Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อังคาร เม.ย. 16, 2024 11:02 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:48 pm

Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง



เสียงประชาชนไชโยโห่ร้องไปตลอดทางที่ขบวนแห่ของกษัตริย์ซิกมันด์และกองทหารเคลื่อนผ่าน แม้จะอยู่ในช่วงภาวะสงครามแต่ทั้งเมืองอาวีเลียก็ยังเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่และยิ่งใหญ่ให้แก่ชัยชนะของซิกมันด์ที่มีเหนือเทพเจ้าโบราณและสามารถนำพญาวิหคธันเดอริกกลับมาได้

กษัตริย์ซิกมันด์ที่แทบจะไม่เหลือร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าให้เห็นอีกแล้วทรงนั่งพระพักตร์เชิดบนม้าสีขาวปรอดขนาดใหญ่ โดยมีนกธันเดอริกเกาะอยู่บนแขนขวาพร้อมกับกางปีกสยายอวดความองอาจไม่ต่างจากผู้ที่นำมันมา

สูงขึ้นไปบนยอดกำแพงวิหารแห่งอาวีเลีย ฮารีซัน บันดาราและเจ้าหญิงเรจิน่าประทับยืนทอดพระเนตรขบวนแห่อันเอิกเกริกของกษัตริย์ซิกมันด์อยู่ ทว่าเจ้าหญิงนั้นทรงมีท่าทีกระสับกระส่ายคล้ายตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร

“เจ้าหญิงอยากจะพูดอะไร?” ฮารีซันซึ่งรู้สึกได้ถึงความกังวลของเจ้าหญิงจึงกล่าวขึ้นก่อนพลางยิ้มให้กำลังใจ

“ข้า...เออ...ข้าอยากจะขอโทษท่านแทนซิกมันด์ ท่านจะอภัยให้เขาได้ไหม?” เจ้าหญิงทรงมองฮารีซันด้วยความคาดหวัง

“ถ้าข้าจะบอกว่าไม่ได้ติดใจถือโทษเขาเลย ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่สิ่งที่ติดใจข้ามากกว่าคืออะไรหล่อหลอมเขาให้เป็นคนเช่นนั้น?” ฮารีซันทอดสายตามองขบวนแห่ที่กำลังเคลื่อนไปยังกำแพงเมืองอีกด้านหนึ่งซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงปรายตามองตามไปด้วยเช่นกัน

“อะไรที่หล่อหลอมเขาอย่างนั้นหรือ? ก็คงจะเป็นเสด็จพ่อของข้ากระมัง” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนฮารีซันอดหันกลับมามองไม่ได้ ทว่าเจ้าหญิงมิได้ทรงละสายตาไปจากขบวนแห่เลย

“ท่านไม่อาจจินตนาการได้หรอกว่าเด็กที่เกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ของชาตินักรบนั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างไรมาบ้าง เด็กที่ถูกคาดหวังจากทุกคนอย่างมากมายตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิด ซิกมันด์นั้นถูกเสด็จพ่อนำตัวไปจากเสด็จแม่เพื่อไปฝึกฝนการเป็นกษัตริย์ตั้งแต่อายุเพียงสามปีเท่านั้น ถ้าเขาทำตัวอ้อนเสด็จแม่เหมือนเด็กอื่น ๆ หรือทำตัวไม่เหมาะสมก็จะถูกตำหนิอย่างเข้มงวดจากเสด็จพ่อทันที ทั้งวันเขาจะอยู่กับเสด็จพ่อ จะได้มาพบข้าหรือเสด็จแม่ก็ตอนเย็นแล้ว ตกกลางคืนก็แยกไปนอนที่ห้องบรรทมส่วนพระองค์ ที่จริงจะว่าไปทุกอย่างสำหรับเขาล้วนถูกจัดให้เป็นพิเศษ เขาคือคนที่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นอะไรในอนาคตตั้งแต่จำความได้”

“มารดาของท่านยินยอมหรือ?” ฮารีซันอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“ท่านต้องยอม เพราะนั่นเป็นราชประเพณีของอาณาจักรเรา บรรพกษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนต้องถูกฝึกเช่นนี้...” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงนิ่งเงียบเป็นครู่ใหญ่เหมือนจะหวนรำลึกถึงช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์ของน้องชาย “พวกทหารองครักษ์เล่าว่า ตอนที่ซิกมันด์ถูกพรากไปจากเสด็จแม่ใหม่ ๆ ตอนกลางวันต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการปกครอง ต้องถูกฝึกให้วางตัวเหมาะสมในแบบอย่างของกษัตริย์และอัศวิน ตอนกลางคืนเขาถูกจับให้นอนเพียงลำพังคนเดียว หลายคืนที่เขาต้องนอนร้องไห้จนหลับไป”

เจ้าหญิงเรจิน่ายังคงจมอยู่ในความนึกคิดเมื่อครั้งสมัยยังเยาว์ “ตอนที่เขาอายุได้ประมาณเก้าปี เขามีม้าที่รักมากอยู่ตัวหนึ่ง เขาเอาแต่ขี่ม้าตัวนั้นจนไม่ยอมฝึกขี่ม้าตัวอื่นเลยหรือแม้แต่เปกาซัส และเมื่อเสด็จพ่อทรงทราบ...”

ภาพความทรงจำนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นราวกับพระองค์ได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้งหนึ่ง ที่กลางลานฝึกขี่ม้านั้น เหล่าทหารนับสิบต่างยืนเรียงรายเป็นแถวขนาบทั้งสองด้านดูน่าเกรงขาม ม้าที่รักของเจ้าชายซิกมันด์กำลังสะบัดหัวไปมาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ราวกับว่ามันล่วงรู้ชะตากรรมของตน เจ้าชายน้อยที่ถูกชาร์ล คลาแรนซ์ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง3ปีแต่ก็ได้เข้ารับราชการแล้ว จับข้อมือไว้แน่นเจ้าชายทรงพยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระไม่ต่างจากม้าของตน

“เสด็จพ่อ! ข้าจะไม่ขี่มันอีกแล้วข้าจะขี่ม้าตัวอื่น ได้โปรดเถิดเสด็จพ่อ อย่าส่งมันไปชายแดนเลย” เจ้าชายน้อยเริ่มน้ำตาร่วงพรู “ชาร์ล ปล่อยข้านะ ข้าสั่งให้เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” เจ้าชายซิกมันด์ทรงพยายามแกะมือที่กุมแน่นของชาร์ลอย่างสุดความสามารถ ทั้งทุบ ทั้งกัด ทั้งหยิกข่วนเป็นพัลวัน แต่ชาร์ลก็ยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึกเจ็บ

“ข้าเป็นอัศวินมีหน้าที่ปฏิบัติตามบัญชาของฝ่าบาทอย่างเคร่งครัด” เด็กชายกล่าวพลางยืดอกขึ้นอย่างผึ่งผายเมื่อเห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ที่สองทรงเหลือบมองมายังตน ชาร์ลที่ถูกบิดาฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดจึงตะหนักถึงหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายจากองค์กษัตริย์ว่าต้องปฏิบัติให้ลุล่วงอย่างเคร่งครัด

“แต่นั่นเป็นม้าของข้านะ เสด็จพ่อกำลังจะส่งม้าของข้าไปไหนก็ไม่รู้ ข้าจะไม่ได้เจอมันอีก” เจ้าชายทรงสะอื้นรัวทุบมือที่แข็งปานคีมเหล็กของชาร์ลไม่ยั้ง เมื่อทรงเห็นว่าชาร์ลไม่มีทีท่าว่าจะปฏิบัติตามที่พระองค์ต้องการ จึงทรงหันไปทางพี่สาวของพระองค์แทน “เสด็จพี่ บอกเสด็จพ่อไปสิว่าม้าไม่ใช่ของข้าแล้ว ข้ายกให้เสด็จพี่ไปแล้ว”

เจ้าหญิงเรจิน่าน้อยทรงตกตะลึงกับเหตุการณ์จนทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองกลับไปกลับมาจากม้าที เสด็จพ่อที แล้วก็วกกลับไปยังน้องชายอีก

“เสด็จพี่ เร็วเข้าสิ!” เจ้าชายซิกมันด์ทรงตะโกนสุดเสียงน้ำตายังนองหน้า

“สะ...เสด็จพ่อ” เจ้าหญิงมองเสด็จพ่อด้วยแววตาตื่น ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:49 pm

“เจ้าเป็นถึงขัตติยะนารี อย่าบังอาจพูดจาปั้นเรื่องให้เสื่อมเกียรติของเจ้า” กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 2 ตรัสเสียงเฉียบ พลางยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณ ประตูเมืองเปิดออก และทหารม้าสองนายก็ขึ้นขี่ม้าของตนพร้อมลากม้าสีขาวงดงามออกจากวังไป และไม่มีใครได้เห็นมันอีก

“ไม่มมมมมมมม ฮือ....” เจ้าชายซิกมันด์ทรงร้องอย่างสุดเสียงทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นร้องไห้โฮโดยที่แขนข้างที่ถูกชาร์ลจับไว้ยังคงไม่เป็นอิสระ

“เรจิน่า เจ้าไปหาเสด็จแม่เสีย” กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 2 ตรัสแล้วจึงให้สัญญาณมหาดเล็กและนางกำนัลพาเจ้าหญิงน้อยไปส่งผู้เป็นมารดาที่อุทยานชั้นใน

ขณะที่เจ้าหญิงดำเนินจากบริเวณนั้นไป เสียงเสด็จพ่อก็ดังขึ้นด้วยความเด็ดขาดจนกลบเสียงร้องไห้ของซิกมันต์“หยุดแสดงความอ่อนแอของเจ้าแล้วลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!!!”

เจ้าหญิงน้อยทรงอุทานอย่างตกพระทัยรีบหันกลับไปมองกลุ่มคนเบื้องหลัง ทว่านางกำนัลก็รีบดึงพระองค์ออกจากลานขี่ม้าทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก


“ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น?” ฮารีซันอุทานแทบไม่เชื่อหู ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกพระองค์และหันมามองเขา

“เพื่อสอนให้เขารู้ว่าเขาไม่มีสมบัติใด ๆ ทั้งสิ้นให้รัก นอกจากอาณาจักรฟีเลเซียและเกียรติยศศักดิ์ศรีของเขาเท่านั้น และเพื่อสอนให้รู้ว่าการแสดงออกว่ารักหรือสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ เป็นการเปิดจุดอ่อนให้ศัตรูสามารถนำมาเป็นข้อได้เปรียบ”

ฮารีซันนั้นไม่เข้าใจวิธีการฝึกฝนของชาวฟีเลเซียสักนิด ทำไมจึงต้องเข้มงวดกับเด็กตัวเล็ก ๆ ถึงเพียงนี้ “แล้วท่านล่ะ ท่านถูกฝึกฝนเช่นเขาหรือไม่?”

“ไม่เลย ข้าไม่ได้รับการใกล้ชิดหรือใส่ใจจากเสด็จพ่อมากนัก ข้าถูกเสด็จแม่เลี้ยงดูมาตลอด เสด็จแม่ให้อิสระกับข้าอย่างเต็มที่ ข้าสามารถทำสิ่งใดก็ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรืออันตราย เมื่อตอนเป็นเด็ก ข้าเคยอิจฉาน้องที่ได้อยู่ใกล้ชิดเสด็จพ่อที่สง่างาม เข้มแข็ง และ มีเกียรติ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งข้ารู้สึกอิจฉาเขาที่เสด็จพ่อให้ความสนใจแต่เขา โดยไม่ได้สนใจข้าเท่าไหร่เลย แต่เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจึงตระหนักว่าซิกมันด์ต้องถูกฝึกอย่างเข้มงวดและยากลำบากเพียงใด ในเวลาที่ข้าอาจเล่นสนุก หรือหัวเราะร่าเริง เขากลับต้องแสดงออกอย่างเป็นผู้ใหญ่เกินอายุมาก และถูกจับจ้องการกระทำจากทุกคนที่คาดหวังความเป็นกษัตริย์ที่เยี่ยมยอดจากตัวเขา ทำให้ข้าเลิกอิจฉาน้องและเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสารเขาแทน…. แต่สิ่งที่เป็นอิทธิพลต่อเขามากที่สุด ก็คงจะเป็นชีวิตของเสด็จพ่อเองที่สอนให้ซิกมันด์ได้รู้ว่าเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและการปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงของผู้เป็นกษัตริย์นั่นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซิกมันด์ได้ติดตามเสด็จพ่อไปปราบเหล่ามังกรและสัตว์ประหลาดทุกครั้ง เสด็จพ่อทรงนำทัพต่อสู้อย่างกล้าหาญเป็นที่เลื่องลือไปทั่วอาณาจักรถึงความเก่งกล้าสามารถของพระองค์ แม้แต่ข้าเองซึ่งได้มีโอกาสตามเสด็จบ้างในบางครั้งยังอดที่จะชื่นชมพระองค์ไม่ได้ นับประสาอะไรกับซิกมันด์ที่ตามเสด็จทุกครั้งจะไม่ปลาบปลื้มและยึดพระองค์เป็นจุดหมาย แม้กระทั่งการศึกครั้งสุดท้ายของพระองค์ ตอนที่เสด็จพ่อยกทัพไปปราบมังกรไฮดร้าที่เกาะวาร็อค แม้เสด็จพ่อจะถูกพิษจากไฮดร้าเพราะการต่อสู้กับมัน แต่เสด็จพ่อก็ไม่ทรงยอมรับการรักษาใด ๆ จนกว่าจะปราบเจ้ามังกรแห่งวาร็อคสำเร็จ จนเมื่อปราบเจ้ามังกรไฮดร้าลงได้ก็สายเกินไปที่จะเยียวยาพระองค์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตของพระองค์เองเพื่อสอนซิกมันด์” เจ้าหญิงทรงถอนพระทัยเมื่อหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา “บ่อยครั้งเหลือเกินที่ข้าอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่กดดันให้ซิกมันด์กลายเป็นคนที่มีนิสัยเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะข้าก็เคยคาดหวังว่าเขาจะยิ่งใหญ่และปรีชาเยี่ยงเสด็จพ่อ เหมือนที่ทุกคนคาดหวังจากเขา และถ้าหาก...ถ้าหากข้าเกิดมาเป็นชาย ภาระหน้าที่ต่าง ๆ ก็คงจะไม่ตกไปที่เขาแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ เมื่อข้าเริ่มตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ข้าจึงตกลงใจว่าข้าจะเลิกเป็นหนึ่งในผู้ที่กดดันเขา และเปลี่ยนมาทำตัวให้สนุกสนาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้เขาได้พักหายใจบ้าง แต่ดูเหมือนข้าจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติเป็นสามเท่าเสมอ เพื่อที่จะทำให้เขายิ้มสักครั้งหนึ่ง”

“น่าสงสาร” ฮารีซันเปรยออกมาเบา ๆ

“ท่านไม่โกรธเขาแล้วหรือ?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างคาดหวัง

“ข้ายอมรับว่ามีความรู้สึกโกรธเขาอยู่บ้าง แต่เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ข้ารู้สึกสงสารเขามากกว่า” ฮารีซันหันกลับไปมองขบวนแห่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัววิหาร

“ขอบคุณมาก” เจ้าหญิงตรัสพลางยิ้มอย่างมีความสุขหันกลับมามองฮารีซันด้วยความซาบซึ้งใจ


*********************


หลังจากที่กษัตริย์ซิกมันด์เสด็จกลับมาได้แค่เพียงสัปดาห์เดียว กองทัพซาโลมก็ยกทัพมาประชิดเมืองอาวีเลียอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากองทัพเพลิงอยากจะเห็นความสามารถของนกธันเดอริก อาวุธใหม่ของอาณาจักรฟีเลเซีย ซึ่งก็คงเพราะการแห่แหนอย่างเอิกเกริกเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นเอง ที่ทำให้พวกซาโลมไม่อาจอดใจอยู่เฉยได้ เสียงกลองศึกและเสียงโห่ร้องจากนอกกำแพงดังสนั่นเหมือนจะโห่ร้องให้กำแพงพังลงไปต่อหน้า

ภายในเมืองอาวีเลียนั้น เหล่าทหารทั้งฝ่ายฟีเลเซีย และ ฝ่ายฟูดินันต่างก็เร่งจัดเตรียมทัพเป็นการใหญ่ พลธนูต่างเร่งเข้าประจำที่ซ้อนกันถึงสามแถวตลอดแนวกำแพงเมือง ธนูที่ถูกพัฒนาจากนักประดิษฐ์ทิโมธีถูกแจกจ่ายให้แก่พลธนู

อย่างไรก็ดีในวันนี้กองทัพของทั้งฟีเลเซียและฟูดินันดูจะเน้นไปที่กองทัพสัตว์มากกว่ากองทัพมนุษย์ ทั้งบรรดากองทัพนก กองทัพกริฟฟิน กองทัพสัตว์ป่าของฟูดินัน กองทัพเปกาซัส รวมไปถึงเหล่าม้าศึกดูจะฮึกเหิมเป็นพิเศษ เสียงร้องขู่คำรามดังระงมไปทั่วเมือง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:50 pm

ที่บนป้อมกำแพงเมือง เจ้าหญิงเรจิน่า จอมทัพชาร์ล และกษัตริย์ซิกมันด์ยืนตระหง่านอย่างองอาจ ที่แขนซ้ายของพระองค์มีนกธันเดอริกเกาะอยู่ เจ้านกสายฟ้าสอดส่ายสายตาเหลือบมองกองทัพเพลิงเบื้องล่างด้วยความสนใจ

“หึ เจ้าพวกคนเถื่อนมันอยากจะลองดีกับโรดเดอริก (Roderick) ของข้าสินะ ถึงได้รีบเสนอหน้ายกทัพมาเร็วขนาดนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเค้นเสียงหัวเราะมองนกสายฟ้าอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่า โรดเดอริก อันมีความหมายว่าพลังแห่งเกียรติยศนั่นเอง

“วันนี้ดูท่าทางว่าพวกมันจะยกทัพมาหยั่งเชิงโรดเดอริกมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ เพราะแม้จำนวนทหารจะมากอยู่ แต่ก็ไม่เท่ากับการรบในครั้งก่อน ๆ “ จอมทัพฟีเลเซียตั้งข้อสังเกต

“ข้าเองก็อยากจะเห็นความสามารถที่แท้จริงของโรดเดอริกเหมือนกัน ให้กองทัพเถื่อนนี่เป็นคู่ซ้อมมือก็ดี” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสอย่างหยามใจ ในขณะที่โรดเดอริกกางปีกออกเหมือนจะเป็นการประกาศพลังของตน ซึ่งก็ทำให้เหล่ากองสัตว์เบื้องล่างร้องคำรามขานรับอย่างฮึกเหิมทันทีเช่นกัน

“โรดเดอริกมีพลังมากจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นกองทัพสัตว์ฮึกเหิมถึงเพียงนี้มาก่อนเลย เหมือนกับว่านกสายฟ้าตัวนี้เพิ่งพลังทั้งความฮึกเหิมและความแข็งแกร่งให้พวกมันอย่างนั้นแหละ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัส

“ใช่แล้ว นี่แหละความสามารถของมัน” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระหยิ่มยิ้มย่อง “ชาร์ล เตรียมให้สัญญาณโจมตีได้ สั่งสอนให้พวกมันรู้สำนึกว่าโทษของผู้ที่บังอาจมารุกรานฟีเลเซียนั่นจะเป็นเช่นไร”

“ใครเป็นผู้ยกทัพมากัน? ข้าไม่เห็นตัวแม่ทัพเลย” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสตั้งข้อสังเกตบ้าง

“กระหม่อมก็ไม่เห็นเหมือนกัน” ชาร์ลกวาดตามองดูผู้ที่น่าจะเป็นผู้นำทัพ

“หึ มันคงจะเกรงกลัวโรดเดอริกของข้าจนไม่กล้าโผล่หัวขึ้นมาละสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยิ้มเยาะพลางหันมามองนกธันเดอริก แต่แล้วพระองค์ก็สังเกตเห็นว่าเจ้านกสายฟ้าเหลือบมองจ้องบางสิ่งบางอย่างบนฟ้าอย่างไม่วางตา เมื่อพระองค์หันไปมองตาม จึงได้เห็นว่ามีนกปีศาจตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือกองทัพเพลิงมันบินอยู่สูงจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น พระองค์รีบยกกล้องขึ้นส่องดูทันที
“นั้นมันตัวอะไรกัน?!”

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองตาม แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้เพราะต่างก็ไม่เคยเห็นนกปีศาจของแบล็ค ไวเซอร์มาก่อน นกปีศาจที่มีตาถึงสามดวง ซ้ำในอุ้งเท้าของมันยังถือลูกแก้วไว้ลูกหนึ่งด้วย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าลูกแก้วนั้นมีความสำคัญอย่างไร

“มันบินวนอยู่บนนั้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ?” ชาร์ลเริ่มมีความกังวล

ทันใดนั้นเองเจ้านกปีศาจก็แผดเสียงร้องแหลมดังจนก้องไปทั่วสนามรบ พร้อม ๆ กับที่กองทัพซาโลมที่เริ่มเฮโลเข้าโจมตีกำแพงเมืองอาวีเลีย

“โจมตี !!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสทันทีไม่รอช้า กระเปาะน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดีดออกจากคันธนูพุ่งเข้าใส่กองทัพปีศาจเบื้องล่างราวกับเม็ดฝนยักษ์ เสียงกรีดร้องและเสียงเนื้อปีศาจที่เดือดพล่านดังไปทั่ว กระนั้นก็ดีเครื่องดีดหินและเครื่องยิงธนูยักษ์ของทางฝ่ายซาโลมก็พุ่งเข้าโจมตีเมืองอาวีเลียได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

เมื่อพลธนูสามารถกำจัดทหารปีศาจไปได้พอสมควรแล้ว กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงให้สัญญาณกับชาร์ลอีกครั้ง เสียงแตรบุกของกองทัพสัตว์ก็ดังขึ้นทันที ในทันใดนั้นเจ้านกธันเดอริกก็กางปีกสีทองอร่ามจนสุดก่อนจะทะยานขึ้นท้องฟ้าบินอ้อมโฉบลงไปยังกองทัพสัตว์ของฟีเลเซีย เสียงร้องของมันดังเหนือกองทัพสัตว์เมื่อใด เสียงร้องขู่คำรามอย่างฮึกเหิมก็ดังกระหึ่มเมื่อนั้น กองทัพสัตว์บ้างก็ใช้สองขาหน้าตะกุยพื้นจนฝุ่นตลบ บ้างก็กางปีกออกกระพืออย่างแรงจนเกิดลมพัดวูบไหวไปทั่ว บ้างก็ส่งเสียงร้องจนเหล่าทหารที่อยู่ใกล้ต้องยกมือขึ้นปิดหู เหมือนกับว่ากองทัพสัตว์เหล่านี้มีพลังกำลังเพิ่มขึ้นจนล้นปรี่

ทันทีที่นกธันเดอริกโผไปเกาะที่ยอดกำแพงพร้อม ๆ กับเสียงร้องอันแผดดังดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ฝูงกองทัพนก และ กริฟฟินก็ทะยานพุ่งข้ามกำแพงไปด้วยความเร็วปานพายุหมุน ต่างพุ่งตัวโฉบเข้าโจมตีกองทัพตอนกลางและตอนหลังของซาโลมอย่างดุเดือด เกิดการชุลมุนกันที่กองทัพเบื้องหลังของซาโลมจนดูยุ่งเหยิงไม่เป็นขบวน และเพียงชั่วอึดใจเดียวนั้นเอง ประตูเหนืออาวีเลียก็เปิดออกพร้อม ๆ กับกองทัพสัตว์นานาชนิดก็กระโจนพรวดออกมาราวกับสายฟ้าฟาด ต่างพุ่งเข้าหาทหารซาโลมอย่างไม่กลัวตายด้วยความน่ารักมหาญ กงเล็บและคมเขี้ยวจมลึกฝังเข้าไปในเนื้อจนแทบหักกระดูก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังผสมปนเปไปกับเสียงร้องคำรามจนลั่นสนามรบ จากนั้นไม่นานกองทัพอัศวินก็ควบทะยานม้าศึกที่คึกคะนองกระโจนออกจากประตูเมืองตรงเข้าห่ำหันทัพซาโลมพร้อม ๆ กับกองทัพชาวป่าของฟูดินันก็เฮโลกันออกมาจู่โจมต่ออย่างต่อเนื่องทันทีเช่นกัน

ทั้งบรรดาแม่ทัพฝ่ายฟีเลเซียและฟูดินันต่างก็อึ้งตะลึงลานกับภาพเบื้องหน้า ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้านกสายฟ้าสัตว์กึ่งเทพของเทพเจ้าธอร์จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้ที่นำมันมาอย่างกษัตริย์ซิกมันด์ก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้ พระองค์หันไปมองโรดเดอริก ซึ่งบัดนี้บินกลับมาเกาะที่ไหล่พระองค์ด้วยสายตาที่แสดงถึงการยอมรับในความสามารถอย่างแท้จริง ซึ่งมันก็จ้องกลับพร้อมกับผงกหัวคล้ายกับแสดงท่ายอมรับอย่างยินดี

ในขณะที่กองทัพฟีเลเซียกำลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด จู่ ๆ เจ้านกปีศาจก็ร้องเสียงดังขึ้นเหนือกองทัพซาโลม เพียงไม่นานฝูงมังกรไฟก็โผบินขึ้นเต็มน่านฟ้า ก่อนจะบินข้ามกำแพงเมืองตรงเข้าเผาบ้านเรือนหลังกำแพงเมืองทันที กองทัพฟีเลเซียจึงส่งกองทัพมังกรเข้าต่อกรทันทีเช่นกัน ทำให้เวลานี้มีการสู้รบทั้งบนบกและบนอากาศจนชุลมุนไปหมด

“ไอ้นกนั้นต้องคอยส่งข่าวและรับคำสั่งจากใครสักคนแน่” ชาร์ลกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:51 pm

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกัดกรามกรอดเหลือบไปมองเพลิงไหม้ที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วภายในเมืองอาวีเลีย “จัดการมัน โรดเดอริก”

สิ้นเสียงกษัตริย์ซิกมันด์ เจ้านกธันเดอริกก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปในทันที เจ้านกปีศาจเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าใส่ธันเดอริกด้วยเช่นกัน ทว่านกธันเดอริกนั้นตัวใหญ่ตัว ทั้งยังมีความเร็วกว่าหลายขุมนัก ทันทีที่ปะทะกันเจ้านกปีศาจที่เปลี่ยนใจเบี่ยงหลบก็เสียหลักร่วงลงจากฟ้าอย่างไม่เป็นท่า เมื่อมันพยายามกระพือปีกทรงตัวอีกครั้ง เจ้านกสายฟ้าก็พุ่งเข้าโฉบซ้ำ ลูกแก้วที่อยู่ในอุ้งเท้าของมันก็ร่วงหลุดหายเข้าไปในคลื่นสงครามเบื้องล่าง เจ้านกปีศาจดูเหมือนจะฉุนโกรธและตรงเข้าโจมตีใส่ด้วยอารมณ์โกรธแค้น นกทั้งสองพุ่งเข้าจิกตีกันเป็นพัลวัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใครที่เป็นต่อ เพียงพริบตาเดียวเจ้านกสายฟ้าก็จิกตาบนซ้ายของนกปีศาจจนทะลุ เสียงร้องแผดแหลมอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นทันที เจ้านกปีศาจหุบปีกดิ้นสะบัดจนตัวหงิกงออยู่กลางอากาศก่อนจะค่อย ๆ หมุนคว้างและร่วงลงมาอย่างเร็ว ทว่าก่อนที่เจ้านกปีศาจจะตกลงถึงพื้น จู่ ๆ ก็มีปีศาจรูปร่างคล้ายค้างคาวบินโฉบมาอย่างรวดเร็วและคว้าตัวนกปีศาจบินหายไป

หลังจากที่นกปีศาจจากไปแล้วทัพซาโลมที่ไม่มีใครคอยสั่งการก็ค่อย ๆ ล่าถอยกลับไปในที่สุด เสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาทหารฟีเลเซียและฟูดินันก็ดังขึ้นเพื่อประกาศชัยชนะเหนือกองทัพเถื่อนของซาโลมอีกครั้ง ทว่ายังไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ากองทัพซาโลมได้สร้างความเสียหายให้ฟีเลเซียมากกว่าที่ทุกคนคาดคิด


********************************


“อะไรนะ?!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเดือดดาล

“ทูลฝ่าบาท ตอนที่พวกมังกรไฟของซาโลมบินข้ามกำแพงมาโจมตีเมืองชั้นใน พวกมันได้เผาทำลายคลังเสบียงและคลังแสงของพวกเราจนเสียหายอย่างหนัก” นายทัพฝ่ายคลังเสบียงทูล

“มันคงมีแผนจะทำลายคลังเสบียงและคลังอาวุธของเราตั้งแต่แรกแล้ว คงเพราะมันเคยยึดเมืองนี้ไว้ มันจึงรู้ว่าคลังเสบียงและคลังแสงของเราอยู่ที่ไหน มันถึงได้โจมตีได้ถูกจุด” ชาร์ลกล่าวเสริมด้วยความหงุดหงิด

“เสียหายมากขนาดไหน?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถาม

“เราอาจจะไม่มีเสบียงพอเลี้ยงทหารทั้งฟีเลเซียและฟูดินันได้ถึงสองเดือน” นายทัพฝ่ายคลังเสบียงกล่าว “การศึกครั้งนี้ยืดเยื้อมาก ซ้ำนี่ก็ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวทำให้พืชผลยังไม่ออกรวง อีกทั้งพื้นที่การเกษตรในแถบนี้ส่วนใหญ่ก็โดนกองทัพเพลิงเผาทำลายไปมาก การจะเร่งหาเสบียงมาทดแทนนั้นลำบากเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วฝ่ายคลังแสงล่ะ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามเสียงเครียด

“คลังแสงก็เสียหายหนักเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ อาวุธที่มีส่วนประกอบของไม้ ส่วนใหญ่ก็ไหม้ไฟจนชำรุดเสียหาย ส่วนพวกที่เป็นโลหะก็โดนความร้อนจนบิดเบี้ยวผิดรูปร่างไปก็มาก ถ้าจะซ่อมแซมก็คงต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย อาวุธประเภท ใช้แล้วหมดไปอย่างพวกลูกธนูก็มีความจำเป็นมากที่จะต้องเร่งผลิตอย่างรีบด่วน คงต้องใช้งบประมาณในการเร่งซ่อมแซมมากโขเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

ที่ประชุมต่างเงียบเสียงลง พยายามคิดหาทางออกกันจ้าละหวั่น ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งเสบียงอาหารที่ต้องเลี้ยงดูทหารนับแสน ทั้งงบประมาณจำนวนมหาศาลที่จะต้องเร่งหามาฟื้นฟูทุกส่วนโดยด่วน

“เราคงจำเป็นต้องตัดงบประมาณหลายส่วนมาเร่งฟื้นฟูคลังแสงและคลังเสบียงก่อน” ชาร์ลกล่าวเสียงเครียด

“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องตัดเสบียงของฟูดินัน” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส ทั้งที่ประชุมต่างเงียบเสียงลง เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองกษัตริย์น้องชายด้วยความวิตกในการตัดสินใจครั้งนี้ กษัตริย์ซิกมันด์มองตอบด้วยสีหน้าตึงเครียดพลางส่ายพระพักตร์ “ข้าไม่มีทางเลือก”

“ตั้งแต่แรกเริ่มสงคราม พวกเราก็เตรียมเสบียงไว้ให้เพียงพอต่อกองทัพของเราเท่านั้น การที่กองทัพของฟูดินันยกทัพมาช่วยเรา แม้แต่เดิมพวกชาวป่าจะมีเสบียงมาด้วยแต่เมื่อนานวันเข้าเสบียงก็หมด เราเองจึงต้องแบ่งเสบียงให้ การที่เสบียงที่เตรียมไว้สำหรับหนึ่งกองทัพ ต้องมาแบ่งให้ถึงสองกองทัพ มันก็ไม่น่าจะพอเพียงไปตลอดการรบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นี่ยังมาถูกทำลายจนเสียหายขนาดนี้อีก” ชาร์ลเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ

“ข้าเข้าใจ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสอย่างเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ยังอดหนักพระทัยไม่ได้ “ข้ากังวลว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้อย่างไรถ้าไม่มีเสบียงช่วยจากเรา”

“หรือเราจะให้พวกเขาเดินทางกลับไปก่อน” นายทัพนายหนึ่งกล่าวขึ้น

“เป็นไปไม่ได้ พวกซาโลมมันจมูกไวจะตาย พวกมันคงรีบยกทัพมาประชิดเมืองทันทีแน่” นายทัพอีกนายกล่าว

ทุกคนในที่ประชุมต่างก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่ทรงนิ่งเงียบอยู่นานพลางหันไปทางเจ้าหญิงเรจิน่า

“บอกตรง ๆ ข้ามองไม่เห็นทางอื่นจริง ๆ “

********************


เจ้าหญิงเรจิน่าทรงดำเนินตรงไปยังกลุ่มผู้นำชาวป่าที่กำลังนั่งชุมนุมกันอยู่รอบกองทัพด้วยความรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจอย่างที่สุด พระองค์ไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายให้พวกชาวป่าเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ทันทีที่ดำเนินเข้าไปใกล้ ฮารีซันซึ่งสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้าหญิงอยู่ก่อนแล้วจึงพูดขึ้นทันที

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

เหล่าขุนพลชาวฟูดินันต่างหันหน้ามามองเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย เจ้าหญิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาวิตกกังวล พระองค์กวาดตาไปรอบ ๆ กองไฟจึงเห็นว่าข้าง ๆ ฮารีซันยังมีที่ว่างอยู่จึงเดินเข้าไปและหย่อนองค์ลงนั่งบนขอนไม้นั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:53 pm

“ข้ามีข่าวไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักมาแจ้งให้ทราบ” เจ้าหญิงทรงเริ่มเกริ่นก่อนจะค่อย ๆ เล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้พวกชาวป่าฟังถึงความจำเป็นของกองทัพที่จะต้องตัดเสบียงช่วยเหลือชาวฟูดินัน ทุกคนต่างฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากผู้เล่า แต่ทว่าสิ่งที่ผิดคาดจากความคิดของเจ้าหญิงและเหล่าขุนพลชาวฟีเลเซียก็คือ ทุกคนต่างคิดว่าคงจะเป็นเรื่องยากลำบากที่ชาวฟูดินันจะยอมรับการถูกตัดความช่วยเหลือแต่โดยดี เนื่องจากทหารร่วมแสนจะไม่มีอาหารไว้หล่อเลี้ยงกองทัพทันทีหลังจากเดือนนี้ไป ทว่าเหล่าขุนพลชาวป่ากลับยอมรับอย่างเข้าใจแม้จะยังมีความวิตกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างมองหน้ากันไปมาเพื่อหวังว่าจะมีใครคิดหาทางออกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“ข้าเสียใจ ที่เรื่องออกมาเป็นเช่นนี้” เจ้าหญิงตรัส

“พวกเราเข้าใจ อย่างคิดมากเลย” ฮารีซันกล่าวให้กำลังใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของเขา “เสบียงที่จะเอาไว้ใช้ในกองทัพของพวกเราต้องนี้ก็ยังมีพอเลี้ยงทั้งกองทัพได้อีกระยะหนึ่ง เวลานี้พวกเราคงต้องช่วยกันคิดหาวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ มีใครมีความคิดดี ๆ บ้าง”

“ส่งข่าวกลับไปที่เผ่าของพวกเรา ให้พวกเขาส่งเสบียงมาให้เพิ่มดีไหม?” นายพลทราเฮิร์นเสนอ

“เกรงว่าคงได้จากแต่ละเผ่าไม่มากเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็เพิ่งจะเก็บเกี่ยวและลำเลียงมากับทัพเสริมที่เพิ่งมาถึง แต่เฉพาะเผ่าของข้าคงไม่มีผลผลิตใด ๆ ส่งมาให้ เพราะจนบัดนี้พิษจากเพลิงเวทย์ก็ยังไม่เสื่อม พืชผลใด ๆ ก็คงยังกินไม่ได้” ดามิก้าพูดแล้วก็หงุดหงิดเมื่อคิดถึงความพินาศย่อยยับของเผ่าตน

“แล้วท่านฮารีซันล่ะ? ท่านคิดว่าอย่างไร?” คาร์นเอ่ยถาม

“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินมาวันนี้”

“เรื่องอะไรรึ?” ทุกคนถามอย่างสนอกสนใจ

“วันนี้มีพี่น้องของเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเผ่าฟูดินัน ตอนที่เกิดไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่เพราะการทำลายล้างของราชินีของซาโลม เขาได้อพยพครอบครัวหนีข้ามทะเลไปยังเกาะทางใต้ แต่เมื่อเขาได้ข่าวว่าเราสามารถพลักดันกองทัพเพลิงกลับออกไปได้แล้ว เขาจึงได้อพยพกลับมา แต่ได้เดินทางมาช่วยรบกับกองทัพเสริมของพวกเราที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”

“อาณาจักรทางใต้...อาณาจักรแอนดิซองที่ว่ากันว่ามั่งคั่งจนเอาเพชรนิลจินดามาประดับตามผนังบ้านน่ะรึ?” ดามิก้าถามต่ออย่างสนใจ

“เจ้าเชื่อเรื่องที่พวกพ่อค้าคุยเร่โม้ให้ฟังด้วยรึ?” คาร์นถามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าดามิก้าจะเชื่อคำพูดคุยโม้ของพวกพ่อค้าเร่

“ข้าก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้นหรอกน่า” ดามิก้าหน้าแดงหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าแค่คิดว่ามันน่าจะมีเคล้าความจริงอยู่บ้าง ไม่งั้นพวกพ่อค้าคงเอามาเล่าไม่ได้ เอาเถอะ...ว่าแต่ท่านคิดว่ามันมีอะไรน่าสนใจรึ?”

“ที่น่าสนใจก็คือ เขาได้พูดถึงความโอบอ้อมอารีของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรแอนดิซอง”

“เจ้าหญิงอลาน่า มารี ชาริเต้ แห่งแอนดิซองสินะ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขึ้น “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพระองค์มาเหมือนกัน ว่ากันว่าพระองค์เป็นเจ้าหญิงที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก”

“ใช่แล้ว ที่ข้าได้ยินมา เจ้าหญิงพระองค์นี้อุทิศตนเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งยังให้ความช่วยเหลือบรรดาชาวฟีเลเซียและฟูดินันที่อพยพหนีภัยสงครามไปที่อาณาจักรแอนดิซองอย่างเต็มที่และเท่าเทียม เหมือนเป็นประชาชนของแอนดิซองเช่นกัน”

“ดังนั้น ความคิดของท่านคือ....” ทราเฮิร์น นายทัพเซนทอร์ลากเสียงถามหยั่งความคิดของฮารีซัน

“ข้าคิดว่าเราควรจะเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงอลาน่า” ฮารีซันประกาศ

***********************


หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับทุกฝ่ายแล้ว ที่สุดด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหญิงเรจิน่า ฟีเลเซียก็ยินยอมให้ฮารีซัน หัวหน้าของกองทัพชาวป่ายืมเรือรบแห่งฟีเลเซีย (FELASIA BATTLE SHIP) เพื่อออกเดินทางสู่อาณาจักรแอนดิซอง ฮารีซันพร้อมด้วยทราเฮิร์นและทหารฟูดินันอีกจำนวนหนึ่งจึงออกเดินทางลงใต้มุ่งสู่ฐานทัพเรือของฟีเลเซีย โดยมอบหมายให้คาร์นและดามิก้าอยู่ควบคุมดูแลกองทัพที่เมืองอาวีเลียแทน

ทันทีที่มาถึงฐานทัพเรือของฟีเลเซีย ทุกคนต่างก็ต้องตื่นตะลึงกับแสนยานุภาพของกองทัพเรือแห่งฟีเลเซียซึ่งก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าทัพบกและทัพอากาศเลย เรือรบขนาดต่าง ๆ ถูกนำมาจอดเทียบท่าเรียงรายอยู่เต็มท่าเรือ เรือรบที่ฟีเลเซียให้ชาวป่าหยิบยืมนั้น เป็นเรือรบที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ดูมีความแข็งแกร่งพอที่จะแล่นข้ามทะเลที่เชี่ยวกราดได้ดี ฮารีซันและทราเฮิร์นเดินสำรวจรอบเรือรบระหว่างที่ลูกเรือชาวป่าคนอื่น ๆ ทยอยขนเสบียงอาหารลงเรือ

“นี่เป็นการเดินทางออกทะเลครั้งแรกของข้าเลยนะเนี่ย” ทราเฮิร์นกล่าวพลางสูดกลิ่นไอทะเลเข้าเต็มปอด

“ข้าก็ไม่ต่างจากท่านเท่าไหร่หรอก” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ กวาดตามองผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวและอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับการออกทะเลครั้งแรกไม่ได้เช่นกัน “ดีที่เรามีพี่น้องจากเผ่าที่อยู่ติดชายทะเลมาด้วย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการแล่นเรือมากนัก”

แม่ทัพเซนทอร์ยิ้มพยักหน้ารับคำก่อนที่รอยยิ้มจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า แววตาเริ่มฉายแวววิตกกังวล เมื่อคิดถึงหนทางเบื้องหน้าและภารกิจที่ต้องกระทำ “ท่านคิดว่าเราจะทำสำเร็จไหม?”

ฮารีซันมองตอบก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่นายทัพเซนทอร์อย่างให้กำลังใจ “เราต้องทำสำเร็จ”

“ถูกของท่าน เราต้องทำสำเร็จ” ทราเฮิร์นยิ้มอย่างมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อพี่น้องทั้งกองทัพ เขาจะรีบถอดใจก่อนไม่ได้

เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าทุกฝ่ายพร้อมออกเดินทางแล้ว ทั้งสองตบบ่าให้กำลังใจกันอีกครั้งก่อนจะเดินไปสมทบกับคนอื่น ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 45 มุ่งสู่แอนดิซอง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:56 pm

หลังจากที่คณะของฮารีซันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองท่าไปได้หนึ่งสัปดาห์ แม่ทัพชาร์ลก็ถูกเชิญตัวเข้าพบเจ้าหญิงเรจิน่า ณ จวนที่ประทับเป็นการส่วนพระองค์

แม่ทัพชาร์ลในชุดเกราะเต็มยศเดินทางมาถึงจวนที่พักตรงเวลาเหมือนเคย ในเวลาเที่ยงตรงอย่างวันนี้ แม้จะอยู่ปลายฤดูหนาวแล้วแต่ในชุดเกราะเต็มยศเช่นเขาก็เรียกเหงื่อให้ไหลเป็นทางได้ ชาร์ลรับผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มจากเด็กรับใช้ที่นำมาให้ขึ้นซับหน้าระหว่างรออยู่ในห้องรับรองที่มีอากาศเย็นสบาย ซึ่งก็คลายความร้อนลงได้มากทีเดียว เพียงครู่หนึ่งเจ้าหญิงก็เสด็จออกมาพบพร้อมแนนเนตนางกำนัลคนสนิท เจ้าหญิงทรงเดินเข้ามาหาในขณะที่แนนเนตหยุดยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าอย่างรู้หน้าที่

“ท่านมาถึงตรงเวลาเหมือนเคยนะ” เจ้าหญิงตรัสพร้อมกับประทับนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรด ในขณะที่ชาร์ลก้มศีรษะน้อย ๆ รับคำ

“ฝ่าบาททรงเรียกพบ มีเรื่องด่วนรึพ่ะย่ะค่ะ?” ชาร์ลถามนำ

“จะว่าด่วนก็ไม่เชิงหรอก แต่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ข้ายังกังวลอยู่น่าจะเหมาะกว่า” เจ้าหญิงตรัส “ท่านคิดว่าตอนนี้ซิกมันด์เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเป็นพี่ของเขา และ รู้จักเขาดีกว่าใคร ๆ เวลานี้เขาดูเคร่งเครียดตลอดเวลา...จนข้าอดเป็นห่วงไม่ได้”

“ในด้านไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท?” ชาร์ลทูลตอบ “หากเป็นในแง่ความเป็นกษัตริย์แล้ว ถือว่าพระองค์ทำได้ดีมาก ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ พระองค์อาจจะดูเคร่งเครียด และ แข็งกร้าว แต่ก็เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าอัศวินโดยแท้จริง ยิ่งท่าทีที่พระองค์มีต่อกองทัพชาวป่านั้นก็ยิ่งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ได้อย่างดี เพราะหากพระองค์ทรงชื่นชมกองทัพชาวป่าที่เพิ่งเข้ามาช่วยเสริมกำลังให้กองทัพของเรา แต่กลับทำให้เราสามารถตีโต้กองทัพซาโลมจนสามารถยึดเมืองคืนได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว เหล่าอัศวินที่ทุ่มเทแรงกายถวายชีวิตในการรบมาเป็นเวลาแรมเดือนก็จะพาลท้อแท้หมดกำลังเอาได้ ดังนี้แล้วท่าทีแข็งกร้าวต่อกองทัพชาวป่าของพระองค์จึงเป็นเหมือนการประกาศให้เหล่าอัศวินทั้งกองทัพทราบว่าพระองค์ยังคงรักและภาคภูมิใจในพวกเขาอยู่”

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยิ้มพยักหน้าเห็นด้วยกับจอมทัพฟีเลเซีย น้องชายของพระองค์ต้องขึ้นรองราชย์ตั้งแต่ด้วยวัยเพียงสิบหกปี ครั้นขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็ต้องเข้ารบทัพจับศึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เขาสามารถประคับประคองนำพาประเทศชาติและกองทัพให้ยังคงเป็นปึกแผ่นได้เพียงลำพังคนเดียวนานถึงเกือบสามปีแล้ว แต่ทว่าเจ้าหญิงก็ยังคงมีความวิตกกังวลอยู่จึงตรัสถามต่อ

“ข้าเข้าใจที่เขาแสดงท่าทีที่ดูแข็งกร้าวเกินจริงต่อกองทัพฟูดินันเพื่อขวัญและกำลังใจให้แก่กองทัพของเรา แต่ความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีต่อกองทัพชาวป่าเล่า? นี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าวิตกเพราะเขาไม่ค่อยจะยอมบอกอะไรข้าสักเท่าไหร่เลย”

“ก็เพราะพระองค์ดูมีท่าทีชื่นชอบกองทัพชาวป่าอยู่มากนะสิพ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลยิ้มร่าทูลดักอย่างรู้ทัน

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยชาร์ล” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบพลางหรี่ตาแคบคล้ายกำลังหาวิธีแก้เผ็ดไว้ในใจ

“ฝ่าบาททรงยอมรับในฝีมือการรบของกองทัพฟูดินัน” ชาร์ลทูลตอบพร้อมกับทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้สัญญาณเตรียมแก้เผ็ดของเจ้าหญิง

“เขาพูดเช่นนั้นรึ?” เจ้าหญิงทรงอดถามย้ำอย่างตื่นเต้นไม่ได้

“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากทอดพระเนตรการรบของกองทัพฟูดินัน2-3ครั้ง พระองค์ก็ตรัสกับกระหม่อมถึงเรื่องนี้ ทว่าเจ้าหญิงต้องทรงเก็บไว้เป็นความลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ฝ่าบาทต้องการให้การยอมรับกองทัพชาวป่าดำเนินไปอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”

“ข้าเข้าใจ เพียงข้าได้ยินว่าซิกมันต์มีความรู้สึกเช่นนี้กับกองทัพฟูดินัน ข้าก็ค่อยเบาใจขึ้น”

“พ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททรงรังเกียจหรือเหยียดหยามกองทัพฟูดินันอย่างที่ทรงแสดงออก ป่านนี้พวกเขาคงไม่ได้เรือรบแม้สักลำออกทะเลเพื่อเดินไปอาณาจักรแอนดิซองง่ายดายเช่นนี้ และเรือที่ให้ไปก็ถือว่าเป็นเรือรบชั้นดีลำหนึ่งของเราทีเดียว”

“จริงของท่าน” เจ้าหญิงทรงยิ้มรับคำ “ตอนนี้ก็คงเหลือแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ซิกมันต์คลายความตึงเครียดลงได้บ้าง การเป็นกษัตริย์ที่ต้องดูแลกองทัพและเมืองต่าง ๆ ในภาวะสงครามเช่นนี้ช่างเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน แม้หากเสด็จพ่อยังมีพระชนม์อยู่ก็คงจะต้องปกครองด้วยความลำบากไม่ใช่น้อย ซิกมันต์แข็งแกร่งและเติบโตขึ้นมากจริง ๆ “

“พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่พวกเราภาคถูมิใจ” ชาร์ลยิ้มรับคำด้วยความจริงใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน

cron