Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 1:29 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:26 pm

Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ


อาณาจักรซาโลมเวลานี้มีแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญ ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยบรรดาหญิงหม้ายในชุดผ้าดิบเนื้อหยาบสีทึ่ม ๆ เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นดินและขี้เถ้า ซึ่งเป็นธรรมเนีนมปฏิบัติของชาวทะเลทราย ที่จะต้องแต่งตัวเช่นนี้ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความทุกข์และความโศกเศร้าอาวรณ์ต่อผู้ที่จากไปจนไม่มีแก่ใจจะแต่งตัวให้สวยงาม รวมไปถึงสิ่งสวยงามต่าง ๆ ภายในอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง หรือ เครื่องประดับตกแต่งอาคารบ้านเรือนที่มีสีสันฉูดฉาดก็ถูกเก็บออกไป หรือไม่ก็ถูกคลุมทับด้วยผ้าดิบเนื้อหยาบ จนทั่วทั้งอาณาจักรแลดูซึมเศร้าไร้สีสัน ทุกคนต่างออกมายืนออตั้งแถวเตรียมรอรับขบวนศพของกษัตริย์ซาดินที่กำลังจะเคลื่อนเข้าสู่ประตูเมือง และรวมไปถึงรอรับสิ่งของเครื่องใช้ของบรรดาสามี พ่อ พี่ชาย หรือ ลูกชายของพวกนางที่เสียชีวิตในสงคราม เพราะเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ทุกบ้านจะไม่ได้รับศพของสมาชิกในครอบครัวกลับคืน ดังนั้นใครได้รับสิ่งของเครื่องใช้คืนก็หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นเสียชีวิตแล้วนั่นเอง

ทันทีที่เสียงกลองหน้าประตูเมืองระรัวดังขึ้น เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ยิ่งดังระงมมากยิ่งขึ้น โดยไล่จากประตูเมืองด้านหนึ่งไปยังประตูเมืองอีกด้านหนึ่ง เสียงกลองให้จังหวะการเดินดังกระหึ่มพร้อม ๆ กับขบวนนักแมนโดลินหลวง (Palace Mandolinist) ที่บรรเลงเพลงเศร้าด้วยเครื่องเป่าเสียงแหลม เสียงที่แหลมเล็กฟังแล้วเหมือนเสียงหวีดร้องคร่ำครวญของหญิงที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งทำให้บรรยากาศที่ชวนสลดหดหู่อยู่แล้วยิ่งทวีความท้อแท้ สิ้นหวังมากขึ้นไปอีก แม้บางคนจะไมได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจจริง ๆ แต่บรรยากาศก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ตามไปด้วย

ริ้วธงรูปวิหคเพลิงผืนใหญ่หลายร้อยผืนโบกสะบัดด้วยแรงลมเดินนำขบวนทัพมาเป็นอันดับแรก โดยเหล่านักดนตรีก็แปรขบวนออกเดินนำหน้าเพื่อแห่พระศพขององค์กษัตริย์ไปทั่วเมือง

เมื่อริ้วธงวิหคเพลิงเคลื่อนผ่านประตูเมืองไปจนครบแล้ว ก็ถึงขบวนราชรถที่บรรทุกพระศพขององค์กษัตริย์ รถศึกสีแดงคลิปทองที่ถูกส่งไปรอรับพระศพที่เขตชายแดนตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน มันได้รับการตกแต่งประดับประดาอย่างเลิศหรูสมพระเกียรติ โลงศพทองคำที่สลักเป็นลวดลายวิหคเพลิงกางปีกร่ายรำเป็นท่วงท่าต่าง ๆ อย่างแสนวิจิตรก็เปล่งประกายอย่างงดงามยามต้องแสงอาทิตย์ แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายในโลงทองคำนั้น มีเพียงเศษเถ้าถ่านของจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น

อุปราชเบลซ เซจ ซึ่งนั่งอยู่บนรถศึกคู่กับแบล็ค ไวเซอร์ ตามหลังขบวนโลงศพทองคำก็นั่งสงบนิ่ง ใบหน้าถูกฉาบด้วยความโศกเศร้าและอมทุกข์คล้ายกับคนที่ถูกดูดสีสันแห่งชีวิตไป บางครั้งก็แสร้งเงยหน้าขึ้นเหมือนคนพยายามกล้ำกลืนน้ำตา จอมเวทย์ดำเหลือบมองสหายผู้ชั่วร้ายอย่างรู้ทันจึงอดแสร้งเหน็บไมได้

“ดูสมจริงมาก” จอมเวทย์ดำนั่งเอนหลังเล็กน้อยมองหน้าสหายผู้สูงวัยกว่าพลางเหยียดปากหยัน ๆ เหล่ตาไปทางโลงศพทองคำ ด้วยเสียงที่แหบแห้งของแบล็ค ไวเซอร์ ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเขาพูดด้วยความจริงใจหรือประชดกันแน่

“สงบปากของเจ้าไว้สักหน่อยจะดีกว่า ถ้าเจ้ายังอยากจะทำลายฟีเลเซียให้ราบเป็นหน้ากลอง ก็อย่าคิดมายั่วโทสะข้าในตอนนี้” เบลซ เซจ หันมาพูดโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ข้าไม่ได้จะยั่วโทสะหรอก” จอมเวทย์แบล็ค ไวเซอร์ หรี่ตาลงข้างหนึ่งคล้ายจะกำลังประเมินความคิดของอีกฝ่าย “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าท่านมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แตกต่างจากเดิมจนน่า...ประหลาดใจ” จอมเวทย์ดำเว้นระยะห่างคำพูดสุดท้ายอย่างจงใจ ถึงคราวนี้อุปราชเฒ่าจึงเริ่มหรี่ตาลงบ้าง

“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

“ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า...ท่านแอบไปทำอะไรลับหลังข้ารึเปล่า?” แบล็ค ไวเซอร์ถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ เหมือนรู้ทัน

“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรรึ?” เบลซ เซจขมวดคิ้วแสร้งตีหน้าซื่อ

“ก็อย่างเช่น... แอบทำสัญญากับจอมปีศาจ” แบล็ก ไวเซอร์พูดราวกับปล่อยหมัดเด็ดเข้าใส่ท้องของอุปราชเฒ่าเต็ม ๆ ก่อนจะมองจ้องใบหน้าของอุปราชเฒ่าด้วยสายตาที่คมกริบเพื่อจับสังเกตความผิดปกติใด ๆ ที่อาจแสดงออกมา

เมื่อเห็นว่า จอมเวทย์ดำ จ้องอย่างไม่วางตา อุปราชเฒ่าก็เค้นเสียงหัวเราะขึ้นกลบเกลื่อน “ดูจ้องข้าเข้าสิ เรามานั่งระแวงกันเองเช่นนี้แล้วจะทำการใหญ่ได้อย่างไรกัน เวลานี้เราต่างก็ต้องพึ่งพากำลังของกันและกันไม่ใช่รึ?”

แบล็ค ไวเซอร์ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งยิ้มหยัน “ขอเตือนไว้ก่อนนะ ทำสัญญาปีศาจต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายหรือรู้ไม่เท่าทันมัน ก็อย่าคิดทำจะดีกว่า”

“เป็นห่วงข้ารึ?” เบลซ เซจถามด้วยน้ำเสียงยินดี ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกใด ๆ ฉายออกมาทางดวงตา

“ข้าห่วงตัวเองมากกว่า ท่านจะทำอะไรมันก็เรื่องของท่าน แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงข้าก็แล้วกัน เดี๋ยวจะต้องมาช่วยตามล้างตามเช็ดกันให้วุ่น” จอมเวทย์ดำเหลือบไปทางโลงศพทองคำเบื้องหน้า “นั่น...เป็นตัวอย่าง”

แบล็ค ไวเซอร์พูดจบก็เบือนหน้าไปมองประชาชนที่มาตั้งขบวนอยู่ข้างถนนโดยไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับอุปราชเฒ่าอีก ทว่าข้างฝ่ายอุปราชเฒ่านั้นกลับโกรธจนแทบเนื้อเต้น ขยับปากตั้งท่าจะโต้เถียงด้วยวาจาที่เผ็ดร้อน แต่แล้วก็หุบปากลงเสียสนิทก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:27 pm

ที่หอคอยสูงฝั่งตะวันตกของปราสาท ราชินีเนริมอร์ทรงกำคทาแน่นจนร่างเกร็งสั่นเทิ่มไปทั้งร่าง แรงแค้นอาฆาตพุ่งพล่านออกมานอกพระกายขององค์ราชินีไม่ต่างกับภูเขาไฟปะทุ ยิ่งทรงเห็นขบวนแห่พระศพที่มีเจ้าคางคกเฒ่านั่งตามหลังอยู่เช่นนั้น ก็ยิ่งให้กริ้วโกรธจนแทบคลั่ง อยากจะฉีกเนื้อมันเป็นหมื่นชิ้นให้หายแค้น ไอร้อนพัดพวยพุ่งหมุนวนจนบรรดาข้าวของที่มีน้ำหนักเบาพัดปลิวร่วงหล่นจนเกลื่อนพื้น

“ว๊าย! ” เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก

ราชินีเนริมอร์ทรงหันควับไปทางต้นเสียงราวกับจะเผาไหม้มันให้เป็นจุล นางกำนัลมอบราบแทบพื้น ตัวสั่นงันงกหน้าผากจรดพื้นไม่กล้าเงยหัวขึ้นสบตาแม้พื้นห้องจะร้อนเหมือนหม้อน้ำที่ตั้งบนไฟก็ตาม

“ข...ขะ...ขบวนพระศะ...ศพ กำลังจะ...จะมาถึงทะ...ที่หน้าประตูวังแล้ว เพ...เพคะ”

ราชินีเนริมอร์ทรงตวัดคทาที่หัวทับทิมเปล่งแสงจนวาวโรจน์ก่อนจะสาวเท้าออกไปในทันที ชายผ้าของพระนางเฉียดผ่านนางกำนัลแค่แว่บเดียวก็ทำให้นางกำนัลถึงกับสะดุ้งโหยง รีบถลาหลบไปข้างหลังบานประตูนั่งกัดลิ้นตัวเองหลับตาปี๋ ไม่กล้าแม้จะให้เสียงครางด้วยความหวั่นกลัวดังเล็ดรอดออกไป


*******************************


“แปลกจริง” แบล็ค ไวเซอร์ ตั้งข้อสังเกตเมื่อพบว่าภายในท้องพระโรงมีแต่ความว่างเปล่า บรรดาทหารช่วยกันเคลื่อนโลงศพทองคำขึ้นตั้งไว้บนแท่นที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วก็รีบกุลีกุจรออกจากห้องไปทันที จอมเวทย์ดำมองไปรอบ ๆ แล้วเบ้หน้า “พระราชพิธีศพของอาณาจักรนี้ประหลาดดีแท้”

“ไม่... มันไม่ใช่...” อุปราชเฒ่าหันมองรอบ ๆ ตัว ความวิตกกังวลและหวาดระแวงของอุปราชเฒ่าทำให้แบล็ค ไวเซอร์เข้าใจในความไม่ชอบมาพากลทันที เขาเริ่มกระชับคทาเวทย์ในมือและก้าวเดินอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

“เรื่องเดือดร้อนเรื่องถัดไปรึไง?” จอมเวทย์ดำเปรยเหน็บเสียงแห้ง

“ทหาร!” อุปราชเบลซ เซจ ตะโกนเรียก แต่กลับมีแต่ความเงียบเชียบจนน่าวังเวง “ทหาร! ... หายหัวไปไหนกันหมด ห๊า!”

แบล็ค ไวเซอร์สาวเท้ายาว ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูทางประตูที่พวกตนเพิ่งจะเดินเข้ามา ก่อนจะหันกลับไปหาอุปราชเฒ่า “ทางเดินว่างเปล่า ไม่มีทหารสักคน”

ตูม!!

จู่ ๆ ประตูฝั่งซ้ายของบัลลังก์พระที่นั่งก็ระเบิดอย่างแรง ทำให้ประตูที่เคยสวยงามกลายเป็นเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทุกทิศทุกทางจนฝุ่นควันฟุ้งไปทั่ว ทั้งสองจึงต้องรีบยกแขนขึ้นป้องกันใบหน้าและดวงตาไว้

“นี่มันอะไรกัน!” อุปราชเฒ่าตะโกนอย่างฉุนเฉียว แม้จะยังตกใจอยู่ไม่น้อย

“ชอบการต้อนรับของข้าไหม?” เสียงแข็งกร้าวน่ารักมเกรียมของสตรีดังออกมาจากข้างหลังม่านฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย มีเพียงดางตาสีแดงเพลิงและหัวทับทิมสีแดงที่เปล่งแสงไม่ต่างกับเปลวเพลิงที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางฝุ่นควัน และแล้วจู่ ๆ เปลวเพลิงที่หัวคทาก็หมุนคว้างอย่างรวดเร็วและแปรเปลี่ยนไปเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ลอยสูงเกือบจรดเพดาน “Furious Flame!! ”

*******************************


“เสด็จแม่?” เจ้าชายอิสฮานในชุดแต่งตัวเต็มยศค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปในห้องบรรทมของพระมารดา แต่แล้วเจ้าชายก็ต้องทรงเบ้พระโอษฐ์ขึ้นเมื่อพบว่าภายในห้องบรรทมนั้นไม่มีใครอยู่ เจ้าชายน้อยทรงนิ่วพระพักตร์ด้วยความสงสัยเมื่อจู่ ๆ พระมารดาก็มีรับสั่งให้พระองค์รออยู่ในห้องและแต่งตัวเตรียมรอรับพระศพเสด็จพ่อ หากไม่มีรับสั่งเรียกตัวก็ไม่อนุญาตให้ออกจากห้อง รวมถึงบรรดาข้าราชบริพารที่ไม่มีหน้าที่สำคัญก็ถูกสั่งให้ไปตั้งขบวนรับพระศพอยู่ที่ลานหน้าปราสาทจนเกือบหมด เจ้าชายน้อยทรงยืนนิ่งคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก็พระทัยหายวาบรีบวิ่งไปที่หีบทองคำประดับทับทิมสีแดงซึ่งตั้งอยู่ข้างแท่นบรรทมของพระมารดา พระองค์ทรงค่อย ๆ เปิดออกด้วยความระมัดระวังพลางก้มดูภายในหีบทองนั้น แล้วเจ้าชายน้อยก็ทรงถอนพระทัยอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าผ้าคลุมขนนกแดงของพระมารดายังคงวางอยู่ภายในนั้น

เจ้าชายอิสฮานทรงออกแรงดันฝาหีบจนอ้าหงายไปทางด้านหลังแล้วจึงค่อย ๆ ช้อนผ้าคลุมขนนกขึ้นมาอย่างเบาพระหัตถ์ พระองค์ก็เหมือนเด็ก ๆ ทั่วไปที่รู้สึกสนุกเมื่อได้จับต้องขนนุ่ม ๆ ของสัตว์ เจ้าชายทรงแทรกพระหัตถ์ลงไปจนเห็นว่าทั้งพระหัตถ์นั้นจมหายลงไปในแพขนนก เจ้าชายทรงยิ้มน้อย ๆ เมื่อรู้สึกจั๊กจี้ในอุ้งพระหัตถ์

“ดีละ เราตัดสินใจแล้ว เราจะขออนุญาตเสด็จแม่เลี้ยงนก หรือไม่ก็สัตว์ขนปุยตัวเล็ก ๆ สักตัว สองตัว” เจ้าชายตรัสเหมือนให้สัญญากับตัวเอง แล้วจึงทรงยิ้มกว้างเมื่อนึกว่าจะทรงได้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ “อันดับแรกต้องหาเสด็จแม่ให้เจอก่อน” เจ้าชายตรัสจบก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่ทรงออกตามหาพระมารดา แม้จะทรงถูกพระมารดากำชับให้อยู่แต่เพียงในห้องของพระองค์ เพียงแค่ทรงคิดว่าพระมารดาอาจจะผิดหวังที่พระองค์ไม่เชื่อฟังรับสั่งของพระมารดา พระทัยของพระองค์ก็ห่อเหี่ยวลงไปอักโขทีเดียว

“แต่จู่ ๆ ทุกคนก็หายไปกันหมดนี่นา ถ้าท่านนาริสไม่ไปปราบแคว้นลาซาล ท่านนาริสต้องอนุญาตให้เราออกมาเดินเล่นในอุทยาน หรือไม่ก็อาจจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเราแน่ ๆ ” เจ้าชายอิสฮานพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการละเมิดคำสั่งของพระองค์เพื่อไม่ให้พระองค์รู้สึกผิดมากนัก แต่ลึก ๆ ในพระทัยนั้น พระองค์ทรงมีความประหวั่นและรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้น เพราะทรงรู้สึกว่าอาจจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น แค่ถูกกำชับให้อยู่แต่ในห้องของพระองค์ก็ผิดปกติเกินไปแล้ว เสด็จแม่ไม่เคยรับสั่งให้พระองค์อยู่แต่ในห้องมาก่อนเลยนี่นา แล้วยิ่งทุกคนรวมทั้งเสด็จแม่ดูเหมือนจะอันตธานไปกันหมด จริงอยู่ที่พระองค์พบนางกำนัลหรือทหารตามห้องหรือมุมกำแพงอยู่บ้าง ทว่าทุกคนก็พากันขอร้องให้พระองค์เสด็จกลับห้องเพราะเกรงกลัวอาญาขององค์ราชินี เจ้าชายน้อยทรงยืนคิดไปพลางก็ขย๋ำพระหัตถ์ในผ้าคลุมขนนกเล่นไปพลาง

ตูม!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:29 pm

เจ้าชายน้อยสะดุ้งเฮือกหมุนองค์ไปยังทิศทางที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนั้น พระหัตถ์ทั้งสองกำผ้าคลุมขนนกแดงจนแน่น ดวงเนตรคมโตเบิกกว้างด้วยความตกพระทัยทอดพระเนตรตรงไปทางต้นเสียงราวกับจะสามารถมองทะลุกำแพงไปได้ “เสียงอะไรน่ะ?” ทรงตรัสเสียงเบาเหมือนถามตัวพระองค์เอง แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรในพระทัยของพระองค์เลย

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!!!


เจ้าชายน้อยสะดุ้งไปตามเสียงที่ดังสนั่นนั้นก่อนจะทรงยืนนิ่งด้วยทั้งตื่นตระหนกและงงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงกระพริบพระเนตรปริบ ๆ ราวกับกำลังระดมพลังสมองให้ทำงานจนเร็วจี๋

“เสด็จแม่?” พระโอรสตรัสเสียงเบาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

ตูม!!!

“เสด็จแม่!?!” เจ้าชายอิสฮานตะโกนสุดเสียงถลาวิ่งพระพักตร์ตื่นออกไปจากห้องบรรทมอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาเล็ก ๆ ของพระองค์จะทำได้


*************************


“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” เบลซ เซจตะโกนอย่างเกรียวกราดท่ามกลางซากปรักหักพังและฝุ่นควันที่คละคลุ้ง “นี่รึ? นี่รึคือวิธีตอบแทนของพระองค์ต่อผู้ที่มีความจงรักภักดีและอยู่เคียงข้างเจ้าเหนือหัวจนลมหายใจสุดท้าย ทั้งยังแห่พระศพให้อย่างสมพระเกียรติ”

“หุบปากโสโครกของเจ้าซะ จะตายอยู่แล้วยังกล้าสะเออะพูดจาปลิ้นปล้อนอีกรึ?” ราชินีเนริมอร์ทรงตวาดเสียงกร้าว “เจ้าคิดว่าทำอะไรในที่ลับแล้วจะไม่มีคนล่วงรู้รึ เจ้าคางคกโสโครก”

“ระวังปากของพระนางหน่อย ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อย่ามากล่าวหากันลอย ๆ ดีกว่า” เบลซ เซจแสร้งตีหน้าซื่อ แต่ใบหน้าก็ซีดลงอย่างมีพิรุธ

“ไอ้คางคกปลิ้นปล้อน จนขนาดนี้แล้วยังกล้าพูดโป้ปดอีกรึ?!” ดวงเนตรของพระนางวาวโรจน์ “ไอ้ขี้ข้าทรยศ แกทำให้ซาดินต้องกลายเป็นผีดิบทั้งเป็น คิดว่าข้าไม่รู้รึ?”

ทันใดนั้นลูกไฟเวทย์ก็พุ่งเข้าใส่อุปราชเฒ่าและจอมเวทย์ดำทันที แบล็ค ไวเซอร์รีบตวัดคทาสร้างลูกไฟเวทย์สีเขียวเจิดจ้าเข้าต้านลูกไฟเวทย์ของราชินีเนริมอร์จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น แรงอัดทำให้จอมเวทย์ดำกระเด็นไปกระแทกผนังด้านหนึ่งอย่างแรง แทบจะทันที ราชินีเพลิงก็ทรงตวัดแขนอีกข้างขึ้นเหนือเศียรสร้างลูกไฟเวทย์ที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมขว้างใส่อุปราชเฒ่าจนสุดแรง คราวนี้ถึงคราวเบลส เซจรีบปล่อยพลังเวทย์ใส่คทาเพื่อป้องกัน แต่แรงปะทะอันร้ายกาจของเวทย์เพลิงจากองค์ราชินีก็รุนแรงจนผลักอุปราชเฒ่ากระเด็นไปกระแทกเสาต้นหนึ่งอย่างแรง

ครั้นเมื่อบุรุษทั้งสองตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาได้จึงเห็นว่าต่างก็ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ เบลซ เซจนั้นปากแตกจนต้องถ่มเลือดทิ้ง นี่หากไม่ได้ท่านอวารูเซจช่วยแนะให้เขาผ่อนแรงต้านลูกไฟเวทย์ เขาก็อาจจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ ในขณะที่แบล็ค ไวเซอร์นั้นมีรอยแตกเหนือคิ้วซ้ายจนมีเลือดไหลเป็นทาง ทั้งหมวกทรงสูงของเขาก็ถูกแรงกระแทกจนกระเด็นหล่นไปไกลทีเดียว ซ้ำยังดูเหมือนจะมีอาการบาดเจ็บภายในจากการกระแทกอย่างแรงด้วย

“หนอย! ร้ายกาจนักนะนังตัวแสบ” เบลซ เซจตวัดคทาในมืออย่างฉุนเฉียว “ดูดพลังเวทย์ของมัน ดูสิว่าจะทนการโจมตีได้นานสักแคไหน” อุปราชเฒ่าตะโกนสั่งเสียงกร้าว

“ก็ลองดูสิ!” ราชินีเนริมอร์ทรงตวัดคทาต้านพลังเวทย์ของจอมเวทย์ดำเต็มกำลังจนเกิดประกายไฟพุ่งเป็นสายเชื่อมต่อระหว่างคทาขององค์ราชินีและคทาของแบล็ค ไวเซอร์ ความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองก็เริ่มพัดหมุนคว้างจนเศษซากปรักหักพังชิ้นเล็ก ๆ ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ

อุปราชเฒ่าได้ทีก็สร้างลูกไฟเวทย์ขึ้นบ้างก่อนจะขว้างเข้าใส่ราชินีเนริมอร์อย่างไม่ให้ทันตั้งตัว ราชินีเพลิงทรงรีบสร้างลูกไฟเวทย์ขึ้นต้าน ลูกไฟเวทย์ต่อลูกไฟเวทย์ปะทะกันจนเกิดระเบิดดังสนั่นกึกก้อง แรงกระแทกส่งให้บุคคลทั้งสามกระเด็นหงายไปไกลหลายช่วงตัว ที่จริง ด้วยพลังเวทย์ที่สูงกว่าขององค์ราชินี พระองค์สามารถทานแรงปะทะได้มากกว่าเบลซ เซจ และ แบล็ค ไวเซอร์ ทว่าเพราะการปะทะอยู่ในระยะประชิดและพระองค์ยังสร้างลูกเพลิงเวทย์ได้ไม่ใหญ่พอทำให้ต้านแรงไม่อยู่

ราชินีเนริมอร์ทรงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแม้จะทรงรู้สึกเสียวแปลบที่แขนซ้าย พระองค์ทรงหายใจอย่างแรงทั้งด้วยความกริ้วโกรธและด้วยความเหนื่อยที่เร่งปล่อยพลังเวทย์แบบไม่ยั้ง พระองค์ทรงเหลือบมองที่ต้นแขนจึงทรงเห็นว่ามีแผลเปิดและเริ่มมีโลหิตไหลซึมออกมา พระนางทรงขบกรามแน่นอย่างโกรธเกรี้ยวหันไปมองบานกระจกกั้นฉากที่แตกเป็นแผ่นใหญ่กลายเป็นเหมือนคมมีดขนาดใหญ่ดูน่ากลัว

“ช่างพอเหมาะพอเจาะเสียจริง” องค์ราชินีตรัสด้วยความหงุดหงิด ดวงเนตรวาวโรจน์เงื้อคทาฟาดใส่แผ่นกระจกนั้นจนแตกละเอียดร่วงกราวลงกองกับพื้น มีเพียงอุปราชเฒ่าที่ยิ้มอย่างยินดีเพราะรู้ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

“คิดจะจัดการอย่างไรต่อไปก็เร็วเข้าเถอะ” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวเร่งด้วยเสียงแหบแห้ง “พลังเวทย์ของนางปกติก็สูงกว่าเราอยู่แล้ว ยิ่งเวลาโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดเช่นนี้ ข้าดูดซับพลังเวทย์ทั้งหมดของนางไม่ไหวนะ”

“หึ! เริ่มขยาดแล้วรึ? เจ้ายังดูดซับพลังข้าไปไม่ถึงหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ!” ราชินีเนริมอร์กระแทกเสียงด้วยแรงแค้นก่อนจะสร้างเพลิงเวทย์ลูกใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

จอมเวทย์ดำรีบยกคทาขึ้นดูดซับพลังเวทย์จากลูกไฟของราชินีเนริมอร์ทันที ในขณะที่เบลซ เซจด้วยความช่วยเหลือของอวารูเซจก็สร้างลูกไฟเวทย์ขึ้นมาพร้อม ๆ กันถึงห้าลูก ข้างฝ่ายราชินีเนริมอร์เมื่อทรงเห็นดังนั้นก็สร้างลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นที่พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งเตรียมต้านการโจมตีของเบลซ เซจ

ในวินาทีนั้น ลูกไฟก็พุ่งเข้าใส่ราชินีเพลิงจากทุกทิศทุกทางทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่องหลายครั้ง แรงอัดทำให้หน้าต่างประตูทุกบานระเบิดกระจายหายไปจนเหลือแต่ช่องว่างตามผนังกำแพง ผ้าม่านและสิ่งของต่าง ๆ ที่ไหม้ไฟได้ต้องก็ถูกเผาจนมอดไหม้ ทันทีที่กลุ่มควันจางลงจึงได้เห็นว่าแต่ละคนก็ถูกแรงดันผลักจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง

“แกมีพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามทั้งประหลาดพระทัยและกริ้วโกรธที่การฆ่าอุปราชเฒ่าต้องยุ่งยากและเสียเวลายิ่งขึ้น แรงกระแทกนั้นเริ่มส่งผลต่ออวัยวะภายในของพระองค์แล้วเมื่อพระนางทรงไอเอาโลหิตออกมา แต่ดูทางฝ่ายอุปราชเฒ่าและจอมเวทย์ดำจะบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน “คราวนี้แหละ จบกันสักที”

ทั้งสามต่างก็เร่งสร้างลูกเพลิงเวทย์เตรียมจะเข้าห่ำหันกันทันที

“เสด็จแม่!” เสียงเจ้าชายน้อยร้องเรียกดังขึ้นจากโถงทางเดินด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพห้องระเนระนาดจากช่องประตูที่เปิดออก ราชินีเนริมอร์ทรงหันควับไปยังทิศทางที่มาของเสียงด้วยความตื่นตระหนกเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจับพระทัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:31 pm

“อิสฮาน อย่าเข้ามานะ” ราชินีเนริมอร์ตรัสสุดเสียง แล้วก็ต้องทรงเบิกเนตรด้วยความหวาดกลัวแทบสิ้นสติเมื่อเห็นดวงพระทัยของพระนางวิ่งมาหยุดยืนอยู่ที่กรอบประตูด้วยดวงเนตรที่เบิกโพลง

แล้ววินาทีนั้นเองอุปราชเฒ่าก็แอบฉวยโอกาสขว้างลูกเพลิงเวทย์เข้าใส่องค์ราชินีทันที ราชินีเนริมอร์ที่ไม่ได้ทรงทันระวังเมื่อทอดพระเนตรเห็นหน้าของบุตรชายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัววิ่งเข้ามาภายในห้อง ดวงตาจ้องมองไปทางอุปราชเฒ่า พระนางจึงทรงหันไปทอดพระเนตรตาม และก็ได้เห็นลูกไฟสีเขียวเจิดจ้ากำลังพุ่งตรงมาหาพระองค์อย่างเร็ว แต่แล้วจู่ ๆ ลูกไฟก็เลี้ยวผ่านพระพักตร์ไปอย่างฉิวเฉียด ทว่าแทนที่จะโล่งพระทัย พระนางกลับทรงหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

ตูม!

ร่างของเจ้าชายน้อยลอยละลิ่วกระแทกผนังอย่างแรงก่อนจะล่วงลงกระแทกพื้นจนเสียงดังโครม

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ราชินีเนริมอร์ทรงตะโกนสุดเสียงขว้างลูกไฟเวทย์เข้าใส่ชายทั้งสองแล้ววิ่งเข้าไปหาดวงพระทัยของพระนางทันที “ไม่ ไม่ ไม่.... ไม่นะ อิสฮาน ๆ “ ราชินีเนริมอร์บัดนี้เพลิงแค้นแทบจะมอดหายไปหมด น้ำเนตรไหลพรู กรีดร้องราวกับจะเสียสติ ทันทีที่ตะเกียดตะกายไปถึงตัวเจ้าชายน้อยได้ก็รีบพลิกร่างเล็ก ๆ นั้นสำรวจบาดแผลอย่างลนลาน หน้าผากแตก มีโลหิตไหลออกมาจากพระโอษฐ์ พระพักตร์และพระกายมีแต่รอยขีดข่วน ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไปไหวติ่ง และดูเหมือนจะไม่หายใจด้วยซ้ำ

“ไม่นะอิสฮาน ฟื้นสิ ลืมตาสิ ได้ยินไหม หายใจเดี๋ยวนี้!” ราชินีเนริมอร์ทรงเขย่าร่างบุตรชาย กรีดร้องราวกับกำลังถูกกระชากพระทัยออกมาทั้งเป็น

“แค่ก ๆ ๆ ๆ ” เจ้าชายน้อยทรงสำลักโลหิตออกมากองใหญ่ รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งพระกายราวกับพระกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เจ็บเกินกว่าจะร้องไห้ไหวด้วยซ้ำ เจ้าชายอิสฮานทรงกัดฟันก่อนจะปรือเนตรขึ้นตรัสเสียงแผ่ว “เสด็จแม่ ...เสด็จแม่ปลอดภัยรึเปล่า?”

“เด็กโง่ เด็กโง่” ราชินีเนริมอร์ทรงร้องไห้สะอึกสะอื้นคว้าตัวบุตรชายขึ้นกอดแนบอก “แม่ปลอดภัยสิ ใครใช้ให้เจ้าดูดพลังเวทย์ใส่ตัวเองอย่างนี้ ใครใช้ให้เจ้าทำอะไรโง่ ๆ อย่างนี้”

เจ้าชายอิสฮานยกมือขึ้นกอดพระมารดาอย่างอ่อนแรง ดีใจเหลือเกินที่เสด็จแม่ปลอดภัย “ลูกจะปกป้องเสด็จแม่”

“แค่ก ๆ ๆ ๆ “ เสียงไอดังมาจากอีกฟากของห้อง ราชินีเนริมอร์ทรงหันไปทางต้นเสียงด้วยความหวาดหวั่น จึงทรงเห็นว่าจอมเวทย์ดำกำลังพยายามลุกขึ้นยืน ในขณะที่เบลซ เซจซึ่งยืนโงนเงนอยู่กำลังพยายามสร้างลูกเพลิงเวทย์ลูกใหม่ แล้วพระหัตถ์น้อย ๆ ของบุตรชายก็พยายามยกขึ้นมาจนอยู่ในระดับสายพระเนตรของพระองค์

“หยุดนะอิสฮาน!” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยความตื่นตระหนก ทรงได้ยินเสียงเพลิงเวทย์พุ่งผ่านอากาศมาอย่างรวดเร็วจึงรีบคว้าตัวบุตรชายกลิ้งองค์หลบไปอีกด้านหนึ่งได้มันก่อนที่เพลิงเวทย์จะมาถึงตัวเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว

ตูม!

เสียงเพลิงเวทย์ระเบิดใส่พื้นท้องพระโรงดังสนั่นหวั่นไหว

“ดี... ถ้าอย่างนั้นก็ตายพร้อมกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย” เบลซ เซจ ประกาศอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะชูมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะเพื่อสร้างลูกไฟเวทย์

ราชินีเนริมอร์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรบุตรชายที่รักอีกครั้ง พระนางทรงใช้หัตถ์ข้างหนึ่งปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของพระองค์แล้วทรงคลี่ยิ้ม “ลูกแม่ เจ้าแอบเข้าไปในห้องแม่ด้วยใช่ไหม”

“ลูกขอโทษที่ไม่เชื่อฟังเสด็จแม่” เจ้าชายน้อยตรัสเสียงแผ่วทอดพระเนตรพระพักตร์ที่ยิ้มละไมของพระมารดา พระนางทรงหัวเราะเบา ๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู ค่อย ๆ บรรจงดึงผ้าคลุมขนนกแดงห่อตัวบุตรชายไว้จนมิดพลางหันกลับไปมองอุปราชเฒ่าอีกครั้ง ก่อนจะทรงบรรจงเช็ดคราบเลือดออกจากใบหน้าของบุตรชายอย่างเบาพระหัตถ์ ริมพระโอษฐ์ยังทรงยิ้มแม้ดวงเนตรจะฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา พระนางทรงบรรจงจูบแก้มทั้งสองข้างของบุตรชายและสวมกอดอย่างทะนุถนอม เจ้าชายน้อยขมวดคิ้วกับท่าทางของพระมารดาแล้วก็เกิดกลัวขึ้นมาจับพระทัย

“ลูกรัก จงอยู่อย่างมีความสุข อย่าให้เหมือนพ่อของเจ้าที่แสวงหามันมาตลอดชีวิตแต่ไม่เคยได้พบ”

“เสด็จแม่?!” เจ้าชายน้อยทรงคว้าพระหัตถ์ของพระมารดาไว้แน่น

“ลูกรัก ดวงใจของแม่ จดจำรอยยิ้มของแม่ไว้นะลูก” พระนางทรงพลิกรพระหัตถ์ของโอรสแนบกับริมพระโอษฐ์ที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่ “จำรอยยิ้มของแม่ไว้นะ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน แม่จะอยู่กับเจ้าเสมอ”

และแล้วร่างของเจ้าชายน้อยก็ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น พระหัตถ์ทั้งสองค่อย ๆ หลุดออกจากกัน แล้วพระกายของพระนางก็เริ่มมีเปลวไฟลุกขึ้นจนทั่วพระกาย ห้วงอากาศแหวกออกเป็นช่องที่มีแสงประหลาดระยิบระยับเคลื่อนไหวไปมาราวกับสายน้ำไหล

“ไม่ ไม่ เสด็จแม่ ลูกจะอยู่กับเสด็จแม่” เจ้าชายน้อยทรงพยายามดิ้นรนอยู่ภายในห่อผ้าคลุมขนนก

“จงอยู่อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจงจำใบหน้าที่ยิ้มแย้มนี้ของแม่ แม่รักเจ้า ลูกรัก” ราชินีเนริมอร์ยังทรงยิ้มให้ดวงพระทัยของพระนางอย่างอ่อนโยน แม้ร่างทั้งร่างกำลังลุกเป็นไฟ

“ไม่นะ เสด็จแม่” ด้านหลังของราชินีเนริมอร์แดงวาบ ซาร์ อิสฮานเห็นมารดาของตนหันหลังกลับพร้อมกับสร้างลูกไฟเวทย์ขนาดมหึมาอย่างรวดเร็วก่อนจะค่อย ๆ เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เกิดเปลวเพลิงลุกท่วมก่อนที่ภาพจะเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ แต่พระพักตร์ของพระมารดาที่มองพระองค์และยิ้มอย่างอ่อนโยนยังคงตราตรึงติดดวงเนตรเจ้าชายน้อยอยู่ จนกระทั่งร่างของพระมารดามอดไหม้กลายเป็นจุลไป ต่อหน้าต่อตา

“เสด็จแม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน