Chapter 46 จอร์มันกาน์ดและผู้พิพักษ์แอนดิซอง
เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่คณะของฮารีซันเดินทางมุ่งสู่เมืองท่าแห่งแอนดิซอง เสียงฟองคลื่นแตกที่หัวเรือบ่งบอกว่าลมทะเลเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ฮารีซันและทราเฮิร์นกำลังดูแผนที่การเดินเรือในห้องกัปตันอยู่นั้น พลันลูกเรือคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ท่านฮารีซัน ต้นหนเรือให้รีบมาแจ้งท่านว่าเมฆพายุกำลังลอยตรงมาทางนี้ ดูท่าว่าจะมีพายุใหญ่”
“เราจะเอายังไงกันดี?” ทราเฮิร์นถามเพราะพอจะรู้อยู่ว่าพายุในทะเลนั้นอันตรายเพียงใด
“ใกล้ ๆ นี้มีเกาะเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง เราคงพอจะใช้จอดเรือหลบพายุได้” กัปตันเรือบอกเมื่อมองดูแผนที่บนโต๊ะ
“ดี ทำตามที่ท่านว่าแล้วกัน” ฮารีซันเห็นดีด้วย ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปช่วยทุกคนหันใบเรือตรงไปยังเกาะเล็ก ๆ ทางตะวันออก
เมื่อเรืออ้อมมาถึงทางด้านหลังเกาะซึ่งมีลักษณะเป็นเชิงผาสูงชันได้สำเร็จ ฝนก็เริ่มเทลงมาแล้วและตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ สมอเรือใหญ่ถูกทิ้งลงเพื่อถ่วงเรือทันที เสียงคลื่นลมและเสียงฟ้าคะนองจากอีกฟากของเกาะทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่สามารถอ้อมมาด้านหลังของเกาะได้ทันการณ์ ต้นหนเรือคาดการณ์ว่าพายุจะยังคงความรุนแรงเช่นนี้ไปอีกเกือบอาทิตย์ ทุกคนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ารอให้พายุผ่านไปอย่างสงบในที่พักของตน
วันรุ่งขึ้นที่ยังคงเต็มไปด้วยคลื่นลมและฝนกระหน่ำ แทบไม่มีใครย่างกรายออกไปที่ดาดฟ้าเรือ ทั้งวันทุกคนต่างก็มารวมกันที่ห้องที่ใหญ่ที่สุด กินอาหารและหาเรื่องสนุกมานั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเข้าวันที่สอง ทุกคนเริ่มเบื่อที่จะทำเช่นนั้น จึงมีบางคนที่พอกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายกลับไปนอนเล่นภายในห้องของตนเอง
ทว่าพอล่วงเข้าวันที่สาม แม้สภาพอากาศภายนอกจะยังคงเฉอะแฉะไปด้วยสายฝนที่โปรยปราย แต่ภายในเรือกลับมีเรื่องที่น่าตกใจเกิดขึ้น เมื่อลูกเรือสองคนมีอาการประหลาดเกิดขึ้นคือทั้งคู่นั่งเหม่อลอยเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ บางครั้งก็ยิ้มและพูดงึมงำคนเดียวโดยที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาพูดอะไร เมื่อฮารีซันพยายามซักถามคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครทราบสาเหตุเท่าใดนัก นอกเสียจากว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นทั้งสองยังปรกติอยู่คือตอนที่ทั้งสองคนเดินออกไปที่ดาดฟ้าเพื่อไปปลดทุกข์แล้วไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ฮารีซันและทราเฮิร์นหรือแม้แต่หมอประจำเรือก็ไม่อาจหาสาเหตุได้ จึงได้แต่จัดเวรยามคอยเฝ้าอาการไว้ เผื่อว่าเมื่อไปถึงแอนดิซองอาจจะมีหมอเก่ง ๆ ที่สามารถวินิจฉัยอาการของโรคได้ แต่แล้วในวันถัดมาทุกคนก็ต้องว้าวุ่นหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อจู่ ๆ อาการประหลาดนี้ดูเหมือนจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเพราะมีคนที่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงสิบคน ที่หนักไปกว่านั้นคือชายสองคนแรกพยายามออกไปที่ดาดฟ้าเรือและพยายามกระโดดลงทะเล จนฮารีซันต้องตัดสินใจใช้เชือกมัดทั้งสองติดกับเสาต้นหนึ่งภายในเรือนั้น และเมื่อถามถึงสาเหตุ คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าว่าแรกทีเดียวนั้น ชายคนหนึ่งในสิบคนบอกว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงอยู่นอกเรือ เป็นเสียงที่ไพเราะมากอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงได้ชวนเพื่อนอีกสองคนออกไปด้วย ทว่าจนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นว่าทั้งสามจะกลับมาเสียที หนึ่งในนั้นจึงออกไปตามแต่ก็ไม่กลับมาอีก อีกคนหนึ่งจึงออกไปตามอีก แล้วเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิมอีกจนเมื่อลูกเรือหายไปจนถึงสิบคนแล้ว จึงไม่มีใครกล้าออกไปตามหาอีกจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงได้พบว่าทั้งสิบคนนอนหมดสติอยู่ที่ท้ายเรือ
ฮารีซันมองทราเฮิร์นอย่างสงสัย ทั้งคู่ต่างเชื่อว่าการออกไปนอกดาดฟ้าต้องเกี่ยวข้องกับอาการประหลาดของลูกเรือทั้งหมดแน่ แล้วเสียงเพลงที่พวกเขาบอกว่าได้ยินเล่า ที่เกาะร้างกลางพายุเช่นนี้จะมีใครมาร้องเพลงอยู่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจหรือน่านน้ำนี้มีลับลมคมนัยที่พวกเขาไม่รู้ เมื่อมองจากสภาพอากาศในเวลานี้ดูท่าพายุคงใกล้จะผ่านไปแล้วและคงจะสงบลงอีกในวันสองวันข้างหน้า เขาจะออกเดินทางต่อทั้ง ๆ ที่ลูกเรือกว่าสิบคนมีอาการเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างน้อยถ้ารู้สาเหตุก็อาจจะพอหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น ดังนั้นทราเฮิร์นและฮารีวันจึงตกลงใจกันว่าคืนนี้พวกเขาจะเป็นคนอยู่ยามเอง
ตกดึกคืนนั้นเป็นเวลากว่าเที่ยงคืนแล้ว และเสียงฝนเริ่มซาลง ขณะที่ทั้งคู่กำลังรู้สึกล้าและหนังตาเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ พลันหูของทราเฮิร์นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ใบหูที่กว้างและตั้งขึ้นอย่างม้าของเขาขยับไปมาเหมือนพยายามหันไปหาที่มาของเสียง
“มีอะไรรึ?” ฮารีซันหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อสังเกตเห็นท่าทางผิดปรกติของนายทัพครึ่งม้า
“ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลง” ทราเฮิร์นพูดขึ้น “ฟังสิ มันไพเราะมากจริง ๆ ใครเป็นคนร้องนะ?” ทราเฮิร์นนั้นมีหูที่ไวกว่ามนุษย์ธรรมดาจึงได้ยินก่อน ฮารีซันพูดเตือนสตินายทัพเซนทอร์ทันที
“ระวัง ทราเฮิร์น ท่านพูดเองว่าที่เกาะร้างกลางพายุไม่น่าจะมีใครมาร้องเพลงได้”
“ถูกของท่าน ข้าต้องตั้งสติให้แน่วแน่กว่านี้ซะแล้ว...ว่าแต่ท่านไม่ได้ยินอะไรเลยรึ? ทราเฮิร์นอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันยังคงนิ่งอยู่
“ข้าเริ่มได้ยินแผ่ว ๆ แต่ข้าพยายามไม่สนใจ เพื่อที่จะได้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของเสียงนั้น” ฮารีซันกล่าวตอบ
“คราวนี้ท่านได้เปรียบข้าเต็ม ๆ เลย หูของข้ามันไวกว่ามนุษย์เช่นท่านอยู่ไม่น้อยเลยนะ” ทราเฮิร์นพูดแสดงท่าทางหงุดหงิดแต่ดวงตายังมีแววยิ้มขำ เขามองหาเศษผ้ามาชิ้นหนึ่งก่อนจะฉีกครึ่งชุบน้ำมันแล้วยัดใส่หูของตน “ดีขึ้นหน่อย แต่เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วคงต้องรีบทำความสะอาดหูของข้าทันทีเลย เอาหล่ะ! จะไปลุยกันรึยัง?”
ฮารีซันอดหัวเราะการกระทำของนายทัพเซนทอร์ไม่ได้จึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแทนคำพูด แล้วจึงนำเศษผ้าที่เหลือมาทำตามดูบ้าง ทำให้ ทราเฮิร์น อดหัวเราะบ้างไม่ได้