Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ เม.ย. 19, 2024 5:04 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่ไร้วิญญาณ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่ไร้วิญญาณ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:57 pm

Chapter 51 ร่างที่ไร้วิญญาณ



หลังจากที่ปีศาจโฟนอสปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนำร่างของกษัตริย์ซาดินบินหายลับไปในห้วงมิติ จอมทัพชาร์ลก็รีบสั่งการกองทัพเปกาซัสซึ่งนำโดยแม่ทัพหญิงโรน่าเข้าช่วยเหลือนำตัวกษัตริย์ซิกมันด์ไปยังสถานที่ปลอดภัยในทันที และโดยไม่รอช้าก็รีบบัญชากองทัพมังกร และทัพนกออกลุกไล่กองทัพมังกรและทัพสัตว์ป่าของซาโลมที่หมายจะมาชิงตัวกษัตริย์ซิกมันด์ที่ทรงหมดสติอยู่ในหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นสามารถ ประตูป้อมถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับขบวนรถศึกอันเกรียงไกรของฟีเลเซียพุ่งทะยานออกมาจากปากประตูป้อม เสียงควบฮ้อของรถศึกดังกึกก้องไม่ต่างกับเสียงคำรามของพายุแรงกล้า

ข้างฝ่ายกองทัพฟูดินันซึ่งนำโดยคาร์น ทราเฮิร์น และดามิก้าก็เฮโลลงมาจากหน้าผา บ้างก็เกาะเกี่ยวฝูงทัพนกและทัพกริฟฟินพุ่งเข้าตีขนาบกองทัพเพลิงจากทุกทิศทุกทางโดยทันที

กองทัพซาโลมที่ถูกตีขนาบทั้งซ้าย ขวา หน้า และ บนอากาศโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ซ้ำยังขาดผู้นำทัพไปจึงทำให้กองทัพเกิดความสับสนและชุลมุนกันจนเสียขบวนวิ่งแตกแถวกันไปคนละทิศละทาง ฝ่ายกองทัพฟีเลเซียและฟูดินัน เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ที เร่งผนึกกำลังกันเข้าต่อตีไล่ล่าทหารซาโลมที่แตกทัพจนล้มตายไปเป็นอันมาก

การผนึกกำลังของกองทัพทั้งสองทำให้กองทัพซาโลมต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นท่า กว่าจะจัดแถวและริ้วขบวนกันได้ก็ต้องไปตั้งหลักไกลถึงเมืองอาวีเลีย โดยมีจอมทัพทมิฬราโชยูเป็นผู้นำทัพแทน จอมทัพราโชยูซึ่งก็กำลังสับสนจากการหายตัวไปของกษัตริย์ซาดินจึงได้แต่สั่งตรึงกำลังให้กองทัพตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอาวีเลีย เพราะไม่รู้ชะตากรรมของกษัตริย์ซาดินว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ซึ่งจากการรายงานของทหารที่อยู่แนวหน้านั้นทำให้รู้แต่เพียงว่ามีปีศาจตนหนึ่งมาลักพาตัวพระองค์ไปเท่านั้น

จอมทัพทมิฬกวาดตามองแถวทหารของกองทัพฟีเลเซียและฟูดินันที่ตั้งแถวตรึงกำลังไว้อยู่อีกฟากของทุ่งหญ้าตรงบริเวณชายเขตเมืองอาวีเลีย และก็ค่อย ๆ หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จอมทัพเถื่อนยังเห็นอาวุธหนักมากมายที่ทยอยกันขนมาวางเรียงไว้ตลอดแนว และยังคงมีการลำเลียงอาวุธและกำลังพลมาอย่างต่อเนื่อง ความกระวนกระวายใจด้วยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจดำเนินการต่อไปอย่างไรดีก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ ทันใดนั้นพลนกโมฮานายหนึ่งก็ควบฮ้อเข้ามาหาจอมทัพทมิฬอย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบมอบม้วนหนังสัตว์สีดำที่มีตราประทับของอุปราชเบลซ เซจอยู่บนม้วนสารนั้นให้ ราโชยูจึงรีบคลี่ออกทันที แม่ทัพร่างยักษ์รีบกวาดตาไปบนผืนหนังสัตว์อย่างลวก ๆ ก่อนจะรีบรวบขย้ำมันไว้ในอุ้งมืออันใหญ่โตของตนพลางตะโกนสั่งเสียงดัง

“เตรียมพาหนะที่ฝีเท้าจัดที่สุดให้ข้าเดี๋ยวนี้”


*******************************


กษัตริย์ซาดินทรงรู้สึกสลึมสลือเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นเป็นพัก ๆ ความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บดูจะไม่ได้ลดน้อยหรือบรรเทาลงไปเลยสักนิด พระองค์ทรงพยายามขยับตัว แต่แขนและขากลับหนักอึ้งจนพระองค์ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย ดวงเนตรที่หรี่ปรือของพระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นอะไรมากไปกว่าแสงไฟสีแดงสลัว ๆ ความหนาวราวกับอยู่กลางทะเลทรายในค่ำคืนอันมืดมิดแผ่จับพระองค์ไปทั่วทุกอณูขุมขน พระองค์ทรงรู้สึกหนาวสะท้านจนสุดจะบรรยาย

ทันใดนั้นพระองค์ก็แว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนและคลุ้งคลั่งของใครคนหนึ่งดังแว่วมา ช่างเป็นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความชิงชัง ขุ่นเคือง และอัดอั้นตันใจ เหมือนเจ้าของเสียงนั้นกำลังสูญเสียความหวังและความฝันไป จริงสินะ...พระองค์เองก็อยากจะกรีดร้องเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แต่เพราะอะไรกัน? ความคิดที่ไม่ปะติดปะต่อของพระองค์ ทั้งความเจ็บปวด และความหนาวสะท้านที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สมองของพระองค์ดูเหมือนจะไม่ทำงานเอาเสียเลย แล้วทำไมพระองค์ถึงรู้สึกเจ็บปวด? ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? พระองค์ทรงพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ แต่ภาพที่เกิดขึ้นในมโนจิตของพระองค์ก็ช่างดูวุ่นวายและอลหม่าน ราวกับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตต่างก็แย่งกันพุ่งออกมาแสดงตัวให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร จนพระองค์ทรงสับสนว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง ซ้ำภาพที่พร้อมใจกันพุ่งเข้าหาพระองค์นั้นก็มีแต่ภาพสงคราม ภาพการฆ่าฟัน ภาพการต่อสู้ ภาพกองศพที่กองเป็นพะเนินแทบจะสูงเสียดฟ้า ภาพสาวงามมากมายที่พระองค์ยึดมาเป็นนางในฮาเล็มจากแคว้นและดินแดนเผ่าต่าง ๆ ใช่!พระองค์ทรงสังหารครอบครัวของพวกนางทั้งหมดด้วย เพื่อที่ว่าพวกนางจะได้ไม่มีที่ให้กลับไปได้อีก พระองค์ทรงพยักพระพักตร์ให้กับความคิดนั้น การจะดูแลชนชาติที่ป่าเถื่อน ก็ต้องปกครองด้วยความป่าเถื่อน นี่แหละคือความถูกต้อง

“ซาดิน ท่านรักลูกของเราบ้างไหม?”

เสียงหญิงสาวที่พระองค์ทรงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังแว่วขึ้นมาในความคิด เป็นเสียงที่พระองค์เคยวางทิ้งไว้ในซอกหลืบที่ไหนสักแห่งในพระทัยของพระองค์ กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะตอบกลับในพระทัยราวกับเป็นคำตอบที่มีอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที

“เจ้าคิดว่าข้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อใครกันเล่า?”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง พระองค์ทรงมองไปตามที่มาของเสียงนั้น แววเนตรของพระองค์ว่างเปล่า แต่พระกรรณของพระองค์พยายามเงี่ยฟังอย่างตั้งพระทัยยิ่งขึ้น

“โง่! โง่! งี่เง่าที่สุด! ถ้ามันเชื่อฟังข้า ถ้าเพียงแต่มันฟังข้า อ๊า.......!!”

“ใช่ ถ้ามันฟังเจ้า ถ้ามันเพียงแต่ฟังเจ้าสักนิด ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้”

เสียงพังข้าวของดังโครมครามไปทั่ว พร้อม ๆ กับมีเสียงหัวเราะมากมายหลายเสียงดังแว่วมาจากทุกทิศทุกทาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่วิญญาณ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:59 pm

“ฟังสิ ใคร ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะเจ้า” เสียงหัวเราะเหล่านั้นดูจะดังขึ้นกว่าเดิม “พวกทูตสวรรค์ข้างบนนั่นก็หัวเราะเยาะเจ้า”

“หยุดมันที! หยุดมัน! โอ้...ข้าจะต้องทำอย่างไรดี? ข้าจะต้องทำอย่างไรดี?”

เสียงหัวเราะแหลมสูงดังขึ้นก่อนจะกลายเป็นเสียงทุ่มต่ำดังสลับกันไปมา “สรรเสริญข้าสิ นมัสการข้าสิ เอ่ยนามของข้าสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้”

“โอ้ ท่านอวารูเซจ ...”

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”

เสียงเอ่ยนามดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังขึ้นจนก้องไปทั่วบริเวณ ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนลุกและสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ทันใดนั้นจู่ ๆ ห้องทั้งห้องก็สว่างขึ้น สายพระเนตรของพระองค์เห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม พระองค์ทรงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น ความคิดเริ่มตื่นตัวมากขึ้น ใช่แล้ว...พระองค์กำลังต่อสู้อยู่กับกษัตริย์แห่งฟีเลเซียไม่ใช่หรือ? ทำไมพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้? พระองค์ฝันไปอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่...ความเจ็บปวดและบาดแผลเหล่านี้เป็นของจริง พระองค์ทรงเหลือบมองพระกายของพระองค์เท่าที่สามารถเลื่อนสายพระเนตรไปถึง ผ้าพันแผลถูกพันอย่างลวก ๆ ตามพระกายของพระองค์บางแห่งยังมีโลหิตซึมอยู่ เหมือนบาดแผลยังดูสดและปากแผลยังเปิดอยู่ภายใต้ผ้าพันแผลนั้น ทันทีที่พระองค์ทรงพยายามขยับร่างเพื่อทอดพระเนตรพิจารณาให้ถนัดขึ้น ความเจ็บปวดก็เริ่มทิ่มแทงพระกายของพระองค์เหมือนโดนเฉือดเฉือนเนื้อเสียใหม่ พระองค์ทรงตะเบ็งร้องด้วยความเจ็บปวดจนสุดเสียง ทว่าเสียงที่ออกมามีเพียงเสียงครางแผ่ว ๆ ที่เล็ดรอดออกมาจากพระโอษฐ์ที่แห้งกรังของพระองค์เท่านั้น

ผ้าม่านบังตาถูกรูดออกไปข้างหนึ่งทันที อุปราชเบลซ เซจก้าวเข้ามายืนข้างเตียงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับรูปสลัก กษัตริย์ซาดินทรงจ้องมองด้วยความฉงน เสียงพูดคุยและเสียงร้องโหยหวนเมื่อสักครู่เป็นเสียงอุปราชเบลซ เซจอย่างนั้นหรือ? แต่พระองค์ไม่เคยได้ยินอุปราชเฒ่าทำเสียงเช่นนั้นมาก่อนเลยในชีวิต

“ทรงรู้สึกพระองค์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อุปราชเฒ่าเอ่ยเสียงเบาพลางยิ้มกว้าง แต่ทำไมพระองค์จึงทรงเห็นว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกันแสยะปากมากกว่า

“ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เสียงของพระองค์ฟังดูแหบพร่าจนพระองค์ต้องทรงพยายามกลืนน้ำลายฝืด ๆ ที่เจือรสเค็มของโลหิตลงคออย่างยากลำบาก พระองค์ทรงอยากจะกระแอมให้ลำคอรู้สึกโล่งแต่ไม่กล้าเพราะเกรงจะสร้างความเจ็บปวดให้ทวีมากขึ้นกว่าเดิม เวลานี้แค่ทรงหายใจแผ่ว ๆ ก็เจ็บชายโครงแล้ว “แล้วสงครามล่ะ? เราชนะไหม?”

เบลซ เซจ ตัวสั่นเทิ่ม กัดฟันแน่นเอียงคอที่แข็งแกร็งไปมาอย่างคนพยายามข่มอารมณ์จนสุดความสามารถ “ฝ่าบาท” อุปราชเฒ่าเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะเงียบเสียงลงครู่หนึ่งเพื่อปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ฝ่าบาท เวลานี้ข้าพระองค์มีข่าวที่น่าวิตกกังวลยิ่งกว่าเรื่องในสนามรบจะทูลให้ทรงทราบ”

อุปราชเฒ่าทำหน้าเศร้าก้มลงมองกษัตริย์ซาดิน แต่แววตาของเขากลับนิ่งเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกใด ๆ อย่างที่แสดงออกมาทางสีหน้า กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด พระองค์ทรงเหลือบพระเนตรมองพระกายของพระองค์ แทบทุกส่วนมีแต่ผ้าดิบพันแผลไว้ แต่กลับไม่มีส่วนไหนเลยที่ความเจ็บปวดจะทุเลาเบาบางลง

“เบลซ เซจ” กษัตริย์ซาดินทรงเรียกด้วยเสียงที่พยายามเค้นออกมาจากพระโอษฐ์แห้งผาก “นะ...น้ำ...คอข้าจะไหม้เป็นผงอยู่แล้ว”

อุปราชเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความขัดใจ

“ทำไมฝ่าบาทไม่เคยฟังข้าพระองค์ทูล?” เบลซ เซจยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น จนเห็นฟันสีเหลืองที่ขึ้นเรียงกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบอย่างชัดเจน “ฝ่าบาทไม่ทรงเห็นหรือว่าการที่ฝ่าบาทไม่ฟังข้าพระองค์นั้น ผลมันออกมาเป็นเช่นไร?”

“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่ เบลซ เซจ?” กษัตริย์ซาดินตรัสด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ความต้องการของพระองค์ไม่ได้รับการตอบสนองในทันที ดวงเนตรจ้องมองอุปราชเฒ่าอย่างเอาเรื่อง และยิ่งมีอารมณ์หงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ดั่งใจ “เจ้าให้ใครมารักษาแผลให้ข้ากัน? มันไม่ได้ช่วยให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเลย” กษัตริย์ซาดินทรงกัดฟันแน่นก่อนจะตรัสเสียงลอดไรฟัน “เอามันไปประหารซะ!”

เบลซ เซจแสร้งไม่สนใจคำสั่งและเข้าใจเจตนาคำพูดของกษัตริย์ซาดินผิดว่าพระองค์ทรงอยากทราบเรื่องที่เขาพยายามจะทูลตั้งแต่แรก จึงแสยะยิ้มเบนตัวออกห่างจากเตียงพลางหยิบม้วนหนังสัตว์สีน้ำตาลอ่อนพันด้วยเชือกถักสีแดง มีขี้ผึ้งประทับตราของราชอาณาจักรซาโลมติดอยู่ที่ปลายเชือกขึ้นมาคลี่ออก

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์แห่งจักรวรรดิซาโลม ได้รับรายงานว่าบัดนี้ทรราชเยซีฮานแห่งแคว้นลาร์ซาล ได้แอบซ่องสุมกำลังพลเตรียมบุกโจมตีจักรวรรดิซาโลม กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กระหม่อมยกทัพจากวังหลวงไปปราบกบฏแคว้นลาซาลให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อจักรวรรดิซาโลมได้อีกต่อไป มหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน” อ่านจบ อุปราชเฒ่าก็รีบม้วนหนังสือเก็บทันทีพลาง ทูลด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ข้าพระองค์จะรีบส่งราชโองการของฝ่าบาทไปยังมหาอำมาตย์นาริสโดยเร็วที่สุด”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่วิญญาณ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:00 pm

“เดี๋ยว...” กษัตริย์ซาดินทรงหลับพระเนตรพลางขมวดคิ้วพยายามรวบรวมความคิดและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทรงได้ยินจากปากของอุปราชเฒ่า ดูเหมือนสมองของพระองค์จะทำงานเชื่องช้าลงทุกขณะ เหตุใดพระองค์จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสารฉบับนี้นัก มหาอำมาตย์นาริสส่งสารมาขอนำทัพหลวงออกรบกับเยซีฮานเองอย่างนั้นหรือ? นาริสเคยบอกไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงยกทัพจากซาโลมมาว่าอย่างไรนะ? ให้ทิ้งทหารไว้บางส่วนเพื่อป้องกันการโจมตีของไอ้กบฏเยซีฮานหากมันฉวยโอกาสบุกโจมตีซาโลมมิใช่หรือ? เตรียมตั้งรับการโจมตีอยู่ในกำแพงเมืองที่แข็งแรงก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ? ทำไมจะต้องออกไปกลางทะเลทรายให้มันลำบากและเปลืองเสบียงโดยใช่เหตุเล่า? กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเมื่อสติของพระองค์ใกล้จะหลุดลอยไปเต็มที หากพระองค์ได้นอนพักสักครู่คงจะดีไม่น้อย แล้วค่อยกลับมาคิดว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ส่งราชโองการช้าไปไม่กี่ชั่วยามผลก็คงไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

“ฝ่าบาททรงรีรออะไรอยู่?” อุปราชเฒ่าเร่งด้วยความร้อนใจ

“ข้าเพลีย...” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงเบาทว่าก็ยังคงความห้วนและเด็ดขาดในน้ำเสียง “ข้าจะนอนพักสักเดี๋ยวแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”

“ไม่ได้!” เบลซ เซจตะคอกเสียงดังก่อนจะรีบเงียบเสียงลงทันทีที่เห็นแววเนตรแข็งกร้าวและไฟโทสะที่คุโชนอยู่ในดวงเนตรของกษัตริย์เพลิง แม้กษัตริย์ซาดินจะทรงอยู่ในสภาพปางตายเช่นนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพระองค์ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ ขนาดโดนยอดฝีมือถึงสามคนโจมตีตรง ๆ ยังลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ อุปราชเฒ่ารีบโค้งศีรษะลงจนเกือบติดแท่นบรรทม ริมฝีปากสีคล้ำขยับไปมาเหมือนพยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาแก้ตัว “ฝะ...ฝ่า...ฝ่าบาท พระอาญามิพ้นเกล้า ข้า...ข้าพระองค์เพียงแต่เกรงว่าจะไม่ทันการณ์ สารฉบับนี้มาถึงตั้ง..ตั้งแต่...มะ...เมื่อวานแล้ว แต่เพราะพระองค์ทรงออกไปนำทัพทำให้พระองค์ไม่ทรงทราบเรื่อง”

กษัตริย์ซาดินทรงปิดเหลือกพระเนตรพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทั้งเพื่อทรงข่มความโกรธและเรียกสติให้ตื่นตัว ทว่าก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะช่องอกที่ขยายขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้กับพระองค์จนต้องนิ่วพระพักตร์

“ถ้าเจ้าจะต้องเอาราชโองการเดี๋ยวนี้ ก็จงไปเอาน้ำมาให้ข้า” กษัตริย์ซาดินตรัสสั่งเสียงรอดไรฟันแม้ดวงเนตรจะยังคงปิดอยู่
เบลซ เซจกำหมัดแน่น ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง ดวงตาหรี่เล็กจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิทของกษัตริย์เพลิงด้วยความคลั่งแค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าไปยังโต๊ะไม้สลักหน้าม่านสีแดงที่กั้นส่วนห้องโถงกับห้องบรรทม ม่านนั้นเนื้อไม่หนามากจึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวภายนอกได้ลาง ๆ ที่บนโต๊ะนั้นมีสำรับน้ำชาจัดเตรียมไว้อยู่ อุปราชเฒ่าขยับตัวไปมาหน้าม่านคล้ายจะพยายามใช้ตัวบังกษัตริย์ซาดินมิให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนโต๊ะได้ถนัดนัก เบลซ เซจหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็ก ๆ ที่เหน็บอยู่ที่เช็มขัดออกมาพลางจ้องมองถ้วยเปล่าอย่างลังเล

“เจ้าคิดถูกแล้ว รีบจัดการมันซะ มัวชักช้าอะไรอยู่เล่า? ไม่อยากให้มันเชื่อฟังเจ้ารึอย่างไร? เร็วเข้าสิ...แค่หยดเดียวเท่านั้นเจ้าก็จะได้ชีวิตของกษัตริย์โง่นั่นมาอยู่ในมือแล้ว” เสียงที่หาที่มาไม่ได้ดังอยู่ข้าง ๆ หูของอุปราชเฒ่า เบลซ เซจค่อย ๆ เปิดจุกขวดด้วยมืออันสั่นเทา กลิ่นเลือดพวยพุ่งออกมาทันที แต่ทว่ามือที่สั่นเทานั้นดูจะไม่ค่อยมีแรงเอาเสียเลย หรือจะเป็นเพราะความลังเลใจของเขากันแน่ จึงทำให้ปากขวดเอียงไม่มากพอจะทำให้เลือดปีศาจที่อยู่ภายในไหลออกมา

“เร็วเข้าสิ!” จู่ ๆ เสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงตะคอกจนเบลซ เซจตกใจคว่ำขวดจนเลือดปีศาจหกพรวดลงไปในถ้วยนั้นจนหมด เบลซ เซจเบิกตาโพลงจ้องถ้วยชาที่มีของเหลวสีดำสนิทอยู่เกือบครึ่งถ้วยด้วยความตกใจ “ไม่เป็นไร เลือดยิ่งเยอะก็ยิ่งได้ผลดี ฮี่ ฮี่ ฮี่!” เสียงกระซิบที่เหมือนจะปลอบใจนั้นจบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแหบ ๆ น่าหมั่นไส้ ก่อนจะออกคำสั่ง “เร็วเข้า ใส่เลือดของเจ้าลงไป”

เบลซ เซจคว้ามีดปอกผลไม้ปลายแหลมที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะนั้นกรีดที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนให้เป็นแผลเล็ก ๆ ก่อนจะบีบเลือดให้หยดลงไปสามหยด แล้วจึงค่อยยกกาน้ำชาเทน้ำลงไปจนเต็มถ้วย น้ำในถ้วยแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดและเดือดพล่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งสงบและกลายเป็นสีน้ำชาดังเดิม

“ฮี่! ฮี่! ฮี่! ใช่...ทีนี้ก็ยกไปให้มัน ไม่เป็นไร...มันไม่ได้กลิ่นเลือดหรอก เอาสิ! เอาไปให้มัน”

เบลซ เซจยกถ้วยขึ้นด้วยมือที่สั่นเทายิ่งกว่าเดิม หากกษัตริย์ซาดินทรงจับได้เสียก่อนจะทำอย่างไรดี เขาจะถูกประหารอย่างโหดน่ารักมด้วยการทรมานจนตายใช่ไหม? จริงอยู่ที่วิธีทรมานหลาย ๆ อย่างนั้นเขาเป็นคนคิดขึ้น แต่เขาไม่เคยมีความคิดที่จะอยากเป็นผู้ทดลองเองเลยสักครั้ง

“ฮี่! ฮี่! ฮี่! ไม่หรอก ถึงมันจะจับได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ เวลานี้แรงที่มันมีเหลืออยู่ก็แทบจะไม่พอยกแขนสักข้างด้วยซ้ำ พวกทหารข้างนอกนั่นก็เป็นคนของเราหมดแล้ว จะกลัวอะไรกัน เจ้ากลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่? ‘จะทำการณ์ใหญ่ มันต้องมีเสียสละกันบ้าง’ คนที่เคยพูดประโยคนี้หายไปไหนเสียเล่า?” เจ้าเสียงกระซิบที่ชั่วร้ายนั้นอ้างคำพูดที่เบลซ เซจเคยใช้ในที่ประชุมเมื่อคราววางแผนบุกทวีปเมอร์รีเซีย หรือก็คือความคิดที่มันแอบหว่านเพาะไว้ในใจของอุปราชเฒ่าเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง

เบลซ เซจสู่หายใจเข้าลึก ๆ พร้อม ๆ กับใบหน้าที่ค่อย ๆ น่ารักมเกรียมขึ้น อาการสั่นเทาก็ค่อย ๆ เบาลง ใช่...ใคร ๆ ก็เสียสละกันมาแล้วทั้งนั้น ถึงคราวที่กษัตริย์ซาดินเองต้องเป็นผู้เสียสละบ้างแล้ว

“ฮี่! ฮี่! ใช่ โดยเจ้าจะเป็นคนมอบเกียรตินี้ให้กับมัน มันจะต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ”

อุปราชเฒ่าได้ยินดังนั้นก็เริ่มแสยะยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ความกลัวดูจะทุเลาเบาบางลงจนแทบจะไม่มีเหลือ เบลซ เซจถือถ้วยชาพลางใช้มืออีกข้างแหวกม่านเข้าไป

“ทำไมถึงช้านัก?!” กษัตริย์ซาดินทรงพยายามตะเบ็งเสียงด้วยความขุ่นพระทัยพลางเปิดพระเนตรขึ้นมองถ้วยชาในมือของอุปราชเฒ่าก่อนจะออกคำสั่ง “พยุงข้าขึ้นสิ!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่วิญญาณ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:01 pm

เบลซ เซจแสยะยิ้มร่าพลางค่อย ๆ วางถ้วยชาไว้ข้างเตียงอย่างระมัดระวัง เสียงนั่นพูดถูก ดูสิ...แรงที่จะยันตัวขึ้นยังไม่มีเลย คิดแล้วก็ค่อย ๆ ช้อนล่างกษัตริย์เพลิงขึ้นพลางใช้หมอนสองใบสอดพิงไว้ด้านหลัง ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของกษัตริย์เพลิงดูจะสร้างความเจ็บปวดให้พระองค์มากทีเดียวเพราะพระพักตร์ของพระองค์บิดเบี้ยวจนเหยเก อุปราชเฒ่ายิ้มอย่างมีความสุขหันไปบรรจงหยิบถ้วยชาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นส่งให้ คล้ายอยากจะพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้งว่าพระองค์ทรงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกพระหัตถ์ขึ้นจริงหรือไม่

กษัตริย์ซาดินทรงจ้องเขม็งไปยังอุปราชเฒ่า พระองค์ทรงกระหายน้ำจะตายอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าอุปราชเฒ่าจะพยายามยียวนกวนโทสะของพระองค์อยู่ตลอดเวลา กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงแข็งแม้จะทรงอ่อนล้าเต็มที “เอาถ้วยมาจรดที่ปากของข้า!”

เบลซ เซจ ยิ้มกว้างด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ มือที่เหี่ยวย่นค่อย ๆ ยื่นถ้วยชาเข้าไปใกล้ กษัตริย์เพลิงเริ่มมีความลิงโลดเกิดขึ้นในใจ ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เราเมื่อกระหายน้ำอย่างที่สุดแล้ว เมื่อเห็นน้ำเพียงถ้วยเดียวก็ตื่นเต้นได้ถึงพียงนี้ ทว่ามันช่างมาถึงพระโอษฐ์ของพะรองค์ช้าเหลือเกิน ไม่ทันพระทัยเอาเสียเลย พระองค์ทรงเหลือบเนตรที่ขุ่นเคืองขึ้นทอดพระเนตรอุปราชเฒ่าแล้วก็ต้องทรงชะงักค้าง

“เจ้ายิ้มอะไรของเจ้า!”

ทันทีที่ตรัสดังนั้น เบลซ เซจก็ใช้มืออีกข้างบีบปากกษัตริย์ซาดินอย่างแรงจนพระองค์ทรงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและตกพระทัย อุปราชเฒ่าหัวเราะเสียงดังราวกับคนเสียสติก่อนจะเทกรอกน้ำในถ้วยลงไปในพระโอษฐ์ของกษัตริย์เพลิงทันที กษัตริย์ซาดินทรงเบิกเนตรโพลงด้วยความตื่นตระหนก ทรงเหวี่ยงแขนข้างหนึ่งขึ้นคว้าแขนข้างที่กำลังบีบพระพักตร์ของพระองค์ ความแสบร้อนของน้ำในถ้วยเผาผลาญพระโอษฐ์และลำคอของพระองค์จนต้องสำลัก อุปราชเฒ่าโยนถ้วยเปล่าทิ้งก่อนจะใช้มือข้างนั้นจับหลังพระเศียรของกษัตริย์เพลิงในขณะที่มืออีกข้างที่ใช้บีบพระโอษฐ์ก็เลื่อนมาปิดที่ปากแทน เบลซ เซจเขย่ากษัตริย์ซาดินไปมาอย่างแรงตะคอกใส่อย่างคลุ้มคลั่ง

“กลืนลงไป! กลืนลงไปสิ!”

เบลซ เซจยังคงเขย่าอยู่อย่างนั้นอีกสองสามครั้ง จนเมื่อเห็นว่าพระหัตถ์ทั้งสองข้างของกษัตริย์ซาดินห้อยตกอยู่ข้างแท่นบรรทมพร้อมกับดวงเนตรที่เบิกโพลงเหลือกลานคล้ายกับคนเห็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด อุปราชเฒ่าก็ตกใจกลัวรีบปล่อยมือทั้งสองข้างกระโจนลงจากแท่นบรรทมพลางถอยกรูดไปยืนอยู่ที่ปลายแท่นบรรทม เบลซ เซจหอบหายใจแรงด้วยทั้งความเหนื่อยและหวาดหวั่นจนเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ดวงเนตรเบิกกว้างแทบจะไม่ต่างกับดวงตาของกษัตริย์ซาดินที่ทรงนอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทมนั้น

แต่แล้วจู่ ๆ พระวรกายของกษัตริย์ซาดินก็กระตุกขึ้นอย่างแรง เสียงหัวเราะดังลั่นและหวีดร้องด้วยภาษาที่ไม่อาจเข้าใจก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทางภายในห้องนั้น ประสานกับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดราวกับสัตว์ป่าก็ดังออกมาจากพระโอษฐ์ของกษัตริย์ซาดิน พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์หยิกเกร็งจนสั่นเทิ่ม ขาทั้งสองข้างถีบไปมาราวกับได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส หลังของพระองค์แอ่นโค้งขึ้นราวกับจะหักเสียให้ได้ ลำตัวของพระองค์ตั้งแต่ช่วงอกจนถึงหน้าท้องบวมพองขึ้นอย่างน่ากลัวจนเหมือนมนุษย์ที่โตเต็มวัยสามารถเข้าไปนอนขดอยู่ในนั้นได้ ผ้าพันแผลที่พันไว้อย่างลวก ๆ นั้นขาดกระจาย เบลซ เซจ ถึงกับเข่าอ่อนและมีอาการสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนก อุปราชเฒ่ามองไม่เห็นพระพักตร์ของกษัตริย์ซาดิน แต่เห็นเพียงพระเศียรที่สะบัดไปมาอย่างแรงสลับกับเสียงร้องโหยหวนของพระองค์

“ไอ้คนทรยศ ข้าของสาปแช่งเจ้า อ๊ากกกกกกกก!”

กษัตริย์ซาดินตะทรงโกนสุดเสียงก่อนที่พระกายจะร่วงลงกระแทกกับแท่นบรรทมอย่างแรงและแน่นิ่งไป พระกายของพระองค์ค่อย ๆ ยุบและคลายอาการแข็งเกร็งลง

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง เบลซ เซจยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายแท่นบรรทมอยู่อีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งเขาแน่ใจจริง ๆ ว่าทุกอย่างสงบลงอย่างสิ้นเชิงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและขยับเข้าไปใกล้กษัตริย์ซาดินอย่างช้า ๆ เขากวาดสายตามองพระกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของพระองค์ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปที่พระพักตร์อันขาวซีด พระโอษฐ์ของพระองค์เผยอขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรไร้แววมองจ้องเพดานนิ่งไม่กระพริบ อุปราชเฒ่าโบกมือไปมาผ่านดวงตาของกษัตริย์เพลิงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ไม่เห็นอาการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้นจนดูราวกับซากศพ มีเพียงหน้าอกที่กระเพื้อมขึ้นลงเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่ายังเป็นร่างที่มีชีวิตอยู่

“ต่อไปนี้ พระองค์จะเชื่อฟังข้าพระองค์แล้วใช่ไหม?” เบลซ เซจถามเสียงเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ข้าจะเชื่อฟังเจ้า” ร่างของกษัตริย์ซาดินตรัสตอบช้า ๆ ด้วยพระพักตร์นิ่งเฉยดังเดิม

“หึ! หึหึ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” อุปราชเฒ่าหัวเราะในลำคอก่อนจะกลายเป็นหัวเราะลั่นจนสุดเสียง


*********************


“ใครสั่งให้เจ้าทิ้งกองทัพ แล้วกลับมาที่นี่!” เบลซ เซจจ้องหน้าจอมทัพราโชยู ตะคอกถามเสียงกร้าวด้วยความเดือดดาล ก็จะไม่ให้เคืองโกรธได้อย่างไร ในเมื่อจู่ ๆ ทหารก็เข้ามาแจ้งการมาถึงของจอมทัพทมิฬ เพียงหนึ่งวันหลังจากที่เขาจัดการกับกษัตริย์ซาดิน ทำไมจะต้องมีเสี้ยนหนามมาเป็นอุปสรรคกับแผนการณ์ของเขาอยู่เรื่อย

จอมทัพร่างยักษ์มองหน้าอุปราชเฒ่านิ่ง ๆ พยายามสะกดความโกรธที่วิ่งลิ่วขึ้นมา สายตาเบนไปพิจารณาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทมหลังผ้าม่าน เขาพยายามพินิจพิเคราะห์ร่างที่นอนหายใจแผ่ว ๆ อยู่หลังม่านอย่างตั้งใจ

“ว่าอย่างไรเล่า?” อุปราชเฒ่าเร่งด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง แต่เมื่อมองเห็นสายตาของจอมทัพร่างยักษ์จึงรีบกล่าวต่อ “แล้วเจ้าถือดีอย่างไรถึงไม่ยอมถวายบังคมฝ่าบาท”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 51 ร่างที่วิญญาณ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 5:02 pm

แม่ทัพใหญ่เลื่อนสายตากลับมาจ้องตอบอุปราชเฒ่า “ข้ากลับมาเพราะท่านส่งสารไปแจ้งว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่ แต่ที่ข้ารู้คือ ฝ่าบาทโดนลักพาตัวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย การที่พระองค์หายตัวไปเช่นนั้นทำให้ทหารทั้งกองทัพระส่ำระสายและขาดขวัญกำลังใจอย่างมาก ดังนั้นเมื่อจู่ ๆ ท่านก็บอกว่าพระองค์อยู่กับท่าน ก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องมาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าฝ่าบาททรงอยู่ที่นี่จริงหรือไม่ เพื่อจะได้กลับไปบอกเหล่าทหารได้เต็มปากว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดีแล้ว และข้าจะทำความเคารพก็ต่อเมื่อข้าเห็นว่านั่นเป็นฝ่าบาทจริง ๆ”

อุปราชเฒ่าหรี่ตาแคบจ้องตอบแม่ทัพร่างยักษ์อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มกว้างพลางหันไปโค้งที่หน้าม่านกั้น

“ฝ่าบาท แม่ทัพราโชยูอุตส่าห์ทิ้งหน้าที่มาเพื่อขอดูให้เห็นกับตาว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่จริงรึไม่ ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาตเปิดม่านให้แม่ทัพขี้สงสัยผู้นี้ได้เห็นหน่อยจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เบลซ เซจ ถามอย่างนอบน้อม

“ได้สิ เบลซ เซจ” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงเรียบ

เบลซ เซจยิ้มร่าพลางรูดม่านเก็บไปข้างหนึ่ง แม่ทัพราโชยูกวาดตามองกลับไปกลับมาตลอดพระกายและพระพักตร์อยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจ พระพักตร์ของพระองค์ดูซีดเซียว บาดแผลต่าง ๆ ตามร่างกายถูกพันด้วยผ้าพันแผลสะอาดอย่างเรียบร้อย

“ยังไงล่ะ? เจ้าดูพอใจรึยัง? ทีนี้จะถวายบังคมฝ่าบาทได้รึยัง?” อุปราชเฒ่าถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นต่อ

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมที่บังอาจไม่ถวายบังคมฝ่าบาทตั้งแต่แรก กระหม่อมช่างโง่เขลานักที่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์เองที่ประทับอยู่” ราโชยูคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับโค้งศีรษะลง

“ถูกแล้ว เจ้าน่ะช่างเบาปัญญา คิดว่าข้าแต่งสารโกหกไปหลอกเจ้า ซ้ำยังทิ้งหน้าที่ของกองทัพมาอีก โทษของเจ้ามันสมควรจะโดนประหารจริง ๆ” เบลซ เซจกล่าวพลางกระหยิ่มยิ้มย่องโดยมีสายตาที่เอาเรื่องของแม่ทัพร่างยักษ์จ้องเขม็งมาทางตน “แต่ฝ่าบาททรงมีเมตตา เพื่อเห็นแก่ความดีที่เจ้าเคยทำ เจ้าหน่ะยังมีประโชยน์กับกองทัพ จะรีบประหารก็น่าเสียดาย พระองค์คงจะอภัยให้กับความผิดครั้งนี้ใช่มั๊ยพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาท?”

“ใช่แล้ว เบลซ เซจ” กษัตริย์ซาดินตรัสตอบ

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” แม่ทัพราโชยูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจที่ฝ่าบาทยอมเลิกลาง่าย ๆ และยิ่งประหลาดใจในท่าทีของอุปราชเฒ่ายิ่งกว่า แต่การละเว้นโทษตายก็ย่อมดีกว่าการตัดสินตามท่าทีปกติของคนทั้งคู่

“ฝ่าบาทคงอยากจะพักผ่อนแล้ว เดี๋ยวข้าพระองค์จะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เองนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ถูกแล้ว ข้าอยากจะพักผ่อน เจ้าจงจัดการตามที่เห็นสมควรได้ทันที” กษัตริย์ซาดินตรัสจบก็ทรงปิดพระเนตรลงทันที

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เบลซ เซจยิ้มร่าพลางปลดผ้าม่านกลับลงมาตามเดิม อุปราชผายมือนำจอมทัพราโชยูออกมาที่ห้องรับรองใหญ่คล้ายกับไม่ออกให้เสียงคุยดังรบกวนกษัตริย์ซาดิน

“ข้าขอขอบคุณที่อุตส่าห์พูดขออภัยโทษให้ข้า และขอโทษที่เข้าใจท่านผิด” จอมทัพทมิฬเอ่ยขึ้นแม้จะยังรู้สึกเคลือบแคลงในท่าทีของอุปราชเฒ่าอยู่

“ไม่เป็นไร เจ้าก็คงได้ยินแล้ว พระองค์ทรงมอบหมายให้ข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามที่เห็นสมควร จงกลับไปที่แนวหน้าแล้วไปบอกพวกทหารถึงสิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยิน แล้วข้าจะส่งสารไปสั่งการเจ้าโดยเร็วที่สุด เออ...ข้าหมายถึงถ่ายทอดคำสั่งฝ่าบาทให้เจ้าอีกที” อุปราชเฒ่ากล่าวตอบ

จอมทัพราโชยูจ้องหน้าอุปราชเฒ่านิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังและออกก้าวเดิน

“ท่านอุปราช ข้ามีข้อสงสัยอยู่สองสามเรื่อง” จอมทัพร่างยักษ์หยุดเท้าและหันกลับมาหา

“เรื่องอะไร?” เบลซ เซจถามกลับแทบจะทันที

“ท่านเป็นคนส่งเจ้าปีศาจนั่นไปพาตัวฝ่าบาทมาที่นี่รึ?”

“ใช่ ข้าหมายถึงแบล็ค ไวเซอร์เป็นคนเรียกมันมา เจ้านั้นมันมีวิชาอาคม เจ้าก็รู้ใช่ไหม?” อุปราชเฒ่ารีบพูด แต่แท้จริงแล้วเป็นท่านอวารูเซจต่างหากที่สั่งปีศาจโฟนอสไปพาตัวกษัตริย์ซาดินมาให้

จอมทัพทมิฬเบ้ปาก เลิ่กคิ้วขึ้น พลางพยักหน้าหงึก ๆ กว้างตามองหาพ่อมดดำ “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“ก็อยู่ที่ค่ายคอยเร่งผลิตทหารผีดิบอยู่น่ะสิ เจ้าถามทำไม?”

“ก็เปล่าหรอก ข้าก็ถามเฉย ๆ เพราะไม่เห็นเขาที่นี่ แล้วนี่ฝ่าบาทต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานไหม?” จอมทัพทมิฬทำหน้าพยักพเยิดไปทางห้องบรรทม

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่ใช่หมอ ถ้าพระองค์อาการดีขึ้นข้าจะส่งสารไปบอกเจ้าเอง ไปได้แล้ว” เบลซ เซจเอ่ยเป็นเชิงไล่เพราะแม่ทัพร่างยักษ์ถามเข้าใกล้จุดอันตรายมากเกินไป เขาจะตอบได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้ให้ใครมารักษากษัตริย์ซาดินเลย เพียงแต่พันร่างกายด้วยผ้าพันแผลไว้เฉย ๆ ก็ในเมื่อมันไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว...จะรักษาไปทำไม คิดได้ดังนั้นก็แสยะยิ้มกว้างมองตามหลังชายร่างยักษ์ที่เดินออกจากกระโจมไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน

cron