Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 5:04 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:17 pm

Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร



ฮารีซัน ทราเฮิร์น ลูกเรือและบรรดาผู้อพยพทั้งสองอาณาจักรต่างเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายกับการรอคอยผลการประชุมสามสภาที่มีขึ้นหลังจากการมาถึงของพวกเขาได้ราวสองสัปดาห์ ความหวั่นวิตกทวีมากขึ้นในทุก ๆ นาที จากนาทีเป็นชั่วโมงจากชั่วโมงเป็นวัน โดยไม่มีข่าวคราวหรือสัญญาณใด ๆ จากที่ประชุมหรือเจ้าหญิงอลาน่าเลย

และแล้ววันที่สี่แห่งการรอคอยนั้นเอง ม้าเร็วจากที่ประชุมสภาก็มุ่งตรงมายังค่ายผู้อพยพอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีสารเชิญผู้นำกองทัพฟูดินันเข้าฟังผลการชุมสภาในทันที เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนในค่ายก็ยิ่งทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนก ต่างก็ทั้งอยากรู้และกลัวผลที่กำลังจะได้รับฟัง แม้แต่ฮารีซันเองก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นผลด้วยใจระทึกจนยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจใหญ่กว่าจะก้าวขึ้นม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้

ทันทีที่ไปถึงที่ประชุมสภา ฮารีซันก็ถูกนำตรงไปตามทางที่ทอดยาวและเลี้ยวลด อ้อมอาคารสีฟ้าขาวที่ถูกตกแต่งด้วยความวิจิตรตระการตาจนมาถึงอาคารหลังสีขาวบานประตูสีฟ้าเข้มขนาดใหญ่ประดับด้วยรูปมังกรน้ำจอร์มันการ์ดพันจอกสีน้ำเงิน ทหารผู้นำทางฮารีซันหยุดที่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับขานชื่อและการมาถึงของเขาด้วยเสียงอันดัง ประตูค่อย ๆ ถูกเปิดออก พร้อม ๆ กับเสียงขานการมาถึงของเขาดังเป็นทอด ๆ เบื้องหลังประตูนั้นมีทางเดินที่ปูด้วยพรมชั้นดีเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มทอดยาวออกไปอีก ฮารีซันต้องเดินเลาะตามแนวทหารที่วางกำลังไว้ตามโค้งอีกสามโค้งกว่าจะมาถึงห้องที่ถูกใช้เป็นที่ประชุมสามสภา

ทันทีที่ประตูถูกเปิดฮารีซันก็ต้องตกใจกับภาพเบื้องหน้ายิ่งขึ้น เพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในห้องล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อเต็มยศซึ่งแน่นอนว่าถูกตัดเย็บด้วยวัสดุและช่างฝีมือที่ดีที่สุด ทั้งบุคคลภายในห้องและแม้แต่บรรยากาศการตกแต่งด้วยตัวห้องประชุมเองก็ดูหรูหราแตกต่างจากผู้นำเผ่าชาวป่าราวฟ้ากับดิน

“เข้ามาสิจ๊ะ ท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงอลาน่าทรงตรัสเรียก

ฮารีซันก้าวเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากบรรดาผู้ที่อยู่โดยรอบห้องประชุมนั้น หัวหน้าเผ่าฟูดินันสังเกตเห็นว่าที่นั่งต่าง ๆ ภายในห้องนั้นถูกแบ่งอย่างเป็นระเบียบโดยมีสภาพ่อค้าอยู่ฝั่งซ้าย สภาศาสนาอยู่ฝั่งขวา เบื้องหน้าคือสภาขุนนาง ที่เบื้องหลังสภาขุนนางนั้นมีบัลลังก์สูงที่ถูกตกแต่งและประดับประดาอย่างสวยงามด้วยอัญมณีและทองคำซึ่งสวยงามที่สุดเท่าที่ชาวป่าสักคนจะเคยเห็นและบนบัลลังก์นั้นมีเจ้าหญิงอลานาประทับอยู่

ผู้นำจากเผ่าฟูดินันทำความเคารพเจ้าหญิงอลาน่าก่อน แล้วจึงหันไปคำนับสมาชิกสภาทั้งซ้ายและขวา

“ท่านคงจะทราบแล้วว่าฉันส่งทหารไปเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร เรื่องที่ท่านร้องขอความช่วยเหลือนั้น ที่ประชุมนั้นไม่เห็นด้วยที่เราจะรีบส่งทหารของแอนดิซองเข้าร่วมในสงครามนี้ สภาจะขอรอดูสถานการณ์การรบไปอีกสักพัก ส่วนสภาพ่อค้านั้นยินดีที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วน รวมทั้งมอบอาวุธ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ให้แก่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินัน และเพราะแอนดิซองไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่กองทัพทั้งสอง ดังนั้นทางราชสำนักแอนดิซองจะให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพในด้านการเงินและเสบียงอาหารแก่กองทัพแทน ซึ่งฉันหวังว่านี่จะช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายของกองทัพได้บ้าง”
“ข้าขอเป็นตัวแทนกองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันเพื่อกล่าวขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อยู่ที่นี่ การที่พวกท่านให้ความช่วยเหลือพวกเราเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจของพวกท่านอย่างไรดี” ฮารีซันกล่าวขอบคุณด้วยใจจริงและรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่ภารกิจของเขาสำเร็จได้ด้วยดี แม้จะไม่ได้กองทัพมาเสริมแต่อย่างน้อยเงินและเสบียงอาหารที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากแอนดิซองก็แบ่งเบาภาระไปได้มากอย่างแน่นอน

“อย่าเกรงใจไปเลยท่านฮารีซัน” เจ้าหญิงตรัส

“แล้วท่านคิดว่าจะเดินทางกลับเมื่อไหร่รึ?” สมาชิกระดับสูงของสภาขุนนางเอ่ยถามขึ้น

“ข้าเองนั้นอยากจะเดินทางกลับในทันทีเพราะพวกเราก็จากสนามรบมาแรมเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเมื่อทางเราเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะจัดเรือพร้อมเงินช่วยเหลือรวมทั้งเสบียงต่าง ๆ ให้ท่านทันที” เจ้าหญิงตรัสพร้อมให้สัญญาณไปทางเสนาบดีฝ่ายการคมนาคมทางทะเล ซึ่งจะเป็นผู้จัดเตรียมเรือให้คณะของฮารีซันในการเดินทางกลับ

“ข้าขอขอบคุณในความกรุณาของเจ้าหญิงเหลือเกิน” ฮารีซันกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

เจ้าหญิงทรงพยักพระพักตร์รับคำขอบคุณด้วยพระพักตร์ที่อ่อนโยนก่อนจะให้สัญญาณลั่นระฆังเพื่อประกาศปิดสภา


******************************


ผ่านมาได้หกวันแล้ว หลังจากที่การประชุมสภาได้สิ้นสุดลง ระหว่างที่ฮารีซันพำนักอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ ทุกวันเขาจะออกไปช่วยบรรดาซิสเตอร์แจกจ่ายอาหาร เมื่อว่างก็จะออกพูดคุยกับบรรดาชาวป่าที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ที่อาณาจักรแอนดิซอง บรรดาชาวป่าเองก็มักจะมาคุยกับเขาเสมอเช่นกัน เพราะทุกคนต่างก็อยากจะได้ฟังข่าวคราวความเป็นไปในเผ่าของตน และอาจจะได้รู้ข่าวคราวของสมาชิกในครอบครัวบ้างไม่มากก็น้อย ฮารีซันพบว่านอกจากเขาจะได้ถ่ายทอดข่าวสารต่าง ๆ ให้พี่น้องต่างเผ่าแล้ว เขาก็ยังได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่อาณาจักรแห่งนี้อย่างมากมายทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องราวความรักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของเจ้าหญิงแอนดิซอง ผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับการช่วยเหลือเหล่าคนยากจน และผู้อพยพ ไม่ว่าจะเรื่องความสะมะถะของเจ้าหญิง การเสียสละทรัพย์สมบัติของพระองค์อย่างไม่คิดเสียดายในการสร้างค่ายผู้อพยพขึ้นมา รวมทั้งเรื่องที่พระองค์ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อผู้ยากไร้จนล้มป่วย จนฮารีซันรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่อาจจะตอบแทนบุญคุณของเจ้าหญิงพระองค์นี้ที่ได้ช่วยเหลือผู้คนจากเผ่าของเขาได้หมด แต่แทนที่จะมาตอบแทนบุญคุณ เขากลับมาขอความช่วยเหลือเจ้าหญิงอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงจะพยายามขัดขวางและไม่ต้อนรับเขา นี่เองเป็นสาเหตุให้ฮารีซัน ยอมรับและไม่ถือโทษความขุ่นเคืองของราชองครักษ์อองเดร แต่ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของผู้นำชาวป่าก็คือความซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าหญิงอลาน่าที่มีต่อเขาและบรรดาผู้อพยพนั่นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:17 pm

และแล้วในที่สุดฮารีซันและทราเฮิร์นก็ได้รับแจ้งให้ไปตรวจดูเรือรบแอนดิซองสิบห้าลำที่จะใช้เดินทางที่ท่าเรือ พร้อมกับตรวจสอบหีบที่ขนเงินและทองจำนวนหลายร้อยหีบ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์อีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ตื่นตะลึงกับข้าวของต่าง ๆ ที่อาณาจักรแอนดิซองจัดเตรียมไว้ให้ ทหารจำนวนมากถูกเกณฑ์ให้มาคอยรักษาการณ์อยู่ที่ท่าเรือ ต่างเดินตรวจตรากันขวักไขว่และดูหนาตากว่าปรกติอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในทะเลก็ยังสามารถมองเห็นกองทัพเงือกว่ายผลุบโผล่ใกล้กับเรือรบทั้งสิบห้าอยู่หลายครั้ง ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมองความสับสนวุ่นวายภายในท่าเรืออยู่นั่นเอง เจ้าหญิงอลาน่าซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของนักบวชก็ทรงดำเนินเข้ามาหาพวกเขา โดยมีซิสเตอร์โรซาน่าติดตามมาด้วย ฮารีซันและทราเฮิร์นเห็นดังนั้นก็รีบโค้งทำความเคารพทันที

“ตามสบายเถอะจ๊ะ วันนี้ฉันดูเหมือนนักบวชมากกว่าเจ้าหญิงนะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสอย่างอารมณ์ดี

“พวกเราทำความเคารพท่านไม่ใช่แค่เพราะท่านเป็นเจ้าหญิง แต่เพราะความดีงามที่ท่านได้ทำกับผู้คนของพวกเราที่นี่และเพราะความช่วยเหลือพวกนี้” ฮารีซันผายมือไปยังเรือรบที่ท่าเรือ “สิ่งที่พวกเราทำยังไม่อาจตอบแทนน้ำใจของเจ้าหญิงได้เลย”

“ขอบคุณพระเจ้าเถอะจ๊ะ ฉันเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ ของพระองค์เท่านั้น” เจ้าหญิงตรัสพร้อมด้วยรอยยิ้ม “กำหนดวันเดินทางรึยังจ๊ะ?”

ข้าได้รับแจ้งว่าบรรดาทหารจะขนเสบียงและหีบต่างๆ เสร็จในคืนนี้ ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจว่าเราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นวันเวนตุส ถ้าพรุ่งนี้สภาพอากาศไม่ดี” ทราเฮิร์น กล่าวตอบพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อหาสัญญาณของพายุ
“ถ้าเช่นนั้นฉันอยากจะเชิญท่านทั้งสองมารับประทานอาหารกับฉันคืนนี้ เพราะฉันอยากจะเลี้ยงส่งท่านทั้งสองสักหน่อย งานที่ค่ายอพยพมากมายเสียจนไม่มีเวลามาดูแลท่านทั้งสองเลย พอจะปลีกตัวได้ก็ถึงเวลาจะต้องจากกันเสียแล้ว ฉันยังมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะคุยกับพวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะให้เกียรติไปทานอาหารกับฉันเพื่อเป็นการเลี้ยงอำลานะจ๊ะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสระหว่างทรงเริ่มออกเดินคล้ายจะออกเดินตรวจตราดูความเรียบร้อย โดยทุก ๆ คนก็ออกเดินตามไปด้วย “คืนนี้จะเป็นมื้ออาหารที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวอยู่สักหน่อย คงจะมีแค่ฉัน ซิสเตอร์โรซาน่าและพวกท่าน”

“เจ้าหญิงมีเรื่องสำคัญที่เป็นความลับรึ?” ฮารีซันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นการพบกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้ม “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรจ๊ะ อย่ากังวลไปเลย แล้วพบกันเย็นนี้จ๊ะ”

ฮารีซันและทราเฮิร์นโค้งส่งเจ้าหญิงและซิสเตอร์โรซาน่าพลางสบตากันด้วยความสงสัยว่า เจ้าหญิงอลาน่าต้องการจะพูดอะไรกับพวกเขาในการเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้กันแน่

******************************


เย็นวันนั้น ฮารีซันและทราเฮิร์นมาถึงปราสาทของเจ้าหญิงตามเวลาที่ได้นัดหมาย ทว่าเจ้าหญิงยังไม่กลับมาจากการทำงานในค่ายผู้อพยพ ทั้งสองถูกนำมาที่ห้องอาหารห้องหนึ่งที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าห้องที่พวกเขาเคยเข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อสามอาทิตย์ก่อน อีกทั้งยังแลดูมิดชิดกว่า สิ่งเดียวที่ดูไม่ใคร่จะแตกต่างกันคือความหรูหราของตัวห้องและเครื่องเรือนที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามนั่นเอง ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างมองสำรวจสิ่งต่าง ๆ โดยรอบด้วยความสนอกสนใจ ทั้งคู่เคยได้ยินบรรดาพ่อค้าหาบเร่เล่าถึงความมั่งคั่งของอาณาจักรแอนดิซองมานานแล้ว ทว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นมันมากกว่าการบรรยายของพวกพ่อค้าและเหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาเหลือเกิน

เสียงบานประตูดังขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่า ฮารีซันและทราเฮิร์นรีบลุกขึ้นยืนทันที

“ตามสบายเถอะจ๊ะ ฉันต้องขออภัยอย่างยิ่งที่มาช้าทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นัดหมายเองแท้ ๆ ” เจ้าหญิงตรัสขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังคงสวมชุดเครื่องแบบซิสเตอร์อยู่ ซึ่งเป็นการบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าหญิงทรงงานที่ค่ายอพยพจนเวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้

“เจ้าหญิงไม่มีสิ่งใดต้องขออภัยจากพวกเราเลย พวกเราเสียอีกที่ต้องขออภัยท่าน เพราะคนของพวกเราทำให้ท่านต้องตรากตรำถึงเพียงนี้” ฮารีซันกล่าวอย่างละอายแก่ใจและซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าหญิง

“เรื่องนี้ท่านก็ไม่ต้องขออภัยจากฉันเช่นกันจ๊ะ เพราะมันคือความเต็มใจของฉันที่จะทำสิ่งนี้” เจ้าหญิงตรัส “มาเถอะจ๊ะ พวกท่านคงจะหิวแล้ว เราค่อย ๆ ทานกันไปคุยกันไปเถอะนะจ๊ะ”

ฮารีซันและทราเฮิร์นรอจนกระทั่งเจ้าหญิงและซิสเตอร์โรซาน่านั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยนั่งลง อาหารถูกเสิร์ฟทันทีที่เจ้าหญิงให้สัญญาณ อาหารที่จัดเตรียมไว้ทั้งหมดถูกนำออกมาในคราวเดียว ก่อนที่นางกำนัลทุกคนจะหายตัวไปจากห้องเหลือทิ้งไว้เพียงเจ้าหญิง ซิสเตอร์โรซาน่า ฮารีซัน และ ทราเฮิร์น เท่านั้น ฮารีซัน และ ทราเฮิร์น ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามซิสเตอร์โรซาน่าก็ได้เอ่ยปากออกมาเสียก่อน

“อย่าประหลาดใจไปเลย ถ้าอาหารค่ำมื้อนี้จะดูน่าสงสัยหรือลึกลับสักหน่อย หากเจ้าหญิงไม่ทรงทำเช่นนี้พวกเราก็คงไม่ได้มีโอกาสคุยเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างจริงจังเท่าใดนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะต้อนรับหรือหวังดีกับพวกท่าน และก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยหรือเป็นมิตรกับเจ้าหญิง”

“แม้เจ้าหญิงจะอุทิศตนและเสียสละถึงเพียงนี้น่ะหรือ?” เซนทอร์ทราเฮิร์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เราไม่สามารถทำสิ่งใด ๆ ให้ถูกใจคนทุกคนได้นี่จ๊ะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบ

“แล้วเจ้าหญิงทำอย่างไรกับคนเหล่านั้น?” แม่ทัพเซนทอร์รู้สึกไม่ชอบใจคนเหล่านั้นขึ้นมาทันที หลังจากที่เขาได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้าหญิงแห่งแอนดิซองผู้นี้ได้กระทำ เขาเชื่ออย่างเหลือเกินว่าไม่มีใครสมควรได้รับการยกย่องเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้อีกแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:18 pm

“เมื่อก่อนฉันเคยผิดหวังและเสียใจกับคนเหล่านี้จ้ะ ทว่าบัดนี้ฉันไม่สนใจพวกเขาอีกแล้วและยิ่งทำงานให้มากขึ้นจ้ะ” เจ้าหญิงตรัสอย่างอารมณ์ดี “ถูกมุ่งร้ายเพราะทำสิ่งที่ดีย่อมดีกว่าถูกมุ่งร้ายเพราะทำสิ่งชั่วช้า เพราะมันจะยิ่งทำให้ผลบุญของเราโดดเด่นและส่องประกายมากขึ้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าสอนฉัน”

“เจ้าหญิงทำให้ข้านึกถึงคำกล่าวหนึ่งของท่านปู่ของข้า ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ต้นไม้นั้นจะงอกงามแตกกิ่งก้านใบให้ดอกผลเลี้ยงดูผู้คนเป็นอันมากได้นั้น มันจะต้องถูก ริดกิ่ง ก้าน และใบ เพื่อให้มันแตกกิ่งก้านสาขา เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่บางครั้งความเจ็บปวด ความเจ็บช้ำ หรือความทุกข์ยากต่าง ๆ ในชีวิตจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโต”

“ท่านมีปู่ที่น่าเคารพมาก” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวชื่นชมในขณะที่เจ้าหญิงทรงยิ้มพยักพระพักตร์เห็นด้วย ทำให้ฮารีซันอดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้

“ถูกแล้วท่านวูจินเป็นผู้เฒ่าที่ได้รับการยกย่องจากแทบทุกเผ่า หลาย ๆ ครั้งผู้นำเผ่าต่าง ๆ ยังมาขอคำปรึกษาจากท่านวูจินเลย” แม่ทัพเซนทอร์กล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง

“โอ้ นี่แหละจ๊ะเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดกับพวกท่านก่อนที่จะเดินทางกลับ”

“เรื่องท่านวูจินน่ะรึ?” ทราเฮิร์นถามด้วยความสงสัย

“เรื่องท่านปู่ของข้ารึ?” ฮารีซันได้ยินทราเฮิร์นอุทานดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจจนต้องถามซ้ำ

“ไม่ใช่จ้ะ” เจ้าหญิงอลาน่าทรงอดยิ้มขำไม่ได้ ในขณะที่ซิสเตอร์โรซาน่าพยายามกลั้นยิ้มด้วยความสำรวม

“ฉันอยากจะคุยกับท่านเรื่องการสถาปนาอาณาจักรฟูดินัน”

“สถาปนาอาณาจักรฟูดินันอย่างนั้นรึ!?” ฮารีซันรู้สึกตกใจยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ใช่จ๊ะ ฉันลองคิดทบทวนดูมาหลายวันแล้ว หลังจากที่ฉันฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงความเป็นมาต่าง ๆ ของเผ่าน้อยใหญ่ของพวกท่านแล้ว ฉันจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าการที่พวกท่านอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ กระจัดกระจายในสภาวะสงครามเช่นนี้รังแต่จะทำให้พวกท่านเสียเปรียบไปเรื่อย ๆ หากพวกท่านรวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน ยกฐานะจากเผ่าเล็กเผ่าน้อยให้กลายมาเป็นอาณาจักรเทียบเท่ากับอาณาจักรอื่น ๆ ในทวีปเมอร์ริเซีย อำนาจต่อรองต่าง ๆ ของพวกท่านก็จะมีมากขึ้น สมาชิกในเผ่ามีศักดิ์ศรีและได้รับการยอมรับเท่ากันในฐานะประชาชนของอาณาจักรเช่นเดียวกับประชาชนในอาณาจักรอื่น ๆ และที่สำคัญหากเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียจะอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ของอาณาจักร ก็คงจะเหมาะสมและน่าจะเป็นที่ยอมรับได้มากกว่าการเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าใช่ไหมจ๊ะ”

ฮารีซันสูดหายใจเข้าอย่างแรงหน้าถอดสีจนซีดราวกับกระดาษก่อนจะกลายเป็นแดงจัดด้วยความอาย ร่างกายแข็งทื่อ เขาเหลือบมองทราเฮิร์น ซึ่งทราเฮิร์นก็รีบโบกไม้โบกมือส่ายหน้าเป็นพัลวัน ฮารีซันหันกลับไปมองเจ้าหญิงอีกครั้งแต่ครั้งนี้ เขาไม่กล้ามองเจ้าหญิงเต็มตา

“อย่าอายไปเลยจ๊ะ ฉันทราบจากท่าทางของท่านเมื่อการเลี้ยงน้ำชาในคืนนั้น ทั้งหลังจากวันนั้นฉันก็ได้ยินมาว่าท่านก็ดูเคร่งเครียดและซึมเศร้าเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ และฉันยังได้ยินมาว่าช่วงที่ท่านอยู่ที่ฟีเลเซีย ท่านก็มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าเรจิน่าพอสมควร ฉันจึงพอจะเดา ๆ ความเป็นไปได้อยู่บ้าง ดังนั้นฉันจึงเห็นว่าการสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักรเทียบเท่าอาณาจักรอื่น ๆ จะยังประโยชน์มาให้กับชาวพูดินันและพวกท่านมากกว่า” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มให้กำลังใจ

“ข้า...เออ...ข้า... “ ฮารีซันอึกอักตอบไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี ทว่าแววตาของเขาก็ฉายแววแห่งความหวังที่ค่อย ๆ เรืองรองขึ้น “ข้า...พวก...พวกเราไม่เคยมีใครคิดถึงการสถาปนาฟูดินันให้เป็นอาณาจักรมาก่อนเลย ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีเพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับพวกเรา”

“อย่าว่าแต่คิดเห็นอย่างไรเลย การสถาปนาอาณาจักรต้องทำอย่างไร พวกเราก็ยังไม่มีใครรู้ เจ้าหญิงคิดว่าพวกเราสมควรตั้งเป็นอาณาจักรใช่หรือไม่?” ทราเฮิร์นถามย้ำเหมือนจะให้แน่ใจมากขึ้น

“ฉันแค่เสนอความคิดจ้ะ จะทำหรือไม่นั้นอยู่ที่พวกท่านต่างหาก” เจ้าหญิงตรัส

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ ข้าไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้” ฮารีซันคิดถึงบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าต่าง ๆ และสมาชิกในเผ่า

“ฉันเข้าใจดีจ้ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่ท่านจะตัดสินใจเพียงลำพัง ลองนำเรื่องนี้กลับไปหารือและพิจารณากับที่ประชุมของพวกท่านดู ฉันเชื่อว่ามันจะยังประโยชน์มาให้แก่เผ่าต่าง ๆ ได้มากทีเดียว” เจ้าหญิงตรัส ในขณะที่ฮารีซันและทราเฮิร์นเริ่มมองเห็นหนทางและอนาคตที่จะเปิดหน้าศักราชใหม่ให้กับบรรดาชาวป่าและความรักของตน

*****************************


เวลานี้ค่ายของกองทัพซาโลม ดูจะคึกคักกว่าที่เคย ทหารยศต่าง ๆ เดินกันขวักไขว่เสียงตะโกนโหวกเหวกสั่งการดังขึ้นเกือบตลอดเวลาแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

ภายในกระโจมที่พักของกษัตริย์ซาดิน เสียงพูดของอุปราชเฒ่าดังแว่วออกมาเป็นระยะ ๆ

“ฝ่าบาท เวลานี้ไอ้พวกกองทัพฝ่ายนั้นมันกำลังสั่งสมทั้งกำลังพลและกำลังทรัพย์เป็นการใหญ่ ซ้ำยังไปขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแอนดิซองที่อยู่ทางใต้อีก หากเราไม่รีบเร่งมือตีมันให้แตกพ่ายย่อยยับโดยเร็ว จากราชสีห์ปากคอกมันจะกลายเป็นมังกรยักษ์ แล้วทีนี้การจะกำราบมันจะยิ่งยากเป็นทวีคูณ แต่หากเราระดมกองทัพทั้งหมดที่มีในตอนนี้ แล้วให้พระองค์เองเป็นจอมทัพใหญ่ยกทัพออกไปกระหน่ำโจมตีพวกมันให้เบ็ดเสร็จในคราวเดียว ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ จักต้องสามารถปราบเจ้าพวกมดปลวกเลว ๆ พวกนี้และสั่งสอนพวกมันให้ได้รับความเจ็บปวดทรมานให้สาสมกับที่พวกมันบังอาจตั้งตนแข็งข้อกับพระองค์” เบลซ เซจ ทูลเสียงเข้มด้วยความฮึกเหิม

“แต่หลังจากที่ข้ามาคิดทบทวนดูอีกทีแล้ว...ข้าก็ยังอยากจะรอให้เนริมอร์กลับมาก่อนอยู่ดี อย่างน้อยมีนางคอยเป็นทัพเสริมก็จะช่วยเบาแรงข้าได้มาก” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างครุ่นคิด

“เหลวไหล! จะให้สตรีนางเดียวตัดสินชะตากรรมของทั้งกองทัพรึยังไง” เบลซ เซจตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ เมื่อกษัตริย์ซาดินทรงคิดจะเปลี่ยนพระทัย หลังจากที่เขาเกลี่ยกล่อมให้พระองค์ตัดสินพระทัยระดมพลเตรียมบุกครั้งใหญ่ได้สำเร็จ “พระองค์จะตระบัดสัตย์รึอย่างไร?”

“มันจะมากไปแล้วนะ!” กษัตริย์ซาดินตรัสกระแทกเสียงด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นด้วยเช่นกัน “ระวังปากของเจ้าหน่อย เบลซ เซจ! เดี๋ยวนี้ชักรู้สึกว่าเจ้าจะปากกล้าขึ้นทุกวัน”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:19 pm

“ขอประทานอภัยฝ่าบาท” เบลซ เซจที่เพิ่งตระหนักว่าได้ลืมตัวพูดอะไรออกไปก็รีบโค้งลงก้มกราบเป็นการใหญ่ ทว่าใบหน้าของเขาไม่มีแววสำนึกผิดเลยสักนิด มีแต่แววชิงชังที่เริ่มจะเก็บไว้ไม่อยู่ปรากฏให้เห็นยามที่เบลซ เซจคิดว่าไม่มีใครเห็น “ข้าพระองค์เพียงแต่เป็นห่วงกองทัพของฝ่าบาทจนลืมตัว ขอฝ่าบาททรงอภัยในความผิดที่มิได้มีเจตนาร้ายของข้าพระองค์ด้วยเถิด”

“อย่าลืมตัวบ่อยนักก็แล้วกัน” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงแข็ง ไม่ทันสังเกตใบหน้าของอีกฝ่าย

เบลซ เซจเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย พลันก็สังเกตเห็นเงาดำคล้ายกลุ่มควันสีจาง ๆ ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนวูบไหวอยู่ทางเบื้องหลังของกษัตริย์ซาดิน อุปราชเฒ่าก็ค่อย ๆ แสยะยิ้มก่อนจะก้าวขยับเข้าไปใกล้กับผู้เป็นนายมากยิ่งขึ้น พลางทำเสียงเศร้าสลดกราบทูล
“ฝ่าบาท ที่ข้าพระองค์เป็นห่วงก็เพราะหากพระองค์คิดจะรอพระนางเนริมอร์กลับมา ข้าพระองค์ก็เกรงว่าจะไม่ทันการ หากฟีเลเซียและฟูดินันได้กำลังจากแอนดิซองมาช่วยอีกแรง ความฝันของพวกเราก็จะยิ่งไกลห่างออกไปอีก เราจะมั่วรีรอไม่ได้อีกแล้วฝ่าบาท ลำพังพระองค์นำทัพเอง ข้าพระองค์มั่นใจว่าด้วยพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทจะต้องสามารถตีฟีเลเซียให้แตกได้อย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องรอพระนางเนริมอร์ให้เสียการใหญ่ อย่าทรงลังเลพระทัยอีกเลย เวลานี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้วที่พระองค์จะเผด็จศึกอริศัตรูทั้งหลาย ข้าพระองค์ได้สั่งแบล็ค ไวเซอร์ให้เร่งผลิตทหารผีดิบเต็มกำลัง ทั้งยังได้สั่งกองทัพให้เร่งเตรียมความพร้อมแล้ว อีกไม่กี่วันกองทัพทั้งหมดก็จะพร้อมเคลื่อนทัพนะพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซาดินที่บัดนี้แววเนตรดูเหม่อลอยผิดจากที่เคยเป็นก็ทรงลุกขึ้นยืนในทันใด “จริงของเจ้า จัดการไปตามที่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน”

เมื่อตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงสะบัดพระพักตร์สองสามครั้งเหมือนกำลังพยายามเรียกสติกลับคืนมา แววเนตรของพระองค์กลับมาคมเข็มและดุดันดังเคย พระองค์ทรงหันมาหาเบลซ เซจ ทรงเผยอพระโอษฐ์เหมือนจะกล่าวอะไร แต่แล้วก็ส่ายพระพักตร์คล้ายกับจำไม่ได้ว่าพระองค์ต้องการจะตรัสอะไร สักพักก็ทรงล้มเลิกความตั้งพระทัยและเสด็จออกไปจากห้อง เหลือไว้แต่เพียงอุปราชเฒ่าเพียงลำพัง เบลซ เซจ คอยจนกษัตริย์ซาดินเดินลับไปก่อนจะหัวเราะลำคอและกลายเป็นหัวเราะเสียงดังลั่น

“อำนาจของท่านอวารูเซจช่างมีอานุภาพมากมายเหลือเกิน อีกไม่นานมีแหละ เมื่ออำนาจของท่านอวารูเซจสำแดงฤทธิ์เดชได้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็ หึ หึ หึ เมื่อนั้นเจ้ากษัตริย์หน้าโง่นั่นจะต้องเชื่อฟังข้า เชื่อฟังข้าแต่เพียงผู้เดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


********************************


ขณะเดียวกันทางด้านอาณาจักรฟีเลเซียก็เร่งระดมพลครั้งใหญ่ กองทัพจากเมืองต่าง ๆ ทยอยเดินทัพเข้ามาสมทบกับกองทัพร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมืองอาวีเลียไม่มีที่พักให้แก่เหล่าทหาร ทำให้ที่ว่างต่าง ๆ ภายในเมืองถูกแปรสภาพกลายเป็นค่ายที่พักแรมของกองทัพต่าง ๆ ไป

ภายในจวนที่พักของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียเองก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองจากทั่วทุกสารทิศที่ต่างก็เข้ามารายงานตัวกับทางเจ้าหน้าที่ของกองทัพเป็นการใหญ่ มีนายทหารเดินเข้าเดินออกประตูจวนที่พักอยู่ตลอดเวลา ทางด้านห้องโถงชั้นในเอง บรรดานายทัพระดับหัวหน้าก็มาเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน โดยมีกษัตริย์ซิกมันด์ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด

“ข่าวที่ฟอล์คเนอร์ หัวหน้าหน่วยสอดแนมรายงานมาไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ กองทัพซาโลมคงจะเตรียมการบุกครั้งใหญ่เร็ว ๆ นี้แน่” แม่ทัพนกทูลขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“สงครามคงใกล้ดำเนินมาถึงจุดแตกหักแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าทางกองทัพทมิฬก็คงไม่อยากให้สงครามยืดเยื้อต่อไป เพราะรังแต่จะสูญเสียเสบียงและทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์” แม่ทัพมังกรกล่าวทูลขึ้นบ้าง

“ก็ดี ข้าก็เบื่อหน่ายกับสงครามที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่เต็มทนแล้ว จวนเจียนจะสามปีอยู่แล้วนับตั้งแต่สงครามนี้อุบัติขึ้น เราต้องเสียไพร่พลไปตั้งเท่าไหร่ แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งสองฝ่ายก็ทำได้แต่ตั้งค่ายคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสเสียงห้วน “นับตั้งแต่ข้าขึ้นของราชย์มา ประชาชนชาวฟีเลเซียต้องตกอยู่ในสภาพข้าวยากหมากแพง ไม่มีความสงบสุขไปทั่วทุกหัวระแหงเพราะไอ้กษัตริย์เถื่อนโลภมากนี่ ในฐานะกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย ข้าอยากจะบั่นคอมันแล้วทิ้งศพให้เป็นเหยื่อของฝูงแร้งนัก”

สำหรับชายชาตินักรบอย่างชาวฟีเลเซียนั้น การที่ต้องตายโดยไม่ได้ทำพิธีศพหรือถูกทิ้งไว้โดยไม่มีดินกลบหน้าหรือถูกทิ้งให้เป็นเหยื่อของสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นการเสื่อมเสียเกียรติและนำความอับอายมาให้แต่วงศ์ตระกูลที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวฟีเลเซียชิงชังกองทัพซาโลมมากขึ้น ที่บังอาจขโมยศพของเหล่าอัศวินฟีเลเซียที่พลีชีพในสนามรบไปเป็นวัตถุดิบสำหรับทหารผีดิบ

“ข่าวว่าครั้งนี้กษัตริย์เถื่อนจะคุมทัพเองรึ?” แม่ทัพชาร์ลถามขึ้น

“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวขอรับ สายรายงานว่ามีการเตรียมเกราะให้มังกรซาลามันเดอล่ายักษ์ ซึ่งเป็นพาหนะของกษัตริย์เถื่อนด้วย อีกทั้งจำนวนทหารผีดิบภายในค่ายก็เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาก ราวกับว่าพวกมันเร่งผลิตทหารผีดิบทั้งวันทั้งคืน ทั้งภายในค่ายก็ดูคึกคักและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา พวกมันคงจะใช้ทหารทั้งหมดที่มีในศึกครั้งที่จะถึงนี้” แม่ทัพพลนกกล่าวต่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 48 จุดกำเนิด 4 อาณาจักร @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:20 pm

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นหากคะเนกำลังพลของกองทัพซาโลมในเวลานี้คงจะมากกว่าฝ่ายพวกตนเป็นเท่าตัว เพราะกองทัพซาโลมมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกครั้งที่มีการรบ ทางฝ่ายพวกตนมีแต่จะน้อยลงเรื่อย ๆ กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงได้ยินและได้เห็นดังนั้นก็ทรงลุกขึ้นยืนในทันใดพลางชักดาบแห่งฟีเลเซียออกมาชูขึ้นต่อหน้าทุก ๆ คน

“ต่อให้พวกมันมีกำลังพลเป็นพันล้าน กองทัพฟีเลเซียก็จะถล่มมันให้ราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าได้เคยให้คำมั่นสัญญากับบรรพชนของพวกเราไว้ว่า ดินแดนแห่งนี้จะเป็นของเราและลูกหลานของเราสืบไป ต่อให้ข้าจะต้องเอาเลือดทาแผ่นดิน ข้าก็จะไม่มีวันให้พวกมันได้ครอบครองแผ่นดินฟีเลเซียเด็ดขาด”

สิ้นเสียงประกาศก้องของกษัตริย์ซิกมันด์ เหล่าแม่ทัพนายกองต่างก็โห่ร้องสรรเสริญความห้าวหาญของกษัตริย์ของพวกตนจนเสียงดังกึกก้อง ขวัญและกำลังใจก็กลับเต็มล้นขึ้นมาอีกครั้ง


***************************


ภายหลังจากการประชุมเหล่าแม่ทัพสิ้นสุดลง เหล่าแม่ทัพต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ของตน เหลือไว้เพียงจอมทัพชาร์ลที่กษัตริย์ซิกมันด์ทรงให้สัญญาณว่าให้รออยู่ก่อน จนเมื่อทุก ๆ คนออกจากห้องไปหมดแล้ว กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงตรัสขึ้น

“ชาร์ล”

“พ่ะย่ะค่ะ ทรงมีกิจสำคัญใดจะใช้กระหม่อมหรือ?” ชาร์ลก้มศีรษะรับคำ

“เปล่า ข้าเพียงแต่อยากจะรู้เรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ ของกองทัพชาวป่า หลังจากที่เราเริ่มหยุดให้เสบียงไป เวลานี้มีความเป็นไปอย่างไรบ้าง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามต่อ

“โดยทั่วไปก็มีความลำบากอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเพราะพวกเขาปรับตัวเข้ากับธรรมชาติรอบตัวได้ดี ก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ยากลำบากนัก”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์ฟังรายงานก่อนจะตรัสขึ้นเบา ๆ อย่างใช้ความคิด “หากความช่วยเหลือจากแอนดิซองมาถึง สถานการณ์ต่าง ๆ คงดีขึ้น… แล้วกับทหารของเราล่ะ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”

“ฝ่าบาท เท่าที่กระหม่อมสังเกตดู เวลานี้ดูท่าทางทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้น อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นวันที่มีความสำคัญของทางฟูดินัน พวกชาวป่าจึงมีการจัดการเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก ซึ่งก็มีทหารฟีเลเซียเข้าไปร่วมฉลองด้วยไม่น้อยทีเดียว”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง คล้ายกับไม่ค่อยชอบพระทัยระคนตกพระทัย ทว่าในที่สุดก็ทรงระบายลมหายใจออกช้า ๆ ราวกับกำลังสงบพระทัยกับอารมณ์บางอารมณ์ที่กำลังคุขึ้นมา

“นี่แสดงว่ากองทัพชาวป่าได้รับการยอมรับในฝีมือมากขึ้นแล้วสินะ”

“พ่ะย่ะค่ะ เช่นเดียวกับที่กระหม่อมสังเกตเห็นว่า พระองค์ก็ทรงยอมรับกองทัพชาวป่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน” ชาร์ลเอ่ยทูลเมื่อสังเกตท่าทีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปของพระองค์ เช่นเมื่อครู่ที่ทรงข่มอารมณ์เมื่อทรงได้ยินว่าทหารฟีเลเซียเข้าร่วมเฉลิมฉลองในหมู่ชาวป่า

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์เบา ๆ คล้ายกับกำลังใคร่ครวญเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในพระทัย พลางทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง “ถูกของท่าน ณ วันนี้ข้าต้องยอมรับว่าการมีกองทัพฟูดินันอยู่นั้น...ช่วยเราได้มากจริง ๆ “


***************************


หลังจากที่คณะของฮารีซันออกเดินทางไปแอนดิซองเป็นเวลาร่วมสามเดือน ที่สุดกองเรือรบแอนดิซองที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์และเงินทองมูลค่ามหาศาลก็เดินทางมาถึงเมืองท่าทางตอนใต้ของฟีเลเซียท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของยินดีของผู้ที่มารอต้อนรับ ฮารีซันยืนอยู่บนหัวเรือมองผู้ที่มาคอยรอรับอยู่ที่ท่าเรือด้วยความตื้นตันใจ การที่เขากลับมาพร้อมกับความช่วยเหลือของแอนดิซองทำให้เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษจากบรรดาทหารและประชาชน กองทัพฟูดินันเริ่มได้รับการให้เกียรติและความเป็นมิตรมากขึ้นเพราะการนี้นั่นเอง

ทันทีที่ฮารีซันก้าวลงจากสะพานเรือ เขาก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหนึ่งในบรรดาคนที่มารอตอนรับเขาคือเจ้าหญิงเรจิน่านั่นเอง เจ้าหญิงทรงยืนด้วยความสำรวมวางท่าทางอย่างผู้สูงศักดิ์ทว่าบนพระพักตร์นั้นประดับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีให้เขา ฮารีซันคลี่ยิ้มและเดินเข้าไปโค้งคำนับเจ้าหญิงด้วยความสำรวม แต่แววตาของทั้งคู่บ่งบอกอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่การทักทาย

“ขอบคุณที่ท่านมาในวันนี้ ข้าไม่คิดว่าเจ้าหญิงจะเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้” ฮารีซันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้ายินดีที่จะมา” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบ “ข้าได้ยินมาว่าท่านพบกับอุปสรรคมากมาย คงจะลำบากกันมาก และในฐานะที่ข้าได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของอาณาจักรฟีเลเซีย ขอขอบใจท่านที่สามารถเจรจากับอาณาจักรแอนดิซองได้สำเร็จและยินดีต้อนรับท่านกลับสู่ฟีเลเซีย ท่านด้วยนายพลทราเฮิร์น” เจ้าหญิงตรัสตอบเมื่อเห็นว่าทราเฮิร์นเดินเข้ามาสมทบ

“ด้วยความยินดีเช่นกัน” ทราเฮิร์นตอบด้วยรอยยิ้มพลางเหลือบสายตาลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ ที่ผ่านมาเขามิได้ใส่ใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองมากนัก แต่หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของฮารีซันเมื่อตอนอยู่แอนดิซองก็ทำให้เขาอดสนใจความเป็นไปของคนทั้งคู่ไม่ได้

“สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเราอยู่ที่นั่นไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวเท่าไรเลย” ฮารีซันเอ่ยถามโดยพยายามไม่ใส่ใจสายตาช่างสงสัยของสหายตน

“สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร สายของเรารายงานมาว่าซาโลมกำลังเตรียมความพร้อมของกองทัพชนิดที่เรียกได้ว่าเต็มอัตราศึกเลยทีเดียว ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาล พวกมันคงคิดจะบุกครั้งใหญ่เร็ว ๆ นี้ หน่วยสอดแนมแจ้งว่าในครั้งนี้กษัตริย์เถื่อนอาจจะคุมทัพใหญ่มาเอง พวกท่านกลับมาได้ทันเวลาทีเดียว ทั้งซิกมันด์และชาร์ลต่างก็เห็นด้วยว่าทั้งสองฝ่ายคงมาจะถึงจุดแตกหักแล้ว มหาสงครามใกล้ระเบิดขึ้นเต็มที เวลานี้ต่างฝ่ายต่างก็เร่งระดมพลกันเป็นการใหญ่ทีเดียว” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นในทันใด

“กษัตริย์เลวนั่นจะนำทัพเองอย่างนั้นหรือ?” ทราเฮิร์นขบกรามเมื่อหวนนึกถึงความโหดน่ารักมของกษัตริย์ซาดินเมื่อครั้งบุกฆ่าล้างค่ายชาวป่าอย่างทารุณ

“ข้าคิดว่าเราไปคุยกันในที่มิดชิดกว่านี้ระหว่างที่รอลำเลียงของดีกว่า” ฮารีซันเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาไม่อยู่เพียงสามเดือนสถานการณ์ของสงครามกลับเลวร้ายลงอย่างน่าใจหาย

“ถูกของท่าน ข้าไม่อยากให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยินเรื่องภายในกองทัพมากนัก พวกท่านเองก็เพิ่งจะเดินทางมากถึง คงจะเหนื่อยจากการเดินทาง เราคุยกันที่นี่ไม่เหมาะจริง ๆ “ เจ้าหญิงตรัสคล้ายกับเพิ่งนึกได้ “เชิญพวกท่านที่เรือนรับรองเถอะ ข้าให้คนจัดสำรับไว้ต้อนรับแล้ว เมื่อลำเลียงของเสร็จเราคงออกเดินทางได้ทันที”

“เชิญเจ้าหญิง” ฮารีซันเชิญเจ้าหญิงให้เดินนำก่อนที่ทั้งตนและทราเฮิร์นจะออกเดินตาม มุ่งสู่เรือนรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน