Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. มี.ค. 28, 2024 3:47 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel นิยายฉบับเต็ม Romancing Story - Always

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


นิยายฉบับเต็ม Romancing Story - Always

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:12 am

Always

รูปภาพ

ณ แผงขายดอกไม้ท้ายตลาด ดอกไม้มากมายหลายหลากพันธุ์แข่งกันชูช่ออวดความงามและกลิ่นหอมเชิญชวนให้บรรดาผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้หยุดเหลียวมองหรือแม้แต่ค้วงกระเป๋าเพื่อซื้อพวกมันกลับไปประดับที่บ้าน แต่กระนั้นสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งกว่าดอกไม้งามเหล่านั้นกลับเป็นแม่ค้าสาวแรกรุ่นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่สวยที่สุดในเมือง ชื่อของเธอคือ โรสแมรี่ (Rosemary, the Florist) ด้วยดวงหน้าเล็กเรียวอ่อนหวาน แก้มชมพูระเรื่อของวัยสาว ผิวขาวผ่องนวลเนียนหมดจด ผมสีน้ำตาลยาวเงาสลวยถักเป็นเปียหลวม ๆ ทำให้เธอดูไม่ต่างจากตุ๊กตากระเบื้องชั้นดีที่น่าทะนุถนอม ทว่าความงามของเธอไม่ใช่เท่านั้น เธอยังมีกริยาและวาจานุ่มนวลอ่อนหวานไม่ต่างจากรูปโฉมอีกด้วย ผู้คนจึงต่างก็พากันยกย่องว่าความงามของเธอเรียกได้ว่าเป็นเอกบุปผาจากสรวงสวรรค์

ทุก ๆ วันจะมีบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งโสดและไม่โสดต่างแวะเวียนมาเมียงมองส่งสายตาหยาดเยิ้มให้สาวเจ้าอยู่เสมอ ที่ใจกล้าหน่อยก็จะเข้ามาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยหรือซื้อดอกไม้ติดไท้ติดมือเพื่อให้หญิงสาวประทับใจ พูดคุยด้วย หรืออย่างน้อยก็จำหน้าพวกเขาได้บ้าง

และในวันนี้ก็เช่นกันที่แผงขายดอกไม้มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่กลุ่มย่อม ๆ มายืนออกันหน้าร้าน
“โรสแมรี่ วันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”
“โรสแมรี่ วันนี้เจ้าดูงดงามจริง ๆ แม้แต่ดอกไม้พวกนี้ยังงดงามสู้เจ้าไม่ได้เลย”
“โรสแมรี่ หลังจากขายดอกไม้เสร็จ เจ้าพอจะมีเวลาไปไปเดินชมตลาดกับข้าสักหน่อยไหม?”
“อ๊ะ...เจ้าคนหน้าด้าน กล้าชวนโรสแมรี่ตัดหน้าข้ารึ?”

เสียงหนุ่ม ๆ ดังเซ็งแซ่จนใคร ๆ ก็พากันส่ายหัว โดยเฉพาะบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในตลาด โรสแมรี่ได้แต่ยิ้มให้อย่างเอียงอายและจนใจ เพราะเธอเองก็ไม่กล้าพอจะไล่คนเหล่านี้ไป เนื่องจากพวกเขาต่างก็เคยซื้อดอกไม้ของเธอมาแล้วทั้งนั้น แม้จะไม่ได้ซื้อเป็นกอบเป็นกำจนเธอร่ำรวยขึ้นมาได้ก็เถอะ

“เอาหลีก ๆ หลีกหน่อย” เสียงชายอีกคนดังมาจากเบื้องหลัง พร้อม ๆ กับเสียงตะกุยตะกายพื้นของเท้าสัตว์ จึงพาลทำให้กลุ่มหนุ่ม ๆ แตกออกเป็นวง เผยให้เห็นบุรุษไปรษณีย์ประจำเมืองนั่งยิ้มแฉ่งบนหลังคูกาโร
“แหม... เจ้าพวกนี้ ยืนออกันหน้าร้านแบบนี้แล้วโรสแมรี่จะขายดอกไม้ได้เหรอ?”
“พวกข้าก็ตั้งใจจะซื้อดอกไม้ของโรสแมรี่กันอยู่แล้ว ไม่ได้ยืนกันเฉย ๆ เสียหน่อย” ชายคนหนึ่งบ่นอุบ
บรรดาหนุ่ม ๆ ที่โดนพูดดักคอต่างก็ทยอยกันซื้อดอกไม้กันคนละดอกสองดอกแล้วค่อย ๆ แยกตัวกันออกไป
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณทุก ๆ ท่านนะคะ” โรสแมรี่ยิ้มขอบคุณพร้อมส่งดอกไม้ให้พวกเขา
“แล้วเจอกันนะ โรสแมรี่”
“พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่นะ โรสแมรี่”

“คุณติดหนี้บุญคุณผมแล้วนะครับ” บุรุษไปรษณีย์หนุ่มยิ้มแฉ่งพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน “ผมช่วยคุณออกจากสถานการณ์ที่หน้าอึดอัด แถมยังช่วยให้คุณขายดอกไม้ได้ด้วย ดังนั้นเย็นนี้คุณจะตอบแทนผมด้วยการไปเดินเล่นริมชายหาดได้ไหมครับ?”
หญิงสาวหัวเราะ ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าของเธอดูงดงามยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า “ขอบคุณที่ช่วยฉัน และก็ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่ว่าฉันต้องกลับไปดูแลแม่ ช่วงนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดี” หญิงสาวตอบปฏิเสธอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่าย

ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอดถอนใจ เพราะชวนเท่าไหร่หญิงสาวก็ไม่เคยใจอ่อนเสียที
“เอาเถอะ งั้นผมจะลองชวนใหม่คราวหน้านะครับ” ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้นก่อนโดดขึ้นคูกาโร(Kugaro)แล้วขยิบตาให้เป็นสัญญาว่า ‘แล้วผมจะมาอีก’

โรสแมรี่ส่ายหน้ากับหนึ่งในหนุ่มที่ตามจีบเธอ นี่มันครบทุกอาชีพแล้วใช่ไหม เธอถามตัวเอง เปล่า เธอไม่ได้ภูมิใจ เธอหมายถึงเธอต้องอ่อนอกอ่อนใจจนกับหนุ่ม ๆ ครบทุกอาชีพแล้วนะสิ

“วันนี้ขายดอกไม้เป็นยังไงบ้าง” เสียงชายที่คุ้นเคยดังขึ้น โรสแมรี่หันไปยิ้มกว้างให้ชายเจ้าของเสียงทันที

“เฟบรอน” รอยยิ้มที่แตะแต้มบนเรียวปากบางทำให้ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มตอบให้อย่างอบอุ่น

เฟบรอน(Fabron, the Mechanic)ช่างเครื่องยนต์ ผู้เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของเธอ ถ้าจะมีใครในโลกนี้ที่ดีกับเธอเสมอ ก็คงจะเป็นเพื่อนรักของเธอคนนี้ เขาทั้งขยันขันแข็ง มีน้ำใจ และ ช่วยเหลือเธอเวลาลำบากเสมอ ชายหนุ่มซึ่งเวลานี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยน้ำมันเครื่อง กลิ่นน้ำมันเครื่องจากตัวเขาแม้ไม่เข้ากับดอกไม้กลิ่นละมุน แต่เธอก็อยากให้เขาแวะมาทักทายบ่อยๆ ดีกว่าพวกหนุ่มจอมกะล่อนที่ประโคมฉีดน้ำหอมใส่ตัวเป็นตั้งๆ แต่ไม่ยอมอาบน้ำ

“ก็เหมือนทุกวันแหละจ๊ะ เว้นแต่ถ้าท่านลอร์ดจะเก็บภาษีน้อยลงก็คงมีกินมากขึ้น แล้วนั้นเธอแบกอะไรมาน่ะ” เธอถามถึงก้อนเหล็กสีชมพูขาวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ บนหลังของเขา

“นี่คือหุ่นยนต์นีโอส์การ์เดียน(Neos Guardian)แบบย่อส่วนที่ท่านหัวหน้าพ่อค้าประจำเมืองจ้างให้ซ่อมน่ะ มันเยี่ยมมากเลยนะเอาไว้พูดคุยง่าย ๆ ก็ได้ เฝ้าบ้านก็ดีเพราะมันต่อสู้ได้บ้าง ได้ยินว่าถูกสั่งทำพิเศษ พวกคนรวยก็ยังงี้ล่ะน้า ซ่อมเสร็จคงได้เงินเยอะ จริงสิ...ผมเห็นว่าคุณป้าไม่ค่อยสบาย ผมจะลองแวะไปถามคุณหมอที่หน้าตลาดดู เผื่อว่าพอจะจัดยาอะไรมาให้ได้บ้างดีไหม?”

“ขอบคุณนะจ๊ะ เฟบรอน แต่ค่ายาเดี่ยวฉันออกเองดีกว่า ยาในช่วงศึกสงครามอย่างนี้ราคาแพงมาก ฉันคงรบกวนเธอไม่ได้หรอก”

“บ้าน่า... อย่างคิดมากสิ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ซ่อมเจ้าหุ่นนี่เสร็จฉันคงได้เงินมากพอจะใช้จ่ายได้เป็นอาทิตย์เลย” เฟบรอนยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะซื้อขนมปังมาให้เธอกับคุณป้าด้วย ไปก่อนนะ”

โรสแมรี่โบกมือลามองหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มดั่งแดดยามสายที่เดินห่างไปทุกที ดีใจเหลือเกินที่มีเพื่อนอย่างเขา เธอไม่รู้หรอกว่าเคยมีใครเขียนสำนวนประมาณว่า “เพื่อนที่ดีก็เหมือนแสงแดดอันอบอุ่น” ไว้หรือเปล่า แต่มันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก ที่สำคัญคือดอกไม้บนแผงต่างหากเล่า วันนี้ยังขายได้ไม่เท่าไหร่เลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:14 am

“วันนี้กลับค่ำจริง ขายดอกไม้ได้บ้างไหมลูก? ”

“ไม่ค่อยได้ค่ะแม่ ช่วงสงครามแบบนี้ ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะใช้จ่ายกันสักเท่าไหร่ ต้องลดกับแถมเสียเยอะ”

หญิงวัยกลางคนกระแอมไอสองสามครั้งก่อนจะมองขนมปัง 2 ก้อนเล็ก ๆ ในตะกร้าที่บุตรีผู้เบ่งบานคล้ายตนสมัยยังสาวถือมา แม้จะไม่หวังอิ่มท้องทุกมื้อ แต่การประทังชีวิตก็ดูเป็นความหวังที่เลือนลางในทุกวันนี้ แต่ครั้นก้มหน้าถอนใจ รอยยิ้มราวเบิกบานก็ฉาบบนใบหน้า

“แม่มีของดีจะให้ดู” มือที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักปรบเข้าด้วยกัน 2 ครั้ง หุ่นยนต์ในชุดเกราะสีขาวประดับลวดลายดอกกุหลาบสีชมพูวิจิตรเดินมาจากครัว ในมือถือถาดไก่ย่างพร้อมไวน์ในแก้วเก่าๆ 2 ใบ มาหยุดรอคำสั่ง

“นี่คือนีโอส์การ์เดียนตัวเล็กสั่งทำพิเศษ ดูมันสิสวยขนาดไหน มันรับคำสั่ง..”

“หนูทราบว่ามันทำอะไรได้บ้างค่ะแม่ แต่หนูไม่ทราบว่าแม่ไปเอามันมาจากไหน” ก็เจ้าหุ่นตัวนี้ไม่ใช่หรือที่เธอเห็นอยู่บนหลังเฟบรอนเมื่อเช้า

“ทริสตันลูกท่านหัวหน้าพ่อค้าประจำเมือง ท่านสั่งทำพิเศษให้ลูก เขาชอบพอลูก”

“เขาไม่ได้สั่งทำพิเศษนะคะแม่ เขาแค่เอาของเก่าชิ้นหนึ่งในโกดังที่มีอยู่เป็นร้อยมาซ่อม แล้วเอามาให้เราเท่านั้น เฟบรอนเพิ่งจะเอาเจ้าหุ่นนี่มาซ่อมเมื่อเช้าเอง หนูเห็นกับตานะคะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ตอนนี้มันก็ดูเหมือนใหม่จะตายไป” มารดาของเธอยักไหล่ ดูจะพอใจกับของกำนัลไม่น้อยเลยทีเดียว

“แม่ไม่น่ารับของเขามาเลย หนูไม่ได้ชอบทริสตัน เอ่อ หนูหมายถึงหนูไม่รู้จักเขา หนูไม่เคยเห็นเขาด้วยซ้ำ”

โรสแมรี่พูดไม่เกินจริงสักคำ ตั้งแต่เยาว์วัยทริสตันถูกเลี้ยงปรนเปรออยู่อีกฟากของกำแพงหินใหญ่โต ราวกับราชนิกูลสูงศักดิ์ ก่อนเดินทางไปเรียนในเมืองหลวงหลายปีดีดัก และกลับมาพร้อมสิ่งที่ชาวบ้านตาดำๆ ไม่มี นั่นคือวิชาการค้าและข้าวของสวยงามและทันสมัยจากดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปเมอร์ริเซีย เสียงร่ำรือว่าเขาเป็นนักสะสมของสวยงามตัวยง ของสะสมของเขามีมากมายเป็นร้อยโกดัง และแน่นอนว่าเต็มแน่นทุกโกดังด้วย

“แต่เขาเคยเห็นลูก ลูกทำให้เขาตกตะลึงในความงาม ถ้าลูกแต่งงานกับเขาทรัพย์สมบัติในโกดังทั้งหลายของเขาก็จะเป็นของลูก เขาจะช่วยให้ครอบครัวเราสบายขึ้น”

ก๊อกๆๆ

“โรสแมรี่ คุณป้า ผมเฟบรอนเองครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นที่หลังประตู

หญิงสาวมองมารดาผู้ให้กำเนิดและจักรกลสีหวาน สมาชิกใหม่ของบ้าน
“หนูคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าไม่ให้เขาเห็นเจ้าหุ่นที่เขาเพิ่งซ่อมเสร็จมาอยู่บ้านที่เหมือนกองอิฐบังฝนได้” เธอยักไหล่แล้วยิ้มผ่อนคลายให้มารดาพลางเอาผ้าเก่า ๆ มาคลุมเจ้าหุ่นไว้ก่อนจะไปเปิดประตู

“สวัสดีครับคุณป้า อาการป่วยเป็นยังไงบ้างครับ” เฟบรอนถามหญิงวัยกลางคนจากหน้าประตู

“ค่อยยังชั่วแล้ว ขอบใจ” เสียงตอบฟังดูไม่เต็มเสียงดัง ไม่รู้ว่าเพราะไม่พอใจหรือเพราะอาการป่วยกันแน่

“ผมเอายาจากคุณหมอที่หน้าตลาดมาให้คุณป้าครับ” เฟบรอนบอกในขณะที่หญิงวัยกลางคนเพียงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้เท่านั้น

“แล้วก็นี่...ขนมปังครับ ตามสัญญา” เฟบรอนยิ้มเห็นฟันหันกลับมาทางหญิงสาว พลางส่งขนมปังยัดไส้ก้อนโตให้

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ ทั้งยาและขนมปังเดี๋ยวนี้ใช่จะราคาถูก ฉันนึกว่าเธอพูดเล่นซะอีก”

“ผมไม่เคยโกหกเธออยู่แล้ว” เฟบรอนยิ้มอีก

“แล้วที่อยู่ในมือเธออีกข้าง…” หญิงสาวยิ้มเอียงคอมองด้วยความสนอกสนใจ

เฟบรอนล้วงมือเข้าไปในถุงหยิบบางสิ่งขึ้นมา แล้วก็ได้พบว่ามันคือตุ๊กตาตัวเท่าฝ่ามือ มันยืนตัวตรง มันเหมือนนีโอส์การ์เดียนย่อส่วนไม่มีผิด หรือจะพูดว่ามันย่อส่วนลงมาจากนีโอสการ์เดียนย่อส่วนอีกทีหนึ่ง มันมีลานไขอยู่กลางหลัง

“พอดีเศษวัสดุตอนซ่อมหุ่นเหลือน่ะ ผมเลยเอามาสร้างอีกตัวให้เธอ ถึงจะแจ่มแจ๋วสู้ไอ้ตัวที่เธอเห็นเมื่อเช้าไม่ได้แต่ผมก็ทำสุดฝีมือนะ”

“ให้ฉัน...นี่เธอทำเองเหรอ! ในเวลาแค่ช่วงเช้านี้นะหรือ? โอโห...” โรสแมรี่รับทั้งสองสิ่งมาด้วยความตื่นเต้น “นี่มันแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนเปี๊ยบเลยนะเฟบรอน เธอนี่เก่งจริง ๆ ไม่สิ...ต้องเรียกว่ามีพรสวรรค์เลยล่ะ“

ชายหนุ่มได้ยินคำชมดังนั้น หัวใจก็ลิงโลดริมฝีปากโค้งขึ้นจึงเม้มปากแน่นพยายามกลั้นอาการดีใจที่ออกนอกหน้านั้น ใครจะอดใจไม่ภาคภูมิใจได้เล่า ถ้าได้รับคำชื่นชม โดยเฉพาะคำชื่นชมจากโรสแมรี่

เสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ ทำให้ทั้งสองหันหน้าไปมองทางต้นเสียงพร้อม ๆ กัน
“โรสแมรี่ ปิดประตูเถอะ จวนมืดแล้ว แม่หนาว” มารดากล่าวเสียงเรียบ

“จริงสินะ ขอโทษด้วยครับคุณป้า ขอให้หายเร็ว ๆ นะครับ” ชายหนุ่มค่อมศีรษะลงให้มารดาของหญิงสาว “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ โรสแมรี่”

เมื่อเฟบรอนจากไปหญิงสาวหันกลับมาเห็นว่าสายตาแม่ดูผิดแปลกไปจากเดิม เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เปิดผ้าคลุมเจ้าหุ่นออก เจ้านีโอส์การ์เดียนก็ออกเดินไปวางอาหารบนโต๊ะด้วยขาจักรกล

“ลูกเคยถามบ่อยๆ ใช่ไหมว่าพ่อทิ้งแม่กับลูกไปเพราะอะไร ทั้งที่เราเคยรักกันมาก” เสียงที่เบาลงคล้ายจะแหบแห้งของมารดาข่มให้ใจของเธออึดอัด ตุ๊กตาในมือจู่ๆ ก็หนักดั่งหินผา

“แม่อยากให้ลูกรู้ไว้ว่าความรักก็เหมือนดอกไม้ ยามแรกแย้มเช้าตรู่ก็ทำให้เราตื่นเต้น ตอนเที่ยงวันที่บานเต็มที่ก็พาใจเราเบิกบาน แต่พอตะวันตกดินความมืดกลืนกินแสงสว่างดอกที่เคยสวยก็เหี่ยวเฉา แม้กระนั้นดอกไม้ที่ใกล้ตายก็ยังเรียกร้องกลีบดอกให้ลอยจากพื้นกลับมาติดที่ตนเช่นเดิม แต่ที่จริงมันทำได้แค่รอความตายและสูญสลายไปเท่านั้น”

หุ่นกลน่ารักในมือโรสแมรี่ร่วงกระแทกพื้น เกิดเสียงกระแทกเพียงวินาทีเดียวแต่ทิ้งเสียงกังวานต่อเนื่อง มารดากล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“แต่เงินไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ดอกไม้ เงินเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งทรงพลัง เงินเบิกบานอยู่ตลอดเวลาไม่เคยร่วงโรย เงินไม่ต้องการแสงแดดหรือน้ำ มันยืนหยัดให้ความสุขกับลูกเรื่อยไปตราบที่ลูกยังต้องการมัน แม่เคยอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องเลือกเหมือนลูกในวันนี้ เวลาที่แม่มองลูกก็เหมือนแม่ส่องกระจกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน แม่เคยคิดว่าแม่เลือกถูก” ดวงตาของมารดาเลื่อนลอยเหมือนกำลังมองย้อนความทรงจำในอดีต

โรสแมรี่รีบเก็บเจ้าไขลานที่พังแล้ววิ่งเข้าห้องนอนราวกับหนีสัตว์ร้าย ตะกร้าตกกระแทกพื้นขนมปังกระเด็นกลิ้งคลุกดิน ผ่านไปไม่กี่อึดใจ น้ำตาจากหญิงวัยกลางคนก็หลั่งไหล จะด้วยอาลัยถึงอดีต หรือสงสารในธิดาของตน หรืออาจจะทั้งสองอย่าง

เมื่อเสียงปิดประตูจากบ้านของโรสแมรี่ดังไล่หลัง เฟบรอนก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ด้วยสัญชาติญาณช่างซ่อมเขาลอบขยับเข้าชิดตัวบ้าน ผนังหยาบๆด้วยไม้แผ่นบางทำให้เขาได้ยินเสียงภายในบ้านอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเสียงพูดคุยของคนในบ้านแต่ตั้งใจฟังอีกเสียงหนึ่ง เขาจะลืมเจ้าเครื่องจักรแปลกๆ ที่เพิ่งซ่อมเสร็จเมื่อบ่ายได้อย่างไร

นีโอส์การ์เดียนกำลังเดินอยู่ในบ้าน!

เฟบรอนใจวูบหายเหมือนถูกโยนลงเหว เขากลับหลังพลางลากเท้าเดินจากไปช้าๆ ราวกับไร้จิตใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:15 am

วันนี้โรสแมรี่ก็มาตั้งแผงแต่เช้าเช่นเคย พลังชีวิตดั่งน้ำซุปร้อนๆ หอมกรุนเลิศรสแลกเปลี่ยนผ่านแต่ละผู้คนด้วยรอยยิ้ม อย่างแช่มชื่น แต่ว่าเมื่อนาฬิกาชีวิตช้าลงในตอนบ่ายและค่ำจะไม่มีใครยิ้มให้กันอีก ทุกคนขายไม่ดีเหมือนกันมานานแล้ว

เธออาศัยเวลาสั้นๆ ช่วงแดดยังอ่อนและลมเย็นที่หยอกล้อผิวเพื่อภาวนา ประการแรกถ้าผู้คนในเมืองนี้มีศรัทธาในศาสนาซักหน่อยคงมีคนซื้อดอกไม้ไปถวาย บนพระแท่นในพิธีมิซซาวันอาทิตย์เยอะแยะ ประการที่สองพวกเขาไม่รู้หรือว่าศาสนจักรเรามีนักบุญเป็นกองทัพ พวกเขาสามารถซื้อดอกไม้ไปทำความเคารพวันละไม่ซ้ำองค์ได้ด้วยซ้ำถ้าต้องการ

และประการที่สาม...

“เฟบรอน” เธอตะโกนเรียกพลางโบกมือให้ชายที่กำลังลากรถเข็นเต็มไปด้วยซากเหล็ก ท่อนไม้ และล้อเบี้ยวๆ ชายหนุ่มหันหน้ามาทว่าไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปาก มีเพียงรอยยิ้มที่เหมือนจะแค่พยายามยกมุมปากให้โค้งขึ้นเท่านั้น

“วันนี้งานเยอะแต่หัววันเลยนะจ๊ะ ว่าแต่วันนี้มีอะไรจะอวดฉันรึเปล่า” โรสแมรี่แม้จะรุ้สึกแปลกใจกับท่าทีของเขา แต่พยายามชวนคุยอย่างร่าเริง

“ขอโทษที ผมต้องรีบไปซ่อมของพวกนี้ งานเยอะมากจริงๆ ไปก่อนนะ”

เฟบรอนลากรถเข็นจากไปเฉยๆ ไม่หันมาทิ้งสายตาหวานราวน้ำผึ้งให้เธอดังทุกวัน ไม่แม้แต่จะบอกว่าพวกเขาจะได้พบกัยอีกเย็นนี้ ดังที่เธอจะได้ยินเสมอ เธอประหลาดใจว่าเผลอทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า

ครั้นเวลาบ่ายสามโมง โรสแมรี่เริ่มถอนหายใจวันนี้ขายได้น้อยกว่าเมื่อวาน มือที่เมื่อเช้าโดนหนามตำจากความใจลอยหยิบเหรียญเงินรูปกษัตริย์มาเทียบกับกุหลาบขาว ความงดงามไม่เทียมกันเลย แต่เธอรู้ดีอีกไม่นานกลีบนวลจะเหี่ยวเฉาเยี่ยงเศษผ้าขี้ริ้ว หากเหรียญเงินจะยังคงส่องประกายระยับอยู่ คำพูดของมารดาเมื่อคืนกลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เธอได้ยินมารดาพูดสาปส่งความรัก คงตั้งแต่วันที่บิดาของเธอจากไปกระมัง เธอได้ยินมันตลอดเสมอจนตัวเองก็ไม่รู้ว่าได้ยินมากี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ต้องจบด้วยการที่มารดาต้องเสียน้ำตา ร้องไห้อย่างโศกเศร้าทุกครั้ง ความรักไม่จีรัง ความรักไม่มั่นคง ความรักไม่ถาวร ใช่...มารดาของเธอพิสูจน์มาแล้ว

“เฟบรอน...”

ชื่อของเพื่อในวัยเด็กแทรกผุดเข้ามาในความคิดของหญิงสาว แต่ไม่ทันไรคำพูดของแม่ก็ลอยมาในความคิดอีก

“เงินเบิกบานอยู่ตลอดเวลา... ...ยืนหยัดให้ความสุขกับลูกเรื่อยไปตราบที่ลูกยังต้องการมัน”
แม่พูดถูกทั้งหมดเชียว เธอต้องการเงิน... หรืออย่างน้อยแม่ก็ต้องการเงิน

“แม่ค้าครับ ผมขอเหมาดอกไม้ทั้งหมดนี่”

“เอาเท่าไหร่นะคะ” โรสแมรี่ก้มเก็บเหรียญที่ล่วงหล่นมาจากมือด้วยความใจลอย มันกลิ้งไปนอกแผงและหยุดอยู่ที่รองเท้าหนังล็อคกระดุมที่ดูงดงามปราณีตมาก ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่าราคาของมันคงจะสูงจนสามารถเหมาดอกไม้ของเธอได้ทั้งแผงอย่างสบาย ๆ หญิงสาวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้าไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ผ่านเสื้อผ้าเนื้อดีที่การตัดเย็บดูเนี๊ยบทุกฝีเข็มจนเธอสงสัยว่าต้องช่างของราชสำนักในการตัดเย็บเลยหรือเปล่า จนกระทั่งมาถึงใบหน้าอันหล่อเหลาชนิดตาพร่าของชายหนุ่มตรงหน้า เครื่องหน้าที่หมดจด ทั้งจมูก คิ้ว ริมฝีปากก็ช่างช่วยส่งให้ผู้เป็นเจ้าของดูโดดเด่น ยิ่งประกอบกับตาสีฟ้าและผมสีบลอนซ์ทองที่ตอนนี้กำลังต้องประกายแดดของเขา ทำให้เขาดูราวกับรูปสลักของเทวา

หญิงสาวพอจะเดาได้ทันทีว่าเขาคือใคร เพราะชื่อเสียงความรูปงามของเขาโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญไปทั้งเมือง โดยเฉพาะบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในเมืองต่างก็เฝ้าฝันถึงเขา หากโรสแมรี่ถูกเปรียบว่างดงามราวกับบุปผาสวรรค์ ชายคนนี้ก็หล่อเหลาราวกับเทพบุรุษจุติเลยทีเดียว

“ผมขอเหมาดอกไม้ทั้งหมด ไม่ได้เอาแค่ดอกสองดอกหรอก”

“ทะ...ทั้งหมดหรือคะ?” ทีแรกเธอจะถามว่าเขาล้อเล่นกับเธอหรืออย่างไร แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าเนื้อดี และผู้ติดตามอีกกลุ่มใหญ่ๆ เธอก็ทราบได้ทันทีว่าเขาเป็นชนชั้นสูงที่ร่ำรวยไม่น้อย แต่ที่สะดุดตาคือหญิงรับใช้ 2 นางที่พกปืนไว้แนบเอว คนหนึ่งดูสวยคมแต่งหน้าจัดและรูปร่างอวบอัด ส่วนอีกคนผอมบาง ร่างเล็ก สวมแว่นตา หอบหนังสือในมือ

“ผมจะเอาดอกไม้ไปเคารพนักบุญที่มีฉลองประจำวันนี้”

“ทำไมไม่เห็นมีชาวเมืองมาซื้อดอกไม้เหมือนคุณ ท่านนั้นคือนักบุญองค์ไหนหรือคะ?”

“ผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ นักบุญศาสนจักรเรามีตั้งเยอะ มันต้องตรงกับวันฉลองซักองค์ ใช่ไหมล่ะ?” ชายหนุ่มยิ้มอวดฟันขาวด้วยสายตากรุ่มกริ่มแสดงเจตนาเกี้ยวพาอย่างเปิดเผย

โรสแมรี่หน้าแดงดั่งผลแอปเปิ้ลเลือดสูบแล่นจนผิวกายร้อนผ่าว ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันทั้งปากดีทั้งวางท่า แต่เธอกลับรู้สึกประหลาดราวกับกำลังหวั่นไหว ฝ่ายบุรุษเห็นสตรียืนตะลึงสั่นน้อยๆ จึงแนะนำตัวเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

“ผมชื่อทริสตัน(Tristan, the Tycoon) บุตรชายท่านหัวหน้าพ่อค้าประจำเมือง ยินดีที่ได้รู้จัก หวังว่าเธอคงชอบของขวัญเล็กๆน้อยๆที่ผมส่งไปเมื่อวาน และคงตอบรับความรักแสนบริสุทธิ์ของผมในวันหนึ่งใด ผมต้องขออภัยที่ความรักเกิดเพียงแค่เห็นเธอเดินผ่านเหมือนสายลมพัดผ่านจนอาจ ทำให้ผมทำอะไรเกินเหตุไปบ้าง

ก็หวังว่านักบุญทั้งหลายที่ได้กลิ่นมวล ดอกไม้จะเห็นใจความรักที่ไร้เดียงสา และภาวนาต่อพระผู้สูงสุด โปรดดลใจเธอรับผมเข้าไปอยู่ในใจอันงดงามของเธอ”

หญิงสาวแทบจะสาบานได้ว่าได้ยินเสียงถอดถอนใจจากบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่แอบลอบมองชายหนุ่มรูปงามคนนี้อยู่รอบ ๆ ตลาด โรสแมรี่ยืนนิ่งระคนประหลาดใจ ทั้งขายหน้า ทั้งเขินอาย หลากหลายความรู้สึกปนเปกับชายตรงหน้าที่พูดจาสละสลวย เว้นแต่เขาจะเตรียมบท พูดยืดยาดนี่ไว้นานแล้ว

“ขอบคุณค่ะ สำหรับของขวัญวันก่อน แต่ไม่ต้องส่งสิ่งใดมาอีกหรอกค่ะ ดิฉันรู้สึกเกรงใจ….”

“อย่า เกรงใจเลยครับ แค่ของเล่นราคาย่อมเยาว์ ผมจะส่งของที่เลอค่ายิ่งกว่านั้นอีกในคราวต่อไป หากไม่รังเกียจความรักจากใจดวงน้อยๆของผม”

“ไม่ได้รังเกียจค่ะ แต่ว่า.....”

“เล่นตัวจริงนะสาวน้อย ถ้าเป็นฉันนะไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ คุณหนูของเราทั้งหล่อทั้งรวย ผู้หญิงคนไหนไม่รีบคว้าไว้ก็โง่เต็มที” เอ็มมี่เมดสาวของทริสตัน บ่นแทรกขึ้นพร้อมหมุนตัวควงปืนไปมา ทำเอาบรรดาลูกน้องชายจ้องมองหุ่นอันอวบอัดไม่วางตา

“เป็นสาวเป็นนาง ก็ต้องสำรวมน่ะถูกแล้ว ถ้ารีบรับรักผู้ชายเลย เดี๋ยวคนเขาก็ว่าใจง่ายหรอก ใครจะเปรี๊ยวจนเข็ดฟันเหมือนเธอล่ะ” ริคาร์ด้า เมดสาวอีกคนขยับแว่นตา ไม่เห็นด้วย

“โอ้ ผมขอโทษหากเร่งรัดเกินไป แต่ใจของผมหยุดคิดถึงเธอไม่ได้สักนาทีนี่นา ผมจะรอคำตอบรับความรักของเธอด้วยใจจดจ่อนะครับ หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจผู้ชายที่...เอ่อ...จัดว่ารูปงามคนหนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมายจน...เกือบจะเรียกว่าหน้าไม่อายอย่างผม”

หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำพูดของเขา ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจชมตัวเองจริง ๆ หรือเพียงแต่พูดล้อเล่นกับรูปโฉมและทรัพย์สมบัติของตน แต่เธอสาบานได้ว่าเธอได้ยินเสียงถอดถอนใจอีกครั้งจากบรรดาสาว ๆ รอบ ๆ ตลาด หรืออาจจะเห็นใครบางคนหมดสติล้มฟุบไปแล้วจากทางหางตาของเธอ และดูท่าทางว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะชอบอกชอบใจกับอาการเหล่านั้นของบรรดาสาว ๆ ไม่น้อยด้วยเพราะเขาหันไปยิ้มทรงเสน่ห์อวดฟันขาวให้บรรดาสาว ๆ เหล่านั้นเพื่อเรียกเสียงถอดถอนใจจากสาว ๆ เหล่านั้นอีก

“อีกวันสองวัน ผมจะกลับมาอุดหนุนดอกไม้แสนงามอีกพร้อมกับขอฟังคำตอบของคุณ” ทริสตันพูด ดวงตาเป็นประกายพร้อมหว่านรอยยิ้มทรงเสน่ห์ให้เธอ และชอบอกชอบใจกับอาการตื่นตะลึงของเธอ ที่เขาตีความว่าเพราะตะลึงในความหล่อเหล่าและประทับใจกับข้อเสนอของเขานั่นเอง

“รีบๆ ให้คำตอบล่ะ พวกฉันไม่อยากเดินเข้ามาในตลาดสกปรก ๆ แบบนี้บ่อยนัก” เอ็มมี่เสริม

“ไม่ ต้องรีบให้คำตอบก็ได้ค่ะ ท่านทริสตันก็บอกแล้วว่ารอเสมอ” ริคาร์ด้าพูดต่อท้ายก่อนที่ขบวนลูกเศรษฐีจะจากไป ปล่อยให้

หญิงสาวยืนงงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ โดยมีสายตาอิจฉาริษยาจากบรรดาสาว ๆ รอบตลาดลอบมองมาทางเธอไม่หยุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:16 am

“แม่จ๋า หนูกลับมาแล้ว วันนี้ขายดอกไม้ได้หมดเลยล่ะ”

โรสแมรี่ยิ้มอย่างร่าเริงผลักบานประตูเก่าๆ เพื่อพบว่ามารดานั่งนิ่งไม่ไหวติง ผ้าห่มเลื่อนไหลยับยู่ยี่กองอยู่บนพื้นหยาบ ไฟในเตาผิงมอดไปนานแล้วจึงทำให้ห้องทั้งห้องเย็นเฉียบ ใบหน้าของมารดาดูซีดขาวราวกับไร้สีเลือด โรสแมรี่บังคับขาที่หนักอึ้งก้าวเข้าใกล้มารดา ใช่ว่าเธอจะไม่เคยจินตนาการว่าหากชีวิตต้องเจอเรื่องเลวร้ายที่สุด หนึ่งในนั้นจะด้วยเหตุอะไรบ้าง

“แม่.....แม่คะ....” หญิงสาวเขย่ามือมารดาเบาๆแต่ก็ต้องรีบชักมือออกเพราะมือมารดานั้นเย็นเชียบ และแล้วหยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าก็อาบนองหน้า ภายนอกเมฆดำก่อตัวเทห่าฝนระลอกใหญ่ โรสแมรี่พิงเกาะกายกับพนักเก้าอี้ข้างศพแม่ใจจะขาดตามไปอยู่รอมร่อ แล้วศีรษะนั้นก็พับลงไปกับปลายเท้ามารดาพลางร้องไห้อย่างขมขื่น

พิธีฝังศพผ่านไปอย่างเงียบเหงาและโศกเศร้า ที่โรสแมรี่ทุกข์ใจไม่ใช่จำนวนผู้มาร่วมงานที่มีเพียงเฟบรอน ป้า กับเพื่อนบ้านไม่กี่คน แต่เป็นเวลาอยู่ด้วยกันที่สั้นดั่งนาฬิกาทรายชีวิตที่แตกพังก่อนกาลอันควร

หมอซึ่งเป็นบุคคลแรกที่เธอวิ่งเท้าเปล่าไปหา ได้บอกชื่อโรคภาษาละตินอันชาวบ้านการศึกษาน้อยอย่างเธอไม่อาจเข้าใจ เธอรู้เพียงแต่ว่าถ้ามีเงินแม่ของเธอจะไม่ต้องตาย!

ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอเอนซบอยู่กับอกของเฟบรอน ซึ่งคอยพยุงและช่วยเหลือดูแลเธออยู่ไม่ได้ห่าง เธอรู้สึกขอบคุณเฟบรอนเหลือเกินที่มาอยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้เธอในเวลานี้ เขาช่วยเธอตระเตรียมงานศพให้มารดาจนผ่านไปได้ด้วยดี หากเธออยู่เพียงลำพัง คงไม่รู้ว่าจะเริ่มเตรียมงานจากตรงไหน แม้ก่อนหน้านี้เขาจะมึนตึงกับเธอด้วยสาเหตุใดไม่แน่ชัด แต่ในยามที่เธอต้องการกำลังใจอย่างที่สุด เขาก็จะอยู่ที่นั่นเสมอ

หลังจากงานศพที่แสนเศร้าและเงียบเหงาจบลง เฟบรอนก็พาหญิงสาวกลับบ้านโดยมิได้พูดอะไร เพียงแต่คอยดูแลให้เธอได้กินอิ่มและปิดประตูบ้านให้แน่นหนา เขามองเธอนิ่ง ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนและปลอบประโลม ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการเหลือเกินในเวลานี้
“พยายามนอนให้หลับนะโรสแมรี่ พักผ่อนให้มาก ๆ เดี๋ยวจะล้มป่วยไปอีกคน ถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรให้ช่วยก็เรียกผมได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณมากนะเฟบรอน ถ้าไม่ได้เธอ ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ ว่างานวันนี้จะเป็นอย่างไร” โรสแมรี่พูดพลางน้ำตาก็รื้อขึ้นมาจับที่ขอบตาจนแดงก่ำ

“ไม่เอาน่าอย่าร้องเลย วันนี้เธอร้องไห้มาเกินพอแล้ว อย่าคิดมากเลย เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” เฟบรอนตบไหล่ของหญิงสาวเบา ๆ เพื่อปลอบโยน “พอผมไปแล้วล็อคประตูบ้านดี ๆ ล่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”

“จ๊ะ เจอกันพรุ่งนี้” โรสแมรี่ยิ้มน้อย ๆ พาลสงสัยว่า ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์ในวันนี้ เขาจะพูดคำนี้กับเธอไหม แต่อย่างน้อยเธอก็แน่ใจว่า เธอจะได้เจอเฟบรอน เพื่อนของเธออีกในวันพรุ่งนี้ เธอยังไม่กล้าพอจะอยู่เผชิญโลกตามลำพัง

หญิงสาวหันกลับมามองห้องที่เย็นเยียบว่างเปล่าเมื่อได้อยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ความโศกเศร้าก็กรูกันเข้ามากรุ่มรุมเธออีกอย่างไร้ความปราณี ในห้องนอนซอมซ่อของแม่ เธอนอนบนฟูกที่แม่เคยใช้หลับตาพลางลูบมือไปบนฟูกราวกับจะหลอกตัวเองว่ากำลัง โอบกอดมารดาอยู่ นีโอส์การ์เดียนยืนนิ่งรอรับคำสั่งเช่นเคย มันไม่รู้ดอกว่าความเศร้าคืออะไร ตุ๊กตาไขลานที่เฟบรอนทำให้นอนแนบแก้มที่เต็มไปด้วยน้ำตา โรสแมรี่ลองหยิบลานของมันมาไข แม้กลไกจะพังแต่ยังมีความหวัง

เสียงดนตรีอ่อนแผ่วเข้าหู ทำนองคุ้นเคยมาแต่เยาว์วัย เธอหลับตาที่อ่อนล้าลง ห้วงคำนึงล่องลอยไปยังความทรงจำอันอบอุ่น

ในป่าละเมาะเล็กๆใกล้บ้าน ใต้แสงตะวันรอน

.. เด็กชายเฟบรอนกับเด็กหญิงโรสแมรี่กำลังเล่นสนุกตามประสาเด็ก ที่เลียนแบบผู้ใหญ่ คนหนึ่งเล่นเป็นพ่อ อีกคนเล่นเป็นแม่ สมมุติถึงครอบครัวน่ารักและอบอุ่น

“นี่แม่ เย็นนี้ทำอาหารไว้รึยัง พ่อกับลูกหิวแล้วนะ” เด็กชายถาม

“พ่อน่ะแหละซ่อมรถม้าเสร็จรึยัง เนี่ยตะวันจะตกดินแล้วแม่ยังไม่มีเงินไปจ่ายตลาดเลย”

เฟบรอนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจิ้มไขควงหมุนกับรถม้าของเล่นเลียนแบบบิดา แล้วจึงลากรถม้าวิ่งไปมา “ท่านอัศวินรับรถม้าไปแล้ว นี่จ้ะแม่เงินเยอะแยะเลย” มือน้อยๆ กอบก้อนกรวดใส่ถุงมอมแมมยื่นให้เด็กหญิงแก้มชมพู แล้วเธอก็ทำท่าจ่ายตลาด ทำกับข้าว เทดินกับหญ้าใส่จานให้เฟบรอนกับตุ๊กตาแทนตัวบุตร

“เดือนนี้ เงินไม่พอใช้อีกแล้ว” โรสแมรี่รำพันตามที่เคยได้ยินบุพการีบ่น “งั้นแม่จะออกไปขายดอกไม้หาเงินมาเพิ่มนะ แม่ชอบดอกไม้สวยๆ คนซื้อคงมีความสุข”

“งั้นพ่อก็จะซ่อมเครื่องยนต์ให้เก่งกว่านี้ จะหัดเขียนบทกวีภาษาละตินด้วย จะเขียนให้เก่งๆ เล้ยยย แล้วทุกคนก็จะมาซื้อหนังสือที่พ่อเขียนเป็นรายได้อีกทาง ครอบครัวเราจะได้มีความสุขตลอดไป”

ทั้งคู่ร้องเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของแอนดิซอง เนื้อหาพูดถึงหนุ่มสาวที่รักกันจนทูตสวรรค์ยังสรรเสริญ หากแต่เวลาของมนุษย์ที่ไม่แน่นอนได้แยกวิญญาณฝ่ายชายจากไปตลอดกาล...

เสียงดนตรีจากตุ๊กตากลไขลานหยุดลง แม้โรสแมรี่จะพยายามหมุนลานสักกี่ครั้งเสียงดนตรีที่หล่อเลี้ยงจิตใจก็ไม่ หวนมา กระทั่งลานนั้นไม่อาจหมุนได้อีก เธอจึงหยุดความพยายาม

แล้วหัวใจสีดำดั่งอยู่ใจกลางความมืดมิด ก็ครอบงำสติสัมปชัญญะของโรสแมรี่ไปเสียสิ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:17 am

“โรสแมรี่ๆ อยู่หรือเปล่า ป้ามาหา” หญิงสาวเช็ดรอยน้ำตาที่เหลือคราบจางๆ ก่อนไปเปิดประตูให้ป้าข้างบ้านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของมารดา “เป็นยังไงบ้าง ทำใจได้หรือยังล่ะ”

“มันเร็วเกินไปค่ะคุณป้าผ่านไปหนึ่งเดือนแต่มันเหมือนหนึ่งปีสำหรับหนู ชีวิตหนูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” ผู้โศกเศร้าคล้ายจะหลั่งน้ำตาอีก

“จงวางใจเถอะ พระเป็นเจ้าทรงรับแม่ของหนูไปอยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดรแล้ว”

“แต่หนูรู้สึกเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็นคะคุณป้า” หญิงสาวพูดอย่างเลื่อนลอยเมื่อตระหนักว่าขาดมารดาแล้ว เธอก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก

“ถ้าเช่นนั้นพระองค์คงทรงส่งป้ามาดูแลหนูให้พ้นจากนรกที่ว่า หนูทั้งสาวทั้งสวยเป็นที่หมายปองของชายมากมาย แม้ไม่ต้องเข้าข้างตัวเองหนูก็คงรู้ดี” สีหน้าของป้ามีนัยให้คิด

“คุณป้าต้องการจะพูดอะไรคะ?” หญิงสาวถามทั้งที่รู้

“หนูน่าจะแต่งงานมีสามีที่เหมาะสมได้แล้ว เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวจะอยู่ในบ้านใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ไร้อนาคตได้อย่างไร ถามอีกาไร้สมองมันก็ยังรู้”

“แต่หนูคิดว่ามันเร็วเกินไป แล้วที่สำคัญหนูยังไม่มีคนที่ชอบ” โรสแมรี่รู้สึกว่ามีบางสิ่งขัดคำตอบนี้อยู่ในใจ

“เหลวไหล ผู้หญิงตัวคนเดียวจะอยู่ในบ้านเพียงลำพังได้ยังไง เกิดมีใครบุกเข้ามาทำมิดีมิร้ายจะทำอย่างไร ถึงบ้านป้าจะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ก็ต้องเดินตั้ง 15 นาทีกว่าจะถึงบ้านหนู เกิดมีอะไรขึ้นมา ป้ามาช่วยหนูไม่ทันหรอก หนูไม่มีญาติที่ไหนให้ไปอาศัยอยู่ด้วย ดังนั้นรีบแต่งงานซะ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

“หนู...”

“โรสแมรี่...? เรื่องที่ตอนนี้หนูอยู่คนเดียวในบ้านรู้กันไปทั่วเมืองแล้ว ถ้าพวกผู้ชายห่าม ๆ สิ้นคิดสักคนที่มันตามจีบหนูอยู่ มันคิดทำอะไรบ้าๆขึ้นมา….”
หญิงสาวหน้าซีดเผือด เรื่องที่ป้าเตือนคือสิ่งน่ากลัวที่ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

“เด็กสาวใช้ชีวิตคนเดียว ในกระท่อมชานเมืองกลางทุ่งดอกไม้น่ะ มันคือเรื่องในนิทาน แต่ชีวิตจริงมันเป็นไปไม่ได้ หนูก็รู้ ไหนจะคนร้าย ขโมยขโจร แล้วไหนจะสัตว์ร้ายอีกล่ะ หนูเชื่อป้าเถอะ มันจำเป็นที่หนูต้องมีใครสักคนที่พร้อมจะดูแล และคนนั้น ก็ควรเป็นชายหนุ่ม ที่เพียบพร้อม เข้มแข็ง ที่สามารถจะคุ้มครองดูแลหนูในทุกสถานการณ์...”

หญิงสูงวัยจ้องหน้าหญิงสาวก่อนจะยิงคำถามที่เธอเตรียมไว้นานแล้ว
“ป้าได้ยินมาว่าคุณหนูทริสตัน มาติดต่อชอบพอหนูอยู่ไม่ใช่หรือ?”

“เอ่อ....หนูคิดว่า ก็อาจจะอย่างนั้นค่ะ” พลันคิดถึงหน้าหล่อได้รูปท่าทางมั่นใจนั้น แก้มก็ชมพูขึ้นโดยควบคุมไม่ได้

“รับรักแล้วแต่งงานกับเขาเถอะ นี่เป็นโอกาสทองที่พระเจ้าประทานมาเพื่อให้หนูได้พบชีวิตใหม่”

“แต่...แต่ว่าหนู...”

“จะมาต่งมาแต่อะไรอีก คุณทริสตันทั้งหล่อทั้งรวย สมบูรณ์แบบทุก ๆ อย่างในแบบที่สาว ๆ ฝันถึง ถ้าไม่เลือกเขาก็โง่เต็มที ถ้าป้าเป็นหนูนะ ป้าจะไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว”

เมื่อหญิงสูงวัยเห็นว่าหญิงสาวยังเอาแต่ก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดไม่จาก็ถอนหายใจดังเฮือกใหญ่
“ถ้าหนูยังเป็นโรสแมรี่แม่สาววัยรุ่นผู้หลงเชื่อในรักแท้อยู่ ป้าจะบอกความจริงที่โหดร้ายของโลกให้ฟัง ความรักอาจจะกินได้บนสวรรค์ แต่บนโลกใบนี้ถ้าหนูจะกินข้าวไม่ใช่เศษฟางหนูต้องใช้เงิน ป้าไม่เคยเห็นใครที่กินความรักแทนอาหารแล้วอยู่กันยืดสักคู่ แม้แต่พ่อกับแม่ของหนูก็ตาม”

คำพูดของป้าทำให้หญิงสาวถึงกับผงะใจหายวาบ มันเป็นความจริงที่มารดาของเธอพร่ำบอกมาตลอดชีวิต และปรารถนาให้เธอมองเห็นความจริงข้อนี้...เธอควรจะเลือกทำตามความปรารถนาของแม่ใช่ไหม?
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:18 am

เช้าวันรุ่งขึ้นเฟบรอนก็มาหาโรสแมรี่ เขากลับมาพูดคุยกับเธออีกครั้งตั้งแต่เธอสูญเสียแม่ไป ในวันงานอันน่าเศร้าโศกนั้น เขาไม่อาจกลั่นคำพูดใดๆมาปลอบโยนเธอ เพราะรู้สึกตัวว่า ไม่อาจช่วยอะไร หรือทำสิ่งใดให้เธอได้เลย นอกจากอยู่ข้างๆเธอโดยหวังจะเป็นพึ่งพิงอันไร้ค่าในเวลาที่เธอไม่มีใคร

“โรสแมรี่ ไหนล่ะเจ้าตุ๊กตาไขลานที่จะว่าจะให้ซ่อมน่ะ”

“นี่จ้ะ ขอโทษนะที่ฉันเผลอทำมันหล่น เธอยังอุตส่าห์จำเพลงที่พวกเราเคยชอบร้องได้”
“จำได้สิ ไม่เคยลืมเสียงเพี้ยนๆ ของเราสองคนเลยล่ะ”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วต่างก็หัวเราะให้กับความสนุกสนานในวัยเยาว์ แต่แล้วโรสแมรี่ก็สังเกตเห้นว่าเฟบรอนค่อย ๆ เงียบเสียงลงพร้อม ๆ กับแววตาที่เปลี่ยนไป เหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

“เฟบรอน?” เสียงหัวเราะค่อย ๆ เลือนหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ เมื่อเธอเอ่ยเรียก
“โรสแมรี่...” เฟบรอนพูดเพียงเท่านั้นก็กัดริมฝีปากล่างของตน
“มีอะไรหรือ?” โรสแมรี่ยิ้มอย่างให้กำลังใจ ในใจก็คาดหวังในสิ่งที่กำลังจะได้ยิน

“เออ...ไม่มีอะไรหรอก ฉันใจลอยไปหน่อย อย่าใส่ใจเลย” เฟบรอนพูดพลางยกมือบีบหลังคอของตน แสร้งเซมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อน จึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าผิดหวังของอีกฝ่าย

หญิงสาวเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้มองดูร่าเริง
“เฟบรอน ถ้า...ถ้าหากฉัน...ฉัน...ฉันคิดว่าฉังคงต้องแต่งงาน”

เฟบรอนหันควับมาทันที หน้าซีดลงราวกับไร้สีเลือด แววตาตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน
“เธอ...ทำไมต้องรีบแต่ง...?”

“เธอก็รู้ ตอนนี้ฉันเหลือตัวคนเดียวแล้ว ผู้หญิงอยู่เพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ มันอันตรายแค่ไหน ถ้าฉันออกไปขายดอกไม้ เกิดมีโจรขโมยมาคงไม่มีอะไรเหลือ แต่จะยิ่งแย่กว่า ถ้ามันเข้ามาตอนที่ฉันอยู่คนเดียวในบ้าน ผู้หญิงเราถ้าไม่อยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ก็ต้องอยู่ในความดูแลของสามี ฉันไม่มีญาติพี่น้องให้อาศัยอยู่ด้วย ก็ต้อง........” โรสแมรี่พูดพลางมองตาเฟบรอนนิ่ง
(“ผมนี่ไงล่ะที่จะดูแลเธอตลอดไป”) เฟบรอนอยากจะตอบกลับด้วยประโยคนี้ในทันที แต่สมองกลับคิดคำพูดอื่นออกมาแทน
“แล้ว...แล้วเธอจะแต่งกับใคร” เฟบรอนถามพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“เธอคิดว่าฉันควรจะแต่งกับใครล่ะ?” โรสแมรี่ถามด้วยความคาดหวังอีกครั้ง

“เออ...อ่า... ฮ่า ฮ่า ผู้หญิงที่สวยขนาดเธอ ก็ต้องระดับลูกชายท่านเจ้าเมือง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้าชายของอาณาจักรใดสักแห่งน่ะสิ” เฟบรอนพูดออกไปแล้วก็ต้องกัดลิ้นตัวเองและก่นด่าความขี้ขลาดของตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่โรสแมรี่ก้มหน้านิ่งเม้มริมฝีปากสนิทเหมือนพยายามสะกดกั้นอารมณ์บางอย่างไว้

“ระ...โรสแมรี่” เฟบรอนกำหมัดแน่น “ค...คือว่า เอ่อ วันนี้ผมมีบางอย่างอยากให้อ่าน...” เฟบรอนล้วงกระเป๋า หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมาเปิดหน้ากระดาษเปื้อนน้ำมัน แต่ยังไม่ทันได้ยื่นให้

“เจ้าช่างสกปรก หลีกทางให้ท่านทริสตันหน่อยสิ”

เฟบรอนหันมาเจอกระบอกปืนสะกิดขมับก็สะดุ้ง เอ็มมี่กวักปืนให้เขาหลบไป ถ้าไม่ติดว่าเมดสาวเป็นผู้หญิงและมีปืนเขาคงตอบโต้ไปแล้ว เขาจึงได้ก้มหน้าแต่เข็นรถจากไปพร้อมหันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้โรสแมรี่

ทริสตันยิ้มเยาะด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะยิ้มพราวเสน่ห์ให้เธอ โรสแมรี่อดยอมรับไม่ได้ว่าเขารูปงามจริง ๆ ซึ่งความคิดนั้นก็อดทำให้เธอหน้าแดงด้วยความขวยเขินไม่ได้ โรสแมรี่หลงแอบปลื้มเขา แต่กิริยามารยาทดั่งเด็กที่ถูกตามใจจนเสียเด็กทำให้ระดับความชื่นชมของเธอลดทอนลงไปไม่น้อยเสียเดียว

ชายหนุ่มดีดนิ้ว พลันลูกน้องคนหนึ่งก็รีบวางหีบเล็กใส่เพชรพลอยหลากสีสันลงแทบเท้าเธอ เรียกเสียงฮือฮาด้วยความตื่นเต้นจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจนดังเซ็งแซ่

“ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่คุณแม่เธอจากไป วันนั้นหลังจากซื้อดอกไม้ไปผมไปค้าอาวุธกับราชสำนักแอนดิซอง หากผมอยู่คงจ้างหมอดีๆ รักษาท่านได้แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง แต่ก็หวังว่าเพชรพลอยจากแดนไกลเหล่านี้ จะพาเธอคลายโศกจากความสูญเสียได้บ้าง”

“ฉันคงรับของเหล่านี้ไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ หรืออันที่จริง อาการป่วยของแม่ก็ไม่ใช่ภาระหน้าที่รับผิดชอบของคุณด้วยซ้ำ กรุณาเก็บกลับไปเถอะค่ะ ฉันขอรับแค่น้ำใจก็พอ” โรสแมรี่ตื่นตะลึงกับเพชรพลอยตรงหน้าก็จริง แต่มันไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมใด ๆ ที่จะรับของสูงค่าเช่นนี้ไว้

“คุณโรสแมรี่อย่าเข้าใจท่านทริสตันผิดไปสิคะท่านแค่อยากให้คุณคลายความทุกข์โศกลงไปบ้าง”
“ท่านทริสตันทำเพื่อเธอขนาดไหนยังไม่รู้อีก รีบไปดูที่สุสานสิ” เอ็มมี่เชิดหน้าเก็บปืนอย่างไม่ชอบใจนัก

ณ ที่ที่ผู้ให้กำเนิดเธอหลับใหล โรสแมรี่เห็นคนงานจำนวนมากกำลังก่อสร้างสุสานใหม่ด้วยหินอ่อนราคาแพงระยับ ละเอียดอลังการเหนือกว่าป้ายสุสานของขุนนางเจ้าที่ดินหลายคนเสียอีก

ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งน้ำตารินออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอรู้ว่ามารดาของเธอคงอยากได้สุสานที่สวยงามหรูหราอย่างนี้ ใช่...แม่เธอหวังจะมีชีวิตที่สุขสบายมาตลอด และเวลานี้เธอได้พักผ่อนตลอดกาลในสถานที่ที่สวยงามอลังการที่สุด เธอหันไปหาชายหนุ่มรูปงามด้วยความตื้นตันใจ

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณเหลือเกิน” โรสแมรี่ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งโดยไม่รู้เลยว่าภาพบาดใจนี้... ถูกบันทึกในห้วงอารมณ์สับสนผ่านดวงตาท้อแท้ของเฟบรอนที่ตั้งใจมารับเธอที่สุสานเพื่อพากลับบ้าน ชายหนุ่มค่อย ๆ หันหลังและเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:18 am

โรสแมรี่กลับมายังแผงดอกไม้เพื่อรอเฟบรอน เธอคิดว่าเขาจะมารับเธอดังเช่นทุกเย็นหลังจากที่มารดาของเธอจากไป แต่วันนี้เขามาช้าเหลือเกิน หรือวันนี้เขาจะไม่มา จริงอยู่ที่เขาไม่ได้บอกว่าจะมารับ แต่เขาก็มารับเธอทุกวันไม่ใช่หรือ? หญิงสาวขมวดคิ้ว และแล้วคำพูดของป้าข้างบ้านก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก

“ดูความตายที่พรากคนที่หนูรักสิ แม่เธอทนเข้มแข็งตั้งนานทั้งที่ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็ไม่ยอมเบียดบังเงินที่หนูขายดอกไม้ได้วันละน้อยมารักษาตัว แล้วก็ตายอย่างไร้ความหมาย ถ้าหนูแต่งงานกับคนที่หนูรักแต่อยู่กันอย่างขัดสน วันใดที่ป่วยไข้จะทำยังไง หนูจะยื้อชีวิตไว้อย่างไร แต่ถ้ามีเงินอยู่บ้างหมอเก่งๆ ยังพอยืดชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี”

โรสแมรี่มองบุปผาเหี่ยวเฉาโรยแรงในมือ กับเงินจากการขายดอกไม้ทั้งหมดเพราะทริสตันขอซื้อและเธอไม่ต่อต้าน สัจธรรมคือดอกไม้กำลังจะตายแต่เงินทองแม้ไร้ชีวิตหากกำลังเบ่งบาน

“รักที่ยิ่งใหญ่เพียงจินตนาการแต่พอเปิดตามองความจริงมันก็กลายเป็นแค่หมอกควัน แต่เงินสิบันดาลสุขให้เรานานแสนนาน หนูจะเลือกแบบไหน ป้าไม่เชื่อว่าผู้หญิงชื่อโรสแมรี่ จะโง่จนหลงพาตัวเองเดินจมลงทะเลทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น”

โรสแมรี่กัดริมฝีปากล่างมองไปยังถนนที่เฟบรอนมักจะใช้เพื่อมารับหล่อนเป็นประจำ แต่ทว่าไม่มีใครเลย ไม่มีแม้เงา หญิงสาวผู้แบกรับความรู้สึกหลากประการสูดหายใจเข้าเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างอย่างแน่วแน่ในใจพลางลุกพรวดขึ้น เดินออกไปหาป้าด้วยใจร้อนรน

น็อตร่วงจากมือเป็นตัวที่ยี่สิบแล้ว ให้ตายเถอะ ระยะนี้เขาเหม่อลอยสติสตังไม่อยู่กับตัว และยิ่งไม่อยากเล่าเรื่องโง่เง่าของตนให้ใครฟังเลยอาทิ เมื่อเช้าเผลอยกน้ำมันเครื่องซดแทนนม หรือวันก่อนติดเครื่องหั่นเนื้อไว้ริมสระ แทนที่จะเป็นปั๊มน้ำ

เขาขยับสะโพกให้นั่งถนัด เงินเหรียญค่าจ้างที่วางข้างตัวก็หล่นกระจายกลิ้งไปทั่วห้อง ด้วยความที่เป็นเศษเหรียญด้อยค่าปริมาณมากจึงกลิ้งเข้าไปช้อนในซอก เขาตามเก็บด้วยความเบื่อหน่าย ทริสตันไอ้คนรวยตัวเป้งกำลังจีบโรสแมรี่ หญิงที่ครองหัวใจเขาตั้งแต่จำความได้

แม้จะระวังความคิดแต่ก็ยังคิด เขาเหมาะสมกับเธอมากกว่าไอ้หนุ่มสำอางค์นั่นเป็นไหนๆ มันรู้จักโรสแมรี่ดีเท่าไหร่เชียวมันจะทำให้ดอกไม้ที่งามสุดในโลกมีความสุขได้อย่างไร

เหรียญค่าเล็กที่สุดเหรียญหนึ่งร่วงจากช่องใต้มือ เสียงกังวานตบหน้าเขาให้สำนึกตัว ใช่ เขาจนกรอบ เขาจะมีปัญญาทำให้โรสแมรี่มีความสุขหรือ? โรสแมรี่ลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว เธอสมควรจะได้รับสิ่งดี ๆ บ้าง

“ผมเป็นเพียงช่างซ่อมจนๆ ผมต่างหากล่ะที่ไม่อาจทำให้โรสแมรี่มีความสุข”

“บ่นพึมพำอะไรคนเดียวหา ไอ้ช่างต๊อกต๋อยเฟบรอนเพื่อนยาก”

หนุ่มไปรษณีย์ประจำเมือง(Postboy)เพิ่งลงจากหลังคูกาโร เข้ามาทักทายด้วยท่าทีกวนๆ เช่นเคย
“ลมอาคิมหอบแกมาถึงนี่ได้ยังไง ฉันกำลังยุ่งจะพูดอะไรก็รีบพูด”

“โรสแมรี่กำลังจะแต่งงาน”

เฟบรอนรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า และสมุนซาตานนับพันตัวช่วยกันรุมทึ้งซากที่ไหม้เกรียมของเขา

“แต่งกับใคร ทริสตันลูกชายมหาเศรษฐีคนนั้นใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ ป้าข้างบ้านของโรสแมรี่เพิ่งเที่ยวป่าวประกาศเมื่อเช้าว่า วันเกิดของโรสแมรี่อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าใครให้ของขวัญที่เธอพอใจที่สุด เธอจะแต่งงานกับคนๆ นั้น”

ช่างกลตกตะลึงในคำตอบที่ได้รับ ทำไมเธอจึงใช้วิธีการเลือกคู่ราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายแบบนี้

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ข้านึกว่าเธอรับรักทริสตันแล้วเสียอีก”

“ไม่รู้... แต่ตอนนี้ใคร ๆ ก็พากันตื่นเต้นกับข่าวนี้กันใหญ่ เพราะกลายเป็นว่าตอนนี้ใคร ๆ ก็มีโอกาสชนะใจนางได้ นี่เห็นแกความเป็นเพื่อนนะ เลยมาบอก...” บุรุษไปรษณีย์ยิ้มยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี “แต่อยากให้เจ้ารู้ไว้อย่างว่า ข้าก็เป็นศัตรูหัวใจเจ้าคนหนึ่ง รวมถึงหนุ่ม ๆ เกือบทั้งเมืองด้วย ใคร ๆ ก็สนใจโรสแมรี่ทั้งนั้น” เฟบรอนมองเพื่อนของตนด้วยความตื่นตะลึง อาการหึงหวงพุ่งขึ้นจนเขาต้องลุกพรวดขึ้นถลึงตามองอีกฝ่าย

“เฮ้ ๆ ข้าไม่ได้เป็นคนออกไอเดียแข่งขันนี้ขึ้นมานะ จะมาโกรธข้าได้ไง เจ้าตามโรสแมรี่ต้อย ๆ มาเป็นปี ๆ แต่ก็อาศัยความเป็นเพื่อนบังหน้าจนพลาดโอกาสเองนี่หว่า ตอนนี้เราจะได้สู้กันอย่างยุติธรรมแล้ว...พร้อมกับคนอื่น ๆ อีกครึ่งเมืองด้วย ข้าไปหล่ะ...โชคดี” บุรุษไปรษณีย์โบกมือให้ก่อนจะเหวี่งตัวขึ้นหลังคูกาโร่แล้วควบจากไป เขากับเฟบรอนเป็นเพื่อนกันมานาน แม้จะไม่นานเท่ามิตรภาพของเฟบรอนกับโรสแมรี่ แต่เขาก็รู้ว่าเพื่อนช่างกลของเขาเป็นคนดีและมีเหตุผล และคงไม่เลิกคบกับเขาเพราะเรื่องแบบนี้ ที่จริงถ้าโรสแมรี่เลือกเฟบรอน เขาก็ยอมรับได้ และยอมถอยแต่โดยดี แต่ในเมื่อโรสแมรี่ไม่ได้เลือกเฟบรอนและเปิดโอกาสให้หนุ่ม ๆ ทั้งเมืองขนาดนี้ เขาก็อยากจะลองดูสักตั้ง

เฟบรอนทรุดลงนั่งมองเพื่อนหายไปพ้นสายตา ใช่...เขาไม่มีสิทธิ์โกรธใครเลย นอกจากตัวเอง เพื่อนของเขาพูดถูก เขาอ้างความเป็นเพื่อนในการใกล้ชิดโรสแมรี่เสมอมา เขาไม่กล้าบอกรักเธอเพราะกลัวที่จะเสียแม้แต่ความเป็นเพื่อนไป ชายหนุ่มเหม่อมองถนนด้วยใจหลุดลอย และถ้าเขาจะรับรู้วันเวลาสักหน่อยจะพบว่าตนเองนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรจนกระทั่งตะวันตกดิน
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:19 am

ที่ริมชายหาด ชายหนุ่มยืนมองแสงจันทร์สีเงินที่สะท้อนอยู่บนยอดคลื่นดูน่าหดหู่และแสนเศร้า ความละเมียดละไมในใจเขาทำงานหนักทั้งที่ไม่คุ้นชิน จังหวะคลื่นวิ่งเล่นบนหาดทราย ก่อนหวนสู่อ้อมกอดมหาสมุทรกล่อมใจที่พุ่งพล่าน เขารักโรสแมรี่เหลือเกิน รักที่ก่อร่างทุกทิวาราตรีก่อนหลับฝัน รักที่สะสมจนยิ่งใหญ่ดั่งมหาวิหารแห่งแอนดิซอง รักที่ซับซ้อนเหนือกว่าเครื่องกลใดๆ รักที่เต็มล้นใจเขาจนแทบระเบิด

แต่สาวเจ้าล่ะรักเขาบ้างไหม มองเฟบรอนช่างซ่อมจนๆ อยู่ในฐานะที่อาจเป็นชายยอดรักได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงชิ้นส่วนของชีวิตที่หายไปสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่เสียหาย

หน้ากระดาษเปื้อนๆ ของสมุดบันทึกเปิดออก บทกวีไวยากรณ์ขาดๆ หายๆ ถูกออกเสียงผิดๆ ถูกๆ เฟบรอนพยายามเขียนมันทั้งที่ความรู้หนังสือแค่หางอึ่ง เขาคิดจะให้เธออ่าน แต่มาคิดดูอีกทีก็ดีแล้วล่ะที่เธอไม่ได้เสียสายตากับมัน เธออาจจะหัวเราะขบขันกับมันก็ได้ หรือยิ่งกว่านั้นเธอไม่ได้คิดเหมือนเขา เขาไม่กล้ามอบของขวัญให้เธอพิจารณา เขากลัว จะทำเช่นไรถ้าถูกคนที่แอบรักมาสิบกว่าปีปฏิเสธต่อหน้าสาธารณะชน

เฟบรอนเดินลากขาด้วยความทดท้อมุ่งตรงไปยังบ้านของหญิงที่รัก ชายหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านโรสแมรี่ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาลังเล หวาดหวั่น และสับสน มีหลายครั้งที่เขาตัดสินใจหันหลังกลับ แต่อีกใจก็ตะโกนร้องอย่างสุดเสียงให้เขาเดินหน้าต่อไป เขาทำใจอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าจะยกมือขึ้นเคาะประตู

“ใครคะ?” เสียงหวานใสของหญิงสาวดังขึ้นที่อีกฟากของประตู แต่มีเพียงความเงียบเชียบที่ตอบกลับไป
“นั่นใครน่ะ? ฉันจะไม่เปิดประตูนะคะ ถ้าคุณไม่บอกว่าคุณเป็นใคร” ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้ แม้จะในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เธอก็ยังคงสุภาพอ่อนหวาน แม้กับคนที่อาจจะแปลกหน้า

“ผมเอง เฟบรอน” เขาตอบ และทันใดนั้นเสียงถอดกลอนอย่างรวดเร็วก็ดังขึ้นหลังประตูนั้น
“เฟบรอน!” หญิงสาวเอ่ยด้วยความยินดี จนใบหน้าดูกระจ่างใสพาลทำให้หัวใจของเขาพองโต เธอดีใจที่ได้เห็นเขา “โอ เฟบรอน เธอหายไปไหนมา ฉันนึกว่าเธอโกรธ เกลียดฉันเสียอีก”
“เธอกลัวว่าผมจะโกรธ จะเกลียดเธอหรือ?” ชายหนุ่มถาม แอบตั้งความหวังไว้ลึก ๆ ในใจ
“กลัวสิ ฉันยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าฉันทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่า เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ดีกับฉันเสมอไม่เคยเปลี่ยน ฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป”

เฟบรอนสะดุดใจกับคำว่าเพื่อนจนหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว พยายามมองความรู้สึกใด ๆ ที่อาจแอบซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ

“ผมได้ยินว่าเธอจะแต่งงานกับคนที่มอบของขวัญที่ถูกใจที่สุดให้เธอ เป็นความจริงหรือ?”
รอยยิ้มของหญิงสาวค่อย ๆ หายไปจากริมฝีปากบาง ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย เธอใช้ความเงียบแทนคำตอบ

“ทำไม? อย่างน้อยเธอควรเลือกคนที่เธอรัก คนที่เธอชอบ คนที่เธออยู่ด้วยแล้วสบายใจ หรือ คนที่เธอคิดว่าเขาจะทำให้เธอมีความสุข แต่ไม่ใช่เพราะใครให้อะไรถูกใจกว่ากัน” เฟบรอนพูดด้วยความเจ็บปวด จนหญิงสาวต้องใช้สองมือยึดประตูไว้ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอทรยศเขา แต่เธอทรยศเขาหรือ?

“เธอไม่เข้าใจหรอก เฟบรอน…”

“งั้นเธอก็อธิบายให้ฉันเข้าใจสิ...เรา...เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”

โรสแมรี่ผงะกับคำตอกย้ำของเขา หญิงสาวหลับตาลง บดบังความรู้สึกใด ๆ ที่อาจจะแสดงออกมาจากดวงตา

“ฉัน... คะ...ความรักก็เหมือนดอกไม้ ช่างสวยงาม และหอมหวาน แต่ไม่อาจรักษาไว้ได้นาน เพียงวันผันผ่านก็เริ่มร่วงโรย ความรักนั้น นำความชุ่มชื่นจิตใจเมื่อเริ่มต้น และจบลงที่การพลัดพรากอันโหดร้ายเมื่อบั้นปลาย ฉันกลัวการเหี่ยวเฉาของพฤกษาแห่งรัก จนยินดี ปล่อยให้มันเบ่งบานโดยไม่แตะต้อง ดีกว่าที่จะเด็ดมันมาปักแจกัน เพื่อเห็นมันโรยราเมื่อรุ่งสาง”

โรสแมรี่พูดเพียงเท่านั้นก็ผลุบผลับปิดประตู ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า

“ไม่ โรสแมรี่” ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าหญิงสาวหวาดกลัวอะไร เธอกลัวการพลัดพราก เธอกลัวการลาจาก ดังเช่นพ่อของเธอทำกับเธอและแม่ ดังเช่นแม่ของเธอที่จากเธอไป ชายหนุ่มรู้สึกโศกเศร้าไปกับเธอด้วย เขายกมือขึ้นลูบบานประตูเย็นชืดตรงที่หญิงสาวยืนอยู่เมื่อสักครู่ ราวกับจะสัมผัสถึงไออุ่นที่หญิงสาวทิ้งไว้ คำพูดแผ่วเบาจนแทบกระซิบ ทว่าก็กลั่นออกมาจากหัวใจของเขา

“ผมอยู่เคียงข้างเธอเสมอมา ไม่ใช่เพราะความเป็นเพื่อน แต่เพราะผมรักเธอ โรสแมรี่ ความรักของผมจะไม่มีวันร่วงโรย ผมรักเธอ รักเธอตลอดมา และจะตลอดไปชั่วชีวิตของผม ผมจะทำอย่างไรดี... ผมควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าเธอคิดผิด”

ท้องฟ้ายามค่ำคืน มืดมิดหม่นหมองเหมือนในใจของเขา “แม้ผมจะไม่ได้พูดให้เธอได้ยิน แต่ผมก็แน่ใจว่าอาจมีใครที่ได้ยินความจริงใจของผม” เฟบรอนเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวระยิบระยับแข่งกันอวดแสง แม้จะเป็นเพียงแสงเล็กๆ แต่ดวงดาวเล็กๆก็อาจชี้นำทางในความมืดได้ เหมือนประกายความหวังเล็กที่ระยับขึ้นในใจของชายหนุ่ม “ข้าแต่พระเจ้า องค์ความรัก ลูกเป็นแค่คนยากจนไม่มีสิ่งใดให้หญิงที่ตนรัก มีแต่ความรักที่จริงใจเท่านั้น พระองค์ทรงทราบดีว่าความจริงใจนี้แท้จริงแค่ไหน โปรดชี้ทางแก่ผู้ต่ำต้อยด้วยเถิดว่า ลูกควรจะทำอย่างไรดี?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:19 am

ที่ชายหาดยามเที่ยงคืน เสียงคลื่นม้วนตัวสาดซัดชายหาดดังเป็นจังหวะ ฉับพลันนั้นก็มีเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ

โครม! ซ่า!

พลันเกิดวัตถุขนาดยักษ์กระแทกชายหาด ตามด้วยกำแพงน้ำลอยสูงก่อนโปรยลงเป็นฝนย่อมๆ เรือเหาะลำใหญ่(Caelnavis, the Airship of Prophet) กางใบเรือขาวสะอาด มีเงา 4 เงาเคลื่อนไหวอยู่บนเรือท่ามกลางความมืด

“เมืองนี้แหละที่มีช่างกลมีฝีมืออยู่มากมาย คงมีใครสักคนที่พอจะช่วยเราได้” หญิงสาวผมยาวสลวยสวมหมวกปีกกว้างใส่เสื้อสีฟ้าน้ำทะเล สวมทับด้วยเสื้อคลุมขาวเหมือนพวกกัปตันเรือนิยมใส่กัน เธอพูดพร้อมกับขยับหมวกปีกกว้างให้เข้าที่ตามความเคยชิน

“ใช่เลย ข้าแทบจะได้กลิ่นน้ำมันเครื่องเลยล่ะ” โคบอล์ด สิ่งมีชีวิตคล้ายสุนัขทว่ายืนสองขาและมีความฉลาดหลักแหลมไม่ต่างจากมนุษย์ทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นที่ลอยมาตามอากาศ

“งั้นพรุ่งนี้เช้าเราเข้าเมืองกัน” ชายที่มีกงเล็บเหล็กพูดขึ้นพลางมองกวาดตาไปรอบ ๆ สำรวจพื้นที่เพื่อระแวดระวังภัยตามสัญชาตญาณ

“หวังว่าพระเจ้าจะทรงนำทางให้เรา ฝากตรวจสอบบริเวณโดยรอบด้วยนะ ฟาริด ข้าจะไปพวกทุกคนให้พักผ่อนและเตรียมเข้าเมืองพรุ่งนี้” ชายในชุดขาวขลิบแดงหันไปเอ่ยกับชายผู้มีกงเล็บเหล็ก

“ขอรับ” ฟาริดรับคำก่อนจะกระโดดลงจากเรือเหาะ วิ่งหายไปในเงาหินและร่มไม้

“ท่านเข้าไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลที่นี่เอง” หญิงสาวกล่าว

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำก่อนจะมองลึกเข้าไปยังแผ่นดิน ที่ซึ่งมีแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยอยู่ร่ำไรในความมืด
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:19 am

เช้าวันรุ่งขึ้น เฟบรอนนั่งอยู่ในร้านของตน ยังคงทำงานอย่างขมักเขม่นอย่างเช่นทุกวัน แม้จะทดท้อหมดกำลังใจ แต่ปากท้องก็ยังต้องหาเลี้ยง แน่นอนว่าเฟบรอนเก่งในเรื่องช่างกล ขยัน มีน้ำใจ ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาเสมอไม่ได้ขาด ทว่าด้วยความใจดีของเขา จึงคิดค่าบริการแสนถูกและถึงขั้นทำให้ฟรีถ้าลูกค้ายากจน หน่ำซ้ำร้านยังตั้งอยู่ใกล้กับร้านช่างยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งดึงดูดลูกค้าที่ร่ำรวยไปเกือบหมด จึงทำให้เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้เสียที ใช่ว่าเขาจะไม่อยากย้ายร้านไปตั้งที่อื่น แต่เพราะเขายากจนจนไม่มีเงินพอจะไปเช่าแผงที่ใหญ่กว่าและไกลจากร้านหรูหรานั้นต่างหาก

ระหว่างที่กำลังง่วนทำงานอยู่นั้น พลันหางตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง สายตาของเขาแน่นอนว่ามีแต่โรสแมรี่เสมอ แต่ถ้าไม่ใช่โรสแมรี่แล้วละก็ ก็มีแต่เครื่องจักรกลเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาของเขาได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นจักรกลที่อยู่อีกฟากของตลาด ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น จักรกลครึ่งตัวที่ใช้เป็นยานพาหนะแบบบังคับมือ นี่มันสุดยอดเทคโนโลยีของอาณาจักรไหนเนี่ย เขาแทบไมได้สนใจผู้ขับหรือสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย รีบคว้ากระดาษกับดินสอกางลงบนโต๊ะ จัดแจงกวาดข้าวของเกะกะออกจากโต๊ะจนหมดแล้วลงมือร่างแบบวิธีการสร้างเจ้าจักรกลตรงหน้าทันที

วัสดุควรจะเป็นชนิดไหน ยาวสั้นแค่ไหน ใช้น๊อตกี่ตัว สายพาน...แน่นอนต้องใช่แน่ สายไฟกี่ขด โลหะต้องตัดเป็นรูปร่างแบบไหน เฟบรอนก้มหน้าก้มตาร่างแบบอย่างเอาเป็นเอาตายจนรู้สึกเหมือนมีไฟลุกพรึบพรับเลยทีเดียว




ในตลาดที่จ้อกแจ้กจอแจ จู่ ๆ ก็เงียบเสียงลง ต่างชี้ชวนกันดูกลุ่มคนแปลกหน้าด้วยความสนอกสนใจ ชายสามคนหรือจะเรียกว่าสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินเข้ามาในตลาดด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ท่าทางสบาย ๆ นั้นก็ทำให้ผุ้คนในตลาดแตกตื่นไม่น้อย อาจเป็นเพราะส่วนผสมที่ดูไม่เข้ากันของทั้งสาม คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าดูคมเข้ม ทว่าสีหน้าและแววตาใจดี ยิ้มแย้มด้วยไมตรี ให้กับทุกคนที่สบตา ในขณะที่อีกคนซึ่งวางตัวเหมือนเป็นองครักษ์กลับมีสีหน้าเรียบเฉย สายตาคมปราบมองไปทั้งซ้ายขวา แม้จะไม่ได้มีทท่าทีคุกคาม แต่การก้าวเดินแต่ละก้าวก็บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นยอดฝีมือและพร้อมจะจู่โจมทันทีที่ใครเผลอทะเล่อทะร่าเข้าไปหาเรื่องด้วยกงเล็บที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม ส่วนอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นโคบอล์ดขี่หุ่นยนต์บังคับมือครึ่งตัวเดินอยู่อีกข้าง สายตามองนั่นมองนี่ด้วยความสนอกสนใจไปรอบตลาด

Untitled-2 copy.jpg


“พวกเรากำลังมองหาช่างกลฝีมือดี ไม่ทราบว่าท่านพอจะแนะนำคนที่เราต้องการให้ได้ไหม?” ชายผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยถามพ่อค้าเนื้อที่อยู่ใกล้

พ่อค้าเนื้อเงยหน้าขึ้นด้วยความหงุดหงิดกวาดตามองผู้ถามด้วยไม่สบอารมณ์ที่เขามาถามหาคนแทนที่จะมาซื้อเนื้อของเขา ทว่าเมื่อกวาดตาขึ้นลงมองเครื่องแต่งกายของผู้ถามแล้วก็ต้องฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหล๋อของเขาพลางถูมือไปมา “ขอรับ นายท่าน ช่างกลที่มีฝีมือหรือขอรับ เอ...คนไหนน๊า? สมองข้าไม่ค่อยดีด้วยสิ ถ้านายท่านจะ...”

เสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้นทางเบื้องหลัง ทำให้พ่อค้าเนื้อต้องชโงกตัวไปมองตามเสียง ก็พลันเห็นเงาคมกริบของกงเล็บเหล็กกำเข้าและแบออก จึงเลื่อนสายตาขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของจนได้เห็นรอยยิ้มเย็นเฉียบพร้อมสายตาคมเข้มมีประกายดุดันของอีกฝ่าย ทันใดนั้นแข้งขาก็อ่อนยวบทรุดลงไปนั่งก้นจ่ำเบ้าอยู่กับพื้น

“ไม่เอาน่า ฟาริด” เสียงชายตรงหน้าดังขึ้นปราม ก่อนจะหันไปยิ้มให้พ่อค้าเนื้อ “เขาแค่ชอบแหย่คนเล่นเท่านั้น ไม่ทำอะไรท่านหรอก”

“ขะ..ขะ...ขอรับ นะ...นายท่าน” พ่อค้าเนื้อที่ตอนแรกคิดจะลีลาขอค่าบอก ก็สั่นพั่บ ๆ ความตั้งใจหายวับไปกับตา “ชะ..ช่างกลเก่ง ๆ ก็มีที่ร้านนั้น” พ่อค้าชี้นิ้วสั่น ๆ ไปทางร้านใหญ่ “ร้านนั้นรวมคนเก่ง ๆ ไว้เยอะ คนรวย ๆ ชอบไปใช้บริการที่นั่นกันทั้งนั้น”
ทั้งสามหันไปมองตามทิศทางที่พ่อค้าชี้

“ตะ..แต่ถ้า...” พ่อค้าพูดต่อ “ แต่ถ้าช่างฝีมือดี ราคาถูก ที่คนทั้งตลาดยกนิ้วให้ ก็ต้องคนโน่น ที่นั่งก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรอยู่ในร้านโทรม ๆ ข้างร้านใหญ่นั่นล่ะ”

“นั่นรึ?” ชายหนุ่มหันไปมองอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มหน้าตามอมแมมด้วยน้ำมันเครื่องกำลังตั้งอกตั้งใจเขียนอะไรสักอย่างอยู่
“ฝีมือดีจริงรึ?” ฟาริดเลิ่กคิ้วถาม เพราะเห็นความทรุดโทรมของร้านและช่างที่ดูอายุยังน้อยก็อดกังขาไม่ได้

“จะ..จริงขอรับ เจ้านั่นชื่อเฟบรอน ไม่ว่าอะไรเขาก็ซ่อมได้หมด ค่าซ่อมก็ตามจริงไม่มีโก่งราคา แถมบางทีทำให้ฟรีด้วยถ้าไม่มีตังจ่าย ข้าก็ไปใช้บริการฟรีบ่อย ๆ แหะ แหะ”

คนทั้งสามเลิ่กคิ้วเมื่อได้ฟัง แต่ก็นึกชมชอบหนุ่มช่างกลอยู่ในใจ พ่อค้าที่ไม่เอาเปรียบแถมมีน้ำใจนั้นหาได้ยาก ยิ่งในภาวะสงครามเช่นนี้ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่

“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มยิ้มพลางวางเหรียญทองให้พ่อค้าหนึ่งเหรียญก่อนจะเดินจากไป ทำเอาพ่อค้ายิ้มหน้าบานจนแก้มปริ

ทันทีที่กลุ่มคนแปลกหน้าเดินเข้าไปใกล้ พ่อค้าจากร้านช่างกลใหญ่ก็รีบปรี่เข้ามาทันทีด้วยรอยยิ้มที่พร้อมจะค้าขายแบบพ่อค้ามือฉมัง พลางพยายามต้อนชายทั้งสามเข้าไปยังร้านของตน ไม่แปลกใจเลยที่พ่อหนุ่มช่างกลจะดูยากจนเหลือเกิน เพราะดูเหมือนจะโดนแย่งลูกค้าแบบนี้เป็นประจำ กระนั้นเขาก็ยังคงตั้งใจขีดเขียนอะไรอยู่บนโต๊ะโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูเลย พอทั้งกลุ่มทำท่าจะเดินไปทางเฟบรอน พ่อค้าใหญ่ก็รีบก้าวเข้ามาขวางพร้อมรอยยิ้มกว้างเหมือนนักล่าที่ไม่ยอมให้เหยื่อหลุดมือ

“นายท่าน เชิญแวะที่ร้านข้าดีกว่า ร้านข้าสะดวกสบาย ทันสมัย และดีที่สุดในเมือง และ...”

“จุ๊ จุ๊ จุ๊...พ่อค้าที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันไปหมดสิน่า” ฟาริดพูดพลางยกกงเล็บขึ้นชูนิ้วหนึ่งส่ายไปมาตรงหน้าพ่อค้าช้า ๆ พ่อค้าใหญ่ตกใจหน้าซีดจนตัวสั่นหงัก ๆ รีบถอยหลบไปในทันใด ปล่อยให้ทั้งสามเดินไปยังทิศทางที่ต้องการ

เมื่อทั้งสามเดินทางหยุดอยู่ตรงหน้าเฟบรอนและมองลงไปยังกระดาษที่ชายหนุ่มกำลังตั้งอกตั้งใจเขียนนั้น ทั้งสามก็ต้องตกตะลึงในสิ่งที่เห็น ต่างหันมามองหน้ายิ้มให้กัน นี่แหละคนที่พวกเขากำลังมองหา

“สวัสดีเฟรบรอน” ชายหนุ่มเอ่ยทักทำให้เฟบรอนเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร เฟบรอนก็สะดุ้งเฮือกลุกขึ้นถอยหลังออกจากโต๊ะด้วยความตกใจ

“ผะ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะลอกเลียนแบบหุ่นยนต์ของท่านนะครับ” เฟบรอนตกใจจนเกือบจะลนลานเลยทีเดียว ยิ่งเห็นกงเล็บของชายผิวเข้ม ก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่

“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องตกใจ พวกเราไม่ได้มาหาท่านเพราะเรื่องนั้น” ชายหนุ่มตรงหน้าพูดเสียงนุ่มพร้อมยิ้มปลอบใจ

โคบอล์ดบังคับมือกลให้หยิบแผ่นกระดาษบนโต๊ะมาดูใกล้ ๆ ก่อนจะกวาดตาไปทั่วแผ่น “อืม...อืม... ไม่ถูกต้องซะทีเดียว แต่ก็ อืม...ใกล้เคียง อืม...ตรงนี้สร้างสรรดี หึ หึ อืม ๆ “ โคบอล์ดพยักหน้าหงึก ๆ ระหว่างไล่ดูตามแบบร่างในมือ จนที่สุดก็เงยหน้าขึ้น “ฝีมือไม่เลวนิ นี่ร่างจากแค่มองเมื่อกี้รึ?”

“คะ...ครับ” เฟบรอนตอบ แต่ก็ไม่วายมองสำรวจการทำงานของจักรกลตรงหน้า แม้จะยังตกใจแต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ได้มีโอกาสเห็นการทำงานของหุ่นยนต์อย่างใกล้ชิด

“เยี่ยม... ข้าชอบ ข้าเลือกเจ้าหนุ่มนี่ ถ้าสามารถร่างแบบได้ขนาดนี้จากแค่การมองแป๊บเดียว แปลว่าฝีมือไม่ธรรมดา แถมอายุก็ยังน้อยน่าจะพัฒนาฝีมือได้อีกไกล ท่านเห็นว่าไง” โคบอล์ดหันมาถามชายตรงหน้า

“เรื่องเครื่องจักรก็ต้องแล้วแต่ท่านอยู่แล้ว” ชายหนุ่มหันไปยิ้มตอบ
“เลือกผม? พวกท่านกำลังพูดถึงอะไรหรือครับ?” เฟบรอนตามไม่ทันจริง ๆ

“โอ... จริงสิ พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวเลย” ชายตรงหน้าหันมายิ้มกว้างพูดขึ้น “ข้าชื่ออิสฮาน พวกเราคือคณะประกาศก ผู้เดินทางจาริกประกาศข่าวประเสริฐและช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ไปทั่วดินแดน ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของพวกเราบ้าง นี่คือสมาชิกของข้า อุลเมอร์และฟาริด ”

โคบอลด์อุลเมอร์(Kobold Ulmer, the Prophet’s follower)ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจับมือเขา และเมื่อมองไปยังคนชื่อฟาริด(Farid, the Prophet’s follower)ผู้มีใบหน้าคมเข้มเยี่ยงชาวซาโลม ก็ได้แต่ประหวั่นว่ากงเล็บยาวนั้นจะไม่ทำอันตรายใดๆกับเขาซึ่งดูเหมือนฟาริดจะรู้ได้ว่าชายหนุ่มประหวั่นกับกงเล็บของเขา จึงแค่พยักหน้าเป็นเชิงทักทายกับเขาแทน

“ยินดี ที่ได้พบท่าน สิ่งที่พวกท่านทำไม่มีใครเลยในทวีปเมอร์ริเซียจะไม่รู้ ว่าแต่ที่พวกท่านมาหาผม ต้องการให้ผมช่วยอะไรหรือครับ?”

“พวกเรากำลังมองหาช่างฝีมือดีมาช่วยพวกอุลเมอร์ดัดแปลงเรือเหาะเพื่อใช้เดินทางข้ามช่องแคบที่ค่อนข้างอันตราย และอุลเมอร์เลือกท่าน ท่านจะช่วยพวกเราได้ไหม?” อิสฮานถาม



“ผม...” เฟบรอนรู้สึกลังเล มองอิสฮานด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ท่านเรียกราคามาได้เลย พวกเราไม่เกี่ยงถ้ามันสมเหตุสมผล ถ้านั่นเป็นสิ่งที่ท่านกังวล”

“ไม่ใช่ครับ ผมอยากจะทำ ผมเต็มใจทำให้ท่านฟรี ๆ ก็ยังได้ เพราะท่านจะไปช่วยผู้คน เพียงแต่ตอนนี้ผม...” เฟบรอนมีสีหน้าลำบากใจอีกครั้ง

“ท่านมีอะไรทำให้ไม่สบายใจหรือ?” อิสฮานรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มอยากตอบรับ แต่ก็มีความทุกข์บางอย่างที่กรุ่มรุมอยู่ในใจทำให้เขาลังเล ความท้อแท้อับจนหนทางในดวงตาของหนุ่มช่างกลทำให้อิสฮานสงสารและเห็นใจ เขารู้จักอารมณ์เช่นนี้ดี เพราะตัวเขาเองก็อยู่กับความอึดอัดสับสนอับจนหนทางมาทั้งชีวิต “ถ้าไม่รังเกียจจะระบายให้พวกเราฟังก็ได้ พวกเราอาจช่วยอะไรท่านได้บ้าง หรืออย่างน้อยการได้พูดระบายออกมาบ้างก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้นะ”

เฟบรอนนิ่งไปชั่วขณะ เขามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประกาศก ชื่อเสียงของประกาศกอิสฮานขจรขจายมาถึงเมืองที่เขาอยู่ เขาไม่คิดว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้จะมานั่งฟังความทุกข์ของเขา เรื่องไร้สาระน่าขำที่ไม่มีค่าใด ๆ สำหรับการเผยแพร่คำสอนของพระเจ้า แต่มีบางอย่างในใจบอกเขาว่า บุรุษตรงหน้าจะเข้าใจความทุกข์เขา จะไม่หัวเราะเยาะความอ่อนแอของเขา พระเจ้าอาจจะส่งผู้รับใช้ของพระองค์มาบรรเทาใจเขา เฟบรอนพยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกและเริ่มเล่าสิ่งที่อยู่ในใจของตนออกไป
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:20 am

“ที่แท้เรื่องก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” อิสฮานเอ่ยขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด “และท่านก็คิดจะมอบของขวัญให้เธอคนนั้น”
“ครับ ผมคิดเอาไว้แล้วว่าจะมอบอะไรให้เธอ แม้ผมไม่รู้ว่าอนาคต เราจะอยู่กันไปนานแสนนานแค่ไหน จะได้ครองรักกันตลอดกาลหรือไม่ ผมไม่อาจจะรู้อนาคตล่วงหน้าได้ แต่สิ่งที่ผมกำลังจะทำ มันจะคอยดูแลเธอไปอีกแสนนาน แม้ว่าเราทั้งสองจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีก แต่สิ่งนี้จะยังอยู่ต่อไปเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ผมจะพิสูจน์ว่า ความรักของผมนั้นจะคงอยู่ดูแลเธอ แม้ผมจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม””

“นั่นน่าประทับใจมาก” อิสฮานยิ้ม ชื่นชมกับความรักมั่นที่ชายหนุ่มมี ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มตอบ รู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจ “เธอจะต้องเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความรักของท่านที่มีต่อเธอแน่นอน แต่นั่นก็ไม่เห็นจะใช่เหตุผลที่ท่านจะปฏิเสธไม่ช่วยพวกเราดัดแปลงเรือเหาะนี่”

“คืออย่างนี้ครับ ผมตั้งใจจะไปหาส่วนประกอบหนึ่งของสิ่งประดิษฐ์ของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่พิเศษมากและการจะได้มันมานั่น...ก็ยากมาก” เฟบรอนพูดถึงตรงนี้ก็ต้องถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม

“มันคืออะไร?” อุลเมอร์ซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มานานก็อดรนทนไม่ได้ เอ่ยขึ้นด้วยความสนอกสนใจ

“มันคือ หินแร่ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน ซึ่งเรียกได้ว่าพลังงานของมันไม่มีวันหมด”

“โอ้...นั่นฟังดูน่าสนใจทีเดียว” อุลเมอร์ยิ้มหันไปมองอิสฮานตาใส

อิสฮานยิ้มขำอุลเมอร์ พอจะเข้าใจความสนอกสนใจของนักประดิษฐ์ ก่อนจะหันไปกระตุ้นเฟบรอน “เล่าต่อไปสิ”

“ครับ ห่างจากชายฝั่งที่นี่เดินทางประมาณ 3 วัน มีเกาะชื่ออ้อมกอดพระเพลิง มีตำนานเล่าว่ามันเกิดขึ้นเพราะมหาจอมเวทย์ 2 คนเคยต่อสู้กันด้วยเวทย์มนต์ขั้นสูงเหนือพื้นน้ำ สิ่งที่หลงเหลือคือผลจากพลังเวทย์ที่ตกค้างร่วงลงสู่ทะเลเกิดเป็นเกาะร้อนระอุท่ามกลางทะเลหนาวยะเยือกของแอนดิซอง ว่ากันว่าภายในเกาะตัดขาดจากความชื้นภายนอกโดยสิ้นเชิงเกาะจึงไม่เย็นลง และอัดแน่นด้วยมวลสารแห่งความร้อนที่สั่งสมจากแสงพระอาทิตย์ ณ ทางลอดใต้ภูเขาไฟบริเวณกลางเกาะที่ความร้อนรวมกันสูงสุดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแร่หัวใจลาวา แร่นี้กักเก็บพลังงานมหาศาลที่สั่งสมมาหลายร้อยปี ขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติดูดซับความร้อนได้ง่าย เพียงวางไว้กลางแดดก็สามารถชาร์จพลังงานตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นที่หมายปองของช่างกลนักประดิษฐ์จำนวนมาก รวมถึงอัศวินบางคนที่รู้และเอาไปใช้เป็นอาวุธ ผมอยากได้มันมาเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของสิ่งประดิษฐ์ที่ผมจะมอบให้โรสแมรี่”

อิสฮานเหลือบไปมองอุลเมอร์และฟาริด “แล้วท่านคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะเสร็จธุระของท่าน พวกเรายินดีที่จะรอจนกว่าท่านจะประดิษฐ์ของชิ้นนั้นเสร็จ”

เฟบรอนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งหน้าซีดเซียวลงอีก พลางส่ายหน้าช้า ๆ “สิ่งที่ผมกังวลคือ ผมอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมานะสิ”

“หมายความว่าอย่างไร?” อิสฮานถามด้วยความตกใจ ในขณะที่ทั้งอุลเมอร์และฟาริดก็มีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน

“เพราะบนเกาะนั่นมีสัตว์ประหลาดดุร้ายอาศัยอยู่มากมาย ที่สำคัญ เจ้าไทเกอร์มาสติคอร์ ที่มีหางเป็นแมงป่องว่ากันว่ามันปลิดชีพคนมามากมาย เมื่อ 30 ปีก่อนที่คณะผู้กล้าไปเอาแร่มาได้สำเร็จ แต่จาก 50 คนนั้นรอดกลับมาแค่ 5 คน”

tm4.jpg


“แล้วท่านยังคิดจะไปเสี่ยงอีกหรือ?” อิสฮานถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ ชายหนุ่มบอกว่าตนเองขี้ขลาด แต่กลับกล้าที่จะเลือกทำอะไรที่เสี่ยงจนอาจถึงชีวิตแบบนี้

“สำหรับผม โรสแมรี่มีค่ามากพอที่ผมจะเสี่ยง เพียงแต่...หากผมไม่รอดกลับมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครคอยดูแลปกป้องโรสแมรี่ไหม ผู้ชายที่เธอเลือกจะดีกับเธอหรือเปล่า”

“วิ๊ววววว” ฟาริดผิวปากเบา ๆ มองหนุ่มช่างยนต์ตรงหน้าก่อนจะเหลือบตามองอิสฮานพลางเลิ่กคิ้วเป็นเชิงถาม

“ถ้าพวกเราจะรับความเสี่ยงนั้นแทน ท่านจะยินดีช่วยพวกเราดัดแปลงเรือไหม?” อิสฮานยิ้มถาม เมื่อเห็นแววตาของเพื่อนทั้งสอง ซึ่งทั้งคู่ก็คงเห็นตรงกันกับเขา

เฟบรอนเบิ่กตากว้างตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน แววตาทอประกายแห่งความหวังขึ้นมาในฉับพลัน แต่ก็รีบส่ายหน้าทันที “ผมจะให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้อย่างไร? แล้วการไปเอาหินแร่เพื่อผมนั้น...มัน...ผมเป็นเพียงแค่ช่างยนต์จน ๆ ปัญหาของผมไม่อาจเทียบเท่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของพวกท่าน”

“พวกเราก็กำลังทำภารกิจของพวกเราอยู่ เฟบรอน” อิสฮานยิ้มตอบ “พวกเราจำเป็นต้องดัดแปลงเรือ และท่านเป็นคนที่พวกเราต้องการ ดังนั้นการกำจัดอุปสรรคของท่านเพื่อให้สามารถช่วยพวกเราได้ก็ถือเป็นภาระหน้าที่ของพวกเราด้วย อีกอย่าง...อุลเมอร์ก็คงอยากได้หินแร่นั้นมาลองใช้กับเรือเหาะโฉมใหม่ด้วย ดังนั้นก็ไม่ถือว่าทำเพื่อท่านเสียทีเดียวหรอก”

“แหม ท่านช่างรู้ใจข้าจริง ๆ “อุลเมอร์ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว หางโบกไปมาด้วยความชอบใจ

“แต่ว่า พวกสัตว์ร้ายในเกาะนั้นมัน...” เฟบรอนยังอดวิตกกังวลในสวัสดิภาพของพวกเขาไม่ได้

“ไม่ต้องห่วง คณะของพวกเราไม่ได้มีกันแค่นี้ พวกเขาพักกันอยู่บนเรือที่ชายหาดข้างนอกนั่น แต่ละคนฝีไม้ลายมือจัดจ้านกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพ่อกงเล็บใหญ่นี่” อุลเมอร์ พูดพลางหัวเราะร่ายกมือกลขึ้นกำฉับ ๆ เลียนแบบการกำกงเล็บของฟาริด ทำให้ฟาริดต้องหัวเราะหึหึในคอ

“ช่าย” ฟาริดพูดลากเสียงยาว “ได้ออกเรี่ยวออกแรงเสียหน่อยก็ดี เส้นเอ็นข้าจะยึดหมดแล้ว”

“ผม...ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี” เฟบรอนยิ้มสั่น ๆ ด้วยอับจนคำพูด ในใจมีความหวังเรืองรองจนรู้สึกว่าหัวใจพองโตขึ้นคับอก
“ถ้าเช่นนั้น ก็แค่พูดว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า’ ก็พอ เพราะพระองค์ทรงนำให้พวกเราได้มาเจอกัน” อิสฮานยิ้ม “เอาหล่ะ...ระหว่างรอพวกเรากลับมา อุลเมอร์จะอยู่กับท่านที่นี่ พวกท่านคงมีเรื่องปรึกษาหารือและตระเตรียมการกันอีกเยอะ”

เฟบรอนยิ้มขณะมองดูชายทั้งคู่เดินจากไป ใจยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงได้ยินและตอบคำอธิษฐานของผมแล้ว”

“พระองค์ก็ทรงได้ยินและตอบรับคำอธิษฐานของข้าด้วยเช่นกัน” อุลเมอร์ เหลือบมองมองฟ้าบ้างก่อนจะยิ้มแฉ่งจนเห็นเขี้ยวอีกเช่นเคย พลางล้วงมือลงไปหยิบแบบพิมพ์เขียวขึ้นมาจากใต้ที่นั่ง “มา... มาดูสิว่าเจ้าจะชอบสิ่งที่เห็นหรือเปล่า?”
คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำการดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:20 am

ที่นอกชายฝั่งของเกาะ “.....” กลุ่มประกาศกยืนตระหง่านอยู่บนหัวเรือ ทอดสายตามองไปยังชายหาดของเกาะเพื่อประเมิณสถานการณ์ แน่นอนว่ามีต้นไม้ขึ้นเพียงปละปลายแค่บริเวณรอบนอกของเกาะเท่านั้น ส่วนที่ใจกลางของเกาะนั้นมีแต่กองหินสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับซับซ้อนกันจนมีใครเอากองหินมาวางกอง ๆ ไว้ เสียงร้องของสัตว์บางชนิดดังแว่ว ๆ ให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ บ่งบอกว่าบนเกาะมีสัตว์อยู่ค่อนข้างชุกชุมทีเดียว

“คาร์น ท่านคิดว่าอย่างไร?” อิสฮานหันไปถาม คาร์น (Karn, the Prophet’s follower) สิงห์สมิงร่างใหญ่ที่ยกดาบขึ้นวางพักไว้บนบ่าด้วยท่าทางสบาย ๆ

สิงห์สมิงคำรามเสียงต่ำ ๆ ในลำคอ พร้อมกับแยกเขี้ยวอวดคมขาว “ดูท่าทางก็น่าจะมีสารพัดสัตว์ดุร้ายอย่างที่ร่ำลือกันนั่นแหละ แต่ที่ไม่ได้บอกอีกอย่างคือ ดูท่าว่าบนเกาะจะร้อนเป็นบ้าเลย หวังว่าตอนกลับมา แผงคองาม ๆ ของข้าจะไม่ไหม้จนหงิกเป็นฝอยเสียก่อน”

คนอื่น ๆ บนเรือต่างพากันหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินคาร์นบ่น สิงห์สมิงมักจะพูดตลกหน้าตายให้เพื่อน ๆ ได้หัวเราะกันเป็นประจำ

“ไม่ต้องลงกันไปทั้งหมดหรอก เอาแค่คนที่ว่องไวปราดเปรียวหน่อยก็พอ จะได้ประหยัดเวลา” ฟาริดกวาดตามองสภาพภูมิทัศน์เบื้องหน้าพลางเริ่มวางแผนเส้นทางการเดินในสมอง

“ข้าเห็นด้วย ผมไหม้หงิกแค่ไม่กี่คน ดีกว่าผมหงิกกันทั้งคณะ” คาร์นยกมือลูบแผงคอของตนอย่างอาลัยอาวรณ์ ทำให้คนอื่น ๆ พากันหัวเราะออกมาอีก

“งั้นข้าไปเอง เกิดมายังไม่เคยเห็นสิงห์สมิงขนหงิกเลย ข้าอยากเห็นขนหงิกกับตาตัวเองสักครั้ง” เสียงหญิงสาวท่าทางปราดเปรียวในชุดรัดรูปสีดำทะมัดทะแมง สะบัดผ้าคลุมแดงไปข้างหลังแล้วตบสนับเข่าของตนเพื่อให้มั่นใจว่ากระชับแน่นพอ นัยน์ตาเป็นประกายคมกล้าเหมือนนกนักล่า บ่งบอกว่าไม่เคยมีอะไรเล็กลอดสายตาของหล่อนไปได้

“โอเค มีข้า คาร์น และ นิชช่า (Nyssa, the Prophet’s follower) ” ฟาริดพูดพลางหันไปยังกลุ่มเพื่อนประกาศก

“ข้าเสนอให้ไปอีกสักคนแล้วกัน แยกไปเป็นคู่จะได้คอยช่วยเหลือกันได้” อิสฮานอยากรอบคอบไว้ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าหากเกิดความผิดพลาดใด ๆ ขึ้น จะได้แก้ไขกันได้ทันท่วงที

“งั้น กาบริเอลล่า (Gabriela, the Prophet’s follower) ดีไหม?” วานาอันแนะเสียงเบาหันไปส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกนาง

“นั่นสินะ พลังการรักษาของเธอไม่ธรรมดาจริง ๆ หากมีการบาดเจ็บขึ้นมา ถ้าเธออยู่ก็เบาใจได้เลย” อิสฮานพยักหน้าเห็นด้วยหันไปยิ้มกว้างให้กับวานาอัน ทำเอาหญิงสาวต้องยิ้มอาย ๆ ด้วยความขัดเขิน

“ท่านเอ่ยชมเกินไปแล้วค่ะ” นักบวชหญิงกาบริเอลล่ายิ้มก่อนจะก้าวออกมาสมทบกับพวกฟาริด พลางลูบคฑาในมือจนมันเรืองแสงวาบขึ้นจาง ๆ “ดิฉันเองก็อยากจะลองเห็นสิงห์สมิงขนหงิกกับตาเหมือนกัน มันคงจะแปลกตาไม่น้อยเลยนะคะ”

“แหม พูดกันแบบนี้ ข้าก็ชักอยากจะเห็นบ้างแล้วสิ” จีน กัปตันเรือสาวพูดพลางหัวเราะร่า

“เหอะ! สาว ๆ กลุ่มนี้ใจร้ายกันชะมัด” คาร์นคำรามหน้าบูดบึ้งก้มหน้าก้มตาปลดเรือเล็กลงทะเล “อ๊ะ...แต่ยกเว้นท่านวานาอันนะ”
เสียงหัวเราะของทุกคนก็ดังขึ้นมาอีก

“ระวังตัวกันด้วยนะทุกคน ขอพระเจ้าอวยพร” อิสฮานอวยพรเพื่อนประกาศก

“อธิษฐานภาวนาให้พวกเราด้วยนะคะ” กาบริเอลล่า ยิ้มกว้างหันมาบอกเพื่อน ๆ บนเรือ

“แน่นอน ขอพระเจ้าอวยพร” เพื่อน ๆ บนเรือต่างก็โบกไม้โบกมือส่งทั้งสี่พายเรือเล็กมุ่งสู่เกาะเบื้องหน้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story < Always

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2012 4:30 pm

นี่ก็เลยกำหนดกลับถึงฝั่งของคณะประกาศกมาได้ 2 วันแล้ว ชาวบ้านพากันลือว่าเกาะอ้อมกอดพระเพลิงกลายเป็นสุสานของผู้ชอบธรรม ความตื่นเต้นเมื่อหลายวันก่อนเหลือเพียงเสียงทอดถอนใจ ทุกวันที่เห็นทริสตันนำของกำนัลมาให้โรสแมรี่ก่อนเหมาซื้อดอกไม้ทั้งหมดของเธอ ทำให้เฟบรอนทดท้อใจ แต่เขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาประดิษฐ์ของขวัญที่จะพิชิตใจหญิงที่รัก โดยมีโคบอลด์อุลเมอร์คอยช่วยแนะนำ

หลังโคบอลด์ออกไปหาซื้อ อุปกรณ์เพิ่มเติมในเมือง หนุ่มช่างซ่อมก็ออกมายืนมองอยู่ที่ชายหาดดังเช่นทุกวัน สายตามองไปยังสุดขอบทะเลอันเวิ้งว้าง มือประสานกันด้วยความสำนึกผิด ด้วยเกรงว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าประกาศกต้องเอาชีวิตไปทิ้ง

“ข้าแต่พระเจ้า” เฟบรอนรำพัน “โปรดทรงคุ้มครองพวกเขา อย่าให้ความรักของลูกเป็นเหตุที่ทำให้ประกาศกผู้บริสุทธิ์ต้องพบจุดจบเลย”

สิ้นพยางค์สุดท้ายนั้นแสงสว่างวาบก็จับอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ทำเอาหัวใจของเฟบรอนกระตุกวูบ ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นขยี้ตาและตั้งใจเพ่งมองมากยิ่งขึ้น และแล้วรอยยิ้มก็จุดสว่างขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะ

“ท่านอุลเมอร์! ท่านอุลเมอร์! พวกเขากลับมาแล้ว” ชายหนุ่มออกวิ่ง รีบไปแจ้งข่าวดีแก่อุลเมอร์ทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story < Always

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2012 4:30 pm

หลายคืนผ่านไป ค่ำนี้เมฆเยอะคล้ายแกล้งปิดฟ้าไม่ให้เห็นดาว สิ่งประดิษฐ์เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ เขานึกขอบคุณเหล่าผู้กล้าที่เสี่ยงชีวิตไปนำหินแร่มาให้ น่าเสียดายที่ไม่อาจตอบแทนเท่าที่ควรเพราะเรือเหาะดัดแปลงเสร็จตั้งแต่เมื่อวานและพรุ่งนี้หลังซื้อเสบียงเสร็จพวกเขาคงจะออกเดินทางทันที ในขณะที่ตัวเฟบรอนเองก็ต้องรีบนำของขวัญไปให้โรสแมรี่ให้ทันก่อนเที่ยงวัน จึงไม่มีโอกาสได้ยืนส่งและร่ำลาทุกคนได้

ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ความเหนื่อยล้าจากการเร่งดัดแปลงเรือเหาะอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและเร่งทำของขวัญให้หญิงสาวไปด้วยได้สูบเรี่ยวแรงของเขาไปจนหมด เปลือกตาของเขาค่อยๆ ปิดลง ขณะที่กลไกตรงหน้าค้างและหลับไปพร้อมกัน

เก้าโมงเช้า เมื่อชายหนุ่มงัวเงียตื่นเพราะเสียงผู้คนที่เริ่มจอแจในตลาด พลันหัวใจก็ร่วงลงไปอยู่แทบเท้า เครื่องกลที่สร้างแทบตายกำลังขัดข้อง เขารีบกางแผนผังก่อนจะตกตะลึงว่าเพราะความง่วงงุนทำให้เมื่อคืนประกอบชิ้นส่วนผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น!

“ขอให้ทันทีเถอะๆๆ” ความร้อนรุ่มใจระบายออกมาเป็นเสียง ร่างกายชุ่มโชกด้วยเหงื่อแห่งความเครียด เขาถอดเข้าถอดออกส่วนประกอบหลายชิ้น ผ่านชั่วโมงแรกยังแก้ไขได้ไม่ถึง 3 ใน 10 ส่วน แต่ยิ่งร้อนรนงานก็ยิ่งผิดพลาด แร่หัวใจลาวาหลุดกระเด็นไปนอนบนพื้น

“ดูเหมือนท่านกำลังต้องการความช่วยเหลือครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย”

เฟบรอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตากลมโต ขนปุยสีเหลืองน้ำตาลพลิ้วไหวตามลมดั่งไม่ทุกข์ร้อน

“พวกท่านยังไม่ออกเดินทางอีกหรือครับ” ชายหนุ่มทั้งดีใจ ทั้งประหลาดใจที่เห็นโคบอลด์อุลเมอร์ ผู้ซึ่งเขานับถือและแอบยกให้เป็นอาจารย์อยู่ในใจ เพราะเพียงแค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่กี่อาทิตย์ โคบอลด์อุลเมอร์ได้ช่วยแนะนำสั่งสอนวิทยาการด้านเครื่องกลให้เขามากมายเหลือเกิน

โคบอลด์อุลเมอร์ใช้รอยยิ้มแทนคำตอบ พลางยื่นมือขนปุยนุ่มๆ วางหินแร่ที่เพิ่งเก็บขึ้นมาส่งให้ชายหนุ่ม

“อยากให้ช่วยไหม?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story < Always

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2012 4:31 pm

โรสแมรี่นั่งอยู่ในลานสาธารณะ ป้าเดินชมของขวัญหลากชนิดที่ชายทั้งหลายนำมามัดใจสาวสวยสุดของเมือง ผู้คนออกันในงานเลี้ยงที่ทริสตันจัดให้อย่างหรูหราไม่คิดเงิน เธอผู้มีนามกุหลาบกำลังรอคอยคนบางคนอย่างใจจดใจจ่อ

“นี่ๆ โรสแมรี่ นี่คือพัดลายหงส์จากประเทศนิคโคอุ ว่ากันว่ามันเคยเป็นของมิโกะกิเลนผู้ปกครองประเทศ เป็นของขวัญจากบุตรชายท่านผู้ตรวจราชการ ส่วนนี่...” ถ้อยคำของป้าที่ผ่านเข้าหูคล้ายดั่งเสียงผึ้งบินอยู่ใกล้ๆ กระทั่งคาร์โลสบุรุษไปรษณีย์จอมกะล่อนเพื่อนเฟบรอนควบคูกาโรมาถึง

แล้วทุกผู้คนก็เพ่งสายตาไปยังของขวัญของเขา ไข่ใบใหญ่ถูกบรรจงวางไว้ต่อหน้าหญิงสาว

“นี่อะไรคะ?” โรสแมรี่กระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง

“ไข่ของดราโกกริฟครับ” ชายหนุ่มประกาศ เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาชาวบ้านได้ไม่น้อย “ข้าได้มาจากศาสตราจารย์ที่สถาบันแห่งหนึ่งที่สนิทสนมกัน เขาว่ามันจะมีพัฒนาการตามสภาพแวดล้อมรอบตัว ถ้ามันได้เธอเลี้ยงดู มันจะต้องเป็นดราโกกริฟที่แสนอ่อนโยน จนสามารถนำมาใช้เป็นพาหนะได้ ลองคิดดูสิครับ เราจะกลายเป็นสามีภรรยาคู่แรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้ดราโกกริฟเป็นพาหนะในการขนส่งไปรษณีย์ ฟังดูเยี่ยมไปเลยใช่ไหมละครับ” หนุ่มไปรษณีย์ยิ้มแฉ่งเมื่อมองเห็นวิมานในอากาศ ภาพเขาขี่ดราโกกริฟคงเท่ไม่หยอก คงเท่เหมือนอัศวินมังกรเลยทีเดียว

“ฉันเลี้ยงมังกรไม่เป็นหรอกค่ะ เอากลับไปเถอะ” หญิงสาวแม้จะตกใจและรู้สึกแปลก ๆ กับเหตุผลของหนุ่มไปรษณีย์ แต่ก็ยังพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพ

“ไม่ใช่มังกรเสียทีเดียวนะครับ มันเป็นกริฟฟินผสมมังกรต่างหาก ไม่ลองเลี้ยงดูก่อนหรือครับ” หนุ่มไปรษณีย์หน้าตาตื่นไม่คิดว่าหญิงสาวจะปฏิเสธโอกาสที่จะได้เลี้ยงสัตว์หายาก ไม่ใช่หายากธรรมดา แต่หายากมาก เขาต้องใช้เวลานานมากกว่าจะอ้อนวอนให้ศาสตราจารย์ยกไข่ดราโกกริฟที่ใหญ่ไม่ได้ขนาดจนถูกคัดออกจากการการทดลองใบนี้ให้เขา ผู้หญิงส่วนใหญ่รักสัตว์ไม่ใช่หรือ หรือว่าโรสแมรี่จะเป็นหนึ่งในผู้หญิงส่วนน้อย “เลี้ยงโตแล้วค่อยคืนผมก็ได้”

“หนอยเจ้าจอมกะล่อน กะจะให้โรสแมรี่ช่วยเลี้ยงให้จนโตแล้วตัวเองค่อยเอาไปใช้ละสิ” ป้าพูดดักคออย่างรู้ทัน
“ฉันคงเลี้ยงไม่ไหวหรอกค่ะ ลำพังแค่ตัวฉันเองก็ยังต้องอยู่อย่างประหยัดมาก ๆ คงเลี้ยงสัตว์ตัวโต ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ“โรสแมรี่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ๆ ทำเอาหนุ่มไปรษณีย์ต้องคอตก

“หลีกไป! หลีกไป! ต้องของขวัญของผมสิ ถึงจะควรค่าแก่ความงามเหนือเทพธิดาของเธอที่สุด” ทริสตันมาถึงแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหญิงสาว ยื่นมงกุฎทองคำที่ประดับประดาด้วยอัญมณีล้วนน้ำงาม พลันที่ม่านซึ่งห้อยสงบนิ่งต้องลมโบกปลิว แสงจากดวงสุริยาก็สาดทับลงไปบนมงกุฎ

สายรุ้งนับร้อยสายแผ่กระจายออกมาจากประกายเพชรพลอยแต่ละเม็ด อณูแสงที่สอดแทรกเคล้าคลอล้อกันได้บังเกิดสีสันบรรเจิดเหนือกว่าจินตนาการ ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในห้วงความฝันที่เป็นความจริง กระทั่งม่านได้ปิดลง รุ้งได้หายลับวับไปเสี้ยววินาทีพร้อมมงกุฎเลอค่าถูกห่อในผ้าทอทองคำ

“นี่คือมงกุฎที่ออกแบบโดยช่างที่เก่งที่สุดของราชสำนักแอนดิซอง ประกอบด้วยอัญมณีสูงราคาจากทั่วทุกมุมโลก แม้มันจะไม่เทียมความงามของเธอแม้เพียงครึ่ง แต่นี่ก็พอจะบอกได้ว่าผมรักเธอด้วยหัวใจทั้งหมด”

หญิงสาวทั้งหลายพากันอิจฉาที่ทริสตันผู้เพียบพร้อมเกินจะเพียบพร้อมไปหลงทุ่มเทแก่แม่ค้าดอกไม้จนๆ ทว่าโรสแมรี่กลับถอนหายใจ ความเศร้าเกาะกินจิตใจของหญิงสาวจนจวนเจียนจะร่ำไห้ เธอกวาดตามองของขวัญมากมายที่ถูกนำมาวางต่อหน้า มีทั้งของสวยงาม ของสูงค่า ของหายาก จนไปถึงแปลกพิศดาร ซึ่งพาลทำให้หญิงสาวสงสัยในเจตนาของบรรดาผู้ส่งของขวัญเหล่านี้ ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอยากจะโอ้อวดกันหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝงมากกว่าเพียงเพื่อแต่งงานกับเธอ แต่จะโทษใครได้เล่า ก็เป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่เสนอเรื่องประกวดของขวัญนี้ขึ้นมา

เมื่อดวงอาทิตย์จวนเจียนจะไต่ขึ้นถึงกลางท้องฟ้า ก็ใกล้เวลาอันเหมาะสม ทุกคนต่างก็ลุ้นว่าหญิงผู้เลอโฉมนี้จะเลือกของขวัญของใคร

“ตัดสินใจได้หรือยังจ๊ะ โรสแมรี่” ป้าข้างบ้านเอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งที่ห้า

“หนูอยากรอจนกว่าจะหมดเวลาค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางชเง้อมองไปทางถนนที่ตัดเข้าลานกว้าง แดดร้อนแรงขึ้นตามตะวัน ยิ่งใกล้เที่ยงหัวใจของโรสแมรี่ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้ป้าจะเร่งหลายครั้งแต่เธอก็ยังรอคอย

เมื่อเหลือแค่นาทีเดียวเมดสาวทรงโตของทริสตันก็เริ่มนับถอยหลัง หญิงสาวเริ่มตัวสั่นนึกเสียใจที่เสนอความคิดบ้า ๆ นี้ขึ้นมา ใจนั้นอยากจะยกเลิกเกมพิชิตรักนี้ แต่ก็รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว หญิงสาวก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนความรวดร้าวบนใบหน้าของตน ถ้าเฟบรอนไม่ต้องการเธอ เช่นนั้นแล้วเธอจะเลือกแต่งกับใครก็คงไม่สำคัญ
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: Romancing Story < Always

โพสต์โดย เซนต์ แมกนัส เมื่อ พุธ ม.ค. 18, 2012 4:33 pm

“รอเดี๋ยว ยังมีของขวัญอีกชิ้น” เสียงตะโกนดังขึ้นใน30 วินาทีสุดท้าย เฟบรอนกับโคบอลด์อุลเมอร์บนหุ่นครึ่งตัวเดินเข้ามาในลานสาธารณะ หุ่นเหล็กอุ้มของสิ่งหนึ่งไว้ในมือโดยมีผ้าเนื้อหยาบคลุมไว้อย่างมิดชิด ทริสตันกับบรรดาหนุ่ม ๆ ต่างพากันมองคู่แข่งรายล่าสุดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เฟบรอน ในที่สุดเธอก็มา” หญิงสาวพูดได้เท่านั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นก่อนจะน้ำตาไหลพราก

“ครับ...ผมมาแล้ว” เฟบรอนตอบเสียงเบาสายตามองเพียงแต่โรสแมรี่เท่านั้น สายตาของเธอที่มองกลับมา ทั้งเสียงสะอื้นและแก้มนวลที่อาบไปด้วยน้ำตาของหญิงสาวทำให้เขาได้แต่ยิ้มลิงโลด เธอกำลังรอเขาอยู่ ในวินาทีนี้เขารู้แล้วว่าหัวใจของหญิงที่รักได้มอบให้เขาหมดสิ้น ภาพต่าง ๆ ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หลายครั้งเหลือเกินที่เธอพยายามค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของเขาด้วยสายตาไม่แน่ใจ ทั้งถามและรอคอย เขาช่างโง่เหลือเกินที่มั่วแต่ขลาดกลัวจนทำร้ายจิตใจของทั้งเธอและตัวเอง และเกือบจะเสียเธอไป
“นี่คือสิ่งแทนความรักของผม” เฟบรอนเอ่ยพลางค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นนาฬิกาเรือนสวย ลวดลายปราณีตเรือนหนึ่ง เฟบรอนหยิบหินแร่จากกระเป๋าใส่เข้าไปในเครื่อง เข็มนาฬิกาก็เริ่มเดิน เนื่องจากยังเป็นเวลาเที่ยงเสียงบอกเวลาก็บรรเลงขึ้น คือดนตรีของเพลงที่ทั้งสองเคยร้องด้วยกันบ่อยๆ ตอนเด็ก โรสแมรี่ยิ้มออก

“นาฬิกาเรือนนี้สามารถตั้งเตือนเธอได้ตลอดวันและคืน ไม่ว่าจะเวลาตื่น เวลาไปเก็บดอกไม้ เวลาเปลี่ยนฤดู เวลาอ่านหนังสือ เวลาพักผ่อน เวลานอน มันจะช่วยดูแลทุก ๆ เรื่องในชีวิตประจำวันของเธอ เหมือนที่ผมจะยังคงอยู่ดูแลเธอเสมอไม่ว่าเธอจะเลือกใคร และด้วยแร่หัวใจลาวาที่ให้พลังงานมหาศาลและเก็บพลังงานจากแสงแดดได้ มันจะเดินเรื่อยไปตลอดกาลเหมือนหัวใจของผมที่ไม่มีวันหยุดรักเธอ แม้ถึงวันที่ผมจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้วก็ตาม”

โรสแมรี่โผเข้ากอดเฟบรอน ในขณะที่ทริสตันยืนกำหมัดกัดฟันกรอดๆ ส่วนคาร์โลสเก็บไข่ดราโกกริฟจากไปนานแล้ว ด้านบรรดาหนุ่ม ๆ ที่หวังจะได้แต่งกับสาวงามต่างก็ได้แต่ส่ายหน้าถอดถอนใจให้กับความพ่ายแพ้ของตน เสียงปรบมือและโห่ร้องดังก้องฉลองให้กับงานแต่งงานครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิด ขึ้น ป้าก็ได้แต่ถอนหายใจ และเดินเข้าไปอวยพร

“การเลือกอย่างชาญฉลาด อาจทำให้หนูพ้นจากความทุกข์ยากในชีวิต แต่หากชีวิตปราศจากความรักเสียแล้ว แม้จะหนีทุกข์ได้ แต่ก็คงเป็นชีวิตที่หาความสุขไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อหนูเลือกแล้ว ป้าก็ขอให้ความรักนี้นำความสุขให้หนูตลอดไปนะ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบทั้งน้ำตาก่อนจะหันไปมองสบตาเฟบรอนด้วยความเค้อเขิน

“เจ้าก็ด้วยนะเฟบรอน ฉันรักโรสแมรี่เหมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ ของฉัน ถ้าทำให้หลานรักของฉันต้องเสียใจ ฉันจะมาเอาเรื่องเจ้า” หญิงชราพูดเสียงดุดัน แต่ใบหน้าเจือรอยยิ้ม

“ครับ คุณป้า” เฟบรอนยิ้มรับด้วยดวงตาพราวระยับ โอบไหล่หญิงที่รักด้วยมืออันสั่นเทายังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ไอ้นาฬิกากระจอก ๆ แบบนี้มันจะมาเทียบกับมงกุฏล้ำค่าของผมได้อย่างไร คิดดี ๆ นะโรสแมรี่ ผมสิรักคุณ ผมให้ชีวิตที่สุขสบายกับคุณได้ คุณจะเลือกอยู่อย่างอด ๆ ยาก ๆ กับผู้ชายจน ๆ แบบนี้หรือ?” ทริสตันตะโกนลั่น พร้อมสองเมดสาวเดินกระทืบเท้าเข้ามากระชับด้ามปืน คล้ายขู่ว่าพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ

“แม้เฟบรอนอาจไม่รวยล้นฟ้า แต่โรสแมรี่จะมีความสุขเมื่อได้แต่งงานกับคนที่เธอรักและรักเธอต่างหากล่ะ… ท่านพูดว่ารักโรสแมรี่ เช่นนั้นแล้วไม่อยากให้เธอมีความสุขที่สุดหรอกเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่มุ่งดู

“ใครบังอาจมาเถียงท่านทริสตัน” เมดสาวขึ้นไกปืนหมายข่มขู่คนที่ไม่รักตัวกลัวตายกล้าหยามนายของตน

ทันทีที่เมดสาวขึ้นไกปืน ฝูงชนก็แหวกออกเป็นวงล้อม หลีกทางให้กลุ่มคนแปลกหน้าที่เป็นต้นเสียงได้เดินเข้ามาที่กลางลาน

“ท่านประกาศกอิสฮาน” เฟบรอนร้องทักด้วยความยินดี ทำให้ฝูงชนที่ได้ยินต่างก็ส่งเสียงฮือฮาจนดังอื้ออึงไปหมด เพราะชื่อเสียงและความโด่งดังของคณะประกาศกนั่นเอง แม้แต่ทริสตันและเมดสาวทั้งสองก็ยังหน้าซีดสลดลงด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าหนุ่มยากจนอย่างเฟบรอนจะรู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วย

“จริงอยู่ที่เวลานี้เฟบรอนจะไม่ร่ำรวย แต่ด้วยความสามารถของเขา เช่นที่สามารถดัดแปลงเรือเหาะของพวกเราได้อย่างวิเศษ ซ้ำยังประกอบอาชีพอย่างซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ไม่คดโกง ซึ่งนับว่าหายากมากในทุกวันนี้ คนเช่นนี้พระเจ้าไม่ปล่อยให้ยากจนอยู่นานหรอก” อิสฮานพูดยิ้มให้สองหนุ่มสาว รู้ดีว่าการปรากฏตัวของตนและคำพูดที่ได้พูดออกไปจะช่วยเรียกลูกค้ามากมายให้เฟบรอน ชายหนุ่มสมควรจะได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนความดีของเขา “ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา พวกเราจะระลึกถึงท่านในคำภาวนาเสมอ”

“ผมต่างหากละครับ ที่ต้องขอบคุณพวกท่าน หากไม่ได้พวกท่านช่วย ผมกับโรสแมรี่ก็คงยังไม่เข้าใจกัน” เฟบรอนตกใจรีบตอบ ไม่กล้ารับคำขอบคุณของอีกฝ่าย

“ท่านตัดสินใจเลือกถูกแล้ว” อิสฮานยิ้มพูดกับโรสแมรี่ ก่อนจะหันมาหาเฟบรอน “ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่านทั้งสองให้ครองคู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป พวกเราจะค่อยเอาใจช่วยและอธิษฐานภาวนาให้เสมอ” อิสฮานกล่าวอวยพร

“ขอบคุณค่ะ/ครับ” ทั้งคู่ยังคงจับมือกันแน่นกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

“โรสแมรี่ คุณจะต้องเสียใจทีหลังที่ไม่เลือกผม!” ทริสตันที่ทนดูอยู่นานเพราะพูดไม่ออก กัดฟันแน่นจนสั่นเทิ่มไปทั้งตัว เขาตะโกนเสียงแข็งกระแทกเท้ารีบปีนขึ้นไปหลบบนรถม้าด้วยความอับอายเพราะเสียหน้า โดยหญิงรับใช้สองสาวต่างเชิดหน้าชักปืนยิงขึ้นฟ้าคนละนัดแก้เก้อแล้วรีบสาวเท้าตามไปอย่างเร็วที่สุด ทำเอาทุกคนตะลึงกับการกระทำของชายผู้ที่ใครๆก็เห็นว่าเป็นผู้เพียบพร้อม และแล้วรถม้าก็พาผู้ผิดหวังจากไปตามด้วยลูกน้องเป็นพรวน แว่วเสียงเจื้อยแจ้วจ๊ะจ๋าของคู่สาวรับใช้ที่คอยปลอบใจนายหนุ่มที่กำลัง ร้องไห้ จนค่อยๆ เงียบหายไปในที่สุด

เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีก้องสนั่นกว่าเดิม ชาวบ้านเล่นดนตรีกลายเป็นงานเทศกาลเล็กๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่ เหล่าประกาศกร่วมเต้นรำกับผู้คนมากมายก่อนจะปลีกตัวออกมาพร้อมกับเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่เบื้องหน้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
เซนต์ แมกนัส
0
 
โพสต์: 1390
Cash on hand: 333.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

เชิญมาเม้า นิยายเลิฟ ๆ ฉบับเต็ม Always

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ เสาร์ ก.พ. 04, 2012 11:26 pm

เชิญพูดคุยได้ที่

viewtopic.php?f=9&t=19934
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน