และแสงนั้นก็พุ่งอออกมาจากร่างของอลาน่าทุกทิศทุกทาง จนทำให้พื้นที่นั้นสว่างไสวราวกับเป็นกลางวันทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมาก ตอนนั้นเองทุกคนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากแสงนั้น บาดแผล ร่องรอยการต่อสู้ ตลอดจนอาการบาดเจ็บของแต่ละคนหายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้แต่ศพของคนที่ได้เสียชีวิตไปแล้วก็ได้กลับได้รับชีวิตลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างน่าอัศจรยย์ เวลานั้นทุกคนหยุดนิ่งหมด ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ไม่เพียงแสงนั้นจะมีผลต่อร่างกายภายนอก แต่ราวกับส่องทะลุเข้าไปในจิตใจ เหล่านักรบที่เมื่อสักครู่มีแต่ความคิดที่จะฆ่าและทำลาย กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในจิตใจ เริ่มคิดคำนึงถึงคนอันเป็นที่รักของตน คิดถึงบ้าน คิดถึงสิ่งดีงามทั้งหลายในชีวิต จนไม่มีความรู้สึกที่จะทำสงครามสู้รบอีกต่อไป


แต่อีกสิ่งหนึ่งที่วานาอันที่อยู่ข้างอิสฮานในสนามรบสัมผัสได้คือ “ชีวิต” ของอลาน่าที่เอ่อล้นออกมาและกำลังแตกสลายลง

“ถ้วยใบนี้รองรับพระพรจากพระองค์จนล้นเปี่ยมแล้ว” อลาน่ากล่าวออกมากับร่างของเธอที่สลายหายไปเหลือเพียงวิญญาณไปแล้วเพราะร่างกายของเธอได้รับพระพรอันมหาศาลจากสวรรค์ มากเกินกว่าภาชนะจะรับได้ เหมือนน้ำทั้งมหาสมุทรอัดลงในภาชนะเล็กๆก่อนภาชนะนั้นจะแตกและระเบิดพลังมหาศาลจนน้ำจากมหาสมุทรนั้นกระจายไปทั้งแผ่นดิน

อิสฮาน รีบรุดไปยังจุดที่อลาน่าอยู่ในทันที อองเดร เมื่อทราบว่าเจ้าหญิงเดินเข้ามาในสนามรบก็รีบเข้ามาถวายอารักขาเช่นกัน แต่ทั้งหมดก็ไม่ทันได้มาถึงเธอ จนทุกอย่างได้เกิดขึ้นและสำเร็จลง อองเดรนั้นเมื่อมาถึง เห็นเพียงวิญญาณเลือนรางที่อลาน่าคงไว้เพื่อร่ำลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก็จิตใจแตกสลายล้มลงกับพื้น ตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายปลิดชีวิตตนทิ้งเสีย เพราะคิดว่าตนเป็นต้นเหตุของศึกในครั้งนี้ทำให้อลาน่าต้องตาย แต่อลาน่ากลับห้ามเขาไว้และบอกว่าหากอองเดรรักและภักดีต่อตน ก็ให้อองเดรตอบแทนด้วยการทำตามหน้าที่ กลับไปดูแลประเทศแอนดิซองอย่างดี ขอให้ทำในสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าหญิงของเขานั้นปรารถนาสิ่งใดเสมอมา โดยที่ตนจะรอดูเขาอยู่บนสวรรค์เสมอ ส่วนอิสฮาน อลาน่าบอกให้เขายุติสงครามลงเสีย และให้อิสฮานเชื่อเสียงลึก ๆ ในจิตใจของตนเอง ส่วนคนอื่น ๆ นั้นอลาน่าก็บอกให้เลิกทำสงครามเข่นฆ่ากันได้แล้ว เพราะตนจะไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่สามารถช่วยรักษาทุกคนแบบครั้งนี้ได้อีกต่อไปแล้ว อลาน่าฝากฝังทุกอย่างจนเสร็จแล้ววิญญาณของเธอก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมกับบรรดาเทวดาจากสวรรค์ที่พากันมาต้อนรับนำเธอเข้าสู่สวรรค์ ในบรรดาเทวดาองค์น้อยเหล่านั้นมี โฮลี่ เด็กช่วยมิสซาคนนั้นอยู่ด้วย แท้จริงแล้ว โฮลี่ เป็นอารักขเทวดาของเธอนั่นเอง เขาได้ปลอมตัวมาเป็นมนุษย์มาคอยให้ความช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด และบัดนี้เขามานำเธอขึ้นสู่สวรรค์ ตอบแทนความพากเพียรคุณงามความดีทั้งหมดที่เธอได้ทำมาบนโลกนี้


ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็หมดความต้องการในสงครามและปรารถนาเพียงสันติสุข และ ทหารทั้งสองฝ่ายก็ละทิ้งสมรภูมินั้น เหลือเพียงอิสฮานที่ยังมองท้องฟ้า และอองเดรที่ร่ำไห้อย่างขมขื่น


ในที่สุดสงคราม 4 อาณาจักรอันยาวนานก็ได้ยุติลงจริง ๆ เสียที ผ่านการเสียสละชีวิตของอลาน่าที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนักบุญ (saint) ในเวลาอันสั้น คทาที่เธอปักลงบนยอดหินนั้น ภายหลังก็ได้มีน้ำไหลออกมาจนเปลี่ยนทะเลทรายที่รกร้างแห่งนี้กลายเป็นโอเอซิส “ซานตาน่า” ในเวลาต่อมา ทัพของแต่ละอาณาจักรก็ได้ยกทัพกลับไปพร้อม ๆ กับสงครามที่ได้ปิดฉากลง

เรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะจบลงด้วยดีแล้ว แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่จบลงเสียทีเดียว นั่นคือเรื่องความรักระหว่างอิสฮาน กับ วานาอัน ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยเช่นไรกันแน่……
.
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร ก.ย. 01, 2009 12:03 am

อารักขเทวดาของเกรเกอรี่
(Gregory's Guardian Angel) ทั้ง 5 องค์



อารักขเทวดา หรือ Guardian Angel

คือ เทวดาคุ้มครองที่มีอยู่ประจำดวงวิญญาณแต่ละดวง โดยถูกส่งมาโดยพระเจ้าสูงสุดหนึ่งเดียวแห่งโลก Terra แต่ละคนมีอารักขเทวดาประจำตัว โดยที่อารักขเทวดาแต่ละคนจะมีหน้าที่ต่างๆกัน แต่หลักๆคือนำ หรือดลใจคนผู้นั้นไปสู่หนทางที่ถูกที่ควร คนๆหนึ่งสามารถมีอารักขเทวดาได้มากกว่า 1 องค์ เหมือนอย่างเช่นเกรเกอรี่ที่มีอารักขเทวดาล้อมรอบถึง 5 องค์เลยทีเดียว

จำนวนของอารักขเทวดาที่แต่ละคนมีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดี ความเก่งความสามารถ หรือแม้แต่ตำแหน่งศักด์ทางโลก หรือ ทางสงฆ์ แต่อย่างใด ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความดีงาม ความศรัทธาในระดับสูงอย่างเช่นซิสเตอร์ อลาน่า ก็ยังมีอารักขเทวดาเป็นเทวดาเด็กเพียงแค่องค์เดียว หรือ แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งชั้นสูงทางสงฆ์อย่าง มาซิลิโอ (Marsillio , the Cardinal of Annedisonge) ที่มีศักดิ์สูงถึงขั้น คาร์ดินัน ที่มีความสำคัญและบทบาททางศาสนามาก ก็ยังมีอารักขเทวดาแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น แล้วทำไมเกรเกอรี่ถึงมีอารักขเทวดาถึง 5 องค์ละ?

ในบันทึกประจำวันของอัครสังฆราชเกรเกอรี่ แห่ง ฟีเลเซีย ได้เคยบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
“ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าแท้จริงข้าพเจ้ายังมีความอ่อนแอในหลายเรื่อง และได้รับหน้าที่ ที่สำคัญยิ่ง และ ยิ่งใหญ่เกินอายุและความสามรถมาก และพระเจ้าคงทรงทอดพระเนตรเห็นความอ่อนแอนี้ ดังนั้นไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าศักดิ์สิทธิ์หรือสำคัญกว่าคนอื่นๆ แต่คงเป็นเพราะข้าพเจ้ามีข้อบกพร่อง และน่าเป็นห่วงมากกว่าคนอื่น สวรรค์จึงต้องส่งผู้ช่วยเหลือมาให้ข้าพเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ"

อารักขเทวดาทั้ง 5 องค์ของเกรเกอรี่แต่ละองค์มีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์คุณลักษณะแต่ละประการของเกรเกอรี่ อันได้แก่ ความบริสุทธิ์ สติปัญญา ศรัทธา ความสัตย์จริง และ พลัง และนามของอารักขเทวดาทั้ง 5 คือ

Gabriela (กาบริเอล่า) Victoria (วิคตอเรีย) Ariel (อารีเอล) Jessica (เจสซิก้า) และ Meredith (เมเรดิธ) โดยที่อารักขเทวดาแต่ละองค์ก็คอยพิทักษ์คุณลักษณะกันคนละประการ

เกรเกอรี่นั้นในตอนแรกก็ไม่ได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของอารักขเทวดาของตน และก็ไม่สามารถพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกับอารักขเทวดาของตนได้อย่างอิสระ เพราะเหตุผลที่เทพ และ เหล่าเทวดาเบื้องบนจะมาปรากฏกายบนโลกในสภาพที่มนุษย์สามารถเห็นและเข้าใจ หรือ มีส่วนร่วมกับเรื่องของมนุษย์นั้นจะมีเฉพาะเหตุที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น

เหมือนอย่างที่ ฟรานเชสก้าไขแสดงนิมิตเผยลางแห่งอนาคตให้ปรากฏ หรือ แม้แต่การอปรากฏตัวของอัศวินแห่งสวรรค์ (Heaven Knight) ที่มาช่วยฟีเลเซีย

(ซึ่งก็เพราะฝ่ายซาโลมใช้ปีศาจจากนรกมาร่วมนั่นเองทำให้เหล่าเทพมิอาจนิ่งเฉยได้ มิฉะนั้นเทพไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุของมนุษย์อยู่แล้ว)

ดังนั้นการติดต่อก็เช่นกันที่ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ หรือ อย่างอิสระ การที่ กาบริเอล่า ยอมมาร่วมเดินทางไปกับอิสฮานนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการที่เกรเกอรี่ไปขอได้โดยตรงตามใจปรารถนา หรือ ประสงค์ของเกรเกอรี่เองโดยตรงเช่นกัน แต่เป็นเพราะที่เกรเกอรี่รู้เรื่องว่าอิสฮานกำลังจะออกเดินทาง และตัวเองก็ยังสับสนไม่แน่ใจเกี่ยวกับการกระทำของอิสฮาน และ ด้วยลำพังตัวเขายังไม่กล้าตัดสินใจอะไรสำคัญ เขาจึงเข้าไปในโบสถ์ ไปสวดภาวนาต่อพระเจ้าด้วยความหวังจะได้รับคำตอบที่เหมาะสมที่สุดจากเบื้องบนสำหรับเรื่องของอิสฮาน และ ภายหลังการภาวนาด้วยความตั้งใจและหัวใจที่ถ่อมตนเป็นเวลานาน เขาก็ได้รับคำตอบ โดยที่อารักขเทวดาได้มาพูดคุยติดต่อสื่อสารกับเขาเป็นครั้งแรก และ หนึ่งในอารักขเทวดา คือ กาบริเอลล่า

อารักขเทวดา กาบริเอลลาบอกตกลงที่จะร่วมเดินทางไปกับอิสฮานด้วยเองในสภาพจำแลงของนักบวชหญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง วัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมการเดินทางไปกับพวกอิสฮานด้านหนึ่งเพื่อจับตาดูอิสฮาน ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็คอยสนับสนุนช่วยเหลือเขาด้วยพระพรจากเบื้องบน ซึ่งก็มีหลายครั้งระหว่างการเดินทางที่ กาบริเอล่า ได้ใช้พระหรรษาทานช่วยผู้คนระหว่างการเดินทางไปกับอิสฮานด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง กาบริเอล่า คอยมีส่วนช่วยให้การเดินทางครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างลับๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: <<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร ก.ย. 01, 2009 12:48 am

Angel of Music


Angel of Music หรือ ทูตสวรรค์แห่งการดนตรีทั้ง 6 ที่ปรากฏในชุด The Saint นี้เป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์ที่ทำหน้าที่ขับร้องขับกล่อมบรรเลงการดนตรี ในแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องบรรเลงเพลงเพื่อสรรเสริญพระเจ้า จนไปถึงการขับร้องบรรเลงเพลงเพื่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งบทประพันธ์บันทึกประวัติศาสตร์ของโจฮันนี้ ก็สำเร็จได้เพราะความช่วยเหลือของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีทั้ง 6 นั่นเอง


ส่วนสาเหตุที่ทูตสวรรค์แห่งการดนตรีในชุดนี้มีด้วยกัน 6 องค์ 6 ธาตุ นั้นก็เพราะทูตสวรรค์แต่ละองค์ปรากฏกายขึ้นวันละองค์ตามธาตุทั้ง 6 ของแต่ละวันตามที่ตนสังกัด ไล่จาก ลุกซ์ อิกนิส อควอ เวนตุส โซลัม ไปจนถึง น็อกซ์ โดยที่ในแต่ละวันที่ทูตสวรรค์แห่งการดนตรีมาเยือนโจฮันนี้ ทูตสวรรค์แต่ละองค์ก็ได้ขับกล่อมบรรเลงดนตรีตามชนิดและรูปแบบเครื่องดนตรีของแต่ละองค์ ทั้งหมดเป็น 6 วัน 6 ท่วงทำนองนั่นเอง


ในตอนแรกนั้นโจฮันแม้จะได้รับการไขแสดงจากทูตสวรรค์แห่งการดนตรี เขาก็ยังไม่สามารถที่จะนำบทเพลงทั้งหมดมารังสรรค์เป็นบทกวีนิพนธ์บรรยายเรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้ เพราะท่วงทำนองของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีในแต่ละวันนั้นช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน แรกเริ่มในวันแรกนั้นเป็นบทเพลงโหมโรงแบบเบา ๆ จากเสียงพิณของทูตสวรรค์ ฮารีฟีเอล แต่วันต่อมากลับกลายเป็นบทเพลงเสียงขลุ่ยอันร้อนแรงที่ตื่นเต้นราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนของ ทูตสวรรค์ โฟลเทเซล ซึ่งนั่นรวมไปถึงบทเพลงในที่ตามมาในวันต่อ ๆ มาด้วย ซึ่งแม้ท่วงทำนองบทเพลงทั้งหมดจะไพเราะเพราะพริ้งเกินกว่าเสียงดนตรีใด ๆ บนโลกนี้ก็ตาม แต่บทเพลงของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีแต่ละองค์นั้น กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนราวกับเป็นการขับขานละครคนละเรื่องกันเลยทีเดียว จนในที่สุดเมื่อผ่านไป 6 วัน ในวันที่ 7 นี่เอง โจฮันลองทบทวนถึงบทเพลงท่วงทำนองทั้ง 6 ของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีแต่ละองค์ที่เขาได้รับฟังมาในแต่ละวัน จนเขารู้สึกสัมผัสได้ถึงความสอดคล้องอย่างประหลาดระหว่างเขาลองคิดเรียบเรียงลำดับท่วงทำนองเหล่านั้น เขาจึงลองนำท่วงทำนองบทเพลงของทั้ง 6 วันมาเรียงต่อกันดู ก็พบว่าท่วงทำนองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกลับสามารถรวมเป็นบทเพลงหนึ่งเดียวที่แสนจะไพเราะและลงตัวเกินกว่าเพลงใด ๆ ในโลกนี้ได้ บทเพลงที่มีทั้งท่วงทำนองอันสงบ ผ่อนคลาย ทำนองที่เร่าร้อน ร้อนแรง ทำนองที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก เสียงที่ทรงพลังที่ช่วยปลุกจิตใจ ทำนองที่บาดลึกไปถึงจิตวิญญาณ และ ท่วงทำนองอันน่าพิศวงหลงใหล ทั้งหมดทั้ง 6 ท่วงทำนองนี้กลับกลายเป็นบทเพลงหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์แบบ ที่ขับขานเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่ง Terra และ Merrisia ได้ออกมาอย่างไพเราะเสนาะหูเกินบรรยาย และผลงานนี้ก็กลายเป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่โจฮันสามารถประพันธ์ออกมาได้สำเร็จในวันที่ 7 ด้วยความช่วยเหลือของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีทั้ง 6 นั่นเอง


และในเวลาต่อมา บทประพันธ์นี้ก็ถูกยกย่อง ยกเป็น 1 ใน 3 สุดยอดงานประพันธ์ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ได้ออกมาอย่างไพเราะที่สุดอย่างที่เรารู้กันนั่นเอง



ทูตสวรรค์แห่งการดนตรีที่ปรากฏใน ep 11 นี้ปรากฏโฉมมาด้วยกัน 6 องค์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีทูตสวรรค์แห่งการดนตรีทั้งหมดมีเพียง 6 องค์เท่านั้น หากแต่ทั้ง 6 องค์ที่ปรากฏนั้นเป็นตัวแทนสื่อตามแต่ละท่วงทำนองดนตรี และตามแต่ละธาตุตามวันในโลก Terra จำนวนของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีในสวรรค์นั้นมีอยู่เยอะมากชนิดที่เรียกว่าเสียงดนตรี ตัวโน้ต บทเพลง มีทั้งหมดเท่าไหร่ จำนวนของทูตสวรรค์แห่งการดนตรีก็มีตามนั้นเลยทีเดียว (ซึ่งหมายความว่าในอนาคตเราอาจะได้เห็น AOM องค์อื่น ๆ อีกก็เป็นได้) แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ก็นับว่าทูตสวรรค์แห่งการดนตรีทั้ง 6 นับเป็น 6 องค์หลัก ที่จัดว่าอยู่ระดับแนวหน้าเลยทีเดียวก็ว่าได้ นักดนตรียังมีระดับความชำนาญฉันใด ก็เช่นกันที่ทูตสวรรค์แห่งการดนตรีก็มีระดับสูงต่ำต่างกันฉันนั้น ซึ่งก็อาจเปรียบได้กับทูตสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ที่มีการแบ่งระดับชั้นเช่นเดียวกันนั่นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน