Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. มี.ค. 28, 2024 11:14 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel Heaven's Tear

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ เม.ย. 30, 2012 1:32 am

ท่านสามารถอ่านเนื้อเรื่องตามลิงค์ด้านล่างนี้ก่อน เพื่อเข้าใจเนื้อเรื่องนี้ดีขึ้น

http://stmagnusgame.com/webboard/viewto ... 14&t=21007

Prologue

เหตุการณ์การกำเนิดอาณาจักรทั้ง4แห่งเมอริเซีย ได้ก่อให้เกิดเหตุการณต่างๆตามมามากมาย และหนึ่งในนั้นคือ การกำเนิดนครศักดิ์สิทธิ์ ซานตาน่า อันเป็นนครที่เจริญรุ่งเรืองด้วย ศิลปะอันวิจิตร วัฒนธรรมอันหลากหลาย และยังก่อเกิดบุคคลสำคัญและตำนานมากมายแก่โลกเทอร์ร่า

เป็นเวลายาวนาน 5 ศตวรรษ จากวันที่นครซานตาน่าถือกำเนิดขึ้น ด้วยเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ ทุกคนเรียกขานนครนี้ด้วยหลายชื่อ เช่น หอคอยทองคำ นครทองคำ นครศักดิ์สิทธิ์ นครมหัศจรรย์ ฯลฯ เพราะเมื่อถึงเวลานี้ อันเป็นปลายยุครุ่งเรืองอันยาวนานของนครนี้ ที่เจริญโดดเด่นด้วย 3 สิ่ง

1.ศาสนา ซานตาน่าเป็นนครที่มีผู้แสวงบุญจำนวนมาก มาจากทุกสารทิศ นอกจากมหาวิหาร น. อลาน่า ที่ได้รับเงินบริจาคและบูรณะปรับปรุงหลายครั้งจากแอนดิซองและผู้แสวงบุญทั่วโลก จนกลายเป็นหนึ่งมหาวิหารที่งดงามที่สุดของโลกเทอร์ร่า ยังมีสักการะสถานที่วางร่างของประกาศกอิสฮานที่แสงธรรมของคำสอนแผ่กว้างกระจายไปทั่วเมอริเซียและยังมีอารามของคณะนักบวชหลายคณะ และโดยเฉพาะ คณะอาวีลา ซึ่งก่อตั้งโดย น.อาวีลา ซึ่งดูแลหอคอยทองคำ ที่สูงตระหง่านเคียงข้างมหาวิหาร น. อลาน่า และโบสถ์ น. อาวีลา ซึ่งเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยอย่างน่าอัศจรรย์ของท่านไว้ในโลงแก้ว ซึ่งยังมีโบสถ์และวัดที่สร้างอุทิศแต่นักบุญและทูตสวรรค์อีกหลายสิบแห่ง และยังมีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ของลัทธิสุริยันจันทรา ที่มีผู้เดินทางมากราบไหว้สัการะผู้ก่อตั้งลัทธิ ซึ่งแม้จะหลายหลากนิกาย หลากหลายเชื้อชาติ แต่นครซานตาน่าก็คงความเป็นสันติท่ามกลางความหลากหลายมานานถึง500ปี

2.ศิลปะ ซานตาน่ากลายเป็นแหล่งกำเนิดศิลปะชั้นนำของโลก และจิตรกรที่มีชื่อเสียงมากมาย ภาพวาดทางศาสนาอันวิจิตรงดงาม ตามผนังของมหาวิหาร โบสถ็น้อยใหญ่คือหลักฐานและมรดกทางวัฒนธรรมของโลก งานจิตรกรรมที่วาดภาพทั้งผนังและเพดานของทุกโบสถ์ ทุกวัดทุกอาราม เล่าเรื่องราวทางศาสนามากมาย หลังการก่อตั้งนครได้ราว200ปี ได้มีการก่อตั้งวิทยาลัยทางศิลปะ และโรงเรียนสอนศิลปะหลายแห่ง ผลิตศิลปินที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเทอร์ร่า

hs1s.jpg


3. เศรษฐกิจ ที่ไหนมีผู้คนรวมกันที่นั่นย่อมเป็นแหล่งกิจกรรมการค้าขายได้ไม่ยาก นครซานตาน่าคือนครที่มีพลเมืองตั้งรกรากอยู่ราว1ใน3 ของประชาชนที่เดินควักไขว่ไปมา ที่เหลือเกินครึ่งคือผู้มาเยือนทั้งสิ้น กิจการโรงแรมและร้านอาหารมีเป็นร้อยแห่ง ทำให้ไม่เพียงผู้แสวงบุญเท่านั้นที่เดินทางมา แต่พวกแสวงกำไรก็เดินทางมาด้วย ในบางช่วงเวลาคาดการณ์ว่ามีคนเดินทางมาประกอบธุรกิจการค้ามากกว่าผู้เดินทางมาประกอบกิจกรรมศาสนา และสิ่งนี้ก็พลอยทำให้บางสิ่งแอบแฝงเข้ามาในนครอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะร้านอาหารหรือร้านค้าบางร้าน ก็แอบแฝงค้าอบายมุขและสิ่งผิดกฎหมาย โรงแรมบางโรงแรมก็แอบแฝงการค้าประเวณี และผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้อบายก็รักษาความศักดิ์สิทธิ์ได้ยากขึ้น และบางคนก็พ่ายให้กับการคอรัปชั่น เปิดทางให้มีการแทรกตัวของมิจฉาชีพใจบาปที่พยายามแสวงหาผลประโยชน์จากศาสนา หรือแม้แต่การพ่ายต่อกิเลสตัณหาของตน

เมื่อภายนอกจะดูสุขภาพดีแข็งแรงสวยงาม แต่มีเชื้อโรคแอบซ่อนภายใน ภาพภายนอกอันสวยงามนั้นก็บดบังเสียสิ้น เมื่อถูกละเลยไร้การรักษา เมื่อวาระแห่งการอ่อนแอของร่างกายมาถึง โรคร้ายที่แฝงไว้ก็แสดงอาการ
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ เสาร์ พ.ค. 05, 2012 6:12 am

การปกครอง

ซาโลม

หลายร้อยปีที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งอย่าง ทั้งในและนอกนครทองคำ ซาโลมเองได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่หลายครั้ง หลายหน ราชวงศ์อันสืบทอดจากประกาศกอิสฮานปกครองซาโลมโดยอิงหลักศรัทธาจารีตตะวันออก ซึ่งอุปถัมภ์ นครซานตาน่า นานถึง 235 ปี จน กษัตริย์องค์สุดท้ายถูกปฏิวัติโดย เหล่าอำมาตย์ กลายเป็นเผด็จการทหารนาน 40 ปี ในช่วงเวลานี้ความสัมพันธ์กับศาสนจักรตกต่ำลงอย่างมาก เพราะการต้องการลบล้างความเชื่อเดิมที่ซาโลมปกครองโดยเชื้อสายของประกาศก จนนครซานตาน่า รู้สึกถึงความไม่มั่นคง ได้ขอความช่วยเหลือจากแอนดิซอง ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีการตั้งกงสุลตลอดจนประชากร1ใน5ของซานตาน่ามีเชื้อชาติแอนดิซองจากบรรดาผู้แสวงบุญ และผู้อพยพที่ตั้งรกรากที่นี่ การเข้ามาประจำการของกองอัศวินเทมพาร์แห่งแอนดิซอง คานอำนาจที่ทำให้ฝ่ายเผด็จการทหารจากซาโลมไม่อาจเข้าครอบครอง นครซานตาน่าได้

จวบจนการปฎิวัติจากหัวหน้าเผ่า มอร์ หนุนหลังตั้ง พระราชาจากเชื้อสายกษัตริย์ที่หลงเหลือ พวกมอร์มีอำนาจทางการเมืองจากการหนุนหลังกษัตริย์ได้เพียง3พระองค์ ก็ยึดอำนาจเสียเอง ในช่วงเวลานี้เอง เผ่ามอร์ ได้นำหลักการทางเวทย์มนต์ การเชื่อโชคลาง และเรื่องหมอดู กลับมาฟื้นฟูในซาโลม จนทำให้มีหลายลัทธิความเชื่อ และทวยเทพจากชนเผ่าก็แพร่เข้ามา หลังพวกมอร์สร้างราชวงศ์ใหม่ขึ้นปกครองซาโลมนาน 72 ปี ขุนนางก็กบฎแย่งชิงอำนาจตั้งราชวงศ์ใหม่อีกครั้ง และต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันยาวนาน58ปีโดยปราศจากความสงบภายใน ก่อน จอมทัพ ราอิส จะปราบปรามทรราชย์และ ตั้งราชวงศ์ใหม่ ยาซาอิด ปกครองระบบราชอาณาจักรซาโลม และใช้เวลาหลายชั่วคนในการเรียกคืนอำนาจจากบรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่อีกครั้ง แต่ก็ยังคงมีการกระทบกระทั่งระหองระแหงแข็งเมืองเรื่อยมา โดย ณ ช่วงเวลา ที่นครซานตาน่าก่อตั้งได้ 500 ปีนั้น ซาโลม ปกครองโดย พระราชาบดี มูบาซิก และพระชายา ชาทิส


ซานตาน่า

ซานตาน่า ได้ขอเอกสิทธิ์ การคุ้มครองโดยไม่ครอบครอง โดยช่วง 200 ปีแรกจากจักรวรรดิ์ซาโลม และ 300 ปีให้หลัง จากกองทหารเทมพ่าร์แห่งศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วงร้อยปีแรกจากแอนดิซอง ภายหลังเป็นทัพผสม จากแอนดิซอง มิราบิริส ลีเซีย และ วาลเนีย

มีสถานกงสุลของชาติต่างๆไปตั้งในนครนั้น เพื่อดูแลและคุ้มครองประชาชนของประเทศตนในการแสวงบุญและการค้า และผู้ปกครองสูงสุด คือตำแหน่งพระคาลดินัลแห่ง นครซานตาน่า แต่ในหลายช่วงเวลา พระคาลดินัลก็มิใช่ผุ้ปกครองสูงสุด เพราะชาวซานตาน่าเชื่อว่านครซานตาน่่าอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้า โดยได้กำเนิดตำแหน่งอันสำคัญยิ่ง จากคำสอนของน.อาวีลาที่เรียกว่าบันไดสู่่สวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ เสาร์ พ.ค. 05, 2012 6:13 am

Visionary

หลังอาวีลาก่อตั้งคณะนักบวชชายหญิงที่เน้นการพิศเพ่งรำพึงอย่างพิเศษ ศาสตร์การภาวนาที่เรียกว่า Meditation ในการฝึกฝนจิตให้มีสมาธิแน่วแน่ เธอได้ค้นพบกฏแห่งบันได 4 ขั้น ในการนำจิตวิญญาณเข้าสัมผัสสวรรค์ทั้งที่มีชีวิต

เป็นที่ทราบดีว่า ไม่มีใครบังคับหรือเรียกชาวสวรรค์ลงมาหาตามมนุษย์ต้องการราวกับพวกท่านคือคนใช้ได้ หากแต่มนุษย์สามารถทำจิตวิญญาณให้สงบนิ่งและสะอาดพอที่ต้อนรับ ผู้ปรารถนามาเยือนจากเบื้องบน และยกระดับจิตวิญญาณเพื่อขอการอณุญาติให้สัมผัสสวรรค์ได้ แม้หนังสือที่เธอเขียนขึ้นจะมีความยาวถึง 4 เล่มหนาหลายร้อยหน้า แต่จะขออธิบายคร่าวๆดังนี้

ขั้นแรกคือการอธิษฐานด้วยวาจา ด้วยเสียงที่เปล่งออก อันเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ทั่วไปทำกัน
ขั้นที่2คือการอธิษฐานภาวนาด้วยความคิดเพราะมีหลายสิ่งที่ข้อจำกัดทางภาษาไม่อาจสื่อได้
ขั้นที่3คือการใช้ความรักอธิษฐาน ไม่ใช่การใช้สมองคิด เมื่อจิตวิญญาณได้รับการฝึกฝนและชำระจนสะอาด การยกความรักและวิญญาณนั้นเองสู่การสัมผัสกับจิตที่เปี่ยมด้วยความรักเช่นกัน
จนขั้นสุดท้าย การอธิษฐานโดยไม่อธิษฐาน แต่ให้พระเจ้าทรงอธิษฐานและวิญญาณอันต่ำต้อยของมนุษย์อยู่ในการอธิษฐานอันยิ่งใหญ่นั้น

ในการปฏิบัติ Meditation เหล่านี้ ได้เกิดมีผู้รับนิมิตมากมาย ทั้งผู้ที่ได้รับพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดมา ก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วขึ้น หรือแม้คนธรรมดา ก็สามารถพบสันติสุขหรือนิมิตบ้างตามความสามารถที่ฝึกฝน

ในหนังสือยังได้สอนให้ระมัดระวังภาพหลอนที่เข้าใจผิดว่าเป็นนิมิต หรือการหลอกลวงของผีปีศาจว่าเป็นจิตจากสวรรค์ หรือแม้แต่การคิดเอาเอง หรือสะกดจิตตัวเองให้เห็นสิ่งต่่างๆ ซึ่งหากจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดก็คงยาวมาก จึงขอจบเรื่องราวทางทฤษฎีนี้แต่เพียงเท่านี้

ซึ่งต่อมา ได้เรียกคนที่มีพรพิเศษจากสวรรค์ ไม่ว่าจะรูปแบบใด จะสำแดงตั้งแต่เกิด หรือสำแดงเมื่อเติบโต หรือสำแดงเมื่อได้เรียนรู้ฝึกฝน ว่า Charismatic

โดย Charismatic หรือพระพรพิเศษมีหลายอย่าง บางคนสามารถรักษาโรค หรือแม้แต่ชุบชีวิตคนตาย บางคนสามารถทำนายอนาคต บางคนสามารถเห็นอดีตของผู้คน บางคนสามารถพูดคุยหรือสัมผัสกับวิญญาณ บางคนถึงกับเดินบนผิวน้ำ หรือลอยในอากาศ บางคนสามารถปรับเปลี่ยนแปรธาตุวัตถุต่างๆได้ บางคนสามารถ เห็นนิมิต และสำหรับผู้มี Charismatic ที่สามารถพบเห็นนิมิตในระดับการได้พบปรากฎองค์ของชาวสวรรค์ และถูกมอบภารกิจให้สื่อสาร "สารจากสวรรค์" แก่สาธารณะเช่นท่าน อาวีลา จะถูกเรียกว่า Visionary

ได้เกิดผู้เห็นนิมิต หรือผู้เห็นการปรากฎองค์ของทูตสวรรค์หรือนักบุญ เป็นระยะ ทั้งจากผู้บวชเรียนในอาราม และแม้แต่บุคคลทั่วไป

ซึ่งในบางช่วงเวลาทางอารามมีผู้มี Charismatic คือพรพิเศษในการจำแนกจิต ก็สามารถแยกแยะได้ว่าใครของจริงของปลอม แต่ในบางครั้ง ก็มีช่วงขาดแคลนผู้มีพระพร และก็มีแม้แต่ Charismatic ปลอมที่แอบอ้างว่าตนมีพระพร ส่งผลให้ในระยะ 500 ปี มีผู้แอบอ้าง หรือผู้เห็นนิมิตเท็จเกิดขึ้น ปรากฎเป็นรอยด่างดำเล็กน้อยเป็นระยะ แต่แม้มีไม่มากก็สามารถส่งผลเสียหายร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่อมีผู้อ้างคำทำนายปลอม แล้วสิ่งที่อ้างไม่เกิดขึ้น ก็ทำให้คนเสื่อมศรัทธา เสียความเชื่อในศาสนาไปด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ เสาร์ พ.ค. 05, 2012 6:14 am

Golden Tower

เมื่อใดก็ตาม มีผู้อ้างว่ามีการปรากฎของบุคคลจากสวรรค์ อันอาจจัดว่าเป็นระดับ Visionary จะถูกสอบสวนอย่างเข้มงวดจากคณะนักบวช และคณะไต่สวนของศาสนจักร ในกรณีมีผู้มี Charismatic ในการจำแนกจิต ก็อาจค้นพบพิสูจน์ได้รวดเร็ว แต่ในยามไม่มี อาจต้องใช้สารพัดวิธีในการสอบสวนนานหลายปี มี Visionary บางคน ถูกตัดสินว่า นิมิตไม่จริง ต่อมา มีผู้มี Charismatic ในการจำแนกจิต มาตัดสินใหม่ ได้รับการกลับคำตัดสินก็มี

และ Visionary ที่รับรองอย่างเป็นทางการทุกคน จะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต อาศัยบนยอดสุดของหอคอยทองคำ เพื่อตัดสละทางโลก โดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ Visionary ปลอมบางคน ร่วมกับแก๊งค์ต้มตุ๋น แสวงหาผลประโยชน์เรื่องเงินทองหลอกเงินบริจาคจากความศรัทธาของผู้คน สร้างที่อยู่อาศัยใหญ่โต กินอยู่หรูหรา หลอกเงินบริจาคจนชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัว เสื่อมเสียแก่วงการศาสนา

การอยู่ในหอทองคำ ใช้ชีวิตเยี่ยงนักบวช ย่อมดีกว่า ซึ่งการอยู่บนหอคอยทองคำ มิใช่ว่าต้องตัดขาดจากโลกโดยสิ้นเชิง ยังสามารถไปไหนมาไหนได้ แต่อยู่ในฐานะนักบวชแห่งคณะอาวีลา และต้องขออณุญาติ แม่อธิการของคณะในการทำสิ่งต่างๆนอกเขตอาราม เพื่อที่ปกป้องจากข้อครหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้น และนั่นเท่ากับว่า ผู้ที่ตัดสินใจตอบรับฐานะ Visionary จะต้องเตรียมตัวเป็นนักบวชที่เคร่งครัดด้วย

ที่สำคัญที่สุด Visionary เป็นผู้ได้รับการติดต่อโดยตรงจากพระเจ้า ซึ่งหลายครั้งได้ส่งสารกอบกู้นครซานตาน่าจากภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและมือมนุษย์หลายครั้ง แม้ในยามใช้ชีวิตปรกติ Visionary ก็อยู่ใต่กฎเกณฑ์ และใต้การปกครองของพระคาลดินัล แต่สำหรับเวลารับสารและเผยสารจากสวรรค์ สารนั้นก็มีอำนาจเหนือกว่าทุกคนในนครซานตาน่า

มี Visionary คนสำคัญ น.ซีเอนา กำเนิดเมื่อปีที่ 111 ของการตั้งคณะนักบวชอาวีลา ท่านเป็น Visionary คนสำคัญเพราะพัฒนาศาสตร์ต่างๆในการ Meditation ขึ้นไปอีก และได้พบกับทูตสวรรค์ โฮลี่ ซึ่งปรากฎมาเป้็นภาพลักษณ์แบบเซราฟิม ในชุดแดงเพลิงและมีปีก3คู่ เป็นชายหนุ่มดูน่าเกรงขาม ต่างกับภาพลักษณ์อันน่ารักที่คนคุ้นเคยในเรื่องราวของ น.อลาน่า และ น.อาวีลา โดยได้เตือนถึงเรื่องสำคัญมากที่จะเกิดขึ้นแก่โลก นั่นคือ "เมื่อมนุษย์ยิ่งเสื่อมศรัทธา ประตูเชื่อมระหว่างสวรรค์และโลกก็ยิ่งห่างออกไป และยิ่งโลกเต็มไปด้วยบาป ประตูนรกกับโลกก็ยิ่งกลับใกล้กัน"

สิ่งที่ตามมา ไม่ว่าจะมีผู้มี Charismatic น้อยลง โดยเฉพาะ Visionary จะเห็นนิมิตและติดต่อสวรรค์ได้ยากยิ่งขึ้น ความช่วยเหลือจากสวรรค์ก็ส่งผลน้อยลงตาม และนั่นก็ยิ่งทำให้มนุษย์นั้นศรัทธาเสื่อมถอยลงไปอีก ดังนั้นการรักษาศรัทธาจึงสำคัญมาก "สิ่งที่มีมากอยู่จะยิ่งถูกเพิ่ม แต่สิ่งที่มีอยู่น้อยกลับจะถูกริบกลับไป"

hs4s.jpg


นอกจากนี้ Holy Seraphim ยังมอบสารอันเป็นความลับที่มีแต่พระคาลดินัลแห่งซานตาน่าเท่านั้นที่อ่านได้ เนื้อหาในสารถูกเล่าลือกันต่างๆนาๆ แต่ก็มีเพียง ท่านซีอันนา และพระคาลดินัลทุกองค์แห่งนครซานตาน่าเท่านั้นที่ทราบว่ามีอะไรเขียนในนั้น

ท่านซีเอนา ยังได้รับนิมิตอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ของทูตสวรรค์ทั้ง4 ทูตสวรรค์แห่งดาบ แห่งถ้วย แห่งคฑา และแห่งสัญลักษณ์ดาว ได้ปรากฎพร้อมกัน และได้เผยการทำนายถึงการล่มสลายของมหานครใหญ่ ซึ่งในเวลาต่อมามีผู้พยายามตีความคำทำนายนั้น ก็ไม่อาจมีใครรับรองได้ว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร


จนใกล้ 500 ปีแห่งการก่อตั้งนครซานตาน่า ยุคที่เชื่อกันว่าเป็นความเสื่อมทรามอย่างไม่เคยมีมาก่อนของนครศักดิ์สิทธิ์ ยาวนานกว่า 70 ปีที่นครนี้ ไม่ปรากฎ Visionary เลย ได้ปรากฎ ผู้ที่เป็นดังแสงสว่างเจิดจ้าจากเบื้องบนที่จุดไฟตะเกียงอันริบหรี่ให้ลุกโชนขึ้นใหม่ขณะที่กำลังจะวูบดับเพราะแรงลม
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Heaven's Tear fp

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ค. 07, 2012 10:18 pm

ในราชอาณาจักรซาโลมเวลานี้ต่างจากกาลก่อน หลังจากการพยายามฟื้นฟูการรวมศูยน์อำนาจของประเทศหลายครั้ง โดย ราชวงศ์ ยาซาอิด แต่ดูราวกับว่าการกรวบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จสมัยเป็นจักรวรรดิ์ยังคงทำได้ยาก หลายหัวเมือง ยังกระด้างกระเดื่อง และความรุ่งเรืองที่เคยมี เหมือนเป็นเพียงสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือ เรื่องราวของประกาศกที่กอบกู้ชาติก็เหมือนเป็นเพียงตำนาน ชาวบ้านก็ต้องยากลำบาก เพราะเมื่อผ่านสงครามหลายครั้ง เกิดปัญหาประชากรหญิงมากกว่าชายหลายเท่า และเด็กๆก็มักเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ จากการที่ประเทศชาติเน้นงบประมาณไปที่การทหารมากกว่าการสาธารณะสุข ประชาชนจึงขาดความสุขสงบในจิตใจ และแสวงหาสิ่งใดก็ได้ที่ตนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการเชื่อถือเพื่อผลประโยชน์ว่าสิ่งนั้นจะตอบแทนอะไรแก่ตน เมื่อขอหรือบนบานแล้วไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปนับถืออย่างอื่น มีสำนักต่างๆ ลัทธิใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายและหายไปก็มาก แต่ในวาระระส่ำระสายทางจิตวิญญาณนี้ ไม่มีใครที่จะโดดเด่นเท่า โอมาร์นัน ผู้อ้างว่า ได้นิมิตจากทูตสวรรค์โฮลี่ และประกาศกอิสฮาน

ศาสดาที่สร้างเทพเจ้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก ย่อมไม่อาจดึงดูดคนได้เท่ากับศาสดาที่อ้างถึงศาสนาหลักหรือศาสนาใหญ่ที่มีคนเชื่อถืออยู่แล้ว ชาวซาโลมจำนวนมากเข้ารับศรัทธากับปรากฎการณ์ประกาศกคนใหม่ที่สืบทอดโดยตรงจากท่านอิสฮานนี้อย่างรวดเร็ว


False Prophet

โอมาร์นัน เป็นลูกคนเดียวจากครอบครัวฐานะปานกลางในชนบทของซาโลม พ่อตายจากสงคราม แม่ตายด้วยโรคระบาด เมื่ออายุเพียง13ปี โอมานัน ก็ออกหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเลี้ยงนกโมฮา โอมาร์นันเป็นเด็กฉลาด หน้าตาดี ชอบคิดชอบจินตนาการ มีความสามารถในการเล่าเรื่องต่างๆได้เก่ง เขาชอบสนทนากับนักเดินทางที่มาเช่าหรือซื้อนกโมฮา เพื่อฟังเรื่องการผจญภัยสุดบรรเจิดของพวกเขา แม้ว่าตามนิสัยคนส่วนมากเมื่อเล่าเรื่องการผจญภัยของตนจะโม้บ้างเสริมแต่ให้ตัวเองดูเก่งกาจบ้าง แต่โอมาร์นันจะจินตนาการเป็นตัวเขาเองที่ออกผจญภัยอย่างสุดอลังการยิ่งกว่าเข้าไปอีก

ในปีที่2ของการทำงานเลี้ยงโมฮา โอมาร์นันเริ่มเป็นฝ่ายเล่าการผจญภัยของตน โดยนำเรื่องของนักเดินทางหรือนักล่าสมบัติคนก่อนหน้ามาเล่าให้นักเดินทางหรือล่าสมบัติที่มาใหม่ได้ฟัง โดยเล่าราวกับตัวเองได้ไปเอง แม้เขาจะไม่ได้เรียนหนังสือ และอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่เขาก็รู้เรื่องรอบตัวอย่างดีมาก แม้รู้ถูกบ้างผิดบ้าง และรวมถึงประวัติศาสตร์ต่างๆและเรื่องราวความศรัทธาของศาสนาและลัทธิต่างๆทั่วภูมิภาคตามคำบอกเล่าของผู้คน

เมื่ออายุ 15 ปี เขาอ้างว่าประกาศกอิสฮานปรากฎกายมาหาเขา เพื่อให้ฟื้นฟูศาสนจักรอันแท้จริง ที่ไม่ขึ้นกับศาสนจักรเดิมๆที่ถูกปีศาจเข้าครอบงำทำให้เสียหายไปหมดแล้ว เมื่ออายุ 18 ปี เขาประกาศว่าทูตสวรรค์โฮลี่ ได้ปรากฎมาหานำเขาไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ซ่อนแผ่นโลหะประหลาดหลายแผ่น ขนาดเท่าฝ่ามือ มีอักษรจารึกประหลาดเป็นภาษาที่อ่านไม่ได้ แต่เขามีพรพิเศษที่ได้รับมาจากทูตสวรรค์โฮลี่สามารถแปลอักษรเหล่านั้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่แท้จริงที่อิสฮานได้บันทึกไว้เกี่ยวกับการก่อตั้งซาโลม และเรื่องราวที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ในคัมภีร์ต่างๆของทั้งลัทธิสุริยันจันทรา และจารีตตะวันออก ให้สมบูรณ์

หลังจากตั้งวัดเล็กๆของตนได้ 5 ปี เขาอ้างว่าท่านอาวีลาได้ปรากฎมาหา และแต่งตั้งเขาเป็นประกาศกผู้สืบทอดต่อจากท่านอิสฮาน

ในปีที่ 6 ของการตั้งวัดของโอมาร์นัน คาดว่ามีประชาชนราว 4พันคน เข้ารับนับถือในตัวของเขา 8 ใน 10 เป็นผู้หญิง และ เกือบครึ่งเป็นผู้ที่เปลี่ยนศาสนามาจากลัทธิสุริยันจันทรา และจารีตตะวันออก เขาขยายสาขาวัดของเขาเข้ามาในเมืองหลวงของซาโลม และ แม้จะมีผู้เข้ารับนับถือเพิ่ม ขึ้นมาแต่ถูกต่อต้านจาก นักบวช และกลุ่มผู้นบถือจารีตตะวันออก ในซาโลมเนื่องด้วยเนื้อหาที่โอมาร์นันประกาศมีความขัดแย้งมากมายหลายประการ เช่นการสับสนว่า อาวีลาคือพี่สาวของอิสอาเบล หรือการประกาศว่าตนเป็นประกาศกต่อจากท่านอิสฮาน เพราะที่จริงยังมีประกาศกอีก2ท่านของพระศาสนจักรต่อจากเหตุการณ์ของอิสฮาน และไม่แปลกที่ชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้ เพราะพวกท่านอยู่ในทวีปอื่น เรื่องราวนี้เริ่มล่วงรู้ไปถึงนครซานตาน่า คาลดินัลแห่งซานตาน่าจึงสั่งให้ทุกคนเฝ้าระวังลัทธินี้

hs5s.jpg



Companion

แม้จะเริ่มมีผู้ต่อต้านเกิดขึ้น แต่เมื่อปลายปีที่ 6 ที่สาวกของโอมาร์นันมีเกือบ หนึ่งหมื่นคน ก็มิใช่เฉพาะชาวซาโลมเท่านั้น เริ่มมีชาวต่างชาติสนใจเข้าลัทธิของเขามากขึ้น มีคนต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาติดต่อธุรกิจ การค้า ฯลฯ ในเมืองหลวงแห่งซาโลม แม้แต่ชาวซาตาน่าที่เดินทางมาซาโลมบางคนก็เข้ารับนับถือด้วย ในเวลานี้เอง นักวิทยาศาสตร์จากแดนไกล เบน บาร่า จากนิโคอุ เดินทางมาค้นหาวิทยาการที่สาปสูญ เขาสนใจในทันทีถึงเรื่องของชายที่อ้างว่าพบวัตถุประหลาดจากในถ้ำ ที่เขียนภาษาแปลกๆ

เบน บาร่า เป็นคนนิสัยประหลาด เวลาพูดจาจะหลบตาคน กลัวคนแปลกหน้า และเกลียดที่มีคนเยอะๆ ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว และมีความสุขกับเครื่องยนต์กลไก ความเกลียดกลัวคนนี้เป็นอุปสรรคไม่น้อยในการเดินทางไกล แต่ยานพาหนะที่แปลกประหลาดที่สามารถดัดแปลงเป็นที่พักชั่วคราวได้ด้วย ก็ช่วยเขาใช้ทำให้เขาไม่ต้องสุงสิงหรือพึ่งพาคนแปลกหน้าระหว่างทางมากนัก

เบน บาร่า ติดต่อขอพบโอมาร์นัน และจุดพลิกผันของชีวิตคนทั้งสอง ที่จะพลิกประวัติศาสตร์ของโลกก็เริ่มขึ้น
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 13, 2012 8:39 pm

Dome

โอมาร์นันระดมทุนสร้างโดมเพื่อเป็นสัการะสถานที่ใหญ่ที่สุดในซาโลมขนาดใหญ่ในเขตวัดของตน โดยจูงใจว่าผู้ทำบุญสร้างโดมนี้ จะเท่ากับสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ มีผู้ถวายทรัพย์มากมาย ในปีที่ 9 โดมนี้สร้างเสร็จ

โดมใหญ่นี้ ด้านบนเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา จุคนได้หลายพันคน ใต้โดมนี้มีทางลับลงชั้นใต้ดิน อันเป็นที่ลับเฉพาะของ เบน บาร่า ซึ่งเขาจะไม่ได้พบใครเลยนอกจาก โอมาร์นัน และคนรับใช้บางคนที่ส่งอาหาร และสิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการ เขาหมกหมุ่นอย่างมีความสุขกับการถอดระหัส และค้นหาความลับจากวิทยาการโบราณอันทำให้เขาได้ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์สร้างสิ่งประหลาดมหัศจรรย์มากมาย แต่แน่นอนว่า มันถูกเก็บไว้ในใต้ดินนี้เท่านั้น

และในช่วงนี้เอง โอมาร์นันโด่งดังขีดสุด เพราะมีคนเห็นเขาลอยได้ครู่หนึ่งบริเวณทิศตะวันออกของโดม เครื่องต้านแรงดึงดูดที่ เบน บาร่า ทดสอบกับมนุษย์คนแรก คือ โอมาร์นัน ทำให้เขารู้ว่าเขาสามารถสร้างจักรกลที่ลอยเหนือพื้นดินได้

โอมาร์นันสอนว่าชายควรมีภรรยาหลายคน เขาอ้างว่าท่านอิสฮานก็มีภรรยามากกว่าหนึ่งคนดังนั้นการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนไม่ใช่สิ่งผิด ตั้งแต่ตั้งลัทธิมาเขามีภรรยา 23 คนแล้ว และบางคนเป็นหญิงม่ายที่ร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติของสามี รวมกับทรัยพ์สินที่เหล่าสาวกบริจาคเพราะเขาสอนว่าการบริจาคให้กับลัทธินอกจากจะทำให้มีทรัพย์สมบัติในสวรรค์แล้ว ผู้ที่ไม่ยอมบริจาคยังจะมีบาป เพราะมารแห่งความตระหนี่เข้าครอบงำจะทำกิจการใดก็ไม่เจริญ ทำให้ลัทธิของเขาเป็นลัทธิที่ร่ำรวยที่สุดในซาโลม


Royal religious

พระชายา ชาทิส ล้มป่วยด้วยโรคลมชักอันแปลกประหลาด บรรดาแพทย์หลวงก็หาสาเหตุไม่ได้ เมื่อป่วยครบหนึ่งปี โอมาร์นัน เดินทางเข้ามาในวัง ขอรักษาพระชายา โอมาร์นัน พร้อมผู้ติดตาม2-3คน หนึ่งในนั้นอยู่ในผ้าคลุมมิดชิดกว่าคนอื่น เข้ารักษาพระชายาจนหายป่วย

พระราชาและพระชายา ปลาบปลื้มในตัวเขามาก ประกาศสนับสนุนกิจการของลัทธิ และยังสนับสนุนทุนทรัพย์อีกจำนวนมาก เขาสามารถเข้านอกออกในราชวังราวแขกพิเศษ และในเวลานี้เอง เขาเริ่มมีอำนาจและบทบาททางการเมืองมากขึ้น

เมื่อมีการแข็งเมืองของลาซาล โอมาร์นันแกล้งทำนายว่า พระราชาบดีต้องออกบัญชาการรบเองจึงจะมีชัยชนะ ในระหว่างที่พระราชาไปออกรบนี้เอง โอมาร์นันเข้าหาพระชายาชาทิสทุกวัน จนบางวันก็ขอค้างในพระราชวัง พระชายาชาทิส เป็นคนงมงาย เชื่อเรื่องหมอดู และ ไสยศาสตร์อย่างมาก และเลื่อมใสทำทุกอย่างตามที่โอมาร์นันต้องการ พระชายาตอบสนองทุกกิจการและทุกการบริจาค ลัทธิของเขาขยายตัวขึ้นมาก แต่ในหมู่ผู้ต่อต้านก็ร่ำลือถึงความสัมพันธ์อันไม่ชอบมาพากลของเหล่าสตรีในราชสำนักกับโอมาร์นัน รวมทั้งตัวพระชายาเองก็ไม่เว้น

และด้วยทุนทรัพย์มหาศาล โอมาร์นัน ทำพิธีเนรมิตหุ่นกล มีหุ่นจักรกลที่วิจิตรพิศดารมากมายออกมาจากโดม และเดินทางออกไปช่วยทำการรบจนสามารถยึดลาซาลได้อย่างราบคาบ


เมื่อพระราชาบดีกลับมา ได้ปูนยศให้โอมาร์นัน เป็นราชครู และยิ่งสนับสนุนโอมาร์นันทุกอย่าง จนตอนนี้กว่าครึ่งชาวซาโลมรับนับถือลัทธิของโอมาร์นัน และเครือข่ายสาขาวัดของเขามีทั่วราชอาณาจักรซาโลม โอมาร์นัน ขอให้ทั้งสองประกาศให้ลัทธิของตนเป็นศาสนาประจำชาติ และวัดของตนเป็นอารามหลวงด้วย พระชายาชาทิสสนับสนุนเต็มที่ แต่พระราชาบดีเริ่มคิดว่านี่อาจจะเป็นการขอมากเกินไป แต่สุดท้ายก็ทรงยินยอม พร้อมเวนคืนที่ดิน และพระราชทานที่ดินมหาศาลรอบโดม ให้โอมาร์นันสร้างหมู่บ้านของตน โดยภรรยาทั้ง48คนและบุตรธิดาอีกนับไม่ถ้วนของเขา และสาวกที่เลื่อมใสจำนวนมากได้เข้าอยู่อาศัยตั้งรกรากในนั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 13, 2012 10:45 pm

Machine Army

โอมาร์นันเล็งเห็นว่า ขณะนี้ประชากรซาโลมมีน้อยและเป็นเหตุให้ประเทศอ่อนแอ ที่สำคัญ คนยิ่งมาก สาวกก็ยิ่งมาก นั่นคือเงินบริจาคและพลังศรัทธาที่ยิ่งมาก เขานำเสนอให้พระราชาบดีลดจำนวนทหารที่เป็นมนุษย์ลง และใช้ทหารจักรกลทำการรบเหมือนที่ทำสำเร็จกับลาซาลมาแล้ว เขาขอเงินบริจาคเพื่อทำพิธีเนรมิตหุ่นกลอีก แต่ที่จริงใช้ซื้อวัตถุดิบให้ เบน บาร่า สร้างหุ่นเพิ่ม และให้ผู้ชายทั้งหลายกลับบ้านเมือง สนับสนุนการแต่งงานตั้งแต่อายุน้อย และการมีภรรยาหลายคน นอกจากนี้ยังจัดให้มีการสมรสหมู่ขึ้น โดยสนับสนุนให้ทุกคนที่ยังไม่มีคู่ได้แต่งงาน โดยมีการจับคู่ให้ในมวลหมุ่สาวกผู้ศรัทธา เร่งเพิ่มจำนวนลูกหลาน มีการแจกรางวัลสตรีที่ลูกดก และแล้วเด็กเกิดใหม่ก็เพิ่มขึ้นในซาโลมอย่างรวดเร็ว

ในเวลา 8 ปี ซาโลมรวบรวมหัวเมืองทั้งหมดอย่างราบคาบด้วยกองทัพจักรกล เสียงร่ำลืออื้ออึงทั่วถึงความน่ากลัวของกองทัพเครื่องจักรไร้ชีวิตจิตใจที่ฆ่าและทำลายอย่างไรการปราณี เจรจาไม่เป็น ไม่เข้าใจการร้องขอชีวิต ทำตามภารกิจที่รับมอบหมายแต่เพียงอย่างเดียว เป็นที่ครั่นคร้ามเกรงกลัวไปทั่ว จนบางเมืองรีบสวามิภักดิ์อย่างดุษฎีแทนการถูกทำลายล้างทั่งเมือง


แต่แล้วการวางแผนของโอมาร์นันก็เริ่มส่อปัญหา เพราะเมื่อ 8 ปีที่ซาโลมเรืองอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว กลับเกิดปัญหาอัตราส่วนของเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า หลายครอบครัวเลี้ยงลูกจำนวนมากไม่ไหว เริ่มมีปัญหาขาดแคลนอาหาร และสุขอนามัย ความยากจนเข้าคุกคามอย่างรวดเร็ว โอมาร์นันเริ่มสูญเสียความน่าเชื่อถือจากพระราชาบดี และสถานะของเขาเริ่มสั่นคลอน


light Underground

ใต้โดมยักษ์ ชายคนหนึ่งหลบเร้นจากแสงตะวัน หากแสงไฟจากวิทยาศาสตร์สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ชายผู้เกลียดกลัวมนุษย์ ใช้ชีวิตกับเครื่องจักรมากมาย ราวกับอาณาจักรย่อมๆ อาณาจักรที่ค่อยๆขยายตัวลึกลงไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีใครล่วงรู้ หากแต่เต็มไปด้วยพลเมืองอันไร้ชีวิตและจิตวิญญาณ แต่สุดแสนซื่อสัตย์และทำตามคำสั่ง ไม่รู้จักหักหลัง ไม่รู้จักทรยศ ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ขับถ่าย ไม่เจ็บป่วย ไว้วางใจได้มากกว่าสิ่งที่ชีวิตจิตใจชั่วช้าอย่างมนุษย์

เบน บาร่า ใช้ชีวิตอย่างเร้นลับเช่นนี้นานหลายปี และมีความสุข ในสรวงสวรรค์อันไร้วิญญาณใต้ดิน วิทยาการจากแผ่นโลหะประหลาดที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เขาได้นั้นสร้างความหฤหรรษ์ในจิตใจเขาอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการเสพอาหารชั้นดี หรือมีสตรีงามเคียงข้าง เขาสร้างหุ่นยนต์พูดได้เสียงเหมือนสตรี คอยตอบรับทุกอย่างที่เขาพูดโดยพูดแต่สิ่งที่เขาอยากฟัง ใครจะรู้ว่าเขาสามารถแอบดูแอบฟังสิ่งต่างๆบนดิน อาศัยเครื่องจักรขนาดเล็กรูปร่างคล้ายแมลง ที่กระจายไปทั่วเมือง เขาขยะแขยงมนุษย์ที่ช่วงหลังนี้ยิ่งผลิตจำนวนออกมามากมาย เขาเฝ้าฝันถึงวันที่คนเราจะไม่ต้องพึ่งใคร แค่มีเครื่องจักรต่างๆคอยตอบสนองรับใช้อย่างซื่อสัตย์ จะมีความสุขสักเพียงไร

สมัยก่อนที่เขายังอยู่นิโคอุ เขาเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อน(ที่เขาเชื่อว่า)สนิท เพื่อนกลับเอาเรื่องของเขาไปเล่าอย่างขบขันไปทั่ว ทุกคนด่าว่าเขาบ้า นินทาว่าเขาโรคจิต มีความคิดวิปริต เขาเกลียดชังมนุษย์มากขึ้น หวาดกลัวมนุษย์มากขึ้น กลัวการทรยศจากมนุษย์มากขึ้น จนวันที่เขาเจอ โอมาร์นัน ชายท่าทางดี พูดจาน่าเชื่อถือ แต่ชายปากหวานคนนี้พูดจากุเรื่องสารพัดไปทั่วโดยสามารถโกหกทั้งที่ยังจ้องตาคนที่คุยด้วยได้ มันช่างน่ากลัวกว่าใครทั้งหมด แต่คนๆนี้มีทุกสิ่งที่เขาต้องการ ให้เขาได้ทุกอย่าง

วันหนึ่ง โอมาร์นัน เข้ามาหาเขา ขอให้ช่วยทำ ในสิ่งที่เหมือนเติมเต็มความฝันของเขาไปอีกก้าว การขอให้สร้างเครื่องจักรที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เบน บาร่า ดีใจจนปากคอสั่น รีบรับปากทำให้ทันที

และแล้วพิธีเนรมิตจักรกลช่วยทำงานเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน ก็เริ่มขึ้น มีจักรกลมากมายในอาณาจักรและสถานราชการ ที่อำนวยความสะดวกมากมาย ที่สำคัญ การปรนเปรอพระราชาและพระชายา ตอนนี้ทั้งสองพระองค์แทบไม่ต้องเดิน อยากไปไหนก็มีจักรกลยกไปยังที่ที่ต้องการ แม้แต่การหยิบจับสิ่งของก็แทบไม่ต้องทำ เพราะจักรกลทำให้อย่างดี ความสุขสบาย ของราชวงศ์ และความตื่นเต้นกับความสะดวกที่เพิ่มขึ้นของประชาชน ก็เรียกความมั่นคงของโอมาร์นันกลับมาอีกครั้ง

แต่ทว่าในใจของเขา กลับจินตนาการแผนสุดบรรเจิดที่ใครก็ไม่อาจคาดคิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 13, 2012 10:53 pm

Change

25ปีแห่งการสถาปานาลัทธิ และศาสดาคนใหม่ ทั้งซาโลมและหัวเมืองต่างๆกว่า 9 ใน 10 รับนับถือลัทธิใหม่ และที่สำคัญตัวของเขาเองที่จะว่าไปแล้ว อาจได้รับความเลื่อมใสศรัทธาบูชาเคารพยิ่งกว่าพระราชาเสียอีก ในเวลาหลายปีที่พระราชาและพระราชินี นั่งกินนอนกินอยู่อย่างสุขสบายจนอ้วนพลุ้ย อยู่ๆวันหนึ่งพระราชาก็ทรงพระหทัยวายสิ้นพระชนม์คาเครื่องจักรกลโดยไม่ทราบสาเหตุ

โอมาร์นันเข้าหนุนพระชายาให้ครองราชย์แทนพระราชา ในคราวนี้ เขาเองแม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองเชื่อฟังเขาทุกอย่าง

โอมาร์นันดำเนินการ รวบรวมประชาชนซาโลมทุกคนเข้าลัทธิของเขาอย่าเบ็ดเสร็จ โดยบีบคั้นว่า ผู้นับถือศาสนาและลัทธิอื่นๆในซาโลมต้องจ่ายภาษีเป็น 3 เท่า พร้อมกันนั้น เขาได้ทำการแปลคัมภีร์ทุกลัทธินิกายและทุกศาสนาโดยรอบเป็นภาษาซาโลม แต่ได้บิดเบือนการแปลทั้งหมดให้สนับสนุนหลักคำสอนของตน เช่นคำว่า วิหาร ก็แปลเป็นคำว่า โดม หรือ เมืองแห่งหอคอยทองคำ ก็แปลว่า เมืองแห่งหอสังเกตการณ์มากมาย เพราะซาโลมมี หอสังเกตการณ์ อยู่ทั่วเมือง เพื่อจะอ้างว่าตนคือศาสดาใหม่และศาสนจักรที่แท้จริงเกิดในซาโลม นอกจากนี้ยังตั้งสาวกผู้ภักดี ชื่อกลุ่ม ห้องสังเกตการณ์ คอยสอดส่องผู้ต่อต้าน และผู้ที่ยังเชื่อในศาสนาอื่น เพื่อกวาดล้างและทำลายโดยการใส่ความและสร้างเรื่องเท็จยัดเยียดศาสนาและลัทธิอื่นๆว่าสอนผิดจากคัมภีร์ที่แท้จริง และโดนปีศาจครอบงำ

ทำให้บางคนเลือกอพยพไปที่อื่น และหลายคนยินยอมเปลี่ยนศาสนาเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว

จนโอมาร์นันครอบงำทุกอย่างในซาโลมได้แล้ว ก็เหลือแต่ความฝันอันสูงสุด นครซานตาน่านครแห่งหอคอยทองคำ ซึ่งเขาปราถนายึดมาไว้ใต้อำนาจตน เพราะมันจะเป็นก้าวแรกที่ลัทธิของเขาจะก้าวเข้าครองทวีปเมอร์ริเซีย และแม้แต่โลกนี้



Soft Power

โอมาร์นัน ได้เดินทางไปยังนครซานตาน่า และขอเข้าพบ คาลดินัลแห่งซานตาน่า เพื่อเปิดตัวว่าเป็นประกาศกคนใหม่ของศาสนจักร แต่ทว่า ไม่ได้รับการอณุญาติให้เข้าพบ เขารออยู่ 2 วันจึงตัดสินใจซื้อตึกหลังหนึ่ง เพื่อเปิดเป็นสำนัก ของตน โดยมีสาวกจำนวนหนึ่งอยู่อาศัยและคอยดึงคนให้มาเชื่อในลัทธิใหม่ หลังจากโอมารืนันกลับซาโลม ก็ป่าวประกาศว่า คาลดินัลแห่งซานตาน่านอกจากเข้าพบแล้วยังกราบแสดงความเคารพต่อเขา สร้างความปลาบปลื้มต่อผู้ศรัทธาชาวซาโลมอย่างยิ่ง แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา คณะสาวกของเขาก็เดินทางกลับมา พร้อมแจ้งว่า ทางนครซานตาน่าไม่อณุญาติการเปิดสำนักแล้วยังสั่งให้ทุกคนกลับซาโลม โอมาร์นันโกรธแค้นมาก จึงเริ่มดำเนินแผนสองที่รุนแรงขึ้น

Political Power

ราชินี ชาทิส จัดส่งราชฑูตจากซาโลม ขอให้ลัทธิของโอมาร์นันเข้าไปตั้งสำนักในซานตาน่า แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอีกเช่นกัน ราชฑูตถูกส่งไปอีกครั้ง คราวนี้ อัญเชิญพระราชโองการ ประกาศให้ ซานตาน่า ส่งราชบรรรณาการให้ซาโลม และยอมอยู่ในฐานะหัวเมืองบริวาร ดังฐานะที่แต่ดั้งเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซานตาน่าเคยเป็นหัวเมืองบริวารที่ซาโลมดูแลมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ์ อิสมาคาอิน ซานตาน่าตอบพระราชโองการกลับไป ชี้แจงว่า ซานตาน่าไม่เคยเป็นหัวเมืองบริวารของซาโลม และไม่เคยส่งราชบรรณาการให่้ซาโลม ในสมัยจักรพรรดิ์อิสมาคาอิน ซานตาน่าได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองแต่ไม่ปกครอง "เทียบเท่า" หัวเมืองบริวาร แต่ไม่ได้ "เป็น" หัวเมืองบริวาร

โอมาร์นัน ออกแถลงการณ์ต่อประชาชนซาโลมว่า นครซานตาน่า บิดเบือนความจริง เพราะในพระคัมภีร์ฉบับ โอมาร์นันแปล เขียนว่าซานตาน่าเป็นเมืองบริวารมาก่อน และประณามศาสนจักรแห่งซานตาน่าว่า เทียมเท็จ บิดเบือนพระคัมภีร์ และโดนปีศาจครอบงำ ประณามว่าคาลดินัลแห่งซาตานน่า รับใช้มาร ซึ่งความชั่วช้าเช่นนี้ต้องถูกกำจัด

จากนั้น1สัปดาห์ โอมาร์นันประกาศว่า ท่านอิสฮานได้ปรากฎกายมาหา และอยากให้นำร่างของท่านที่อยู่ที่ซานตาน่ามาฝังที่ซาโลม ราชินีซาทิส ส่งราชฑูตไปอีกคราวนี้สั่งให้นครซานตาน่าส่งร่างของประกาศกอิสฮานมาฝังที่ซาโลม แน่นอนว่าคำขอถูกปฏิเสธ โอมาร์นันได้จังหวะ ประกาศยกทัพจักรกลอันศักดิ์สิทธิ์ บุกยึดนครซานตาน่าเพื่อนำร่างของประกาศกกลับมา และชำระนครจากการปกครองของพวกผีปีศาจท่ามกลางเสียงโห่ร้องสนับสนุนของเหล่าสาวกผู้เลื่อมใสศรัทธา
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ค. 14, 2012 4:16 am

Miracles do happen

การอาจหาญปฏิเสธทุกกอย่างของลัทธิใหม่จากซาโลมอย่างแข็งกร้าวนี้ มิใช่การตัดสินใจจากความรู้สึกชั่ววูบของคาลดินัลแห่งซานตาน่า หากแต่เป็นการยืนยัน เหตุอันอัศจรรย์เมื่อ 3 ปีก่อน เมื่อวันที่ท่านได้ลงนามรับรอง Visionary คนล่าสุดหลังจากที่ซานตาน่าไม่มี Visionary มานานเกือบ 1 ศตวรรษ

ฟาติมา เป็นเด็กสาวชาวบ้าน กำพร้าแม่แต่เล็กอยู่กับพ่อแค่ 2 คน เด็กสาววัยเพียง 10 ปี ได้เรียนหนังสือเพียงเล็กน้อย พออ่านออกเขียนได้ จากนักบวชในโบสถ์แถวบ้าน ด้วยความยากจนที่พ่อมีโรคประจำตัว เธออาศัยบ้านญาติอยู่ และในวันหนึ่ง ขณะที่เธอออกไปเก็บฟืน ที่ป่าชานเมืองของนครซานตาน่า ระฆังโบสถ์ตีบอกเวลาเที่ยงพอดี เธอคุกเข่าลงใต้ต้นมะเดื่อสวดภาวนาบท ทูตสวรรค์ผู้ส่งสาร (เวลาเที่ยงวัน ชาวซานตาน่าที่ศรัทธา จะสวดภาวนาบทนี้ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ทูตสวรรค์นำสารมาแจ้งแก่ผู้ศักดิ์สิทธิ์) เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าตอนที่กำลังจะสวดจบ ทันใดนั้นเธอได้พบชายหนุ่มคนหนึ่ง พุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้า เขาโผลงมายืนตรงหน้าเธออย่างสง่างาม เขาแลดูเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม อายุราว16-17ปี ท่าทางว่องไวกระฉับกระเฉง เขาหุบปีกที่หลัง ยิ้มให้กับเธอที่อ้าปากค้างอยู่ พร้อมพูดด้วยเสียงไพเราะกังวาน "อย่ากลัวเลย...เด็กน้อยผู้เปี่ยมศรัทธา เธอจงสวดภาวนาต่อไปเถอะ" ฟาติมา ยังคงตกตะลึง แต่ก็ขยับปากสวดต่ออย่างว่าง่าย เสียงสั่นๆของเธอถูกกลบด้วยเสียงไพเราะของชายหนุ่มคนนั้นที่สวดพร้อมกับเธอ เมื่อสวดจบ เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน พร้อมทะยานขึ้นท้องฟ้าหายวับไป

hs3s.jpg


ฟาติมากลับบ้าน ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง คืนนั้นนอนไม่หลับ สับสนและสงสัยว่าตัวเองเห็นภาพหลอน หรือโดนผีหลอก และไม่กล้าจะคิดว่าเธอพบทูตสวรรค์ เพราะเด็กยากจนหัวทึบแบบเธอที่ไม่มีคุณค่าความดีอะไรจะเจอทูตสวรรค์ได้ยังไง รุ่งขึ้นเธอเล่าเรื่องให้เพื่อน เด็กสาวแถวบ้าน 2 คนฟัง ทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ คนหนึ่งรีบวิ่งไปโบสถ์ นำขวดยาของแม่ไปตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์ พร้อมพากันไปที่ใต้ต้นมะเดื่อต้นเดิม พอเที่ยงวันเด็กสาวทั้งสามคุกเข่าสวด ฟาติมาร้องขึ้นกลางคันว่า "มาแล้ว" เพื่อนทั้งสองกระโดดไปกอดกันข้างหลัง มองไม่เห็นอะไร เห็นแต่กิ่งต้นมะเดื่อไหวทั้งที่ไม่มีลม "ระ...รีบสาดน้ำเสกสิ ถ้าเป็นผีจะได้หายไป" ฟาติมารีบสาดน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปข้างหน้า และนิ่งเงียบอาการเหมือนอยู่ในภวังค์ เพื่อนรีบถาม "เป็นไงบ้าง หายไปหรือยัง" ฟาติมาตอบทั้งที่ตายังจ้องไปข้างหน้า "ไม่ไป แถมหัวเราะให้พวกเราด้วย" ชายหนุ่มยังยืนยิ้มอยู่ ผมสีทองปลิวไสวทั้งที่ไม่มีลม เมื่อดูเหมือนทุกอย่างดูสงบลง เขาก็เริ่มเอ่ยปากพูด "จะกรุณามาที่นี่วันพรุ่งนี้ ในเวลาเดียวกันนี้ได้ไหมครับ" "ดะ..ได้ค่ะ ถ้าพ่ออณุญาติ"

ระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อนทั้งสองชักสงสัยว่าฟาติมาอาจจะบ้าไป หรือคิดไปเอง แต่อีกใจหนึ่งก็แอบคิดว่าเพื่อนอาจจะเห็นจริงๆ ทั้งสองรู้สึกกลัว จึงไม่กล้าไปด้วย หากเธอจะไปพบ"สิ่งนั้น"ตามที่นัดหมายในวันพรุ่งนี้

เที่ยงวันต่อมา เมื่อสวดจบเธอรู้สึกเหมือนเห็น เด็กหนุ่มคนเดิมอย่างชัดเจนกว่าเดิม และดูสว่างไสวกว่าเดิม "ท่านต้องการอะไรจากหนูคะ" เด็กหนุ่มลอยสูงจากพื้นเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงจริงจัง "จงรักษาศรัทธา และพากเพียรภาวนา จงสวดภาวนาให้คนบาปกลับตัวกลับใจ เพื่อฟื้นฟูศรัทธาแห่งนครนี้ มิฉะนั้นความวิปโยคโศกศัลย์จะมาถึงที่นี่" ฟาติมาเกิดกังวลถามต่อว่า "หนูคนเดียวจะวอนขอได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ" เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน "ได้สิ และจะไม่ใช่หนูคนเดียวหรอก สวรรค์มีแผนการแห่งพระกรุณายิ่งใหญ่มอบแด่นครนี้ผ่านทางหนู" เด็กหนุ่มมีแววตาเศร้าเล็กน้อย "หนูจะตอบรับหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าหนูตอบรับ หนูจะเผชิญความทุกข์ยากในโลกนี้ แต่รางวัลในสวรรค์ของหนูจะยิ่งใหญ่มาก และชีวิตคนจำนวนมากจะรอดผ่านการเสียสละของหนู"

"ถ้าหนูต้องลำบากแต่ถ้าแค่คนเดียว จะช่วยคนจำนวนมากได้ หนูก็ยอมค่ะ" ฟาติมาตอบรับ แม้ส่วนลึกในใจยังหวั่นอยู่

"ยังเด็กเหลือเกิน หนูน้อย แต่เอาเถอะนี่ก็จะเป็นคำมั่นสัญญาของพี่ พี่จะอยู่คอยช่วยเหลือเธอให้ผ่านความทุกข์ยากทุกอย่าง" ฟาติมารู้สึกสัมผัสเต็มเปี่ยมในความหมายทุกคำจนน้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน เธอสัมผัสในจิตใจได้ว่าเขาเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เธอจึงถามเขาว่า "ท่านเป็นใครคะ" เด็กหนุ่มตอบก่อนจะลอยหายไป "โฮลี่"
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ พ.ค. 16, 2012 6:26 am

The Saint

หลังจากนั้น ฟาติมามาพบทูตสวรรค์ทุกวัน โฮลี่สอนเธอสวดภาวนา และตอบข้อสงสัย และอธิบายหลักธรรมหลายอย่าง และ ในการพบกันครั้งที่ 6 โฮลี่ได้บอกเธอว่า "พรุ่งนี้ จะมีคนสำคัญมาพบเธอ ขอให้เตรียมตัวให้ดี"

ในวันที่ 7 ฟาติมารีบไปที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นก่อนเวลาเที่ยง แต่คราวนี้ โฮลี่ได้รออยู่ที่นั่นแล้ว มีเสียงเพลงไพเราะห์ดังขึ้น โฮลี่นำเธอเดินออกจากใต้ต้นมะเดื่อ ที่เหนือต้นมะเดือนั้นมีเมฆสีทองปกคลุม สตรีสวยงาม ท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่งปรากฎกายขึ้น โฮลี่ลอยไปอยู่ข้างเธอ พร้อมแนะนำว่า "ท่านอลาน่า" ฟาติมารีบคุกเข่าลงแสดงความเคารพ

"ขอบคุณหนูมากที่ตอบรับคำขอจากสวรรค์ แต่ฉันอยากถามความมั่นใจจากหนูอีกครั้งว่า หนูยินดีทำพันธกิจนี้จริงๆหรือเปล่า" ฟาติมาตอบทันที "หนูยินดีค่ะ หนูยินดีรับใช้พระเจ้า"

"ถ้าเช่นนั้นหนูจงไปหาพระคาลดินัล บอกท่านว่า ท่านต้องทำให้นครซานตาน่ากลับมาศักดิ์สิทธิ์ดังเดิมให้ได้ เพราะในเวลานี้ เหล่าปีศาจทำงานอย่างซ่อนเร้น มันไม่ได้ออกมาแทรกแซงประวัติศาสตร์มนุษย์อย่างโจ่งแจ้งดังกาลก่อน นั่นเพราะจิตใจมนุษย์จำนวนมากตกต่ำลง เสื่อมศรัทธา และเป็นทาสพวกมันอยู่แล้ว มันจึงสามารถใช้มนุษย์ด้วยกันเองทำลายมนุษย์และโลกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนั่นทำให้ชาวสวรรค์ก็ไม่อาจแทรกแซงเข้าช่วยอย่างเปิดเผยได้" เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อลาน่าน้ำตาคลอ ใบหน้าเศร้ามาก จนฟาติมาอยากร้องไห้ตามไปด้วย "อีกไม่นานสันติภาพที่ฉันได้สละชีวิตแลกมาจะถูกทำลายลง นครที่เหมือนลูกสาวของฉันนี้จะถูกบดขยี้อย่างน่าสยดสยอง หากมนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ฉันได้เห็น อาจจะขาดใจตายด้วยความสะพรึงกลัว และการกระทำอันชั่วช้านี้ จะถูกทำให้ทุเลาเบาบางลงได้ แต่ไม่อาจหยุดยั้งไม่ให้เกิดได้ ครั้งหนึ่ง อาวีลาได้ทำตามคำขอของฉัน รวบรวมประชาชนทั้งเมืองอธิษฐานภาวนา จึงสามารถหยุดโศกนาฎกรรมได้ แต่วันนี้ จะมีสักกี่คนกันหนอที่ยังมีศรัทธา จะมีสักกี่คนกันหนอที่จะสละเวลาที่พวกเขาทุ่มเทแก่กิจกรรมทางโลก คุกเข่าลงอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้คน จะมีสักกี่คนกันที่เชื่อ" พูดถึงตรงนี้ สตรีที่ส่องสว่างก็มีน้ำตาไหลออกมา น้ำตานั้นส่องประกายระยิบระยับเหมือนเพชรอาบแก้มของเธอ เมื่อหยดตกจากแก้มลงมาก็สลายไปในอากาศก่อนจะตกถึงพื้น



hs6s.jpg


สายตาของอลาน่าละจากฟาติมามองไกลไปทางซาโลม "ซาโลมมหานครใหญ่ เจ้าจะรู้ไหมว่า กำหนดเวลาของเจ้ามาถึงเมื่อแสนนานแล้ว อิสฮานได้อธิษฐานตลอดเวลาเพื่อให้วาระของเจ้ามาอย่างช้าๆ และเจ็บปวดน้อยที่สุด ฉันเองช่วยเหนี่ยวรั้งทัณฑ์จากทูตสวรรค์ทั้ง 4 ไว้นานแสนนานแค่ไหน แต่เจ้ากลับเร่งเวลาการลงโทษของเจ้าด้วยการฟังเสียงของมาร และเพิ่มความเจ็บปวดของเจ้าด้วยความบาปของตัวเอง..."


อลาน่าหันกลับมามองฟาติมา กล่าวแก่เธอว่า "ขณะนี้ประตูเชื่อมสวรรค์และโลก อยู่ห่างกันกว่ายุคสมัยที่ฉันอยู่ในโลกมากนัก เพราะศรัทธาของมนุษย์นั้นเสื่อมถอยไปมาก แต่อาศัยศรัทธาแรงกล้าของคนบางคน จะเป็นเหมือนช่องทางลัดเล็กๆอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งสารถึงผู้คนอื่นๆ เพื่อนำศรัทธากลับมาสู่โลก เพื่อความช่วยเหลือของสวรรค์จะกลับมามากมายเหมือนกาลก่อนได้ จงรีบไปหาพระคาลดินัล ให้ท่านฟื้นฟูศรัทธาของผู้คนให้เร็วที่สุด และหนูก็สามารถทำด้วยตัวเองได้ด้วย จงบอกเรื่องนี้แก่ชาวบ้านให้มากที่สุด หนูอาจประสบความยากลำบากมากในเรื่องนี้ แต่ขอให้อดทน และอย่ากลัว อารักขเทวดาของฉันจะอยู่กับหนูเสมอ และฉันก็จะช่วยให้พันธกิจของหนูสำเร็จด้วย"

"จากนี้หนูอาจไม่ได้พบฉัน หรือเห็นโฮลี่ แต่หนูจะยังได้ยินเสียงของเขาในบางครั้ง แต่รับรองได้ว่าเขาอยู่ข้างๆและดูแลหนูเสมอ จงเชื่อมั่นเสมอเถิดแม้ในเวลาที่ไม่ได้ยินหรือสัมผัสใดๆได้เลยก็ตาม"
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ พ.ค. 30, 2012 7:55 am

Journey

ในหมู่บ้านเล็กๆชานเมืองซานตาน่า เริ่มมีความปั่นป่วนด้วยข่าวลือฮือฮา เมื่อเด็กหญิงจนๆคนหนึ่งได้บอกว่า เธอเห็นทูตสวรรค์และนักบุญ และขอให้ทุกคนสวดภาวนาและละทิ้งบาป บางคนก็เชื่อเธอ บางคนยังสงสัย หลายคนหัวเราะเยาะเธอ หลายคนเยาะเย้ยเธอ เด็กบางคนล้อเลียนเธอ บางคนก็ด่าทอดูถูกเธอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ชายขี้เมาคนหนึ่งถุยน้ำลายใส่หน้าเธอเมื่อเธอขอให้เขากลับตัวและไปสารภาพบาปที่โบสถ์ และป้าของเธอเองสั่งห้ามเธอทำสิ่งเหล่านี้ มิฉะนั้นจะไล่พ่อและเธอออกจากบ้าน แต่เมื่อเธอยืนกรานว่าเธอไม่ได้โกหก ป้ากลับตบหน้าเธอจนล้มลงกับพื้นและขังเธอไว้ในห้อง ถึงเวลานี้ ฟาติมาเข้าเริ่มเข้าใจว่า ความทุกข์ยากแสนสาหัสที่เธอต้องเผชิญนั้นคืออะไร

จน3-4วันต่อมา ป้าหายโกรธ และคิดว่า ฟาติมาคงไม่ทำเรื่องบ้าบอแบบนี้อีก จึงเลิกขังเธอ ฟาติมาวิ่งไปร้องไห้ที่ใต้ต้นมะเดื่อ มิใช่เสียใจที่โดนข่มเหง แต่เสียใจที่คนเชื่อน้อยเหลือเกิน และภารกิจของเธอดูเหมือนจะล้มเหลว แสงสว่างปรากฎขึ้นที่ข้างตัวเธอ สตรีผู้หนึ่งมีแสงสว่างไสว ปรากฎกายขึ้น ฟาติมาดีใจคิดว่าเป็นท่านอลาน่า แต่แล้วเธอสังเกตุว่า สตรีท่านนี้แต่งกายต่างออกไป เธอเพ่งมองเข้าไปในแสงสว่างนั้น เป็นสตรีใบหน้าคมคายแบบชาวฟูดินันและซาโลม สตรีท่านนั้นเดินมาใกล้ "หนูอย่าเสียใจไปเลย ฉันเข้าใจดีว่า ยุคสมัยของหนูนั้นต่างกับของฉัน ยุคของฉันคือยุคของชาวซานตาน่าที่เปี่ยมศรัทธา แต่ยุคของหนูนี้ศรัทธาของผู้คนเหลือเล็กกว่าเมล็ดผัก เธอรับภารกิจที่ทนทุกข์กว่าฉันมากนัก ฉันจึงขออณุญาตสวรรค์มาช่วยเหลือเธอเป็นพิเศษ" ฟาติมาตื่นเต้น คิดว่านี่คงเป็น นักบุญ อาวีลา แน่ สตรีนั้นยิ้มรับราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไร

"เธอจงเดินทางไปยังเมืองหลวง ขอเข้าพบคาลดินัล" ฟาติมาตกใจเพราะไม่ได้เตรียมตัว "หนูต้องขออณุญาตพ่อก่อน" น. อาวีลาพยักหน้าเป็นเชิงอณุญาต "ฉันจะช่วยในเรื่องนั้น ไปเถอะ จงเชื่อมั่นในพระเจ้า ระหว่างทางพี่ชายคนหนึ่งจะร่วมทางไปกับเธอ เขาคือคนที่สวรรค์จัดเตรียมไว้สำหรับภารกิจของเธอ" ฟาติมาดีใจ เพราะคิดว่า พี่ทูตสวรรค์โฮลี่จะเดินทางไปด้วย เธอวิ่งกลับบ้าน เข้าไปปลุกพ่อ เมื่อพ่อตื่นขึ้นทำท่าตกใจเมื่อเห็นฟาติมา เธอร้องขอพ่อว่า "พ่อจ๋า หนูขอไปเมืองหลวง ไปพบพระคาลดินัล" นายลูอิสสะดุ้ง อึ้งไปครู่หนึ่ง ตอบตะกุกตะกัก"ไปเถอะ" ฟาติมางง "พ่อไม่ห้ามหนูเหรอ"

"เมื่อครู่พ่อฝัน เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกพ่อว่า ลูกสาวจะมาขอไปพบพระคาลดินัล อย่าห้ามเธอเลย แล้วลูกก็เข้ามาปลุกพ่อ"

ฟาติมารีบเตรียมเสบียงอาหารเป็นขนมปังที่กินเหลือจากเมื่อคืน และกระติกน้ำ ถ้ารีบเดินทาง อาจจะถึงเมืองหลวงก่อนมืดได้ เธอรีบวิ่งออกจากบ้าน ก่อนที่ป้าจะเห็น ในใจอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า




หลังจากวิ่งบ้างเดินบ้างมาหลายชั่วโมง และรองเท้าของเธอเริ่มมีรอยขาด เด็กหญิงเหนื่อยหอบ จึงนั่งพักใกล้ทางแยกซึ่งจะตัดไปเมืองหลวงได้ แต่หนทางยังอีกไกล น้ำในกระติกก็เหลืออยู่ไม่มาก เธอจิบแต่น้อย และคุกเข่าลงอธิษฐาน ขอพระเจ้าคุ้มครองและประทานเรี่ยวแรงให้เธอไปถึงเมืองหลวงก่อนจะมืด เธอได้ยินเสียงเท้าม้ากุบกับ เธอลืมตามองเห็นนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง และชายชราขับเกวียนเทียมม้าบรรทุกข้าวของเต็มเข้ามาใกล้

"แม่หนูมานั่งทำอะไรตรงนี้ พ่อแม่เธอไปไหน ทำไมปล่อยเด็กๆมานั่งกลางทางเปลี่ยวแบบนี้" ทหารหนุ่มร้องถามเธอ "หนูจะไปเมืองหลวง ไปหาพระคาลดินัลค่ะ หนูนั่งพักเท่านั้นเองค่ะ เอ่อ... ท่านผู้กอง"

ชายหนุ่มหัวเราะ "ฉันเป็นแค่นายสิบเท่านั้น ไม่ถึงขั้นผู้กองหรอก ฮา ฮา พอดีเลย ฉันคุมเกวียนส่งเสบียงไปค่ายทหารเทมพาร์ในเมืองหลวง" เขาหันไปมองเกวียนก่อนบอกว่า "บนเกวียนพอมีที่ว่าง หนูขึ้นไปนั่งสิ ถ้าเดินเท้าไปแบบนี้ กว่าจะถึงก็มืด แล้วมันอันตราย" ฟาติมาขอบคุณเขา และขอบคุณพระเจ้า รีบปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียน เขาขี่ม้าขนาบไปข้างเกวียน พูดคุยกับเธอไปด้วย


"เด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว เดินทางไปเมืองหลวงคนเดียวช่างกล้าหาญจริง จะไปทำอะไรล่ะ"
ฟาติมาไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจเธอไหม คนๆนี้ดูใจดี ทั้งหน้าตาท่าทาง และน้ำเสียง แต่ถ้าเธอพูดเรื่องมหัศจรรย์ที่เธอเจอ เขาอาจหาว่าเธอบ้าแล้วไล่เธอลงก็ได้

"หนูจะไปพบพระคาลดินัลค่ะ" ฟาติมาตอบเสียงเบา
"แล้วพ่อแม่ล่ะ"
"แม่เสียแล้วพ่อป่วยอยู่ค่ะ เอ่อ...ขอบคุณท่านผู้กองมากนะคะที่ให้หนูโดยสารมาด้วย ท่านอย่าไล่หนูลงกลางทางนะคะ"
"ฮาๆๆ บอกแล้วไง ฉันไม่ใช่ผู้กอง แล้วทำไมฉันต้องไล่หนูลงด้วยล่ะ เอาเป็นว่า ฉันรับปากจะพาหนูไปส่งจนพบพระคาลดินัลเลยดีไหม" ฟาติมาตื้นตันใจ "ขอบพระคุณมากค่ะท่านนายสิบ"
"หึๆ อย่าเรียกยศเลยเก็บไว้ให้ทหารเรียกกันเองดีกว่า ฉันชื่อ รอดรีโก้(Rodrigo) หนูชื่ออะไร"
"ฟาติมาค่ะ"
เสียงชายชราที่ขับเกวียนแทรกขึ้น "หนูวางใจได้เลย เพราะถ้ารอดรีโก้ สัญญาอะไรแล้วยังไงก็ทำให้จนสำเร็จ ชายคนนี้ได้ชื่อว่า เป็นสัจจะอันที่สองในซานตาน่าเลยนะ ฮ่าๆ" รอดรีโก้กล่าวอย่างเขินๆ"ลุงโม้เกินไปแล้ว"

"โม้อะไร ก็เจ้าเองปฎิญาณต่อพระเจ้าถือสัจจะตลอดชีวิต แล้วเจ้าก็ทำได้ดีซะด้วย เพราะสมญาที่ว่า คนทั้งเมืองเขามอบให้เจ้า ข้าก็เห็นด้วยอย่างแรง"

ฟาติมารู้สึกดีใจที่เจอคนมีศรัทธาจึงถามขึ้น "มันแปลว่าอะไรเหรอคะ สัจจะอันที่สองของซานตาน่า"
"หนูรู้จักกระจกทรงสัตย์ที่อยู่ที่วิหารประกาศกอิสอานใช่ไหมล่ะ" ชายชราถามขึ้น
"เคยได้ยินคุณพ่อที่โบสถ์พูดถึงอยู่ค่ะ"
"นั่นล่ะ ของศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นของนครเรา เชื่อกันว่าทูตสวรรค์นำกระจกวิเศษอันนี้ลงมาจากสวรรค์ ให้ท่านอิสฮานได้สารภาพบาปทุกอย่างที่ติดค้างในใจของท่าน เพื่อช่วยให้ท่านถึงสิ้นใจได้อย่างสงบ และนับแต่นั้น คนที่สารภาพบาปต่อหน้ากระจกนี้ หากสารภาพอย่างจริงใจและสำนึกผิดอย่างแท้จริง มันจะขจัดบาปในใจ ชำระจิตวิญญาณได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของมันนี่แหละ แล้วเมื่อเรามีของวิเศษนี้เป็นสิ่งทรงสัจจะอันที่หนึ่ง รอดรีโก้ผู้ไม่เคยพูดเท็จก็เลยโดนขนานนามว่าเป็นสัจจะอันที่สองของซานตาน่าไง"

hs2s.jpg

รอดรีโก้ แทรกขึ้น "ผมคิดว่า การที่คนเรา กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก แล้วพูดความบาป ความชั่ว หรือบาดแผลในใจใดๆของตน การที่เราเห็นตัวเราเอง เห็นดวงตาของเราเอง เห็นสีหน้าของเราเอง มันทำให้เราไม่อาจจะโกหกตัวเองได้ และนั่นทำให้เราได้สารภาพผิดอย่างจริงใจ นี่น่าจะเป็นเหตุให้เราไม่อาจโกหกต่อหน้ากระจกนี้ ใครๆถึงเรียกมันว่ากระจกทรงสัตย์"
ชายชราถอนใจ"เฮ้อ เจ้านี่น้า ชอบพูดเรื่องศรัทธาออกมาเป็นเหตุเป็นผลซะเรื่อยเลย"
"อ้าว..ผมคิดแบบนั้นจริงๆนะท่านลุง"
"เอาเถอะๆ วิธีมองโลกของเจ้า ก็เหมือนวิธีพูดของเจ้า คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ไม่รู้จักประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำไม่มีวาทะศิลป์สวยหรูให้ดูน่าเชื่อ มีแค่ใช่ หรือไม่ใช่ เจ้าน่ะเล่าเรื่องตลก คนฟังยังไม่ขำเลย เล่าทื่อๆ ไม่มีลูกเล่นไม่มีหยอดมุก ยังกับรายงานข่าว...แต่นั่นคือข้อดีที่สุดของเจ้า ทุกคนเชื่อถือเจ้า และไว้ใจเมื่อเจ้ากล่าวสิ่งใดๆ นี่เขาลือกันถึงว่าเจ้ามีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรเป็นอย่างนั้นเลยทีเดียวนะ"
"โอ๊ย ลุง นั่นน่าจะเกินจริงแล้ว ผมก็คนธรรมดา ไม่ใช่พวกคาริสมาติกซะหน่อย" รอดรีโก้ส่ายหัว

"ท่านรอดรีโก้ไม่เชื่อเรื่องอัศจรรย์เหรอคะ" ฟาติมาถามเริ่มกังวลว่า เธอจะต้องระวังที่จะพูดเรื่องมหัศจรรย์ของเธอต่อหน้าคนนี้
"อ้าว..คราวนี้เรียก"ท่าน"เลย เอาอย่างนี้ เรียกพี่แล้วกัน พี่รอดรีโก้" ฟาติมาตอบเสียงเบา "ค่ะ พี่รอดรีโก้"
รอดรีโก้ ยิ้มให้อย่างเอ็นดูเด็กหญิงก่อนตอบ "ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อเรื่องอัศจรรย์ พระเจ้าสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า พี่คิดว่า เราไม่ควรยึดติดกับเรื่องอัศจรรย์ หรือให้ความสำคัญกับปาฏิหาริย์ เหนือกว่าพระธรรมคำสอน คนเราจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ เพราะประพฤติตนเป็นคนดี ยึดถือคุณธรรมตามที่พระองค์สั่งสอน ไม่ใช่เพียงเพราะเราเชื่อว่าพระองค์ทำอัศจรรย์ได้ ฟาติมาว่าจริงไหมล่ะ"



ฟาติมารู้สึกตื้นตันกับคำตอบของเขา เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอได้พบคนดี มีคุณธรรม แถมมีเหตุผล เขายังมีสัจจะจนคนร่ำลือ แล้วตอนนี้เขาให้เธอเรียกว่าพี่ เธอเข้าใจแล้วว่า ที่แท้นั้นสวรรค์ได้ชักนำเธอมาพบคนธรรมดาที่มีคุณธรรม ที่จะช่วยเหลือเธอ มิใช่ทูตสวรรค์อย่างที่เธอเข้าใจไปเอง เธออธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และบรรดาชาวสวรรค์ที่ชักนำให้เธอได้เจอคนดีๆ แสงทองของยามเย็นทอดสะท้อนหอคอยทองคำอยู่ลิบๆ ฟาติมาตื่นเต้น ภาระกิจของเธอกำลังจะเป็นจริงแล้ว
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 10:34 pm

ระหว่างทาง ทั้งฟาติมา และรอดรีโก้ ยังสนทนากันอีกหลายเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องสาเหตุที่ฟาติมามาพบพระคาลิดินัลทำไม ซึ่งรอดดิโก้ไม่ถาม และฟาติมาก็ยังไม่กล้าจะบอก ตอนนี้เธอยังรู้เพิ่มอีกว่า รอดดิโก้เป็นชาวแอนดิซองมาประจำการในฐานะอัศวิน เทมพลาร์ ที่ซานตาน่านี้ ส่วนรอดรีโก้เอง ก็รู้สึกเอ็นดูเด็กหญิงจนๆคนนี้ เธอมีความศรัทธาแบบซื่อๆ และดูเจียมเนื้อเจียมตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะชุดเก่าๆ ปะแล้วปะอีก สีทึมมอซอจนจำสีเดิมแทบไม่ได้ บวกกับหน้ามอมแมมด้วยฝุ่นถนน ทำให้อดรู้สึกน่าสงสารไม่ได้

ขบวนรถแวะส่งเธอที่หน้าอาสนวิหาร น.ซีเอนา ฟาติมาก้มขอบคุณคนทั้งสองครั้งแล้วครั้งเล่า รอดรีโก้เองเมื่อร่ำลาแล้วหันกลับมามอง ก็เห็นเธอยังคำนับขอบคุณอีก จนเขารู้สึกสะท้อนใจแปลกๆ ราวกับลาจากเพื่อนหรือญาติ ทั้งที่รู้จักกันไม่ถึงหนึ่งวัน

ฟาติมารีบวิ่งเข้าไปที่อาสนวิหารสอบถามคนดูแลถึงพระคาลดินัลทราบว่าท่านพักอยู่ที่บ้านพักซึ่งตั้งอยู่ข้างอาสนวิหาร แสงไฟตามบ้านในเมืองเริ่มสว่างขึ้นเพราะบรรยากาศภายนอกเริ่มมืดแล้ว ฟาติมาเคาะประตูบ้านด้วยความกระหืดกระหอบ เธอแจ้งเจตน์จำนงของเธอให้คนรับใช้ที่มาเปิดประตู เมื่อเขาปรายตามองสภาพซอมซ่อเหมือนเด็กห่อผ้าขี้ริ้ว คิดว่าคงเป็นขอทาน ประกอบกับเวลาที่มืดค่ำ เขาก็ให้เธอรอครู่หนึ่ง ก่อนกลับออกมาด้วยขนมปังและอาหารที่เหลือจากมื้อเย็น ยื่นให้เธอ และบอกว่าท่านคาลดินัลพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ฟาติมาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูให้ต่อสู้เรียกร้อง เมื่อผู้ใหญ่ว่าอย่างไร ก็ได้แต่ทำตาม เธอซุกตัวลงข้างประตู คิดว่าจะนอนรอถึงเช้า อธิษฐานขอให้พรุ่งนี้ เธอได้พบพระคาลดินัล และให้ภาระกิจที่ได้รับมอบหมายนั้นสำเร็จ เศษอาหารที่เธอได้รับมา รสชาติดีกว่าอาหารปรกติที่เธอเคยกินเมื่ออยู่บ้าน เธอจึงขอบคุณพระเจ้าอีกไม่คิดว่าถูกกระทำด้วยความสมเพช กลับคิดว่าเป็นสิ่งดีที่เกิดกับชีวิต เธอเอาเศษผ้าที่ห่ออาหารมาคลุมเท้าเพราะอากาศเริ่มเย็นก่อนจะขดตัวเพื่อจะนอนรอเวลาเช้า ขณะจะเคลิ้มหลับ ก็มีเสียงเรียกชื่อเธอจนเธอตกใจสะดุ้งตื่นขึ้น

"ฟาติมา! ฟาติมาใช่ไหม ทำไมมาอยู่ตรงนี้" รอดรีโก้เดินกลับจากส่งมอบเสบียงในค่าย เหมือนอะไรบางอย่างดลใจ เขารู้สึกอยากใช้เส้นทางที่ผ่านหน้าบ้านพักพระคาลดินัล แล้วเขาก็เห็นก้อนผ้าขดไปขดมาอยู่ข้างประตูนั้น เมื่อแวะเข้าไปดูก็ใจหายวาบ เมื่อพบว่าใครนอนขดอยู่

ฟาติมาเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้รอดรีโก้ฟัง เธอเล่าอย่างเบิกบานยินดี ที่กำลังจะพบพระคาลดินัลตอนเช้า ได้กินของดีๆ แล้วยังเจอรอดรีโก้อีกครั้ง รอดรีโก้รู้สึกสงสารเด็กคนนี้จับใจ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆแล้วเกิดความคิดขึ้น

"สวัสดี ซิเมนอา มีเรื่องรบกวนเธอสักหน่อย" หญิงสาวเจ้าของร้านขายเครื่องหอม เดินยิ้มออกมาหน้าร้าน "รอดรีโก้... แล้วนั่นใครกันล่ะ" รอดรีโก้ให้ฟาติมารอหน้าร้าน ก่อนเข้าไปพูดคุยกับหญิงสาวด้วยความสนิทสนม ฟาติมาสังเกตุเห็นว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนนี้ เธอดูมีความสุขเมื่อพบนายทหารหนุ่ม ทั้งสองผลัดกันหันมามองเธอพร้อมคุยกันไปด้วย สักพักรอดรีโก้พยักหน้าให้เธอเดินตามเข้ามา "นี่ ซิเมนอา เพื่อนพี่เอง ส่วนนี่ฟาติมา" ฟาติมาโค้งคำนับหญิงสาว

ซิเมนอาย่อตัวลงพิจารณาผมเผ้ายุ่งเหยิงและหน้าตามอมแมม ก่อนยิ้มอย่างใจดี "ไม่ต้องเกรงใจนะจ๊ะ เพื่อนของรอดรีโก้ก็เหมือนเพื่อนของฉัน เดี๋ยวฉันจะพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วคืนนี้ก็นอนค้างที่นี่ก่อนก็ได้ นอนข้างถนนมันอันตรายมากนะ ซานตาน่าสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว" ฟาติมาน้ำตาคลอกล่าวขอบคุณ

ขณะอยู่ที่ห้องอาบน้ำ ด้านหลังร้าน ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องรอดรีโก้ ฟาติมาได้รู้ว่ารอดรีโก้เป็นที่รักของคนหลายคน ทั้งที่มาประจำการได้แค่ไม่กี่ปี และซิเมนอา ซึ่งเกิดที่ซานตาน่า ก็ชื่นชมและชื่นชอบรอดรีโก้มาก ฟาติมาจึงเอ่ยถามประสาซื่อ "พี่ทั้งสองเป็นคนรักกันเหรอคะ" ซิเมนอา หน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที "เอ.....จะว่ายังไงดีล่ะ เราก็คบหากันอยู่นะ แต่ยังไม่ชัดเจนถึงขั้นนั้น เอาเป็นฐานะเพื่อนคนพิเศษแล้วกัน" ฟาติมาถามต่อ "พี่ชอบพี่รอดรีโก้ไหม" ซิเมนอาตักน้ำราดบนหัวของเด็กหญิงพร้อมตอบด้วยความเขินอาย "แหม...ใครๆก็ชอบเขากันทั้งนั้นแหละ แล้วผู้ชายที่ไม่มีวันโกหกเราน่ะหายากจะตาย"

ฟาติมายิ้ม "หนูคิดว่าพี่ทั้งสองคนดูเหมาะสมกัน" ซิเมนอาหน้าบาน "จริงเหรอ เอ่อ... แต่ว่าเรื่องนี้อย่าพูดกับรอดรีโก้นะ ผู้หญิงเราไปเริ่มก่อนมันไม่เหมาะ" ตอนนี้ฟาติมาสะอาดสะอ้าน ผมสีน้ำตาลของเธอหอมด้วยกลิ่นเครื่องหอม ซิเมนอาสังเกตเห็นว่า เด็กหญิงก็หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว คราวนี้ไม่มีใครรังเกียจเธออีกเป็นแน่ เธอสวมชุดนอนของซิเมนอา แม้จะหลวมไป แต่ผ้ารัดเอวก็ช่วยให้ใส่ได้ ทั้งสองเดินออกมาหน้าร้านพบรอดรีโก้รออยู่

"พอดีตลาดนัดหัวค่ำยังไม่ปิด ฉันเลยออกไปซื้อชุดนี้มา ชุดเด็กชาวบ้านราคาไม่แพง อาจไม่สวยเท่าไร เพราะฉันเลือกไม่ค่อยเป็น แต่ฟาติมาใส่ชุดนี้ไปพบพระคาลดินัลจะดูเรียบร้อยกว่าและน่าจะได้รับการต้อนรับที่ดี...."

พูดยังไม่ทันจบ ฟาติมาก็ร้องไห้ออกมา รอดรีโก้ตกใจ "อ้าว ร้องไห้ทำไม ไม่ชอบเหรอ เดี๋ยวออกไปเปลี่ยนให้ตลาดคงยังไม่ปิด"

ฟาติมาวิ่งเข้าไปกอดแขนรอดรีโก้ข้างที่ถือชุดนั้น พูดเสียงสั่นเครือสะอึกสะอื้น "ไม่เคยมีใครดีกับหนูอย่างนี้เลย หนูไม่เคยมีชุดใหม่ใส่เลย หนูใส่แต่เสื้อผ้าที่บริจาคของวัดมาตลอด หนูขอบคุณมาก หนูจะเก็บอย่างดี ฮือๆ" ซิเมนอาน้ำตาปริ่ม เข้าไปจับไหล่ที่สั่นสะท้านของฟาติมา พูดเสียงเครือ "นี่เขาซื้อมาให้ใส่ ไม่ได้ให้เก็บนะจ๊ะ" ชายชาติทหารพูดไม่ออกเพราะสะกดกลั้นน้ำตา ได้แต่ยิ้มและลูบศีรษะเด็กหญิง ซิเมนอาเหมือนฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

"ที่จริง เด็กเล็กๆตัวคนเดียว ติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ก็ลำบากมากนะ ครั้นจะให้ใครพาไป ก็ยังดูแปลกๆเพราะไม่ใช่ญาติพี่น้อง" รอดรีโก้โพล่งขึ้นมา "ถ้าเป็นพี่บุญธรรมล่ะ" ซิเมนอาขมวดคิ้ว "มันก็พอมีเหตุผลให้ทำได้อยู่ แต่ว่า เอ๊ะ หรือว่าเธอ..."

รอดรีโก้ย่อตัวลง จับไหล่เล็กๆทั้งสองข้างของฟาติมา "นี่ ต่อไปเรามาเป็นพี่น้องกันดีไหม พี่จะได้มีสิทธิ์อย่างชอบธรรมที่จะช่วยเหลือดูแลเธอเวลาอยู่ที่นี่" ฟาติมาตกใจ ไม่ทันตั้งตัว "หนู.. หนู.." "ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ฉันเป็นพี่บุญธรรมเหรอ" ฟาติมายิ้มทั้งน้ำตา "อยากสิคะ" "ดีเลย ซิเมนอา เป็นพยานนะ ว่าวันนี้ เราสองคนสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว" ซิเมนอางง "เอาง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ" "อือ พวกทหารเราสาบานเป็นพี่น้องกันง่ายๆแบบนี้แหละ ในสนามรบ เคียงบ่าเคียงไหล่กัน สู้ด้วยกัน ตายด้วยกัน" รอดรีโก้พูดพลางลูบหัวฟาติมา "แค่คนนี้เป็นคนแรกที่ไม่ใช่ทหาร"
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ย. 26, 2012 3:02 am

the trail

เช้าวันรุ่งขึ้น รอดรีโก้ ขี่ม้าพาฟาติมา ไปยังสำนักพระสังฆราช ทั้งสองผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายจนถึงหน้าโต๊ะท่านเลขาของพระคาลดินัล

"รอดรีโก้ วันนี้มีอะไรถึงมาถึงที่นี่" นักบวชผู้ทำหน้าที่เลขาถามพร้อมชำเลืองมองไปยังเด็กหญิง ที่หน้าตาน่ารักแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยที่รอดรีโก้ จูงเดินเข้ามา

"เด็กคนนี้ชื่อฟาติมา เป็นน้องสาวบุญธรรมของผม มาขอพบพระคาลดินัลครับ" ท่านเลขายิ้มหันไปถามเด็กหญิง "มีธุระอะไรถึงอยากพบท่านคาลดินัลล่ะหนูน้อย"

ฟาติมาหันไปมองรอดรีโก้ เธอเริ่มคิดว่าจะตอบยังไงดี เพราะจนถึงตอนนี้ รอดรีโก้ เองก็ไม่เคยรู้เพราะเขาไม่เคยถามเลยว่า ธุระของเธอคืออะไร ส่วนรอดรีโก้ เองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาที่พบกัน เขาไม่เคยถามเด็กหญิงเลยว่าธุระของเธอคืออะไร ทันใดนั้นบางสิ่งก็แจ่มแจ้งในใจของเด็กน้อย การที่เธอได้พบผู้ทรงสัตย์อย่างรอดรีโก้ คงไม่ใช่เหตุบังเอิญ นี่คงเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเธอด้วยอย่างไม่รู้ตัว นั่นคือ การพูดแต่ความจริง

"หนูมาตามคำขอ ของท่านนักบุญ อลาน่า และทูตสวรรค์โฮลี่ค่ะ ท่านให้หนูมาเตือนพระคาลดินัลถึงภัยพิบัติใหญ่ยิ่งที่จะเกิดที่นี่"

ยังไม่ทันจบประโยค รอดรีโก้ หันมองเด็กหญิงด้วยความตกตะลึง ท่านเลขาที่ยิ้มแย้มนั้นหุบยิ้มอันเป็นมิตรลงทันที แทนที่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเคร่งขรึมอย่างมาก

"จริงหรือ" เสียงนั้นฟังดูเข้มงวดราวกับคนละคนกับที่ต้อนรับอย่างยิ้มแย้มเมื่อครู่ "จริงค่ะ" ท่านเหลือบมองหน้ารอดรีโก้ ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ "ขอตัวสักครู่ เธอสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน"

ลับหลังท่านเลขา รอดรีโก้ ทรุดลงเขย่าไหล่ฟาติมาอย่างแรง "เธอพูดอะไรของเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ" ฟาติมาสีหน้าหนักแน่น "หนูลำบากมาแสนไกลเพราะเรื่องนี้เท่านั้นค่ะ"
"เธอรู้ไหมว่าที่เธอพูด มันเท่ากับบอกว่าตัวเองเป็นผู้เห็นนิมิต เธอรู้ไหมว่าคนที่อ้างว่าเห็นนิมิตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง"
"หนูไม่รู้หรอกค่ะ หนูรู้แค่ว่าหนูจะต้องยากลำบากมาก ท่านนักบุญเตือนหนูแล้ว แต่หนูก็ยอมค่ะ"
"โธ่เอ๊ย...เด็กน้อย มันไม่ใช่ความลำบากแบบอดข้าว หรือนอนหนาวหรอกนะ มันจะลำบากทั้งชีวิตเธอทีเดียว พวกเขาจะนำตัวเธอไปสอบสวน เขาจะขู่เข็ญเธอ กล่าวหาว่าเธอโกหก ถ้าเขาตัดสินว่าเธอพูดไม่จริง เธอจะโดนประณามให้อับอายไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเขาตัดสินว่าเธอพูดจริง เขาจะพรากเธอจากพ่อแม่ พาเธอไปอยู่บนหอคอยทองคำนั่นตลอดชีวิต เธอเข้าใจใช่ไหมว่า ตั้งแต่วินาทีนี้ ชีวิตเธอไม่มีวันเหมือนเดิมอีก"

ฟาติมาน้ำตาปริ่มออกมา "หนูเตรียมใจไว้ถึงขนาดสละชีวิตก็ยังได้เลยค่ะ"
รอดรีโก้ อึ้งในความเด็ดเดี๋ยวของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอมีความกล้าหาญอย่างชายชาติทหารเลยทีเดียว

เสียงประตูเปิดดังขึ้น ทหารเทมพลาร์3นายเดินเข้ามาในห้องพร้อมท่านเลขา และแม่ชีอีก2คน "เราจะทำการสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด" ท่านเลขาหันไปมองรอดรีโก้ "เราจำเป็นต้องขอให้น้องสาวของท่านอยู่ภายใต้การดูแลของโบสถ์ อีก3วันเราจะเรียกประชุมสภาพระสังฆราช ท่านคงเข้าใจกฎระเบียบดีนะ รอดรีโก้"

รอดรีโก้ ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก ฟาติมาหันมากอดเอวเขา น้ำตาไหลเปียกชุดทหาร "ขอบคุณนะคะสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่าง หนูจะไม่ลืมพี่เลย" แม่ชีทั้งสอง เข้ามาดึงตัวเด็กหญิง ให้ตามตนไป เด็กหญิงเดินไปกับแม่ชีและทหาร หันกลับมาโบกมือให้รอดรีโก้ พร้อมรอยยิ้มที่เต็มตื้นด้วยน้ำตา รอดรีโก้ รู้สึกราวกับว่าการจากลานี้จะเป็นการจากลาชั่วชีวิต เขาทรุดตัวลงนั่งกุมหัวสับสนคิดอะไรไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ย. 26, 2012 3:51 am

"อะไรนะ ฟาติมาบอกว่าตัวเองเห็นนิมิต เป็นVisionaryเหรอ" ซิเมนอายืนขึ้นอาตะโกนลั่น รอดรีโก้ นั่งหน้าเศร้า "จะทำยังไงดีล่ะ ไม่น่าเลย ถ้ารู้ก่อน ฉันคงห้ามไว้ได้ โธ่เอ๊ย ยังเด็กอยู่แท้ๆ จะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้"

ซิเมนอาผุดนั่งลง "แต่ฉันแน่ใจว่า ฟาติมาไม่ใช่เด็กโกหก"
"ฉันก็ไม่คิดว่าฟาติมาโกหก แต่เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจจะเห็นภาพหลอน หรือฝันไปแล้วสับสน"

ซิเมนอาเคาะโต๊ะครุ่นคิด "ฉันว่าฟาติมาอาจดูซื่อ แต่ไม่ใช่เด็กติงต๊อง หรือสติไม่สมประกอบ....ถ้าที่เธอพูดคือความจริงล่ะ รอดรีโก้"
รอดรีโก้ เงยหน้าเครียดมองหน้าหญิงสาว
"ประเด็นมันไม่ใช่แค่ว่าฟาติมาจะพูดจริงไหม แต่เธอรู้ไหมว่าการสอบสวนเรื่องแบบนี้มันโหดแค่ไหน นักบวชที่เชี่ยวชาญทางศาสนาเป็นสิบคนจะมาผลัดกันถามคำถามเธอ พวกเขาจะถามเธออย่างละเอียด แถมจะถามหลอกล่อให้ เกิดความสับสน เพราะถ้าใครแต่งเรื่องขึ้น โดนถามต้อนกลับไปกลับมาเรื่องเล่านั้นจะค่อยๆเปิดช่องโหว่ออกมา แต่เธอเห็นไหมว่าฟาติมาเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง โดนรุมเข้าไปแบบนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะสับสนเล่าผิดเล่าถูก แล้วจะโดนหาว่าโกหกหรือเปล่า"

ซิเมนอาเครียดตาม หน้านิ่วคิ้วขมวด "แล้วเราเข้าไปให้กำลังใจฟาติมาได้ไหม"

"ได้ที่ไหนล่ะ มีแต่พระกับทหารเทมพลาร์ที่รักษาการ แล้วก็คนถูกสอบสวน"
ซิเมนอากระโดดจับไหล่รอดรีโก้ "ตรงหน้าฉันนี่ก็เทมพลาร์นี่นา"

รูปภาพ

ด้วยการช่วยเหลือของเจ้าอาวาสของโบสถ์นักบุญอาวีลา รอดรีโก้ ได้แอบเปลี่ยนเวรกับเพื่อนทหารคนหนึ่ง เข้าทำหน้าที่ทหารยามในห้องสอบสวน เขายืนอยู่หน้าประตูข้างขวาของห้อง ซึ่งเป็นประตูที่เหล่านักบวชและผู้สอบสวนเดินเข้ามา เมื่อนักบวชและผู้สอบสวนทั้งหลายเข้ามากันครบ ท่านเลขาพระคาลดินัล ประกาศจุดประสงค์ของการประชุม

"ในวันนี้ ท่านทั้งหลายได้มาจากทั่วซานตาน่า เพื่อภารกิจสำคัญยิ่ง ท่านทั้งหลายทราบดีว่า ในช่วงเวลานี้ เราไม่มีผู้จำแนกจิตอยู่เลย แต่ทว่าอาศัยการสอบสวนอย่างเข้มงวด และอาศัยพระจิตของพระเจ้าที่ทำงานอยู่ในพวกท่านทุกคน เราจะสามารถแยกแยะผู้หลอกลวงออกจากบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกได้"

ประตูด้านซ้ายเปิดออก เขาเห็นเด็กหญิงในชุดขาวยาวของผู้ฝึกหัดเป็นนักบวชหญิง เพียงแต่ไม่คลุมผม เธอก้มหน้าเดินเข้ามาท่าทีสุภาพอ่อนน้อม เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เธอก็พบกับทหารคนหนึ่งที่ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขายกนิ้วขึ้น ทำท่าจุ๊ปากเป็นเชิงปราม เธอเข้าใจทันที รีบหันมองทางอื่น แต่ไม่อาจจะหุบยิ้มได้เลย 3วันมานี้ ฟาติมา สวดภาวนาอย่างทุมเท อธิษฐานตลอดวันขอให้พระเจ้าช่วยเหลือเธอให้ผ่านพ้นการสอบสวนไปได้ และการเห็น รอดรีโก้ ในห้องนี้ เธอรู้สึกเหมือนเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเธอ

ตลอดเวลาของการสอบสวนเป็นไปอย่างราบรื่น เด็กสาวที่ดูสดชื่นและตอบทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะต้อนอย่างไรเธอก็ตอบทุกอย่างแบบซื่อๆและหาจุดจับผิดไม่ได้ รอดรีโก้ จึงพลอยได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง เขาขนลุกไปทั้งตัว เมื่อได้รู้ว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เขาดูแลไม่กี่วันมานี้ คือผู้ถือสารผู้ศักดิ์สิทธิ์ของซานตาน่า การสอบสวนหลายชั่วโมงตั้งแต่บ่ายยันเย็นจบลง เด็กหญิงถูกเชิญให้ไปรอห้องข้างๆ ในขณะที่บรรดาพระประชุมอย่างเคร่งเครียด แต่กระนั้นเพียงแต่การตอบคำถามจะสรุปโดยทันทีว่าทั้งหมดคือเรื่องที่สวรรค์ประทานมา ก็ดูจะด่วนสรุปเกินไป พระในชุดชุดนักบวชมีหมวกคลุมศีรษะเห็นแต่หนวดเคราขาวที่ยื่นยาวออกมา ลุกขึ้นเดินไปหาท่านเลขากระซิบบางอย่างก่อนจะกลับไปนั่งที่ ท่านเลขาจึงประกาศว่า ขอให้ทุกท่านลุกจากที่นั่งและไปห้องน้ำชา เพื่อรับประทานน้ำชาและของว่าง ขบวนของนักบวชเดินออกจากห้องไปทหารยามทั้งหลายเดินตามหลังไปด้วย ในห้องน้ำชาที่ตอนนี้เหล่านักบวชจับกลุ่มคุยกันถึงการสอบสวนที่ผ่านมา บ้างนั่ง บ้างยืนกระจัดกระจาย ในมือถือถ้วยชา และขนมปังอบผลไม้ซึ่งเป็นอาหารว่าง รอดรีโก้ ภาวนาในใจขอให้ทุกคนสรุปผลออกมาในทางที่ดี ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก แม่ชี2คน เดินนำฟาติมาเข้ามาในห้อง ทั้งห้องเงียบกริบ จ้องมองมาที่เธอ ท่านเลขาเดินไปพูดกับเด็กหญิงเบาๆที่หน้าประตูห้อง

"พระคาลดินัลอยู่ในห้องนี้ด้วย ท่านอยากพบหนูนะ เดินไปหาท่านสิ" ที่หน้าประตูนั้นทหารยามคนหนึ่งที่ได้ยินทุกอย่าง เขาใช้เวลาอึดใจก็นึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาฟาติมาไม่เคยเข้าเมืองหลวง และเธอไม่เคยเห็นพระคาลดินัลมาก่อนเลย!

รอดรีโก้ กวาดตามองทั่วห้อง เขาคิดว่าไม่เห็นท่านคาลดินัลในห้องนี้และไม่เห็นท่านในการสอบสวนด้วย เพราะคราวนี้ท่านเลขาทำหน้าที่ประธานการประชุม และพระสังฆราช3ท่านที่แต่งตัวเต็มยศในห้องนี้ ก็ดูคล้ายจะเป็นพระคาลดินัลได้ รอดรีโก้ อยากเดินไปกระซิบบอกฟาติมาว่าพระคาลดินัลไม่อยู่ในห้องนี้ แต่ท่านเลขาพระคาลดินัลที่ยืนหันหลังให้เขาก็จริงแต่นั่นก็เป็นตำแหน่งที่ขวางเขากับเด็กหญิงพอดี ฟาติมาเดินลิ่วเข้าไปกลางห้อง หันซ้ายหันขวา มือทั้งสองข้างกุมไว้ที่กลางลำตัวคล้ายภาวนาไปด้วย เธอเดินผ่านพระสังฆราชที่สวมหมวกทรงสูงท่านหนึ่งไป โดยไม่แม้แต่หันมามอง เดินหลบนักบวชร่างอวบท่านหนึ่งไปพร้อมหมุนตัวไปทางซ้าย ตอนนี้เธอไม่ได้หันซ้ายหันขวาอีกแล้ว เธอหันหน้าไปในทิศที่เธอจะมุ่งไปเท่านั้น ที่มุมห้อง เธอคุกเข่าลงข้างนักบวชท่านหนึ่งที่นั่งหันหลังเข้ากำแพงก้มหน้าก้มตาดื่มชา โดยไม่สนใจใคร ผ้าคลุมศีรษะของท่านคลุมใบหน้ามิดชิดมีเพียงหนวดเครายาวที่ลอดออกมา เมื่อนักบวชท่านนั้นวางถ้วยชาลง ฟาติมาก็พูดขึ้นด้วยเสียงแจ่มใส "ท่านเลขาบอกว่า ท่านคาลดินัลอยากพบหนู"

นักบวชชราชะงักเล็กน้อย ก่อนหันมาช้าๆพร้อมสองมือดึงผ้าคลุมศีรษะออกไปด้านหลัง "หนูรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ตรงนี่"

"ท่านโฮลี่บอกหนูค่ะ" เสียงอือฮาเบาๆดังระงมทั่วห้อง นักบวชชราก้มลงถามเด็กหญิง "ท่านอยู่ในห้องนี้เหรอ ท่านอยู่ตรงไหน เราจะได้ทำความเคารพท่าน" ฟาติมาทำหน้าครุ่นคิด "หนูไม่ทราบว่าท่านอยู่ตรงไหนแน่ เพราะได้ยินเสียงเท่านั้นค่ะ"

นักบวชชรายิ้มน้อยๆก่อนจะพูดว่า "ถ้าหนูบอกอะไรชัดเจนไม่ได้แบบนี้ ผู้คนจะเชื่อได้อย่างไรว่าหนูพูดความจริง"

เด็กหญิงมองหน้านักบวชชรา นิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยเสียงดังพอได้ยินทั่วห้องว่า "พรุ่งนี้เวลาบ่าย3โมง พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ที่พวกท่านจะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีิวิต เพื่อพวกท่านจะเชื่อ ให้ชาวซานตาน่าทุกคนไปชุมนุมพร้อมกันที่ลานกว้างหน้าโบสถ์นักบุญอาวีลา" เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้อง ก่อนนักบวชชราจะยกมือขึ้นปรามทุกคนจนเงียบเสียงลง ก้มลงถามเด็กหญิง "ใครบอกหนูเรื่องนี้ เสียงของทูตสวรรค์โฮลี่หรือ"

"ท่าานนักบุญอาวีลาบอกให้หนูพูดค่ะ เมื่อสักครู่ท่านลอยอยู่หลังท่านคาลดินัลค่ะ แต่ตอนนี้ท่านหายไปแล้ว"

พระคาลดินัลแห่งซานตาน่า ทรุดตัวลงนั่ง พยายามเก็บความรู้สึกตกใจไว้ ในขณะที่เสียงฮือฮาดังทั่วห้องอีกครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ย. 26, 2012 4:28 am

The Miracle of the Sun

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วซานตาน่าอย่างรวดเร็ว ประชาชนมารวมกันที่ลานกว้างหน้าวิหารจนล้นอออกไปตามถนน ประมาณการณ์ว่า มีประชาชนราวเจ็ดหมื่นคนในวันนั้น ที่เฝ้ารอเหตุการณ์อัศจรรย์ และทุกคนอยากเห็นเด็กหญิงที่อ้างว่าเป็นนิมิตนั้นด้วย ฟาติมาอยู่ข้างพระคาลดินัลที่ระเบียงของวิหาร เมื่อใกล้บ่าย3โมง ฟาติมาขอให้ทุกคนร่วมกันสวดภาวนา เมื่อนักบวช นำการอธิษฐาน ประชาชนสวดภาวนาด้วยพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เป็นเวลานานแสนนานที่ดินแดนนี้ว่างเว้นจากเสียงภาวนาอันพร้อมเพรียงเช่นนี้ เมื่อเวลาบ่าย3โมง เมฆบางๆลอยเข้ามาเหนือบริเวณลานกว้าง ทำให้แดดร่มลงเล็กน้อย ฟาติมาลืมตาลุกพรวดขึ้น ตะโกนว่า "มองบนท้องฟ้า"

ทันใดนั้นทุกคนมองไปบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ที่ควรเจิดจ้าแสบตา กลับมีแสงนวลราวแสงจันทร์ และเริ่มเปลี่ยนสี เป็นสีต่างๆ แดง ฟ้า เขียว ม่วง ชมพู สลับไปมา พร้อมกันนั้น ดวงอาทิตย์ได้กระตุกไปมาเป็นจังหวะเหมือนการเต้นของหัวใจ ประชาชนกรีดร้องเสียงดัง บางคนคิดว่าโลกจะแตกดับ ดวงอาทิตย์ที่เต้นระบำนั้นเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้บางคนคิดว่ามันจะตกลงมายังโลก หลายคนร้องไห้ ร้องขอพระเมตตาจากสวรรค์ หลายคนหวาดกลัวตัวสั่น เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น แล้วฉับพลันนั้นเองดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนรอบตนเองประดุจล้อไฟ แสงพวยพุ่งไปรอบทิศ เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ บนท้องฟ้า ต้นไม้ แผ่นดิน หิน และฝูงชน เหมือนถูกย้อมด้วยสีเขียว เหลือ แดง ม่วง ดวงอาทิตย์หยุดชั่วครู่ แล้วหมุนแผ่รังสีจ้ากว่าเก่าอีก แล้วเริ่มใหม่เป็นครั้งที่สาม ฝูงชนต่างอกสั่นขวัญแขวงต่างสวดวิงวอนกันยกใหญ่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 10 นาที ท่ามกลาวฝูงชน 70,000-100,000 คน แม้ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึง 30-40 กม.



ในวันรุ่งขึ้น พระคาลดินัล ประกาศว่า ฟาติมาคือ Visionary แท้จริง และปรากฎการณ์ดวงอาทิตย์ ถือว่าเป็นการยืนยันว่า พระเจ้าผู้สร้างโลกเทร่านี้ ได้อนุญาตให้ดวงอาทิตย์ได้เริงระบำนมัสการพระองค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถูกจากรึกเป็นภาพในโบสถ์ และรวมถึงในลัทธินิกายทุกแห่งของซานตาน่าก็เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การนมัสการของดวงอาทิตย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ พ.ย. 26, 2012 4:43 am

The girl of the Golden Tower

ฟาติมาได้เข้าไปอยู่บนห้องอันศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทองคำ เธอร้องขอพระคาลดินัลอยู่2สิ่ง คือขอให้พ่อของเธอได้อาศัยอยู่ที่บ้านพักของโบสถ์ใกล้หอคอยขอให้มีคนดูแล เนื่องจากท่านล้มเจ็บด้วยโรคประจำตัว และข้อที่สองคือขอให้ร้อดรีโก้ เป็นเทมพลาร์คนหนึ่งที่ทำหน้าที่พิทักษ์ Visionary ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นการร้องขอของร้อดรีโก้เองด้วย และนั่นทำให้ ร้อดรีโก้ ต้องทำการทดสอบเลื่อนขั้นและต้องใช้เวลาประจำการอันใช้เวลาทั้งหมด3ปี แต่พระคาลดินัลได้ขอในกรณีพิเศษ เนื่องจากทุกคนรู้จักชื่อเสียงในคุณธรรม และความสามารถของเขาดี และผู้บังคับบัญชาก็เห็นดีด้วย และโดยเฉพาะความดีความชอบสำคัญ คือการให้ความช่วยเหลือ อารักขา และนำพา Visionary จนบรรลุภารกิจ ถือว่าเป็นสวรรค์ที่เลือกสรรค์เขาในตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน

หลังจากฟาติมาอยู่ในฐาน Visionary ได้ 2 ปี บิดาของเธอก็เสียชีวิต เดิมทีเธออธิษฐานภาวนาอย่างหนักให้พ่อของเธอหายป่วยและรอดชีวิต แต่ท่านอาลาน่าได้มาหาเธอในคืนหนึ่ง และบอกเธอว่าในกาลข้างหน้าอันเป็นมหายุคทุกข์เข็ญ พ่อผู้ชราและอ่อนแอของเธอ จะยิ่งลำบากมากกว่านี้ ดังนั้นให้เขาไปสวรรค์เสียตอนนี้จะดีกว่า ที่สำคัญ การที่ฟาติมาได้เรียนรู้ที่จะคืนบุคคลอันเป็นที่รักสู่อาณาจักรพระเจ้า จะช่วยให้เธอเข้าถึงจิตใจของประชาชนที่ต้องสูญเสียญาติมิตรครอบครัวในอนาคต ฟาติมาผ่านเหตุการณ์นี้เข้าใจสัจะรรมของโลกและเติบโตขึ้นในจิตวิญญาณไปอีกขั้น

และในอีกปีถัดมา เงาของวความวิปโยคก็คืบคลานเข้ามา เมื่อการพยายามเข้าพบพระคาลดินัลของผู้อ้างตัวเป็นประกาศกใหม่แห่งซาโลม ก่อนจะโดนขับไล่กลับไป การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในซาโลมที่ผู้อพยพจำนวนมากเริ่มเดินทางมาที่ซานตาน่า และซานตาน่าที่ใช้เวลา3ปีนับจากเหตุอัศจรรย์ ในการฟื้นฟูศรัทธาขึ้นอีกครั้ง ทำการกำจัดมิจฉาชีพ และสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ฟื้นฟูวินัยนักบวชทุกลัทธินิกาย และทำนุบำรุงศาสนาอย่างเข้มข้น

หลังการกลับไปของลัทธิใหม่ของซาโลม สารจากสวรรค์ได้มาถึงฟาติมาอีกครั้ง ทูตสวรรค์โฮลี่ ได้นำม้วนหนังสือลักษณะแปลกประหลาด คล้ายแผ่นหนังสีงาช้าง เรียบและมีความหยุ่น ทูตสวรรค์แจ้งว่า นี่คือแผ่นจารึกข้อความจากสวรรค์ ผู้คนทั่วไปมองไม่เห็นตัวหนังสือเลย มีเพียงบางคนเท่านั้นที่มองเห็นตัวหนังสือและคนที่ได้เห็นก็เห็นข้อความที่ต่างกัน

รูปภาพ



ข้อความแรกที่ฟาติมาเห็นคือการให้ร้องขอนักรบเทมพลาร์ที่มีพลังวิเศษ (Charismatic Templar) มากที่สุดเท่าที่สามารถขอได้จากพระศาสนจักรที่กระจายอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก





ในพระศาสนจักรนั้น มีหน่วยเทมพลาร์ที่เป็นนักรบที่คอยปกป้องศาสนจักร และสมาชิกในศาสนจักรกระจายอยู่ทั่วไปในทุกแห่งที่มีผู้นับถือศาสนา แต่นอกจากนักรบธรรมดาทั่วไป มีเทมพลาร์บางคน ที่ได้รับพลังวิเศษจากสวรรค์ บางคนได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด บางคนได้รับการประทานพลังพิเศษจากสวรรค์หลังเข้าเป็นนักรบเทมพลาร์แล้ว ซึ่งนักรบเทมพลาร์ที่มีพลังพิเศษด้วยนี้ มักปะปนไม่เผยตัวอยู่ในหมู่นักรบในหน่วยรบซึ่งมีเพียงพระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็น Charismatic Templar บ้าง

เหล่า Charismatic Templar เมื่อแยกกันอยู่นั้นก็มีความสามารถพิเศษไปในแต่ละคน แต่หากมารวมตัวกัน พลังพิเศษเหล่านั้นเหมือนแผ่รัศมีส่งถึงกันเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ธ.ค. 19, 2012 7:48 am

Change

3ปีนับแต่การปรากฏตัวของ visionary คนใหม่ ซานตาน่าเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย พระคาลดินัลสั่งฟื้นฟูความศรัทธาทุกรูปแบบ ความศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มกลับมา รวมทั้งผู้แสวงบุญที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาเพื่อได้พบ ฟาติมา

แต่3ปีแห่งการหมกมุ่นกับเรื่องการเมือง และการสร้างศรัทธาในตัวเองของ โอมาร์นัน ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจข่าวสารสำคัญในซานตาน่า กว่าจะรู้เรื่องราวของ visionary คนใหม่ ของซานตาน่าก็เมื่อวาระที่คาลดินัลแห่งซานตาน่า ประกาศสมณสาร ตอบโต้การประกาศสงครามโดยอ้าง ประกาศกอิสฮาน ประณามการแอบอ้างของโอมาร์นัน และลัทธิของโอมาร์นัน ว่าหลอกลวงและแอบอ้างชื่อประกาศกและพระเจ้า และประกาศ ผู้รับสารหนึ่งเดียวจากสวรรค์ คือ ฟาติมา และสิ่งที่ฟาติมาได้รับ ล้วนตรงข้ามกับโอมาร์นัน

โอมาร์นันจึงรีบพลิกลิ้น ประกาศว่า จะยอมละเว้นการบุกซานตาน่าก็ได้ แต่ต้องนำตัวฟาติมามาไว้ที่ซาโลมในโดมทองคำให้ได้ เพื่อ ความสมบูรณ์ของความศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งแน่นอนว่า คาลดินัลแห่งซานตาน่าปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว

War of Machine

เมื่อประกาศสงคราม ซาโลมได้ส่งกองทัพหุ่นยนต์อันน่าสะพรึงกลัวข้ามทะเลทรายมายังซานตาน่า ฟาติมาไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้อบาดเจ็บล้มตาย ไม่อยากให้กองทัพหรือทหารออกไปต่อสู้รบ เธอจึงอธิษฐานขอสวรรค์ช่วยปกป้องซานตาน่า และคำอธิษฐานได้รับการตอบรับ

เมื่อกองทัพจักรกลมาประชิดเมือง เสาไฟ และเสาเมฆพุ่งลงมาจากฟ้า เลื้อยไล่ ขัดขวางกองทัพจักรกล ส่วนเสาเมฆ ก็ทำให้การควบคุมสื่อสารสูญเสียไป กองทัพจักรกลได้เพียงปิดล้อมซานตาน่า แต่ไม่อาจเข้าจู่โจมได้เลย

แต่แม้เมืองจะปลอดภัย แต่การปิดล้อมนานนับเดือน เริ่มทำให้เกิดความขาดแคลน และความหวาดกลัว ผู้คนบางส่วนเริ่มสูญเสียศรัทธา บางคนอยากให้ส่งตัวฟาติมาไปเรื่องจะได้จบ บางคนก็ก่นด่าเธอว่าทำได้เพียงแต่นี้ แต่ไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้

รอดรีโก้รู้สึกโกรธ และสมเพชในจิตใจของประชาชนหลายคนที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อ และสรรเสริญฟาติมา แต่เมื่อพบความยากลำบาก ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เหล่าแทมพลาร์จึงขออาสา ออกต่อสู้ เพราะการรออยู่แบบนี้ก็มีแต่จะตายไปสักวัน เพราะคนต้องกินต้องนอน แต่จักรกลไม่กินไม่นอนสามารถปิดล้อมได้นานกว่าชีวิตประชาชน

ในการต่อสู้มีแทมพลาร์จำนวนไม่น้อยบาดเจ็บล้มตายเพราะสู้หุ่นยนต์ไม่ได้ กลุ่มลัทธินิกายต่างๆก็ออกช่วยสู้รบเท่าที่สามารถ ลัทธิสุริยันจันทราก็เข้าร่วมรบด้วย และบาดเจ็บล้มตายมากมายเช่นกัน และแม้จะทำลายเครื่องจักรลงได้ แต่ไม่นานก็ผลิตจากซาโลมมาเสริมอีก

ฟาติมาเศร้าเสียใจที่ชีวิตจำนวนมากต้องมาสังเวย โดยเธอไม่อาจช่วยอะไรได้



สารจากสวรรค์ปรากฎตัวหนังสือขึ้น บอกให้ใช้อาวุธปืน ทั้งเมืองระดมนักแม่นปืน นักประดิษฐ์ ซึ่งมีทั้งผู้แสวงบุญ และผู้มาศึกษาในซานตาน่า ช่วยกันสร้างอาวุธปืนขึ้น เพื่อใช้ต่อกรกับพวกเครื่องจักรโดยไม่เสียเลือดเนื้อเข้าแลก ซึ่งช่วยได้เป็นอย่างมาก

เบนบาร่า เมื่อได้เห็นการใช้เทคโนโลยีเข้าสู้ เกิดคลั่งดีใจ โหมประดิษฐ์จักรกลรุ่นใหม่เข้าต่อกร การรบจึงรุนแรงยิ่งขึ้น

คืนหนึ่งฟาติมานิมิตเห็น ฟีนิกส์ ที่งดงามอย่างไม่เคยมีมาก่อน จึงเฝ้าอธิษฐานถามความหมาย ทูตสวรรค์โฮลี่ จึงลงมาเพื่ออธิบายนิมิตนี้ นิมิตแห่งการคืนชีพของดวงวิญญาณอันพิเศษ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ธ.ค. 19, 2012 8:46 am

Soul in Purgatory

แดนชำระคือสถานที่ ที่ดวงวิญญาณที่กำลังจะได้ไปสวรรค์ แต่ยังคงมีความผิด หรือสิ่งติดค้างบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ในทันที ต้องติดค้างในแดนชำระจนถึงเวลาที่กำหนด ความทุกข์นี้เป้นดุจไฟที่ชำระเผาผลาญจิตวิญญาณให้สะอาดขึ้น

ในอดีตมีวีรบุรุษ และวีรสตรีในประวัติศาสตร์ ที่ประกอบคุณงามความดีเป็นอันมาก แต่ได้มีบางอย่างที่ติดค้างใจจิตใจ ถ่วงวิญญาณไว้ในแดนชำระ

วิญญาณเหล่านี้ ถือเป็นวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีจิตเป็นกุศล และมีจิตใจที่ดีงาม เพียงแต่รอการชำระบางสิ่งในวิญญาณ ทำให้ต้องรอเวลาไปสวรรค์

วิญญาณเหล่านี้จึงจัดเป็น Holy Soul แล้ว ซึ่งนิมิตของนกอมตะที่คืนชีพจากไฟ ก็หมายถึงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ที่สามารถกลับมาแก้ไขสิ่งติดค้างบางอย่างในวิญญาณของตน พ้นจากไฟในแดนชำระ หากแต่ต้องการพลังอธิษฐานภาวนาอย่างมาก เพื่อเชื่อมและนำพวกเขาเหล่านั้นมายังโลกอีกครั้ง

ที่สำคัญ เราไม่อาจรู้ว่าวิญญาณใดจะตอบรับการอธิษฐานนี้บ้าง และเมื่อการชดเชยนั้นได้ถึงจุดที่วิญญาณบริสุทธิ์แล้ว วิญญาณนั้นก็กลายเป็นชาวสวรรค์ ไม่ใช่วิญญาณในแดนชำระอีกต่อไป ทำให้จะต้องไปสวรรค์ โดยทันที

ฟาติมาจึงระดมผู้คนที่ยังมีศรัทธา ถือศีลอดอาหาร อธิษฐานเพื่อปลดปล่อยวิญญาณในแดนชำระ และวิญญาณแรกที่ตอบรับก็คือบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสถานที่แห่งนี้

Lament of Andre

กษัตริย์แห่งแอนดิซอง ผู้เป็นอดีตราชองค์รักษ์ของ เจ้าหญิงอลาน่า แม้เขาจะพยายามใช้ชีวิตอย่างดี และทำทุกอย่างเพื่อชดเชยต่อการที่เขาโทษตัวเองว่า ได้ทำให้เจ้าหญิงที่เขาเทิดทูนสุดชีวิตต้องพบจุดจบเช่นนั้น ทำให้เขาติดค้างในแดนชำระด้วยความทุกข์ทรมาน ของภาพความทรงจำที่หลอกหลอนเขามาตลอดชีวิต คือภาพการสละชีวิตของ อลาน่า การเฝ้าโทษตัวเองมาตลอดชีวิตได้ฉุดเขาลงมาที่แดนชำระนี้

แต่แล้ว หลายร้อยปีก็มีแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในแดนชำระ สัมผัสอันอ่อนโยนและอบอุ่นที่คล้ายเจ้าหญิงอลาน่าเหลือเกิน เมื่อเขาเข้าสัมผัสแสงนั้นก็ได้รับความเข้าใจทุกอย่าง ซานตาน่าที่เจ้าหญิงอลาน่าได้สละชีวิตจนเกิดเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์กำลังตกในอันตราย

ทันทีนั้น วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของอองเดรทะยานขึ้นสู่โลก ณ เมืองซานตาน่า เวลานี้เขาได้เห็นความเจริญได้เห็นมหาวิหารที่อุทิศแด่เจ้าหญิง ยังความปลื้มปิติแก่เขา แต่ในทันใด กองทัพจักรกลที่ล้อมเมืองก็ทำให้เขารู้ทันทีว่า เกิดอะไรขึ้น พลังแห่งความรักและเทิดทูนได้ส่งให้เขาได้มีทั้งชุดเกราะอันงดงามน่าอัศจรรย์และดาบน้ำแข้งอันมหึมา


ฟาติมามองเห็น วิญญาณของอองเดร งดงามกว่าในภาพเขียนและการบรรยายใดๆในหนังสือที่เธอเคยเห็นเคยอ่าน เธอรู้ทันทีว่านี่คือวิญญาณวีรบุรุษจากอดีตคนแรกที่ตอบรับคำอธิษฐานของเธอ

อองเดรพุ่งเข้าทำลายทัพจักรกลอย่างรวดเร็วพินาศย่อยยับถึง 1 ใน 3 ประชาชนโห่ร้องยินดี เบนบาร่า และโอมาร์นันตกตะลึง เพราะเครื่องจักรตรวจจับวิญญาณไม่ได้ ถึงไม่อาจต่อสู้หรือระวังภัยนอกจากปล่อยให้ทำลาย โอมาร์นันจึงสั่งถอยทัพเป็นครั้งแรก


วิญญาณของอองเดรลอยเหนือซานตาน่า มองมายังฟาติมา ตอนนี้เธอคิดว่าดวงตาของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนที่ประวัติศาสตร์เล่าไว้ แต่มันคือดวงตาที่อ่อนโยนมาก และเมตตาต่อเธอด้วย อองเดรมองไปยังวิหารของน.อลาน่า มองทะลุเข้าไปยังรูปภาพที่เล่าเรื่องราวในผนังโบสถ์ ก็ร้องไห้ออกมาด้วยตื้นตันคิดถึงอดีต ภาพทุกภาพนั้นย้อนคืนความทรงจำที่เขาไม่เคยลืมเลือนนับร้อยปี เกราะและอาวุธของเขาเปลี่ยนไปกลับไปเหมือนสมัยเหตุการณ์ในวันนั้น ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออกมีเสียงเพลงดังมาจากเบื้องบน แสงทองส่องผ่านเมฆ สตรีผู้หนึ่งสว่างสดใส เธออยู่ในชุดเหมือนเจ้าหญิงที่งดงามมาก สีฟ้าสดใส ลอยลงมา ยิ้มด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น

"อองเดร ฉันรอพบเธอนานมากรู้ไหม"
"องค์หญิง! องค์หญิงของกระหม่อม..."

อองเดรพุ่งเข้ากอดเท้าสตรีคนนั้นร้องไห้เสียงดังจนน้ำตานั้นเปียกเท้าของเธอ สตรีท่านนั้น ทรุดก้มลงเอามือแตะศีรษะเขาอย่างเมตตายิ่ง น้ำตาของเธอหยดลงบนศีรษะของเขา

"เธอยังเสียใจจนถึงตอนนี้เลยหรือจ๊ะ นานขนาดนี้เชียวหรือ ฉันสงสารเธอเหลือเกิน"
"กระหม่อมอธิษฐานนับร้อยปี อยากพบองค์หญิงสักครั้ง ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว"
"เธอสมหวังแล้ว ตอนนี้เงยหน้าเธอมองฉันเถิด อย่าเอาแต่ซบอยู่ที่เท้าฉันเลย"

อองเดรเงยหน้า อลาน่าประคองใบหน้าของเขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเขา ด้วยนิ้วอันอ่อนนุ่ม ยิ้มอย่างเมตตา "ดูสิ ตอนจากกันครั้งนั้นเธอก็ร้องไห้คร่ำครวญ ตอนนี้เรากลับมาเจอกัน เธอยังร้องไห้ต่ออีก"
อองเดรกุมมือเจ้าหญิงอลาน่า กราบทูลอย่างตื้นตัน
"ขอให้กระหม่อมรับใช้องค์หญิง เหมือนที่เคย กระหม่อมขอเป็นข้าพระบาทตลอดไป"

"อองเดรจ๊ะ เธอยังเหมือนเดิมจริงๆ ตลอดชีวิต เธอคือคนที่จงรักภักดีต่อฉันกว่าใคร ฉันรู้ดีทีเดียว แต่เธอรู้ไหมที่ที่เราจะไป ไม่ได้มียศมีศักดิ์แบบในโลกแล้วนะ เราทุกคนจะเป็นดั่งพี่น้องกัน จะไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศก การพลัดพรากและการร้องไห้คร่ำครวญอีกแล้วนะ"

"ขอเพียงได้อยู่กับองค์หญิงตลอดไป..." อองเดรพูดอะไรไม่ออกอีกด้วยความตื้นตัน

"อองเดร จำไว้ตลอดกาลนะ เธอคือหนึ่งในสิ่งดีมากมายที่พระเจ้าประทานให้ฉันในชีวิตที่อยู่บนโลก ฉันไม่เคยจดจำความผิดของเธอ จำได้แค่ความดีที่เธออุทิศชีวิตให้ฉัน ดังนั้นลืมสิ่งเลวร้ายทุกอย่าง ที่เธอควรจำเกี่ยวกับฉันคือเรื่องนี้เท่านั้นนะจ๊ะ"


ถึงตอนนี้ วิญญาณของอองเดรสว่างไสวเหมือนทูตสวรรค์ ความสุขและความปลื้มปิติของเขาแผ่ออกมาจนฟาติมา ที่ยืนร้องไห้ตามเพราะดูเหตุการณ์พลอยน้ำตาแห้งไปด้วย แสงสว่างทั้งสองลอยลับขึ้นบนฟ้า

เสียงประชาชนตะโกนสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า ทำให้ฟาติมาหลุดจากภวังค์ ดีใจใหญ่กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายยังไม่หยุดง่ายๆแน่ เธอจึงเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ เสาร์ ธ.ค. 29, 2012 7:40 am

Insane

เหตุการณ์การเผชิญหน้าจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่โอมาร์นันที่ตกละลึงและเคร่งเครียด แต่ เบน บาร่า นักวิทยาศาสตร์จากแดนไกล ก็แทบเป็นบ้าไปเลยทีเดียว การเผชิญหน้ากับสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ คือที่สุดแห่งความหวาดกลัวของคนผู้นี้ เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทดลองไม่ยอมพบใคร เฝ้าพูดกับรูปภาพสตรีหลายรูปในห้องเหมือนกับว่ารูปเหล่านั้นพูดได้ เพื่อหนีจากความจริงที่สมองเขาหาคำตอบไม่ได้ เบน บาร่า ยังมีรูปปั้นผู้หญิงที่เขาใช้กอดโอ้โลมราวกับคนรัก และตั้งชื่อเธอว่า ยูริ เขาติดตั้งอุปกรณ์สร้างเสียงเพื่อให้หุ่นนั้นตอบคำถามเขาในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน

โอมาร์นัน เห็นท่าไม่ดี ที่เบน บาร่า หายตัวไปนานมาก จึงต้องลักลอบเข้าไปผ่านช่องทางที่ส่งลำเลียงอาหาร แล้วจึงพบความวิปริตแปลกๆต่างๆ ของเบน บาร่า โอมาร์นันเข้าใจว่า เบน บาร่า คงขาดการคบค้ากับคน และคงต้องการมีภรรยา เขาได้นำเสนอจะยกลูกสาวคนหนึ่งของตนให้แต่งานกับเบน แต่เบนไม่ต้องการ เขาไม่ต้องการมนุษย์ เขาต้องการผู้หญิงที่ไม่มีชีวิตจริง ผู้หญิงที่เขาสร้างขึ้นเองที่จะตอบสนองเขาทุกอย่าง ตามที่เขาต้องการเท่านั้น

โอมาร์นันไม่เข้าใจในรสนิยมอันพิลึกของเบนเลย แต่กระนั้น เขารีบนำเสนอไอเดียใหม่ คือการสร้างหุ่นที่ป้องกันตนเองทันทีที่มีการทำลายหุ่นพวกเดียวกัน เพราะอย่างน้อยแม้ตรวจจับวิญญาณไม่ได้ แต่ก็สามารถรู้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น เบน ดีใจกับไอเดียนี้มาก สร้างหุ่นที่กางบาเรียทันทีที่เกิดการโจมตีฝ่ายเดียวกัน และรีบส่งไปบุกซานตาน่าอีกครั้ง



Pending Priestess

เมื่อเครื่องจักรทัพใหม่มา เหล่าพลปืนต่อสู้ และพบว่า ระบบการป้องกันตัวของพวกจักรกลเป็นอัตโนมัติ โล่บาเรียของพวกมันทำงานอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการโจมตี การต่อสู้ยากลำบากมาก เมื่อเข้าสู่วันที่สาม ฟาติมาก็ได้รับการแนะนำจากสารสวรรค์ให้ทำการวอนขอจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

ฟาติมาชักชวนผู้คนร่วมใจอธิษฐานอีกครั้ง ในครั้งนี้ เกิดการตอบรับที่รวดเร็วจากวิญญาณสตรีผู้หนึ่ง

เหนือน่านฟ้าของนคร สตรีงดงามในชุดขาวแดงถือพัดขนาดมหึมา ผมยาวสยายโบกพริ้วตามการเคลื่อนไหว ชุดของเธอช่างแปลกตา เธอหันมามองฟาติมา ที่อยู่บนระเบียงหอคอย ก่อนเข้าโจมตีทัพจักรกล ซึ่งพวกมันสร้างเกราะป้องกันอย่างรวดเร็ว

รูปภาพ

เมื่อเห็นการต่อสู้ไม่ได้ผล เธอจึงลงมาพบฟาติมาที่หอคอย ฟาติมาตื่นเต้นมาก ถามชื่อของเธอ เธอตอบว่า เธอชื่อชิโรอิ เมื่อมีชีวิตอยู่ อยู่ที่นิโคอุ อันเป็นประเทศเกาะไกลโพ้นจากที่นี่ และเธอเติบโตมากับเหล่าซิสเตอร์ของน.อลาน่าที่ไปเผยแผ่ศาสนา เธอยังได้เคยสัมผัสผ้าคลุมผมอันศักดิ์สิทธิ์ ของท่านนักบุญ และเคยมีความคิดอยากออกบวชในคณะซิสเตอร์ของท่าน น.อลาน่า แต่อนิจจา โชคชะตาเล่นตลก ประเทศชาติจะรอดได้ก็ด้วยเธอต้องรับตำแหน่ง มิโกะ กิเลนอันทรงเกียรติ เธอต้องทิ้งทั้งความรักของชายที่เธอรัก และความรักในพระเจ้า เพื่อค้ำจุนชะตากรรมของคนจำนวนมากในประเทศ เธอเป็นนักบวชหญิงที่พาดพิงในการเมืองตลอดชีวิต หาความสงบสุขที่แท้จริงไม่ได้ เธอครุ่นคิดและติดค้างในใจตลอดเวลาจนวาระสุดท้าย ว่าเธอได้เลือกชีวิตที่ถูกต้องแล้วหรือ แม้จะทำเพื่อคนอื่น แต่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเธอ ได้โหยหาความศรัทธาในวัยเด็ก ซึ่งเธอได้เคยหมดหวังไปแล้วเมื่อเกิดการกวาดล้างเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรงเพื่อตามล่าตัวเธอ เธอรู้สึกผิดตลอดเวลาที่ทำให้เพื่อร่วมความเชื่อของเธอต้องโดนฆ่า เหล่าซิสเตอร์ที่แสนดีต่อเธอต้องโดนใส่ร้ายใส่ความ บางคนต้องหนีไป บางคนโดนฆ่าอย่างอำมหิต แม้เมื่อเธอกลับมีอำนาจขึ้นมา และได้กลับฟื้นฟุความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ทั้งการค้าและศาสนา แต่กระนั้นความรู้สึกผิดบาป และความฝันที่ไม่อาจกลับไปสานต่อได้ เพราะการอยู่ในตำแหน่ง มิโกะ ของเธอคือการรับประกันความปลอดภัยของมิชชันนารีต่างชาติทั้งหมดในเวลานั้นด้วย ดังนั้นตลอดชีวิต เธอก็รู้สึกเหมือนหลอกตัวเอง และหลอกคนอื่นตลอดเวลา

แต่เมื่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว พระเจ้าได้ทรงเมตตา ให้เธอได้รอเวลาที่จะชดใช้ความรู้สึกผิด และเติมเต็มความฝัน ของเธอ เธอจะได้อยู่ข้างฝ่ายพระเจ้า ในฐานะคนของพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น เธอรู้ดีว่า ชายที่อยู่เบื้องหลังเครื่องจักรเหล่านี้ คือคนชนชาติเดียวกับเธอ เธอยิ่งรู้สึกว่ามันช่างคล้ายกับเหตุการณ์สังหารหมู่ในเมืองนางากิสะประเทศนิโคอุสมัยตามล่าตัวเธอ เพียงแต่ตอนนี้เปลี่ยนไป เป็นการตามล่าเด็กสาวอีกคนหนึ่ง เหตุปัจจัยทั้งหมดนี้ จึงนำเธอออกจากแดนชำระมาที่นี่โดยทันที

เธอบอกฟาติมาให้ใช้กลยุทธใหม่ กลยุทธ์แบบนินจา ที่สามารถใช้เหล่านักเวทย์ในซานตาน่าแทนได้ เธอจะไม่สู้โดยตรงแต่จะมอบพลังสนับสนุนพวกเขา เพื่อให้เข้าต่อกรหุ่นจักรกลได้

ฟาติมาเรียกพบรอดริโก้ บอกแผนการ และเล่าถึงมิตรศักดิ์สิทธิ์ ที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่ขอให้เชื่อว่าเขามีจริงและอยู่ข้างเรา
เหล่านักเวทย์ทั้งจากลัทธิสุริยันจันทรา และทุกนิกายศาสนาในซานตาน่ามารวมตัวกัน และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในยุทธวิธีใหม่

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ประตูเมืองแม้ไม่เปิดออก กลับปรากฎนักเวทย์จำนวนมาก ปรากฎร่างกระจายตามจุดต่างๆในสนามรบ การใช้พลังเวทย์ผลักดันวัตถุ และธาตุต่างๆ เข้าโจมตีใส่จักรกลแทนการใช้เวทย์ปะทะโดยตรง ได้ผลดีกว่ามาก และการทำลายโล่แผ่บาเรียคือเป้าหมายแรก ก่อนที่เหล่านักเวทย์อีกจำนวนหนึ่งจะปรากฎกายขึ้นในสนามรบราวกับเนรมิตเข้าทำลายจักรกลแต่ละตัว รวมทั้งเหล่าพลปืนที่ยิงสนับสนุน และเหล่านักรบที่คอยท่าก็ปรากฎกายออกมากลางสนามรบเข้าโจมตีจักรกลที่เหลือจนเมื่อจักรกลเหลือเพียง 1 ใน 3 เบน บาร่า ก็เรียกทัพกลับ แม้โอมาร์นันจะยังไม่ต้องการเช่นนั้น

มิโกะสาวในเวลานี้ ลอยดูเหตุการณ์เหนือน่านฟ้าซานตาน่า ชุดของเธอก็เปลี่ยนไปเหมือนชุดสาวชาวบ้าน มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากลอยลงมา เป็นสาวพรหมจารีย์งดงามในชุดขาวบริสุทธิ์ คือเหล่าซิสเตอร์ ที่ยอมตายในการเบียดเบียนศาสนาครั้งใหญ่ ชิโรอิรู้สึกเหมือนเมื่อวัยเด็กสาวที่อยู่ในการดูแลของเหล่าซิสเตอร์ที่รักเธอเหล่านี้ ช่วงอดีตที่มีความสุขที่สุดของชีวิตเธอ เธอโผเข้ากอดทุกคนด้วยความปลาบปลื้มตื้นตัน ทุกคนดีใจที่ได้พบกันอีก

ทันใดท่ามกลางคณะซิสเตอร์มีซิสเตอร์คนหนึ่งที่สว่างสดใสกว่าทุกคนเธอเข้ามาอยู่ตรงหน้าชิโรอิ นำผ้าคลุมผมของเธอเองมาคลุมให้ชิโรอิ เธออุทานออกมาเบาๆว่า "คุณแม่อลาน่า" ซิสเตอร์ท่านนั้นยิ้มอย่างงดงาม "เธอสละทั้งชีวิตเธอเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งชาติ เธอทำเหมือนที่ฉันเคยทำ ในบรรดาศิษย์ของฉันเธอถ่ายทอดอุดมการณ์ที่ฉันสอนด้วยชีวิตได้อย่างครบครั้น ขอบใจนะจ๊ะ ฉันถือว่าเธอคือหนึ่งในคณะของเราเสมอ" ทันใดนั้นชิโรอิ กลับเป็นดังพรหมจารีย์ชุดขาวคนอื่นๆ เธองดงามและมีความสุขยิ่ง เธอหันมาโบกมือและยิ้มให้ฟาติมา ก่อนทุกคนจะลอยหายลับไปบนฟ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Heaven's Tear

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ จันทร์ ธ.ค. 31, 2012 5:16 am

ฟาติมานึกสงสัยว่า ตั้งแต่ม้วนสารจากสวรรค์ที่เธอได้รับมอบมาจากทูตสวรรค์โฮลี่ ซึ่งเป็นแผ่นหนังลักษณะประหลาดที่มีข้อความเกิดขึ้นและเปลี่ยนไป ซึ่งมีบางคนเท่านั้นที่มองเห็นข้อความ เธอก็ไม่ได้พบการปรากฎของชาวสวรรค์อีกเลย วันหนึ่งขณะที่เธอครุ่นคิดอธิษฐาน สารก็ปรากฎข้อความอธิบายให้เธอเข้าใจว่า

เมื่อภาวะสงครามเกิดขึ้น ในวิกฤตและความทุกข์ยาก บางคนนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธา แต่คนจำนวนมาก กลับเสียศรัทธา (เหมือนดังเหตุการณ์ที่ประชาชนจำนวนหนึ่งถึงกับคิดมอบเธอให้ศัตรู เพื่อพ้นจากความลำบาก และเมื่อมีโอกาศ บางคนก็หนีไปอยู่ซาโลมเสียด้วยซ้ำ) ความตกต่ำในศรัทธานี้ ทำให้ทางเชื่อมของสวรรค์และโลกแยกห่างออกจากกันอีกครั้ง แม้แต่การมาปรากฎของทูตสวรรค์โฮลี่ ก็ยากขึ้น และมีระยะเวลามากขึ้น ม้วนสารวิเศษที่มอบให้ก็เพื่อการสื่อสารที่รวดเร็วในเวลาที่วิกฤตเช่นนี้


Man in the mirror

ในภาวะสงครมนั้น ประชาชนในซานตาน่าล้วนมีความทุกข์ คนจำนวนมาก ใช้โบสถ์วิหารในการอธิษฐานภาวนา เพื่อวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อบรรเทาใจในความทุกข์ยาก

รูปภาพ

หญิงสาวคนหนึ่งชื่อนารินดา เธอเป็นสาวสวยชาวลัทธิสุริยันจันทราซึ่งมีบิดามารดาเป็นชาวฟูดินันที่อพยพมาอยู่ที่นี่ และเป็นหนึ่งในผู้ที่ทุกข์ใจในสภาพที่เป็นอยู่ของซานตาน่า ด้วยความเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ที่แก่ชรา เธอปรารถนาจะพบคู่ครองที่ดี และคู่ครองในอุดมคติของเธอนั้นก็คือชายที่รักมั่นคงต่อหญิงที่เขารักจนชั่วชีวิต แบบท่านอิสฮาน ผู้ที่ยินยอมรอหญิงคนรักนานถึง7ปี และมุ่งมั่นรักต่อท่านวานาอัน จนเป็นตำนานรักอันยิ่งใหญ่ เธอมุ่งมั่นตั้งความหวังนี้ไว้ในใจตั้งแต่เด็ก แม้เมื่อในภาวะเช่นนี้เธอก็ยิ่งหวังจะได้พบชายในฝันเช่นนั้น ที่จะดูแลเธอและครอบครัวตลอดไป

เมื่อช่วงสงครามสงบศึกชั่วคราว เธอจึงได้เฝ้าอธิษฐานวอนขอคู่ครองที่เธอฝัน เธอเกิดความต้องการในสิ่งนี้อย่างแรงกล้า ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆถูกไขว้คว้าเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว แม้แต่ กระจกทรงสัตย์ กระจกวิเศษที่ท่านอิสฮานใช้สารภาพบาป ก็ยังมีคนใช้เพื่อการอธิษฐานขอสิ่งอื่นๆที่ตนต้องการ นารินดาเกิดความคิดว่า ถ้าเธออธิษฐานกับสิ่งของที่ท่านอิสฮานเคยใช้คำอธิษฐานเรื่องความรักของเธอน่าจะสำเร็จ


เธอจึงเดินทางไปยังวิหารที่เก็บประจกไว้ รอจนเริ่มค่ำไม่มีใคร เธอก็จะอธิษฐานอย่างสุดจิตใจต่อท่านอิสฮานเพื่อคู่ครองที่เธอฝัน เธอทำเช่นนี้จนเข้าวันที่ 6 มีข่าวว่ากองทัพจักรกลชุดใหม่กำลังจะมาอีกแล้ว เธอรีบรุดไปวอนขอหน้ากระจก เพราะเกิดกลัวว่า เธอเองอาจจะตายไปก่อนความฝันที่จะมีความรักอันแสนวิเศษจะสำเร็จ ขณะเธอก้มหน้าร่ำไห้อธิษฐานอยู่นั้น มีมือหนึ่งแตะไหล่เธอ เธอเงยขึ้นมอง ก็พบกับชายคนหนึ่ง แววตาเศร้าโศก เขามองเธอราวกับจะกลืนหายไปในความเศร้าของดวงตานั้น ใบหน้า สง่างามและคมเข้ม ทำให้เธอตะลึงแทบหยุดหายใจ ชุดที่เขาสวมใส่ ช่างดูเก่าแก่ และคล้ายกับภาพวาดในโบสถ์ที่เธอคุ้นเคย ชายคนนั้นมองเธออยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา และเนิบช้าราวกับไม่เคยพูดจามานาน "วานา...วานาอัน..." นารินดาตกใจรีบพุดตอบตะกุกตะกัก "ฉันชื่อ นารินดา คุณเป็นใคร" ชายคนนั้นนิ่งเงียบไป มองไปรอบๆ อย่างช้าๆ และพิจารณา กลับมามองที่เธออีกครั้ง และแตะที่อกตัวเอง ตอบว่า "อิสฮาน"


รูปภาพ

เรื่องราวของชายลึกลับที่ปรากฎกายและอ้างชื่อว่าอิสฮานโด่งดังไปทั่วซานตาน่า คาลดินัลแห่งซานตาน่าเรียกสอบสวน นารินดา และ ตามหาชายลึกลับที่หายตัวไปหลังจากนั้น ฟาติมาถูกเรียกให้เข้าร่วมสอบสวนนารินดา ฟาติมาสัมผัสได้เพียงว่าทุกสิ่งที่หญิงสาวพูดนั้นไม่ได้โกหก ในขณะที่สอบสวนนั้น ก็มีเสียงแตรเตือนภัยของสตีเฟน ผู้เป็นแทมพลาร์ที่มีพระพรพิเศษ ดังขึ้น ซึ่งบอกถึงการมาของกองทัพจักรกลกลุ่มใหม่ ขณะที่ทุกคนกำลังรีบเตรียมการ ทั้งการหลบภัยและเตรียมรบ ปรากฎชายคนหนึ่งปรากฎจากตรงไหนไม่แน่ชัด เข้าพุ่งเข้าต่อกรกับเหล่าจักรกลอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย และเนรมิตดาบเล่มหนึ่งขึ้น ฟาดฟันศัตรู เมื่อต่อสู้จนดาบนั้นหักไป เขาก็เนรมิตดาบอันใหม่ออกมา ฟาดฟันศัตรูอย่าดุดัน

เหล่านักรบแทมพลาร์ รีบออกจากกำแพงเมืองมาช่วยรบ จนขับไล่ทัพจักรกลล่าถอยไปประชิดแนวรบห่างกำแพงเมือง ทั้งหมดจึงถอยทัพกลับเข้ามาเนื่องจากเริ่มมืด โดยมีพลปืนยิงสกัดไม่ให้พวกจักรกลตามมาได้

นารินดาวิ่งเข้าหาชายลึกลับทันทีที่เขาเดินเข้ากำแพงเมืองมา พร้อมร้องเสียงดัง "ท่านอิสฮาน ท่านอิสฮานมาช่วยพวกเรา" แล้วโผเข้ากอดเขาไว้ ทันทีนั้นเสียงประชนในบริเวณนั้นก็ฮืออาขึ้น เหล่าแทมพลาร์รีบนำชายคนนี้เข้าพบคาลดินัลทันที โดยนารินดาไม่ยอมห่างกายเขาเลย

ในเวลาไม่ช้านาน ข่าวเรื่อง ประกาศก อิสฮาน กลับมาปรากฎอีกครั้งในซานตาน่าและเข้าช่วยเหลือเมือง ก็ร่ำลือไปทั่ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน

cron