Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 5:12 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:06 pm

Chapter 52 การจากลา



ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันอิกนิส(Ignis) ที่แสนจะร้อนระอุในอาณาจักรซาโลม องค์ราชินีเนริมอร์ประทับอยู่บนบัลลังก์ยกพื้นสูงภายในห้องทรงงาน ซึ่งบัลลังก์นี้ถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษโดยพระองค์เอง เพื่อให้พระองค์สามารถหันไปมองพระโอรส ซาร์ อิสฮาน ลูกชายสุดที่รักของพระนางที่จะได้รับอนุญาตจากมหาอำมาตย์นาริสให้ลงมาวิ่งเล่นในอุทยานหลังจากที่ตั้งใจเรียนมาตลอดทั้งวัน

แรกทีเดียวพระองค์ก็ไม่ใคร่จะพอพระทัยนักเมื่อมหาอำมาตย์ไม่อนุญาตให้เจ้าชายลงมาเล่นที่อุทยานเมื่อใดก็ได้ตามที่เจ้าชายทรงต้องการ โอรสของพระนางเป็นถึงว่าที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรซาโลมในอนาคต ความต้องการของพระองค์จึงสมควรจะได้รับการตอบสนองทันที แต่ลึก ๆ ในพระทัยแล้วคงจะเพื่อตัวพระนางเองด้วยที่ทรงอยากเห็นโอรสของพระองค์วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานทั้งวัน พระองค์ทรงอยากเก็บภาพความสุขและรอยยิ้มของซาร์ อิสฮานไว้ให้มากที่สุดเพื่อที่พระนางจะสามารถทนมีชีวิตอยู่ในสนามรบที่ปราศจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กชายผู้ซึ่งเป็นดั่งดวงพระทัยของพระนางได้เป็นแรมเดือน แต่กว่าที่พระนางจะทรงยอมรับเหตุผลที่ไม่ยอมผ่อนปรนของท่านนาริสได้ พระนางก็เกือบทรงยั้งโทสะไว้ไม่อยู่ ระเบียบวินัยบ้างล่ะ ภาระหน้าที่ที่เจ้าชายพึงปฏิบัติบ้างล่ะ ความอดทนอดกลั้นบ้างล่ะ พระนางไม่ทรงสนพระทัยเรื่องไร้สาระนั้นหรอกขอเพียงให้พระโอรสของพระนางมีความสุขและพระนางเองมีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ก็เหมือนมหาอำมาตย์จะรู้ทันความคิดของพระองค์ จึงจบการโต้เถียงในครั้งนั้นว่าแสงแดดในช่วงอื่น ๆ ของวันนั้นร้อนแรงเกินไป พระโอรสจะทรงประชวรเอาได้ เวลาแดดร่มลมตกอย่างช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ จนเกือบร่วงเข้าเวลาเย็นจึงจะเหมาะสมสำหรับพระโอรสที่จะทรงออกมาวิ่งเล่นมากกว่า นั่นจึงทำให้พระนางทรงยอมรับได้ในที่สุด

“เสด็จแม่!” เจ้าชายอิสฮานทรงตะโกนเรียกเสียงใสขณะที่ทรงยืนอยู่บนชิงช้าเชือกพยายามโยกองค์ไปมาเพื่อให้ชิงช้าเหวี่ยงแรงขึ้นและสูงขึ้น เจ้าชายทรงยิ้มร่าคล้ายพยายามจะอวดความสามารถของพระองค์ให้ผู้เป็นมารดาชื่นชม

ราชินีเนริมอร์ทรงคลี่ยิ้มพลางโบกพระหัตถ์ให้อย่างเอ็นดูโดยไม่ทรงสนพระทัยกองเอกสารที่พระองค์จะต้องประทับตราให้เสร็จภายในวันนี้ที่กองเป็นตั้งสูงบนโต๊ะสักเท่าใดนัก บนโต๊ะนั้นมีถ้วยกระเบื้องเคลือบทองงานฝีมือชั้นเลิศจากแคว้นทางเหนือบรรจุน้ำชาสมุนไพรรสขมจนเต็มวางอยู่ข้างกองเอกสารเหล่านั้น

ขณะที่กำลังทอดพระเนตรพระโอรสอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น เสียงประกาศการขอเข้าเฝ้าของมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน จากทหารหน้าประตูก็ดังขึ้น ราชินีเนริมอร์ทรงขมวดคิ้วงามด้วยความสงสัย ปกติท่านนาริสจะปล่อยให้พระนางได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้อย่างเป็นส่วนพระองค์ วันนี้จึงค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่สักหน่อย กระนั้นพระนางก็ทรงให้สัญญาณอนุญาต

มหาอำมาตย์เฒ่าในชุดสีแดงขาวเดินก้าวผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชายสูงวัยนั้นแลดูคร่ำเคร่งและวิตกกังวลอยู่มากทีเดียว

“ถวายบังคม องค์ราชินี”

“ตามสบายเถิด ท่านนาริส มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในเมืองรึ? ท่านดูสีหน้าไม่ใคร่ดีเลย”

“พ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่หาใช่ในเมืองหลวง แต่เป็นในสนามรบต่างหาก กระหม่อมเพิ่งจะได้รับทราบข่าวจากสนามรบเมื่อสักครู่นี้เอง” มหาอำมาตย์ทูลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สบายใจอย่างที่สุด คิ้วเข้มที่มีสีขาวแซมนั้นขมวดเข้าหากันจนหว่างคิ้วกลายเป็นร่องลึก

เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นเข้าราชินีเนริมอร์ก็เริ่มมีอาการวิตกกังวลขึ้นมาบ้าง ดวงพักตร์เริ่มซีดลง ดวงเนตรคู่งามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พระทัยของพระนางเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ

“เกิดอะไรขึ้น ท่านนาริส?”

“ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเท่ากันพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ!!”

เพล้ง!!

ราชินีเนริมอร์ทรงพรวดพราดลุกขึ้นในทันใดด้วยความตกพระทัยจนชนขอบโต๊ะอย่างแรง พระหัตถ์ของพระองค์ปัดถูกถ้วยกระเบื้องเคลือบจนตกลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:07 pm

ขณะนั้น เจ้าชาย ซาร์ อิสฮานทรงกำลังโล้ชิงช้าไปมาอย่างสนุกสนานโดยมีเหล่านางกำนัลคอยนั่งเฝ้าอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่นั้น หลังจากที่ราชินีเนริมอร์ทรงกลับมาประทับอยู่ที่พระราชวังเพื่อน ๆ ของพระองค์ก็ไม่ค่อยมาเล่นด้วยเหมือนเวลาที่พระมารดาไม่อยู่ แม้พระมารดาจะไม่ทรงขัดข้องใด ๆ เวลาที่พวกเพื่อน ๆ มาเล่นกับพระองค์ แต่ดูเหมือนว่าบรรดาพ่อแม่ของพวกเขาเหล่านั้นจะยังไม่คลายความหวาดกลัวลง กระนั้นพระองค์ก็ทรงไม่ใส่พระทัยหรอก เวลานี้พระองค์ก็อยากอยู่กับพระมารดาเพียงลำพังเช่นกัน

เจ้าชายน้อยทรงคิดพลางยิ้มอย่างมีความสุข พระองค์ทรงเหลือบสายพระเนตรขึ้นไปทางห้องทรงงานอีกครั้ง ครั้นแล้วพระองค์ก็ต้องหยุดโล้ชิงช้าและปล่อยให้มันโยกไปตามแรงเหวี่ยงของมันเอง พระองค์ทรงกัดริมพระโอษฐ์ล่างเบา ๆ ขมวดคิ้วน้อยเข้าด้วยกัน ทำไมเสด็จแม่จึงไม่ทรงหันมาทางพระองค์และโบกพระหัตถ์ให้เหมือนเคย ทุกครั้งเวลาที่พระองค์หันไปที่หน้าต่างห้องทรงงาน เสด็จแม่จะต้องทรงมอง ยิ้ม และ โบกพระหัตถ์ให้พระองค์เสมอ แต่ทำไมเวลานี้พระองค์จึงทรงเบือนหน้าไปทางอื่นเล่า? เจ้าชายยังคงประทับยืนอยู่บนชิงช้าที่แกว่งไกวแม้จะค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความสนุกสนานของพระองค์ที่ลดลงตามแรงเหวี่ยงของชิงช้า

เพล้ง!!

ทันทีที่ได้ยินเสียงบางอย่างแตกดังมาจากทางห้องทรงงาน เจ้าชายอิสฮานก็พระเนตรเบิกกว้างด้วยความตกพระทัย พระองค์ทรงกระโดดลงจากชิงช้าอย่างทุลักทุเล พอทรงตั้งหลักได้ก็ออกวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้น ๆ อย่างเด็กแปดขวบจะทำได้ พระองค์ทรงมุ่งหน้าไปทางห้องทรงงานทันที ทำให้บรรดานางกำนัลและมหาดเล็กต้องรีบออกวิ่งตามเสด็จกันหน้าตั้งเพราะเกรงอาญาจากพระราชินี

“เสด็จแม่! เสด็จแม่!” เจ้าชายตรัสเรียกพลางวิ่งพรวดพราดด้วยพระพักตร์ตื่นเข้าไปในห้องทรงงาน

“อย่าเพิ่งเข้ามา อิสฮาน” ราชินีเนริมอร์ทรงได้ยินเสียงพระโอรสเข้ามาใกล้ก็เกรงว่าเศษกระเบื้องจะทำร้ายโอรสของพระนางจึงทรงรีบร้องห้ามในทันใด

เจ้าชายน้อยทรงหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ ทรงมองพระมารดาทีหนึ่ง หันไปมองท่านนาริสทีหนึ่ง ก่อนจะทรงก้มลงมองถ้วยกระเบื้องเคลือบที่แตกกระจาย ซึ่งเวลานี้เหล่านางกำนัลกำลังช่วยกันเก็บกวาดอยู่เป็นการใหญ่ เจ้าชายอิสฮานทรงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น ท่านนาริสคงไม่ทำอันตรายเสด็จแม่แน่ ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“เกิดอะไรขึ้นรึ ลูกแม่?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามขึ้น

“ลูกได้ยินเสียงแก้วแตก” เจ้าชายอิสฮานตอบพลางใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างกำม้วนชายกางเกงทรงหลวมที่พระองค์สวมอยู่ คล้ายเกิดความสับสนขึ้นภายในพระทัย

พระราชินีเนริมอร์ทรงได้ยินดังนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ แม้พระองค์จะยังไม่คลายความตระหนกเมื่อสักครู่พระองค์ทรงอ้าแขนออก และแทบจะทันทีที่เจ้าชายน้อยวิ่งโผเข้าสู่อ้อมแขน

“ลูกรัก น่ารักจริง ๆ รู้จักเป็นห่วงแม่ด้วย” พระราชินีเนริมอร์ทรงบรรจงจุมพิตพี่พวงแก้มทั้งสองข้างของเจ้าชายประหนึ่งให้รางวัล

เจ้าชายน้อยทรงยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นพระพักตร์ที่ไม่ใคร่สดชื่นเหมือนปกติของพระมารดาก็ทำให้ต้องทรงขมวดคิ้วลงอีกครั้ง ยิ่งเมือหันไปเห็นสีหน้าไม่สบายใจของท่านนาริสด้วยแล้วก็พลอยมีสีหน้าสลดลงไปด้วย

“ลูกทำผิดอะไรรึพ่ะย่ะค่ะ? ท่านนาริส เราไม่ตั้งใจเรียนหรือ?” เจ้าชายอิสฮานทรงอดตรัสถามเสียงเบาไม่ได้

“หาเป็นเช่นนั้นไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยเรียนและเรียนได้ดีมากด้วย กระหม่อมได้เคยทูลพระนางเนริมอร์หลายครั้งทีเดียว” นาริส สุไลมานทูลตอบ ซึ่งก็ทำให้เจ้าชายน้อยค่อยยิ้มออก

“ทำไมถามเช่นนี้เล่า ลูกแม่?” ราชินีเนริมอร์ทรงอดสงสัยไม่ได้

“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะลูก แล้วเสด็จแม่กับท่านนาริสกลุ้มใจเรื่องอะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าชายอิสฮานทรงเอียงคอมองพระมารดาพยายามจับสังเกตพระพักตร์ของพระองค์

ราชินีเนริมอร์ทรงหันไปทางมหาอำมาตย์เฒ่าเป็นเชิงว่ายกหน้าที่ในการแจ้งเรื่องนี้ให้กับเขา ในขณะที่พระนางเองก็ทรงใช้แขนข้างหนึ่งโอบพระโอรสไว้ส่วนอีกข้างนั้นวางไว้บนตักของพระโอรส

เจ้าชายอิสฮานทรงเห็นดังนั้นก็คิดได้ว่าคงเป็นเรื่องสำคัญจึงพยายามนั่งตัวตรงตั้งพระทัยฟัง โดยทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองข้างบนพระหัตถ์ของพระมารดาที่วางอยู่บนตักของพระองค์เองอีกทีหนึ่ง

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับแจ้งข่าวจากกองทัพของเราในอาณาจักรฟีเลเซียว่า เสด็จพ่อของฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก” มหาอำมาตย์จงใจละคำว่า อาการเป็นตายเท่ากัน ไว้

เจ้าชายอิสฮานทรงนั่งนิ่งพยายามทำความเข้าใจกับคำว่าเสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ตั้งแต่เกิดมา พระองค์เคยได้ยินแต่ว่าเสด็จพ่อเก่งกาจแค่ไหน? รบทัพจับศึกเก่งเพียงใด? แต่ไม่เคยได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงบาดเจ็บ หรือว่าพระองค์ไม่เคยใส่พระทัยฟังกันแน่นะ แต่แล้วอีกความรู้สึกหนึ่งก็ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นมา เจ้าชายน้อยค่อย ๆ ยิ้มกว้าง

“แปลว่าเราจะไม่ต้องทำสงครามแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? เสด็จแม่จะไม่ต้องไปออกรบแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

นาริส สุไลมานเห็นดังนั้นก็ให้เศร้าใจนัก กษัตริย์ซาดินทรงเหินห่างกับพระโอรสมากเสียจนพระโอรสแทบจะไม่มีความรู้สึกสลดหรือวิตกกังวลเพื่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย

“ไม่แน่หรอกลูก แม่อาจจะต้องกลับไปสนามรบเร็วขึ้นเพื่อไปดูอาการของเสด็จพ่อ” ราชินีเนริมอร์ตรัส พระนางเองก็สับสนจนคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน

“ไม่นะ เสด็จแม่ อีกแค่สี่วันก็ถึงกำหนดที่พระองค์จะต้องกลับไปที่สนามรบแล้ว อยู่กับลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอิสฮานทรงเขย่าพระหัตถ์พระมารดาพลางทรงหันมาทอดพระเนตรท่านนาริสอย่างพยายามหาพวกทันที

“พระองค์อาจจะไม่ต้องทรงเสด็จกลับไปแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังไม่ได้แจ้งสารทั้งหมด ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการมาด้วย” นาริส สุไลมานทูลเสียงเครียด

“ราชโองการอะไร?!” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามอย่างตื่นเต้น พระทัยก็เป็นห่วงสวามีแต่การที่ไม่ต้องกลับไปสนามรบและได้อยู่กับพระโอรสในซาโลมก็เป็นความใฝ่ฝันของพระนางตลอดหลายปีมานี้

“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำทัพหลวงไปปราบกบฏเยซีฮานที่แคว้นลาซาล แล้วให้พระนางอยู่ดูแลบ้านเมืองที่ซาโลมแทน”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:08 pm

“อะไรนะ?” ราชินีเนริมอร์ทรงย้อนถามด้วยความตกตะลึง “นี่เขาคิดจะให้ซาโลมทำศึกสองที่ในเวลาเดียวกันเลยอย่างนั้นรึ? นี่ซาดินกำลังคิดอะไรอยู่!”

“ไม่ได้นะ ท่านนาริสจะไปรบไม่ได้นะ” เจ้าชายน้อยทรงร้องห้ามเสียงหลง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่พระองค์รักจะต้องจากพระองค์ไปทำสงครามด้วย

“ฝ่าบาท...”

“เราเกลียดเสด็จพ่อ เกลียดเสด็จพ่อ” เจ้าชายน้อยทรงมีน้ำเนตรขึ้นเอ่อคลอขณะตะโกนเสียงดัง “ถ้าพระองค์ตาย...”

“ซาร์ อิสฮาน!” ราชินีเนริมอร์ตรัสปรามด้วยความตกพระทัย “ลูกไม่ควรพูดเช่นนี้กับเสด็จพ่อ”

เจ้าชายอิสฮานทรงเบ้พระโอษฐ์ น้ำเนตรร่วงพรูลงอาบทั้งสองพวงแก้มก่อนจะผละลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
“เดี๋ยวก่อนลูก! อิสฮาน!” ราชินีเนริมอร์ตรัสเรียก แต่ทว่าเจ้าชายอิสฮานก็วิ่งออกจากห้องไปแล้ว พระนางจึงได้แต่ทอดถอนพระทัยและทอดพระเนตรมหาอำมาตย์นาริสอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ขอประทานอภัยฝ่าบาท กระหม่อมถวายการอบรมสั่งสอนพระโอรสไม่ดี ทำให้พระองค์ตรัสออกมาเช่นนั้น ขอพระองค์ทรงลงพระอาญากระหม่อมเถิด” มหาอำมาตย์เฒ่าโค้งต่ำด้วยความสำนึก

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้ารู้ดี เงยหน้าขึ้นเถิดท่านนาริส ข้ารู้ว่าลูกข้าพูดเพราะไม่อยากให้เราทั้งสองจากแกไปไหนไกล เมื่อซาดินมีพระราชโองการออกมา ก็เป็นธรรมดาที่ลูกข้าจะต้องโทษว่าเป็นความผิดของเขา เรื่องที่อิสฮานเกลียดพ่อของเขาเอง ข้าก็รู้มาตั้งนานแล้ว เป็นเพราะซาดินทำตัวเองแท้ ๆ ข้าไม่โทษท่านหรอก” ราชินีเนริมอร์ตรัสเสียงเศร้า ดวงเนตรยังทรงจ้องอยู่ที่ช่องประตูที่เจ้าชายอิสฮานวิ่งจากไป

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” นาริสเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าและวิตกกังวลอยู่เช่นเดิม

“แล้วนี้เราควรจะทำเช่นไรกัน?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถาม สมองของพระนางแทบจะตื้อตันคิดอะไรไม่ออก

“กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับการยกทัพไปตีเมืองลาซาลในเวลานี้เลย กระหม่อมเคยทูลเหตุผลกับองค์ซาดินแล้ว และพระองค์ในเวลานั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย นี้คงจะเป็นเจ้าอุปราชเฒ่าที่ทูลยุแยงพระองค์ให้ตัดสินพระทัยเช่นนั้น กระหม่อมจะลองส่งสารถึงฝ่าบาทเพื่อให้ทรงทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนท่านด้วย ส่วนข้าเองก็คงต้องเร่งเตรียมตัวกลับกองทัพ ถ้าสารของท่านเปลี่ยนใจซาดินได้สำเร็จ ข้าก็คงต้องกลับทันทีเพราะถึงอย่างไรเขาก็คือสวามี”

เสียงและภาพของราชินีเนริมอร์มหาอำมาตย์นาริส สุไลมานค่อย ๆ จางและแผ่วไปในหมอกควันของเครื่องหอมที่ลอยฟุ้งออกมาจากกระถางเหล็กภายในกระโจมของกษัตริย์ซาดิน อุปราชเฒ่าใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจ้องมองกลุ่มควันที่เริ่มกระจายตัวออกไปทุกทิศทุกทางไม่จับกลุ่มเป็นวงเหมือนทีแรก

“ทีนี้เจ้าจะเอาอย่างไร?” แบล็ค ไวเซอร์ใช้มือปัดควันตรงหน้าเหมือนเป็นการลบทางเชื่อมมิติให้ขาดจากกันโดยสมบูรณ์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “บอกตามตรงนะ ตอนนี้ข้าชักจะตามเกมของเจ้าไม่ทันแล้ว เจ้ายังคิดจะช่วยข้าแก้แค้นฟีเลเซียอยู่รึไม่? แล้วเครื่องหอมนี่...เจ้าได้มาจากไหน?”

เบลซ เซจ หันไปมองแบล็ค ไวเซอร์ด้วยสายตาไม่พอใจอยู่แวบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าได้มันมาอย่างไร...รู้แค่ว่าข้าเอามาให้ใช้เพื่องานของเราก็พอแล้ว เจ้าสงสัยข้าได้ยังไงกัน? เป็นข้ามิใช่รึที่ช่วยหาเลือดสด ๆ มาให้นกปีศาจที่ใกล้จะตายของเจ้าได้กิน จนมันรอดอยู่ได้ถึงตอนนี้แม้จะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่...แต่ก็รอด แล้วดูสิ นี่ข้าไม่ได้กำลังรบกับฟีเลเซียตามที่เจ้าต้องการอยู่หรอกหรือ?”

“ก็ดี” แบล็ค ไวเซอร์ พยักหน้ารับแต่ดวงตายังคงจ้องมองเบลซ เซจคล้ายจะค้นหาความจริง “เพียงแต่ระยะหลัง ๆ มานี้ เจ้าดูจะเริ่มทำอะไรโดยไม่ปรึกษากันก่อน” แบล็ค ไวเซอร์ เหลือบสายตาไปทางร่างของกษัตริย์ซาดินที่สีผิวเริ่มซีดเซียวลงจนแทบจะไม่เหลือสีเลือด ของพระเนตรดำคล้ำสายพระเนตรมองจ้องเพดานนิ่งไม่ไหวติง ซึ่งสภาพก็ดูไม่ต่างจากซากศพเข้าไปทุกที

“ไม่ต้องห่วง แผนที่เราตกลงกันไว้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”

“แล้วเรื่องราชินีกับตาแก่นั่นล่ะ จะเอาอย่างไร?” แบล็ค ไวเซอร์ถาม

“ข้าจะให้นังผู้หญิงนั่นกลับมาที่นี่ไม่ได้ มันจะทำลายแผนการณ์ของเราทั้งหมด แล้วยังเจ้าแก่รู้มากนั่น เราต้องรับกำจัดมันให้เร็วที่สุด” เบลซ เซจ พูดพลางลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา พยายามคิดหาวิธีรั้งมิให้ราชินีเนริมอร์กลับมาที่สนามรบอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฮึก...อัก”

จู่ ๆ ร่างของกษัตริย์ซาดินก็ทำเสียงประหลาดออกมาจนทั้งสองรับหันควับไปทางต้นเสียงแทบจะพร้อมกัน

“เกิดอะไรขึ้น?” เบลซ เซจถามด้วยความตกใจ

แบล็ค ไวเซอร์เดินเข้าไปใกล้แท่นบรรทมขมวดคิ้วแน่นมองอาการที่เกิดขึ้นยังคงมีเสียงอึกอักดังออกมาจากร่างของกษัตริย์เพลิง ทั่วบริเวณแท่นบรรทมนั่นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่าและเหม็นสาบ พ่อมดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กษัตริย์ซาดินที่อยู่ข้างในน่ะ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะตาย”

“แล้วต้องทำยังไงกันดี?” เบลซ เซจรีบถามด้วยความตกใจร่างของกษัตริย์ซาดินกระตุกและเริ่มมีอาการเกร็งจนสั่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:09 pm

“ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าร่างที่เคยใช้โลหิตปีศาจไปแล้วครั้งหนึ่ง จะใช้ซ้ำอีกไม่ได้แล้ว นี่แหละขีดจำกัดของร่างมนุษย์”

สักพักร่างทั้งร่างของกษัตริย์ซาดินค่อย ๆ คลายอาการเกร็งลง บาดแผลที่ดูเหมือนเคยสมานกันดีค่อย ๆ ปริแยกเหมือนเมื่อครั้งที่ทรงได้รับบาดเจ็บใหม่ ๆ เลือดปีศาจไหลซึมออกมาจากปากแผลต่าง ๆ พร้อม ๆ กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ผ่านริมพระโอษฐ์แห้งคล้ำของกษัตริย์ซาดินไปทันใดนั้นก็เกิดเสียงร้องโหยหวนตะโกนเชิงด่า เสียงขู่กรรโชก มากมายดังไปทั่วกระโจมราวกับมีคนอยู่เป็นร้อยคนในกระโจม สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้มระเนระนาด ถ้วยแก้วแจกันปลิวว่อนและตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น ก่อนจะมีเสียงหวีดร้องเหมือนเสียงลมดังหมุนรอบ ๆ ภายในกระโจมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป

“เขาตายแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์ประกาศเสียงแห้ง เมื่อทุกอย่างสงบลง พลางมองดูสภาพศพของกษัตริย์ซาดินด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าต้องยอมรับว่าเขาทรหดมากที่มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่ยับเยินได้นานขนาดนี้โดยที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ”

“หึ หึ หึ” เบลซ เซจพยักหน้าหงึก ๆ หัวเราะในลำคอเหมือนกำลังฟังเสียงของใครบางคนที่อยู่ข้างกายมากกว่าจะฟังคำพูดของพ่อมดดำ “ทีนี้แหละ ตาแก่นั่นมันจะต้องยอมยกทัพออกไปจากเมือง มันไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งสุดท้ายของกษัตริย์ซาดินแน่ ๆ ฮ่า! ฮ่า!”

“เราต้องรีบจัดการศพของกษัตริย์ซาดินเสียก่อน เจ้าคงไม่คิดจะส่งร่างนี้กลับอาณาจักรซาโลมในสภาพเช่นนี้หรอกนะ” แบล็ค ไวเซอร์เตือน

“จริงสิ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงสั่งทหารให้จัดเตรียมประรำเผาศพกษัตริย์ของพวกมันเสียเลย ข้าจะเขียนสารแจ้งข่าวการตายของมันไปที่ซาโลม แล้วจะรีบตามออกไปสมทบกับเจ้า” อุปราชเฒ่ายิ้มร่าก่อนจะกลายเป็นหัวเราะลั่นราวกับคนวิกลจริต

***************************


ภายในค่ายของฟูดินัน วันนี้ดูคึกคักและวุ่นวายมากเป็นพิเศษ ทุกคนต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของวางเรียงกันไว้นอกกระโจมที่พักอย่างเป็นระเบียบ มีเสียงหัวเราะดังมาจากกระโจมนั้นบ้าง กระโจมนี้บ้างเป็นระยะ ๆ เหล่าทหารนั่งล้อมวงกันเป็นกลุ่ม ๆ โดยมีหม้อต้มเนื้อที่กำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งค่าย

ฮารีซันและเหล่าแม่ทัพชาวป่าต่างก็กำลังนั่งล้อมวงทานซุปนั้นอยู่เช่นกัน เสียงหัวเราะหยอกล้อกันดังลั่นซึ่งต้นเสียงก็คงไม่พ้นดามิก้าและคาร์น

“...แล้วทีนี้นะ เจ้าทหารซาโลมนั่นก็วิ่งสะดุดขาตัวเองจนหน้าคะมำก้นโด่งเลย ข้าเลยใช้หน้าดาบหวดก้นมันสุดแรงจนร้องจ๊าก” ดามิก้า เล่าเสียงโหวกเหวก

“ในอนาคตเจ้าคงจะต้องเป็นแม่ใจยักษ์แน่ ๆ ยังดีที่เจ้าไม่ให้เจ้านั่นกัดก้นมัน” คาร์นพูดหน้าตาเฉยพลางทำเสียงฟุดฟิดขึ้นจมูกชี้นิ้วไปทางอาลูปัสสัตว์เลี้ยงคู่ใจของดามิก้า ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“อาลูปัสมันไม่กัดอะไรที่เหม็น ๆ หรอก” ดามิก้าพูดจบก็หัวเราะร่วมไปกับทุกคน

ครั้นแล้ว ทราเฮิร์นซึ่งมองเลยไปทางด้านหลังอยู่ก่อนแล้ว จู่ ๆ ก็แสร้งกระแอมแล้วลุกขึ้นยืน

“เออ...ข้านึกได้ว่ายังจัดสัมภาระไม่เสร็จเลย”

“เอ่อ...” คาร์นทำเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอ “ข้าด้วยเหมือนกัน เจ้าด้วยใช่ไหม ดามิก้า?”

“ห๊า! ข้าด้วยรึ?” ดามิก้าซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ฮารีซันเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยใบหน้างงเป็นไก่ตาแตก

“ใช่สิ เจ้าด้วย” ทราเฮิร์นพูดพลางพยักหน้าอย่างหนักแน่นยื่นมือฉุดดามิก้าให้ลุกขึ้นยืนตาม “ไม่ต้อง ๆ ท่านฮารีซันนั่งอยู่นี่แหละ ท่านจัดของเสร็จแล้วนี่ แขนท่านก็ยังไม่ค่อยหายสนิทดี ว่าแต่ปล่อยท่านนั่งอยู่คนเดียวก็คงจะเหงา เดี๋ยวข้าหาใครมาอยู่เป็นเพื่อนท่านดีไหม?”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอก ข้าอยากนั่งเงียบ ๆ คิดอะไรสักพัก” ฮารีซันรีบปฏิเสธ

“คงไม่ได้หรอก” นายทัพเซนทอร์ตอบกลั้วหัวเราะ “ท่านนั่งเหม่อมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวอาการแย่ลงกว่านี้ข้าจะเอาพี่ชายที่ไหนไปคืนท่านวานาอันเล่า?” แม่ทัพเซนทอร์ยิ้มกว้างมองเลยไปทางด้านหลัง “เจ้าหญิงจะให้เกียรตินั่งเป็นเพื่อนสหายของข้าหน่อยได้ไหมล่ะ?” ทราเฮิร์นพูดเลยไปทางด้านหลังทำให้ฮารีซันและดามิก้าต้องหันตามไปดู

ทันใดนั้นดามิก้าก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ ข้างฮารีซันก็รีบลุกขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ด้านอีกฝ่ายก็หน้าแดงไม่แพ้กันแต่ก็ยังคงรักษาภาพพจน์ของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไม่บกพร่อง

“ข้ายินดีจะอยู่เป็นเพื่อนคุยให้ท่านฮารีซัน แต่ข้าคงไม่ได้มารบกวนพวกท่านหรอกนะ พวกท่านจะร่วมนั่งอยู่ด้วยกันก็ได้” เจ้าหญิงตรัสยิ้ม ๆ พยายามไม่สนใจพระพักตร์ที่ร้อนผะผ่าวของพระองค์

“ไม่หรอก พวกข้าขอตัวดีกว่า” ทราเฮิร์นกล่าวก่อนจะรีบต้อนสหายทั้งสองให้เดินออกไปอีกทางหนึ่ง

เมื่อทุกคนจากไปแล้ว แต่สองหนุ่มสาวยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ กันอยู่พักหนึ่ง ทว่าเจ้าหญิงดูจะทรงได้สติก่อนจึงทรงยิ้มพลางตรัสเสียงใส

“ท่านจะไม่เชิญข้านั่งสักหน่อยหรือ?”

“โอ๊ะ!” ฮารีซันตกใจรีบผายมือออกไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ขออภัยที่ข้าไร้มารยาท”

เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกก่อนจะหย่อนองค์ลงนั่งข้าง ๆ เขาพลางทรงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วท่านจะไม่นั่งรึ?”

ชาวหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งแทบจะทันทีทำให้เจ้าหญิงทรงอดหัวเราะท่าทางของเขาไม่ได้

“แขนของท่านดูดีขึ้นมากเลยนะ หายดีรึยัง?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 52 การจากลา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:10 pm

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ต้องขอบคุณบรรดานักบวชที่ช่วยใช้พลังรักษาให้ทันทีในตอนนั้น พอได้รักษาควบคู่กับสมุนไพรที่นำมา อาการก็หายเร็วขึ้นมา” ฮารีซันใช้มือขวาลูบผ้าพันแผลบนแขนซ้ายเพื่อประเมินอาการบาดเจ็บที่ยังหลงเหลืออยู่

“แล้วน้องชายของท่านล่ะ กษัตริย์ซิกมันด์อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮารีซันถามขึ้นบ้าง

“หมอหลวงบอกว่าอาการดีขึ้นตามลำดับ ข้ากำลังสงสัยว่าตามลำดับเนี่ย มันดีขึ้นขนาดไหน?” เจ้าหญิงตรัสพลางหัวเราะเสียงใส “แต่เท่าที่ข้าดู บรรดานักบวชก็ผลัดเวรกันใช้พลังรักษาให้ทุกวัน ก็เรียกได้ว่าพ้นจุดที่น่าเป็นห่วงไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ให้พักผ่อนมาก ๆ เพื่อฟื้นกำลังนั่นแหละ ท่านบิชอปเกรเกอรี่ก็บอกว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว”

ฮารีซันพยักหน้ารับรู้ข้อมูลไว้เพื่อเป็นใช้ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อ

“นี่พวกท่านทำอะไรกินกันรึ? ข้าเห็นหม้อต้มแบบนี้แทบจะทุกกระโจมเลย” เจ้าหญิงทรงชะโงกหน้ามองสตูว์สีส้มที่กำลังเดือดปุด ๆ ในหม้อ

“สตูว์แพะเขาทอง (Golden Horn Goat) พวกเรามีธรรมเนียมว่าถ้าจะออกเดินทางไกลต้องทำสตูว์แพะภูเขา(Mountain Goat) กินกันเพื่อจะได้เดินทางโดยปลอดภัย แต่แพะภูเขาแถบนี้หายาก พวกเราเลยใช้แพะเขาทองแทน” ฮารีซันตอบ “เจ้าหญิงอยากจะลองชิมดูไหม?”

“ข้าจำได้ว่าแพะเขาทองพวกเราชาวฟีเลเซียไม่กินกันเพราะมันมีกลิ่นสาบที่รุนแรงมาก” เจ้าหญิงตรัสอย่างลังเล

“ชาวฟูดินันเรา เวลาทำอาหารที่กินได้ยากหรือเด็ก ๆ ไม่ชอบกิน พวกเราจะใส่เครื่องเทศและเครื่องปรุงเยอะ ๆ เพื่อกลบรสและกลิ่นของมัน ข้ารับรองว่าเจ้าหญิงจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ของมันหรอก”

“ท่านจะหาว่าข้าเป็นเด็กช่างเลือกรึ?” เจ้าหญิงแกล้งตรัสยั่ว “ถ้าเช่นนั้นก็ตักมาเลย ข้าจะกินให้ดู”

ฮารีซันยิ้มอย่างเอ็นดูพลางตักสตูว์แพะเขาทองใส่ชามให้ทัพพีหนึ่งก่อนจะยื่นส่งให้เจ้าหญิง เจ้าหญิงเรจิน่าทรงรับชามไว้ในพระหัตถ์แล้วลองก้มลงใกล้ ๆ ชามเพื่อพิสูจน์กลิ่น

“จริงของท่าน ข้าแทบจะไม่ได้กลิ่นสาบของมันเลย” เจ้าหญิงตรัสพลางใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากค่อย ๆ เคี้ยวช้า ๆ “อืม เนื้อไม่เหนียว มีกลิ่นสมุนไพรเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แล้วรสชาดก็เข้มข้นมาก ๆ ท่านคงเคี่ยวมาหลายชั่วโมงเลยสินะ การเปลี่ยนกลิ่นและรสของอาหารเป็นความคิดที่น่าสนใจเหมือนกันนะ” เจ้าหญิงตรัสพลางหัวเราะร่วน

“ที่นี่เขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้หรือ?” ฮารีซันเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

“เวลาที่ข้าไม่ชอบอาหารชนิดไหน เสด็จแม่ก็จะทรงสั่งให้คนครัวหันมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปรุงผสมกับอาหารที่ข้าชอบ แอบใส่ในจานนั้นนิดจานนี้หน่อย จนข้าคุ้นเคยกับมันและสามารถกินมันได้อย่างปกติ” เจ้าหญิงตรัสยิ้ม ๆ เมื่อคิดถึงวัยเด็ก

“ท่านสองพี่น้องมีมารดาที่ดี” ฮารีซันกล่าวชื่นชม

“ไม่ใช่เราทั้งคู่หรอก อย่างที่ข้าเคยเล่าให้ฟังแล้ว ซิกมันด์ถูกเลี้ยงดูโดนเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะเข้มงวดมาก เวลาซิกมันด์ไม่ชอบกินอะไร เสด็จพ่อจะสั่งให้เขากินมันให้หมดก่อนที่จะเริ่มกินอาหารอย่างอื่นภายในจานได้”

ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งกับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของอดีตกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบอย่างเข้าใจ “เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีไหม? ข้าไม่ได้ตั้งใจมานั่งเล่าเรื่องในอดีตให้ท่านฟังสักหน่อย” เจ้าหญิงทรงหันไปมองกองสัมภาระของฮารีซันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบที่ข้างกระโจมที่พัก น้ำเสียงที่ตรัสฟังดูเศร้าสลดลง “ท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”

“คงจะเป็นย่ำรุ่งพรุ่งนี้” ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สลดลงเช่นกัน “ส่วนกองทัพที่ยังคงประจำการณ์ที่นี่ ข้าได้มอบหมายให้ตัวแทนแต่ละเผ่าดูแลความเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพชาร์ลก็รับปากจะช่วยดูด้วย เจ้าหญิงคงจะไม่ต้องเหนื่อยมากในการดูแลประสานงานกับกองทัพของเรา เผ่าสมิงของแม่ทัพคาร์นอยู่ใกล้ฟีเลเซียมากที่สุด เขาคงจะเดินทางกลับมาถึงที่นี่เป็นคนแรก”

“วางใจเถอะ เวลานี้ตรงชายแดนเมืองอาวีเลียพวกเราก็วางกำลังแน่นหน้าดีแล้ว ข้างซาโลมก็บอบช้ำไปไม่น้อย แม่ทัพทุกคนต่างก็แน่ใจว่ากองทัพซาโลมคงจะยังไม่ดำเนินการใด ๆ ต่อในเวลานี้แน่ ๆ” เจ้าหญิงตรัสพลางหันไปทางชายหนุ่ม “ท่านคิดว่าจะใช้เวลาไปนานเท่าใด?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ามีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องนำเข้าที่ประชุมผู้อาวุโส แต่ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด” ผู้นำเผ่าฟูดินันให้คำมั่นสัญญา

“ข้าก็หวังว่าจะได้พบท่านโดยเร็ว” เจ้าหญิงตรัสเสียงเบาแสร้งเสมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย

ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างรู้สึกว่าหัวใจพองโตจนคับอก จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอในสิ่งที่เขาทำใจให้พูดมาหลายวันแต่ก็ไม่สำเร็จจนเขาถอดใจไปแล้ว “ถ้าเช่นนั้น...ข้า...ข้าขอบังอาจ เอ่อ...ข้า...”

เจ้าหญิงที่ยังทรงมีพวงแก้มสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอายทรงหันมาทางฮารีซันและเอียงพระพักตร์ทอดพระเนตรชายหนุ่มพยายามตั้งพระทัยฟังด้วยความอยากรู้ เจ้าหญิงทรงกัดพระโอษฐ์อมยิ้มน้อย ๆ เหลือบดวงเนตรสีเขียวมรกตขึ้นมองตรงเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่ม เพียงเท่านี้เขาก็แทบจะลืมคำพูดใด ๆ ไปหมดได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองเจ้าหญิงอยู่เช่นนั้น

“แล้วกัน ท่านเล่นจ้องข้าอย่างเดียว แล้วข้าจะรู้รึว่าท่านอยากจะพูดอะไร?” เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกกับปฏิกริยาของชายหนุ่ม

ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ได้สติและยิ่งหน้าแดงยิ่งขึ้นเมื่อจะเริ่มพูดจึงเซมองไปทางอื่น “ข้า...เออ...ข้าขอบังอาจขอสิ่งของของเจ้าหญิงสักชิ้นไว้เป็นที่ระลึกเวลาอยู่ที่ฟูดินันจะได้ไหม?” พูดไปแล้วก็อายจนไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าหญิง

ฝ่ายเจ้าหญิงเรจิน่า ทันทีที่ทรงฟังจบประโยคก็รู้สึกว่าดวงพักตร์ของพระองค์ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม ทั้งดีใจทั้งขวยเขิน ทำไมหนอชายผู้นี้ถึงทำให้พระองค์รู้สึกเขินอายและหน้าแดงได้บ่อยเช่นนี้ แต่ครั้นทรงมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่แกล้งมองไปทางอื่นจึงทรงเห็นว่าใบหูของเขาก็แดงก่ำเลยทีเดียว เจ้าหญิงทรงเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบพระทัย เขาคงต้องรวบรวมความกล้ามากเลยทีเดียวกว่าจะพูดขอของที่ระลึกจากพระองค์ได้ เจ้าหญิงทรงแกะเครื่องประดับผมรูปปีกนกสีเขียวที่พระองค์ทรงโปรดมากและมักจะนำมันประดับผมอยู่เป็นประจำออกมา แต่จะทรงส่งให้เฉย ๆ ได้อย่างไร เจ้าหญิงทรงคลี่ยิ้มอย่างซุกซน พระองค์จึงทรงแกล้งยื่นพระเนตรไปแตะท่อนแขนของชายหนุ่ม แม้พระองค์จะทรงเขินอายอยู่ไม่น้อยแต่รับรองว่าฝ่ายชายคงรู้สึกเขินอายมากกว่าพระองค์หลายเท่าทีเดียว

“ท่านขอของที่ระลึกจากข้า แต่ไม่หันมามองแล้วก็ไม่ยื่นมือมารับ แล้วข้าจะส่งให่ท่านได้อย่างไรล่ะ?” เจ้าหญิงทรงแกล้งโน้มองค์เข้าไปใกล้ตรัสเสียงเบา

ชายหนุ่มตกใจรีบหันกลับมา แต่พอเห็นว่าเจ้าหญิงเขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิมก็ตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออก เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกหงายมือชายหนุ่มขึ้นแล้ววางเครื่องประดับลงในอุ้งมือนั้นก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่เดิม ถึงเวลานี้ชายหนุ่มก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะพึมพำเสียงเบาเหมือนให้ตนเองฟัง แต่ก็ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน

“ข้าหวังว่าจะมีภูมิต้านทานความน่ารักของเจ้าหญิงเร็ว ๆ”

ครั้นเจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็กลับพระพักตร์แดงขึ้นมาอีกทรงนึกในพระทัยว่าพระองค์เองก็หวังจะให้พระองค์มีภูมิต้านทานเขาได้เร็ว ๆ เช่นกัน

“ท่านชอบที่ระลึกของข้าไหม?” เจ้าหญิงตรัสขึ้นเมื่อมั่นพระทัยว่าควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้แล้ว

“ข้าชอบมาก ขอบคุณที่เจ้าหญิงเมตตาฟังคำขอของข้า” ฮารีซันตอบอย่างซาบซึ้งใจ เขารู้ว่าเจ้าหญิงจะต้องชอบเครื่องประดับชิ้นนี้มากทีเดียวเพราะเขาเห็นพระองค์ใช้มันเสมอ ๆ นั่นยิ่งทำให้มันมีค่าอย่างเหลือเกิน

“ถ้าเช่นนั้น ท่านไม่คิดจะมอบของที่ระลึกให้ข้าบ้างหรือ?” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระพักตร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่แก้มนวลทั้งสองข้างก็เริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

นั่นทำให้ฮารีซันทั้งดีใจและตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เขาแทบไม่กล้าคิดฝันเลยว่าหญิงที่สูงศักดิ์และแสนจะงดงามเพรียบพร้อมตรงหน้าจะอยากได้ของที่ระลึกจากเขาด้วยเช่นกัน ฮารีซันก้มหน้าลงมองฝ่ามือเล็ก ๆ สีขาวผ่องที่เวลานี้แบออกและยื่นมาหาเขาเป็นการยืนยันว่าเจ้าหญิงทรงต้องการมันจริง ๆ ชายหนุ่มยิ้มจนแก้มแทบปริ แต่เขาจะให้อะไรเจ้าหญิงดี เขาไม่ได้คิดฝันว่าเจ้าหญิงจะต้องการของที่ระลึกจากเขาจึงไม่ได้เตรียมของมีค่าใด ๆ ไว้

“ข้าไม่มีของมีค่าอะไรที่คู่ควรกับเจ้าหญิง” ฮารีซันตอบเสียงเบา เริ่มโมโหตัวเองที่ไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้สำหรับเจ้าหญิงเรจิน่า

“มันมีค่าคู่ควรกับข้ารึไม่? ข้าจะเป็นคนตัดสินเอง” เจ้าหญิงตรัสตอบเสียงหนักแน่น

ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา คำพูดของเจ้าหญิงทำให้หัวใจของเขาพองโตได้เสมอ ฮารีซันหยิบห่อผ้าที่เขาเหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวออกมาและเปิดมันออก ในห่อผ้านั้นมีเข็มกลัดอำพันสีน้ำตาลทองวางอยู่ชิ้นหนึ่ง เข้าหยิบมันขึ้นมาแล้ววางลงบนฝ่ามือขาวผ่องตรงหน้า

“ของแม่ข้า ข้าพกติดต่อไว้เสมอ”

เจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็ดวงเนตรโตขึ้นด้วยความตกพระทัย “นี่มันมีค่ากับท่านมากนี่นา ท่านเก็บเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ?”

“เจ้าหญิงเก็บเอาไว้เถิด ข้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้าหญิงมากกว่าข้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าหญิงจะไม่อยากได้” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

“เหลวไหล ข้าอยากได้สิ ขอบคุณมาก ข้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสตอบด้วยความซาบซึ้งพระทัย
สองหนุ่มสาวต่างพูดคุยกันต่ออีกนานจนอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้าจึงต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน