Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. เม.ย. 18, 2024 8:37 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:12 pm

Chapter 37 น้ำตานางเงือก


สายวันหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวกลางดินแดนทะเลทราย ภายในอุทยานหลวงของจักรวรรดิซาโลมที่ดูจะชุ่มชื้นกว่าส่วนอื่น ๆ ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้ เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทหนึ่งเดียวของจักรวรรดิกำลังประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสระน้ำขนาดย่อม ๆ ที่มีร่มเงาพอจะปกป้องผิวบาง ๆ ของเด็กชายให้พ้นจากพิษแดดที่แผดเผาได้พอสมควร เจ้าชายน้อยดูจะเซื่องซึมและมีพระพักตร์อมทุกข์ ไร้ความสุข เอาแต่จ้องมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกเพราะแรงลม

นาริส สุไลมาน ผู้ซึ่งยืนสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ มาได้ครู่ใหญ่แล้วจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พระองค์ไม่ได้เล่นกับพวกบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาฯอำมาตย์และเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียวเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ทรงดูกระตือรือร้นดี เพียงแต่บางครั้งเท่านั้นที่พระองค์ดูเหม่อลอย ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะพระโอรสทรงคิดถึงพระมารดามาก เด็กเล็ก ๆ มักจะรู้สึกไวต่อความว้าเหว่เมื่อต้องอยู่ห่างกับแม่ผู้เป็นที่รัก ต่อให้จะเข้มแข็งสักเพียงไรเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ จะทนความกดดันเช่นนี้ไปได้สักกี่เดือนกัน ถึงเขาดูแลอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังไม่อาจทดแทนความรักของผู้เป็นมารดาอย่างราชินีเนริมอร์ได้

มหาอำมาตย์เฒ่าเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พระโอรสน้อยอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกาย

เจ้าชายน้อยเมื่อทรงรู้สึกถึงการมาของนาริสก็รีบเบือนพระพักตร์แอบเช็ดคราบน้ำเนตรบนสองแก้มออกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงก้มพระพักตร์อยู่เพื่อจะซ่อนรอยแดงที่ดวงเนตรเพราะการร้องไห้ไว้

นาริสโอบหลังเจ้าชายน้อยด้วยความห่วงใยพลางลูบหลังช้า ๆ เอ่ยถามเสียงเบา ๆ

“ทรงคิดถึงพระมารดารึพ่ะย่ะค่ะ?”

เจ้าชายน้อยไม่ทรงตอบแต่ใช้การพยักพระพักตร์แทน

“เมื่อไหร่ เสด็จแม่จะกลับมา?“ เจ้าชายอิสฮานตรัสถามเสียงเบาด้วยดวงเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้า

“ถ้าเทียบกับเวลาที่พระองค์ทรงจากไป....นี่ก็คงใกล้เวลาที่จะเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นาริสทูลตอบแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย เขาไม่อยากให้เจ้าชายน้อยต้องรอคอยด้วยความกระวนกระวายเพราะความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคำพูดของเขาที่หยิบยื่นให้

“เราหมายถึงกลับมาจริง ๆ ต่างหาก ไม่ใช่ไป ๆ มา ๆ อย่างนี้ เมื่อไหร่สงครามจะจบเสียที? “

เจ้าชายน้อยทรงวางคางลงบนเข่าที่พระองค์คู้กอด เปรยด้วยน้ำเสียงอึดอัดและระทมทุกข์จนนาริสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเจ้าชายที่เพิ่งจะอายุเต็มแปดชันษาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ลึกเกินเด็กธรรมดาเช่นนี้ ราวกับพระองค์ทรงกำลังแบกโลกทั้งใบไว้เลยทีเดียว เมื่อนาริสยังไม่ได้ทันตอบอะไร เจ้าชายน้อยก็ทรงเปรยเสียงเศร้า

“ถ้าเราไม่เกิดมาคงจะดีกว่านี้ใช่ไหม? ท่านนาริส“ เจ้าชายน้อยตรัสจบก็ทรงเบือนพระพักตร์ไปจ้องมองระลอกคลื่น ทรงกัดริมพระโอษฐ์แน่นเหมือนพยายามจะไม่ร้องไห้

“ฝ่าบาท ทำไมตรัสเช่นนั้น ? “ นาริสสัมผัสถึงดวงใจน้อย ๆ ที่กำลังจะแตกสลาย

เกิดความเงียบไปพักใหญ่เมื่อเจ้าชายน้อยทรงเอาแต่นั่งนิ่งเม้มริมพระโอษฐ์แน่น พระองค์ไม่ทรงเหลียวมองนาริสสักนิด น้ำเนตรค่อย ๆ ไหลลงมาตามร่องแก้ม พระหัตถ์น้อย ๆ กำแน่นจนสั่นเทิ้มด้วยพยายามอดกลั้นจนไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา เมื่อเจ้าชายยังคงไม่ยอมตรัสใด ๆ นาริสจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น

“ฝ่าบาท!?!”

“เพราะเราเป็นต้นเหตุของสงคราม เพราะคำทำนายที่บอกว่าเราเป็นดวงอาทิตย์“ เจ้าชายน้อยทรงระเบิดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดและอัดอั้นตันใจพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะซบพระพักตร์ลงกับเข่าทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจนตัวโยน นาริสใจหายวาบรีบคว้าตัวเจ้าชายน้อยมากอดไว้รู้สึกสงสารพระโอรสจับใจ พระองค์ยังเล็กเกินไปที่จะแบกรับความจริงนี้

“พระองค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ?” นาริสทูลถามเมื่อเสียงสะอึกสะอื้นเริ่มเบาลง

“เรา...เรา...ฮึก” เจ้าชายน้อยทรงพยายามหยุดเสียงสะอื้น ”เราได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน...พวกนาง...พวกนางเพิ่งจะเสียลูก สามีและญาติพี่น้องไปในสนามรบ พวกนาง...ฮึก...พวกนางร้องไห้และพูดว่าเราเป็นเหตุ...เป็นเหตุแห่งความพินาศของผู้คนมากมาย” ตรัสแล้วก็ทรงสะอื้นไห้อีกครั้งพลางทุบขาของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนทรงรังเกียจตัวพระองค์เอง “เราไม่อยากเป็น! เราไม่อยากเป็น!”

นาริสกอดพระโอรสผู้เต็มไปด้วยความสับสนโยกตัวไปมาเพื่อปลอบประโลม ได้แต่นึกขุ่นเคืองเล่านางกำนัลในใจที่ช่างสับเพร่าจนไม่ระวังคำพูดให้มาเข้าหูพระโอรสได้ ทว่าใครเหล่าจะตำหนิพวกนางได้ในเมื่อเหตุที่กษัตริย์ซาดินตัดสินพระทัยทำสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำทำนายนั่นและก็เพื่อพระโอรสโดยแท้ นาริสรอจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงทูลขึ้น

“ฝ่าบาท บางครั้งโชคชะตาก็ดูเหมือนจะโหดร้ายกับเรานัก เวลานี้พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่มีพลังมากพอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมัน แต่อนาคตเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เติบใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งกว่านี้ พระองค์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ อย่าทรงโศกเศร้ากับโชคชะตาเลยพ่ะย่ะค่ะ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวผ่านมันไปให้ได้”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:13 pm

“เราไม่เห็นเข้าใจเลย เรียนรู้ยังไง? ก้าวผ่านมันไปอย่างไร?” เจ้าชายน้อยทรงจับแขนนาริสเขย่า ตรัสถามด้วยความท้อแท้และจนหนทาง เหมือนคนจมน้ำที่พยายามคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อให้พ้นจากความอึดอัดทรมาน

“ยิ่งพระองค์ท้อแท้และหดหู่เช่นนี้ พระองค์ก็จะยิ่งไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรได้เลย พระองค์ต้องเปลี่ยนความท้อแท้นี้ให้เป็นพลัง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากที่สุด รอเวลาที่พระองค์จะได้เปลี่ยนแปลงแผ่นดินนี้ให้ดีขึ้น” นาริสประคองพระหัตถ์น้อย ๆ ทั้งสองของพระโอรสขึ้น “โชคชะตาจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยสองมือนี้ของพระองค์”

“เราต้องทำเหมือนเสด็จพ่อใช่ไหม?” เจ้าชายน้อยทรงเบ้พระโอษฐ์ “ต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เราต้องไม่เป็นเหมือนเสด็จปู่ที่ก้มหน้ารับโชคชะตาใช่ไหม? แต่เราไม่อยากเป็นเหมือนเสด็จพ่อ” เจ้าชายน้อยเต็มไปด้วยความสับสน ทรงหันไปหยิบก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนั้นปาลงสระน้ำอย่างแรงจนน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกกว้าง ด้วยเพราะอึดอัดในความไร้กำลังและความสามารถของตัวเอง

มหาอำมาตย์เฒ่ารีบคว้าอุ้งพระหัตถ์ที่กำลังจะเขวี้ยงก้อนหินอีกก้อนหนึ่งไว้และคลายมันออก “พระองค์ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยความรุนแรงเสมอไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ การเป็นนักปกครองที่ดี เราจะต้องรู้ว่าเวลาไหนควรอ่อนโยน เวลาไหนควรแข็งกร้าวเด็ดขาด ไม่ใช่แข็งกร้าวตลอดหรืออ่อนโยนตลอด”

“ยากจัง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเวลาไหนต้องใช้แบบไหน?” เจ้าชายทรงขมวดคิ้วยุ่ง สูดจมูกแรง ๆ เพราะมั่วแต่คิดตามคำพูดของมหาอำมาตย์นาริสจนทำให้น้ำเนตรแห้งไปอย่างรวดเร็ว

“เพราะอย่างนี้พระองค์ถึงต้องตั้งใจเรียนอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่พระองค์จะได้รู้ว่าสิ่งไหนควรจัดการอย่างไร” นาริสทูลยิ้มอย่างให้กำลังใจ มองดูเจ้าชายน้อยค่อย ๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างเข้มแข็ง ท่ามกลางความทารุณของสงคราม ความจริงที่แสนโหดร้าย การพลัดพรากและความเจ็บปวดจากผลแห่งสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ชะตากรรมเช่นนี้จะหล่อหลอมให้พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ที่มีอุปนิสัยเช่นไร? คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ มหาอำมาตย์กระชับมือพระโอรสพร้อมกับดึงตัวเจ้าชายน้อยให้ลุกขึ้น “เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาที่ฝ่าบาทจะต้องเริ่มต้นเรียนรู้วิธีแยกแยะเรื่องต่าง ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งห้องทรงหนังสือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

เจ้าชายอิสฮานทรงพยักพระพักตร์เงียบ ๆ แม้จะยังคงมีแววหมองเศร้าอยู่บนพระพักตร์ ก็ใครเล่าจะลืมคำพูดที่แสนเจ็บปวดนั้นไปได้ ทว่าพระองค์ก็ยอมให้นาริสจูงพระหัตถ์เสด็จออกจากอุทยานไปแต่โดยดี


กลางดึกในดินแดนอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ เวลากลางวันก็ร้อนจนสุดขีดเช่นเดียวกับเวลากลางคืนที่หนาวเหน็บจนสุดขีดเช่นกัน ในคืนเดือนมืดท่ามกลางอากาศที่หนาวจนถึงกระดูกของทะเลทรายแห่งจักรวรรดิซาโลมอย่างเวลานี้ ยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ยิ่งทำให้บรรยากาศของทะเลทรายหนาวเหน็บยิ่งขึ้น เจ้าชายน้อยแห่งราชวงศ์อิบริดประทับนั่งคุดคู้ทอดสายพระเนตรออกไปยังความมืดมิดภายนอกราชวังหลวง พระองค์ทรงกระชับผ้าห่มแน่นอยู่ข้างหน้าต่างยอดโค้งที่หันหน้าสู่ทิศใต้ บานหน้าต่างฉลุถูกเปิดออกไปจนสุดทั้งสองบาน ทั้งนี้ก็เพื่อที่พระองค์จะสามารถมองเห็นกองทัพหลวงได้ทันทีหากมีการยกทัพกลับนั่นเอง แต่สายพระเนตรของพระองค์ก็จับภาพใด ๆ ไม่ได้มากไปกว่าแค่ความมืดในยามราตรี ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าชายน้อยทรงประทับนั่งอยู่เช่นนี้จนดึกดื่นทุกคืน พระองค์หวังจะได้เห็นเสด็จแม่และกองทัพของซาโลมที่เดินทัพกลับมา พระองค์ทรงหดตัวลงด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องแหลมสูงของเฟียสเทอเรียน (Fierce Therion) สัตว์ดุร้ายแห่งท้องทะเลทรายที่มีปีกสีขาวขนาดใหญ่พร้อมกงเล็บสีแดงคมกริบและใบหน้าแข็งเหมือนหินสีแดงก่ำซึ่งออกหากินเฉพาะเวลาค่ำคืนที่ดึกสงัด เสียงร้องของมันทำให้เจ้าชายน้อยต้องตัวสั่น พระองค์ทราบดีว่าพระองค์ทรงปลอดภัยอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในพระราชวัง แต่ในความมืดเพียงลำพังพระองค์เดียวในห้องอันใหญ่โตเช่นนี้ ก็ทรงอดกลัวไม่ได้ เหมือนเด็ก ๆ ที่กลัวสิ่งเร้นลับในความมืดมิด น้ำเนตรเริ่มเอ่อคลอขึ้น

“ถ้าเพียงแต่เสด็จแม่อยู่ที่นี่” เจ้าชายน้อยตรัสเสียงเบากระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น พยายามห่อตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นที่ปลายพระเนตรของพระองค์ เจ้าชายอิสฮานทรงผวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ถอยหลังไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับความเย็นเฉียบของกำแพง พระองค์ทรงตัดสินพระทัยไม่ถูกว่าจะทรงวิ่งหนีออกจากห้องหรือจะยกผ้าห่มคลุมตัวให้มิดดี แต่ก็ได้แค่คิดเพราะพระองค์ตกพระทัยจนตัวแข็งไปทั้งองค์ จึงได้แต่ทรงยืนนิ่งจ้องมองแสงสว่างตรงมุมห้องนั้นแทบจะทรงลืมหายใจ ดวงเนตรเบิกโพลงจ้องมองแสงวาบที่ค่อย ๆ จางลง แต่ทันทีที่ดวงเนตรหายพร่า รอยยิ้มก็ค่อย ๆ คลี่ออกจนกลายเป็นเสียงหัวเราะและตะโกนร้องอย่างดีใจสุดขีด

“เสด็จแม่!!”

**********************


“ฝ่าบาทเพคะ ท่านราชครูโรซาน่าขอเข้าเฝ้าเพคะ”

เจ้าหญิงอลาน่าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะพลางยิ้มให้นางกำนัล “ขอบใจจ๊ะ เชิญซิสเตอร์เข้ามาเลยนะจ๊ะ ฉันตั้งใจว่าจะพักสายตาอยู่พอดี”

เมื่อนางกำนัลออกจากห้องไปแล้ว เจ้าหญิงจึงทรงวางปากกาขนนกลง ลุกขึ้นดำเนินตรงไปยังชุดเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งมีชุดน้ำชาวางอยู่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เจ้าหญิงต้องทรงงานชดเชยวันที่พระองค์ออกไปช่วยเหลือคนยากจนและผู้อพยพ การตรวจเอกสารจำนวนมากในวันเดียวแทบจะสูบเอาความสดชื่นไปจากตัวของพระองค์ ดังนั้นการที่ซิสเตอร์โรซาน่ามาขอเข้าพบจึงนำความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาให้พระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เจ้าหญิงก็ทรงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี

“ยินดีต้อนรับที่สุดเลยคะ ซิสเตอร์โรซาน่า ซิสเตอร์เหมือนเรือช่วยชีวิตที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยฉันก่อนที่จะจมมิดอยู่ในกองเอกสารเลย” เจ้าหญิงทรงหัวเราะเสียงใส “มานั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตรงนี้สิคะ ซิสเตอร์”

ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มไม่เต็มที่นัก เดินตรงไปยังเก้าอี้ข้างที่ประทับ เจ้าหญิงทรงจับสังเกตได้ทันทีจึงขมวดคิ้วน้อย ๆ วางถ้วยน้ำชาลงที่ข้างซิสเตอร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:14 pm

“มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าคะ?” เจ้าหญิงทรงถามเสียงเครียดขึ้น “เรื่องผู้อพยพรึคะ?”

“ไม่ใช่หรอกเพคะ” ซิสเตอร์หยุดคิดครู่หนึ่งใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น “แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง จริง ๆ แล้วก็เนื่องมาจากการที่สภาศาสนาและสภาขุนนางลงนามเห็นชอบในการใช้กฎหมายบังคับเวนคืนที่ดินนั่นแหละเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบว่ารูฟัสนั้นมีสายคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ทุกที่ รูฟัสรู้ดีว่าพระองค์ไปพบท่านคาร์ดินัลก่อนการเปิดประชุมสภา และยังรู้อีกด้วยว่าพระองค์ต้องการที่ดินผืนนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพมากแค่ไหน เขาตั้งใจจะโก่งราคากับพระองค์เต็มที่อยู่แล้ว แต่เพราะกฎหมายเวนคืนทำให้เขาไม่สามารถโก่งราคากับพระองค์ได้ ซ้ำยังถูกบังคับให้ขายตามราคาจริง ค่าตอบแทนจากการชดเชยโกดังในพื้นที่นั้นก็น้อยนิด แม้จะเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงก็เถอะ นิสัยพ่อค้าถ้าไม่ได้กำไรมาก ๆ ก็ไม่อยากจะขาย ยิ่งเป็นรูฟัสด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะทั้งเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ทั้งเสียหน้า ทั้งเจ็บใจ”

“ฉันทราบดีคะว่าสิ่งที่ฉันทำเหมือนเป็นการท้าทายเขา ก็เราไม่อาจทำสิ่งใดให้ถูกใจคนทุกคนได้นี่คะ ฉันเลือกที่จะทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก ดังนั้นคนที่เสียผลประโยชน์ก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคือง ฉันเตรียมใจไว้อยู่แล้วคะว่าจะต้องเจ็บตัวบ้าง”

“แต่รูฟัสยิ่งทียิ่งเล่นงานพระองค์หนักข้อขึ้นทุกวัน” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวทูลด้วยเสียงวิตกกังวล

“คราวนี้พ่อค้าใหญ่เล่นงานฉันอย่างไรคะ?” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยรอยยิ้มแม้เสียงจะเครียดขึ้น

“คราวนี้เขาถึงขนาดบั่นทอนความมั่นคงของสถานภาพเจ้าหญิงและตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของพระองค์”

“ซิสเตอร์ทราบได้อย่างไรคะ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตื่นตระหนก

“หลายวันมานี้หม่อมฉันสังเกตเห็นทหารรักษาการณ์ออกเดินตรวจพื้นที่ถี่และมากเกินปกติ ก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วเมื่อวันก่อนตอนที่หม่อมฉันออกจากอารามหลวงมาได้สักพัก หม่อมฉันก็ทันได้เห็นราชองครักษ์อองเดรกระชากคอชายคนหนึ่งลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นก่อนจะเหวี่ยงขึ้นรถขังนักโทษอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถ้าลองราชองครักษ์โกรธได้ถึงขนาดนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์แน่ ซ้ำในรถยังมีคนที่ถูกจับอยู่ก่อนอีกสองสามคนด้วย หม่อมฉันจึงให้คนเข้าไปสืบเรื่องนี้ดู ถึงได้รู้ว่าคนพวกนั้นคือพวกที่ปล่อยข่าวเพื่อทำลายพระองค์”

“ข่าวเพื่อทำลายฉันรึคะ? ”

“เพคะ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นมั่นเหมาะ แต่ก็เชื่อได้ว่าเวลานี้รูฟัสส่งคนไปทั่วเมืองปล่อยข่าวว่าพระองค์เอาเงินภาษีของประชาชนชาวแอนดิซองมาผลาญใช้กับพวกต่างชาติ แทนที่จะเอามาช่วยเหลือชาวแอนดิซองด้วยกัน เพราะการใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินแปลว่าเราได้ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของที่ อีกทั้งการเอางบประมาณแผ่นดินมาช่วยพวกต่างชาติก็ยังทำให้ประชาชนที่ยากจนในประเทศแอนดิซองเริ่มไม่พอใจด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกว่าความช่วยเหลือที่ควรเป็นของเขา ตอนนี้กลับต้องแบ่งให้พวกต่างชาติ ข่าวต่าง ๆ เหล่านี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองท่าและเริ่มไปถึงแผ่นดินใหญ่แล้วด้วย สร้างความไม่พอใจให้ทั้งชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่หลงเชื่อเป็นอย่างมาก”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย!” เจ้าหญิงทรงตกพระทัยมากที่ได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์งามซีดขาวไร้สีเลือด “ทำไมเขาช่างแปลงเจตนาดีของฉันไปได้อย่างร้ายกาจอย่างนี้?”

“เมื่อแรกเริ่มเดิมที ทุกคนก็ล้วนแต่ชื่นชมกับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พอมีคนมาจุดประกายความคิดที่ร้ายกาจเช่นนี้ พวกชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ต้องเสียภาษีก็เริ่มไม่พอใจ ส่วนพวกคนจนคนจรจัด...พวกเขาไม่ได้เสียภาษี ดังนั้นก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรพวกเขา แต่พวกเขาเริ่มอิจฉาที่พวกต่างชาติได้รับความช่วยเหลือจากเงินภาษีอย่างเต็มที่”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ทำศูนย์ช่วยเหลือเพื่อผู้อพยพเท่านั้น ฉันจะเปิดให้ชาวแอนดิซองที่ยากจนมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือด้วย ฉันไม่เคยคิดจะแบ่งแยกพวกเขาอยู่แล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นเราก็คงจะแก้ปัญหาชนชั้นล่างได้ และพวกเขาก็คงไม่คิดจะต่อต้านพระองค์อีก แต่สำหรับพวกชั้นชนที่เสียภาษีจำนวนมาก หม่อมฉันยังทราบมาว่าในหมู่ชนชั้นสูงเริ่มมีการปลุกปั่นยุยงให้มีการถอดถอนพระองค์แล้วเพคะ ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ลำพังรูฟัสเองไม่น่าจะมีอำนาจพอที่จะยุยงบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงได้ขนาดนี้ แม้เวลานี้บรรดาขุนนางฝ่ายพระองค์จะยังมากกว่า แต่ต่างก็แบ่งเป็นสองฟักสองฝ่ายวุ่นวายกันไปหมด”

“เรื่องราวมันชักจะรุนแรงใหญ่โตมากขึ้นทุกทีนะคะ เหมือนกับว่ายิ่งฉันออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งถูกขัดขวางมากขึ้นเท่านั้น...” เจ้าหญิงตรัสพลางขมวดคิ้วลุกขึ้นตรงไปยังริมหน้าต่างห้อง ทอดพระเนตรไปยังบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่นอกเขตรั้ววัง
“ในยามที่มนุษย์เดือดร้อน ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ และกำลังร้องหาพระเมตตาของพระเจ้าเช่นนี้ เจ้าพวกซิน(SIN)จ้าวแห่งความบาปชั่วช้าทั้งหลายก็อาศัยช่วงเวลานี้ พยายามใช้ความอ่อนแอและความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์มาทำให้มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้าอย่างสุดกำลังเช่นกัน” ซิสเตอร์โรซาน่าเอ่ยทูล “ยิ่งพระองค์นำพระพรของพระเจ้ามาสู่มวลมนุษย์แล้วยังเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเช่นนี้ พวกซินก็ยิ่งโกรธเกลียดพระองค์มากขึ้นเป็นทวีคูณ และคอยหาโอกาสที่จะเล่นงานพระองค์โดยอาศัยคนรอบข้างพระองค์นี่แหละเป็นอาวุธ พระองค์อย่าเพิ่งกลัวหรือท้อแท้หมดกำลังเลยนะเพคะ พระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของพระองค์ต่อสู้เพียงลำพัง”

“ฉันไม่กลัวและไม่คิดที่จะยอมแพ้พวกซินหรอกค่ะ” เจ้าหญิงทรงหันมายิ้มตอบอย่างกล้าหาญ “ฉันก็จะยิ่งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ฉันหวังแต่เพียงว่าบรรดาคนที่ตกเป็นเครื่องมือของซินจะรู้ตัวสักวันว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่”

ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม พระองค์ไม่เคยกล่าวโทษใคร ไม่เคยย่อท้อที่จะทำความดี และไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเหลือทุกคน จะมีเจ้าหญิงพระองค์ใดที่ประเสริฐเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้อีก

“หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะที่ได้ยินเช่นนั้น การให้อภัยเป็นสิ่งประเสริฐ แต่การรักแม้กระทั่งศัตรูนั้นประเสริฐยิ่งกว่า พระองค์เป็นห่วงเขาที่ตกอยู่ใต้อำนาจซินจนมองข้ามความผิดของเขาได้ แสดงว่าหัวใจของพระองค์เปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า”

“ไม่หรอกคะซิสเตอร์ ฉันยังเป็นมนุษย์ธรรมดายังมีอารมณ์โกรธโมโหอยู่ แต่ถ้าฉันมัวแต่จมอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น ฉันจะทำกิจการที่ดีงามใด ๆ ไม่ได้เลย” เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้างขึ้น “เราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะ เรามาหาวิธีจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้กันดีกว่า สรุปว่าถ้าฉันไม่ใช้เงินภาษีของพวกเขาก็เป็นพอใช่ไหมคะ? จู่ ๆ ฉันก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาภายในสมองของฉันคะซิสเตอร์ และมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเชียวค่ะ”

เจ้าหญิงทรงเดินกลับมายังที่ประทับและเริ่มเล่าถึงแผนของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:16 pm

“แกพูดว่าอะไรนะ!?” เสียงหญิงสาวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาเจ้าของบ้านร่างอ้วนสะดุ้งโหยงรีบเหลียวซ้ายแลขวาด้วยเกรงว่าจะใครได้ยิน

“ท่านจะเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม?“

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า ข้าเป็นถึงพระญาติสนิทขององค์กษัตริย์นะ!” วิโอเรียยังคงใช้เสียงระดับเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน
พ่อค้าร่างยักษ์หน้าแดงด้วยความโกรธแต่แล้วก็กลายเป็นซีดขาวด้วยความกลัวสลับไปมา ได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพยายามปรามเสียงของหญิงสาวให้เบาลง “ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านมาที่นี่ ถึงขนาดให้บรรดาคนรับใช้ลงไปที่เรือนหลังเล็กจนหมด แต่เสียงตะโกนของท่านพาลจะได้ยินกันทั้งคฤหาสน์แล้วกระมัง?”

หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงได้เบาเสียงลง “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย มัวแต่ตกใจกับข่าวของเจ้า บ้าที่สุด...ทำไมอลาน่าถึงเจ้าเล่ห์อย่างนี้ ฉันเกือบจะได้ทุกอย่างมาอยู่ในมือแล้วเชียว”

“ข้าก็ไม่นึกว่าจู่ ๆ เจ้าหญิงนั่นจะประกาศโครมออกมาว่าจะใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกมาซื้อที่ดินนี้ การใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างนี้ นอกจากจะไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงนั่นสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว แล้วแถมประกาศอีกว่าจะจัดสรรที่ส่วนหนึ่งตรงนั้นสำหรับคนจน พวกเร่ร่อนจรจัดในแอนดิซองด้วย แบบนี้มีแต่คะแนนนิยมจะพุ่งขึ้นเท่านั้นเอง ข้าอุตส่าห์ลงทุนลงแรงสร้างกระแสต่อต้านเจ้าหญิงไปตั้งเท่าไหร่ ดูสิ!เสียแผนหมด เสียเวลาจริง ๆ ” รูฟัสกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด

“แต่อลาน่าไม่น่าจะมีทรัพย์สมบัติเยอะแยะขนาดนั้นนี่ ข้ารู้ว่าหล่อนแทบจะไม่มีสมบัติล้ำค่าใด ๆ เลย ห้องของหล่อนยังเหมือนแค่ห้องนอนของยาจกเลย ห้องของข้าสิหรูหรากว่าเป็นไหน ๆ “ วิโอเรียกระหยิ่มอย่างชอบใจ

“ท่านประมาทเจ้าหญิงนั่นเกินไปแล้ว เจ้าหญิงจะเอาสมบัติส่วนพระองค์ออกมาประมูล แล้วถ้าการประมูลครั้งนี้สำเร็จละก็ คะแนนนิยมคงยิ่งท่วมท้น แล้วยิ่งถ้าโครงการที่วางไว้สำเร็จ นอกจากตำแหน่งเจ้าหญิงแสนดีในดวงใจของประชาชนจะไม่ถูกเราทำลายแล้ว ยังจะยิ่งพุ่งขึ้นไปจนไม่มีใครลากหล่อนลงมาได้อีก” รูฟัสพูดเสียงรอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น

“แล้วหล่อนเอาสมบัติอะไรมากมายมาประมูลกัน?” วิโอเรียสะบัดเสียงถามอย่างฉุนเฉียว

“ส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติที่ได้รับพระราชทานหรือไม่ก็เป็นของกำนัลจากพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด และมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีค่ามหาศาลเป็นหนึ่งในของมีค่าไม่กี่อย่างที่หาไม่ได้อีกแล้วในอาณาจักรนี้ นั่นก็คือ...” รูฟัสกล่าวด้วยเสียงมาดมั่น “น้ำตานางเงือก(The Tear of Mermaid)”

“น้ำตานางเงือกหรือ? ทำไมถึงมีค่านัก? มีนางเงือกอยู่ในมหาสมุทรเยอะแยะไป” วิโอเรียเบ้ปากยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง

“นี่ท่านไม่รู้อะไรจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่?” รูฟัสชักจะหงุดหงิด พลางคิดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ประสาอะไรถึงไม่รู้จักน้ำตานางเงือก “น้ำตานางเงือกคืออัญมณีต่างหากล่ะ มันคือเพชรสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำขนาดใหญ่ ใหญ่มากเสียจน...โอ้...มันอยู่ในอุ้มมือทั้งสองของข้าได้พอดีเลย ข้าอยากจะใช้สองมือนี่ถือมันไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยเชียวล่ะ” รูฟัสใช้สองมือทำท่าเหมือนถืออัญมณีในจินตนาการไว้พลางหลับตาพริ้มอย่างฝันหวาน

“อลาน่าได้มันมาได้ยังไงกัน?” วิโอเรียถาม เริ่มมีน้ำโหเมื่อรู้ว่าอลาน่ามีของที่ล้ำค่ามากกว่าที่ตนมีอีกแล้ว

รูฟัสเหมือนโดนฉกน้ำตานางเงือกออกไปจากมือในทันทีทันใดเมื่อได้ยินวิโอเรียถามเช่นนั้น พ่อค้าร่างอ้วนชักอารมณ์บูด “ท่านควรจะสนใจเรื่องอื่นรอบ ๆ ตัวบ้างนะ ท่านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้ำตานางเงือกสักอย่างเดียว”

“ถ้าเจ้าปากมากอีกทีละก็ ข้าจะร่ายมนตร์แช่แข็งเจ้าแล้วโยนลงทะเลน้ำแข็งไปเสียเลย ว่าอย่างไร? อลาน่าได้มันมาได้อย่างไร?” วิโอเรียขึ้นเสียงข่มอย่างวางอำนาจ

รูฟัสหน้าบูดโมโหที่หญิงสาววัยคราวลูกวางอำนาจใส่ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากร่วมมือกับวิโอเรีย แผนการของเขาก็จะง่ายขึ้น เพราะเธอมีอำนาจมากพอสมควร โดยเฉพาะกับบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ “น้ำตานางเงือกนั้นเป็นสมบัติของตระกูลโอดิลอน(Odilon) ซึ่งได้ถวายเป็นของกำนัลแด่เจ้าหญิงตั้งแต่เมื่อคราวที่รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน”

“ข้าจะต้องได้มันมา น้ำตานางเงือกต้องเป็นของข้า” วิโอเรียประกาศ

“แต่...แต่ข้าก็อยากได้มันเหมือนกันนะ” รูฟัสใจหายวาบเมื่อคิดว่ามีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกคน

“เจ้าจะเอาไปทำอะไร? เพชรพลอยเจ้าก็มีอยู่เยอะแยะแล้วไม่ใช่รึ?” วิโอเรียหัวเราะเสียงแหลมชี้ไปที่อกเสื้อและที่มือทั้งสองข้างของรูฟัส “เจ้าจะเอาไปห้อยไว้ที่ไหนอีก ไม่มีที่ให้เจ้าประดับเพิ่มได้มากไปกว่านี้แล้ว”

“แล้วท่านล่ะ? ท่านจะเอาไปทำอะไร? ท่านถือมันทั้งวันไม่ไหวหรอก” รูฟัสพยายามต่อ

“ใครว่าข้าจะถือมันทั้งวันล่ะ เจ้าอ้วน? ฉันไม่ได้สนใจมากมายนักหรอกว่ามันวิเศษขนาดไหน แต่ของ ๆ อลาน่าข้าจะต้องได้มันมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร...ข้าจะต้องมีเหมือนกันและต้องมีมากกว่าด้วย”

“ถ้าอย่างนั้น เราหาทางกำจัดคนที่หมายตาน้ำตานางเงือกก่อนดีกว่า ของชิ้นอื่น ๆ แม้จะมีค่า แต่ไม่น่าจะมีราคาสักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับน้ำตานางเงือกซึ่งคงมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว แค่ชิ้นเดียวก็คงพอจะซื้อที่ดินและโกดังทั้งหมดในแถบนั้นได้เลย เราต้องช่วยกันกดราคาให้ต่ำที่สุด แล้วจากนั้นเราค่อยมาตกลงกันว่าใครจะได้น้ำตานางเงือกไป” รูฟัสเสนอความคิดทันทีโดยไม่ทิ้งลายพ่อค้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองให้มากที่สุด

“ก็ได้ ยังไงก็ต้องทำให้การประมูลครั้งนี้ล้มเหลวให้ได้ก่อน ไม่งั้นความนิยมในตัวอลาน่าคงท่วมท้นอีกแน่” วิโอเรียกัดเล็บอย่างเจ็บใจ “เจ้าไปสืบมาให้ได้ว่ามีใครจะไปงานประมูลครั้งนี้บ้าง ที่เหลือข้าจัดการเอง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 37 น้ำตานางเงือก @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:17 pm

ภายในอารามประจำคณะของซิสเตอร์โรซาน่า วันนี้เจ้าหญิงทรงมาอธิษฐานภาวนาเพื่อให้การประมูลในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าประสบความสำเร็จอย่างดี อารามแห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาอธิษฐานภาวนาด้วยเช่นกัน แต่คนที่มาก็แลดูบางตาเพราะไม่ใช่อารามหลวงและเป็นอารามที่ค่อนข้างเงียบสงบ ขณะที่เจ้าหญิงอลาน่ากำลังคุกเข่าภาวนาอยู่นั้นเอง ซิสเตอร์โรซาน่าก็เดินตรงมาทางพระองค์ฝีเท้าแต่ละก้าวดูเชื่องช้าแต่ก็สม่ำเสมอ

“ท่านเสนาบดีกระทรวงศึกษามาแล้วเพคะ” ซิสเตอร์กล่าวเบา ๆ ขณะที่เดินผ่านพระองค์ไปทางประตูข้างโบสถ์และหายเข้าไปในนั้น

เจ้าหญิงอลาน่าทรงเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ รออยู่อีกหลายอึดใจก่อนจะลุกจากไปเงียบ ๆ สู่ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้

“ถวายบังคมฝ่าบาท” เสนาบดีวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้แก่ซิสเตอร์โรซาน่าซึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง “ท่านราชครู”

“ตามสบายเถอะค่ะ ท่านเสนาฯ” เจ้าหญิงทรงผายพระหัตถ์เชื้อเชิญไปทางเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ “คาดว่าท่านคงพอจะทราบว่าฉันเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร?”

“พ่ะย่ะค่ะ เรื่องน้ำตานางเงือกที่พระองค์จะทรงนำออกประมูล” เสนาบดีจากตระกูลโอดิลอนทูลตอบ

“ฉันหวังว่าตระกูลโอดิลอนจะเข้าใจในความจำเป็นของฉัน” เจ้าหญิงตรัสเสียงเบา

“ตระกูลโอดิลอนทุกคนเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ เราชื่นชมที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์และยินดีช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่เช่นกัน เพียงแต่เราไม่อาจให้น้ำตานางเงือกตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เหมาะสม”

“เรื่องนี้เราจำเป็นต้องขอให้ท่านเป็นตัวแทนของฉัน เพื่อชี้แจงตระกูลโอดิลอนให้เข้าใจถึงทางเลือกอันน้อยนิดที่ฉันมี ฉันเข้าใจว่าน้ำตานางเงือกมีค่าและมีความสำคัญมาก” เจ้าหญิงพยายามอธิบายถึงความจำเป็นของพระองค์

“ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในที่ประชุมของตระกูลโอดิลอน ทุกคนมีมติให้กระหม่อมเป็นตัวแทนของตระกูลในการประมูลน้ำตานางเงือกกลับคืนมา ไม่ว่าจะใช้เงินมากแค่ไหนก็ตาม” เสนาบดียิ้มตอบอย่างมีความหมาย

“โอ้...” ดวงพักตร์อันงดงามที่เต็มไปด้วยความเครียดเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นพระพักตร์ที่เบิกบานขึ้นในทันทีที่เข้าใจในความนัยนั้น “ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงส่งท่านมาแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่ฉันในวันนี้คะ ฉันกำลังวิตกอยู่เชียวเพราะได้ข่าวว่าทางรูฟัสกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง ซึ่งคงไม่พ้นเรื่องกดราคาการประมูลในครั้งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งได้รับเทียบเชิญให้ไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเขาวันนี้เอง” เสนาบดีทูลตอบ “กระหม่อมตั้งใจจะส่งสารปฏิเสธเขาไปเย็นนี้”

“อย่าเพิ่งค่ะ” เจ้าหญิงทรงรีบร้องห้าม “ฉันอยากจะขอความร่วมมือจากท่านอีกสักหน่อย”

“พระองค์ต้องการให้กระหม่อมรับคำเชิญของรูฟัสหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสนาบดีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ฉันอยากให้ท่านรับคำเชิญ และแสร้งตกลงกับทุกแผนที่เขาวางไว้คะ ฉันเกรงว่าถ้าท่านปฏิเสธเขา เขาคงจะต้องดิ้นรนทางวิธีอื่นเพื่อที่จะก่อกวนงานประมูลในครั้งนี้”

“โอ้ กระหม่อมเข้าใจแล้ว” เสนาบดีกล่าวทูลและยิ้มขำเมื่อนึกถึงแผนดัดหลังพ่อค้าใหญ่ในครั้งนี้ “การประมูลในครั้งนี้คงจะสนุกน่าดูชมทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกล่าวจบก็ลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องรีบกลับไปเตรียมตัวสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้เสียแล้ว”

“ท่านเสนาฯ ฝากบอกทุกคนด้วยนะคะว่าฉันขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของโอดิลอนอย่างยิ่ง” เจ้าหญิงย่อเข่าลงด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ

“มิได้ฝ่าบาท” เสนาบดีรีบย่อตัวลงเช่นกัน “ตระกูลของเรายินดีที่ได้มีโอกาสรับใช้พระองค์ แต่กระหม่อมจะนำคำขอบคุณของฝ่าบาทไปถึงทุกคนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ ท่านเสนาฯ” เจ้าหญิงตรัสอีกครั้ง ก่อนที่ท่านเสนาบดีจะโค้งคำนับและจากไป

“พระเจ้าทรงเมตตาฉันเสมอเลยนะคะ” เจ้าหญิงตรัสเมื่อประตูปิดลงสนิท

“พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่วางใจในพระองค์เพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลตอบอย่างยินดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน

cron