Chapter 39 เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพงอกเงย
ล่วงเข้าวันที่หกแล้วหลังจากวันที่กองทัพฟูดินันเคลื่อนทัพมาถึงเมืองคามินยาร์ด แต่จนแล้วจนรอดฮารีซันก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้ากษัตริย์ซิกมันด์แห่งฟีเลเซียเลย ทั้งนี้เพราะมีราชโองการให้กองทัพฟูดินันตัดเครื่องแบบให้แก่ทหารทุกคนให้แล้วเสร็จเสียก่อน โดยฟูดินันได้รับคำอธิบายว่าเพื่อความเป็นระเบียบและเป็นการช่วยแบ่งแยกได้ชัดเจนว่าเป็นทหารฝ่ายใดในยามออกรบ หากยังไม่มีเครื่องแบบก็จะยังไม่มีการพบปะพูดคุยใด ๆ ทั้งสิ้น คำสั่งนี้นอกจากจะสร้างความลำบากให้แก่นักรบชาวป่าแล้วยังสร้างความไม่พอใจให้อีกด้วย หลายคนเริ่มรู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรจากการต้อนรับของฟีเลเซียไม่ว่าจะด้วยสายตาหรือการกระทำ
กระนั้นก็ดี โดยการนำของฮารีซันและการยินยอมพร้อมใจของบรรดายอดขุนพลจากเผ่าใหญ่ทั้งสามก็ทำให้กองทัพชาวป่าช่วยกันแก้ไขและตัดเย็บเครื่องแบบจนรุดหน้าอย่างรวดเร็ว โลหะจากชุดเกราะถูกชุบด้วยแร่สีน้ำตาลทองหม่นซึ่งได้ความช่วยเหลือจากเหล่านักประดิษฐ์ในกองทัพฟีเลเซียตามคำบัญชาของเจ้าหญิงเรจิน่า ในขณะที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่ทุกคนต่างก็เห็นชอบที่จะใช้สีโทนน้ำตาลและเขียวมะกอกเหมือนกับสีของดินตามลักษณะของชาวป่าที่ผูกพันกับจิตวิญญาณของผืนดิน
เย็นวันนั้น หลังจากที่ฮารีซันและบรรดาขุนพลแห่งฟูดินันดูแลการทำงานของกองทัพจนเย็น ทุกคนจึงนั่งล้อมวงกันคุยเล่นเพื่อพักผ่อน จู่ ๆ ดามิก้าก็มองออกไปไกลพร้อมกับพูดทีเล่นทีจริงออกมา
“พวกท่านคิดว่าสิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังจะได้เห็นในวันนี้คืออะไร?”
“ข้าละมั๊ง?” คาร์นกล่าวด้วยท่าทางเฉยเมยขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการลับดาบของตน แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากฮารีซันและทราเฮิร์นได้อย่างดี นี่เป็นบุคลิกที่โดดเด่นอีกอย่างของสมิงสายพันธุ์ราชสีห์ตนนี้ ด้วยคำพูดและท่าทางที่นิ่งเฉยแต่กลับสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
“ไม่ใช่” ดามิก้าอดหัวเราะไม่ได้แต่สายตายังคงมองอยู่ที่เดิม “ท่านน่ะรองสุดท้าย”
คาร์นไม่ตอบอะไร แต่ใช้วิธีถอนหายใจแรง ๆ แทน ซึ่งก็ทำให้ทั้งสามหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“สิ่งสุดท้ายที่ข้าหวังจะได้เห็นก็คือเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียในค่ายของเรา... ท่านมาทำอะไรที่นี่?” ดามิก้าพูดรัวแทบจะไม่หายใจพร้อมกับที่มีร่างของคนสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน ผู้มาใหม่ทั้งสองสวมผ้าคลุมเนื้อดีสีน้ำตาลพร้อมหมวกที่ติดกับผ้าคลุมซ่อนเรือนผมและใบหน้าไว้ใต้เงามืดไว้ครึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดหมวกลงเพื่อให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทุกคนดูจะหยุดชะงักด้วยความไม่คาดฝันเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียเสด็จมาในค่ายของฟูดินันพร้อมกับนางกำนัลคนสนิทเพียงลำพังเช่นนี้ ฮารีซันและบรรดาขุนพลต่างก็ขยับตัวจะลุกขึ้นตามมารยาทอันควรพึงปฏิบัติต่อผู้สูงศักดิ์ที่ดูเหมือนจะถูกบอกกล่าวจากบรรดานายทหารฟีเลเซียหลายครั้งหลายหน
“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ” เจ้าหญิงเรจิน่ารีบตรัสเมื่อเห็นดังนั้น พระองค์ทรงพอจะทราบดีว่ากฎระเบียบและมารยาทต่าง ๆ ของฟีเลเซียสร้างความลำบากและความไม่ชอบใจให้กองทัพฟูดินันไม่น้อย ดังนั้นเมื่อพระองค์อยู่เพียงลำพัง พระองค์ก็ไม่ปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียดให้พวกชาวป่าอีก
“พระองค์แน่พระทัยแล้วหรือเพคะ? คนพวกนี้ต้องเรียนรู้ที่จะมีมารยาทต่อพระองค์นะเพคะ” นางกำนัลคนสนิทแอบกระซิบเสียงเบาด้วยความร้อนใจที่นายของตนไม่ได้รับเกียรติเหมือนที่ควรจะเป็น
“เจ้าอยู่เฉย ๆ เถอะ” เจ้าหญิงตรัสสั่งเบา ๆ
“แต่...แต่...” นางกำนัลสะดุ้งและเงียบเสียงลงทันทีที่ได้ยินเสียงคาร์นครางต่ำ ๆ จริง ๆ แล้วคาร์นครางด้วยความรู้สึกอ่อนใจกับนิสัยของชาวฟีเลเซียเพราะความที่หูของเขาไวกว่ามนุษย์ธรรมดา เขาจึงได้ยินบทสนทนากระซิบกระซาบของสตรีทั้งสองอย่างชัดเจน และเขาก็เริ่มมองเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียต่างจากที่เคยมอง
เหล่าขุนพลเมื่อได้ยินเจ้าหญิงตรัสเช่นนั้นก็ชะงักลังเลอยู่เล็กน้อย ทราเฮิร์นก็ยักไหล่ขึ้นเร็ว ๆ เหมือนจะบอกว่าสำหรับเขานั้นจะยังไงก็ได้ แต่ในที่สุดทุกคนก็นั่งลงและมองเจ้าหญิงด้วยสายตาเป็นคำถามแทน
“ข้าเพียงแต่มาพบท่านฮารีซันเท่านั้น”
ดามิก้าได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจหันไปมองฮารีซันด้วยความสงสัย ขณะที่คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน ฮารีซันก็ประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าทุก ๆ คนเช่นกัน เขามองทุกคนก่อนจะค่อย ๆ หยับตัวขึ้น
“เจ้าหญิงมีธุระกับข้าหรือ?”
“เขาไม่พูดราชาศัพท์กับพระองค์ด้วยนะเพคะ” นางกำนัลยังคงพยายามกระซิบด้วยความตื่นตระหนก
“อยู่เฉย ๆ “ เจ้าหญิงตรัสโดยที่พระโอษฐ์ไม่ขยับสักนิด ทำให้คาร์นต้องแสร้งกระแอมเพื่อกลบเสียงหัวเราะ แต่เสียงกระแอมของเขาดูเหมือนจะเป็นเสียงคำรามของสัตว์ป่ามากกว่าในความคิดของนางกำนัล เพราะนางสะดุ้งจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแทบจะทันที
“เออ...ก็ใช่ คือที่จริงข้ามาแจ้งข่าวการเข้าเฝ้าซิกมันด์...กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย” เจ้าหญิงเองก็อดสะดุ้งเพราะความตกใจไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ทรงรักษากริยาได้อย่างดี
“ทำไมท่านต้องมาเองล่ะ? ทำไมไม่ส่งทหารมาอย่างทุกที?” ดามิก้าอดถามแทรกขึ้นไม่ได้ ซึ่งทุกคนก็คงสงสัยแต่อดใจที่จะไม่ถาม คงมีแต่ดามิก้าที่คิดอะไรก็พูดทันทีเท่านั้นแหละที่จะกล้าถามเช่นนี้ นางกำนัลถึงกับอ้าปากค้างที่ดามิก้ากล้าถามเช่นนี้กับเจ้าหญิง ฮารีซันต้องแกล้งกระแอมไอขัดขึ้นพลางเหลือบสายตามองไปยังดามิก้า
“ข้าได้รับแต่งตั้งให้มาดูแลและคอยประสานงานกับกองทัพฟูดินันโดยตรง นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกท่านจะได้เจอหน้าข้าบ่อยขึ้น” เจ้าหญิงตรัสยิ้มอย่างไว้องค์