Chapter 37 น้ำตานางเงือก
สายวันหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวกลางดินแดนทะเลทราย ภายในอุทยานหลวงของจักรวรรดิซาโลมที่ดูจะชุ่มชื้นกว่าส่วนอื่น ๆ ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้ เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทหนึ่งเดียวของจักรวรรดิกำลังประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสระน้ำขนาดย่อม ๆ ที่มีร่มเงาพอจะปกป้องผิวบาง ๆ ของเด็กชายให้พ้นจากพิษแดดที่แผดเผาได้พอสมควร เจ้าชายน้อยดูจะเซื่องซึมและมีพระพักตร์อมทุกข์ ไร้ความสุข เอาแต่จ้องมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกเพราะแรงลม
นาริส สุไลมาน ผู้ซึ่งยืนสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ มาได้ครู่ใหญ่แล้วจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พระองค์ไม่ได้เล่นกับพวกบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาฯอำมาตย์และเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียวเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ทรงดูกระตือรือร้นดี เพียงแต่บางครั้งเท่านั้นที่พระองค์ดูเหม่อลอย ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะพระโอรสทรงคิดถึงพระมารดามาก เด็กเล็ก ๆ มักจะรู้สึกไวต่อความว้าเหว่เมื่อต้องอยู่ห่างกับแม่ผู้เป็นที่รัก ต่อให้จะเข้มแข็งสักเพียงไรเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ จะทนความกดดันเช่นนี้ไปได้สักกี่เดือนกัน ถึงเขาดูแลอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังไม่อาจทดแทนความรักของผู้เป็นมารดาอย่างราชินีเนริมอร์ได้
มหาอำมาตย์เฒ่าเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พระโอรสน้อยอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกาย
เจ้าชายน้อยเมื่อทรงรู้สึกถึงการมาของนาริสก็รีบเบือนพระพักตร์แอบเช็ดคราบน้ำเนตรบนสองแก้มออกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงก้มพระพักตร์อยู่เพื่อจะซ่อนรอยแดงที่ดวงเนตรเพราะการร้องไห้ไว้
นาริสโอบหลังเจ้าชายน้อยด้วยความห่วงใยพลางลูบหลังช้า ๆ เอ่ยถามเสียงเบา ๆ
“ทรงคิดถึงพระมารดารึพ่ะย่ะค่ะ?”
เจ้าชายน้อยไม่ทรงตอบแต่ใช้การพยักพระพักตร์แทน
“เมื่อไหร่ เสด็จแม่จะกลับมา?“ เจ้าชายอิสฮานตรัสถามเสียงเบาด้วยดวงเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้า
“ถ้าเทียบกับเวลาที่พระองค์ทรงจากไป....นี่ก็คงใกล้เวลาที่จะเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นาริสทูลตอบแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย เขาไม่อยากให้เจ้าชายน้อยต้องรอคอยด้วยความกระวนกระวายเพราะความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคำพูดของเขาที่หยิบยื่นให้
“เราหมายถึงกลับมาจริง ๆ ต่างหาก ไม่ใช่ไป ๆ มา ๆ อย่างนี้ เมื่อไหร่สงครามจะจบเสียที? “
เจ้าชายน้อยทรงวางคางลงบนเข่าที่พระองค์คู้กอด เปรยด้วยน้ำเสียงอึดอัดและระทมทุกข์จนนาริสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเจ้าชายที่เพิ่งจะอายุเต็มแปดชันษาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ลึกเกินเด็กธรรมดาเช่นนี้ ราวกับพระองค์ทรงกำลังแบกโลกทั้งใบไว้เลยทีเดียว เมื่อนาริสยังไม่ได้ทันตอบอะไร เจ้าชายน้อยก็ทรงเปรยเสียงเศร้า
“ถ้าเราไม่เกิดมาคงจะดีกว่านี้ใช่ไหม? ท่านนาริส“ เจ้าชายน้อยตรัสจบก็ทรงเบือนพระพักตร์ไปจ้องมองระลอกคลื่น ทรงกัดริมพระโอษฐ์แน่นเหมือนพยายามจะไม่ร้องไห้
“ฝ่าบาท ทำไมตรัสเช่นนั้น ? “ นาริสสัมผัสถึงดวงใจน้อย ๆ ที่กำลังจะแตกสลาย
เกิดความเงียบไปพักใหญ่เมื่อเจ้าชายน้อยทรงเอาแต่นั่งนิ่งเม้มริมพระโอษฐ์แน่น พระองค์ไม่ทรงเหลียวมองนาริสสักนิด น้ำเนตรค่อย ๆ ไหลลงมาตามร่องแก้ม พระหัตถ์น้อย ๆ กำแน่นจนสั่นเทิ้มด้วยพยายามอดกลั้นจนไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา เมื่อเจ้าชายยังคงไม่ยอมตรัสใด ๆ นาริสจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น
“ฝ่าบาท!?!”
“เพราะเราเป็นต้นเหตุของสงคราม เพราะคำทำนายที่บอกว่าเราเป็นดวงอาทิตย์“ เจ้าชายน้อยทรงระเบิดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดและอัดอั้นตันใจพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะซบพระพักตร์ลงกับเข่าทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจนตัวโยน นาริสใจหายวาบรีบคว้าตัวเจ้าชายน้อยมากอดไว้รู้สึกสงสารพระโอรสจับใจ พระองค์ยังเล็กเกินไปที่จะแบกรับความจริงนี้
“พระองค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ?” นาริสทูลถามเมื่อเสียงสะอึกสะอื้นเริ่มเบาลง
“เรา...เรา...ฮึก” เจ้าชายน้อยทรงพยายามหยุดเสียงสะอื้น ”เราได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน...พวกนาง...พวกนางเพิ่งจะเสียลูก สามีและญาติพี่น้องไปในสนามรบ พวกนาง...ฮึก...พวกนางร้องไห้และพูดว่าเราเป็นเหตุ...เป็นเหตุแห่งความพินาศของผู้คนมากมาย” ตรัสแล้วก็ทรงสะอื้นไห้อีกครั้งพลางทุบขาของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนทรงรังเกียจตัวพระองค์เอง “เราไม่อยากเป็น! เราไม่อยากเป็น!”
นาริสกอดพระโอรสผู้เต็มไปด้วยความสับสนโยกตัวไปมาเพื่อปลอบประโลม ได้แต่นึกขุ่นเคืองเล่านางกำนัลในใจที่ช่างสับเพร่าจนไม่ระวังคำพูดให้มาเข้าหูพระโอรสได้ ทว่าใครเหล่าจะตำหนิพวกนางได้ในเมื่อเหตุที่กษัตริย์ซาดินตัดสินพระทัยทำสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำทำนายนั่นและก็เพื่อพระโอรสโดยแท้ นาริสรอจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงทูลขึ้น
“ฝ่าบาท บางครั้งโชคชะตาก็ดูเหมือนจะโหดร้ายกับเรานัก เวลานี้พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่มีพลังมากพอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมัน แต่อนาคตเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เติบใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งกว่านี้ พระองค์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ อย่าทรงโศกเศร้ากับโชคชะตาเลยพ่ะย่ะค่ะ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวผ่านมันไปให้ได้”