Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 4:59 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:33 pm

Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง


เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่ภายในห้องทรงงานของกษัตริย์ซิกมันด์ยังคงสว่างไสวด้วยเทียนหลายสิบเล่มที่วางกระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง และในเตาผิงไฟก็ยังคงลุกโชติช่วงอยู่ บนโต๊ะขนาดใหญ่ใจกลางห้องมีแผนที่หนังสัตว์ของเมืองต่าง ๆ วางอยู่อย่างระเกะระกะ ใกล้ ๆ กันนั้นมีแบบจำลองสภาพค่ายทหารของกองทัพซาโลม และของเมืองอาวีเลียที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสมจริงอยู่ด้วย ที่อีกฟากหนึ่งของห้อง กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกำลังตาอ่านรายงานการรบและข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกส่งมาเป็นกองพะเนินด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดจนไม่ทันสังเกตว่าแม่ทัพชาร์ลได้มายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะแล้ว แม่ทัพหนุ่มแสร้งกระแอมไอเสียงดังสองสามครั้ง กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงรู้สึกพระองค์

“อ๊ะ ชาร์ล ท่านเข้ามาเมื่อไหร่กัน?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามขึ้นเมื่อเพิ่งรู้สึกองค์

“สักครู่ได้แล้วกระหม่อม พระองค์มีรับสั่งเรียกหารึพ่ะย่ะค่ะ?” ชาร์ล คลาแรนซ์โค้งคำนับก่อนจะทูลถาม

“ใช่ ขออภัยที่ต้องเรียกท่านมาในยามวิกาลเช่นนี้”

“มิได้ฝ่าบาท ขนาดพระองค์ยังทรงงานจนมืดค่ำเช่นนี้ หากกระหม่อมจะถูกเรียกใช้บ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรและกระหม่อมยินดีอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงเรียกใช้ เหล่าอัศวินและแม่ทัพคงอดภูมิใจไม่ได้ถ้าได้รู้ว่ากษัตริย์ของพวกเราทรงงานหนักจนมืดค่ำเช่นนี้” ชาร์ลเหลือบไปเห็นถาดอาหารกลางวันที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องบนโต๊ะเล็กข้างเตาผิงก็ต้องตกใจ “แต่พระองค์ควรจะพักผ่อนบ้าง พระองค์ยังไม่ได้เสวยมื้อเที่ยงเลยรึพ่ะย่ะค่ะ?”

“ข้าลืมไปน่ะ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบไปมองถาดอาหารบนโต๊ะ

“กระหม่อมเคยสอนพระองค์ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนิพ่ะย่ะค่ะ ว่าการจะทำงานใด ๆ ให้ได้ดีจะต้องท้องอิ่ม พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ กระหม่อมเห็นว่าพระองค์ทรงละเลยข้อปฏิบัติพื้นฐานนี้ การโหมทรงงานมากเกินกำลังอาจทำให้พระองค์ประชวรได้” ชาร์ลทูลเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่ได้เรียกท่านมาเทศน์ข้านะชาร์ล ข้าเรียกท่านมาขอคำปรึกษา” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงถอดพระทัยตรัสเหน็บแต่น้ำเสียงไม่จริงจังมากนัก

แม่ทัพหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้เพราะรู้นิสัยของกษัตริย์ซิกมันด์ดีว่า พระองค์จะไม่ยอมเลิกราการกระทำนั้น ๆ จนกว่าจะสำเร็จหรือได้ผลเป็นที่น่าพอใจของพระองค์เสียก่อนนั่นก็เป็นนิสัยที่ถูกบ่มเพาะจากการฝึกอันเข็มงวดของกษัตริย์ซิกมันด์ที่2 นั่นเอง

“กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะเสวยอะไรบ้าง หลังจากที่เราหารือกันเรียบร้อยแล้ว”

เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์อย่างเสียไม่ได้ แม่ทัพชาร์ลจึงอมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“ดีพ่ะย่ะค่ะ พระองค์คงต้องการปรึกษาเรื่องการรับมือกับกองทัพเพลิงที่มีทีท่าว่าจะเริ่มเคลื่อนทัพเร็ว ๆ นี้”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง รายงานพวกนี้ชี้ชัดว่ากองทัพเถื่อนนั้นเตรียมจะเคลื่อนพลแล้ว จำนวนทหารของพวกมันในเวลานี้ก็มากกว่าพวกเราหลายเท่านัก ข้าเกรงว่าลำพังกำแพงเมืองอาวีเลีย แม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็คงต้านกองทัพจำนวนมหาศาลขนาดนี้ไม่ไหว”

“พ่ะย่ะค่ะ แม้เราจะระดมพลจากทั่วอาณาจักรแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะยังเป็นรองด้านจำนวนกำลังพล ด้านฟูดินันเองก็แจ้งมาว่าอีกไม่กี่วันจะมีกองทัพจากป่าฟูดินันมาเสริมทัพอีกร่วมแสนนายพ่ะย่ะค่ะ คงจะช่วยเสริมกองทัพของเราได้อีกแรงหนึ่ง”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์เป็นการรับรู้โดยมิได้ตรัสใด ๆ ออกมา แต่ชาร์ลก็รู้ดีว่านี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพระองค์ทรงยอมรับกองทัพชาวป่าว่าเป็นหนึ่งในกองทัพของพระองค์ด้วย

“แล้วเสด็จพี่ล่ะ? ที่เราอนุญาตให้ไปรับกองเรือของฮารีซันนั่น ป่านนี้เดินทางถึงไหนกันแล้ว?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามต่อ ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรก ๆ อีกเช่นกันที่พระองค์แสดงออกว่าพระองค์เริ่มยอมรับในตัวของหัวหน้าเผ่าชาวฟูดินัน เพราะพระองค์ทรงเริ่มเรียกชื่อของฮารีซันแทนที่การเรียกด้วยยศหรือสรรพนามอื่น ๆ

“ฝ่าบาท เจ้าหญิงให้พลเปกาซัสมาแจ้งแล้วว่าได้เริ่มออกเดินทางจากเมืองท่าตั้งแต่เย็นวานแล้ว กระหม่อมคาดว่าหากเจ้าหญิงเร่งเคลื่อนขบวนสักหน่อยไม่เกินสัปดาห์คงมาถึงอาวีเลียพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลทูลตอบพลางเหลือบมองแผ่นที่เพื่อคะเนระยะทาง

“ข้าคิดว่าจะให้เสด็จพี่รออยู่ที่ป้อมมาซาดา ( Masada ) “ กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางวางรูปสักไม้ที่ใช้แทนเจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันไว้ตรงจุดที่เรียกว่าป้อมมาซาดาบนแผนที่หนังสัตว์อย่างช้า ๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ฝ่าบาท?!”

“ข้าคิดมาตลอดช่วงสองวันมานี้นับตั้งแต่ข่าวเตรียมบุกของกองทัพเพลิง แต่ก็ไม่มีวิธีไหนดีพอที่จะรับมือกับกองทัพจำนวนมหาศาลนั่นได้ นอกจากวิธีที่จะทำให้ข้าเจ็บปวดใจมากที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด พระพักตร์อิดโรยและหม่นหมองลง

ชาร์ลขมวดคิ้วเข้าหาหันพลางมองตัวหมากสองตัวที่กษัตริย์ซิกมันด์เพิ่งจะทรงวางลงไปบนแผนที่ สมองของเขาคิดคำนวณแผนการรบอย่างฉับไวทันที “ฝ่าบาทคงไม่ได้จะ...”

“ข้าคิดว่าพวกเราควรสละเมืองอาวีเลีย” กษัตริย์ซิกมันด์ชิงตรัสออกมาเสียก่อนแต่ก็ด้วยความยากลำบากเต็มที การที่พระองค์ทรงยอมสละเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พระองค์ทรงยื่นศักดิ์ศรีของพระองค์ให้ศัตรูย่ำยีเสียเอง ”ข้าคิดว่าหากเราให้พวกทัพซาโลมผ่านเมืองอาวีเลียเข้ามา แล้วหลอกล่อพวกมันให้ตามพวกเราเข้ามาตามช่องเขากาลาเทีย (Galatia) อันเป็นที่ตั้งของป้อมมาซาดา ช่องเขากาลาเทียซึ่งมีลักษณะหน้าเขาเป็นคอขวดจะช่วยบีบกองทัพเพลิงให้มีหน้าทัพแคบลง เช่นนี้แล้วต่อให้พวกมันมีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน พวกมันก็บุกโจมตีได้แค่เท่าที่สามารถเคลื่อนพลผ่านช่องเขามาเท่านั้น และหากเกิดพลาดท่าเสียที ช่องเขาเปิดทางด้านหลังก็ยังช่วยให้เราถอนกำลังมุ่งสู่เมืองโครีธาได้ทันทีด้วย”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:39 pm

“เป็นการตัดสินพระทัยที่ชาญฉลาดและรอบคอบมากพ่ะย่ะค่ะ การจำกัดจำนวนหน้าทัพของกองทัพเพลิงได้ทำให้ข้อเสียเปรียบด้านจำนวนที่แตกต่างของเราหมดไป และกระหม่อมเห็นด้วยที่พระองค์ยอมสละเมืองอาวีเลีย เสียแผ่นดินเพียงบางส่วนเพื่อรักษาทั้งอาณาจักรไว้ดีกว่า พระองค์ตัดสินพระทัยได้อย่างกล้าหาญมากพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลอดชื่นชมไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสภาวะกดดันตลอดช่วงเวลาเกือบสามปีในสงครามของกษัตริย์ซิกมันด์ได้หล่อหลอมให้พระองค์เป็นคนเด็ดขาดมีทักษะในการรบ มีความรับผิดชอบและกล้าตัดสินใจ แม้มันจะทำลายศักดิ์ศรีของพระองค์แต่ก็ทรงยอมเพื่อรักษามาตุภูมิไว้ให้ได้ ซึ่งแม่ทัพชาร์ลก็รู้ดีว่ากษัตริย์ซิกมันด์ผู้ถูกสอนให้รักประเทศชาติและเกียรติยศยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองนั้นจะต้องเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องยอมสละแผ่นดินบางส่วนให้ศัตรู

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงค่อย ๆ วางตัวหมากแทนกองทัพต่าง ๆ ลงบนแผนที่จำลองด้วยสีพระพักตร์ครุ่นคิดและเคร่งเครียด

“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกองทัพเพื่อที่จะทำการอพยพให้เร็วที่สุด ข้าต้องการเตรียมเมืองอาวีเลียให้ต้อนรับกองทัพเถื่อนนั้นอย่างเอิกเกริกที่สุด” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสก่อนจะเริ่มเล่าแผนการเตรียมเมืองอาวีเลียให้แม่ทัพแห่งฟีเลเซียต่อ


*****************************



เช้าวันอิกนิส (Ignis) ที่หกของเดือนบาร์โทโลมิว ( Batholomew ) กองทัพเพลิงแห่งจักรวรรดิซาโลมจำนวนกว่าแปดแสนนายอันประกอบด้วย ทัพมนุษย์ ทัพทหารผีนรก พลนกโมฮา ทัพสัตว์ป่า ทัพมังกรไฟ ทัพนักรบเพลิง และทัพอื่น ๆ อีกมากมายเหลือคณานับก็ยาตราเข้าประชิดเขตเมืองอาวีเลีย เสียงกลองรบและเสียงโห่ร้องเพื่อข่มขวัญศัตรูของกองทัพซาโลมก็ดังกระหึ่มจนราวกับฟ้าสะเทือน ธงวิหคสีแดงสดโบกสะบัดเหนือกองทัพราวกับลิ้นไฟที่เต้นเร้าบนทะเลเพลิง ใบหน้าของทหารแต่ละคนล้วนถมึงทึงและเต็มไปด้วยความหื่นกระหายในสงคราม ขวัญและกำลังใจของทหารนั้นเต็มเปี่ยม เพราะในครั้งนี้กษัตริย์ซาดินผู้เกรียงไกร และได้ชื่อว่าไม่เคยรบแพ้สักครั้งเป็นผู้นำทัพด้วยตัวเองโดยมีขุนพลคู่ใจราโชยูเป็นผู้นำทัพหน้านั่นคือเหล่าหทารผีนรกที่หิวโหยและคลุ้มคลั่ง พวกมันต่างดาหน้าตรงเข้าประชิดกำแพงเมืองอันเป็นปราการยักษ์ที่สูงตระหง่าน ทหารผีดิบต่างก็หื่นกระหายและคุ้มคลั่งจนแทบจะทนรอสัญญาณบุกโจมตีไม่ไหว

แต่ทว่าทางฟากฟีเลเซียกลับมีแต่ความเงียบเชียบ ไม่มีเสียงแตรรบ ไม่มีเสียงมังกร นก สัตว์ป่าหรือแม้กระทั่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต กระทั่งธงประจำอาณาจักรฟีเลเซียก็ยังไม่มีติดประดับไว้เหนือยอดประตูเมือง

เมื่อทราบข่าวจากกองหน้าว่าเมืองทั้งเมืองว่างเปล่ากษัตริย์เถื่อนก็สั่งยาตราเข้าเมืองทันที บรรดาทัพหน้าที่เข้าไปในเมืองได้ต่างก็กระจายตัวออกสำรวจไปทั่วทั้งเมืองเพื่อหาเสบียงของมีค่าและอาจจะมีมนุษย์หรือกองทหารซ่อนตัวแอบดักซุ่มโจมตีอยู่ ทว่าหลังจากที่กองทัพหน้าแห่งจักรวรรดิซาโลมกระจายตัวไปทั่วทั้งเมือง ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น เมืองทั้งเมืองก็ระเบิดขึ้นพร้อมกันจนเสียงดังกึกก้องกัมปนาท เพียงไม่กี่นาทีเมืองอาวีเลียก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง ทำให้ทหารผีนรกถูกซากอาคารพังถล่มทับติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังหลายหมื่น

กษัตริย์ซาดินเมื่อทรงเห็นสภาพเมืองอาวีเลียและกองทัพของพระองค์ก็ยิ่งโกรธเป็นกำลัง จึงสั่งแม่ทัพราโชยูให้ยกทัพออกติดตามไล่ล่ากองทัพฟีเลเซียและฟูดินันทันที เพราะหน่วยสอดแนมของกองทัพแจ้งว่า กองทัพร่วมเคลื่อนพลไปตั้งอยู่ที่ป้อมมาซาดาในช่องเขากาลาเทียแล้ว แม่ทัพราโชยูจึงนำกำลังกว่าสามแสนนายเคลื่อนพลมุ่งสู่ป้อมมาซาดาทันที

*****************************



ภายในป้อมมาซาดาเวลานี้อัดแน่นไปด้วยทหารฟีเลเซียและฟูดินันหลายแสนนาย เสียงสั่งการ เสียงชุดเกราะกระทบกัน เสียงย่ำเท้าดังอื้ออึงไปทั่ว ต่างก็เร่งเข้าประจำการตามหน้าที่ของตน ทหารทุกนายดูวุ่นวายกับการจัดเตรียมอาวุธ เรียนรู้วิธีการใช้อาวุธใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้มาจากแอนดิซอง และขนย้ายยุทโธปกรณ์ไปประจำการตามต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา

ลึกเข้าไปภายในป้อมชั้นในเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองต่าง ๆ ร่วมกันวางแผนการรบอย่างเคร่งเครียด โดยมีเจ้าหญิงเรจิน่า แม่ทัพชาร์ล กษัตริย์ซิกมันด์ ฮารีซัน เซนทอร์ทราฮิร์น คาร์นและดามิก้า ร่วมประชุมด้วยอย่างพร้อมเพรียง

“นกจากหน่วยสอดแนมเพิ่งจะรายงานมาว่าแม่ทัพทมิฬราโชยูกำลังนำทัพกว่าสามแสนนายมุ่งหน้ามาทางนี้พะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยสอดแนมฟอล์คเนอร์กราบทูลรายงายตามที่เพิ่งได้รับมา

“เป็นจริงตามที่พระองค์คาดไว้เลยพะย่ะค่ะ พวกซาโลมตามเรามาจริง ๆ แทนที่จะมุ่งสู่เมืองโครีธา” แม่ทัพมังกรทูลขึ้น

“แต่จำนวนกองทัพที่มันนำมานี่สิ เกือบจะเท่า ๆ กับกำลังพลทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้เลย ซ้ำยังจะมีทัพหลังที่นำโดยกษัตริย์ซาดินตามมาสบทบอีก” แม่ทัพทราเฮิร์นกล่าวอย่างเป็นกังวล

“แต่อย่างน้อยการบีบหน้าทัพให้แคบเข้าก็ช่วยเราได้มาก” คาร์นพูดเสริม ยอมรับว่าความคิดของกษัตริย์ซิกมันด์ในเชิงรับไม่เลวเลยทีเดียว

“ว่าแต่เวลานี้พวกกองทัพเพลิงเคลื่อนทัพมาถึงไหนแล้วล่ะ?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถามด้วยความกังวล

“ทูลฝ่าบาท” แม่ทัพชาร์ลเอ่ยขึ้น “กองทัพเพลิงเร่งเดินทัพทั้งวันทั้งคืน ทำให้พวกมันเคลื่อนพลได้เร็วมาก หากคำนวณแล้วก็น่าจะมาถึงช่องเขากาลาเทียภายในห้าหรือหกวันข้างหน้าแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“เร็วพอสมควร สำหรับการเคลื่อนทัพทั้งกองทัพ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงวิเคราะห์ “ข้าอยากให้เพิ่มการเสริมกำแพงป้อมให้แน่นหนายิ่งขึ้น ถึงแม้กำแพงป้อมนี้จะแข็งแกร่งไม่แพ้กำแพงเมืองอาวีเลีย แต่ถ้าให้ทนการโจมตีที่มากมายและเป็นเวลานานกำแพงอาจจะรับไม่ไหว”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเร่งดำเนินการทันที” แม่ทัพชาร์ลทูลตอบเสียงเข้ม

“และข้าคิดว่าช่องเขาที่สูงชันที่ขนาบป้อมมาซาดาทั้งสองด้านนั้น น่าจะทำอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ “กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางมองแบบจำลองช่องเขา

“วางกำลังพลไว้ดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพนายหนึ่งเสนอขึ้น

“หรือจะใช้พลธนูและแท่นยิงหิน?” แม่ทัพอีกนายเสนอขึ้น

“กษัตริย์ซิกมันด์” ฮารีซันเอ่ยเรียก ทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันมาทอดพระเนตรด้วยความสงสัยแต่ก็คงท่วงท่าที่เย่อหยิ่งและอวดดีอยู่ในที แม้ว่าในแววตาจะดูไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม

“หากท่านยังไม่มีแผนใด ๆ ในใจข้าอยากจะขอนำกองทัพฟูดินันเข้าตรึงกำลังเหนือยอดเขาทั้งสองเอง” เมื่อเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ยังคงนิ่งเงียบอยู่ ฮารีซันจึงกล่าวต่อ “การรบประเภทดักซุ่มและพรางตัวกับธรรมชาตินั่นเป็นการรบที่กองทัพเราชำนาญ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทอดพระเนตรไปยังฮารีซัน ก่อนจะเหลือบไปทางแบบจำลองช่องเขาคล้ายกับกำลังชั่งพระทัยกับคำพูดของผู้นำชาวป่า พระองค์ทรงเชิดคางขึ้นหันกลับมามองฮารีซันตรัสด้วยเสียงเข้ม ทว่าในคำพูดก็ยังปนความดูแคลนอยู่บ้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:40 pm

“เจ้ามั่นใจกองทัพชาวป่าของเจ้ามากแค่ไหน?”

คำพูดเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนบรรดาขุนพลชาวป่าคงหงุดงหงิดอยู่ไม่น้อยแน่ แต่เพราะทุกคนร่วมรบกับฝ่ายฟีเลเซียมากว่าสองปี จึงทำให้ทุกคนมองข้ามกริยาเช่นนี้ของกษัตริย์ซิกมันด์ไปได้ หรืออาจจะเรียกว่ารู้สึกเคยชิน กับบุคลิกที่ถือตน และหยิ่งทรนงของชาวฟีเลเซียชั้นสูงทั้งหลาย กอปรกับท่าที่อ่อนลงของกษัตริย์ซิกมันด์เองที่ผ่อนเบาความเย่อหยิ่งและดูแคลนต่อกองทัพชาวป่าน้อยลง ทำให้ทุกคนยอมรับว่านี่อาจเป็นเพียงนิสัยการแสดงออกตามปรกติของชาวฟีเลเซียมากกว่าการตั้งใจดูแคลน

“ข้ามั่นใจว่าหากเราร่วมมือร่วมใจกัน เราจะสามารถขับไล่พวกซาโลมให้กลับไปยังดินแดนของพวกเขาได้สำเร็จ”

“อือม์” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมพระโอษฐ์ก่อนจะหันไปทางแม่ทัพฟีเลเซียคนอื่น ๆ “พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?”

บรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็หันหน้าเข้าปรึกษากันและกันจนเสียงดังอื้ออึงไปทั่วทั้งท้องพระโรง บ้างก็พยักหน้าบ้างก็ส่ายหน้า จนที่สุดแม่ทัพชาร์ลจึงเอ่ยขึ้น

“กระหม่อมเห็นว่าให้กองทัพฟูดินันคุมยอดช่องเขาทั้งสองก็ดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ เพราะจากที่ผ่าน ๆ มากองทัพชาวป่าจะโดดเด่นเรื่องการรบที่ปรับตัวกลมกลืนไปกับสนามรบ แต่จะไม่ค่อยถนัดเรื่องปกป้องรักษาป้อมเมือง อาจเพราะฟูดินันไม่ได้มีป้อมเมืองเหมือนอย่างฟีเลเซีย ซึ่งในจุดนี้ทหารของเรามีความชำนาญมากกว่า ข้าจึงคิดว่าให้กองทัพฟูดินันจัดการเรื่องพื้นที่เหนือช่องเขาก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ทัพใหญ่ จะมีก็แต่เพียงกษัตริย์เท่านั้นที่ยังทรงจ้องมองฮารีซันนิ่งอยู่เหมือนทรงมีอะไรบางอย่างในใจ

“ซิกมันด์?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเรียกเมื่อเห็นว่ากษัตริย์น้องชายนิ่งเงียบนานเกินควร

“ก็ได้ ตกลงตามที่เจ้าขอ หวังว่าเมื่อข้าไว้ใจมอบอำนาจเต็มที่แล้ว การรบครั้งนี้จะเป็นการรบที่กล้าหาญ มีเกียรติและสัมฤทธิ์ผลเป็นที่น่าพอใจ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยเสียงจริงจังเจือน้ำเสียงทรนงตามอุปนิสัยของพระองค์

“ท่านวางใจได้ ข้าจะทำสุดความสามารถ” ฮารีซันตอบด้วยท่าทีที่สงบเช่นเคย

กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบใด ๆ เพียงแค่ทรงเหลือบพระเนตรมองเป็นเชิงรับรู้ ทว่าก็ทรงต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อสายตาของฮารีซันมิได้จับจ้องที่พระองค์ แต่กลับทอดสายตาไปยังเจ้าหญิงเรจิน่าพี่สาวของพระองค์แทน เมื่อพระองค์เหลือบมองไปทางเจ้าหญิงเรจิน่า ก็ทรงได้เห็นว่าเจ้าหญิงก็ทรงมองฮารีซันอยู่เช่นกัน ทว่าชั่วแวบเดียวเจ้าหญิงก็ทรงหันมองไปทางอื่น ท่าทีที่เกิดขึ้นนี้ได้ก่อความสงสัยขึ้นภายในใจของกษัตริย์ซิกมันด์ทีละน้อย แต่พระองค์มีเรื่องสำคัญกว่าและด่วนกว่าอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ จึงทรงหันเหความสนพระทัยกลับไปยังการหารือกับเหล่าแม่ทัพอีกครั้ง โดยเก็บความสงสัยเล็ก ๆ นี้ไว้ขบคิดในภายหลัง

**********************************


เพียงห้าวันหลังจากออกเดินทัพจากเมืองอาวีเลีย กองทัพเพลิงแห่งซาโลมก็เดินทัพมาถึงช่องเขากาลาเทีย เสียงกลองให้จังหวะเดินทัพดังกระหึ่มไปทั่วช่องเขา เสียงฝีเท้านับแสน ๆ คู่กระแทกพื้นดินและเสียงโห่ร้องเพื่อข่มขวัญศัตรูดังสนั่นไม่ต่างกับเสียงฟ้าสะเทือนเลือนลั่น ทหารผีดิบของซาโลมกว่าห้าหมื่นซึ่งนำอยู่หน้าขบวนต่างก็มุ่งหน้าสู่ป้อมมาซาดาด้วยความหิวกระหายโดยไม่สนใจสิ่งใด ๆ รอบตัวทั้งสิ้น

แม่ทัพราโชยูซึ่งคุมอยู่ทัพหลังนั่น แรกทีเดียวเขาคิดแต่เพียงว่าจะต้องไล่ล่ากองทัพฟีเลเซียให้ทันจนไม่ได้ใส่ใจอะไร นอกจากตามทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันให้ทันแล้วจัดการให้สิ้นซาก ทว่าเวลานี้เขาเริ่มรู้สึกว่าแถวทหารเคลื่อนได้ช้าลง ไม่ทันใจเอาเสียเลย ราโชยูได้รับรายงานมาเป็นระยะ ๆ ว่าช่องเขาแคบลงเรื่อย ๆ จนทำให้แถวทหารต้องแปรขบวนให้เล็กลงเพื่อจะสามารถเคลื่อนผ่านช่องเขาไปได้ จึงทำให้มีทหารแออัดอยู่ที่บริเวณคอขวดของช่องเขาเป็นจำนวนมาก แม้จะมีรายงานว่าทัพหน้าเตรียมเข้าประชิดป้อมมาซาดาแล้ว ทว่าเขายังไม่อาจเข้าไปถึงบริเวณปากทางเข้าได้เลย สิ่งนี้สร้างความหงุดหงิดใจให้กับแม่ทัพทมิฬเป็นกำลัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:42 pm

ที่บริเวณหน้าป้อมมาซาดา หทารผีต่างยืนออเบียดเสียดกันจนดูแน่นขนัดไปหมด เหนือป้อมกำแพงเมืองนั้นกษัตริย์ซิกมันด์ซึ่งทรงมีนกสายฟ้าเกาะอยู่บนไหล่ซ้าย พร้อมกับใช้สายตาคมกล้าประดุจพญาเหยี่ยวจับจ้องกองทัพเพลิงเบื้องล่างไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ข้างกายกษัตริย์แห่งสายลมนั้นเจ้าหญิงเรจิน่า แม่ทัพชาร์ลพร้อมทั้งเหล่าแม่ทัพต่างก็มองประเมินสถานการณ์เบื้องล่างด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันคือ หากกษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงตัดสินใจสละเมืองแล้วมาตั้งทัพที่ป้อมแห่งนี้แทน การศึกครั้งนี้คงนำหายนะใหญ่หลวงให้กองทัพเป็นแน่

“ชาร์ล” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสขึ้น

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“ข้าต้องการรักษาชีวิตทหารให้มากที่สุด ดังนั้นจะไม่มีการปะทะกันของทหารราบจนกว่าข้าจะสั่ง พวกฟูดินันรู้แล้วใช่มั้ย?”

“พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลทูลตอบเสียงหนักแน่น

“ดี” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบมองกองทัพเพลิงที่หื่นกระหายการเข่นฆ่าและสงครามเบื้องล่างด้วยสีพระพักตร์ชิงชังและรังเกียจ ก่อนจะตรัส “สั่งกองทัพนกเตรียมพร้อม”

ทันที่ที่แม่ทัพชาร์ลให้สัญญาณแก่กองทัพนก เจ้าสายฟ้าโรดเดอริกก็สยายปีกพร้อมกับเงยหัวขึ้นร้องเสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด และเพียงชั่วอึดใจนั่นเองเสียงร้องขานรับจากบรรดาสรรพสัตว์ของทั้งกองฟีเลเซียและฟูดินันก็ขู่ร้องคำรามสะท้อนไปทั้งช่องเขากาลาเทียจนกลบเสียงโห่ร้องของทหารซาโลมไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว กษัตริย์ซิกมันด์ทรงชูดาบแห่งฟีเลเซียขึ้นพร้อมกับตะโกนจนสุดเสียง

“โจมตี!”

ฉับพลันนั้นกองทัพนกนับหมื่นก็พุ่งทะยานขึ้นเหนือช่องเขาบังแสงอาทิตย์จนช่องเขาเบื้องล่างตกอยู่ในความสลัวไปชั่วขณะคล้ายกับว่าเกิดสุริยะคลาดเฉียบพลันในเวลานั้น ในกงเล็บของบรรดากองทัพนกนั้นมีกระเปาะแก้วที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็ม กองทัพซาโลมต่างพยายามยิงธนูใส่หมายจะทำลายกองทัพนก ฟีเลเซียก็สั่งพลนกให้ทิ้งกระเปาะแก้วใส่ทหารผีดิบเบื้องล่างทันที

ทหารผีดิบที่แออัดยัดเยียดกันจนขยับเขยื้อนแทบไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับติดอยู่ในกับดัก เสียงฉู่ฉ่าของเนื้อผีดิบที่เดือดพล่านดังสลับกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารผีดิบดังระงมไปทั่วสนามรบกษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงรอช้า รีบให้สัญญาณแก่พลธนูทันที เสียงดีดของสายเอ็นหลายหมื่นก็ดังลั่นแทบจะพร้อมกัน เกิดเป็นฝนธนูที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้จัดการกับกองทัพปีศาจโดยเฉพาะ ลูกธนูที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มเจาะร่างทหารผีดิบแนวหน้าของทัพซาโลมจนเดือดพล่าน บ้างก็ละลายกลายเป็นไอเดือดไม่เหลือแม้แต่ซาก

ทว่าทันทีที่กองทัพเพลิงเริ่มตั้งขบวนการตอบโต้อย่างรุนแรงก็ได้เริ่มขึ้น เครื่องยิงหินขนาดใหญ่หลายสิบเครื่องถูกเคลื่อนเข้าประชิดเมืองก่อนที่มันจะดีดหินขนาดใหญ่เข้าใส่กำแพงเมือง ทันใดนั้นบรรดาจอมเวทย์แห่งฟูดินันที่ประจำอยู่บนป้อมกำแพงก็รีบร่ายเวทย์ทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ในทันที ข้างฝ่ายซาโลมก็ไม่ยอมแพ้รีบดีดหินเข้าใส่เพราะรู้ดีว่าจอมเวทย์ทั้งหลายจะไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ทัน ต่างฝ่ายต่างก็โจมตีใส่กันเป็นพัลวันโดยไม่มีใครยอมแพ้ใคร

เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงเป่าใบไม้ก็ดังสะท้อนไปทั่วช่องเขา บัดนี้ยอดเขาที่ดูขรุขระไม่เรียบก็เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ลูกธนูนับหมื่นดอกก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน ถุงหนังสัตว์ที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่จนเต็มถูกโยนขึ้นไปในอากาศเหนือช่องเขา ก่อนที่ลูกธนูจะเจาะทะลุถุงหนังนั้นจนแตกออก น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลทะลักพรูออกมาดังฟ้ารั่ว ถูกเหล่าทหารผีดิบของซาโลมจนเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่วช่องเขา

ทหารซาโลมยังคงไหลทะลักผ่านช่องเขาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผู้มาใหม่เหยียบย่ำไปบนซากกองผู้มาก่อนอย่างไม่สะทกสะท้าน บันไดพาดถูกลำเลียงเข้ามาประชิดเมือง ต่างก็พยายามพาดบันไดเข้ากับกำแพงป้อม บ้างก็พยายามปีนขึ้นยอดผาเพื่อจัดการกับกองทัพฟูดินัน


*******************************


การรบยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดจนเวลาล่วงเลยไปถึงย่ำรุ่งวันที่สี่ ทว่าก็ไม่มีฝ่ายใดยอมรามือ ต่างก็ยังคงโหมเข้าโจมตีใส่กันโดยไม่ลดราวาศอก เช้าวันนั้น แม่ทัพราโชยูรีบจัดขบวนทัพรอกองทัพใหญ่ซึ่งนำโดยกษัตริย์ซาดินอย่างใจจดใจจ่อ เสียงกลองศึกดังสนั่นจนแม้แต่ในสนามรบก็ยังอาจได้ยินเสียงได้ ซึ่งแน่นอนว่าทางฝ่ายฟีเลเซียก็คงจะรับรู้ได้เช่นกันว่าทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิซาโลมเคลื่อนทัพมาถึงแล้ว เพราะทั้งเสียงแตร เสียงเขาสัตว์ และเสียงเป่าใบไม้ดังขานรับไปทั่วด้วยเช่นกัน กองทัพใหญ่แห่งซาโลมต่างก็รีบกรูกันเข้าสู่ช่องเขากาลาเทียทันที

ที่พลับพลาชั่วคราวที่ราโชยูจัดเตรียมไว้คอยต้อนรับ กษัตริย์ซาดินทรงมีสีพระพักตร์เคร่งเครียด ทรงขมวดคิ้วมองแผนที่บนโต๊ะพลางตรัสตวาดจนสุดเสียง

“นี่มันอะไรกัน? ห๊า! จนบัดนี้เจ้ายังตีไอ้ป้อมเส็งเครงนั่นไม่แตกอีกรึ? ไม่แม้แต่จะสร้างความเสียหายให้ไอ้ป้อมนั่น ซ้ำยังทำให้ข้าเสียทหารไปเป็นเบือ!”

“ทูลฝ่าบาท กำแพงป้อมแห่งนี้แข็งแกร่งมากพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรายังถูกโจมตีจากทั้งสามด้าน ยากแก่การรับมือเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 49 สายลมผู้สยบเปลวเพลิง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:44 pm

ได้ยินดังนั้นกษัตริย์ซาดินก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับกระแทกหมัดใส่ใบหน้าของแม่ทัพทมิฬอย่างแรงจนร่างของแม่ทัพร่างใหญ่ถลาออกไปนอกพลับพลาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง หมวกเกราะกระเด็นหลุดออกจากศีรษะไปไกลหลายวา

“อย่าบังอาจมาพูดเหมือนสุนัขขี้แพ้กับข้า” กษัตริย์ซาดินทรงกัดฟันกรอด ดวงเนตรวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยว

แม่ทัพทมิฬค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบากพร้อมกับบ้วนเลือดในปากออกมา นี่เพราะเขารูปร่างใหญ่ยักษ์และมีชุดเกราะที่ทำจากกระดูกมังกรปกป้องร่างอยู่ หากเป็นนายทหารธรรมดาคงจะตายในทันทีเป็นแน่ เขารีบใกล้เข้ามาในพลับพลาพร้อมกับย่อเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าองค์กษัตริย์

“ขอประทานอภัยด้วยฝ่าบาท” ราโชยูได้แต่ก้มศีรษะลงด้วยเกรงกษัตริย์ซาดินและทั้งอดสูในความไร้ความสามารถของตน

กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นหรี่พระเนตรมองช่องเขาเบื้องหน้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น ภาพกองทหารนับแสนแออัดกันอยู่บริเวณปากทางเข้าช่องเขานั้นเหมือนเติมเชื้อไฟให้พระองค์ยิ่งขึ้น พระองค์ทรงมองแบบจำลองแผนที่ลักษณะช่องเขากาลาเทียอีกครั้งก่อนจะทรงใช้กระบองฟาดเปรี้ยงลงบนแผนที่จนโต๊ะแตกเป็นเสี่ยง ๆ พระหัตถ์ที่กำกระบองคู่กายอยู่นั่นเกรงแน่นจนสั่นเทิ่มพร้อมประกาศเสียงกร้าว

“เราจะได้เห็นดีกัน!”


**********************


เหนือกำแพงเมือง นายทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งรีบวิ่งสุดฝีเท้าไปหาแม่ทัพชาร์ลบนป้อมกำแพง ทันที่ที่ไปถึงก็รีบทำความเคารพเยี่ยงทหารชาตินักรบก่อนจะขยับเข้ากล่าวอะไรบางอย่าง ซึ่งแม่ทัพใหญ่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันทีที่นายทหารจากไป แม่ทัพชาร์ลจึงกราบทูลกษัตริย์ซิกมันด์และเจ้าหญิงเรจิน่า

“ฝ่าบาท นายทหารเพิ่งจะรายงานว่ากองทัพใหญ่ของจักรวรรดิซาโลมกว่าหกแสนนายพร้อมอาวุธหนักนานาชนิดเดินทัพมาถึงช่องเขาแล้วพะย่ะค่ะ”

“ซิกมันด์ ตลอดสามวันสามคืนที่ผ่านมา แม้กองทัพซาโลมจะมีมากกว่าแต่เราก็ยังพอรับมือได้ แต่ถ้ามากขนาดนี้มันเกินกำลังของพวกเราแล้วนะ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยความหวั่นวิตก

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองไปยังปากช่องเขาที่อยู่ไกลด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดและดุดัน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับเจ้าหญิงเรจิน่าแต่ไม่อาจยอมรับได้ว่ากองทัพของพระองค์อาจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

“ให้พี่ช่วยนะ ซิกมันด์” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสต่อ

“ไม่!” กษัตริย์ซิกมันด์สวนตอบแทบจะทันที

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสะดุ้งเล็กน้อยกับการกระแทกเสียงของกษัตริย์ซิกมันด์ แต่เมื่อทรงตั้งสติได้ก็ค่อยยิ้มออกมา

“พี่รู้ว่าเธอเป็นห่วงพี่ ตั้งแต่สงครามระเบิดขึ้นเธอไม่เคยให้พี่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการรบจริง ๆ เลยสักครั้งถ้าไม่จำเป็น แต่ซิกมันด์ครั้งนี้มันต่างกันนะ ให้พี่ได้ช่วยเถอะ”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองพี่สาวของตนนิ่งคล้ายกับกำลังตัดสินพระทัยเรื่องที่ยากยิ่ง เมื่อเจ้าหญิงทรงเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ยังคงนิ่งเงียบ จึงตรัสต่อ

“ซิกมันด์ พี่ก็เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย เธอจะให้พี่นิ่งเฉยอยู่บนป้อมกำแพงนี่ โดยที่เหล่าทหารของเรากำลังพลีชีพเพื่ออาณาจักรของเราหรือ? แล้วเกียรติและศักดิ์ศรีของพี่จะดำรงอยู่ได้อย่างไร?”

“พอเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างหงุดหงิด ในขณะที่เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้าง

“ขอบใจ” เจ้าหญิงตรัสพลางขยับมือแตะด้ามดาบเข้าเอว พร้อมกับยกพระหัตถ์อีกข้างขึ้นเป็นสัญญาณ ทันทีที่เสียงแตรประจำพระองค์ดังขึ้น เสียงเหล่าทหารฟีเลเซียก็โห่ร้องด้วยความยินดีดังสนั่นสะท้อนไปทั่วช่องเขา

“ทรงระวังพระองค์ด้วย” แม่ทัพชาร์ลก้าวหลบพร้อมกับโค้งแสดงความเคารพ เมื่อเจ้าหญิงดำเนินผ่าน

“เสด็จพี่!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงร้องเรียก แต่เมื่อเจ้าหญิงเรจิน่าทรงหันกลับมาหา พระองค์ก็ไม่อาจแสดงความเอื้ออาทรซึ่งอาจดูเหมือนเป็นความอ่อนแอ ออกมาต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาได้ จึงได้แต่ส่งสายพระเนตรแห่งความห่วงใยออกไปเพียงชั่วแว่บเดียวเท่านั้น

“พี่จะระวังตัวไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเข้าพระทัยได้จากแววเนตรแห่งความกังวลของน้องชายตน

“เบิกพื้นที่หน้าประตู เตรียมส่งเสด็จเจ้าหญิง” เสียงชาร์ลสั่งทหารดังก้อง พร้อม ๆ กับการโจมตีใส่ทหารซาโลมที่อยู่หน้าประตูป้อมที่รุนแรงยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ทหารซาโลมถอยออกจากกำแพงเมือง

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเม้มริมพระโอษฐ์แน่นก่อนจะพยักพระพักตร์รับคำที่เหมือนเป็นคำสัญญาของพี่สาว เจ้าหญิงทรงยิ้มให้อีกครั้งแล้วจึงทรงหันหลังดำเนินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว โดยมีสายตาของกษัตริย์ซิกมันด์มองส่งด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจแสดงออกได้


***************************


ทันทีที่ประตูป้อมเปิดแง้มเพื่อให้เจ้าหญิงเรจิน่าทรงออกมา เหล่าทหารซาโลมก็พยายามวิ่งกรูกันเข้ามาหมายจะเข้าประตูป้อมมาซาดาให้ได้ ซ้ำผู้ที่ออกมาก็เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย หากสังหารนางได้บำเหน็จรางวัลจำนวนมหาศาลทั้งยศฐานบรรดาศักดิ์คงมากองอยู่แทบเท้าของตน

ฉับพลันนั้น เจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียก็ตวัดดาบคู่กายขึ้นด้วยความเร็วจนมองแทบไม่เห็น ดวงตาสีเขียวมรกตสว่างวาวโรจน์ เสียงร่ายเวทย์อันแผ่วเบาค่อย ๆ ดังขึ้นจนกลายเป็นตะเบ็งจนสุดเสียง

“มิลเลียน แสลช!! “

ทันที่ที่ปลายดาบพุ่งออกไป ดาบเวทย์จำนวนนับล้านเล่มก็พุ่งเข้าใส่ทหารซาโลมดังมหาวายุ ดาบเวทย์สีขาวเรืองพุ่งเป็นสายไม่ต่างกับแสงของดาวหางนับล้านดวงพุ่งเข้าใส่ทหารซาโลม เสียงดาบเวทย์แหวกม่านอากาศด้วยความเร็วแสงจนเกิดคลื่นเสียงแหลมเล็กไม่ต่างกับเสียงหวีดร้องของมหาวายุ ทหารกว่าพันนายก็ล่วงล้มราวกับใบไม้ร่วงและยังคงล้มลงระเนระนาดต่อไปไม่หยุด ตราบเท่าที่แสงแห่งดาบเวทย์ยังคงพุ่งต่อไป

เมื่อแสงแห่งดาบเวทย์จางลงจนสลายไป ภาพทหารซาโลมที่นอนล้มตายบาดเจ็บเป็นจำนวนมากก็เกลื่อนสนามรบเป็นวงกว้างจนหน้าประตูป้อมดูว่างโล่งไปในทันที ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียเองก็ยังคงเงียบกริบ แม้ทุกคนจะทราบว่าเจ้าหญิงเรจิน่ามีฝีมือเชิงยุทธ์ที่ไม่น้อยหน้าใคร แต่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์จากการฝึกซ้อมหรือการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เพราะเจ้าหญิงแทบจะไม่เคยสู้ในสนามรบโดยใช้ท่ามิลเลียน แสลชต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน

จากที่ทหารซาโลมรีบโถมเข้าใส่ในทีแรก เวลานี้กลับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ชั่วเสี้ยววินาทีที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า ต่างไม่กล้าแม้จะขยับตัว ข้างฝ่ายทหารฟีเลเซียและฟูดินันเมื่อตั้งสติได้ก็ต่างโห่ร้องด้วยความยินดีเสียงดังสนั่นจนสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งช่องเขา

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอ ๆ กับแสงแห่งดาบเวทย์ และเงื้อดาบขึ้นอีกครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน

cron