Chapter 52 การจากลา
ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันอิกนิส(Ignis) ที่แสนจะร้อนระอุในอาณาจักรซาโลม องค์ราชินีเนริมอร์ประทับอยู่บนบัลลังก์ยกพื้นสูงภายในห้องทรงงาน ซึ่งบัลลังก์นี้ถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษโดยพระองค์เอง เพื่อให้พระองค์สามารถหันไปมองพระโอรส ซาร์ อิสฮาน ลูกชายสุดที่รักของพระนางที่จะได้รับอนุญาตจากมหาอำมาตย์นาริสให้ลงมาวิ่งเล่นในอุทยานหลังจากที่ตั้งใจเรียนมาตลอดทั้งวัน
แรกทีเดียวพระองค์ก็ไม่ใคร่จะพอพระทัยนักเมื่อมหาอำมาตย์ไม่อนุญาตให้เจ้าชายลงมาเล่นที่อุทยานเมื่อใดก็ได้ตามที่เจ้าชายทรงต้องการ โอรสของพระนางเป็นถึงว่าที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรซาโลมในอนาคต ความต้องการของพระองค์จึงสมควรจะได้รับการตอบสนองทันที แต่ลึก ๆ ในพระทัยแล้วคงจะเพื่อตัวพระนางเองด้วยที่ทรงอยากเห็นโอรสของพระองค์วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานทั้งวัน พระองค์ทรงอยากเก็บภาพความสุขและรอยยิ้มของซาร์ อิสฮานไว้ให้มากที่สุดเพื่อที่พระนางจะสามารถทนมีชีวิตอยู่ในสนามรบที่ปราศจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กชายผู้ซึ่งเป็นดั่งดวงพระทัยของพระนางได้เป็นแรมเดือน แต่กว่าที่พระนางจะทรงยอมรับเหตุผลที่ไม่ยอมผ่อนปรนของท่านนาริสได้ พระนางก็เกือบทรงยั้งโทสะไว้ไม่อยู่ ระเบียบวินัยบ้างล่ะ ภาระหน้าที่ที่เจ้าชายพึงปฏิบัติบ้างล่ะ ความอดทนอดกลั้นบ้างล่ะ พระนางไม่ทรงสนพระทัยเรื่องไร้สาระนั้นหรอกขอเพียงให้พระโอรสของพระนางมีความสุขและพระนางเองมีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ก็เหมือนมหาอำมาตย์จะรู้ทันความคิดของพระองค์ จึงจบการโต้เถียงในครั้งนั้นว่าแสงแดดในช่วงอื่น ๆ ของวันนั้นร้อนแรงเกินไป พระโอรสจะทรงประชวรเอาได้ เวลาแดดร่มลมตกอย่างช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ จนเกือบร่วงเข้าเวลาเย็นจึงจะเหมาะสมสำหรับพระโอรสที่จะทรงออกมาวิ่งเล่นมากกว่า นั่นจึงทำให้พระนางทรงยอมรับได้ในที่สุด
“เสด็จแม่!” เจ้าชายอิสฮานทรงตะโกนเรียกเสียงใสขณะที่ทรงยืนอยู่บนชิงช้าเชือกพยายามโยกองค์ไปมาเพื่อให้ชิงช้าเหวี่ยงแรงขึ้นและสูงขึ้น เจ้าชายทรงยิ้มร่าคล้ายพยายามจะอวดความสามารถของพระองค์ให้ผู้เป็นมารดาชื่นชม
ราชินีเนริมอร์ทรงคลี่ยิ้มพลางโบกพระหัตถ์ให้อย่างเอ็นดูโดยไม่ทรงสนพระทัยกองเอกสารที่พระองค์จะต้องประทับตราให้เสร็จภายในวันนี้ที่กองเป็นตั้งสูงบนโต๊ะสักเท่าใดนัก บนโต๊ะนั้นมีถ้วยกระเบื้องเคลือบทองงานฝีมือชั้นเลิศจากแคว้นทางเหนือบรรจุน้ำชาสมุนไพรรสขมจนเต็มวางอยู่ข้างกองเอกสารเหล่านั้น
ขณะที่กำลังทอดพระเนตรพระโอรสอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น เสียงประกาศการขอเข้าเฝ้าของมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน จากทหารหน้าประตูก็ดังขึ้น ราชินีเนริมอร์ทรงขมวดคิ้วงามด้วยความสงสัย ปกติท่านนาริสจะปล่อยให้พระนางได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้อย่างเป็นส่วนพระองค์ วันนี้จึงค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่สักหน่อย กระนั้นพระนางก็ทรงให้สัญญาณอนุญาต
มหาอำมาตย์เฒ่าในชุดสีแดงขาวเดินก้าวผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชายสูงวัยนั้นแลดูคร่ำเคร่งและวิตกกังวลอยู่มากทีเดียว
“ถวายบังคม องค์ราชินี”
“ตามสบายเถิด ท่านนาริส มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในเมืองรึ? ท่านดูสีหน้าไม่ใคร่ดีเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่หาใช่ในเมืองหลวง แต่เป็นในสนามรบต่างหาก กระหม่อมเพิ่งจะได้รับทราบข่าวจากสนามรบเมื่อสักครู่นี้เอง” มหาอำมาตย์ทูลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สบายใจอย่างที่สุด คิ้วเข้มที่มีสีขาวแซมนั้นขมวดเข้าหากันจนหว่างคิ้วกลายเป็นร่องลึก
เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นเข้าราชินีเนริมอร์ก็เริ่มมีอาการวิตกกังวลขึ้นมาบ้าง ดวงพักตร์เริ่มซีดลง ดวงเนตรคู่งามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พระทัยของพระนางเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ
“เกิดอะไรขึ้น ท่านนาริส?”
“ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเท่ากันพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!!”
เพล้ง!!
ราชินีเนริมอร์ทรงพรวดพราดลุกขึ้นในทันใดด้วยความตกพระทัยจนชนขอบโต๊ะอย่างแรง พระหัตถ์ของพระองค์ปัดถูกถ้วยกระเบื้องเคลือบจนตกลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ