Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ
ฮารีซัน ทราเฮิร์น และบรรดาลูกเรือชาวฟูดินันอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพมาได้สามวันแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์การต่อสู้ที่รุนแรงที่ท่าเรือเก่านั้นดูราวเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ฮารีซันนั่งอยู่ที่หน้าโรงสอนหนังสือเด็ก ๆ ในค่ายผู้อพยพพลางมองดูบรรยากาศความเป็นไปในค่ายพร้อม ๆ กับคิดคำนึงถึงเรื่องที่ผ่านมา เขายังจำได้ดีถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านผ่านโล่ของเขาเข้ามา แววตาเย็นชาทว่าแข็งกร้าวราวกับไม่ยอมอ่อนข้อใด ๆ ของราชองครักษ์อองเดรทำให้เขาถึงกับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาได้ ช่างดีเหลือเกินที่เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาห้ามการต่อสู้ไว้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้วเขาก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าการต่อสู้นั้นจะจบลงอย่างไร เพราะดูท่าว่าราชองครักษ์ผู้นั้นคงจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะแตกดับกันไปข้างหนึ่ง ฮารีซันรู้สึกตัวจากห้วงความคิดเมื่อนายทัพเซนทอร์เดินมาตบที่ไหล่
“งัย! คิดอะไรอยู่หรือ?” ทราเฮิร์นถาม
“คิดถึงการต่อสู้ที่ท่าเรือเมื่อสามวันก่อน” ฮารีซันตอบ พลางหันไปมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ค่ายผู้อพยพ
“เราโชคดีที่เจ้าหญิงอลาน่ามาทันเวลา ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบเจ้าหญิงเร็วขนาดนั้นหรือในลักษณะนั้น...อันที่จริงข้าไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ในชุดนักบวชผู้นั้นคือเจ้าหญิงที่เราดั้นด้นมาพบด้วยซ้ำ” ทราเฮิร์น ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
“นางก็ผิดจากที่ข้าจินตนาการไว้อักโขทีเดียว ข้าคิดว่านางจะดูสง่างาม สูงศักดิ์เหมือนเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งฟีเลเซีย ทว่านางกลับดูโอบอ้อมอารีมีเมตตา ยิ่งได้มาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่นางกระทำ นางยิ่งดูสูงส่งเหมือนชาวสวรรค์เลย” ฮารีซันมองไปตามอาคารที่ถูกใช้เป็นที่พักพิงของผู้อพยพและคนยากจน
“จริงของท่าน ไม่แปลกเลยที่ชื่อเสียงของเจ้าหญิงจะขจรขจายไปทั่ว ตั้งแต่อาณาจักรฟีเลเซียไปจนถึงอาณาจักรใต้ทะเลอย่างเลอมูเรีย” ทราเฮิร์นกล่าวอย่างยกย่อง “จริงสิ ท่านเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรับรองที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงจัดขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเรารึยัง?”
“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีพิธีรีตองเหมือนที่ฟีเลเซียรึเปล่า? ข้าคิดว่าพอจะจำมารยาทแบบของชาวฟีเลเซียได้อยู่หรอก” ฮารีซันยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้ากับความทรงจำเมื่อครั้งที่ชาวป่าอย่างพวกเขาได้รับเมื่อตอนอยู่ที่ฟีเลเซีย
“ข้าคิดว่าข้าคงทำให้พวกเขาประทับใจได้มากกว่าที่ทำไว้ในฟีเลเซียละนะ” ทราเฮิร์นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังแต่ดวงตากลับพราวระยับไปด้วยความขบขัน ทำให้ฮารีซันอดหัวเราะไม่ได้
การเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนั้นถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของเจ้าหญิงอลาน่า แม้จะมีขุนนางหลายคนคัดค้าน เพราะต้องการจัดให้ใหญ่โตและหรูหราอลังการที่สุดเพื่อโอ้อวดความมั่งคั่งของแอนดิซอง แต่สุดท้ายด้วยการยืนกรานอย่างหนักแน่นของเจ้าหญิง จึงทำให้การเลี้ยงรับรองเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าก็สมฐานะของผู้มาเยือนและฝ่ายผู้จัดเลี้ยง
ห้องอาหารนั้นมีโต๊ะยาวซึ่งปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวขลิบดิ้นเงินเนื้อดี บนโต๊ะนั้นถูกตกแต่งด้วยผลึกน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ แขกผู้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำนั้นถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้บุผ้ากำมะหยี่เนื้อดีสีน้ำเงิน ที่หัวโต๊ะนั้นเจ้าหญิงอลาน่าประทับนั่งเป็นประธาน โดยมีฮารีซันถูกจัดให้นั่งเก้าอี้ทางด้านซ้ายของเจ้าหญิง ถัดไปจึงเป็นทราเฮิร์น ในขณะที่ทางด้านขวานั้นมีราชองครักษ์อองเดรเป็นผู้นั่งเก้าอี้ตัวแรก ถัดไปจึงเป็นตัวแทนจากทั้งสามสภา โดยรูฟัสนั้นถูกจัดให้นั่งเป็นลำดับที่สี่
การเลี้ยงรับรองในวันนี้ไม่ได้มากไปด้วยพิธีรีตอง ซึ่งบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำนั้นก็ผ่อนคลายและไม่มากด้วยกฎระเบียบเหมือนที่อาณาจักรฟีเลเซียจนฮารีซันและทราเฮิร์นรู้สึกได้ ไม่มีใครมาคอยสนใจว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารกันถูกวิธีหรือไม่? หรือกินอาหารชนิดใดคู่กับชนิดใด? ทุกคนดูเหมือนจะสนใจแต่บทสนทนาของคู่สนทนาของตนหรือไม่ก็สนใจอาหารในจานของตนมากกว่า แต่ที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดสำหรับชาวป่าทั้งสองก็คือ ราชองครักษ์อองเดรที่รับประทานอาหารของตนด้วยอาการเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อนที่ต้องมานั่งตรงข้ามกับฮารีซัน ผู้ที่ตนต่อสู้ด้วยราวกับจะให้แตกหัก เวลานี้เขากลับนิ่งเฉยไม่สนใจใด ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสามวันที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ทำหน้าไม่ถูกและรู้สึกประดักประเดิดตั้งแต่เห็นอองเดรเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับพวกตน
แต่ความประทับใจที่สุดของชาวป่าทั้งสอง ก็คงจะเป็นความโอบอ้อมอารีและเป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองนั่นเอง เพราะตลอดการรับประทานอาหาร แทนที่พระองค์จะทรงเล่าเรื่องของความรุ่งเรืองในอาณาจักรพระองค์ หรือคุยเรื่องสนุกสนาน เจ้าหญิงจะถามถึงแต่เรื่องสงคราม ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของทวีป ความทุกข์ร้อนของประชาชนแต่ละอาณาจักร ด้วยความห่วงใย และเอาใจใส่อย่างชัดเจน เหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชาวป่าทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจ ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นก็จงใจเลี่ยงการเล่าถึงรายละเอียดบางอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหลาย ๆ ช่วงของการเล่าเหตุการณ์อันโหดร้าย เจ้าหญิงดูจะสะเทือนใจไปกับพวกเขาด้วยจริง ๆ พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งประชาชนของอาณาจักรตนเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้มาก่อน