Chapter 55 เปลวเพลิงที่มอดดับ
อาณาจักรซาโลมเวลานี้มีแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญ ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยบรรดาหญิงหม้ายในชุดผ้าดิบเนื้อหยาบสีทึ่ม ๆ เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นดินและขี้เถ้า ซึ่งเป็นธรรมเนีนมปฏิบัติของชาวทะเลทราย ที่จะต้องแต่งตัวเช่นนี้ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความทุกข์และความโศกเศร้าอาวรณ์ต่อผู้ที่จากไปจนไม่มีแก่ใจจะแต่งตัวให้สวยงาม รวมไปถึงสิ่งสวยงามต่าง ๆ ภายในอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง หรือ เครื่องประดับตกแต่งอาคารบ้านเรือนที่มีสีสันฉูดฉาดก็ถูกเก็บออกไป หรือไม่ก็ถูกคลุมทับด้วยผ้าดิบเนื้อหยาบ จนทั่วทั้งอาณาจักรแลดูซึมเศร้าไร้สีสัน ทุกคนต่างออกมายืนออตั้งแถวเตรียมรอรับขบวนศพของกษัตริย์ซาดินที่กำลังจะเคลื่อนเข้าสู่ประตูเมือง และรวมไปถึงรอรับสิ่งของเครื่องใช้ของบรรดาสามี พ่อ พี่ชาย หรือ ลูกชายของพวกนางที่เสียชีวิตในสงคราม เพราะเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ทุกบ้านจะไม่ได้รับศพของสมาชิกในครอบครัวกลับคืน ดังนั้นใครได้รับสิ่งของเครื่องใช้คืนก็หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นเสียชีวิตแล้วนั่นเอง
ทันทีที่เสียงกลองหน้าประตูเมืองระรัวดังขึ้น เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ยิ่งดังระงมมากยิ่งขึ้น โดยไล่จากประตูเมืองด้านหนึ่งไปยังประตูเมืองอีกด้านหนึ่ง เสียงกลองให้จังหวะการเดินดังกระหึ่มพร้อม ๆ กับขบวนนักแมนโดลินหลวง (Palace Mandolinist) ที่บรรเลงเพลงเศร้าด้วยเครื่องเป่าเสียงแหลม เสียงที่แหลมเล็กฟังแล้วเหมือนเสียงหวีดร้องคร่ำครวญของหญิงที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งทำให้บรรยากาศที่ชวนสลดหดหู่อยู่แล้วยิ่งทวีความท้อแท้ สิ้นหวังมากขึ้นไปอีก แม้บางคนจะไมได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจจริง ๆ แต่บรรยากาศก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ตามไปด้วย
ริ้วธงรูปวิหคเพลิงผืนใหญ่หลายร้อยผืนโบกสะบัดด้วยแรงลมเดินนำขบวนทัพมาเป็นอันดับแรก โดยเหล่านักดนตรีก็แปรขบวนออกเดินนำหน้าเพื่อแห่พระศพขององค์กษัตริย์ไปทั่วเมือง
เมื่อริ้วธงวิหคเพลิงเคลื่อนผ่านประตูเมืองไปจนครบแล้ว ก็ถึงขบวนราชรถที่บรรทุกพระศพขององค์กษัตริย์ รถศึกสีแดงคลิปทองที่ถูกส่งไปรอรับพระศพที่เขตชายแดนตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน มันได้รับการตกแต่งประดับประดาอย่างเลิศหรูสมพระเกียรติ โลงศพทองคำที่สลักเป็นลวดลายวิหคเพลิงกางปีกร่ายรำเป็นท่วงท่าต่าง ๆ อย่างแสนวิจิตรก็เปล่งประกายอย่างงดงามยามต้องแสงอาทิตย์ แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายในโลงทองคำนั้น มีเพียงเศษเถ้าถ่านของจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
อุปราชเบลซ เซจ ซึ่งนั่งอยู่บนรถศึกคู่กับแบล็ค ไวเซอร์ ตามหลังขบวนโลงศพทองคำก็นั่งสงบนิ่ง ใบหน้าถูกฉาบด้วยความโศกเศร้าและอมทุกข์คล้ายกับคนที่ถูกดูดสีสันแห่งชีวิตไป บางครั้งก็แสร้งเงยหน้าขึ้นเหมือนคนพยายามกล้ำกลืนน้ำตา จอมเวทย์ดำเหลือบมองสหายผู้ชั่วร้ายอย่างรู้ทันจึงอดแสร้งเหน็บไมได้
“ดูสมจริงมาก” จอมเวทย์ดำนั่งเอนหลังเล็กน้อยมองหน้าสหายผู้สูงวัยกว่าพลางเหยียดปากหยัน ๆ เหล่ตาไปทางโลงศพทองคำ ด้วยเสียงที่แหบแห้งของแบล็ค ไวเซอร์ ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเขาพูดด้วยความจริงใจหรือประชดกันแน่
“สงบปากของเจ้าไว้สักหน่อยจะดีกว่า ถ้าเจ้ายังอยากจะทำลายฟีเลเซียให้ราบเป็นหน้ากลอง ก็อย่าคิดมายั่วโทสะข้าในตอนนี้” เบลซ เซจ หันมาพูดโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าไม่ได้จะยั่วโทสะหรอก” จอมเวทย์แบล็ค ไวเซอร์ หรี่ตาลงข้างหนึ่งคล้ายจะกำลังประเมินความคิดของอีกฝ่าย “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าท่านมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แตกต่างจากเดิมจนน่า...ประหลาดใจ” จอมเวทย์ดำเว้นระยะห่างคำพูดสุดท้ายอย่างจงใจ ถึงคราวนี้อุปราชเฒ่าจึงเริ่มหรี่ตาลงบ้าง
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า...ท่านแอบไปทำอะไรลับหลังข้ารึเปล่า?” แบล็ค ไวเซอร์ถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ เหมือนรู้ทัน
“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรรึ?” เบลซ เซจขมวดคิ้วแสร้งตีหน้าซื่อ
“ก็อย่างเช่น... แอบทำสัญญากับจอมปีศาจ” แบล็ก ไวเซอร์พูดราวกับปล่อยหมัดเด็ดเข้าใส่ท้องของอุปราชเฒ่าเต็ม ๆ ก่อนจะมองจ้องใบหน้าของอุปราชเฒ่าด้วยสายตาที่คมกริบเพื่อจับสังเกตความผิดปกติใด ๆ ที่อาจแสดงออกมา
เมื่อเห็นว่า จอมเวทย์ดำ จ้องอย่างไม่วางตา อุปราชเฒ่าก็เค้นเสียงหัวเราะขึ้นกลบเกลื่อน “ดูจ้องข้าเข้าสิ เรามานั่งระแวงกันเองเช่นนี้แล้วจะทำการใหญ่ได้อย่างไรกัน เวลานี้เราต่างก็ต้องพึ่งพากำลังของกันและกันไม่ใช่รึ?”
แบล็ค ไวเซอร์ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งยิ้มหยัน “ขอเตือนไว้ก่อนนะ ทำสัญญาปีศาจต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายหรือรู้ไม่เท่าทันมัน ก็อย่าคิดทำจะดีกว่า”
“เป็นห่วงข้ารึ?” เบลซ เซจถามด้วยน้ำเสียงยินดี ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกใด ๆ ฉายออกมาทางดวงตา
“ข้าห่วงตัวเองมากกว่า ท่านจะทำอะไรมันก็เรื่องของท่าน แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงข้าก็แล้วกัน เดี๋ยวจะต้องมาช่วยตามล้างตามเช็ดกันให้วุ่น” จอมเวทย์ดำเหลือบไปทางโลงศพทองคำเบื้องหน้า “นั่น...เป็นตัวอย่าง”
แบล็ค ไวเซอร์พูดจบก็เบือนหน้าไปมองประชาชนที่มาตั้งขบวนอยู่ข้างถนนโดยไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับอุปราชเฒ่าอีก ทว่าข้างฝ่ายอุปราชเฒ่านั้นกลับโกรธจนแทบเนื้อเต้น ขยับปากตั้งท่าจะโต้เถียงด้วยวาจาที่เผ็ดร้อน แต่แล้วก็หุบปากลงเสียสนิทก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา