Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ เม.ย. 19, 2024 2:12 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:38 pm

Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก



เช้าวันใหม่บนวาฮาลชั้นที่สองนั้นช่างสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องผ่านม่านหมอกบาง ๆ ทำให้ยามเช้าบนเนินเขาแห่งนี้ดูราวกับสวนสวรรค์ เจ้าหญิงเรจิน่าทรงตื่นจากบรรทมมาได้ครู่ใหญ่แล้ว และกำลังรอฮารีซันซึ่งตระเตรียมมื้อเช้าสำหรับทั้งคู่อยู่ เมื่อวานนี้กว่าที่ทั้งคู่จะขึ้นมาถึงวาฮาลชั้นที่สองได้ก็ล่วงเข้าเวลามืดค่ำแล้ว จึงต้องยุติการเดินทางและจัดเตรียมที่พักนอนเอาแรง เพื่อวันนี้จะได้มีแรงออกติดตามหากษัตริย์ซิกมันด์ได้ทั้งวัน

ขณะที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น จู่ ๆ เจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่หลังพุ่มไม้ เจ้าหญิงจึงรีบดีดองค์ลุกขึ้นแทบจะทันใด ทำเอาฮารีซันสะดุ้งจนตาค้างกับอาการผลุบผลับของพระองค์

“เกิดอะไรขึ้น?” ฮารีซันรีบถาม

“นั่นไง!” เจ้าหญิงทรงชี้มือไปที่ชายป่าอีกด้านส่วนอีกมือก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้ามดาบคู่ใจ เมื่อเห็นใครคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมยาวสีเทาในมือถือไม้เท้าเดินตรงเข้ามา ทว่าพอบุคคลลึกลับเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น บุคคลทั้งสองก็ต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่งทันที

“หยุดตรงนั้นแหละ! เจ้าเป็นใคร? มีธุระอะไร?” เจ้าหญิงตรัสเสียงดังหมายจะแสดงให้เห็นว่าพระองค์พร้อมที่จะปกป้องตนเองทันทีถ้าผู้มาใหม่มีเจตนาร้าย

ครั้นผู้มาใหม่เงยหน้าขึ้น ทั้งสองจึงได้เห็นว่าเป็นหนุ่มน้อยที่ดูแล้วไม่น่าจะอายุเกินสิบหกปีเท่านั้น เด็กหนุ่มเหลือบมองผู้สูงศักดิ์จากสองอาณาจักรและยิ้มน้อย ๆ

“ช้าก่อน เจ้าหญิง” ฮารีซันรีบออกตัว “ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้มาร้าย และอีกอย่างเขาก็ไม่มีอาวุธด้วย เก็บดาบของท่านเถอะ”

เจ้าหญิงเรจิน่ามองผู้มาใหม่ให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงผ่อนคลายท่าทีลง

“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า? น้องชาย” ฮารีซันถามอย่างเป็นมิตร

หนุ่มน้อยผู้มาใหม่นิ่งมองฮารีซันพักหนึ่งก่อนจะยิ้มร่าออกยียวนน้อย ๆ “ข้ามาช่วยท่านต่างหาก”

“เจ้าพูดว่ามาช่วยพวกเรารึ?” เจ้าหญิงทรงรู้สึกข้องพระทัยและหมั่นไส้ท่าทางยียวนของเด็กหนุ่ม

“เจ้ารู้รึว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่?” ฮารีซันถามอย่างใจเย็น

“ข้ารู้ว่าพวกท่านมาตามหาอะไร และรู้ว่าอยู่ที่ไหน” เด็กหนุ่มกล่าว

“เจ้าผิดแล้ว เราไม่ได้มาตามหาอะไรบนนี้” เจ้าหญิงทรงยิ้มอย่างยียวนบ้าง คิดจะแกล้งหักหน้าเจ้าเด็กหนุ่มขี้โม้นี่เสียหน่อย “พวกเรากำลัง...”

“ใช่ ๆ พวกท่านสองคนมาตามหาใครบางคนต่างหาก” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเป็นต่อ “ข้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน”

“เจ้ารู้รึว่าซิกมันด์อยู่ที่ไหน?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างพระทัยร้อนลืมเรื่องความตั้งใจจะดัดนิสัยเด็กหนุ่มเสียสนิท

“รู้สิ ข้านำทางไปได้...ก็แล้วแต่พวกท่านนะ ถ้าพวกท่านอยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ตามมา” เด็กหนุ่มยิ้มร่าและหมุนตัวออกเดิน พลางกล่าวไล่หลังโดยไม่คิดจะหันกลับมาดูอีกว่าทั้งสองจะเดินตามมาหรือไม่

“นี่...เดี๋ยวสิ” เจ้าหญิงทรงร้องห้ามแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้หยุดหรือทำแม้แต่ชะลอฝีเท้าลงเลย

“ท่านจะเอาอย่างไร?” ฮารีซันหันมาถามเจ้าหญิง

“ตามไปสิ” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสแทบจะทันที “ที่นี่ออกกว้างใหญ่ ถ้าพวกเราเดินหากันเองโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็พาลจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ แต่ถ้าเจ้าเด็กนี่คิดจะแกล้งเราละก็ คอยดูเถอะ! ข้าจะอัดให้น่วมเลย”

เจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันรีบสาวเท้าไปตามทิศทางที่เด็กหนุ่มเดินจากไปในทันที สักพักจึงได้พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งรอพวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว

“เจ้ารู้รึว่าพวกเราจะตามมา?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างสงสัย

“ท่านมีเรื่องอื่นที่อยากจะถามข้ามากกว่าคำถามตลก ๆ นี่มิใช่รึ?” เด็กหนุ่มหัวเราะถามอย่างอารมณ์ดี พลางใช้ไม้เท้ายันตัวขึ้นยืน

“น้องของข้าอยู่ไหน?”

“น้องของท่านก็ถูกเทพเจ้าสายฟ้าคุมขังไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนเขาชั้นที่สามนู่นน่ะสิ” เด็กหนุ่มตอบชี้ไม้เท้าไปยังวาฮาลชั้นที่สาม

“เรื่องนั้นข้าก็พอรู้อยู่หรอก ข้าอยากรู้เส้นทางที่จะไปต่างหาก”

“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะข้าจะนำทางให้พวกท่านเอง” เด็กหนุ่มตอบหน้าระรื่น

“บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าเจ้านำทางพลาดทำให้ข้าไปช่วยน้องชายล่าช้าละก็ ข้าจะอัดเจ้าให้น่วมก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแน่ ๆ “ เจ้าหญิงตรัสเหมือนอยากจะเอาชนะ นี่ถ้าพระองค์ไม่ได้กำลังร้อนพระหัตถ์เพราะตามหาซิกมันด์ละก็ ป่านนี้พระองค์คงได้สนุกกับการตั้งคำถามยียวนของเจ้าเด็กหนุ่มนี่แน่ ๆ

เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวเราะก๊ากจนหน้าหงาย ทำเอาฮารีซันและเจ้าหญิงเรจิน่าต้องมองหน้ากันเพราะคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านรู้มั้ยว่าท่านพูดเหมือนน้องชายของท่านเปี๊ยบเลย ต่างกันตรงที่ว่าน้องชายของท่านคิดจะตัดหัวข้าเพื่อลงโทษ แต่ท่านแค่จะอัดสั่งสอนข้า” เด็กหนุ่มขยิบตาใส่ “ท่านทั้งพี่ทั้งน้องไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจแน่ ๆ “
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:41 pm

“เจ้าก็เป็นผู้นำทางให้ซิกมันด์ด้วยอย่างนั้นรึ? ทหารเปกาซัสบอกว่าเป็นชายแก่นี่ ไม่ใช่เด็กหนุ่ม” เจ้าหญิงทรงตั้งข้อสังเกตมองเด็กหนุ่มด้วยความเคลือบแคลงใจในทันใด

“ถูกต้อง! ข้าเป็นผู้นำทางให้เขา ส่วนเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอย่างเรื่องหนุ่มหรือแก่ ท่านจะไปสนใจทำไมกัน?” เด็กหนุ่มหัวเราะร่าอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงรอดมาได้ ในขณะที่ซิกมันด์ถูกจับล่ะ?” เจ้าหญิงทรงไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ

“ก็เพราะเราแยกทางกันไปก่อนนะสิ” เด็กหนุ่มตอบหน้าตาเฉย “เอาเป็นว่าเวลานี้ข้ามีสองทางให้ท่านเลือกว่าจะไปทางไหน? ทั้งสองทางก็ไปถึงที่หมายได้เหมือนกัน แต่มีอุปสรรคขวางทางไม่เหมือนกัน ทางหนึ่งมีมังกรสวรรค์เฝ้าปากทางไว้ ส่วนอีกทางมีวาลคิเร่นามว่า บริจิตต์ คอยปกป้องทางเข้าอยู่ เลือกโชคชะตาของท่านเสีย”

เมื่อจู่ ๆ เจ้าหญิงเรจิน่าถูกบังคับให้ต้องตัดสินพระทัยกะทันหัน จึงนิ่งอึ้งเพราะตัดสินพระทัยไม่ถูก พลางหันพระพักตร์ไปหาฮารีซันเหมือนจะขอความคิดเห็น ฮารีซันใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักก็ได้คำตอบ

“ข้าเลือกทางวาลคิเร่ บริจิตต์” ฮารีซันตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เด็กหนุ่มมองหน้าฮารีซันเหมือนประเมินความคิดก่อนจะยิ้มถามด้วยความสนใจอย่างแท้จริง

“ขอทราบเหตุผลของท่านได้หรือไม่? ข้าคิดว่านางก็คงอยากรู้เหมือนกัน”

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงหันไปมองเด็กหนุ่มทันที พระองค์เพิ่งจะทรงรู้สึกว่าพระองค์กับเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเดียวกันก็คราวนี้แหละ ถ้าเด็กหนุ่มนี่จะโดนอัดเพราะนำทางผิดละก็ พระองค์จะออมมือให้หน่อยก็แล้วกัน

“ข้าเพียงแต่คิดว่านางเป็นวาลคิเร่ คงจะสามารถพูดคุยกับนางและอธิบายให้นางเข้าใจได้ถึงเหตุจำเป็นของพวกเราที่จะต้องผ่านทางที่นางพิทักษ์อยู่” ฮารีซันกล่าวตอบ

เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ ในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองฮารีซันด้วยความประหลาดพระทัยแกมชื่นชม เขาช่างมีความคิดที่แตกต่างจากทุกคนที่พระองค์ทรงรู้จักจริง ๆ

“ดี ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทาง...โอ๊ะ!” เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ เจ้าทารอตโต้ก็โผล่หัวออกมาจากชายผ้าคลุมแทบจะทันที มันเหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่งก่อนจะหันมามองฮารีซันนิ่ง ๆ เด็กหนุ่มหัวเราะร่า “ฮ่า ฮ่า เพราะเหตุผลในการเลือกของท่าน ทำให้แม้แต่เจ้านี่ยังอยากจะเห็นหน้า”

“เจ้ามีแมวมาด้วย?” ฮารีซันอุทานอย่างยินดี ในขณะที่เจ้าหญิงทรงยิ้มออกมาอย่างชอบพระทัยและเขยิบเข้าไปใกล้

“แมวของเจ้าสีประหลาดจริง แถมมีขนยาวที่กลางกระหม่อมดูเหมือนผมเลย” เจ้าหญิงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเกาปอยผมก่อนจะเลี้ยวลงมาเกาที่ปลายคาง ซึ่งเจ้าสัตว์สีม่วงก็เอียงคอหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน

“เจ้านี่ชื่ออะไรรึ?” ฮารีซันถามยิ้ม ๆ

“ทารอตโต้...ท่านชอบแมวรึ?” เด็กหนุ่มยิงคำถามใส่ฮารีซันด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“ข้าชอบสัตว์ทุกประเภทนั่นแหละ...แมวก็ด้วย” ฮารีซันตอบ

“งั้นท่านก็เหมาะกับนาง” เด็กหนุ่มยิ้มตอบหน้าตาเฉยทำเอาทั้งสองหนุ่มสาวหยุดชะงักใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันที

“จะ...เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” เจ้าหญิงทรงได้สติก่อนรีบตรัสถามอย่างตะกุกตะกัก

“ข้าพูดว่า เขาเหมาะกับท่าน” เด็กหนุ่มตอบฉีกยิ้มแฉ่ง

“เจ้านี่ พูดจาแก่แดดเหลือเกิน ตกลงว่าเจ้านำทางพวกเราหรือมาวิเคราะห์พวกเรากันแน่” เจ้าหญิงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นกอดอก มองจ้องเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาก็เบ้ปากยักไหล่ ก่อนจะหัวเราะหึหึในลำคอและออกเดินนำ

เจ้าหญิงส่ายหน้ากับท่าทียียวนของเด็กหนุ่มก่อนจะเหลือบมองฮารีซันที่มองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพลางหันกลับมาหาเจ้าหญิง แต่ทันทีที่สายตาทั้งคู่ประสานกัน ใบหน้าก็กลับแดงระเรื่อขึ้นมาใหม่ราวกับว่าได้ยินคำพูดนั้นอีกรอบ ทั้งสองต่างก้มหน้าก้มตาออกเดินตามเด็กหนุ่มไป โดยที่ต่างก็ไม่ได้สังเกตว่ามีรอยยิ้มอาย ๆ แตะแต้มอยู่บนริมฝีปากของอีกฝ่าย

ยิ่งสูงหนทางก็ยิ่งลำบากมากขึ้น บุคคลทั้งสามเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า ลำธารแล้วลำธารเล่า จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มโรยลาจากขอบฟ้าและสองหนุ่มสาวแทบจะไม่มีแรงก้าวเท้าอีกต่อไป เด็กหนุ่มก็ประกาศยุติการเดินทางและมองหาที่หาทางที่จะใช้เอนกายพักผ่อนในคืนนั้น

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นบุคคลทั้งสามก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น เช้านี้หมอกลงไม่หนามากนัก ทุกคนจึงตัดสินใจออกเดินทางต่อทันที การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างราบรื่นเพราะเส้นทางไม่ลาดชันนัก อีกทั้งเด็กหนุ่มก็เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้เพลิดเพลินจนลืมเหนื่อยไปได้ จนเมื่อแม้ช่วงเวลาหยุดพักเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งสามก็ยังคุยแบ่งปันกันถึงเรื่องอาณาจักรของแต่ละคน ซึ่งก็ดูทีท่าว่าเด็กหนุ่มจะรู้จักอาณาจักรทั้งฟูดินันและฟีเลเซียเป็นอย่างดี จนทั้งฮารีซันและเจ้าหญิงเรจิน่ายังอดประหลาดใจไม่ได้

“เจ้าดูเหมือนชาวฟีเลเซียนะ แต่เจ้ากลับรู้จักอะไรต่าง ๆ ในฟูดินันดีทีเดียว” เจ้าหญิงทรงอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้

“ข้าเติบโตในฟีเลเซีย แต่ระยะนี้ข้าชอบความสงบเงียบในฟูดินัน” เด็กหนุ่มกล่าวตอบ

“เจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? แต่กลับพูดราวกับว่าใช้ชีวิตมาสักสามสิบ สี่สิบปีมาแล้วอย่างนั้นแหละ” เจ้าหญิง
เรจิน่าทรงแสร้งเหน็บอย่างอารมณ์ดี ทำให้ฮารีซันอดหัวเราะขำไปด้วยไม่ได้

“ความจริง อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็นก็ได้” เด็กหนุ่มพูดปนหัวเราะอย่างทีเล่นทีจริง

“เออ จริงสิน้องชาย” ฮารีซันพูดเหมือนนึกได้ “จนป่านนี้เจ้ายังไม่ได้บอกนามของเจ้ากับพวกเราเลยนะ”

เด็กหนุ่มยิ้ม ก้มลงมองเจ้าทารอตโต้เหมือนรู้กัน “ที่จริงก็ดูเหมือนท่านพยายามถามข้าหลายครั้งแล้ว แต่ข้าไม่มีความประสงค์จะตอบท่านเท่านั้นเอง ทีข้ายังไม่ถามนามพวกท่านทั้งสองเลยไม่ใช่รึ? อย่าสนใจข้านักเลย ท่านมีเรื่องให้สนใจมากกว่านั้น ลองดูที่ต้นไม้สามต้นที่ขึ้นเรียงกันที่เชิงหินฟากโน้นสิ” เด็กหนุ่มชี้ให้หนุ่มสาวทั้งสองดู “เดินจากตรงนั้นไปอีกสักสองชั่วยามก็จะถึงเขตแดนที่บริจิตต์เฝ้าพิทักษ์อยู่แล้ว เอ...ข้าได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับนางให้ฟังรึยัง?”

“ถ้าไม่นับเรื่องลมฟ้าอากาศบนวาฮาลและแฟรี่ละก็ เจ้าจะต้องพูดถึงแต่ทารอตโต้ของเจ้า” ฮารีซันตอบยิ้มขำ

“โอ้ ข้าลืมเล่าส่วนที่สำคัญที่สุดไปได้ยังไงกัน?” เด็กหนุ่มใช้นิ้วเกาคางอย่างคนที่กำลังนึกอะไรสักอย่าง” ทำไมท่านไม่เตือนข้า?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:42 pm

“เตือนเจ้าน่ะรึ?” เจ้าหญิงทรงกรอกตาขึ้นมองฟ้า “เราจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารู้เรื่องวาลคิเร่ด้วย เจ้ารู้เรื่องอะไรของนางบ้างล่ะ?”

“เป็นการเริ่มต้นคำถามที่ดี” เด็กหนุ่มกล่าวชม ทำให้เจ้าหญิงต้องแสร้งยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นฟ้าเหมือนเหลือทนกับเด็กหนุ่ม ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากหัวหน้าเผ่าฟูดินันได้ไม่น้อยทีเดียว

“เอาละ” เด็กหนุ่มตั้งท่าเล่า “กำเนิดวาลคิเร่นั้นก็มาจากเมื่อคราวที่แผ่นดินสวรรค์บางส่วนตกมายังโลก ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจึงแยกร่างของตนออกเป็นส่วน ๆ ก่อกำเนิดเป็นวาลคิเร่สิบสองนางเพื่อคอยพิทักษ์ชิ้นส่วนและของศักดิ์สิทธิ์ที่กระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ บนพื้นโลก บริจิตต์นั้นกำเนิดจากส่วนขาขวาของทูตสวรรค์นางนั้น นางมีหอกทองคำชื่อไลท์แลนท์ (Light Lance) เป็นอาวุธคู่กาย และขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฝีมือของนางเท่าที่ข้ารู้ยังไม่เป็นรองใครเลย” เด็กหนุ่มกล่าวเตือนแต่ก็เหมือนข่มขวัญในที

“ถึงอย่างไร ข้าก็ยังเชื่อว่าเราสามารถเจรจาให้นางเข้าใจได้” ฮารีซันกล่าวอย่างมีความหวัง

“ดี ถ้าเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อได้แล้ว มาดูกันสิว่าเจ้าจะเจรจาสำเร็จไหม?” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างร่าเริงลุกขึ้นในทันใด

ทั้งสามจึงออกเดินทางมุ่งสู่เชิงผาที่มีต้นไม้ขึ้นเรียงกันสามต้น เส้นทางนั้นเป็นเนินสูงสลับกับทางลาดชันทำให้การเดินทางลำบากมากกว่าเดิม หนทางที่ดูเหมือนจะใกล้ แต่ความยากลำบากในการเดินทางทำให้ต้องเสียเวลาทั้งวันกว่าจะไปถึงยอดเชิงผานั้นได้ ทั้งสามจึงต้องตัดสินใจหยุดตั้งที่พักที่ใต้ต้นไม้สามต้นนั้น และในคืนนั้นเองที่เด็กหนุ่มบอกเส้นทางที่จะไปถึงที่พำนักของธอร์อย่างละเอียดให้บุคคลทั้งสองได้รู้ แม้ทั้งสองจะสงสัยว่าเด็กหนุ่มจะรีบบอกเส้นทางล่วงหน้าทำไม แต่ก็กลับได้รับคำตอบแสนยียวนว่า เขาพอใจที่จะร่วมทางเท่าที่เขาต้องการเท่านั้น จึงบอกทางไว้ก่อนเพื่อทั้งสองจะได้เดินทางต่อไปเพียงลำพังได้ คืนนั้นทั้งสามเข้านอนท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังแผ่ว ๆ เหมือนเสียงคำราม พร้อมด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปให้ถึงที่พำนักของเทพเจ้าธอร์ให้เร็วที่สุด


************************


“นี่เราจะกลับกันได้รึยังเนี่ย? ข้าเบื่อที่จะต้องนอนกลางป่าแล้วนะ แมลงมันคอยแต่จะเข้ามาวิ่งเล่นในหู
ข้า” ทารอตโต้บ่นอุบอิบพลางเอียงคอยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเกาหู

“เจ้าเป็นถึงผู้นำโชคชะตา (Dark Destiny) แมลงป่าธรรมดาทั่วไปจะทำอะไรเจ้าได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางแสงจันทร์

“ข้าก็แค่หาข้ออ้างกลับไปนอนเล่นที่บ้านนั่นแหละ” ทารอตโต้ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงกระพือปีกเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยขบระหว่างเดินไปตามทางลาด

“เจ้าว่าคราวนี้จะสำเร็จไหม?” เด็กหนุ่มที่รูปร่างค่อย ๆ สูงใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์โตเต็มวัยเอ่ยปากถาม

ทารอตโต้กระพือปีกบินขึ้นไปเกาะบนไหล่ของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวลและเงียบกริบ ก่อนจะแลบลิ้นเลียอุ้งเท้าข้างหนึ่งและลูบปอยผมบนกระหม่อม “ท่านเดาเหตุการณ์ต่อไปได้อยู่แล้วนิ ไม่เห็นจะต้องถามข้าเลย”

เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของทั้งคู่หายไปในเงาไม้ยามราตรี


***********************


เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเบา ๆ ของฮารีซัน พร้อม ๆ กับคำพูดที่น่าใจหายว่าเด็กหนุ่มได้จากไปแล้ว แม้จะโมโหและเต็มไปด้วยความสงสัยต่อพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม แต่ก็ทรงยอมรับว่าพระองค์ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน นอกจากมุ่งหน้าต่อไปตามทางที่เด็กหนุ่มได้บอกเอาไว้

ทั้งสองหนุ่มสาวจึงได้ออกเดินทางตามลำพังอีกครั้ง เส้นทางที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปนั้น ในวันนี้ดูสดใสไร้ม่านหมอกใด ๆ พื้นลาดแต่ไม่ชันมากเท่ากับเมื่อวันก่อน จึงทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นมาก เมื่อทั้งสองเดินทางมาจนถึงช่วงสายของวัน ฮารีซันจึงได้สังเกตว่าพวกตนเดินกลับมาที่เดิม แม้ตอนแรกเจ้าหญิงจะยังไม่ยอมเชื่อเพราะคิดว่าต้นไม้เหมือน ๆ กันอาจทำให้สับสนได้ แต่เมื่อฮารีซันยืนยันหนักแน่นพร้อมทั้งชี้จุดสังเกตที่ตนเห็นให้เจ้าหญิงได้ทราบ เจ้าหญิงจึงเริ่มตระหนักว่าพวกตนกำลังหลงป่า

“ไม่ใช่ เราไม่ได้กำลังหลง ข้าอยู่กับป่ามาทั้งชีวิตและไม่เคยหลงป่า” ฮารีซันบอกเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “มีอะไรสักอย่างทำให้เราเข้าใจเช่นนั้น”

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูดแทบจะทันที แม้แต่ตัวพระองค์ยังอดประหลาดพระทัยไม่ได้ เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่สงสัยในความสามารถของเขาอีกแล้ว ในเมื่อมีอะไรหรือใครก็ตามที่ทำให้พวกตนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ สิ่งนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่เฝ้าดินแดนแห่งนี้ไว้นั่นเอง

“บริจิตต์ ท่านอยู่แถวนี้ใช่ไหม?” เจ้าหญิงทรงตรัสถามเสียงก้อง

ฉับพลันนั้นเอง ต้นไม้หลายต้นก็หดหายลงไปในพื้นดิน ม่านหมอกค่อย ๆ โรยตัวลงมา ครั้นพอลมพัดหอบเอาม่านหมอกหายไปก็ปรากฏทัศนียภาพที่แปลกตาออกไปจากเดิม พร้อม ๆ กับมีร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง สองหนุ่มสาวรู้ได้ทันทีว่านางคือ วาลคิเร่บริจิตต์ นั่นเอง นางมีใบหน้าคมหมดจด ผมหยักสลวยสีน้ำตาลทองยาวถึงกลางหลัง นางอยู่ในชุดเกราะเยี่ยงนักรบหญิง หมวกเกราะประดับด้วยขนนกในมือถือหอกทองคำปลายหอกเป็นทรงเหลี่ยม ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่ามันคมกริบเพียงใด

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์เช่นพวกเจ้าจะย่างกรายเข้ามา จงกลับไปเสีย” วาลคิเร่บริจิตต์ กล่าวเสียงเรียบ

“แต่พวกเรามีความจำเป็นต้องผ่านทางนี้” เจ้าหญิงตรัสอย่างร้อนรน และตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องผ่านไปให้ได้

“ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถผ่านดินแดนเขตนี้ไปได้เว้นเสียแต่ว่า พวกเจ้าจะชนะเราได้เสียก่อน” วาลคิเร่สาวกล่าวพลางดันหอกมาข้างหน้าแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะสู้แล้ว

“ช้าก่อนท่านวาลคิเร่ พวกเราอยากจะขอความเห็นใจและความเข้าใจจากท่าน“ ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ทำให้บริจิตต์มีท่าทางที่ผ่อนคลายลง ฮารีซันจึงเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องความจำเป็นของกษัตริย์ซิกมันด์ที่จะต้องมาขอยืมนกธันเดอริก การที่พระองค์ถูกเทพเจ้าธอร์จับกุมไว้และความสำคัญของกษัตริย์ซิกมันด์ต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมื่อได้ฟังจบ บริจิตต์ก็ทำหน้าเศร้าแสดงความเห็นใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:43 pm

“เราเข้าใจและเห็นใจพวกเจ้า แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ จงสู้กับเรา หากเจ้าชนะ เราจะชี้ทางที่จะไปพบเทพเจ้าธอร์ให้เจ้า” บริจิตต์กล่าวจบก็ตวัดหอกในท่าเตรียมจู่โจมแม้สีหน้ายังคงเจือแววเห็นใจอยู่ในที

“ท่านผ่อนปรนสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ?” ฮารีซันถาม ยังอยากที่จะหวังในความเห็นใจที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของบริจิตต์

“เราถือกำเนิดมาเพื่อหน้าที่นี้ เตรียมตัว” วาลคิเร่ส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเสียใจที่แม้จะอยากช่วยแต่ก็ไม่อาจทำได้

และแล้วการโจมตีของวาลคิเร่สาวก็เริ่มต้นขึ้น เสียงหอกกระทบกับโล่ดังสนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า บริจิตต์พุ่งโจมตีใส่ฮารีซันจากทุกทิศทุกทางด้วยความรวดเร็ว ฮารีซันได้แต่ยกโล่ขึ้นรับปลายหอกอย่างสุดกำลัง แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ ฮารีซันจึงไม่สามารถรุกเข้าใส่บริจิตต์เลยสักครั้งเป็นแต่เพียงฝ่ายตั้งรับอยู่เป็นเวลานาน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครเป็นรอง จนในที่สุดเมื่อความอดทนของเจ้าหญิงสิ้นสุดลงในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ปลายดาบของเจ้าหญิงก็ตวัดคมหอกของบริจิตต์จนพลาดเป้าปักลงพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ประลองทั้งสอง

“เปลี่ยนตัว” เจ้าหญิงทรงยิ้มแต่ดวงเนตรฉายแววจริงจังชัดเจน “ข้าจะเป็นผู้ประลองกับท่านเอง”

“เจ้าหญิง?!” ฮารีซันตกใจจนพูดไม่ออก

“ข้ามั่นใจว่าข้าเร็วกว่านาง อย่าห่วงเลย” เจ้าหญิงทรงขยับตั้งท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่บริจิตต์ก็ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับตวัดหอกเตรียมพร้อมเช่นกัน ฮารีซันจึงต้องยอมถอยออกมาและมองเจ้าหญิงด้วยความเป็นห่วง

คมดาบที่ตวัดเข้าใส่บริจิตต์นั้นรวดเร็วและฉับไวจนแม้ความได้เปรียบจากความยาวของหอกก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าหญิงได้เลย หญิงสาวทั้งสองต่างฟัดฟันอาวุธใส่กันอย่างดุเดือด ทว่ายิ่งสู้กันนานไปเจ้าหญิงเรจิน่ากลับเพิ่มจังหวะในการออกดาบเร็วขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งกลายเป็นว่าวาลคิเร่บริจิตต์ทำได้แต่เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น จนที่สุดเมื่อการออกอาวุธของเจ้าหญิงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในวินาทีที่เจ้าหญิงทรงเข้าประชิดตัวของบริจิตต์ ชั่วเวลานั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจเมื่อเจ้าหญิงทรงแนบคมดาบไว้ที่ลำคอของนางวาลคิเร่ หญิงสาวทั้งสองยังคงจ้องมองดวงตาของกันและกันอยู่อีกชั่วระยะหนึ่ง จนเมื่อบริจิตต์ระบายลมหายใจออกช้า ๆ

“เราแพ้แล้ว” บริจิตต์เอ่ยเสียงเรียบ ยอมรับความพ่ายแพ้ของตนต่อเจ้าหญิงเรจิน่า “เราจะชี้ทางลัดที่สามารถไปหาเทพเจ้าธอร์ได้เร็วขึ้นให้พวกเจ้า”

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงคลี่ยิ้มอย่างเต็มที่ปล่อยดาบลงพร้อมกับสวมกอดบริจิตต์ด้วยความดีใจอย่างที่สุด ปากก็พร่ำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า บริจิตต์ลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะสวมกอดเจ้าหญิงอย่างเก้อเขิน บริจิตต์ชี้เส้นทางที่จะไปถึงเทพเจ้าธอร์ให้บุคคลทั้งสอง ซึ่งทั้งเจ้าหญิงเรจิน่าและฮารีซันต่างก็ขอบคุณวาลคิเร่บริจิตต์เป็นการใหญ่ก่อนจะร่ำลาบริจิตต์และออกเดินทางต่อไป


*****************************



สองหนุ่มสาวเดินลัดเลี้ยวไปตามโขดหินและต้นไม้ใหญ่ตามที่บริจิตต์บอกไว้ จนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับไปจากขอบฟ้าและเริ่มมีดวงดาวประดับทั่วผืนฟ้าสีน้ำเงินเทา ทั้งสองก็เดินมาถึงช่องเขาที่ดาษดื่นไปด้วยหินก้อนน้อยใหญ่มากมาย ทั้งคู่เดินไปตามทางขรุขระที่นำไปสู่เวิ้งกว้างขนาดใหญ่ ทั้งสองสามารถมองเห็นแสงไฟวูบวาบจากอีกฟากหนึ่งของเวิ้งกว้างพร้อมกับเสียงคำรามประหลาดที่ดังสะท้อนช่องเขาไปมาอยู่ตลอดเวลา ทว่าทั้งสองไม่อาจมองเห็นต้นตอของเสียงนั้นได้เพราะมันถูกหินขนาดมหึมาบดบังไว้

ทั้งสองค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไปอย่างเงียบกริบ จนเมื่อผ่านพ้นช่องเขามาได้จึงเห็นว่าต้นเหตุแห่งแสงและเสียงคำรามนั้นคือกรงสายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปมาอย่างน่ากลัว ทั้งสองเดินผ่านแท่นบัลลังก์ขนาดใหญ่และต่างก็ชำเลืองมองด้วยความรู้สึกยำเกรงและหวาดระแวง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่แห่งนี้ต้องเป็นที่พำนักของเทพเจ้าธอร์อย่างแน่นอน

เจ้าหญิงเรจิน่าสามารถวิ่งไปถึงกรงสายฟ้าได้ก่อน พระองค์ทรงมองลอดเข้าไประหว่างซี่กรงสายฟ้า เสียงสายฟ้าที่ดังคำรามเป็นระยะ ๆ ฟังดูน่ากลัวไม่น้อยทีเดียวเมื่อมาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้ ภายในกรงนั้นสว่างจนเกือบจ้าและอาบทุกอย่างในนั้นจนดูขาวโพลนไปหมด เจ้าหญิงทรงหรี่พระเนตรเพ่งมองสำรวจไปเรื่อย ๆ ซึ่งภายในดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่าและก้อนหินเล็กใหญ่มากมาย แต่เมื่อสายตาเริ่มชินกับความสว่างของสายฟ้าแล้ว พระองค์จึงได้สังเกตเห็นว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากก้อนหินทั้งหมดภายในกรงนั้น ครั้นเมื่อทรงเพ่งมองให้ถี่ถ้วนมากขึ้นก็ต้องตกใจจนแทบควบคุมตัวไม่ได้

“พระเจ้าช่วย! ซิกมันด์!” ตรัสแล้วก็แทบจะถลาเข้าไปหากรงสายฟ้านั่น แต่ก็ถูกฮารีซันคว้าตัวไว้ได้ทัน

“ซิกมันด์! ซิกมันด์!” เจ้าหญิงทรงตะโกนเรียกแข่งกับเสียงคำรามของสายฟ้าจนสุดเสียง

ก้อนหินนั้นกระตุกเล็กน้อยแต่ก็นิ่งไป ทว่าเมื่อเสียงเรียกตะโกนยังดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก้อนหินนั้นก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นยืนในทันใด

ที่แท้แล้วนั่นก็คือกษัตริย์ซิกมันด์ซึ่งนอนคู้กายด้วยเพราะหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนให้รอดจากกรงสายฟ้านั่นเอง แรกทีเดียวพระองค์ทรงคิดว่าหูแว่วไปทำ ให้ได้ยินเสียงเรียกเหมือนที่พระองค์ทรงได้ยินอยู่บ่อย ๆ ตลอดเวลาที่ถูกขังอยู่ในกรงสายฟ้านี่ แต่เมื่อเสียงเรียกนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ จนพระองค์รำคาญและทรงทนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งยังไม่อยากจะทรงเชื่อตัวของพระองค์เองอีกด้วย จึงทรงอยากดูให้เห็นกับตาว่าที่พระองค์ได้ยินนั้นไม่ผิดเพี้ยน พระองค์ทรงตัวโงนเงนอยู่พักหนึ่งเพราะไม่ได้กินไม่ได้นอนมาหลายวัน แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นกษัตริย์ พระองค์จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นไม่ได้ พระองค์จึงทรงกัดฟันรวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเหยียดตัวตั้งตรงและยืดอกอย่างผึ่งผาย ปั้นสีพระพักตร์เย่อหยิ่งที่สุดมองไปยังทิศทางของเสียงเรียกนั้น แต่แล้วพระองค์ก็ต้องตกพระทัยจนพระเนตรค้างแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ทรงเห็นตรงหน้า ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังกันเข้ามาจนพระองค์เกือบจะทรงตัวไม่อยู่ ทำไมเสด็จพี่ถึงอยู่ที่นี่? แล้วทำไมถึงมากับไอ้คนป่าไร้การศึกษา?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:45 pm

“นี่มันอะไรกัน!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองด้วยความขึงโกรธกระแทกเสียงตรัสถามอย่างเกรี้ยวกราด “ทำไมเสด็จพี่ถึงเสด็จมากับเจ้าคนป่านี่?”

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของกษัตริย์น้องชาย ครั้นเมื่อตั้งสติได้ก็รีบตรัสละล่ำละลัก “นี่เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า? พี่และฮารีซันอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อช่วยเจ้านะ”

“ใครขอให้มันมาช่วยข้ากัน มันมาเพื่อเยาะเย้ยข้าละสิ ข้าจะไม่ยอมให้เกียรติของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียต้องมัวหมองเพราะเจ้าคนไพรนี่”

“หยุดนะ ซิกมันด์ พี่จะไม่ยอมให้เจ้าแสดงกิริยาที่น่าอับอายใส่ผู้ที่มีน้ำใจดีกับเจ้าเช่นนี้” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงทั้งโกรธทั้งอายที่น้องชายของพระองค์ถูกความทะนงในเกียรติและศักดิ์ศรีบดบังตาจนมืดบอด

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหญิง” ฮารีซันแตะไหล่ของเจ้าหญิงเบา ๆ คล้ายจะปรามให้เจ้าหญิงสงบใจลง เขามีความอดทนสูงพอที่จะทนต่อพฤติกรรมอันแสนเย่อหยิ่งของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้

“อย่าบังอาจมาแตะต้องเสด็จพี่ของข้านะเจ้าคนป่าสกปรก!”

“ซิกมันด์!” เจ้าหญิงทรงอุทานเสียงดังลั่นไม่อยากจะเชื่อหูพระองค์เอง ทว่าฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงสายฟ้าฟาดสะเทือนเลื่อนลั่นดังกึกก้องเหนือบริเวณนั้น พร้อมทั้งมีสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดเปรี้ยงเข้าใส่บัลลังก์หินใกล้ ๆ จนทุกคนสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของพื้นดินทั่วบริเวณ

“ใครบังอาจมาส่งเสียงโหวกเหวกในเขตแดนของข้า” เสียงอันกึกก้องกัมปนาทของเทพธอร์ไม่ต่างกับเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น ใบหน้าของเทพธอร์ดูถมึงทึงดวงตาโตเข้มสว่างโรจน์จ้องมองผู้มาใหม่ทั้งสอง

“เราคือเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย จงปล่อยน้องชายของ....” ตรัสไม่ทันจบก็มีสายฟ้าฟาดใส่ก้อนหินที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างแรงจนก้อนหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินใต้เท้า

เจ้าหญิงเรจิน่าดวงเนตรเบิกกว้างมองเทพสายฟ้าด้วยความกริ่งเกรง แม้พระองค์จะไม่ได้นับถือเทพโบราณอย่างธอร์ ทว่าการสร้างสายฟ้าที่รุนแรงขนาดทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้ ก็ทำให้พระองค์เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่เทพเจ้าโบราณผู้นี้มีเหนือตนอย่างสิ้นเชิง ภายในสมองของพระองค์ก็คิดหาวิธีเจรจาต่อรองอย่างนักการทูตที่ดีตามที่เรียนรู้มา ทว่าก็ไม่มีวิธีไหนเลยที่เหมาะสำหรับใช้ต่อรองกับเทพเจ้าโบราณ

ขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกำลังมืดแปดด้านไม่รู้แม้แต่จะตอบเทพเจ้าธอร์ว่าอย่างไร ฮารีซันก็ก้าวเข้ามายืนขั้นระหว่างพระองค์กับเทพเจ้าธอร์ และทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดทั้งสิ้น ฮารีซันย่อเข่าลงก้มคารวะเทพธอร์จนศีรษะจรดพื้น ทุกคนต่างตกตะลึงซึ่งแม้แต่เทพเจ้าธอร์ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้

“เจ้าเป็นใครกัน?” เทพเจ้าธอร์ถามด้วยเสียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด แสงเจิดจ้าที่เกิดจากสายฟ้าแลบปลาบก็หรี่ลงจนสามารถมองด้วยสายตาในสภาพปรกติ

“ข้าคือฮารีซัน บันดารา หัวหน้าเผ่าฟูดินัน”

“เจ้าไม่ใช่ชาวฟีเลเซีย ทำไมถึงเดินทางมากับนาง เจ้าเป็นอะไรกับนาง?” เทพธอร์ถามอย่างสนใจ

“นางเป็น...นางเป็นสหายของข้า เมื่อสหายเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ ก็เป็นธรรมดาที่สหายจะยื่นมือเข้าช่วยทันที”

“ไอ้คนสามหาว เจ้ากล้าแอบอ้างว่าเป็นสหายของเสด็จพี่รึ? แล้วเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียอย่างเสด็จพี่ของข้าก็ไม่ลดตัวลงไปขอความช่วยเหลือคนอย่างเจ้าหรอก” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงตะโกนอย่างเดือดดาล ไม่ต้องการให้ฮารีซันมาตีตนเสมอพี่สาวของพระองค์และไม่อาจยอมรับได้ถ้าพี่สาวของพระองค์ทำอย่างที่หัวหน้าชาวป่ากล่าวจริง ๆ

“ซิกมันด์!!” เจ้าหญิงทรงอุทานด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ฉับพลันนั้นสายฟ้าก็ฟาดพาดท้องฟ้าในระยะใกล้จนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

“ใครอนุญาตให้เจ้าพูดแทรก” เทพเจ้าตวาดเสียงดังใส่กษัตริย์ซิกมันด์จนทุกคนหูอื้อไปชั่วขณะ

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวเขยิบเข้ามาใกล้ จากการที่ได้ใกล้ชิดกับฮารีซันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เจ้าหญิงได้เรียนรู้แล้วว่าพระองค์ควรจะทำตัวอย่างไร พระองค์ขยับเข้าไปจนเมื่อระยะใกล้พอ

“ข้าต้องขออภัยท่านแทนน้องชายของข้าด้วยที่ได้เสียมารยาทกับท่าน”

“เสด็จพี่!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงอุทานอย่างตกพระทัย ไม่คิดว่าพี่สาวของตนจะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเพราะเกรงว่าธอร์จะทวีความโกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดต่าง ๆ ลงไปและแสดงความฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดอยู่ในกรงสายฟ้า

เทพธอร์เหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองกษัตริย์ซิกมันด์ภายในกรงพลางยิ้มเยาะหมายจะยั่วกษัตริย์ซิกมันด์

“เจ้ายังรู้จักคิดมากกว่าน้องของเจ้า น่าเสียดายที่อาณาจักรของเจ้าสืบต่ออำนาจผ่านทางลูกชายเท่านั้น”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่นเทิ่ม ทรงกำหมัดแน่นจนนิ้วแทบจะแหลกคามือ แต่ก็ต้องทรงทนนิ่งเงียบไว้เพราะเกรงว่าธอร์จะรอจังหวะให้พระองค์ควบคุมอารมณ์พระองค์เองไม่ได้และระเบิดอารมณ์ออกมา เพื่อจะทำให้พระองค์ต้องอับอายและหัวเราะเยาะพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:45 pm

เมื่อเทพธอร์ได้เห็นดังนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ พลางหันกลับมาทางฮารีซันที่ยังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้นและจ้องชายหนุ่มเขม็งพลางส่ายหน้าแม้จะยังคงมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของธอร์อยู่ “ไม่ใช่สหายทุกคนหรอกที่จะช่วยสหายของตนทันทีที่เขาร้องขอ ฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน” เทพธอร์นิ่งเงียบคล้ายจะพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นาน ที่สุดจึงเอ่ยขึ้น “เจ้ามาที่นี่ทำไมฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน”

ฮารีซันได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวตอบ “ข้าแต่เทพธอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านปล่อยตัวกษัตริย์ซิกมันด์ให้เป็นอิสระและขอยืมนกสายฟ้าธันเดอริกจากท่าน เวลานี้บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ ประชาชนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง หากไม่มีกษัตริย์ซิกมันด์คอยนำทัพและได้นกธันเดอริกจากท่านไปช่วยรบ ทวีปเมอริเซียนี้คงจะมอดไหม้เพราะกองทัพเพลิง”

เทพธอร์นิ่งเงียบไปและจ้องมองฮารีซันอีกครั้ง ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดกับปฏิกิริยาของเทพเจ้าองค์นี้และรอฟังการตัดสินใจที่เหมือนจะเป็นการชี้เป็นชี้ตายอนาคตของฟีเลเซียและฟูดินัน กษัตริย์ซิกมันด์นั้นแม้จะโกรธหัวหน้าชาวป่าที่บังอาจเสนอหน้ามาช่วยพระองค์ให้เสื่อมเกียรติ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบหวังว่าเทพธอร์จะปล่อยพระองค์ให้เป็นอิสระ เพราะทรงเห็นว่าเทพธอร์นั้นดูจะสนอกสนใจชาวบ้านป่าผู้นี้อยู่ไม่น้อย ด้านเจ้าหญิงเรจิน่านั้นก็ใจเต้นระทึกด้วยความกระวนกระวายใจอย่างที่สุด กลัวคำตอบที่จะออกจากปากของเทพธอร์จนแทบจะรอฟังไม่ได้ ในขณะที่ฮารีซันก็พยายามสงบใจให้นิ่งและอดทนฟังเทพธอร์อย่างตั้งใจ

เทพธอร์ยกเท้าขวาวางพาดบนเข่าซ้าย ตั้งศอกไว้บนเข่าขวาแล้วใช้มือเกยคางอย่างผู้ที่ใช้ความคิดพิจารณา

“เจ้าไม่คิดว่าการก้มลงกราบกรานอ้อนวอนข้าเพื่อคนอื่นแบบนี้ จะทำให้เจ้าเสียศักดิ์ศรีหรือ? เจ้าเป็นถึงหัวหน้าเผ่าของพวกมนุษย์”
ธอร์พูดขึ้นแต่สายตากลับจ้องไปทางกรงสายฟ้า จนดูเหมือนเจตนาพูดกระทบกระเทียบกษัตริย์ซิกมันด์มากกว่า

“สำหรับข้าแล้ว ชีวิตคนสำคัญกว่าศักดิ์ศรี และกษัตริย์ซิกมันด์ก็คือคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตคนอีกเป็นจำนวนมาก ข้าไม่ได้อ้อนวอนเพื่อเขาเท่านั้น แต่เพื่อคนจำนวนมากที่ฝากความหวังในตัวเขาด้วย”

ด้วยคำพูดนี้ ทำให้เทพเจ้าร่างยักษ์เลื่อนสายตากลับมาจ้องมองที่หนุ่มชาวป่าผู้นอบน้อมเบื้องหน้าอีกครั้ง แววตาและสีหน้าที่เป็นมิตรเริ่มฉายออกมาแทนสีหน้าอันน่าเกรงขามเมื่อสักครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่เรียบเบาลงแต่ยังแฝงด้วยความทรงอำนาจ
“ตอบข้าสิ ฮารีซันจากเผ่าฟูดินัน ทำไมข้าจะต้องทำตามที่เจ้าต้องการ?”

ฮารีซันค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนกล่าวตอบ “ไม่มีเหตุผลอื่นใดเลย นอกเสียจากความเมตตาปราณีของท่านที่จะมีต่อเหล่ามนุษย์บนทวีปเมอริเซียนี้”

“ฮ่า! ฮ่า!ฮ่า!” เทพธอร์หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “ถ้าข้าไม่ได้มีอำนาจหยั่งรู้ถึงจิตมนุษย์ได้ ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นคนช่างประจบ แต่นี่เจ้าพูดจากจิตใจที่แท้จริงของเจ้า ซึ่งทำให้ข้าพอใจมาก มนุษย์ที่จิตใจดีอย่างเจ้า ข้าไม่ได้เห็นมาหลายร้อยปีแล้ว” เทพธอร์โบกมือขึ้นครั้งหนึ่งกรงสายฟ้าก็อ่อนแสงลงและค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด

“ซิกมันด์” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงร้องอย่างยินดีโผเข้าสวมกอดกษัตริย์ซิกมันด์ ซึ่งพระองค์ก็สวมกอดตอบด้วยความยินดีเพราะความลืมพระองค์ แต่เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ว่าอาจดูไม่เหมาะสมก็รีบดันตัวพี่สาวของพระองค์ออกห่างทันทีด้วยความกระดากอาย เจ้าหญิงเรจิน่าใช้สายตาสำรวจดูน้องชายอย่างรวดเร็วพร้อมถามด้วยความห่วงใย

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? บาดเจ็บตรงไหนรึไม่?” กษัตริย์ซิกมันด์แม้จะทรงเจ็บปวดไปทั้งตัวแต่ก็ส่ายพระพักตร์เบา ๆ อย่างรวดเร็วแทนคำตอบ

ในขณะที่ฮารีซันยังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเทพธอร์ก็โค้งลงคารวะจนศีรษะจรดพื้นอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณ ซึ่งเทพธอร์ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกางออกระดับไหล่ มีเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่วบริเวณ และในฉับพลันนั้นเสียงร้องแหลมอย่างเสียงของนกก็ดังขึ้นเหนือช่องเขาพร้อม ๆ กับแสงแลบแปลบปลาบเหนือท้องฟ้า กลุ่มเมฆดำเหนือช่องเขาเริ่มหมุนวนและสว่างวูบวาบเพราะสายฟ้า และแล้วในชั่วเสี้ยววินาทีก็มีพญานกสีทองบินโฉบมาเกาะบนแขนของเทพธอร์พร้อม ๆ กับสายฟ้าฟาดถึงห้าสายที่ฟาดใส่พื้นบริเวณโดยรอบจนช่องเขาทั้งช่องสว่างจ้าในชั่วพริบตา พญานกสีทองยืนผงาดสยายปีกจนสุดอย่างสง่างาม ซึ่งขนาดของปีกนั้นมีขนาดกว้างถึงเจ็ดช่วงแขนของบุรุษที่โตเต็มวัย

“ธันเดอริกตัวนี้ น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญ” เทพธอร์เอ่ยขณะมองนกสายฟ้าอย่างพอใจก่อนจะหันไปทางกษัตริย์ซิกมันด์ “เจ้ามนุษย์ผู้โอหัง”

กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ยืดองค์ขึ้นและทรงมองดูเทพธอร์อย่างระแวดระวังทันที

“จงระลึกไว้ว่าข้า! ธอร์ เทพแห่งสายฟ้า ปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระและมอบธันเดอริกให้เจ้าหยิบยืมเพราะเห็นแก่ความนอบน้อมของฮารีซันแห่งฟูดินันผู้นี้ เมื่อสงครามสงบลงเจ้าจะต้องคืนธันเดอริกตัวนี้ให้ข้าทันที” กล่าวแล้วก็ยื่นแขนไปทางกษัตริย์ซิกมันด์ ซึ่งธันเดอริกก็กระพือปีกบินร่อนตรงไปเกาะแขนของกษัตริย์ซิกมันด์ที่รีบยื่นออกรับทันที ทว่าพระพักตร์ของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความอับอายและเคืองแค้นกับคำพูดของเทพธอร์อย่างที่สุด

“กษัตริย์เอ๋ย จงเรียกมันด้วยชื่อที่เจ้าอยากเรียก แต่ชื่อที่แท้จริงของมันนั้นเจ้าอย่าหมายได้รู้ เพราะข้าผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่ใช้เรียกมัน” เมื่อธอร์กล่าวจบนกสีทองก็ส่งเสียงร้องขึ้นเหมือนยอมรับการไปอยู่กับเจ้านายใหม่เป็นการชั่วคราวของมัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 44 นกสายฟ้าธันเดอริก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:46 pm

เมื่อเทพธอร์ได้จากไปทิ้งบุคคลทั้งสามไว้เพียงลำพังแล้ว กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงหันมามองฮารีซันด้วยสายตาเครียดขึง ความเจ็บแค้นที่ถูกดูแคลน ทั้งอึดอัดที่ต้องทนเงียบให้ธอร์มาพูดจาถากถาง ทั้งความรู้สึกสูญเสียศักดิ์ศรีที่ต้องถูกจองจำไม่ต่างจากทาสสงคราม แล้วยังต้องเสื่อมเกียรติถึงขนาดให้ชาวป่ามาช่วยเหลือ กษัตริย์ซิกมันด์ผู้ถูกสอนมาให้รักเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนในชีวิต ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเคืองจนเกือบจะคลั่ง

“เจ้าคนป่า อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้ามีบุญคุณกับข้า หรือข้าจะขอบใจเจ้าด้วยความซาบซึ้ง การกระทำของเจ้ามีแต่ทำให้ข้ารู้สึกอดสูและน่าสมเพช” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงสะบัดและแผ่วเบาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน “หากเจ้ากลับไปถึงที่ค่าย เจ้าคงจะรีบโพทะนาเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ละสิ เจ้าคงอยากจะรีบประกาศตัวว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อกษัตริย์แห่งฟีเลเซียจนตัวสั่นเลยใช่มั๊ย?”

“ซิกมันด์! เลิกพูดจาดูถูกฮารีซันเสียที เจ้าพูดกับผู้ที่อุตส่าห์มาช่วยเจ้าอย่างนี้ได้อย่างไร? ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณด้วยซ้ำ?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงอดที่จะโมโหไม่ได้

“ใช่มั๊ย?!” กษัตริย์ซิกมันด์ยังทรงไม่ยอมลดราวาศอกโดยไม่สนใจคำพูดของเจ้าหญิงเรจิน่าแม้แต่น้อย

“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่ท่านกำลังกังวลอยู่ ข้าจะไม่พูดใด ๆ เลยแม้แต่คำเดียว” ฮารีซันกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าจะเชื่อคำพูดคนป่าอย่างเจ้าได้อย่างไร?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างขุ่นเคือง “เจ้ากล้าสาบานต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าหรือไม่?”

“ข้าสาบาน” ฮารีซันยอมกล่าวแต่โดยดี

“พูดให้จบสิ!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเร่งด้วยพระทัยร้อน ทำให้นกธันเดอริกที่เกาะอยู่บนไหล่ของซิกมันด์หันไปมองตามด้วยความสนใจ

“ข้าสาบานต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขานี้กับใคร”

เมื่อฮารีซันกล่าวจบ กษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงลอบระบายลมหายใจอย่าโล่งอกและดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง แต่แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกด้วยความกังวล

“เสด็จพี่ สาบานสิ!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหันมาหาเจ้าหญิงเรจิน่ารับสั่งทันที

“อ๊ะ... พี่ด้วยรึ?” เจ้าหญิงทรงอดถามไม่ได้

“สาบานสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเร่ง ก้มพระพักตร์คิ้วขมวด ฮารีซันเองอดคิดไม่ได้ว่าสีหน้าของซิกมันด์ตอนนี้ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่อ้อนเอาของจากพี่สาวทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งวางท่าใหญ่โตกับตน

“ก็ได้ ๆ ข้าสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นบนนี้กับใคร” เจ้าหญิงตรัสเร็วปรื๋อ แต่มือซ้ายก็ยกขึ้นแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลังแบบอัตโนมัติทันทีเช่นกัน ทำเอาฮารีซันต้องแสร้งกระแอมเพื่อกลบเกลื่อนความขำ

แต่กษัตริย์ซิกมันด์ที่ทั้งเหนื่อยและอิดโรยมัวแต่กังวลที่จะให้ทุกคนสาบาน จึงไม่ทันได้สังเกตอะไรนอกจากฟังให้แน่ใจว่าทั้งคู่สาบานเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อทรงเห็นว่าเรียบร้อยแล้วจึงส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อรอทัพย่อยที่จะเดินทางมารับทันที

“เสด็จพี่ไปกันเถอะ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกลับหลังหันและฉวยแขนของเจ้าหญิงเสด็จออกจากช่องเขาทันทีโดยไม่หันไปมองฮารีซันอีก

“เดี๋ยวสิ ซิกมันด์” เจ้าหญิงทรงเร่งฝีเท้าให้ทันพลางหันกลับไปมองฮารีซันที่ยังคงยืนนิ่งมองสองพี่น้องผู้สูงศักดิ์ที่เดินห่างออกไป

“ขอทีเถอะ ข้าเหนื่อยและก็ล้าเต็มทนแล้ว อย่าพูดอะไรให้ข้าต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้เลย” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนอย่างแท้จริง เมื่อแน่ใจว่าเดินห่างฮารีซันมามากพอที่เขาจะไม่ได้ยินการสนทนา

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเงียบเสียงลงทันที น้อยครั้งนักที่น้องชายของพระองค์จะยอมรับถึงความเหนื่อยอ่อนของเขา เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แสดงว่าเขาเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะถึงขีดสุดแล้ว พระองค์จึงยอมทำตามที่น้องชายขอแต่โดยดีพลางหันไปมองฮารีซันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดต่อการกระทำของซิกมันด์ ในขณะที่ฮารีซันก็พยักหน้าให้เจ้าหญิงอย่างเข้าใจ สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันเหมือนจะสื่อสารกันภายในจิตใจ ก่อนที่กษัตริย์ซิกมันด์จะทรงกึ่งลากกึ่งจูงเจ้าหญิงเรจิน่าหายลับไปจากช่องเขานั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน