Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 24, 2024 11:01 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:53 pm

Chapter 41 หมัดทลายภูผา



เมืองอาวีเลีย เมืองสุดท้ายที่ซาโลมยังคงครอบครองอยู่กำลังวุ่นวายและสับสนอลหม่านอย่างที่สุด เมื่อจู่ ๆ กองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันก็บุกโจมตีประตูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกอย่างหนักพร้อมกันจนประตูและกำแพงเมืองใกล้จะพังแล้ว ซ้ำร้ายจุดสำคัญต่าง ๆ ในเมืองยังถูกลอบวางเพลิงพร้อม ๆ กันจากกองกำลังลึกลับ เสียงระเบิดภายในเมืองดังขึ้นสลับกับเสียงระเบิดนอกกำแพงเมืองไม่หยุด เพราะหลังจากที่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันสามารถพิชิตเมืองโครีธาคืนได้เพียงวันเดียว กองทัพก็ออกเดินทางเพื่อตีเมืองอาวีเลียคืนต่อทันที ในขณะที่เหล่านักฆ่าแห่งฟีเลเซียที่ทราบข่าวการบุกนี้ก็ฉวยโอกาสลอบเข้าโจมตีเมืองอาวีเลียในเวลาเดียวกัน การถูกโจมตีพร้อมกันเช่นนี้ทำให้เหล่าแม่ทัพซาโลมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะจัดการเรื่องใดก่อนดี ทหารทั้งกองทัพที่ควรจะอยู่สู้รบป้องกันเมืองจากกองทัพร่วมก็กลับต้องถูกแบ่งออกมาช่วยกันดับไฟในเมืองและอยู่อารักขาโรงเก็บเสบียงอาหารที่ปล้นมาได้จากเมื่อคราวบุกฟูดินัน

ฝ่ายซาโลมนั้นแทบไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะได้ทราบข่าวการบุกโจมตีจากเบลซ เซจแล้ว แต่ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันทำให้การเตรียมการป้องกันยังไม่แน่นหนาพอ อีกทั้งการบุกโจมตีของกองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันก็ยากแก่การคาดเดาและยังถูกปั่นป่วนจากกองทัพลึกลับ เมืองอาวีเลียตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างที่สุด เบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์นั้นถูกกำหนดให้อยู่ควบคุมการเร่งสร้างกองทัพผีที่นอกกำแพงเมืองอาวีเลีย ในขณะที่จอมทัพราโชยูถูกตามตัวเข้าเมืองเพื่อให้เข้านำทัพของซาโลมทันที ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินนั้นด้วยความเป็นห่วงในทรัพย์สมบัติและเสบียงที่ปล้นมาได้มากกว่า เนื่องจากโรงเก็บเสบียงอาหารอยู่ใกล้กับจุดที่ถูกวางเพลิงและกำแพงเมืองฝั่งทิศตะวันตกมาก อย่างน้อยเสบียงอาหารที่จะใช้หล่อเลี้ยงทั้งกองทัพจะต้องปลอดภัย ดีกว่าสูญเสียเสบียงไปโดยยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาเมืองไว้ได้หรือไม่? แม้จะโปรดการสู้รบและการสงครามแค่ไหน แต่เพราะความเป็นชาวทะเลทรายที่อดยากและลำบากมาชั่วชีวิต พระองค์จึงทรงเห็นความสำคัญของปากท้องและความอยู่รอดมาก่อนความสนุกในการเข่นฆ่าศัตรู กษัตริย์เพลิงจึงทรงมัวแต่สาระวนอยู่กับการควบคุมการลำเลียงเสบียงและทรัพย์สมบัติออกจากเมืองอาวีเลีย


จอมทัพทมิฬราโชยูไม่ชอบใจในภาพที่เห็นยิ่งนัก กองทัพฟีเลเซียที่โหมบุกจากทุกทิศทุกทางนั้นช่างอ่านเกมการรบได้ยากเหลือเกิน หนำซ้ำยังมีกองทหารประหลาดที่มีรูปแบบการรบแปลก ๆ ยากแก่การคาดเดา สู้ ๆ อยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็หายไป แต่เพียงพริบตาเดียวก็โผล่ออกจากอีกทาง เสียงเป่าใบไม้ แตรเขาสัตว์ กรับไม้ และ กลองหนัง ก็ดังเป็นสัญญาณดังรับส่งกันไปมาตลอดเวลา ฝ่ายทหารผีก็เสียเปรียบอย่างหนักเพราะธนูแบบใหม่ของทหารฟีเลเซียที่เปลี่ยนหัวธนูให้กลายเป็นกระเปาะกลมซึ่งบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ภายใน ทันทีที่ธนูถูกยิงใส่ทหารผีกระเปาะกลมนั้นก็จะแตกออกและน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในก็กระจายออกกัดกร่อนหลอมละลายทหารผีจนสลายกลายเป็นควันเดือด ทั้งบนท้องฟ้าก็ถูกทั้งทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสบุกอย่างหนัก ในขณะที่อีกฟากของเมืองก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง รองแม่ทัพให้คนมาแจ้งข่าวว่าทหารฝ่ายตรงข้ามซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นคนหรือสัตว์วิ่งไต่กำแพงขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้เชือกหรือบันไดราวกับเป็นผู้วิเศษ จอมทัพทมิฬต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากองทัพฟีเลเซียกองทัพนี้รับมือยากเหลือเกิน

ราโชยูมองประตูเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเหงื่อโทรมกาย ประตูเมืองทิศใต้ใกล้จะพังแล้ว สิ่งที่ทำได้คือใช้สิ่งกีดขวางต่าง ๆ มาสร้างความแน่นหนาให้ประตูเมือง ทว่าแม้ประตูยังไม่ถูกทำลายแต่ก็เหมือนเมืองแตกแล้วไม่มีผิด เพราะภายในเมืองก็ยังถูกลอบวางเพลิงและเสียงระเบิดก็ยังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ๆ ต่อให้เขาเก่งกาจสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถแยกร่างออกไปจัดการปัญหาต่าง ๆ พร้อมกันได้ คงทำได้อย่างเดียวคือถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพื่อให้กษัตริย์ซาดินลำเลียงสมบัติและเสบียงอาหารออกนอกกำแพงเมืองให้ทันก่อนที่เมืองจะแตก

ขณะที่กำลังคิดหาวิธีรับมือกองทัพฟีเลเซียอยู่นั้นเอง พลันสายตาของเขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่กำแพงฝั่งขวาไม่ห่างจากเขาไปมากนัก มีทหารในชุดสีน้ำตาลหลายนายยืนคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา ราโชยูหรี่ตาดูด้วยความหวั่นวิตกว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ว ผู้ชายที่ยืนอยู่กลางวงล้อมนั้นอายุไม่มากนักคงไม่เกินยี่สิบ ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วก็คงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงอยู่ไม่น้อย โล่ที่แขนทั้งสองข้างมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวและต้นไม้อะไรสักอย่าง ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่สัญลักษณ์ของฟีเลเซียแน่ ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มง้างมือขึ้นทำท่าเหมือนจะชกกำแพง ราโชยูไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะความตั้งใจนั้นหรือว่าจะหวั่นเกรงดี มันช่างเป็นเรื่องโง่เง่าเสียเหลือเกินที่ใครสักคนคิดจะทำลายกำแพงหินที่แข็งแรงนี้ด้วยมือเปล่า เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถทำได้จริง ๆ แต่แล้วราโชยูก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกจากเบ้า เมื่อทันทีที่กำปั้นของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับกำแพง เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลทันที และมันกำลังสั่นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

“บัดซบ!” ราโชยูสบถเสียงดังรีบลงจากกำแพงทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:54 pm

กองทัพฝั่งทิศใต้นำทัพโดย ชาร์ล ฮารีซัน และ ดามิก้า ในขณะที่กองทัพฟีเลเซียฝั่งตะวันตกนำทัพโดยกษัตริย์ซิกมันด์ที่สาม คาร์น และทราเฮิร์น กองทัพทางทิศใต้ซึ่งนำโดยชาร์ลกำลังพยายามบุกโจมตีกำแพงเมืองอย่างหนัก ทว่าการบุกก็เป็นไปอย่างล่าช้าเพราะกำแพงเมืองอาวีเลียนั้นแข็งแรงมาก เพราะเป็นเมืองหน้าด่านกำแพงเมืองจึงถูกสร้างให้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อป้องกันศัตรู ทำให้การจะบุกทำลายนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ทหารฟีเลเซียพยายามใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ทำลายประตูเมืองแต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่สำเร็จง่าย ๆ เพราะธนูจากทหารซาโลมที่อยู่บนกำแพงและทหารผีที่ออกวิ่งพล่านไปทั่วบริเวณแนวกำแพงเมืองเป็นอุปสรรคใหญ่ เสียงสัญญาณเร่งให้ทำลายประตูเมืองดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ฮารีซันมองกองทัพฟีเลเซียที่พยายามทำลายประตูเมืองอย่างหนักด้วยความวิตก ยิ่งเข้าประตูเมืองได้ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียทหารไปมากขึ้นเท่านั้น เขารู้ดีว่าจอมทัพชาร์ลเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันเพราะเสียงแตรสัญญาณเร่งให้ทำลายประตูเมืองดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่ประตูเมืองนี้ก็แข็งแกร่งจริง ๆ การเสี่ยงสูญเสียทหารมากมายไปกับการรบที่ยืดเยื้อย่อยไม่เป็นผลดี ฮารีซันให้สัญญาณเหล่าทหารชาวป่าก่อนพยายามบุกเข้าประชิดกำแพงเมือง

ทันทีที่ไปถึงก็เห็นว่านักรบในเผ่าฟูดินันและเผ่าป่าทมิฬที่อยู่ละแวกนั้นบุกไปถึงกำแพงเมืองแล้วเช่นกัน ทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนโดยไม่ต้องออกคำสั่ง ต่างก็ล้อมวงเข้าคอยคุ้มกันผู้นำทัพของพวกเขาจากทหารผีและฝนธนูจากทหารซาโลม ฮารีซันตรงไปยังกำแพงเมืองพลางยืนสำรวมจิตอยู่พักใหญ่ก่อนจะง้างหมัดกระแทกเข้าใส่กำแพงหินเต็มแรงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กำแพงหินสะเทือนเหมือนถูกจับเขย่า เสียงหินแตกภายในชั้นกำแพงหนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อม ๆ กับรอยร้าวที่ปรากฏเป็นวงกว้างและขยายออกไปเรื่อย ๆ

ฮารีซันยังคงกระแทกหมัดใส่กำแพงหินไม่หยุด ฝุ่นหินร่วงกราวเหมือนสายน้ำตกและฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ

“หลบออกจากที่นี่เร็ว” ฮารีซันตะโกนสั่งขณะที่ทุกคนถอยออกมาจากม่านฝุ่นที่ฟุ้งตลบหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเสียงปริแตกของหินร่วงกระทบพื้น เพียงพริบตาเดียวกำแพงหินที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยุบตัวเกิดเป็นช่องกลมขนาดใหญ่ในกำแพง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างยินดีของทหารฟีเลเซียและฟูดินันที่ดังลั่น

แต่ไม่ทันที่ฝุ่นหินจะจางหายไป เคียวขนาดมหึมาก็พุ่งผ่านม่านฝุ่นเข้าใส่ฮารีซันอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารฟีเลเซียและฟูดินันที่อยู่บริเวณนั้น

ตูม!

เสียงคมเคียวฟาดใส่โล่ที่ฮารีซันยกขึ้นรับดังสนั่น ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะทหารฟีเลเซีย ไม่มีใครคิดว่าผู้นำทัพชาวป่าจะรับคมเคียวของจอมทัพทมิฬโดยตรงเช่นนี้ และดูเหมือนว่าผู้นำแห่งฟูดินันจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย ราโชยูตวัดเคียวกลับด้วยความประหลาดใจ หรี่ตามองชายหนุ่มผู้อ่อนวัยตรงหน้า

“ไม่เคยมีใครรับเคียวของข้าตรง ๆ อย่างนี้มาก่อน เจ้าเป็นใคร?” ราโชยูอดถามไม่ได้

“ข้าคือ ฮารีซัน บันดารา ผู้นำทัพแห่งฟูดินัน”

“ที่แท้กองทัพประหลาดนี่คือกองทัพของเจ้านี่เอง” ราโชยูแสยะยิ้มอย่างน่ารักมเกรียม “ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมรับผลที่เจ้าก่อขึ้นเสียเถอะ ฮารีซัน บันดารา”

“ฝันไปเถอะ!” ดามิก้าบนหลังอลูปัสกระโจนเข้าขวางทำให้บุคคลทั้งสองต้องแยกออกจากกัน “ท่านฮารีซัน ทางนี้ข้าจัดการเอง เจ้ายักษ์นี่ขวางทางไว้แบบนี้คงอีกนานกว่าพวกเราจะเข้าเมืองได้ ข้าว่าท่านไปจัดการประตูเมืองดีกว่า”

“แต่ว่า ดามิก้า...” ฮารีซันไม่คิดจะให้ดามิก้ารับมือกับจอมทัพของซาโลม เพียงแค่เขารับคมเคียวเมื่อสักครู่ก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เกินกำลังของดามิก้า

“ไปสิ ไม่ต้องห่วงข้า โทนิม่ากำลังมาช่วยเสริมอีกแรง พวกทหารนั่นต้องการความช่วยเหลือของท่านนะ” ดามิก้าหมายถึงบรรดาทหารที่พยายามทำลายประตูเมืองอยู่

ในนาทีนั้นเอง พานาเทอเรี่ยน (Panatherion, the Companion of Tonima) เสือเขี้ยวดาบสีเทาเงินสองตัวซึ่งเป็นสัตว์คู่กายของโทนิม่าก็กระโจนเข้ามาล้อมราโชยูไว้ เป็นสัญญาณว่าโทนิม่าอยู่ใกล้ ๆ นี้แล้ว

“เร็วสิ!” ดามิก้าเร่ง

“ก็ได้ ระวังตัวด้วยนะ” ฮารีซันเมื่อเห็นว่าดามิก้ามีโทนิม่ามาช่วยแล้วจึงยอมวางมือในที่สุด

“ปากเก่งจริงนะ เจ้าคิดว่าจะขวางข้าได้รึ?” ราโชยูเหลือบตาไปมองฮารีซันที่กำลังมุ่งตรงไปที่ประตูเมือง “อย่างเจ้า นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็คงตายอยู่ใต้คมเคียวของข้าแล้ว” ราโชยูกล่าวเย้ย

“หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าแล้วลงมือเลย เจ้ายักษ์” ดามิก้าตวัดดาบเตรียมพร้อม

ราโชยูตวัดเคียวใส่ดามิก้าอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่อลูปัสขยับหลบได้ทัน เสียงเคียวเจาะพื้นหินดังสนั่น ดามิก้ามองเคียวที่เจาะทะลุหินด้วยความตกตะลึง

“ไม่ปากเก่งอย่างเมื่อกี้แล้วสิ” ราโชยูยิ้มเยาะเมื่อเห็นดามิก้าพูดไม่ออก ก่อนจะง้างเคียวขึ้นอีกครั้ง

“โจมตี!” ดามิก้าตะโกนสั่งพานาเทอเรี่ยนทั้งสองตัวทันที

พานาเทอเรี่ยนตัวหนึ่งกระโจนขึ้นขย้ำแขนข้างที่ถือเคียวของราโชยู ขณะที่อีกตัวขย้ำขาของราโชยูเต็มแรง แต่เพราะชุดเกราะที่แข็งแกร่งทำให้คมเขี้ยวเจาะเข้าได้ไม่ลึกนัก ราโชยูตวัดสันเคียวใส่พานาเทอเรี่ยนที่ขาก่อนจะใช้แขนอีกข้างที่เป็นอิสระกระแทกกำปั้นใส่พานาเทอเรี่ยนที่แขนอีกข้าง พานาเทอเรี่ยนร้องด้วยความเจ็บปวดกระเด็นไปคนละทิศละทาง จอมทัพทมิฬตวัดเคียวใส่ดามิก้าทันที ดามิก้ารีบยกดาบจะป้องกัน แต่พลังของราโชยูก็ส่งให้ดามิก้ากระเด็นตกจากหลังอลูปัสไปไกล อลูปัสจึงกระโจนใส่ราโชยูทันทีเพื่อปกป้องเจ้านาย พร้อม ๆ กับที่พานาเทอเรี่ยนทั้งสองกระโดดเข้าจู่โจมจอมทัพทมิฬพร้อมกัน สัตว์ทั้งสามกระโดดเข้ารุมราโชยูจนดูชุลมุนไปหมด แต่แล้วเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวราโชยูก็ควงสะบัดเคียวจนสัตว์ทั้งสามกระเด็นออกไปคนละทิศละทางอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวด พานาเทอเรี่ยนหนึ่งในสองตัวตายทันที ขณะที่อีกตัวมีแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ ส่วนอลูปัสนั้นถูกคมเคียวบากหน้าเป็นทางตั้งแต่หน้าผากลงมา เลือดสด ๆ ไหลหยดเป็นทาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:55 pm

เมื่อราโชยูสะบัดพวกสัตว์ออกไปได้แล้วก็พุ่งไปหาดามิก้าทันที ดามิก้าเหลือบไปมองดาบของตนที่กระเด็นหลุดจากมือไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหันหลังวิ่งไปคว้าดาบของตน อลูปัสรีบกระโจนเข้าขวางดามิก้าไว้เพื่อปกป้องเจ้านาย มันแสยะเขี้ยวและคำรามขู่กรรโชกด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่ยอมขยับไปไหนทั้งสิ้น

“ภักดีนักรึ? งั้นก็ไปรอนายแกในนรกก่อนได้เลย” ราโชยูสะบัดเคียวเข้าใส่ทันที

“อลูปัส!” ดามิก้าร้องลั่นด้วยความตกใจ

แต่ในวินาทีนั้นเอง คมขวานขนาดยักษ์ก็ตวัดปัดเคียวของราโชยูจนพลาดเป้าไปกระแทกกับพื้นโครมใหญ่

“โทนิม่า” ดามิก้าร้องเรียกอย่างโล่งอก แต่แล้วใบหน้าที่เบิกบานอย่างโล่งอกนั้นจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อจอมทัพทมิฬใช้เท้าเตะขวานยักษ์ที่ขัดอยู่กับคมเคียวออกเต็มแรงก่อนสะบัดเคียวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

“โทนิม่า!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง


เสียงกลองรบดังระรัวขึ้นเป็นจังหวะขณะที่ฮารีซันทำลายประตูเมืองได้สำเร็จพร้อม ๆ กับทหารซาโลมที่เริ่มถอยร่นออกจากกำแพงเมือง ทหารฟีเลเซียและฟูดินันไม่รอช้าต่างเฮโลกันเข้าไปภายในเมืองอาวีเลีย และแล้วเสียงแตรก้านยาวก็ดังขึ้นจากทางทิศตะวันตก อันเป็นสัญญาณว่ากองทัพร่วมที่นำโดยกษัตริย์ซิกมันด์ก็สามารถผ่านเข้าประตูเมืองมาได้แล้วเช่นกัน เพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามภายในเมืองอาวีเลียก็ไม่เหลือทหารซาโลมอยู่ภายในเมืองอีกเลย เสียงแตรเงิน แตรก้านยาว เขาสัตว์ กรับ กลอง และ เสียงร้องอย่างยินดีดังสนั่นจนเมืองทั้งเมืองแทบจะระเบิดด้วยเสียงโห่ร้องของทหารนับแสนนาย บัดนี้กองทัพเถื่อนของจักรวรรดิซาโลมถูกผลักดันออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของฟีเลเซียแล้ว


********************************



ภายในห้องทรงหนังสือวันนี้ เจ้าชายน้อยแห่งจักรวรรดิซาโลมดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หลังจากที่ทรงดูเหงาหงอยเศร้าซึมอยู่เป็นเดือน ซึ่งก็คงเป็นเพราะพระราชินีเนริมอร์ทรงกลับมาจากสนามรบนั่นเอง เจ้าชายน้อยทรงอยากจะให้ท่านราชครูนาริสมีเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับความตั้งใจเรียนของพระองค์เอาไว้เล่าให้พระราชินีฟังเวลาถูกถามถึง วันนี้พระองค์จึงรีบเข้ามาประจำที่ในห้องทรงหนังสือตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเรียน นาริสพอจะดูออกว่าเจ้าชายน้อยอยากจะประจบเอาใจพระมารดาจึงได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดู
“วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องอุปนิสัยใจคอของคนหลาย ๆ แบบกันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

“อุปนิสัยของคนหลาย ๆ แบบอย่างนั้นรึ? ทำไมเราต้องเรียนรู้นิสัยของคนอื่นด้วยเล่า?” เจ้าชายน้อยตรัสถามด้วยความสงสัย

“เราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้หาวิธีรับมือกับคนแต่ละคนได้อย่างถูกต้องอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ในสถานการณ์คล้าย ๆ กันคนแต่ละคนก็มีวิธีรับมือเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่เหมือนกัน ผลที่ได้จากการกระทำนั้นก็แตกต่างกัน ถ้าเราสามารถวิเคราะห์นิสัยใจคอหรือความคิดของเขาได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าไหร่? เราก็จะสามารถรับมือกับเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”

เจ้าชายน้อยทรงทำท่าสนพระทัยขึ้นมาทันที ตรัสถามด้วยความกระตือรือร้น “ใช้ได้กับทุกคนเลยหรือเปล่าท่านนาริส?”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระองค์วิเคราะห์ได้แม่นยำขนาดไหน” นาริสทูลตอบด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียนรู้นิสัยของใครก่อนดี?” เจ้าชายอิสฮานตรัสถามอย่างตื่นเต้น

“จริง ๆ แล้วกระหม่อมมีเรื่องตัวอย่างของบุคคลสามคนที่ประสบปัญหาอย่างเดียวกัน แต่เลือกวิธีที่จะรับมือกับปัญหาด้วยวิธีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงให้พระองค์ได้ทรงพิจารณาเปรียบเทียบดู” เมื่อเห็นว่าเจ้าชายน้อยทรงชักจะสนอกสนใจขึ้นมาแล้วจึงยิ้มทูล“เรื่องของ เบลซ เซจ จอมทัพราโชยู และ เยซีฮาน”

นาริสทูลพลางคอยจับจ้องความรู้สึกของพระโอรส เจ้าชายน้อยได้ยินชื่อเท่านั้นก็เบ้พระโอษฐ์ทันที ทำให้นาริสอดหัวเราะออกมาไม่ได้และอยากจะรู้สาเหตุของพระโอรส “ทำไมพระองค์ทรงทำพระพักตร์เช่นนั้น?”

“ก็เยซีฮานเป็นศัตรูกับจักรวรรดิของเรา ใคร ๆ ก็บอกว่าเขาเป็นคนทรยศ ส่วนแม่ทัพราโชยูเราคิดว่าเขาตัวใหญ่หน้าตาก็ดูน่ากลัว ...แต่เราไม่ชอบอุปราชที่สุด เสด็จแม่บอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีชั่วช้า เป็นอสรพิษปลิ้นปล้อน เป็น...” เจ้าชายน้อยทรงหยุดตรัสเมื่อเห็นว่านาริสพยายามกระแอมไอหนัก ๆ แต่ดวงตากลับพราวระยับเหมือนคนหัวเราะ

“พวกเขาคงไม่ชอบใจถ้าได้ยินเช่นนั้น...โดยเฉพาะท่านอุปราช” นาริสแสร้งเอ็ดเสียงดุ แม้ดวงตายังฉายแววขบขันอยู่ เจ้าชายน้อยทรงลอกคำพูดของพระราชินีมาทุกคำเลย

เจ้าชายน้อยทรงยักไหล่ “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นิ และเราก็ไม่คิดจะบอกเขาอยู่แล้ว และท่านก็คงจะไม่เอาไปบอกเขาด้วยใช่ไหม? ท่านนาริส” เจ้าชายน้อยทรงยิ้มแป้นตรัสดักคอแอบคาดหวังว่านาริสจะสนับสนุนความคิดของพระองค์

นาริสหัวเราะ หึ หึ ในลำคอไม่ยอมตอบ หมายจะแกล้งให้พระโอรสกระวนกระวายพระทัยเพื่อสอนให้พระองค์ทรงรู้ว่าแม้พระองค์จะเป็นเจ้าชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะได้ทุกอย่าง อย่างที่ต้องการ “นั่นขึ้นอยู่กับว่าวันนี้พระองค์ตั้งใจเรียนแค่ไหน?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:57 pm

เจ้าชายน้อยทรงหน้าเสีย เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี ทรงเงยพระพักตร์มองนาริสตาละห้อยอย่างน่าสงสาร ซึ่งนาริสก็เกือบใจอ่อนอยู่แล้ว...แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นล่ะ นาริสเริ่มบทเรียนในวันนี้ทันทีโดยพยายามไม่สนใจสายตาละห้อยนั้น

“พระองค์ยังทรงจำได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่าจักรวรรดิซาโลมของพวกเราต้องผ่านสงครามมามากมายกว่าจะเป็นปึกแผ่นอย่างทุกวันนี้ เราต้องต่อสู้กับเผ่าต่าง ๆ มากมาย ซึ่งทั้งเยซีฮาน ราโชยู และ เบลซ เซจ ก็ล้วนมาจากเผ่าต่าง ๆ ที่เราต้องต่อสู้ด้วย เยซีฮานนั้นเป็นนักรบระดับสูงของเผ่าลาซาลทางเหนือ แรกเริ่มนั้นเผ่าของเขายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ซาดินด้วยดี เช่นเดียวกับเผ่าของราโชยูที่มาจากตะวันตก ทันทีที่เสด็จพ่อของพระองค์ยกทัพไปถึง เผ่าของเขาก็ยอมสวามิภักดิ์โดยดีเช่นกัน ทั้งสองคนจึงเข้ามารับราชการรับใช้องค์ซาดินเป็นขุนศึกที่เป็นกำลังสำคัญให้แก่กองทัพ ทว่าหลังจากที่องค์ซาดินกำลังปราบปรามเผ่าน้อยใหญ่ทางตะวันออกจนมิได้ให้ความสนใจกับเผ่าอื่น ๆ ที่ได้เข้ามาสวามิภักดิ์จักรวรรดิซาโลมแล้ว จู่ ๆ ก็ทรงได้ทราบข่าวว่าเผ่าทางเหนือเริ่มแอบซ่องซุ่มกำลังจากเผ่าต่าง ๆ ทางเหนือเพื่อที่จะปลดปล่อยเผ่าให้เป็นอิสระจากองค์ซาดิน ฝ่าบาททรงกริ้วมากและได้มอบหมายให้เยซีฮานยกทัพไปปราบเผ่าทางเหนือ พร้อมทั้งมีคำสั่งให้สังหารล้างเผ่าเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่ที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้เยซีฮานผู้ซึ่งมาจากเผ่านั้นให้ไปสังหารล้างเผ่าของตัวเองจะเพื่อลองใจเขา หรือเพราะเขารู้จักการรบของเผ่าตนเองดี หรือจะเพราะเขามีทักษะฝีมือด้านการรบเป็นเลิศ...จะเป็นด้วยเหตุผลใดก็สุดจะคาดเดาได้ เยซีฮานนั้นเมื่อต้องเลือกระหว่างเผ่าซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนกับฝ่าบาทที่ไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งเกินกว่าผู้ปกครองกับข้าบริวาร ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องเลือกเผ่าของตนก่อน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เยซีฮานก่อกบฏและตั้งตนเป็นผู้นำของเผ่าลาซาลจนถึงทุกวันนี้

ข้างฝ่ายราโชยูนั้น เผ่าของเขาแทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการรุกรานของจักรวรรดิซาโลมเลย จึงไม่ได้คิดจะต่อต้านใด ๆ ต่อฝ่าบาท ตรงกันข้ามการรับราชการเข้ามารับใช้ฝ่าบาทก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น ใช้ความสามารถด้านการรบของตนไต่เต้าจนได้เป็นถึงจอมทัพของจักรวรรดิซาโลม แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยความจงรักภักดี แต่ก็อยู่ด้วยความนิยมชมชอบในความเก่งกาจสามารถด้านการศึกขององค์ซาดิน และด้วยผลประโยชน์ที่เอื้ออำนวยให้เขานั่นเอง”

“แล้วอุปราชเล่า เขามาทำงานรับใช้เสด็จพ่อได้อย่างไร?” เจ้าชายน้อยตรัสถามด้วยความสนใจ

“อุปราชเบลซ เซจนั้นมาจากเผ่าเล็ก ๆ ทางตะวันตกไม่ใกล้ไม่ไกลจากเผ่าของราโชยูนัก จากที่กระหม่อมทราบมา เขาเป็นพวกนักเวทย์ในเผ่าแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าเท่าที่ควรนัก ทำให้เขาชิงชังเผ่าของตัวเอง เมื่อตอนที่เสด็จพ่อของพระองค์บุกโจมตีเผ่าของเขา เขาแทบจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทเป็นคนแรกเลยด้วยซ้ำ เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้เสด็จพ่อของพระองค์เห็นถึงความสามารถและยอมรับเขา...โดยไม่เลือกวิธีว่าจะดีหรือเลวสักแค่ไหน” นาริสยิ้มให้พระโอรส “พระองค์เห็นไหมพ่ะย่ะค่ะ คนสามคนที่อยู่ในภาวะสงครามเหมือน ๆ กัน แต่กลับมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์นั้นต่างกัน นั่นก็เพราะความคิดและอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน”

“แล้วท่านล่ะ มีอุปนิสัยด้านใดที่เป็นจุดอ่อน?” เจ้าชายน้อยตรัสถามหน้าซื่อ

นาริสหัวเราะเสียงดัง ขำที่เจ้าชายน้อยยังไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอที่จะปกปิดความอยากรู้จุดอ่อนของเขา จึงทูลตอบ “จุดอ่อนของกระหม่อมรึ? ก็คงเป็นการเชื่อในส่วนดีของคนอื่นมากจนเกินไป ไว้วางใจคนมากจนเกินไป เหมือนที่กระหม่อมเชื่อว่าแม้กระหม่อมบอกจุดอ่อนของหม่อมฉันให้พระองค์ทราบ พระองค์ก็จะไม่เอามาใช้เป็นข้อได้เปรียบในคราวหน้า”

เจ้าชายน้อยพระพักตร์แดงที่ถูกพูดดักคอ ตรัสอย่างสำนึกผิด “ท่านมองคนในด้านดีมากเกินไปจริง ๆ ด้วย ท่านพูดเช่นนี้แล้วเราจะกล้าเอาจุดอ่อนของท่านมาใช้หรือ?”

“นั่นแปลว่าจุดอ่อนของกระหม่อมยังไม่ถือว่าเลวร้ายนัก” นาริสทูลยิ้มอย่างเอ็นดูที่พระองค์ทรงยอมรับอย่างซื่อสัตย์ เขาจะไม่รักเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ได้อย่างไรกัน

“แต่ก็แปลกจริง ทำไมการเชื่อในด้านดีของคนอื่นถึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไปได้?” เจ้าชายน้อยทรงขมวดคิ้วยุ่ง

“กระหม่อมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อเราเชื่อในส่วนดีของคนอื่นแล้ว เราก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย เพราะบางครั้งผลก็ออกมาไม่ดีอย่างที่เราเชื่อหรือหวังไว้สักเท่าไหร่” นาริสมีสีหน้าเหม่อลอยคล้ายทบทวนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต

“ท่านเคยผิดหวังกับการเชื่อในด้านดีของผู้อื่นหรือ?” เจ้าชายน้อยทรงเอียงคอตรัสถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนาริสมีสีหน้าแปลก ๆ

“ก็มีบ้างพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นกระหม่อมคงไม่รู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนของกระหม่อม”

เจ้าชายน้อยทรงรอที่จะให้นาริสเล่าความผิดหวังให้ฟังบ้าง แต่เมื่อเห็นว่านาริสยังคงนิ่งเงียบจึงเลิกล้มความตั้งใจ เปลี่ยนมาตรัสถามเรื่องอื่นแทน “ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านรู้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นจุดอ่อนของท่าน ท่านก็ปรับปรุงแก้ไขอย่าให้มันเป็นจุดอ่อนสิ”

นาริสยิ้มอย่างเอ็นดู “ฝ่าบาท บางครั้งนิสัยที่ติดตัวมายาวนานเหลือเกินก็ยากนักที่จะแก้ไขได้ นิสัยนี้มันติดตัวตาแก่อย่างหม่อมฉันมานานเหลือเกินแล้ว กระหม่อมต้องยอมรับว่ามันลำบากอยู่ไม่น้อยที่จะเปลี่ยนแปลง”

เจ้าชายอิสฮานน้อยทรงพยักพระพักตร์ช้า ๆ ทำความเข้าใจในสิ่งที่มหาอำมาตย์อธิบาย “ถ้าเช่นนั้น หากท่านมีอะไรให้เราช่วย เราหมายถึงถ้าท่านมีปัญหากับจุดอ่อนของท่าน แล้วอยากให้เราช่วยเหลืออะไรก็บอกเราได้นะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” มหาอำมาตย์เฒ่ายิ้มอย่างซาบซึ้งใจ

“ขอประทานอภัยเพคะ” นางกำนัลนางหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง “พระราชินีเนริมอร์ทรงให้มาเรียนถามท่านมหาอำมาตย์ว่าพระโอรสทรงเรียนเสร็จรึยังเพคะ พระองค์มีรับสั่งให้หา”

เจ้าชายน้อยทรงได้ยินดังนั้นก็ยื่นองค์ขึ้นมองมหาอำมาตย์เฒ่าด้วยความคาดหวัง นาริสยิ้มอย่างเข้าใจ เวลาที่พระนางเนริมอร์ประทับอยู่ที่วัง เขาจะผ่อนปรนการเรียนการสอนเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าเวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับแม่ลูกคู่นี้

“พระองค์จะทรงรักษาสัญญาไหมพ่ะย่ะค่ะ? ว่าพระองค์จะทบทวนการร่ายเวทย์ที่กระหม่อมสอนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแทนการที่กระหม่อมงดการสอนร่ายเวทย์ในวันนี้”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMNEpi8 Chapter 41 หมัดทลายภูผา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 3:00 pm

“แน่นอนท่านนาริส” พระโอรสทรงรับปากด้วยความยินดี

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็อนุญาตให้พระองค์เลิกเรียนเร็วในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” มหาอำมาตย์ยิ้มตอบ

“ไชโย!” เจ้าชายน้อยทรงกระโดดตัวลอยวิ่งไปทางประตู แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณนาริส ก่อนที่จะพ้นประตูไป แต่ก็ดูเหมือนพระองค์จะนึกอะไรได้บางอย่างจึงทรงหยุดฝีเท้าและหันมาหานาริสพลางตรัสเสียงเบา “ท่านจะไม่บอกมหาอุปราชใช่ไหม?”

มหาอำมาตย์เฒ่างุนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกได้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไรจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่บอกเขาหรอก”

พระโอรสอิสฮานทรงยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะหายลับไปจากประตู ปล่อยให้มหาอำมาตย์เฒ่าหวนกลับไปนึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่อีกครั้ง ความผิดพลาดที่เกิดจากความไว้วางใจคนมากเกินไป ทำให้เขาไม่ได้ชะล่าใจเลยว่าเผ่าเล็กเผ่าน้อยที่มาขออาศัยโอเอซิสร่วมกับพระบิดาขององค์ซาดินจะทรยศหักหลังแทนที่จะสำนึกในบุญคุณและอยู่ร่วมอย่างสันติ แต่กลับอาศัยความรักสันติของฝ่าบาทองค์ก่อนขับไล่พระองค์ออกจากโอเอซิสโดยที่เขาไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้เลย จนสุดท้ายพระองค์ก็ต้องถูกฆ่าตายในที่สุด นาริสสะบัดหน้าแรง ๆ เหมือนจะไล่ภาพในอดีตออกไป เห็นทีวันนี้ต้องทำงานให้หนักขึ้นสักหน่อยจะได้ไม่มีเวลาว่างมานั่งนึกถึงอดีตมากนัก คิดดังนั้นแล้วจึงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

**************************


“อย่าเสียใจไปเลยดามิก้า” ฮารีซันพูดปลอบ ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วหลังจากที่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันบุกยึดเมืองอาวีเลียได้สำเร็จ แต่ดามิก้าก็ยังนิ่งเงียบผิดจากนิสัยโผงผางของเธอ

“โทนิม่าเป็นลูกน้องที่จงรักภักดี เขาตายเพราะช่วยข้า จะไม่ให้ข้าเสียใจได้อย่างไร?” ดามิก้าพูดไม่มองหน้าคนปลอบ มือทั้งสองยังลูบอลูปัสและพานาเทอเรี่ยนข้างละตัว ซึ่งตอนนี้พานาเทอเรี่ยนกลายเป็นสัตว์คู่ใจของเธอไปอีกตัว

“เจ้าเสียใจได้ แต่อย่างนานนัก เขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมเกียรติแล้ว เอาความเสียใจของเจ้ามาเปลี่ยนเป็นพลัง เราต้องล้างแค้นให้เขาแน่ ๆ “ คาร์นคำรามเบา ๆ ในลำคอ

“ข้ารู้ แต่เจ้ายักษ์นั่นก็แข็งแกร่งเหลือเกิน ถ้าไม่มีเสียงกลองถอนทัพของพวกมันดังขึ้นเสียก่อน ข้าก็คงตายไปด้วยแล้ว น่าเจ็บใจจริง ๆ “ ดามิก้ากระแทกเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อนึกถึงว่าตนรอดคมเคียวของแม่ทัพทมิฬมาได้หวุดหวิดแค่ไหน

“อย่าคิดมากเลย เรายังมีโอกาสแก้แค้นอยู่ เพราะดูท่าทางพวกซาโลมจะไม่ยอมกลับทะเลทรายง่าย ๆ แน่ ๆ ดูเอาเถอะ จนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังไม่ไปไหนเลย ยังตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงเมืองและดูเหมือนกำลังทำอะไรกันอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังเตรียมสร้างกองทัพประหลาดอะไรกันอีกรึเปล่า” ทราเฮิร์นกล่าวพลางทำหน้าพยักพเยิดไปทางทิศเหนือ

“อืม... พูดถึงเรื่องนี้ พวกฟีเลเซียคิดจะทำอะไรต่อรึ? ข้าเห็นมีการเรียกประชุมแม่ทัพขนานใหญ่เลยนิ” คาร์นเอ่ยถาม

“ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ซิกมันด์ต้องการหาวิธีป้องกันพวกกองทัพซาโลมที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแค่พึ่งกำลังทหารเพียงอย่างเดียว” ฮารีซันตอบหลังจากพยายามนึกถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา

“อะไรที่ดีกว่ากองทัพน่ะอะไรล่ะ?” ดามิก้าอดโพล่งถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้แม้จะเสียงไม่ดังเหมือนทุกที

“นกสายฟ้าธันเดอริก(Thunderix)ของเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ทอร์(Thor, the Thunder God)ยังไงล่ะ” เสียงใส ๆ ของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว

“เจ้าหญิงเรจิน่า?!” ฮารีซันรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นว่าเป็นเจ้าหญิงเรจิน่าและแนนเนตนางกำนัลส่วนพระองค์ พร้อม ๆ กับที่คนอื่น ๆ ก็ลุกตามด้วย ดูเหมือนพวกฮารีซันจะสามารถปฏิบัติตามมารยาทของราชวงศ์ได้มากขึ้น คงเป็นเพราะโดนกษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหน็บตลอดช่วงที่ออกรบด้วยกัน

“ตามสบายเถอะ ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงหลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวไปว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว” เจ้าหญิงทรงหันไปทางดามิก้า “ข้าได้ยินว่าท่านเสียลูกน้องคนสนิทไป ข้าเสียใจด้วยนะ”

ดามิก้าออกจะผิดคาดที่ได้ยินเจ้าหญิงตรัสเช่นนั้นจึงทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยักไหล่เหมือนไม่ต้องใส่ใจมากนัก แต่ที่สุดแล้วก็ตอบขอบคุณเสียงอุบอิบ

“เจ้าหญิงพูดถึงนกสายฟ้า” ทราเฮิร์นเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ใช่ข้าพูดเช่นนั้น” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสแล้วก็ทรุดองค์ลงนั่งบนขอนไม้อย่างที่พวกฮารีซันนั่งอยู่ ทำให้พวกฮารีซันมองดูด้วยความแปลกใจ แต่ที่แปลกใจที่สุดคงจะเป็นแนนเนตที่อ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความตกใจที่เห็นนายของตนนั่งล้อมวงกับพวกชาวป่า
“นั่งลง แนน...”

“เนต เพคะ” แนนเนตรีบนั่งลงทันทีพร้อมกับพูดแทรกขึ้นเพราะกลัวว่าเจ้าหญิงจะเรียกตนว่าแนนซี่ หรืออาจจะประหลาดกว่านั้น เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“กษัตริย์ซิกมันด์จะเดินทางไปพบเทพเจ้าธอร์ ที่เขาวาฮาล(Vahal Hill) เพื่อขอยืมสัตว์กึ่งเทพมาช่วยรบ” เจ้าหญิงทรงอธิบาย “นกสายฟ้านั้นมีพลังมหาศาล มีฤทธิ์เดชช่วยเสริมกองทัพของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ กษัตริย์ซิกมันด์คงจะรอดูความเรียบร้อยทางนี้อีกสักพักก่อนจะออกเดินทาง เพราะท่าทางคงจะต้องมีการปะทะกับทหารซาโลมอีกแน่ กำแพงเราแข็งแกร่งก็จริง แต่รอบคอบไว้ดีกว่า” ถึงแม้ว่าน้องชายของพระองค์จะไม่ค่อยชอบความคิดที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็เถอะ เขาไม่ชอบรู้สึกว่าตนอ่อนแอจนต้องขอความช่วยเหลือ แต่บรรดาแม่ทัพรวมถึงตัวพระองค์เองก็เห็นด้วยว่าหากมีนกสายฟ้ามาช่วย การจัดการกับกองทัพซาโลมคงง่ายขึ้น

“ท่านจะเดินทางไปกับกษัตริย์ซิกมันด์ด้วยหรือไม่? แล้วใครจะดูแลกองทัพทางนี้ล่ะ?” ฮารีซันพยักหน้ารับทราบข้อมูลก่อนจะเอ่ยถาม

“ข้าจะไปได้อย่างไร ข้ามีหน้าที่ดูแลกองทัพฟูดินันอยู่ ส่วนเรื่องกองทัพฟีเลเซียก็ให้จอมทัพชาร์ลดูแล” เจ้าหญิงตรัสตอบ แม้แท้จริง ๆ แล้วน้องชายของพระองค์ตั้งใจให้พระองค์คอยจับตาดูพวกคนป่า เผื่อว่าพวกคนป่าจะลุกฮือเข้ายึดเมืองเสียเองต่างหาก แม้พระองค์จะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกฟูดินันมีน้ำใจมาช่วยจริง ๆ แต่ดูเหมือนกษัตริย์น้องชายจะไม่ยอมเข้าใจเท่าไหร่

“แล้วเนินเขาที่ว่านี่อยู่ไกลมากไหม?” คาร์นเอ่ยถาม

“จากที่นี่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ถ้าขี่ม้าก็เดินทางหลายวันเหมือนกัน แต่กษัตริย์ซิกมันด์คงจะขี่เปกาซัสไป น่าจะไปถึงได้เร็วขึ้น” เจ้าหญิงทรงคะเน ในขณะที่คนอื่น ๆ พยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับ

“เอาละ...ทีนี้” เจ้าหญิงทรงเอ่ยขึ้น “ถ้าพวกท่านไม่มีอะไรจะถามแล้ว ทีนี้เล่าเรื่องการตีเมืองอาวีเลียคืนให้ข้าฟังหน่อย ข้าได้ฟังจากผู้ส่งสารและบรรดาแม่ทัพฟีเลเซียมาบ้างแล้ว แต่ออกจะเป็นการเป็นงานอยู่สักหน่อย ข้าอยากจะฟังจากมุมมองของพวกท่านที่ลงไปรบจริง ๆ ดูบ้าง การรบแบบของพวกท่านน่ะแปลกประหลาดน่าสนใจมากเชียวล่ะ” เจ้าหญิงตรัสเสียงระรื่น

คาร์นหัวเราะในลำคอ ขณะที่คนอื่น ๆ ยิ้มอย่างยินดี แม้แต่แนนเนตก็อยากจะฟังด้วยเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอรับเกียรติเป็นคนเล่าเองแล้วกัน” ทราเฮิร์นยืดตัวขึ้นและเริ่มต้นเล่าอย่างสนุกสนาน

และแล้วเสียงเล่าเกี่ยวกับการรบที่ดุเดือดและน่าตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่เจ้าหญิงเคยได้ยินมาก็ดังขึ้นชนิดที่เรียกว่าฟังไม่รู้เบื่อ ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและเสียงหัวเราะของทุกคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน