Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ เม.ย. 28, 2024 1:01 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ต.ค. 28, 2023 12:18 pm

Chapter 23 จุดเปลี่ยน


อิสฮานนอนพลิกหน้ากระสับกระส่ายอยู่บนแพเถาวัลย์ เสียงควบของกีบเท้าม้าดังก้อง เสียงร้องของม้าที่แหลมสูงเอื้อนยาวจนบาดลึกเข้าไปในโสตประสาทกระตุกหัวใจของเขาให้เต้นแรงขึ้นเร็วขึ้นด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นม้าสีดำแผงคอลุกโชนเป็นไฟ วิ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วจนอิสฮานไม่ทันได้ขยับตัวหรือว่านี่จะเป็น อาชาแห่งความมืด (Nightmare) คิดได้เพียงเท่านั้นเจ้าม้าดำก็พุ่งชนเขาเต็มแรงจนเขากระเด็นไปไกล ไกลจนเขาจินตนาการไม่ได้ว่าจะตกลงไปที่ใด หลายอึดใจต่อมา ร่างเขาก็กระแทกลงบนทรายที่ร้อนจัด มันร้อนจนเขารู้สึกแสบผิวไปหมด อิสฮานมองไปรอบ ๆ ทิวทัศน์ที่เคยคุ้นตาทำให้ดวงตาของเขาเบิกโพล่ง เขาเงยหน้ามองกำแพงที่สูงตระหง่านเบื้องหน้า ธงสีแดงเพลิงแห่งซาโลมโบกสะบัดสู้ลมร้อนและฝุ่นทรายอย่างแรง อิสฮานอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เขาค่อยๆก้าวเดินช้าๆเข้าไปที่ประตูเมือง กลิ่นสาบและกลิ่นคาวเลือดโชยมาเตะจมูกของเขาจนรู้สึกสะอิดสะเอียน หัวใจของเขากระตุกแกว่งอย่างแรง เขาอยากจะหันหลังกลับและวิ่งหนี แต่ทว่าเขากลับควบคุมขาของตัวเองไม่ได้ มันก้าวเดินเข้าประตูเมืองไปราวกับมีชีวิตของมันเอง

ทันทีที่เข้าประตูเมือง เขาก็ได้เห็นซากศพมากมาย ศพเหล่านั้นมีทั้งที่ตายนานแล้วและเพิ่งตายได้ไม่นาน กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว อิสฮานสอดส่ายสายตามองหาผู้รอดชีวิต ทว่าไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ซากศพ แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้น ทำให้เขาถึงกับผวาหันกลับไปทางต้นเสียง เสียงร้องที่ทำให้เขานึกถึงนกน่าเกลียดที่เขาเคยหวาดกลัวในวัยเด็กและจดจำได้ไม่เคยลืม เสียงนั้นดังออกมาจากปราสาทที่อยู่จุดสูงสุดของเมือง อิสฮานมองปราสาทด้วยความตื่นตะลึง ปราสาทที่เขาจำได้ไม่มีอีกแล้ว มันกลับกลายเป็นปราสาทที่ดำทะมึนสูงตระหง่านดูน่ากลัว มีรังสีสีแดงและดำแผ่ออกจากตัวปราสาทตลอดเวลา รอบปราสาทนั้นมี โพเนรอส (Poneros) ภูตปีกค้างคาวในมือถือหอกสองง่ามหลายร้อยตนบินวนอยู่
เสียงร้องแหลมสูงของนกปีศาจดังขึ้นอีกครั้ง ปลุกเหล่าซากศพโดยรอบอิสฮานให้ลุกขึ้นมา เสียงร้องโอดคราญด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานดังระงมไปทั่วทั้งเมือง ซากศพเหล่านั้นค่อยๆเดินมาหาเขา อิสฮานพยายามผลักซากศพเหล่านั้นแต่มันมีมากมายเหลือเกิน

“ไม่ ออกไป อย่าเข้ามา” อิสฮานพยายามปัดป้องอย่างสุดกำลัง ฉับพลันนั้นเสียงจากศพดังระงมขึ้น

“เจ้าคือความหวังของซาโลม เจ้าคือดวงอาทิตย์” ซากศพในชุดเกราะตรงเข้าบีบแขนทั้งสองข้างของเขาอย่างแรง

อิสฮานมองซากศพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากละล่ำลัก “สะ...เสด็จพ่อรึ”

“จงครอบครองเมอร์ริเซีย นำพาซาโลมให้ยิ่งใหญ่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ซากศพนั้นแหงนหน้าหัวเราะ

“ไม่ ๆ ข้าไม่ต้องการ” อิสฮานพยายามปัดป้องสลัดตัวออกจากซากศพนั้น

“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย”

“เจ้าชาย เจ้าชาย มาช่วยพวกเราด้วย”

“เพราะแก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก”

“ทรมานเหลือเกิน พวกเราทรมานเหลือเกิน”

“อย่าทอดทิ้งเรา เจ้าชายกลับมา”

ซากศพเหล่านั้นตรงเข้ากรุ้มรุมกระชากเขาไปมา อิสฮานน้ำตาไหลพราก ตะโกนสุดเสียง “ไม่ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ พอแล้ว พอสักที หยุดเถอะ ได้โปรด”

“อิสฮาน ลูกแม่” เสียงอันคุ้นเคยทำให้อิสฮานหันควับไปด้วยความลิงโลด

“เสด็จแม่” น้ำเสียงดีใจและรอยยิ้มเลือนหายไปในทันทีที่เห็นว่าเสียงนั้นมาจากซากศพที่ไหม้เกรียมจนมองเค้าโครงไม่ออก อิสฮานยื่นมืออันสั่นเทาออกไปแตะที่ร่างไหม้เกรียมนั้น น้ำตาไหลพราก ริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนอกจะระเบิด เจ็บปวดเหมือนใจจะขาด

“ช่วยแม่ด้วย อิสฮาน ช่วยแม่ด้วย” สิ้นเสียงนั้น ร่างทั้งร่างก็ลุกเป็นไฟต่อหน้าต่อตาของเขา ไฟนั้นแผดเผามือของเขาจนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“ไม่! เสด็จแม่ ไม่!!!!!!!!!!!!!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ต.ค. 28, 2023 12:19 pm

อิสฮานตะโกนสุดเสียงจนสะดุ้งตื่นทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วป่าทำให้ฝูงนกแตกตื่นพากันบินออกจากรัง อิสฮานมองไปรอบๆ น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด เขาหอบถี่สูดหายใจเข้าออกอย่างแรงจนตัวโยนพลางก้มลงมองมือทั้งสองที่ยังคงสั่นเทา ความเจ็บปวดแสบร้อนในความฝันที่ต่อเนื่องมาแม้ในขณะตื่น หัวใจกระตุกแกว่งจนเหมือนถูกกระชากออกมาจากอก ความฝันนี้ได้ทำลายกำแพงที่เขาปิดผนึกไว้ในห้วงลึกที่สุดของจิตใจ เขาเกลียดตัวเอง เกลียดโชคชะตาที่ลิขิตเขามาเช่นนี้ อิสฮานกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทุบอกชกหัวตัวเองซ้ำๆอย่างแรง แม้ร่างกายจะเจ็บแต่มันเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในใจของเขา เขาอาละวาดจนกระทั่งหมดแรง ก่อนจะใช้สองแขนกอดรอบตัวเองฟุบหน้าลงร้องไห้อย่างขมขื่น

ตลอดสองวันที่เหลือ การเดินทางในป่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอิสฮาน ทว่าการนอนหลับกลับเป็นความน่ากลัวสำหรับเขา เหมือนทำนบกั้นน้ำที่พังทลาย สิ่งที่เขาแอบซ่อนไว้ในส่วนลึกในจิตใจก็พากันไหลบ่าออกมาจู่โจมเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกครั้งที่เขาหลับตาภาพความฝันก็ย้อนกลับมาตอกย้ำเขาจนต้องรีบลืมตาเรียกสติตัวเอง การอยู่กับตัวเองคนเดียวกลางป่าลึกที่เงียบสงบและวังเวงทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน จิตใจของเขาดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความทุกข์ เขาอยากจะหายไปจากโลกนี้ อยากจะตายเพื่อให้ชะตาต้องสาปนี้สิ้นสุดลงเสียที แต่เขาไม่อาจทำลายชีวิตที่เสด็จแม่ยอมสละตัวเองเพื่อแลกมา มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจทำปลิดชีพตัวเอง แม้การมีชีวิตอยู่จะทรมานยิ่งกว่าตาย


เป็นเวลาตะวันจวนตกดินแล้ว วานาอันยืนอยู่ตรงระเบียงบ้านถอนหายใจชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านด้วยความกังวล พวงมาลัยดอกไม้ในตะกร้าที่เธอทำไว้ตั้งแต่เช้าเริ่มโรยลง ชินชินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำจมูกฟุดฟิด

“ท่านปู่ นี่ใกล้จะค่ำแล้ว ทำไมยังไม่เห็นอิสฮานกลับมาเลย” วานาอันเริ่มเป็นกังวล

“ใจเย็น ๆ รออีกสักหน่อย นี่ยังไม่หมดวันเลย” วูจินยิ้มปลอบ

“อ๊ะ เจ้าจอมซน ไม่ได้นะ อันนี้กินไม่ได้ เราตกลงกันแล้วไงว่าอันนี้ให้อิสฮาน” วานาอันรีบอุ้มชินชินขึ้นมา ก่อนจะเกาท้องมันด้วยความเอ็นดู ชินชินดิ้นดุ๊กดิ๊กกระดิกหางอย่างชอบใจก่อนจะดิ้นหลุดจากแขนวานาอันบินตรงไปยังลานบ้าน

“อิสฮาน!! ท่านปู่ อิสฮานกลับมาแล้วค่ะ” วานาอันยิ้มกว้างอย่างดีใจหันมาบอกวูจินก่อนจะวิ่งตรงไปหาอิสฮาน
อิสฮานที่ตัวเลอะสกปรกมอมแมม เงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงบ้านบันดารา ภาพวานาอันเรียกชื่อเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างกางแขนวิ่งตรงมาหาเขาทำให้หัวใจของเขาพองโต ความสดใสของเธอทำให้จิตใจที่ปั่นป่วนตลอดสามวันของเขาได้สงบลงบ้าง วันนี้คงได้หลับเต็มอิ่มสักที อิสฮานยิ้มก่อนจะล้มฟุบลงในอ้อมแขนของวานาอัน

หลังจากกลับมาอิสฮานก็หลับไปถึงสองวันเต็มๆ ทุกคนต่างสงสัยว่าทำไมเขาดูเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ราวกับไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตลอดสามวัน ครั้นพอตื่นขึ้นเขาก็ดูเงียบขรึมลงมากจนทุกคนสังเกตได้ แทบไม่ได้พูดอะไรกับใคร บางครั้งก็เหม่อมองไปที่ไกลแสนไกลเหมือนมีบางสิ่งภายในใจให้ครุ่นคิดตลอดเวลา ชาวบ้านฟูดินันว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลังจากผ่านพิธี แต่ครอบครัวบันดาราสัมผัสได้ว่ามีความทุกข์ที่แสนหนักอึ้งแอบแฝงอยู่

เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมาอิสฮานก็ต้องออกเดินทางไปกับกองทัพพร้อมกับฮารีซัน ซึ่งยิ่งสร้างความทุกข์ให้กับเขาอย่างมาก การเข้าใกล้เขตสงครามยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงชาติกำเนิดและเหตุแห่งมหาสงครามครั้งนี้ อิสฮานพยายามหาเวลาอยู่กับวานาอันตลอดเวลาที่เหลืออยู่เพื่อตักตวงช่วงเวลาที่แสนมีค่าไว้ให้มากที่สุด ทว่าช่วงเวลาที่เขาคิดว่ามีความสุขกลับเต็มไปด้วยความทรมานด้วยเช่นกัน เมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันนั้นน้อยลงทุกที การจากลาวานาอันเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกิน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การใช้ชีวิตอยู่ในฟูดินัน ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะอยู่ห่างจากเธอ

ในที่สุดวันที่เขาต้องติดตามกองทัพก็มาถึง บรรดาชาวบ้านต่างก็ออกมาตั้งแถวเพื่อส่งเหล่าทหารไปยังสนามรบ บรรยากาศนั้นผสมปนเปกันระหว่างความฮึกเหิมของทหารที่พร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องดินแดนและคนที่รักกับความหวาดหวั่นของผู้รอคอยที่หวังว่าลูกหลานหรือสามีจะปลอดภัยและได้กลับมาอีกครั้ง ด้านครอบครัวบันดาราเองต่างสวมกอดและอวยพรให้กันและกัน
วานาอันยืนตรงหน้าอิสฮานก่อนยื่นถุงผ้าใบเล็ก ๆ ที่เธอเย็บเองส่งให้อิสฮานพร้อมรอยยิ้ม

“ข้าเย็บให้ ข้างในใส่เครื่องหอมไว้ เผื่อว่าเจ้าคิดถึงบ้าน กลิ่นของมันจะได้ช่วยคลายความคิดถึง”

อิสฮานรับถุงผ้าไว้ด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เขาค่อยๆยกมันขึ้นมาดม มันมีกลิ่นหอมของดอกไม้หอมและสมุนไพรที่เขามักจะไปเก็บกับเธอ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจคล้ายกับกลิ่นที่เขาได้จากตัวเธอเสมอๆเวลาที่อยู่ด้วยกัน มีคำพูดมากมายอยู่เต็มอกที่อยากจะพูดแต่ไม่รู้จะกลั่นกรองออกมาอย่างไร อิสฮานกลั้นใจ

“รอข้านะ” อิสฮานพูดเสียงเบาจนแทบกระซิบ

“อืม” วานาอันพยักหน้ารับคำ

และแล้วเสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพ อิสฮานถอยหลังออกมาสองก้าว สายตาจับจ้องไปที่วานาอันคล้ายกับพยายามจดจำภาพของเธอไว้ วานาอันยืนโบกมือส่งเขาดวงตาแดงกำแต่ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มที่เขารัก อิสฮานพยายามฝืนยิ้มอย่างเต็มที่ก่อนจะหันหลังไม่ให้วานาอันเห็นน้ำตาของเขา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ต.ค. 28, 2023 12:20 pm

วิโอเรียบัดนี้เป็นรัชทายาทแห่งแอนดิซอง ได้ใช้ยศเจ้าหญิงรัชทายาทอย่างเป็นทางการและได้ย้ายเข้ามาพำนักอยู่ในปราสาทซึ่งแต่เดิมคือปราสาทของเจ้าหญิงอลาน่า ภายในห้องรับรองส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซอง เวลานี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่เคยดูเรียบง่าย ข้าวของเครื่องใช้คุณภาพดีแต่ก็มีเท่าที่จำเป็น กลับกลายเป็นห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนที่ดูหรูหราอลังการ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของที่ดีที่สุด หรูหราที่สุด แพงที่สุดเท่าที่จะหาได้ในอาณาจักร

เจ้าหญิงแม่มดน้ำแข็งกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนตัวเอกเขนกอยู่บนตั่งทองคำประดับเพชร เบาะรองทำจากผ้าไหมชั้นดีปักดิ้นทองและเงินอย่างประณีต ถ้วยชากระเบื้องเคลือบในมือก็ดูสูงค่าจนมิอาจประเมิณราคาได้ เธอเชิดหน้าเหมือนสตรีสูงศักดิ์ที่ถือตัวทว่าสายตาหรี่แคบและริมฝีปากอวบอิ่มที่ยิ้มน้อยๆนั้นเต็มไปด้วยความเย้ายวน ทำให้ชายหนุ่มที่อ่อนด้อยประสบการณ์ต้านทานเสน่ห์ไม่ได้ถึงกับจ้องมองไม่วางตาพร้อมกับยิ้มตามอย่างเคลิบเคลิ้ม เจ้าหญิงยิ้มยั่วก่อนจะโบกมือเบาๆเป็นสัญญาณให้เหล่านางกำนัลถอยหลบไป จนเมื่อเห็นว่าไกลพอจะไม่ได้ยินใดๆแล้วจึงได้ปรายตาไปทางทหารหนุ่มให้เริ่มพูด

“ทะ ทูลฝ่าบาท ช่วงนี้ท่านอองเดรดูเงียบขรึมยิ่งกว่าเมื่อก่อน ใคร ๆ อาจคิดว่าเขาเย็นชาขึ้น แต่กระหม่อมรับใช้ท่านแม่ทัพอย่างใกล้ชิดมานาน กระหม่อมแน่ใจว่าท่าทางท่านแม่ทัพไม่เหมือนเมื่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ จากแต่ก่อนที่พูดน้อยอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแทบไม่พูดเลย อาหารก็แทบไม่แตะ กลางคืนก็นอนหลับไม่ค่อยดีมักตื่นมากลางดึก บางคืนก็กระสับกระส่ายจนถึงเช้า” นายทหารหนุ่มต้นห้องของแม่ทัพอองเดรละล่ำละลักรายงานพร้อมรอยยิ้มหลงใหลในความงามของหญิงสาวเบื้องหน้า

วิโอเรียฟังข้อมูลที่ได้รับอย่างพินิจพิเคราะห์ นางลอบให้ทหารรับใช้ของอองเดรเป็นสายให้นางมานานแล้ว จนได้รู้ว่าตั้งแต่เจ้าหญิงอลาน่าจากไป สภาพจิตใจของนายทัพใหญ่ก็ค่อยๆย่ำแย่ลง จิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหมกมุ่นที่จะนำอลาน่ากลับมายังแอนดิซองทำให้จิตใจของเขาจมดิ่งลงเรื่อยๆ แม้อาการของอองเดรจะสร้างความริษยาให้เจ้าหญิงวิโอเรียเป็นอย่างมากที่เขาหลงใหลในตัวญาติผู้พี่ของนางถึงเพียงนี้ แต่ยิ่งเขาจมดิ่งสู่ความสิ้นหวังลึกลงเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งครอบครองเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น นางจะต้องทำให้เขาจมลึกลงยิ่งกว่านี้ หมดอาลัยตายอยากยิ่งกว่านี้ นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าพลางยื่นมือให้ทหารหนุ่มช่วยพยุงให้ลุกนั่ง ทหารหนุ่มก็รีบกุลีกุจรประคองมือของวิโอเรียอย่างทนุถนอม เจ้าหญิงยืดตัวนั่งช้าๆด้วยท่วงท่าเอื่อยเฉื่อย ทหารหนุ่มถึงกับต้องกลืนน้ำลายมือไม้สั่นเพราะอากัปกริยาเช่นนี้ทำให้เหมือนกับเวลาเดินช้าลงและมันช่างดูเย้ายวนเหลือเกิน ทว่าความสูงส่งของตำแหน่งรัชทายาทก็ทำให้เขามิกล้าอาจเอื้อมล่วงเกิน ทำได้เพียงถวายตัวเป็นทาสรับใช้นางด้วยความเต็มใจ ทหารหนุ่มยิ้มตาละห้อยมองหญิงสาวตรงหน้า

“ข้ามีไวน์ชั้นดีให้เจ้าเอาไปให้เขา แต่อย่าบอกนะว่ามาจากข้า” วิโอเรียพูดยิ้มๆ เริ่มแผนการขั้นต่อไป นางรู้ดีว่าถ้าอองเดรรู้ว่ามาจากนาง คงไม่มีทางรับไว้ “เจ้าก็รู้ฐานะของข้ามอบอะไรให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จงบอกว่าเป็นของกำนัลจากราชทูต ไวน์นี้จะช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย ต่อไปข้าจะเตรียมไวน์ให้เจ้าทุกอาทิตย์ ข้าต้องการให้เจ้าเสิร์ฟไวน์นี้ให้อองเดรหลังมื้ออาหารทุกมื้อและก่อนนอน”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำตามอย่างเคร่งครัด” นายทหารหนุ่มรีบรับคำ

เจ้าหญิงวิโอเรียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคักด้วยท่าทางน่ารักทว่าสายตากลับแสนเย้ายวน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ต.ค. 28, 2023 12:20 pm

หลายเดือนต่อมา ข่าวของคณะซิสเตอร์กำลังเดินทางกลับมาจากฟีเลเซียก็กระจายไปทั่วเมืองท่า ลือกันว่ามีซิสเตอร์ตำแหน่งสูงเดินทางกลับมาด้วย บ้างก็ลือว่าซิสเตอร์ที่มีตำแหน่งสูงนั้นก็คือซิสเตอร์อลาน่านั่นเอง สภาขุนนางได้รับคำสั่งจากรัชทายาทวิโอเรียให้จัดเตรียมการต้อนรับอย่างเต็มที่ ข่าวนี้ทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวของอองเดรชุ่มชื่นขึ้น ในที่สุดความพยายามตลอดหลายเดือนของเขาก็สัมฤทธิ์ผล อองเดรรีบสั่งให้ทหารเตรียมพลับพลาต้อนรับเจ้าหญิงอลาน่าอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมจัดเตรียมทหารองครักษ์สามกองร้อยไว้คอยอารักขาที่ท่าเรือ

แม่ทัพน้ำแข็งในชุดเกราะเต็มยศส่องประกายมันวาวบ่งบอกว่าเขาขัดทำความสะอาดอย่างดีเลิศเพื่อคอยต้อนรับเจ้าหญิงของเขา อองเดรยืนทอดสายตามองเรือสินค้าที่ทยอยเข้ามาเทียบท่าลำแล้วลำเล่าอย่างไม่หวั่นเกรงลมหนาว เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาพองโตขึ้นจนคับอก มีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ คงตั้งแต่วันที่เขาได้พบเธอครั้งแรก วันที่เจ้าหญิงน้อยผู้งดงามได้ช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไม่ห่วงชีวิตของพระองค์เอง ความอบอุ่นที่เขาได้รับในวันนั้นตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขาตลอดมา แค่เพียงคิดถึงช่วงเวลานั้นก็ทำให้ใจของเขากระตุกแกว่งอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครทั้งนั้น เพียงแค่ได้เห็นพระองค์ ได้รับรู้ว่าพระองค์อยู่ใกล้ๆ เขาก็มีความสุขแล้ว เขาโหยหาความอบอุ่นนั้นและมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความทรมานนับตั้งแต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา แต่ความทรมานนี้จะจบสิ้นลงในวันนี้

และแล้วเรือเดินสมุทรจากฟีเลเซียก็ปรากฏขึ้นที่เส้นแบ่งทะเลและขอบฟ้า ดวงตาสีเทาหรี่แคบลงเล็กน้อยราวกับมีรอยยิ้มบางๆปรากฏอยู่ภายใต้หน้ากากเหล็ก อองเดรยืดอกขึ้นเมื่อเรือเข้าเทียบท่า บรรดาซิสเตอร์ค่อยทยอยเดินลงมาจากสะพานเชื่อมต่อเรือนำโดยซิสเตอร์โรซาน่า ซิสเตอร์สูงวัยหยุดยืนกวาดตามองท่าเทียบเรือและแถวทหารเบื้องล่างก่อนจะหยุดสายตาไปที่แม่ทัพอองเดร ซิสเตอร์โรซาน่าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับการต้อนรับที่เอิกเกริกเช่นนี้ นางแจ้งทางการแล้วมิใช่หรือว่าซิสเตอร์อลาน่าไม่ได้กลับมาด้วย ซิสเตอร์สูงวัยเดินอย่างสงบตรงไปหาแม่ทัพใหญ่

ทว่าเมื่อซิสเตอร์โรซาน่ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจที่เห็นว่าอองเดรในเวลานี้ดูซูบผอมลงจนผิดตา ขอบตาก็ลึกดำคล้ำและผิวที่ดูซีดอยู่แล้วกลับยิ่งดูซีดเซียวลงกว่าแต่ก่อน

“ท่านอองเดร ท่านไม่สบายหรือเปล่า?” ซิสเตอร์อดถามไม่ได้ แต่เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจจะตอบนางเลยราวกับว่าเขามองผ่านทะลุตัวเธอไปเลยด้วยซ้ำ สายตาของแม่ทัพใหญ่กวาดมองเหล่าซิสเตอร์ทั้งหลายเบื้องหลังนางอย่างค้นหา

นักบวชหญิงยิ้มน้อยๆ รู้ว่าเขามองหาใคร “ซิสเตอร์อลาน่าไม่ได้กลับมาด้วย เกรงว่าข่าวที่ฉันแจ้งไว้คงจะมาถึงล่าช้า”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นอองเดรผงะถอยไปเล็กน้อยเหมือนเวลาจะหยุดหมุนไปครู่หนึ่ง คิ้วของเขาขมวดแน่นราวกับกำลังทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แล้วจู่ๆก็ดูเหมือนความผิดหวังครั้งใหญ่สาดซัดใส่ใบหน้าเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างแรง แม่ทัพใหญ่ก็ถึงกับมีอาการซวนเซเล็กน้อยราวกับทรงตัวไม่อยู่ ดวงตาหรี่แคบกระตุกเบาๆเหมือนกำลังรับแรงกระแทกที่เจ็บปวด พลันไหล่ทั้งสองของเขาก็ห่อลู่ลง ดวงตาสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยและว่างเปล่า

“ท่านอองเดร?!” ซิสเตอร์โรซาน่าร้องเรียก แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของนาง แม่ทัพใหญ่กลับหลังหันแล้วเดินจากไปราวกับไร้จิตใจ นักบวชสูงวัยถึงกับขมวดคิ้วกับท่าทีของแม่ทัพน้ำแข็ง เมื่อก่อนเจ้าหญิงอลาน่าเป็นโลกทั้งใบของเขา แต่เวลานี้โลกนั้นหายไปจากชีวิตของเขาแล้ว ทำให้เขาดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ซิสเตอร์โรซาน่าได้แต่ส่ายหน้าด้วยความกังวลมองดูเบื้องหลังที่สลดหดหู่ของแม่ทัพใหญ่

บนยอดอาคารสูงใกล้กับท่าเรือ เจ้าหญิงวิโอเรียยืนทอดสายตาอ้อยอิ่งมองตามหลังแม่ทัพน้ำแข็งพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปาก

“ยัง ยังไม่พอ ท่านจะต้องจมลึกยิ่งกว่านี้ หมดอาลัยตายอยากยิ่งกว่านี้” วิโอเรียใช้มือลูบไล้ขอบหน้าต่างที่เย็นเชียบราวกับกำลังลูบไล้แขนของแม่ทัพน้ำแข็ง พลางหัวเราะเบาๆ “ข้าจะจัดไวน์ชั้นดีที่มีฤทธิ์แรงยิ่งขึ้นให้ท่าน”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi9 Chapter 23 จุดเปลี่ยน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ต.ค. 28, 2023 12:21 pm

ไกลออกไปข้ามเทือกเขาสูงสู่ผืนทะเลทรายอันร้อนระอุแห่งซาโลม เวลานี้ช่างแลดูรกร้างไร้ผู้คนสันจร ไม่มีเงาของกองคาราวานของพ่อค้าหรือนักเดินทางให้เห็นเหมือนเช่นแต่ก่อน ไม่มีร่องรอยของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ดูคล้ายกับว่าชีวิตอิสระนอกกำแพงเมืองได้ถูกพรากไปจากผืนทะเลทรายแห่งซาโลมจนหมดสิ้น บรรดาชนเผ่าเร่ร่อนรอบซาโลมต่างอพยพหนีลึกเข้าไปในผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ บ้างก็เข้าไปสวามิภักดิ์กับแคว้นลาซาล เพื่อขอการปกป้องคุ้มครองจากการล่าทหารของอาณาจักรซาโลม

อาณาจักรซาโลมซึ่งเวลานี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ เบลส เซจ เรียกได้ว่าเข้าสู่กลียุคอย่างสมบูรณ์แบบ ชาวซาโลมต่างขนานนามว่าเป็นยุคแห่งความมืดมิดที่สุดของอาณาจักร ไม่เคยมียุคไหนที่น่าหวาดกลัวและเลวร้ายเท่ากับยุคนี้ เพราะกษัตริย์เบลส เซจ ปกครองอย่างน่ารักมโหดทั้งยังออกกฎหมายบังคับผู้คนในอาณาจักรมากมายจนประชาชนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและต่างก็พยายามหนีออกจากซาโลม แต่ทว่าประตูเมืองทุกบานถูกปิดผนึกแทบจะถาวร คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า มีการสร้างกำแพงหนาขึ้นและสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า ประตูเมืองจะถูกเปิดแค่เฉพาะเวลาส่งกองทัพออกไปเท่านั้น โดยรอบกำแพงเมืองและตรอกซอกซอยก็มีทหารยามเดินตรวจตราอย่างเข้มงวดตลอดเวลาเพื่อป้องกันคนหลบหนีออกจากอาณาจักร จนราวกับว่านี่เป็นคุกขนาดยักษ์ที่ขังผู้คนทั้งอาณาจักรไว้ภายใน ทั่วทั้งอาณาจักรไร้ซึ่งเสียงหัวเราะพูดคุย ทุกคนต่างพูดกันเสียงเบาจนแทบจะเป็นกระซิบเพราะเกรงกลัวว่าจะมีสายลับของกษัตริย์เบลส เซจ แอบฟังการพูดคุยของพวกเขา ทุกคนต่างอยู่ด้วยความหวาดระแวงกันและกันเพราะไม่รู้ว่าใครบ้างที่เป็นสายให้กับทางการ ไม่ว่าจะแค่พูดถึงราชวงศ์ก่อน บ่นว่าวิพากษ์วิจารณ์องค์กษัตริย์ แสดงความไม่พอใจหรือคิดวางแผนที่จะหนี คนผู้นั้นก็จะหายไปแบบไร้ร่องรอยและไม่มีใครพบเห็นอีกเลย บ้างก็ว่าถูกจับไปทรมานในคุก บ้างก็ว่าถูกจับไปเป็นทหาร บ้างก็ว่าถูกจับไปทำทหารปีศาจ

ความแร้นแค้นอดอยากกระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีการค้าขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้ประชาชนยากจนลงเรื่อย ๆ แม้จะมีเงินแต่แทบไม่มีสินค้าให้ซื้อขาย เงินตรากลายเป็นของไร้ค่า

บรรดาผู้ชาย หากต้องการอาหารและชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ลำบากก็จะต้องเข้าไปเป็นทหาร หากโชคดีมีฝีมือก็จะสามารถไต่อันดับยศตำแหน่งสูงขึ้นได้ แต่หากไร้ซึ่งฝีมือหรือพลาดพลั้งในสงคราม ครอบครัวของพวกเขาก็จะไม่ได้เห็นเขาอีกเลย เพราะร่างของพวกเขาจะถูกนำไปเป็นทหารปีศาจ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ถูกจับไปเป็นทหารเพราะความอ่อนแอหรือพิการก็จะถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เพื่อหล่อเลี้ยงคนทั้งอาณาจักร

ในขณะที่บรรดาผู้หญิงไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ถูกห้ามออกจากบ้าน หญิงสาวที่ถึงวัยออกเรือน พ่อแม่จะต้องจัดหาคู่ให้ทันที เพราะพวกเธอมีหน้าที่ผลิตลูกเพื่อส่งเข้ากองทัพ ผู้หญิงคนใดที่เป็นหมันไม่สามารถมีบุตรได้ จะต้องเข้าร่วมกองทัพหรือหากอ่อนแอเกินกว่าจะสู้ในสนามรบก็รับหน้าที่เลี้ยงดูเด็กในค่ายทหารแทนแม่กำลังท้องลูกคนถัดไป ในขณะที่เด็กที่อายุห้าปีขึ้นไปจะถูกจับส่งเข้าค่ายทหารทันที เผื่อให้แม่สามารถมีลูกคนถัดไปได้

ข้างฝ่ายขุนนางนั้น ทุกคนต่างก็พยายามประจบสอพลอทั้งเพื่อความมั่งคั่งและเพื่อเอาตัวรอดจากความร้ายกาจของกษัตริย์ปีศาจ เพราะความหวาดระแวงตลอดเวลาของ เบลส เซจ จึงเป็นการง่ายที่บรรดาขุนนางจะยุแยงใส่ความคนที่ขัดแย้งกับตน หากสำเร็จนอกจากทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกยึด คนผู้นั้นและครอบครัวก็จะถูกนำตัวไปทำทหารปีศาจ ส่วนคนฟ้องก็จะได้ขึ้นตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น ทำให้บรรดาขุนนางต่างก็พยายามจ้องจับผิดกันและกันตลอดเวลาเพื่อหาโอกาสเลื่อนตำแหน่งของตน

ภายในท้องพระโรง กษัตริย์ เบลส เซจ นั่งยิ้มอย่างมีความสุขชื่นชมผลงานการปกครองของตนเอง อำนาจนั้นช่างหอมหวาน เขานั่งจินตนาการถึงวันที่จะได้ครอบครองทวีปเมอร์ริเซียแล้วก็หัวเราะออกมาราวกับไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่แท้จริงแล้วบรรดาขุนนางอยู่กันเต็มท้องพระโรง ทุกคนต่างลอบมองหน้ากันเลิ่กลั่กที่จู่ๆกษัตริย์เบลส เซจก็หัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ฝะ...ฝ่าบาท?” อำมาตย์ที่กำลังรายงานประจำวันเอ่ยทักเรียกสติ

“อะไร!!” กษัตริย์เบลส เซจ ขมวดคิ้วเมื่อสติถูกดึงกลับมาสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง

“ทหารยามรายงานว่า ยังมีคนพยายามหลบหนีออกจากเมืองอยู่พ่ะย่ะค่ะ แม้จะรู้ว่าถ้าถูกจับได้คนเหล่านั้นจะหายไปตลอดกาล แต่ยังมีคนพร้อมจะเสี่ยง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มโทษเข้าไปอีก ใครที่คิดหนี ไม่ใช่แค่มันเท่านั้นที่ต้องรับโทษ ครอบครัวทั้งหมดของมันก็จะต้องหายไปด้วย ฮี่ฮี่ฮี่ ดีเสียอีก กองทัพของข้าจะได้กำลังพลเพิ่ม” กษัตริย์เบลส เซจหัวเราะอย่างชอบใจ

แต่ทว่าหัวเราะได้เพียงไม่นาน จู่ๆ เสียงหัวเราะของกษัตริย์เบลส เซจก็หยุดลง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกราวกับนึกอะไรขึ้นได้

“ใช่! นาริส ไอ้เจ้านาริสกับกองทัพของมันอยู่ที่ไหน?” กษัตริย์เบลส เซจตะโกนลั่น “ข้าสั่งให้ออกตามหาพวกมันมาตั้งกี่ปีแล้ว ทำไมป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวพวกมันเสียที”

“ทูลฝ่าบาท กบฏนาริส เดิมก็เป็นชาวเผ่าทะเลทรายเร่ร่อนตั้งแต่ก่อนสถาปนาอาณาจักรซาโลม เขาเชี่ยวชาญการเร่ร่อนในทะเลทรายยิ่งกว่าใครๆ การลบร่องรอยตัวตนในทะเลทรายก็ชำนาญมาก การจะแกะรอยตามหาเขาในทะเลทรายนั้นยากมาก สายสืบของเราตามหลังเขาสองก้าวเสมอ พอใกล้จะตามถึงตัวจู่ๆก็เหมือนกับกองทัพนั้นล่องหนไปในผืนทรายอย่างไร้ร่องรอย” แม่ทัพนายหนึ่งรายงานเสียงเครียด

กษัตริย์เบลส เซจ ขว้างจอกเหล้าในมือใส่แม่ทัพคนนั้นอย่างแรงจนเหล้ากระจายไปทั่วตัวของเขา “ข้าไม่สนว่ามันจะเก่งแค่ไหน ข้าต้องการให้เจ้าเก่งกว่ามัน หามันและกองทัพของมันให้เจอ ข้าต้องการทหารของมัน ข้าไม่เชื่อว่ามันจะซ่อนทหารทั้งกองทัพในทะเลทรายได้”

“หรือว่ากบฏนาริสแตกทัพ แล้วกองทัพบางส่วนไปเข้าพวกกับแคว้นลาซาลแล้ว พอกองทัพขนาดเล็กลงก็เคลื่อนย้ายสะดวกยิ่งขึ้น” แม่ทัพอีกนายตั้งข้อสังเกต

“ไม่!! มันยังเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายนี่แหละ” กษัตริย์เบลส เซจหันไปมองนอกหน้าต่าง สายตาเลื่อนลอย ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก พยักหน้าราวกับกำลังสนทนากับใครสักคนที่มองไม่เห็น “มันยังอยู่ มันยังอยู่ ใช่แล้ว...เราต้องหามันให้เจอ เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ต้องรีบหามันให้เจอ”

บรรดาขุนนางต่างลอบมองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่เข้าใจว่ากษัตริย์เบลส เซจกำลังพูดกับใครและเวลาอะไรที่กำลังใกล้เข้ามา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน