Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 12:53 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:19 pm

Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน



ภายในห้องรับรองซึ่งถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการประมูลครั้งสำคัญแห่งเมืองท่าแอนดิซอง เก้าอี้กว่าสองร้อยตัวที่ถูกจัดเตรียมไว้เต็มจนไม่มีที่ว่างเหลือ บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อันจะกิน ผู้มีหน้ามีตาในวงสังคม หรือไม่ก็เป็นเหล่าขุนนางชั้นสูง แม้ว่ามีหลายคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเพื่อประมูลของล้ำค่าอย่างจริงจังนัก แต่ทุกคนหวังที่จะได้ยลโฉมน้ำตานางเงือกเพชรน้ำเอกของกำนัลจากตระกูลโอดิลอนด้วยกันทั้งนั้น

เสียงแข่งราคาและเสียงค้อนที่ทุบลงเพื่อยุติการแข่งราคาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าราคาที่ได้กลับไม่สูงเท่าที่ควรจะเป็นเลยสักชิ้นเดียว เจ้าหญิงอลาน่าผู้ทรงนั่งเป็นประธานในการประมูลอยู่บนบัลลังก์ทองทรงปิดเปลือกตาลงประสานมือไว้บนตักอย่างสงบเสงี่ยมคล้ายกำลังสวดภาวนาอยู่บนบัลลังก์นั้นเอง

ที่แถวหน้าสุดของเวทีประมูล วิโอเรียในชุดสีเงินครามเปลือยไหล่และคว้านคอลึกอย่างน่าหวาดเสียวกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสะใจ ในมือถือพัดที่ทำจากขนนกโฟรวิรอส (Phoaviros) ซึ่งเป็นนกห้าสีพันธุ์หายากในแอนดิซอง หญิงสาวคอยโบกพัดเป็นจังหวะให้สัญญาณบรรดาผู้ประมูลเป็นระยะ ๆ ดวงตาคมงามที่แฝงไว้ด้วยความถือดีและไม่ยอมใครคอยลอบสบตากับพ่อค้าใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างรู้กัน เมื่อมีของล้ำค่าชิ้นใหม่ถูกนำขึ้นมา พอราคาที่ถูกเสนอเริ่มสูงขึ้นรูฟัสก็จะแกล้งยกคทาเพชรของตนเคาะที่ไหล่ซ้าย ส่วนวิโอเรียก็จะโบกพัดบอกเป็นนัยว่าไม่พอใจ ใครที่เสนอราคาเกินกว่านี้เป็นได้เห็นดีกัน บรรดาผู้เข้าร่วมประมูลซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการนัดแนะจากทั้งวิโอเรียและรูฟัสก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็ใครเล่าอยากจะมีเรื่องกับรูฟัสและวิโอเรีย คนหนึ่งก็เป็นผู้กว้างขวางในวงการค้า อีกคนรึก็กุมบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ ไว้เป็นพวกมากมาย ยิ่งเมื่อทั้งสองมาร่วมมือกันเช่นนี้ก็ยิ่งอันตรายหากคิดจะต่อต้านหรือขัดขืน ส่วนคนที่ไม่ยอมร่วมมือกับแผนของทั้งสองก็ถูกแกล้งขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้ามาร่วมประมูลในครั้งนี้ได้ บรรดาผู้เข้าร่วมประมูลในวันนี้จึงแทบจะเป็นพวกของวิโอเรียและรูฟัสทั้งสิ้น

“อันดับต่อไป ชิ้นที่ห้าสิบเอ็ด และเป็นชิ้นสุดท้ายของวันนี้” เสียงนายประมูลประกาศก้อง “น้ำตานางเงือก”

สิ้นเสียงประกาศเจ้าหน้าที่ก็บรรจงถือหมอนกำมะหยี่สีขาวขนาดใหญ่ บนหมอนนั้นมีผ้าสีขาวปักด้วยดิ้นเงินและทองอย่างประณีตที่สุดคลุมทับอยู่บนวัตถุซึ่งก็คงจะเป็นอัญมณีล้ำค่าที่ทุกคนรอคอยนั่นเอง “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ น้ำตานางเงือก” นายประมูลกล่าวพร้อมกับกระตุกผ้าขึ้นทันที

เพชรสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำขนาดเท่าสองอุ้งมือปรากฏโฉมหยอกล้อกับแสงไฟจนแสงวูบวาบสีน้ำเงินส่องประกายสะท้อนไปทั่วทั้งห้องประมูล เสียงฮือฮาด้วยเพราะตกตะลึงในความงดงามของเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่และน้ำงามที่สุดก็ดังอื้ออึงไปทั่ว แม้แต่วิโอเรียและรูฟัสก็ยังอดตะลึงจนตาค้างไม่ได้ รูฟัสถึงขนาดอ้าปากค้างจนน้ำลายหกออกมา ขนาดนายประมูลเองก็ยังถือผ้าขาวปักดิ้นค้างอยู่ท่าเดิมด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

“นายประมูล” เจ้าหญิงอลาน่าทรงเรียกเมื่อเห็นว่านายประมูลไม่ดำเนินการประมูลสักที

“โครม!” นายประมูลตกใจจนทำค้อนหลุดจากมือร่วงลงกระแทกโต๊ะดังโครมใหญ่ “อะ...เออ...พ่ะย่ะค่ะ...”

“เริ่มเลยจ๊ะ”

“ข้า! ข้า! ข้าซื้อ ๆ “ รูฟัสที่ได้สติร้องโหวกเหวกขึ้นมาทันที

“ข้าด้วย” “ขายให้ข้า” “ข้า ให้ข้า” เสียงตะโกนดังแข่งกันจนดังเซ็งแซ่ไปทั้งห้องประมูล

“โครม ๆ ๆ ๆ” นายประมูลต้องใช้ค้อนกระแทกโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อบังคับให้ที่ประชุมอยู่ในความสงบ “กรุณาอยู่ในความสงบด้วยครับ เรากำลังจะเริ่มต้นประมูลกันแล้ว”

ทุกคนที่ตะโกนโหวกเหวกต่างรู้สึกกระดากที่เผลอลืมตัวไปชั่วขณะ รูฟัสนั้นหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความอับอายรีบเช็ดคราบน้ำลายที่ไหลหกออกมา สร้างความขบขันให้กับคนรอบข้างอย่างช่วยไม่ได้

“ราคาเริ่มต้นของน้ำตานางเงือก คือ หนึ่งแสนออเรียส” เสียงประกาศของนายประมูลดังขึ้น ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นเป็นครั้งที่สอง
“บ้าแล้ว หนึ่งแสนออเรียสงั้นเหรอ” รูฟัสตะโกนอย่างไม่เชื่อหู หนึ่งแสนเหรียญทองนั่นเกือบจะเท่ากับเงินกำไรตลอดทั้งปีที่เขาหาได้เชียว รูฟัสเหลือบตาไปมองผู้คนโดยรอบก็เห็นว่าบรรดาคนที่คิดอยากจะได้ครอบครองน้ำตานางเงือกก็ถึงกับหัวหดเมื่อได้ยินราคาเริ่มต้นของเพชรสีน้ำเงินชิ้นนี้ ระดับคนพวกนี้หากใครที่อยากจะได้ไว้ในครอบครองคงต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อเป็นเจ้าของมันเป็นแน่ รูฟัสเริ่มยิ้มออก เมื่อไม่มีคู่แข่ง ราคาก็ไม่น่าจะสูงไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่

“หนึ่ง...หนึ่งแสนหนึ่งพัน” รูฟัสเสนอราคาหยั่งเชิง

“หนึ่งแสนสองพัน” เสียงวิโอเรียประกาศก้องพร้อมกับโบกพัดเป็นสัญญาณว่าใครก็อย่าเสนอหน้ามาแข่งราคาด้วย

“หนึ่งแสนสองพันห้าร้อย” รูฟัสเสียดายเงินแต่ก็อยากจะได้เพชรใจจะขาด

“หนึ่ง! แสน! สาม! พัน!” วิโอเรียประกาศย้ำทีละคำ จ้องหน้ารูฟัสและยิ้มมุมปากอย่างเอาเรื่องพร้อมกับขมุบขมิบปากว่า ‘ของข้า’

“หนึ่งแสน...” รูฟัสอ้าปาก

“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น” เสียงของชายคนหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้องประมูล เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ทุกคนต่างตกใจเหลียวไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว วิโอเรียหันไปถลึงตาจ้องอย่างแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ในขณะที่รูฟัสตาเหลือกด้วยความตกใจ เมื่อคนที่อาจหาญขัดคำสั่งของวิโอเรียและรูฟัสคือเสนาบดีกระทรวงศึกษาจากตระกูลโอดิลอนนั่นเอง

‘เจ้าโอดิลอน แกทำบ้าอะไรของแก’ รูฟัสขมุบขมิบปากอย่างด้วยความโกรธพยายามเอาคทาเคาะที่ไหล่ซ้ายตามสัญญาณที่ตกลงกันไว้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:20 pm

ตลอดการประมูลวันนี้ขุนนางจากตระกูลโอดิลอนผู้นี้ดูเหมือนจะทำให้ทั้งรูฟัสและวิโอเรียขัดใจอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่วิโอเรียหรือรูฟัสเสนอราคาขึ้น เขาก็จะต้องเสนอราคาโดดขึ้นไปมากบ้างน้อยบ้างอยู่เรื่อย ครั้นพอเห็นสัญญาณเคาะคทาหรือโบกพัด เขาก็จะทำท่าตกอกตกใจขอโทษขอโพยไม่กล้าเสนอราคาสู้ทุกครั้งไป จนรูฟัสคิดว่าขุนนางผู้นี้คงจะต้องมีความผิดปกติทางสมองหรือไม่ก็อาจจะป่วยหนักอะไรสักอย่าง แต่เวลานี้พ่อค้าร่างยักษ์ชักจะแน่ใจแล้วว่ากำลังถูกเสนาบดีผู้นี้หักหลัง

“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพัน” วิโอเรียประกาศแม้จะยังคงจ้องหน้าขุนนางจากตระกูลโอดิลอนอย่างเอาเรื่อง

“หนึ่งแสน...หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อย” รูฟัสเสนอราคาเสียงเบาลงเรื่อย ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันในความงกของรูฟัสจากคนรอบข้าง

“หนึ่งแสนสองหมื่น” เสนาบดีโอดิลอนประกาศและยังคงยิ้มให้วิโอเรียและรูฟัสอย่างไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่ราคาที่เสนอก็เรียกเสียงฮือฮาให้ดังขึ้นอีกครั้ง

รูฟัสเริ่มนั่งไม่ติด ตาก็มองเพชรสีน้ำเงินอย่างเว้าวอนละห้อยหา ปากก็พึมพำคำด่าไม่หยุด “หนึ่งแสนสองหมื่น...หมื่น....ห้าร้อย”

“หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพัน” วิโอเรียเค้นเสียงรอดไรฟันอย่างขุ่นเคืองที่สุด ทั้งไม่อยากให้อลาน่าได้ราคาค่าประมูลสูงทั้งอยากจะเอาชนะอลาน่าและขุนนางจากตระกูลโอดิลอน ในขณะที่รูฟัสก็ต้องจิกทึ้งเสื้อตัวเองด้วยความอัดอั้นเมื่อได้ยินราคาที่วิโอเรียประกาศ

“หนึ่งแสนห้าหมื่น” การประกาศราคาของโอดิลอนคราวนี้ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาด้วยความตกใจดังมากขึ้นไปอีก วิโอเรียถึงกับทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจ้องหน้าเสนาบดีด้วยความโกรธจัด ข้างฝ่ายรูฟัสก็ฉีกเสื้อนอกจนขาดวิ่นด้วยความคลั่งแค้นก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องประมูลไปทันที

“หนึ่งแสนหกหมื่น” วิโอเรียประกาศทำให้เสียงฮือฮาดังไม่หยุด

“หนึ่งแสนเจ็ด”

“หนึ่งแสนแปด”

“หนึ่งแสนเก้า”

“สองแสน”

เสียงแข่งราคาดังสู้กันไม่หยุดจนทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ทุกคนต่างลุ้นกันสุดตัว อยากจะรู้ว่าที่สุดแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร? เมื่อราคาขึ้นไปถึงสองแสนออเรียสวิโอเรียก็เริ่มวิตก เพราะเป็นเงินจำนวนมากจนตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีพอจ่ายในทันทีหรือไม่? แต่เมื่อวิโอเรียเห็นว่าฝ่ายเสนาบดีเงียบไปก็กระหยิ่มอย่างลำพองในชัยชนะที่มองเห็นอยู่รำไร เสียงร้องย้ำราคาที่วิโอเรียเสนอจากนายประมูลดังก้องขึ้นเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของวิโอเรียเริ่มปรากฏบนใบหน้าขณะที่ส่งสายตาเหยียดหยามไปทางเสนาบดีโอดิลอน ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับค่อย ๆ เลือนหายไปเพราะรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของเสนาบดีโอดิลอนนั้นบ่งบอกถึงความเป็นต่อและไม่สะทกสะท้านใด ๆ ทั้งสิ้น

“สองแสนห้าหมื่น” เสนาบดีประกาศเสียงเรียบในขณะที่วิโอเรียแทบจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ พัดในมือหักสะบั้นเป็นสองท่อน หญิงสาวหายใจหอบถี่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งด้วยความอาฆาตมาดร้าย ฝ่ายผู้ร่วมประมูลทั้งหลายก็ถึงกับอุทานด้วยความตื่นตะลึงกับราคาที่เพิ่งถูกประกาศ

“สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่หนึ่ง” นายประมูลประกาศ พร้อมกับรอดูท่าทีของวิโอเรียว่าจะเสนอราคาสูงกว่านี้อีกหรือไม่

“สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่สอง” ทั้งห้องประมูลยังคงเงียบสนิท

“สองแสนห้าหมื่นออเรียส ครั้งที่สาม” เสียงนายประมูลประกาศพร้อมกับใช้ค้อนทุบโต๊ะเป็นสัญญาณยุติการประมูล “น้ำตานางเงือกตกเป็นของท่านโอดิลอน เสนาบดีกระทรวงศึกษา ด้วยราคาสองแสนห้าหมื่นออเรียสครับ”

เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังสนั่นกึกก้องไปทั้งห้องประมูล วิโอเรียซึ่งแทบจะเดินกระทืบเท้าก็ก้าวฉับ ๆ ไปถึงตัวเสนาบดีกระทรวงศึกษาอย่างรวดเร็ว

“ดีใจไปเถอะ ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน” หญิงสาวกล่าวอย่างมาดร้ายและเคียดแค้น

เสนาบดีจากโอดิลอนเตรียมใจที่จะต้องชนกับวิโอเรียและรูฟัสมาตั้งแต่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จากที่ประชุมของตระกูลแล้ว ตระกูลโอดิลอนทุกคนล้วนแต่รับราชการรับใช้ราชวงศ์มาโดยตลอด และไม่มีสักครั้งที่จะอ่อนข้อหรือเกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพล ช่างน่าขำเหลือเกินที่วิโอเรียและรูฟัสคิดว่าจะซื้อเขาได้ด้วยสมบัติของตระกูลเขาเอง

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเป็นห่วง” เสนาบดียิ้มน้อย ๆ ทำหน้าซื่อ และแสร้งค้อมศีรษะให้

คราวนี้วิโอเรียถึงกับกัดฟันจนตัวสั่นเทิ้ม เค้นเสียงรอดไรฟัน “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” กล่าวจบแล้วก็สะบัดหน้าก้าวออกจากห้องไปอย่างกับพายุบุแคม

เมื่อวิโอเรียจากไปแล้วทุกคนต่างก็เข้าไปแสดงความยินดีกับขุนนางแห่งตระกูลโอดิลอนทันที เพราะความที่กลัวอิทธิพลของวิโอเรียและรูฟัสจึงทำให้ไม่มีใครกล้าประมูลแข่ง แต่เสนาบดีผู้นี้กลับแข่งราคาอย่างไม่กลัวเกรงจึงทำให้ขุนนางจากตระกูลโอดิลอนมองดูเหมือนเป็นวีรบุรุษก็ไม่ปาน

เสียงปรบมือจากผู้ร่วมประมูลดังกึกก้อง เสนาบดีโอดิลอนเหลือบมองไปทางเวทีประมูล ที่บนเวทีนั้นเจ้าหญิงอลาน่าประทับยืนอยู่ทรงปรบมือด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและดวงเนตรที่ฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา พระองค์ทรงขมุบขมิบพระโอษฐ์เป็นคำพูดที่อ่านได้ว่า ‘ขอบคุณค่ะ’

ขุนนางวัยกลางคนยิ้มตอบพร้อมกับค้อมศีรษะรับคำก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูฝั่งซ้ายเพื่อรับน้ำตานางเงือกกลับคืนสู่ตระกูลโอดิลอนดังเดิม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:21 pm

ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงแล้วเมื่อทัพเสริมแห่งฟีเลเซียและกองทัพแห่งฟูดินันเดินทางมาถึงประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองคามินยาร์ด ประตูเมืองด้านนี้ยังมีร่องรอยความเสียหายจากการถูกโจมตีอย่างหนักปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดแนวกำแพง เสียงแตรให้สัญญาณเปิดประตูดังก้องขานรับกันเป็นช่วง ๆ และทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก ภาพของแถวประชาชนทั้งชายหญิงที่ออกมายืนต้อนรับก็ยาวเหยียดไปจนสุดลูกหูลูกตา กองทัพแห่งฟีเลเซียเดินนำเข้าไปเป็นกองทัพแรกโดยการนำของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียบนหลังอาชาสีขาวปลอด ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญที่ดังก้องไปทั่ว แต่แล้วทันทีที่กองทัพของฟูดินันก้าวผ่านประตูเมือง เสียงอุทานด้วยความตกใจและเสียงซุบซิบก็ดังเซ็งแซ่ไปตลอดทาง

บรรดานักรบของฟูดินันเหลียวมองบ้านเรือนที่เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงด้วยความตื่นตา บ้านเรือนยังแลดูสวยงามตระการตาในสายตาของพวกชาวป่าแม้จะถูกทำลายไปเพราะสงคราม แต่ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มรู้สึกตัวและเริ่มอึดอัดกับสายตาของประชาชนชาวเมืองคามินยาร์ดและบรรดาทหารรักษาการณ์ที่จ้องมองพวกตน สายตาตื่นตระหนกและสมเพชที่ทำให้พวกเขารู้สึกไร้ค่าและต่ำต้อย

“สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน?” นายพลทราเฮิร์นอดพูดไม่ได้เมื่อถูกจ้องมองมาก ๆ เข้า

“เอาเถอะ อีกเดี๋ยวเราก็จะพ้นจากคนพวกนี้แล้ว” ฮารีซันที่เดินอยู่ใกล้ ๆ พูดให้กำลังใจ

“พวกท่านไม่รู้สึกอะไรเลยรึ?” แม่ทัพเซนทอร์ถามต่อ แต่เมื่อมองเห็นหน้าของแต่ละคนก็รู้ว่าต่างก็รู้สึกอัดอึดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“ข้าพยายามจะไม่สนใจสายตาของคนพวกนี้” คาร์นคำรามเบา ๆ ก้มหน้าก้มตาเดินเหมือนกับพยายามสะกดใจอยู่ ทว่าดูเหมือนดามิก้าซึ่งนั่งบนหลังอาลูปัสจะมีสีหน้าเรียบเฉยมากที่สุด

“ท่านดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนมากที่สุดในหมู่พวกเรานะ” เซนทอร์ทราเฮิร์นเอ่ยทักเมื่อเห็นดังนั้น

“ก็อาจจะใช่” ดามิก้าบนหลังอาลูปัสหันมาตอบอย่างไม่จริงจังนัก “ข้าคงจะชินแล้วละมั๊ง?”

“ชินแล้วเหรอ? ดูท่านจะปรับตัวได้เร็วกว่าพวกเราอีกนะ” ทราเฮิร์นเอ่ยด้วยความประหลาดใจแกมชื่นชม

“หึ ใครว่า...สายตาแบบนี้มันก็เหมือนกับที่เวลาเผ่าอื่น ๆ จ้องมองเผ่าทมิฬนั่นแหละ ข้าถึงรู้สึกชินกับมันไงละ” คำพูดของสาวชาวป่าทมิฬทำให้ชายทั้งสามต้องหันมามองจนดามิก้าอดหัวเราะไม่ได้ “เฮ้ เฮ้ ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นหรอก ข้าไม่ได้ติดใจอะไรหรือตั้งใจจะโทษใครนะ”

“เจ้าเป็นเผ่าทมิฬที่ดี” คาร์นกล่าวพร้อมกับตบหลังดามิก้าเบา ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็ยิ้มให้อย่างเห็นด้วย “เสียตรงที่พูดตรงไปหน่อยเท่านั้นแหละ” คาร์นเสริมด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ก็เรียกเสียงขบขันจากฮารีซันและทราเฮิร์นได้อย่างดี

“ขอบใจ” ดามิก้ายิ้มหยอก “ถ้าเป็นคนอื่นพูด คงได้มีการออกกำลังกันกลางเมืองแน่ แต่เพราะเป็นท่านพูด...ข้าจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”

“เอาน่า...พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก อย่างน้อยก็ทำให้ข้าลืมสนใจสายตาคนพวกนี้ไปได้ชั่วขณะ” ทราเฮิร์นพูดเสริม

“เร่งฝีเท้ากันอีกนิดเถอะ เราใกล้จะถึงค่ายพักแล้ว” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ ทำให้ทุกคนมองตรงไปยังที่ว่างที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขา


เหนือขึ้นไปบนเนินสูงมีอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่บัญชาการชั่วคราว กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 ทรงใช้กล้องส่องทางไกลที่ทำให้สามารถมองได้ไกลและคมชัดขึ้น ซึ่งได้จากการประดิษฐ์ของทิโมธี พระองค์ทรงใช้มันส่องสำรวจกองทัพฟูดินันจากระเบียงอาคาร

“นี่มันกองทัพอะไรกัน?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหยียดพระโอษฐ์อย่างดูแคลน ขณะส่งกล้องให้แม่ทัพชาร์ล ทันทีที่ชาร์ลยกกล้องขึ้นส่องดูก็ต้องรีบกระแอมเพื่อกลบเสียงหัวเราะ

“มันไม่ตลกเลยสักนิด ข้าจะให้กองทัพประหลาดเหมือนพวกละครสัตว์อย่างนั้นออกรบได้ยังไง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเหยียดหยาม

“ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยเห็น เออ...จะเรียกว่าอย่างไรดี... กองทัพที่แต่งตัวกันด้วยสีสันฉูดฉาดสารพัดสีและเอาแต่อ้าปากหวอหันรีหันขวางมองดูบ้านเมืองของเราราวกับเห็นแดนมายาอย่างนี้”

“แล้วนั่น...” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงชี้ลงไปยังเผ่าสมิง “นั่นมันคนหรือสัตว์กันแน่!”

ชาร์ลยกกล้องส่องดูตามที่กษัตริย์ซิกมันด์ชี้ “อืม... รูปร่างเหมือนสัตว์แต่เดินสองขา อาจจะเป็นพวกเผ่าสมิงก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงก็วันนี้เอง”

“ฝ่าบาท” แม่ทัพนายหนึ่งเดินเข้ามาสมทบด้วย “เราทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะว่ากองทัพลึกลับที่ลอบโจมตีกองทัพซาโลมคือพวกไหน? ตอนนี้หน่วยสอดแนมรอถวายรายงานอยู่ที่ห้องบัญชาการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงเนตรของกษัตริย์ซิกมันด์แข็งกร้าวขึ้นทันที วันนี้จะได้รู้กันเสียทีว่าใครคือสุนัขลอบกัดที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ฟีเลเซีย พระองค์ทรงเหลือบมองกองทัพเบื้องล่างด้วยดวงเนตรที่หรี่แคบและพระพักตร์ที่บึ้งตึง นั่นก็เป็นอีกปัญหาที่น่าหนักใจที่พระองค์จะต้องทรงจัดการ คิดดังนั้นแล้วก็สะบัดผ้าคลุมออกดำเนินตรงไปยังห้องบัญชาการทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:22 pm

ณ ห้องบัญชาการของกองทัพแห่งฟีเลเซีย ประตูห้องถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงพร้อม ๆ กับที่กษัตริย์ซิกมันด์ทรงก้าวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

“พวกมันเป็นใคร?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงถามทันทีที่เห็นหน้าหน่วยสอดแนมทั้ง ๆ ที่ยังดำเนินไปไม่ถึงบัลลังก์

“ทูลฝ่าบาท” นายทหารกราบทูล “เป็นพวกนักฆ่าแห่งฟีเลเซีย(Felasia Assassin)พ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเกือบจะดำเนินไปถึงบัลลังก์แล้วแต่ก็ต้องทรงหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์แบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของพระองค์ทำให้ทั่วทั้งห้องต้องเงียบสนิท

“ไอ้พวก...” กษัตริย์ซิกมันด์ทั้งประหลาดพระทัยทั้งโกรธจนสรรหาคำมาอธิบายไม่ได้ ความโกรธที่ทำให้พระองค์อยากจะทำลายกำแพงเมืองโครีธาให้ราบเป็นหน้ากลองแล้วลากคอพวกนักฆ่าเหล่านี้มาสำเร็จโทษด้วยมือของพระองค์เอง พระองค์ต้องหยุดตรัสแล้วสูดหายใจเข้าอย่างแรงก่อนที่จะทรงสามารถตรัสใด ๆ ได้อีกครั้ง “ไอ้พวกสวะนอกกฎหมายพวกนี้เสนอหน้าเข้ามายุ่งเกี่ยวในการรบของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียทำไม?”

“ฝ่าบาท” นายทัพนายหนึ่งทูลตอบ “พวกโจรเถื่อนนอกกฎหมายพวกนี้พยายามขอสมัครเข้าร่วมกับกองทัพอัศวินตั้งแต่เมื่อครั้งที่สงครามเพิ่งเริ่มต้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไร้สาระ! จะให้พวกคนนอกกฎหมายไร้เกียรติพวกนี้เข้าร่วมในกองทัพอันทรงเกียรติแห่งฟีเลเซียได้อย่างไร?”

“พ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นเหตุให้กองทัพไม่รับคนพวกนี้เข้ามาตั้งแต่แรก” นายทัพอีกคนหนึ่งเสริมขึ้น “เพราะยุทธวิธีการรบแบบดักซุ่มและลอบโจมตีเหมือนโจรของพวกมันนั้นเป็นเรื่องที่กองทัพไม่อาจยอมรับได้”

“พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว วิธีการของพวกมันไม่ต่างอะไรกับโจรชั้นต่ำ ไร้เกียรติและศักดิ์ศรีที่สุด!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงประณามอย่างดุเดือด

“นี่คงเป็นความพยายามที่จะทำให้กองทัพยอมรับ” แม่ทัพชาร์ลออกความเห็นอย่างไม่ชอบใจนัก

“พวกมันคงอยากจะได้สิทธิ์การยอมรับเป็นพลเมืองของเรา” นายพลมังกรกล่าว

“ความพยายามโง่ ๆ “ กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเผ็ดร้อน “ข้าไม่มีวันยอมรับพวกนอกกฎหมายพวกนี้เข้าเป็นพลเมืองให้เสื่อมเกียรติของประเทศชาติเด็ดขาด”

“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกับพวกนักฆ่าพวกนี้ดี?” นายทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

“ต้องหาวิธีหยุดพวกมันให้ได้ เพื่อไม่ให้เกียรติของกองทัพต้องเสื่อมเสียไปมากกว่านี้” แม่ทัพชาร์ลพยายามคิดหาทางที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของกองทัพชาตินักรบ

ทั่วทั้งห้องบัญชาการต่างก็เงียบเสียงลงพยายามหาวิธียุติการกระทำของพวกนักฆ่าแห่งฟีเลเซีย แต่แล้วในที่สุดที่ประชุมก็ดูเหมือนจะรอคอยคำสั่งเด็ดขาดจากองค์กษัตริย์ซึ่งถือว่าเป็นการชี้ขาดที่ดีที่สุด

“ส่งหน่วยไล่ล่าออกไป” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงประกาศเสียงกร้าว “เจอพวกนอกฎหมายพวกนี้เมื่อไหร่ให้จัดการได้ทันที”

“ช้าก่อนฝ่าบาท” ชาร์ลท้วงขึ้นแทบจะทันที “กระหม่อมเห็นว่าเราไม่ควรจะรีบกำจัดพวกนักฆ่าเวลานี้ การที่เราจะแบ่งกองทัพออกไปเพื่อจะรบทั้งศึกในศึกนอกจะทำให้เราเสียกำลังพลไปโดยใช่เหตุ กระหม่อมไม่อยากให้เราสูญเสียทหารกับการนี้ทั้ง ๆ ที่หน่วยไล่ล่านี้อาจจะสามารถปลิดชีพพวกซาโลมได้เป็นร้อยในสนามรบ” ลึก ๆ ในใจแล้วชาร์ลก็มองเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเหล่านักฆ่าแห่งฟีเลเซียอยู่ไม่น้อย

“จริงอย่างที่ท่านแม่ทัพว่านะพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ไม่ได้หันมาโจมตีเรา” บรรดาแม่ทัพต่างก็เห็นด้วยและในใจหลาย ๆ คนก็คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากเหล่านักฆ่าพวกนี้ไปอีกสักระยะ

“อย่างน้อยก็ให้เราสามารถยึดเมืองทั้งสองคืนได้เสียก่อน” แม่ทัพอีกคนกล่าวเสริม

“ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะให้ข้าทนบากหน้ายอมรับสภาพที่น่าอัปยศที่พวกมันก่อขึ้นรึยังไง?” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงตะคอกด้วยความโกรธ

“กระหม่อมเห็นว่าในเบื้องต้นนี้ เราอาจจะทำประกาศไม่ยอมรับการกระทำของบุคคลกลุ่มนี้ เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่าเรากับพวกนักฆ่าพวกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน” ชาร์ลออกความเห็น

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นบีบขมับพระองค์เองกรามขบแน่นและนิ่งเงียบอยู่นาน พระองค์ทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตรัสเสียงหนัก ๆ ด้วยความขุ่นเคือง

“ทำไมอะไร ๆ ก็ประเดประดังกันเข้ามาในชีวิตข้าอย่างนี้นะ เอาตามที่พวกท่านว่าไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วเราค่อยว่ากันทีหลัง” ตรัสจบก็ทรงลุกขึ้นสาวเท้ายาว ๆ ออกจากห้องไปทันที

ชาร์ล คลาแรนซ์ มองดูกษัตริย์ซิกมันด์ด้วยความวิตก ในใจก็คิดถึงสถานการณ์ของกษัตริย์ซิกมันด์ในเวลานี้ นี่เป็นศึกใหญ่ครั้งแรกที่พระองค์ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงเป็นแม่ทัพสูงสุดโดยไม่มีกษัตริย์ซิกมันด์ที่ 2 คอยนำเหมือนเมื่อกาลก่อนอีกแล้ว แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันและปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องการรบร่วมกับฟูดินันหรือการมีพวกนอกกฎหมายมาคอยยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในการรบ และด้วยเลือดสีน้ำเงินที่เข้มข้นไปด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของพระองค์จะทำให้พระองค์ฝ่าฟันการสงครามครั้งนี้ไปได้ด้วยวิธีใดกัน ลำพังตัวเขาเองก็คงช่วยได้แค่ในระดับหนึ่ง เห็นทีเขาจะต้องหาผู้ช่วยเหลือเหมาะ ๆ อีกสักคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระปัญหาของพระองค์ไป และต้องเป็นคนที่มีความกล้าพอที่จะขัดหรือโต้แย้งกับกษัตริย์ซิกมันด์ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 38 ศักดิ์ศรีแห่งโอดิลอน @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:25 pm

“เจ้าหญิงเรจิน่า พระองค์จะเสด็จไปไหนอีกแล้วเพคะ?” นางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงเรจิน่าอดทูลถามอย่างอ่อนใจไม่ได้ขณะที่วิ่งตามเจ้าหญิงออกมาถึงห้องรับรองแขกภายในจวนที่พักของเจ้าเมือง ที่ซึ่งถูกใช้เป็นที่พักสำหรับเจ้าหญิงเรจิน่า ภายในห้องมีการจัดเตรียมโต๊ะเข็นที่ใส่สำรับสำหรับรับรองแขกไว้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกาน้ำชา ขนมปังสดใหม่ หรือแม้แต่ขนมอบนานาชนิด “คราวที่แล้วพระองค์ก็แอบหลบไปที่ค่ายของฟูดินันพระองค์เดียว ทรงทราบไหมเพคะว่าหม่อมฉันกระวนกระวายตามหาพระองค์ด้วยความร้อนใจขนาดไหน? นี่ถ้าอุ๊บ!” นางกำนัลกระพริบตาปริบ ๆ เงียบเสียงลงทันทีที่มีขนมปังก้อนใหญ่อุดเต็มปากพร้อม ๆ กับเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นของเจ้าหญิง

“ข้าคิดว่าการที่เจ้าพูดมากขนาดนี้ จะต้องเสียพลังงานไปมากแน่ ๆ เติมกระเพาะเสียหน่อยจะได้มีแรงพูดต่อ” เจ้าหญิงตรัสพยายามหยุดหัวเราะ แต่พอเห็นหน้าของนางกำนัลที่ยังคงจ้องมองพระองค์ตาปริบ ๆ พร้อมกับขนมปังในปาก ก็ทรงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ฝ่าบาท ทรงแกล้งหม่อมฉันอีกแล้ว” นางกำนัลวางขนมปังลงบนโต๊ะ “นี่ก็ค่ำลงแล้ว พระองค์ไม่ควรจะเสด็จออกไปจากจวนที่พักเพื่อแอบไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีกแล้วนะเพคะ”

“ใครว่าข้าจะออกไปจากจวนกันละ?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองหาขนมปังชิ้นต่อไป “อีกเดี๋ยวชาร์ลจะมาพบข้าต่างหากล่ะ”

“พระองค์หมายถึงแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์รึเพคะ?” นางกำนัลทูลถามอย่างตื่นเต้น มือก็ยกขึ้นจัดแต่งผมโดยอัตโนมัติ

“ดูท่าเจ้าจะชื่นชอบชาร์ลอยู่ไม่น้อยเลยนะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์หรี่พระเนตรมองแสร้งขยับแว่นตาสมมุติด้วยท่าทางเหมือนอาจารย์ผู้ภูมิในสถาบันการศึกษา

“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่ชื่นชมท่านชาร์ลที่เพียบพร้อมและเก่งกล้าสามารถในฐานะอัศวินและจอมทัพเท่านั้นแหละเพคะ แต่ถ้าพูดถึงความเหมาะสมกันแล้ว พระองค์กับ อุ๊บ!” คราวนี้นางกำนัลต้องหยุดพูดเพราะขนมปังที่ก้อนใหญ่กว่าเดิม

“อย่าแม้แต่จะคิดจับคู่ให้ข้าเชียว เราเป็นแค่เพื่อนกัน และวันนี้เขามาเพื่อปรึกษาราชการกับข้าเท่านั้น” เจ้าหญิงทรงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้าจริงจังยิ่งขึ้น “เข้าใจใช่ไหม?”

นางกำนัลพยักหน้าหงึก ๆ อย่างว่าง่ายในขณะที่เจ้าหญิงทรงเริ่มยิ้มอย่างซุกซนอีกครั้ง

ปัง!

เสียงเปิดประตูห้องรับรองดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ชาร์ล คลาแรนซ์ก้าวเข้ามาผ่านในห้อง เขาไม่ได้อยู่ในชุดเกราะเต็มยศเหมือนเวลาราชการ แต่อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีเขียวเข้มหม่นขลิบดำ เขาชะงักค้างครู่หนึ่งเมื่อเห็นสตรีทั้งสองในห้องรับรอง แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้ามาหา

“ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะอยู่ที่ห้องนี้แล้ว และ....เออ” ชาร์ลลากเสียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองนางกำนัลที่หน้าแดงแล้วก็ซีดสลับกันไปมาโดยที่ก้อนขนมปังยังค้างอยู่ในปาก “ไม่ทราบว่ากระหม่อมมาขัดจังหวะอาหารค่ำหรือเปล่า?”

นางกำนัลรีบหยิบขนมปังออกจากปากอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจนถึงใบหูจนเจ้าหญิงเรจิน่าทรงหัวเราะร่ากับท่าทางของเธอ นางกำนัลรีบก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมสำรับของว่างให้บุคคลทั้งสองแล้วก็เลี่ยงออกไปยืนรอรับคำสั่งอีกมุมห้องหนึ่งทันที

“กระหม่อมเดาได้เลยว่าเป็นฝีมือของพระองค์” ชาร์ลอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้พลางแกล้งพูดเสียงเบาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

“ท่านไม่ต้องเดาเลย เป็นฝีมือข้าอยู่แล้ว” เจ้าหญิงตรัสอย่างหนักแน่นด้วยความภาคภูมิในฝีมือเหมือนทหารที่ได้รับคำชมจากแม่ทัพ “ไปนั่งที่เก้าอี้เถอะ จะได้คุยได้สะดวกหน่อย”

เมื่อทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย เจ้าหญิงเรจิน่าจึงเริ่มตรัสถาม

“เอาล่ะ มันเรื่องอะไรกัน?”

“ก็อย่างที่กระหม่อมทูลให้ทราบในสารที่ส่งมา กษัตริย์ซิกมันด์ควรจะมีคนช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์ แค่เรื่องการศึกกับจักรวรรดิซาโลมก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว”

“ใช่ ในฐานะกษัตริย์ ซิกมันด์ต้องแบ่งภาระอันหนักอึ้งทันทีที่ขึ้นครองราชย์เลย” เจ้าหญิงตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ ไหนจะเรื่องการกองทัพฟูดินัน ไหนจะยังพวกนักฆ่านอกกฎหมาย” ชาร์ลทูลพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจมอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น

“เรื่องฟูดินันให้เป็นธุระของเราเอง” เจ้าหญิงเสนอองค์แทบจะทันที

ชาร์ลหยุดถ้วยของเขาก่อนที่จะได้ทันดื่มอึกแรก เขาเหลือบมองเจ้าหญิงผ่านขอบถ้วยชาก่อนจะยิ้มกว้าง “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พระองค์ไม่ทรงพลาดที่จะปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ก็ตามจะทำให้พระองค์สนุกได้ ใช่มั๊ยพ่ะย่ะค่ะ?”

“อะไรกันชาร์ล ท่านยังคิดว่าข้าเป็นเด็กซุกซนที่ปีนต้นไม้ในอุทยานหลวงเล่นอยู่หรือยังไง?” เจ้าหญิงเรจิน่าแสร้งเหน็บอย่างไม่พอใจ

“ทูลตามตรง บางครั้งกระหม่อมก็ยังเห็นว่าเป็นเช่นนั้นอยู่” ชาร์ลยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงสมัยเด็ก ๆ

“ข้าคือสายลมนะ ถ้าสายลมอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ แล้ว สายลมจะยังเป็นสายลมอยู่ได้อย่างไรกัน?”

“แต่พระองค์ก็นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยเวลานี้พระองค์ก็ไม่ได้ทรงปีนต้นไม้ต่อหน้าคนอื่น ๆ “

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยชาร์ล” เจ้าหญิงทรงหัวเราะในลำคอ

“เวลาพระองค์อยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ พระองค์ก็จะวางตัวเป็นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมและงามสง่า แต่กลับเวลาที่อยู่เพียงลำพังกับคนสนิท...” ชาร์ลยังคงพูดต่อ

“ก็ข้ารู้ว่าประชาชนชาวฟีเลเซียต้องการเห็นสิ่งใดจากตัวเจ้าหญิงนะสิ ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นความหวังและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชน ข้าก็ยินดีจะทำสิ่งนั้นเพื่อประชาชนชาวฟีเลเซีย เพียงแต่ว่า...ถ้ามีโอกาสให้ข้าได้ผ่อนคลายบ้าง ข้าก็ไม่ควรพลาดไม่ใช่รึ?” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น ชาร์ลยกถ้วยน้ำชาขึ้นเหมือนยกแก้วเหล้าเวลาดื่มให้เกียรติใครสักคน

“ทีนี้ก็เลิกวิจารณ์นิสัยที่ดีของข้าเสียที แล้วรีบพูดธุระของเรากันดีกว่า...ไม่งั้นท่านจะได้เห็นนิสัยที่ดีของข้าแผลงฤทธิ์เข้าให้แน่ ๆ “ เจ้าหญิงทรงแกล้งขู่ด้วยท่าทางเอาเรื่องก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังทำให้ชาร์ลอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“เอาน่า ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ทำเพราะมันน่าสนุกอย่างเดียวหรอกนะ” เจ้าหญิงสารภาพ “ข้ารู้สึกผิดนิดหน่อย...เออ...จริง ๆ แล้วมันก็มากอยู่เหมือนกัน”

“รู้สึกผิดเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์ไปทำอะไรที่ผิดต่อพวกฟูดินันหรือ?” ชาร์ลถามอย่างสงสัย

“ไม่ใช่ข้าเสียทีเดียวหรอก แต่เป็นพวกเราทุกคนต่างหาก ตั้งแต่เรื่องที่เรายกเมืองวอลเนียขึ้นจนทำให้พวกซาโลมบุกเข้าไปโจมตีฟูดินันแทน ตอนที่พวกเราตัดสินใจยกวอลเนียก็ไม่มีใครคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย หรือจะเป็นเรื่องที่เราไปออกกฎห้ามนู่นสั่งนี่กับพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีน้ำใจอาสามาช่วยพวกเรา แต่พวกเรากลับปฏิบัติกับเขาแย่กว่าที่ควรจะเป็น และดูสิ...จนป่านนี้ซิกมันด์ยังไม่ยอมพบฮารีซัน ผู้นำกองทัพฟูดินันเลย”

“กระหม่อมเข้าใจเหตุผลของพระองค์แล้ว แม้กระหม่อมจะไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดที่พระองค์จะต้องเอามาใส่ใจถึงเพียงนี้ เอาเป็นว่าพระองค์อาสาจะรับหน้าที่ดูแลกองทัพฟูดินัน ส่วนเรื่องการเกลี่ยกล่อมให้กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยินยอมในเรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของกระหม่อมเอง”

ความที่ว่าชาร์ล คลาแรนซ์นั้นคลุกคลี่กับราชวงศ์อรีธาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเรื่องการได้รับแต่งตั้งเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าหญิงและเจ้าชาย บ่อยครั้งที่ร่วมออกล่าสัตว์ด้วยกัน ทั้งได้รับแต่งตั้งให้สอนเชิงยุทธให้กับกษัตริย์ซิกมันด์ ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับเจ้าหญิงและเจ้าชายมากเป็นพิเศษและได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั้งสองมากเป็นพิเศษเช่นกัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นพี่ชายใหญ่ที่ต้องคอยดูแลอารักขาทั้งสองพระองค์อย่างดี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหญิงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้เขาเห็น

“ตกลง เราก็จะเริ่มงานของเราทันที” เจ้าหญิงตรัสให้คำมั่น

“พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลลุกขึ้นยืน “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็ต้องขอตัวไปก่อนเช่นกัน หวังว่าเราจะสามารถชิงเมืองทั้งสองคืนได้ในเร็ววันนี้” ชาร์ลค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงเรจิน่าแล้วจึงเดินจากไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน

cron