Chapter 41 หมัดทลายภูผา
เมืองอาวีเลีย เมืองสุดท้ายที่ซาโลมยังคงครอบครองอยู่กำลังวุ่นวายและสับสนอลหม่านอย่างที่สุด เมื่อจู่ ๆ กองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันก็บุกโจมตีประตูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกอย่างหนักพร้อมกันจนประตูและกำแพงเมืองใกล้จะพังแล้ว ซ้ำร้ายจุดสำคัญต่าง ๆ ในเมืองยังถูกลอบวางเพลิงพร้อม ๆ กันจากกองกำลังลึกลับ เสียงระเบิดภายในเมืองดังขึ้นสลับกับเสียงระเบิดนอกกำแพงเมืองไม่หยุด เพราะหลังจากที่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันสามารถพิชิตเมืองโครีธาคืนได้เพียงวันเดียว กองทัพก็ออกเดินทางเพื่อตีเมืองอาวีเลียคืนต่อทันที ในขณะที่เหล่านักฆ่าแห่งฟีเลเซียที่ทราบข่าวการบุกนี้ก็ฉวยโอกาสลอบเข้าโจมตีเมืองอาวีเลียในเวลาเดียวกัน การถูกโจมตีพร้อมกันเช่นนี้ทำให้เหล่าแม่ทัพซาโลมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะจัดการเรื่องใดก่อนดี ทหารทั้งกองทัพที่ควรจะอยู่สู้รบป้องกันเมืองจากกองทัพร่วมก็กลับต้องถูกแบ่งออกมาช่วยกันดับไฟในเมืองและอยู่อารักขาโรงเก็บเสบียงอาหารที่ปล้นมาได้จากเมื่อคราวบุกฟูดินัน
ฝ่ายซาโลมนั้นแทบไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะได้ทราบข่าวการบุกโจมตีจากเบลซ เซจแล้ว แต่ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันทำให้การเตรียมการป้องกันยังไม่แน่นหนาพอ อีกทั้งการบุกโจมตีของกองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันก็ยากแก่การคาดเดาและยังถูกปั่นป่วนจากกองทัพลึกลับ เมืองอาวีเลียตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างที่สุด เบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์นั้นถูกกำหนดให้อยู่ควบคุมการเร่งสร้างกองทัพผีที่นอกกำแพงเมืองอาวีเลีย ในขณะที่จอมทัพราโชยูถูกตามตัวเข้าเมืองเพื่อให้เข้านำทัพของซาโลมทันที ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินนั้นด้วยความเป็นห่วงในทรัพย์สมบัติและเสบียงที่ปล้นมาได้มากกว่า เนื่องจากโรงเก็บเสบียงอาหารอยู่ใกล้กับจุดที่ถูกวางเพลิงและกำแพงเมืองฝั่งทิศตะวันตกมาก อย่างน้อยเสบียงอาหารที่จะใช้หล่อเลี้ยงทั้งกองทัพจะต้องปลอดภัย ดีกว่าสูญเสียเสบียงไปโดยยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาเมืองไว้ได้หรือไม่? แม้จะโปรดการสู้รบและการสงครามแค่ไหน แต่เพราะความเป็นชาวทะเลทรายที่อดยากและลำบากมาชั่วชีวิต พระองค์จึงทรงเห็นความสำคัญของปากท้องและความอยู่รอดมาก่อนความสนุกในการเข่นฆ่าศัตรู กษัตริย์เพลิงจึงทรงมัวแต่สาระวนอยู่กับการควบคุมการลำเลียงเสบียงและทรัพย์สมบัติออกจากเมืองอาวีเลีย
จอมทัพทมิฬราโชยูไม่ชอบใจในภาพที่เห็นยิ่งนัก กองทัพฟีเลเซียที่โหมบุกจากทุกทิศทุกทางนั้นช่างอ่านเกมการรบได้ยากเหลือเกิน หนำซ้ำยังมีกองทหารประหลาดที่มีรูปแบบการรบแปลก ๆ ยากแก่การคาดเดา สู้ ๆ อยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็หายไป แต่เพียงพริบตาเดียวก็โผล่ออกจากอีกทาง เสียงเป่าใบไม้ แตรเขาสัตว์ กรับไม้ และ กลองหนัง ก็ดังเป็นสัญญาณดังรับส่งกันไปมาตลอดเวลา ฝ่ายทหารผีก็เสียเปรียบอย่างหนักเพราะธนูแบบใหม่ของทหารฟีเลเซียที่เปลี่ยนหัวธนูให้กลายเป็นกระเปาะกลมซึ่งบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ภายใน ทันทีที่ธนูถูกยิงใส่ทหารผีกระเปาะกลมนั้นก็จะแตกออกและน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในก็กระจายออกกัดกร่อนหลอมละลายทหารผีจนสลายกลายเป็นควันเดือด ทั้งบนท้องฟ้าก็ถูกทั้งทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสบุกอย่างหนัก ในขณะที่อีกฟากของเมืองก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง รองแม่ทัพให้คนมาแจ้งข่าวว่าทหารฝ่ายตรงข้ามซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นคนหรือสัตว์วิ่งไต่กำแพงขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้เชือกหรือบันไดราวกับเป็นผู้วิเศษ จอมทัพทมิฬต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากองทัพฟีเลเซียกองทัพนี้รับมือยากเหลือเกิน
ราโชยูมองประตูเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเหงื่อโทรมกาย ประตูเมืองทิศใต้ใกล้จะพังแล้ว สิ่งที่ทำได้คือใช้สิ่งกีดขวางต่าง ๆ มาสร้างความแน่นหนาให้ประตูเมือง ทว่าแม้ประตูยังไม่ถูกทำลายแต่ก็เหมือนเมืองแตกแล้วไม่มีผิด เพราะภายในเมืองก็ยังถูกลอบวางเพลิงและเสียงระเบิดก็ยังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ๆ ต่อให้เขาเก่งกาจสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถแยกร่างออกไปจัดการปัญหาต่าง ๆ พร้อมกันได้ คงทำได้อย่างเดียวคือถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพื่อให้กษัตริย์ซาดินลำเลียงสมบัติและเสบียงอาหารออกนอกกำแพงเมืองให้ทันก่อนที่เมืองจะแตก
ขณะที่กำลังคิดหาวิธีรับมือกองทัพฟีเลเซียอยู่นั้นเอง พลันสายตาของเขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่กำแพงฝั่งขวาไม่ห่างจากเขาไปมากนัก มีทหารในชุดสีน้ำตาลหลายนายยืนคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา ราโชยูหรี่ตาดูด้วยความหวั่นวิตกว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ว ผู้ชายที่ยืนอยู่กลางวงล้อมนั้นอายุไม่มากนักคงไม่เกินยี่สิบ ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วก็คงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงอยู่ไม่น้อย โล่ที่แขนทั้งสองข้างมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวและต้นไม้อะไรสักอย่าง ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่สัญลักษณ์ของฟีเลเซียแน่ ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มง้างมือขึ้นทำท่าเหมือนจะชกกำแพง ราโชยูไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะความตั้งใจนั้นหรือว่าจะหวั่นเกรงดี มันช่างเป็นเรื่องโง่เง่าเสียเหลือเกินที่ใครสักคนคิดจะทำลายกำแพงหินที่แข็งแรงนี้ด้วยมือเปล่า เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถทำได้จริง ๆ แต่แล้วราโชยูก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกจากเบ้า เมื่อทันทีที่กำปั้นของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับกำแพง เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลทันที และมันกำลังสั่นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“บัดซบ!” ราโชยูสบถเสียงดังรีบลงจากกำแพงทันที