Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 24, 2024 12:13 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:06 pm

Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ



ฮารีซัน ทราเฮิร์น และบรรดาลูกเรือชาวฟูดินันอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพมาได้สามวันแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์การต่อสู้ที่รุนแรงที่ท่าเรือเก่านั้นดูราวเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ฮารีซันนั่งอยู่ที่หน้าโรงสอนหนังสือเด็ก ๆ ในค่ายผู้อพยพพลางมองดูบรรยากาศความเป็นไปในค่ายพร้อม ๆ กับคิดคำนึงถึงเรื่องที่ผ่านมา เขายังจำได้ดีถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านผ่านโล่ของเขาเข้ามา แววตาเย็นชาทว่าแข็งกร้าวราวกับไม่ยอมอ่อนข้อใด ๆ ของราชองครักษ์อองเดรทำให้เขาถึงกับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาได้ ช่างดีเหลือเกินที่เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาห้ามการต่อสู้ไว้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้วเขาก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าการต่อสู้นั้นจะจบลงอย่างไร เพราะดูท่าว่าราชองครักษ์ผู้นั้นคงจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะแตกดับกันไปข้างหนึ่ง ฮารีซันรู้สึกตัวจากห้วงความคิดเมื่อนายทัพเซนทอร์เดินมาตบที่ไหล่

“งัย! คิดอะไรอยู่หรือ?” ทราเฮิร์นถาม

“คิดถึงการต่อสู้ที่ท่าเรือเมื่อสามวันก่อน” ฮารีซันตอบ พลางหันไปมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ค่ายผู้อพยพ

“เราโชคดีที่เจ้าหญิงอลาน่ามาทันเวลา ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบเจ้าหญิงเร็วขนาดนั้นหรือในลักษณะนั้น...อันที่จริงข้าไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ในชุดนักบวชผู้นั้นคือเจ้าหญิงที่เราดั้นด้นมาพบด้วยซ้ำ” ทราเฮิร์น ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“นางก็ผิดจากที่ข้าจินตนาการไว้อักโขทีเดียว ข้าคิดว่านางจะดูสง่างาม สูงศักดิ์เหมือนเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งฟีเลเซีย ทว่านางกลับดูโอบอ้อมอารีมีเมตตา ยิ่งได้มาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่นางกระทำ นางยิ่งดูสูงส่งเหมือนชาวสวรรค์เลย” ฮารีซันมองไปตามอาคารที่ถูกใช้เป็นที่พักพิงของผู้อพยพและคนยากจน

“จริงของท่าน ไม่แปลกเลยที่ชื่อเสียงของเจ้าหญิงจะขจรขจายไปทั่ว ตั้งแต่อาณาจักรฟีเลเซียไปจนถึงอาณาจักรใต้ทะเลอย่างเลอมูเรีย” ทราเฮิร์นกล่าวอย่างยกย่อง “จริงสิ ท่านเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรับรองที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงจัดขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเรารึยัง?”

“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีพิธีรีตองเหมือนที่ฟีเลเซียรึเปล่า? ข้าคิดว่าพอจะจำมารยาทแบบของชาวฟีเลเซียได้อยู่หรอก” ฮารีซันยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้ากับความทรงจำเมื่อครั้งที่ชาวป่าอย่างพวกเขาได้รับเมื่อตอนอยู่ที่ฟีเลเซีย

“ข้าคิดว่าข้าคงทำให้พวกเขาประทับใจได้มากกว่าที่ทำไว้ในฟีเลเซียละนะ” ทราเฮิร์นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังแต่ดวงตากลับพราวระยับไปด้วยความขบขัน ทำให้ฮารีซันอดหัวเราะไม่ได้


การเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนั้นถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของเจ้าหญิงอลาน่า แม้จะมีขุนนางหลายคนคัดค้าน เพราะต้องการจัดให้ใหญ่โตและหรูหราอลังการที่สุดเพื่อโอ้อวดความมั่งคั่งของแอนดิซอง แต่สุดท้ายด้วยการยืนกรานอย่างหนักแน่นของเจ้าหญิง จึงทำให้การเลี้ยงรับรองเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าก็สมฐานะของผู้มาเยือนและฝ่ายผู้จัดเลี้ยง

ห้องอาหารนั้นมีโต๊ะยาวซึ่งปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวขลิบดิ้นเงินเนื้อดี บนโต๊ะนั้นถูกตกแต่งด้วยผลึกน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ แขกผู้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำนั้นถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้บุผ้ากำมะหยี่เนื้อดีสีน้ำเงิน ที่หัวโต๊ะนั้นเจ้าหญิงอลาน่าประทับนั่งเป็นประธาน โดยมีฮารีซันถูกจัดให้นั่งเก้าอี้ทางด้านซ้ายของเจ้าหญิง ถัดไปจึงเป็นทราเฮิร์น ในขณะที่ทางด้านขวานั้นมีราชองครักษ์อองเดรเป็นผู้นั่งเก้าอี้ตัวแรก ถัดไปจึงเป็นตัวแทนจากทั้งสามสภา โดยรูฟัสนั้นถูกจัดให้นั่งเป็นลำดับที่สี่
การเลี้ยงรับรองในวันนี้ไม่ได้มากไปด้วยพิธีรีตอง ซึ่งบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำนั้นก็ผ่อนคลายและไม่มากด้วยกฎระเบียบเหมือนที่อาณาจักรฟีเลเซียจนฮารีซันและทราเฮิร์นรู้สึกได้ ไม่มีใครมาคอยสนใจว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารกันถูกวิธีหรือไม่? หรือกินอาหารชนิดใดคู่กับชนิดใด? ทุกคนดูเหมือนจะสนใจแต่บทสนทนาของคู่สนทนาของตนหรือไม่ก็สนใจอาหารในจานของตนมากกว่า แต่ที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดสำหรับชาวป่าทั้งสองก็คือ ราชองครักษ์อองเดรที่รับประทานอาหารของตนด้วยอาการเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อนที่ต้องมานั่งตรงข้ามกับฮารีซัน ผู้ที่ตนต่อสู้ด้วยราวกับจะให้แตกหัก เวลานี้เขากลับนิ่งเฉยไม่สนใจใด ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสามวันที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ทำหน้าไม่ถูกและรู้สึกประดักประเดิดตั้งแต่เห็นอองเดรเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับพวกตน

แต่ความประทับใจที่สุดของชาวป่าทั้งสอง ก็คงจะเป็นความโอบอ้อมอารีและเป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองนั่นเอง เพราะตลอดการรับประทานอาหาร แทนที่พระองค์จะทรงเล่าเรื่องของความรุ่งเรืองในอาณาจักรพระองค์ หรือคุยเรื่องสนุกสนาน เจ้าหญิงจะถามถึงแต่เรื่องสงคราม ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของทวีป ความทุกข์ร้อนของประชาชนแต่ละอาณาจักร ด้วยความห่วงใย และเอาใจใส่อย่างชัดเจน เหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชาวป่าทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจ ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นก็จงใจเลี่ยงการเล่าถึงรายละเอียดบางอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหลาย ๆ ช่วงของการเล่าเหตุการณ์อันโหดร้าย เจ้าหญิงดูจะสะเทือนใจไปกับพวกเขาด้วยจริง ๆ พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งประชาชนของอาณาจักรตนเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้มาก่อน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:07 pm

และตลอดการสนทนาในค่ำคืนนั้น นอกจากการสนทนาที่น่าประทับใจกับเจ้าหญิงแล้ว สิ่งที่น่ารำคาญตลอดการสนทนาก็คงหนีไม่พ้นพ่อค้าใหญ่รูฟัสที่พยายามหาจังหวะพูดแทรกระหว่างการสนทนาเพื่อขายและขอซื้อสินค้าราคาถูกจากฟูดินันตลอดเวลา จนทำให้บางครั้งเจ้าหญิงต้องทรงแสร้งกระแอมและปรายพระเนตรแฝงแววห้ามปรามบ่อย ๆ ที่สุดเมื่อการแสร้งปรามของเจ้าหญิงไม่ได้ผล องครักษ์ผู้เย็นชาจึงค่อมศีรษะขออภัยเจ้าหญิงก่อนจะกระแทกกำปั้นใส่โต๊ะเบา ๆ พร้อมปรายสายตาที่เย็นชาจนจับขั้วหัวใจไปทางรูฟัส นั่นจึงทำให้พ่อค้าใหญ่สงบปากลงได้ในที่สุด

ที่สุดเมื่อการเลี้ยงอาหารค่ำจบลง เจ้าหญิงก็ทรงรับปากว่าจะนำคำร้องของพวกเขาที่จะให้แอนดิซองเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้เข้าหารือในที่ประชุมสามสภาโดยเร็ว ซึ่งนั่นทำให้ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ยินดีและโล่งใจเป็นที่สุด


*****************************


ภายในกระโจมที่พักของเบลซ เซจ นั้นเงียบสงัด แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่กลับดูมืดทึม มีเพียงแสงสลัว ๆ ที่กระพริบริบหรี่อยู่ในตะเกียงน้ำมันที่ใกล้ดับเพียงดวงเดียวเท่านั้น ควันจาง ๆ จากกระถางเครื่องหอมลอยเอื่อย ๆ อยู่รอบ ๆ ห้อง กลิ่นควันนั้นหอมเครื่องเทศออกฉุนเล็กน้อยผสมกับกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ คล้ายกับกลิ่นคาวเลือดปีศาจที่เหล่าจอมเวทย์สายมนต์ดำชอบใช้
ที่กลางห้องนั้นเอง เบลซ เซจ อุปราชเฒ่ากำลังเพ่งจิตเพื่อพัฒนาวิชาสายมนต์ดำของตนอยู่ ร่างกายของเขานิ่งไม่ไหวติงใด ๆ อยู่ ณ ใจกลางวงเวทย์อาคมที่ถูกวาดเอาไว้ด้วยเลือดมนุษย์ผสมกับเลือดปีศาจ มือและเท้าทั้งสองข้างมีอักษรโบราณที่เขียนด้วยเลือดปีศาจด้วย

เบลซ เซจ นั่งนิ่งดวงตาปิดสนิท ทว่าเขากลับมองเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ที่ไกล ๆ เบื้องหน้า เขาพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แค่เพียงเขาคิดจะขยับเข้าไปใกล้ ตัวของเขาก็เหมือนพุ่งเข้าไปหาแสงสว่างนั้นทันที แสงนั้นทำให้ตาเขาพร่า เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ในที่ที่สว่างสุกใส เขาไม่เคยเห็นที่แบบนี้มาก่อน เขารอจนกระทั่งสายตาของเขาชินกับแสงสว่างนั้นแล้วจึงเริ่มมองไปรอบ ๆ

“สถานที่นี่ช่างแปลกจริง” เบลซ เซจ ก้มลงมองใต้เท้าแต่ก็มองไม่เห็นพื้น มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น เหมือนเขาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง เบลซ เซจ มองเห็นประกายแสงสว่างเจิดจ้าระยิบระยับอยู่สูงขึ้นไปเหนือเขา ความสว่างนั้นคล้ายกับแสงสว่างที่เขาเคยเห็นมาก่อนใช่แล้ว...ที่เหนือเมืองวอลเนีย ก่อนที่กองทัพปีศาจทั้งกองของเขาจะหายไป แต่แสงสว่างกว้างและเจิดจ้ากว่าหลายเท่านัก เขาอยากรู้เหลือเกินว่าที่มาแห่งแสงนี้คืออะไร แต่เพียงแค่คิดตัวเขาก็เหมือนจะลอยขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติทันที

“มนุษย์ผู้มีบาปอย่างเจ้าไม่สามารถล่วงล้ำไปมากกว่านี้” เสียงกังวานทรงอำนาจและเด็ดขาดดังออกมาจากใจกลางแห่งแสงนั้น

“เจ้าเป็นใครกัน?!” เบลซ เซจ ถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น พยายามหรี่ตามองที่มาแห่งเสียงอันทรงอำนาจนั้น เขามองเห็นแต่เพียงเงาราง ๆ ว่ามีปีกขนาดใหญ่มหึมา 6 ปีกกางแผ่เป็นวงภายในแสงนั้นจนตัวเขาดูเล็กกระจ้อยร่อยเหมือนมดปลวก ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกกริ่งเกรงจนต้องซบหน้าลงกับมือ

“เราคือ เจนนิเฟอร์ (Jennifer, The Immaculacy of Heaven) จิตบริสุทธิ์ ผู้ได้ชื่อว่าความบริสุทธิ์แห่งสวรรค์ หนึ่งในหลักสวรรค์ทั้งห้า”

เบลซ เซจ ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อน ตัวสั่นเทาเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้

“เจ้ามาถึงที่นี่ด้วยอวิชาต้องห้าม จงหยุดเสียก่อนที่มันจะกลืนกินเจ้า จงกลับไปยังที่ ๆ เจ้าจากมาเดี๋ยวนี้”

ทันใดนั้น เบลซ เซจก็รู้สึกว่าตนเองร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว เขาร้องด้วยความหวาดกลัวคิดว่าจะตกลงกระแทกพื้นเบื้องล่างในอีกไม่กี่อึดใจเบื้องหน้า ทว่าเพียงแค่คิดจิตของเขาก็หยุดอยู่กับที่ เขาลอยอยู่กลางอากาศที่ไหนสักแห่ง ใต้ฝ่าเท้าของเขายังคงไม่มีพื้นรองรับอยู่เช่นเคย เขามองไปรอบ ๆ แล้วจู่ ๆ เขาก็เห็นนางฟ้าองค์หนึ่งปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา ผมสีน้ำตาลเข้มของนางเหยียดตรงยาวสยายจนเกือบจะถึงข้อเท้าปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างนั้นใหญ่จนห่อตัวนางได้มิด มีเคียวคมกริบอยู่ในมือซ้าย ใบหน้างามนั้นดูเศร้าสร้อยและทุกข์ระทม นางมองมายังเขาและชี้นิ้วลงเบื้องล่าง ทันทีที่เขามองตามมือนั้น เขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเวลานี้เขาไม่ได้ยืนอยู่บนความว่างเปล่าแล้ว แต่เขากำลังยืนอยู่บนผิวน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล มันทั้งลึกและไกลสุดลูกหูลูกตา

“นี่มันอะไรกัน? แล้วท่านเป็นใคร?” เบลซ เซจ รู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเขากำลังเห็นอะไรกันแน่

“นี่คือน้ำตาของผู้ที่อยู่ในสงครามและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เราคือนางฟ้าแห่งน้ำตาจากสงคราม (Angel of War’s Tear) เรามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าจงหยุดการกระทำของเจ้าเสีย น้ำตาของผู้คนที่ทุกข์ทรมานจากสงครามกำลังร้องหาความเป็นธรรมจากพระเจ้า เจ้าผู้มีส่วนเป็นผู้ก่อความทุกข์ระทมใหญ่หลวง จงหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

เบลซ เซจ รู้สึกระคายหูและไม่อยากจะได้ยินคำตำหนิติเตียนที่ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ จึงรีบเบือนหน้าหนี พลางยกมือยกไม้ปัดป้องเป็นพัลวัน แต่ในจังหวะนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อเขา เสียงเรียกดังแผ่วจนต้องเงี่ยหูฟังให้ดี

เบลซ เซจ รู้สึกว่าหลังของเขาเย็นวาบและขนอ่อนที่คอลุกซู่ เมื่อเสียงนั้นดังอยู่ที่ข้าง ๆ หูของเขานี่เอง เบลซ เซจผงะถอยออกจากที่ ๆ ตนยืนอยู่อย่างตื่นตระหนก เขามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า นางฟ้าเมื่อสักครู่หายไปแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดสลัวลงแต่ก็ไม่ถึงกับมองอะไรไม่เห็น เพียงครู่เดียวเขาก็สังเกตเห็นว่ามีปลายสุดขอบอีกฟากหนึ่งมีแสงกระพริบริบหรี่อยู่ ทว่ามันต่างจากแสงที่เขาเห็นครั้งแรก เมื่อครั้งแรกนั้นแสงที่เขาเห็นมันดูเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ แต่แสงที่เขาเห็นคราวนี้มันดูเหมือนเปลวไฟ คงมีใครสักคนก่อไฟที่บริเวณนั้นเพราะบรรยากาศโดยรอบมืดสลัวและหนาวเย็น เบลซ เซจได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาแน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางที่มีกองไฟก่ออยู่ เขาค่อย ๆ ตรงเข้าไปหาเปลวไฟนั้น ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าจะสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน และเสียงเรียกชื่อของเขาก็ดังถี่และใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย จนเมื่อมาถึงกองไฟนั้นก็เห็นว่ามันเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนกินเขาได้จนมิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:08 pm

“เจ้าคือผู้ที่เรียกหาข้าด้วยจิตที่แรงกล้าเหลือเกิน” เสียงใครคนหนึ่งดังออกมาจากเปลวเพลิงนั้น

“ข้ารึเรียกหาเจ้า? เจ้าเป็นใครกัน?” เบลซ เซจ เพ่งมองผ่านเปลวไฟแดงฉานที่เต้นเร่าคล้ายกับนกไปที่กำลังเริงระบำ

“อ้า ยิ่งเจ้าอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ ข้าก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่เอ่อล้น เจ้าช่างเหมือนอัญมณีล้ำค่าที่รอการเจียระไนเสียงจากเปลวเพลิงดังขึ้นอีก

เบลซ เซจ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่า รู้สึกหัวใจพองโตจนคับอก มันช่างแตกต่างจากคำพูดที่เขาได้ยินจากนางฟ้าและหลักสวรรค์เมื่อสักครู่เหลือเกิน

“เจ้าเป็นใครกัน?” เบลซ เซจ ถามอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้ม “ออกมาจากเพลิงนี้ ออกมาให้ข้ามองเห็นเจ้าชัด ๆ “ น่าแปลกที่ เบลซ เซจไม่ได้เอะใจเลยว่าจะมีใครเล่าที่สามารถอยู่ในเปลวเพลิงเช่นนี้ได้

“เจ้าอยากเห็นข้ารึ? อย่าเลย เพราะเจ้าจะวิ่งหนีข้าด้วยความกลัวอย่างมนุษย์ที่อ่อนแอ หึ หึ” เสียงจากเปลวไฟหัวเราะในลำคอคล้ายจะเย้ยความอ่อนแอของมนุษย์

“บังอาจ คนอย่างข้าไม่เคยวิ่งหนีใคร” เบลซ เซจ ทำปากกล้ากล่าวด้วยความขึงขังเพราะถูกกล่าวเย้ย

“หึ หึ หึ” มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงนั้น ก่อนที่เปลวไฟจะแหวกออกคล้ายมีลมพัดออกมาจากใจกลางกองเพลิงนั้น เสียงไฟพัดเปลี่ยนทิศทางอย่างแรงคล้ายกับเสียงพายุพัดแรงกล้าเหนือยอดผา ฉับพลันนั้นเองมือที่มีกงเล็บแหลมถึงสี่มือก็พุ่งออกมาจากเปลวเพลิง และแหวกเปลวเพลิงให้แยกออกจากกันเผยให้เห็นปีศาจร่างยักษ์มีเขาโง้งยาวเป็นวงเดือน ท้องของมันเปิดอ้าคล้ายปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมและเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ภายใน หางยาวและปีกอย่างค้างคาวทั้งสองข้างของมันโบกสะบัด ยิ่งโหมเปลวไฟให้แรงกล้าขึ้น

ทันทีที่ เบลซ เซจเห็นร่างปีศาจก็ผงะถอย เข่าอ่อน หงายหลังลงนั่ง พยายามตะเกียกตะกายถอยหนีด้วยความกลัว“ปี ...ปีศาจ” เบลซ เซจ กล่าวอย่างลนลาน

“กลัวรึ? เจ้ากลัวอะไร? สิ่งที่เจ้าเห็นมันก็เป็นเพียงแต่รูปร่างภายนอกเท่านั้น” เสียงใครอีกคนดังมาจากเงามืดทางเบื้องหลัง เบลซ เซจ รีบผงะถอยไปอีกทางด้วยความตกใจ

และแล้วที่ทางเบื้องหลังนั้นก็มีเงามืดสีดำขนาดใหญ่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างปีศาจยักษ์ที่มีปากและเขี้ยวขนาดใหญ่ที่งอกยาวจากกรามด้านล่างจนเกือบถึงดวงตาสีแดงฉาน ใบหูแหลมขนาดใหญ่มีขนขึ้นดูรุงรัง หลังของมันมีขนหยาบยาวหนา มือทั้งสองข้างใหญ่โตและดูทรงพลังมากเสียจน เบลซ เซจ ซบหน้าลงกับพื้นและขดตัวด้วยความกลัวจนตัวสั่น

“ลุกขึ้นมาสิ เบลซ เซจ อย่ากลัวผู้ที่มาเพื่อช่วยให้ความหวังของเจ้าเป็นจริงสิ” เสียงปีศาจตัวแรกกล่าวขึ้น

“แต่พวกเจ้าเป็นปีศาจไม่ใช่รึ?” เบลซ เซจเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแต่ยังไม่กล้ามองสบตา

“ปีศาจแล้วเป็นอย่างไร? พวกข้ามีฤทธิ์อำนาจบันดาลทุกสิ่งให้เจ้าได้” ปีศาจตัวที่สองพูดขึ้นบ้าง “เจ้าคิดว่าทำไมพวกเราถึงมีร่างกายน่ากลัวเช่นนี้? เพราะพวกเราโดนกลั่นแกล้งยังไงล่ะ พระเจ้าอิจฉาเรา ที่เราช่วยเหลือมนุษย์จนมนุษย์รักเรามากกว่าพระเจ้า จึงให้พวกทูตสวรรค์ทำร้ายและขับไล่เรา และบอกพวกมนุษย์ว่าเราชั่วช้า ทั้งที่พวกเราอยู่ข้างมนุษย์และมีแต่ช่วยให้มนุษย์สมหวัง”

“เจ้าพูดจริงรึ?” เบลซ เซจ รู้สึกเชื่อแทบจะสนิทใจในทันที “เจ้า...”

“นามของข้าคือ ฟอลแลคเซีย (Pecca Fallacia, The Sin of Deception)” ปีศาจแสยะยิ้ม “และแน่นอนที่สุดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น พวกข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน? เจ้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย เจ้ามองไม่เห็นรึว่าใครกันแน่ที่อยู่ฝ่ายเจ้า พร้อมที่จะทำตามที่เจ้าปรารถนา แล้วใครกันที่ห้ามเจ้าและไม่อยากทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง”

เบลซ เซจ ซึมซับคำพูดของปีศาจอย่างรวดเร็ว ใช่ก็เพิ่งจะเมื่อกี้มิใช่รึที่เขาโดนหลักสวรรค์เจนนิเฟอร์นั่นขับไล่ และยังนางฟ้าแห่งน้ำตาสงครามนั่นอีก ที่พูดเหมือนจะกล่าวโทษว่าเขาผิดและชั่วช้าเสียเต็มประดา

“ใช่แล้ว เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน ความจริงแล้วเจ้าน่าจะเป็นกษัตริย์ของซาโลมมากกว่า กษัตริย์ที่ใช้แต่กำลังทว่าไม่รู้จักคิดวางแผนการรบอย่างนั้น ซาดินจะไปใช้การอะไรได้ มันรังแต่จะทำให้รัศมีอันเจิดจรัสของเจ้าต้องมัวหมอง มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าเจ้าได้เป็นกษัตริย์แทนซาดิน และได้ครอบครองทั้งทวีปเมอริเซียนี้”

“แต่ว่า.....” เบลซ เซจคิดถึงคำพูดของเหล่านางฟ้า ที่ดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นมีอำนาจพิเศษในการปลุกมโนธรรมของเขาขึ้นมา ความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่ตนได้ทำไปนั้นยังคงเจือจางในส่วนลึกของจิตใจ

“เจ้าไปสนใจทำไมกับคนอื่น ถ้าเจ้าเลิกล้มและหันหลังกลับตอนนี้ พวกมันก็ร่าเริงหายทุกข์ ส่วนเจ้าจะได้อะไรล่ะ กลับไปเป็นนักเวทย์นอกคอกให้ชาวบ้านขับไล่รังเกียจเหมือนแต่ก่อนหรือ?”

เบลซ เซจรู้สึกได้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นดูราวจะหยั่งรู้ความคิดและจิตใจของเขา แม้เขาจะไม่ได้พูดมันออกมา และมันช่างเหมือนกับเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ตรงที่มันช่างมีพลังในการโน้มใจเขามากเหลือเกิน แต่กับฝ่ายที่พูดสนองกิเลสตัณหาเช่นนี้ จิตของเขาเพลิดเพลินไปกับมันมากกว่าหลายเท่านัก

“แล้วซาดินล่ะ ไหนจะพวกที่จงรักภักดี...” เบลซ เซจ อดแสดงความวิตกออกมาไม่ได้

“ก็ช่างหัวมันปะไร! เวลาที่พวกมันได้ดี เจ้ามันก็เป็นได้แค่ขี้ข้า เวลาเจ้าตกต่ำมีพวกมันสักตัวมาเหลียวแลเจ้ารึ?” ปีศาจตนแรกร้องก้อง

เพียงได้ยินเสียงนั้น ใจของเบลซ เซจ ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นทันที อุปราชเฒ่าหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ ใช่แล้ว นี่แหละสิ่งที่เขาอยากได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมานั้นถูกต้องแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรมสำหรับเขา ไม่ใช่ของพวกเทวดาหน้าโง่ หรือของพวกมนุษย์ขยะหน้าไหนทั้งนั้น แต่เป็นของเขา ของเขาคนเดียวเท่านั้น

เบลซ เซจ มัวแต่จมอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าปีศาจทั้งสองแสยะยิ้มให้กันอยู่

“เจ้าบอก...เจ้าบอกว่าจะช่วยข้าใช่มั้ย?” เบลซ เซจ ลนลานถามด้วยความตื่นเต้นและลิงโลด

“ใช่...แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย...นิดหน่อยเท่านั้นเอง” ปีศาจตัวแรกพูดเสียงเบาและแหบต่ำ

“ข้อแลกเปลี่ยนงั้นรึ?” เบลซ เซจขมวดคิ้วมองอย่างระแวง

“แค่เจ้านมัสการและกราบไหว้ข้าเท่านั้น และเจ้าก็จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาในนามของข้า” ปีศาจตัวเดิมพูด

“ในนามของเจ้า?!”

“นามของข้า คือ อวารูเซจ (Pecca Avarusage, The Sin of Selfishness)”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:10 pm

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ มวลอากาศรอบ ๆ ตัวก็เริ่มบิดเบี้ยวทั้งปีศาจฟอลแลคเซียและอวารูเซจก็ดูจะรูปร่างบิดเบี้ยวผิดไปจากเดิม คำพูดของปีศาจกลายเป็นเสียงประหลาดเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวยานคางจนฟังไม่รู้เรื่อง แล้วจู่ ๆ ร่างของเขาก็บิดเป็นเกลียวหมุนคว้าง คล้ายถูกดูดผ่านช่องอากาศที่เล็กแคบและแสนจะอึดอัดทรมาน จนเมื่อเขารู้สึกว่าไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป จึงพยายามลืมตาขึ้นและสูดหายใจจนสุดแรง ในทันทีนั้น เขารู้สึกว่าตนหายใจได้อีกครั้งและไม่รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว เขาลืมตาขึ้นมองรอบ ๆ และพบว่าตนนั้นนั่งอยู่ภายในกระโจมที่พักของเขาเอง

“เจ้าทำอะไรของเจ้า!” เบลซ เซจตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธเมื่อเห็นแบล็ค ไวเซอร์ ยืนอยู่ข้างกระถางเครื่องหอม เขารู้ทันทีว่า แบล็ค ไวเซอร์เรียกเขากลับมานั่นเอง

“เจ้าไปที่นั่นนานเกินไปแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

“เกินไปอะไรกัน!?” ข้าเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิเข้าญาณแค่ไม่ถึงสองชั่วยาม” เบลซ เซจ กล่าวอย่างเดือดดาล ทำให้แบล็ค ไวเซอร์ต้องส่ายหน้ามองด้วยดวงตาหรี่แคบ

“เจ้านั่งนิ่งอยู่เช่นนี้โดยไม่กินไม่ดื่มมาสามวันแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวเสียงแหบแห้ง

“สามวันงั้นเหรอ !! เป็นไปได้ยังไงกัน ข้าอยู่ที่นั่นไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วยาม...”

“เจ้าไปเจออะไรที่นั่นรึ?” แบล็ค ไวเซอร์ถามด้วยความสนใจ

“ข้าไป....” เบลซ เซจ พูดเพียงเท่านั้นเพราะลังเลว่าจะเล่าให้แบล็ค ไวเซอร์ฟังดีหรือไม่ ถ้าเกิดแบล็ค ไวเซอร์แอบไปพบปีศาจอวารูเซจก่อน แล้วเจ้าปีศาจหันไปช่วยแบล็ค ไวเซอร์แทนที่จะช่วยเขา คงไม่ดีแน่ เบลซ เซจ คิดดังนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “นี่เจ้ามีธุระอะไรกันถึงได้เรียกข้ากลับมา?”

แบล็ค ไวเซอร์ หรี่ตาแคบลงแม้สีหน้าจะยังคงนิ่งเฉย “กษัตริย์ซาดินเรียกหาเจ้าคงอยากจะให้เจ้าออกความเห็นเรื่องการรบ” แบล็ค ไวเซอร์ทำหน้าพยักพเยิดไปทางทิศตะวันตกที่ซึ่งเป็นที่ตั้งกระโจมของกษัตริย์ซาดิน

“ไอ้เจ้าโง่นั่น!” จู่ ๆ ความโกรธของเบลซ เซจ ก็พุ่งพล่าน ลุกขึ้นเตะกระถางเครื่องหอมอยางแรงจนลอยละลิ่วออกไปนอกกระโจม “เวลาข้าบอกให้มันทำอะไรก็ไม่ทำ ทีเวลาเช่นนี้จะมาขอความเห็นจากข้า ที่เราพ่ายแพ้ในเวลานี้ ก็ไม่ใช่เพราะมันรึงัย!?” เบลซ เซจ กล่าวอย่างเดือดดาล คำพูดของปีศาจอวารูเซจดังก้องอยู่ในหัวอุปราชเฒ่าอีกครั้ง ‘เจ้าน่าจะเป็นกษัตริย์ของซาโลมมากกว่า’ ใช่แล้ว...ข้าเหมาะสมมากกว่าเจ้ากษัตริย์งี่เง่านั่นเป็นไหน ๆ จิตใจของเบลซ เซจจมอยู่กับคำพูดเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนต้องมนต์

“เบลซ เซจ!?” แบล็ค ไวเซอร์ เรียกด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าอุปราชเฒ่านิ่งเงียบไปนาน

ทันทีที่ เบลซ เซจได้สติอีกครั้ง อุปราชเฒ่าก็ขบกรามแน่น ก้มลงหยิบเสื้อคลุมก่อนจะสาวเท้าออกไปจากกระโจม โดยมีสายตาหรี่แคบของแบล็ค ไวเซอร์ซึ่งมองพฤติกรรมที่แปลกไปของ เบลซ เซจด้วยความระแวงสงสัย


************************


ภายในห้องทรงงานของเจ้าหญิงอลาน่า เจ้าหญิงทรงกำลังอ่านรายงานเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นด้วยพระพักตร์เคร่งเครียด วันพรุ่งนี้จะมีการเปิดประชุมทั้งสามสภาเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลืออาณาจักรฟีเลเซียและฟูดินันตามที่ผู้นำฟูดินันร้องขอ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากแก่การตัดสินใจเหลือเกินสำหรับพระองค์

เสียงขานชื่อผู้มาขอเข้าเฝ้าดังขึ้นจากนายทหารต้นห้องทำให้เจ้าหญิงทรงเงยพระพักตร์ที่ยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้นกว่าเดิมและทอดพระเนตรผู้ที่กำลังเดินเข้ามา

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์ค้อมศีรษะคำนับอย่างหนักแน่น

“ตามสบายเถอะจ้ะ อองเดร” เจ้าหญิงตรัส

“กระหม่อม...”

“ฉันรู้จ้ะ ว่าเธอจะพูดอะไร เธอจะเข้ามาพูดเรื่องที่เธอพูดกับฉันทุกวันตั้งแต่การต่อสู้ที่ท่าเรือนั่น” เจ้าหญิงตรัสอย่างอ่อนพระทัย

“พ่ะย่ะค่ะ แต่พระองค์ก็ยังไม่มีรับสั่งเนรเทศผู้นำเผ่าฟูดินันและพวกพ้องออกไปจากเมืองท่า”

“และฉันก็บอกเธอทุกวันไม่ใช่หรือจ๊ะ ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้” เจ้าหญิงทรงถอนพระทัย

“พระองค์ทรงทำได้ พระองค์มีอำนาจเหนือใคร ๆ ในเมืองท่าแห่งนี้ ขอเพียงพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวกระหม่อมจะจัดการให้ในทันที” อองเดรทูลเสียงเฉียบ

“เธอไม่เข้าใจ อองเดร พวกเขากำลังเดือดร้อนอย่างหนักและต้องการความช่วยเหลือจากเราอย่างยิ่ง เช่นนี้แล้วเธอจะให้ฉันไล่พวกเขาไปโดยที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ เลยได้อย่างไร?” เจ้าหญิงอลาน่าทรงส่ายพระพักตร์ช้า ๆ

“พวกเขามีแต่สร้างความลำบากและยุ่งยากให้กับพระองค์ ทำไมพระองค์จะต้องทรงสนพระทัยคอยให้ความช่วยเหลือพวกชอบสร้างความรำคาญพวกนี้ด้วย? ทุกวันนี้พระองค์ก็ทรงมีภาระมากเกินพอแล้ว” อองเดรกล่าวทูลอย่างเย็นชา

“ทำไมหนอ อองเดร? จิตใจของเธอถึงได้เย็นชานัก” เจ้าหญิงทรงตัดพ้อด้วยไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนจิตใจของราชองครักษ์ผู้น่าสงสารผู้นี้ได้อย่างไร

“น้ำเป็นน้ำแข็งด้วยความเยือกเย็น เมื่อความเยือกเย็นทำให้น้ำที่อ่อนเหลวแกร่งแข็งขึ้น มันก็ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน” อองเดรทูลเสียงเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น

เจ้าหญิงทรงได้ฟังดังนั้นก็ทรงส่ายพระพักตร์ช้า ๆ ด้วยความเศร้าพระทัย “ผิดแล้วจ๊ะอองเดร น้ำเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่มนุษย์ผู้ที่เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้านั้นมีชีวิตและจิตใจ เธอจะเอามาตรฐานนั้นมาใช้กับจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไรกัน? มันรังแต่จะก่อให้เกิดความเย็นชา ความเฉยเมย และการละเลยไม่ใส่ใจต่อความดีงามทั้งปวง”

เมื่ออองเดรยังคงนิ่งเงียบ แต่เจ้งหญิงก็ทรงทราบว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพระองค์ เจ้าหญิงจึงทรงถอนพระทัยเมื่อทรงเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของราชองครักษ์ได้ พระองค์จะต้องทรงทำอย่างไรหนอจึงจะเปลี่ยนแปลงใจน้ำแข็งของเขาให้อบอุ่นและอ่อนโยนลงได้บ้าง

“เอาเถิดจ้ะ อองเดร สักวันเธอคงจะเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าและของฉันมากขึ้น เวลานี้ฉันขออยู่ตามลำพังสักพักหน่อยเถอะ ฉันอยากจะเตรียมตัวเพื่อการประชุมสามสภา”

ราชองครักษ์อองเดร ยืนรีรออยู่ครู่หนึ่ง คล้ายจะยังไม่อยากจะยอมรับการตัดบทของเจ้าหญิง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทรงก้มพระพักตร์ง่วนอยู่กับหนังสือบนโต๊ะและไม่ได้ให้ความสนพระทัยใด ๆ กับเขาอีก อองเดรจึงทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป

เมื่ออองเดรเดินจากไปแล้วเจ้าหญิงจึงทรงถอนพระทัยด้วยความเหนื่อยอ่อน ภาระหน้าที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หนทางของพระองค์กลับถูกบีบให้เล็กลงทุกที เจ้าหญิงทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองเบื้องบนคล้ายจะมองให้ทะลุไปถึงสรวงสวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:11 pm

“พระเจ้าข้าเพื่อให้ลูกได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ โปรดเปิดหนทางใหม่ให้กับลูกโดยเร็วเถิด”


********************************



ฮารีซันได้นั่งพักเป็นครั้งแรกของวันนี้ หลังจากที่ได้ช่วยเหล่าผู้อพยพสร้างโรงเรือนที่พักหลังใหม่เสร็จ เขารับถ้วยเครื่องดื่มร้อน ๆ จากเต็นท์แจกอาหาร ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งพิงผนังของอาคารหลังใหม่ที่จวนเจียนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว การอยู่ตามลำพังเช่นนี้ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น เขาก้มลงมองเงาสะท้อนของตนเองที่ปรากฏบนผิวเครื่องดื่มร้อนในมือ พลางหวนคิดถึงการดื่มน้ำชาแบบส่วนตัวระหว่างตน ทราเฮิร์น เจ้าหญิงอลาน่า และ ซิสเตอร์โรซาน่า หลังจากวันที่มีการเลี้ยงรับรองพวกเขา เจ้าหญิงมีเรื่องไต่ถามมากมาย และมีเรื่องมากมายที่เจ้าหญิงพูด ซึ่งทำให้เขาต้องนำมาขบคิดตลอดหลายวันที่ผ่านมาทีเดียว เมื่อเจ้าหญิงเริ่มคำถามของพระองค์...

“เธอรู้สึกอย่างไรกับกษัตริย์ซิกมันด์จ๊ะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามขึ้นก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าฮารีซันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ฉันถามเพราะพอจะได้ยินกิตติศัพท์ด้านอุปนิสัยใจคอของเขามาบ้างน่ะจ๊ะ เธอที่มีอุปนิสัยตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิงคงจะเข้ากันได้ยากอยู่สักหน่อย”

ฮารีซันหลบตาลงตริตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ “เจ้าหญิงพูดได้ถูกต้อง แรกทีเดียวข้าก็รู้สึกโกรธและไม่ชอบใจเขาสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กของเขามาบ้าง มันก็ทำให้ข้ารู้สึกกับเขาดีขึ้นและเริ่มรู้สึกเห็นใจเขามากกว่า แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้สึกยอมรับนับถือเขาอย่างจริงใจ นั่นก็คือความเป็นผู้นำของเขา เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องดูแลอาณาจักรที่ใหญ่โตขนาดนั้นเพียงลำพังตั้งแต่อายุพียงสิบหกปี จริงอยู่...แม้ข้าเองจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าในวัยไล่เลี่ยกับเขา แต่ก็ช่างเทียบกันไม่ได้เลยกับการเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัวใหญ่เสียมากกว่า เผ่าของข้ายังเล็กกว่าเมือง ๆ หนึ่งในอาณาจักรฟีเลเซียด้วยซ้ำ ซ้ำข้าก็ยังมีท่านปู่คอยให้คำแนะนำชี้แนะช่วยเหลือตลอดเวลา ทว่ากษัตริย์ซิกมันด์ไม่มีใครเลย แต่เขากลับสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ นั่นคือสิ่งที่ข้ายอบรับนับถือในความสามารถของเขา”

เจ้าหญิงอลาน่า ทราเฮิร์น และ ซิสเตอร์โรซาน่าต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“ใช่จ๊ะ เขาปรีชาสามารถมากในเรื่องการปกครอง คงเพราะการปลูกฝังอย่างเข้มงวดของชาวฟีเลเซีย จะว่าไปมันก็ยาวนานมากตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา”

เมื่อทรงสังเกตเห็นว่าแขกต่างแดนทั้งสองดูจะมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เจ้าหญิงจึงตรัสเสริมขึ้นว่า

“พวกท่านทราบหรือไม่ว่าอาณาจักรฟีเลเซียและอาณาจักรแอนดิซองนั่นมีบรรพบุรุษเดียวกัน” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสเมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่าชาวป่าทั้งสองอาจจะไม่รู้ประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ

“เป็นไปได้หรือ? ลักษณะอุปนิสัยใจคอของทั้งสองอาณาจักรนั้นแตกต่างกันจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เหมือนกันเลยสักนิด” เซนทอร์ทราเฮิร์นอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“ข้าเองก็สังเกตว่าชาวแอนดิซองยอมรับความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์มากกว่าชาวฟีเลเซียเสียอีก ข้ายังจำได้ดีถึงบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างแอนดิซองและฟีเลเซียเมื่อเห็นกองทัพของพวกเรา ทุกคนที่นี่ดูจะยอมรับความหลากหลายของพวกเรา ไม่ได้แสดงความรังเกียจใด ๆ ” ฮารีซันตั้งข้อสังเกต

“ข้าได้ยินมาว่ามีตระกูลหนึ่งที่บรรพบุรุษแต่งงานกับเงือกด้วย” ทราเฮิร์นกล่าวตามที่ได้ยินมา

เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้ม “การที่พวกเรายอมรับความแตกต่างมากกว่าชาวฟีเลเซีย นอกจากเหตุผลที่เราติดต่อทำการค้ากับผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติแล้ว มันยังมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย ในพงศวดารบันทึกว่าเมื่อหลายพันปีก่อนบรรพบุรุษของฟีเลเซีย ซึ่งในครั้งนั้นคือเจ้าชายหนุ่มนาม แมคซิมิเลียน(Prince Maximilian) ได้เดินทางไปถึงดินแดนฟีเลเซียใหม่ ๆ และตั้งใจว่าจะตั้งรกรากที่นั่น แต่ปรากฏว่านอกจากจะมีชนเผ่าต่างๆ และคนเถื่อนที่โหดร้าย ยังมีสิงสาราสัตว์ และอสูรร้ายจำนวนไม่น้อย ในขณะที่เจ้าชายกำลังลังเลว่า สมควรที่จะตั้งรกรากใหม่ที่นี่ดี หรือจะแสวงหาดินแดนที่ดีกว่านี้ ในเวลานั้น นักบวชประจำตระกูลนาม อินโนเซนต์ (Priest Innocent) ก็ได้รับนิมิตจากนางฟ้าแห่งดาบนามว่าฟรานเชสก้า (Francessca, the Angel of swords) ท่านแจ้งว่าพระเจ้าได้ทรงส่งท่านมาเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนฟีเลเซีย นางฟ้าฟรานเชสก้า ได้นำพระพรหนึ่งลงมาด้วย นั่นคือ การให้ดินแดนนี้กับลูกหลานของเจ้าชายสืบไป แต่ทว่า พระองค์ต้องรักษาคำมั่นสัญญาในการรักษาความศรัทธา และความซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และยึดถือธรรมบัญญัติของพระองค์ตลอดไป

ดังนั้นแม้จะมีศัตรูอยู่รอบด้าน แต่พระเจ้าจะอวยพรและช่วยปกปักษ์รักษาให้ชนชาติฟีเลเซียได้รับชัยชนะทุกครั้ง บรรพกษัตริย์แมคซิมิเลียนก็น้อมรับพันธสัญญานั่นไว้อย่างเคร่งครัด พระองค์ออกต่อสู้ทั้งสัตว์ร้าย และชนเผ่าต่าง ๆ ที่รุกราน และรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่น รวมทั้งออกปราบสัตว์ร้าย สัตว์ประหลาด และมังกร นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนส่งเสริมและปลูกฝังในการสอนหลักปรัชญาแห่งชนชาติที่พระเจ้าเลือก ชนชาติที่เป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า ดุจสายลมที่สูงส่ง ทั้งนี้พระองค์อาจจะคิดว่าหากผิดคำมั่นสัญญาที่นางฟ้าแห่งดาบให้ไว้ ชาวฟีเลเซียทั้งหมดจะพินาศไปและต้องออกจากดินแดนที่พระเจ้าประทานให้นี้ ดังนั้นเมื่อรุ่นต่อรุ่นผ่านไป สิ่งเหล่านี้เริ่มปลูกฝังเป็นเหมือนหลักศีลธรรมและคุณธรรมที่ชาวฟีเลเซียต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นนิสัยและวิถีชีวิตของพวกเขา

ทว่าเจ้าชาย อเล็กซานเดอร์ (Prince Alexander) ผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยเช่นนั้น พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบกับวิถีทางเช่นนี้ พระองค์เชื่อว่า พระเจ้าจะมีวิถีทางอื่นให้เราได้หากเราร้องขอ ทั้งสองพระองค์จึงมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น กษัตริย์แมคซิมิเลียนผู้ซึ่งเป็นทั้งอัศวินและเป็นนักรบผู้บุกเบิกเกรงว่า หากไม่ถือตามกฎอย่างเคร่งครัด นางฟ้าแห่งดาบจะไม่อวยพรประเทศชาติของพระองค์และต้องออกจากดินแดนฟีเลเซียไป ในขณะที่เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ก็เชื่อว่าคำมั่นสัญญานั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ทรงเข้าใจ เมื่อความเห็นขัดแย้งและไม่ลงรอยกันมากขึ้น เจ้าชายอเล็กซานเดอร์จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกออกเดินทางอีกครั้ง

ที่สุดจึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงแอนดิซองแห่งนี้ ซึ่งพระองค์ก็ได้พบว่าดินแดนแห่งนี้เองก็มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน และชนพื้นเมืองที่นี่ก็กราบไหว้บูชามังกรดำเทียแมต (Tiamat, the Black dragon) และส่งเครื่องบูชายัญสังเวยมนุษย์ให้เจ้ามังกรดำนี้ทุกปีเพื่อไม่ให้มันออกอาละวาด ในเวลานั้นชาวพื้นเมืองคิดว่าคณะของเจ้าชายที่มาตั้งค่ายที่ชายฝั่งจะมารุกราน และกำลังจะทำสงครามกัน เจ้าชายได้ทรงส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมากผูกมิตรกับชาวพื้นเมือง และส่งทูตสันถวไมตรีไปเจรจา นอกจากสงครามจะไม่เกิดขึ้นยังได้เป็นมิตรกัน และจึงได้ทราบความทุกข์ร้อนของชาวพื้นเมืองที่นี่ เจ้าชายจึงทรงยกทัพออกไปปราบจ้าวมังกรดำเทียแมตจนสำเร็จ ซึ่งผลจากการต่อสู้กับเทียแมตก็ทำให้ดินแดนแอนดิซองกลายเป็นน้ำแข็งไปครึ่งดินแดน และหัวหน้าชาวพื้นเมืองได้ยกธิดาของตนให้แต่งงานกับเจ้าชาย ทำให้เจ้าชายได้มีสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ในการปกครองดินแดนแห่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 47 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 4:13 pm

ก่อนคืนอภิเษก เจ้าชายเองได้รับนิมิตในความฝัน อมรา นางฟ้าแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ (Amara, the Angel of Cups) ลงมาจากสวรรค์ และนำพระพรที่พระองค์แสวงหามานาน นั่นคือ การเป็นดังถ้วยที่ได้รองรับพระพรต่าง ๆ จากสวรรค์ นางฟ้าแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ว่า พระเจ้าจะอวยพรดินแดนของพระองค์ให้สุขสมบูรณ์และมั่งคั่ง แม้ทรัพยากรธรรมชาติจะถูกทำลายไปครึ่งประเทศด้วยความหนาวเย็น แต่ความอุดมสมบูรณ์จากทุกที่ทุกแห่งจะหลั่งไหลมาที่นี่ ดุจดั่งน้ำหลายสายที่หลั่งไหลสู่จอกใบเดียว โดยที่เจ้าชายและลูกหลานจะต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์จึงได้รับพันธสัญญาใหม่ที่แตกต่างจากพระเชษฐาของพระองค์ หลังจากทรงอภิเษกสมรส พระองค์จึงได้สถาปนาแอนดิซองขึ้นเป็นอาณาจักรและราชาภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งแอนดิซอง พวกเราชาวแอนดิซองจึงมีปรัชญาที่สอนว่า มนุษย์นั้นเป็นเหมือนภาชนะที่รองรับพระพรต่าง ๆ จากพระเจ้า ซึ่งสามารถแจกจ่าย และทำให้สิ่งดีงามหลั่งไหลผ่านความดีและการกระทำดีของเราได้ ซึ่งต่างกับชาวฟีเลเซียที่กล้าหาญที่อาจเปรียบตนเองเป็นดั่งดาบอันศักดิ์สิทธิ์ที่ต่อสู้ความชั่วร้ายและผดุงคุณธรรม

เมื่อข่าวของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ไปถึงกษัตริย์แมคซิมิเลียน พระองค์ก็กริ้วมาก พระองค์ประนามว่าการที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ไม่ยึดถือตามพันธสัญญาเดิมที่พระองค์รับไว้ ซ้ำยังแต่งงานกับหญิงต่างชาติทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องแปดเปื้อน ดังนั้นพระองค์จึงตัดความสัมพันธ์กับกษัตริย์อเล็กซานเดอร์และยิ่งเคร่งครัดและเข้มงวดในกฎต่าง ๆ ในฟีเลเซียมากขึ้น และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก จึงประกาศเป็นกฎมณเฑียรบาล ไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างชนชาติอื่นกับเชื้อพระวงศ์ชาวฟีเลเซีย…”

เพล้ง!!!!

เจ้าหญิงต้องทรงหยุดลงเพราะตกพระทัยเสียงแก้วกระทบจานรองที่ฮารีซันทำหลุดออกจากมือจนเกือบตกกระแทกพื้น ทุกคนต่างมองไปที่ฮารีซันเป็นตาเดียว

“ตายจริง เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามขึ้นในขณะที่สายตาก็ฉายแววสงสัยอะไรบางอย่างไว้เมื่อเหลือบมองทางเจ้าหญิงอลาน่า ซึ่งในแววตาของเจ้าหญิงเองก็ปรากฏแววบางอย่างด้วยเช่นกัน

“ขออภัย” ฮารีซันกล่าวขอโทษด้วยความประหม่าพร้อมกับเก็บแก้วชาขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม “เชิญเจ้าหญิงกล่าวต่อเถิด”

ทุกคนต่างสังเกตเห็นใบหน้าที่เครียดเคร่งขึ้นของชายหนุ่ม จนเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ในวงสนทนา

“แต่ข้าเห็นว่าในกองทัพของเขามีเซนทอร์ด้วย” แม่ทัพเซนทอร์กล่าวขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้

“เรื่องของเซนทอร์นั้นยกเว้นจ๊ะ เพราะเรื่องมีอยู่ว่าชนพื้นเมืองเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนฟีเลเซียนั่น มีเผ่าเซนทอร์ด้วย ซึ่งกษัตริย์แมคซิมิเลียนก็ทำศึกกับเผ่าเซนทอร์เป็นเวลานานหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถปราบปรามได้อย่างเด็ดขาด จนกระทั่งนักบวชอินโนเซนต์ เสนอการทำการเจรจาสงบศึกในพระอารามหลวง แม้กษัตริย์แมคซิมิเลี่ยนจะไม่ทรงเห็นด้วยมากนัก แต่ในเวลานั้นทั้งสองฝ่ายสูญเสียกับสงครามไปมากจนไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า เมื่อเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเซนทอร์ได้เดินทางมาถึง และได้เห็นภาพวาดจิตรกรรมบนฝาผนังของโบสถ์ ภาพของทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่มีร่างกายท่อนล่างเป็นม้า และมีปีกสีขาวงดงาม ดูเหมือนกับ เทพีเนฟิเล่ (Nephele, the Goddess of Centaur) เทพีเซนทอร์ที่เหล่าเซนทอร์เคารพบูชาอยู่ และด้วยความที่เชื่อว่า เนฟิเล่และนางฟ้าฟรานเซสก้าอยู่ร่วมในสวรรค์เดียวกัน การเจรจาสงบศึกจึงสำเร็จลงอย่างงดงาม ดังนั้นเหล่าเซนทอร์ในฟีเลเซียจึงยอมรับการอยู่ร่วมกับมนุษย์ชาวฟีเลเซีย โดยกษัตริย์แมคซิมิเลียนเองก็ได้จัดดินแดนบางส่วนทางใต้ให้เหล่าเซนทอร์ดูแลปกครองกันเอง ดังที่ท่านได้เห็นแล้วว่าอาณาจักรฟีเลเซียยังคงการปกครองแบบกระจายอำนาจ ให้หัวเมืองต่าง ๆ มีเจ้าเมืองของตนเอง” เจ้าหญิงตรัส

“อาณาจักรทั้งสองมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานมากทีเดียว” ทราเฮิร์นกล่าวขึ้น

“ถูกต้องจ๊ะ ฉันหวังว่าสิ่งที่ฉันแบ่งปันในวันนี้จะทำให้พวกท่านเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ และประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่หล่อหลอมให้พวกเรา เป็นอย่างที่พวกเราเป็น ทั้งฟีเลเซียและแอนดิซองมากขึ้น” เจ้าหญิงตรัส

“ขอบคุณเจ้าหญิงมากเหลือเกิน ท่านช่วยให้ข้าเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นจริง ๆ “ ฮารีซันกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาที่มีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆ ชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะหายไป

แก๊ง ๆ ๆ

เสียงสัญญาณเรียกระดมพลในค่ายผู้อพยพดังขึ้นทำให้ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลง ฮารีซันหันไปมองทางต้นเสียงจึงได้เห็นว่าบรรดาซิสเตอร์เริ่มลงมือแจกอาหารให้แก่สมาชิกในค่ายแล้ว

“ท่านเป็นอะไรรึเปล่า? สีหน้าท่านดูไม่ดีเท่าไหร่เลย” เซนทอร์ทราเฮิร์นที่เผอิญผ่านมาพบเข้าจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ไม่หรอก ข้าคงจะหิวนิดหน่อยนะ” ฮารีซันกล่าวตอบพลางยิ้มให้นายพลครึ่งคนครึ่งม้าที่บัดนี้กลายมาเป็นเพื่อนรักของเขาไปแล้ว

“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ไปสมทบกับพวกเขากัน” ทราเฮิร์นส่งมือให้ฮารีซันก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้นยืน

“ไปสิ” ฮารีซันยิ้มตอบก่อนจะเดินไปพร้อมกับทราเฮิร์นโดยที่ในใจยังคงคิดถึงเรื่องที่คุยกับเจ้าหญิงอลาน่าในวันนั้นอยู่นั่นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน

cron