Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 9:38 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:07 pm

Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ



“นี่มันเรื่องตลกร้ายกาจของเสด็จพี่รึไง?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหน้านิ่วคิ้วขมวดตรัสอย่างฉุนเฉียวทันทีที่คณะนายทหารจากเมืองเอรีมอ่านสารจากเจ้าหญิงเรจิน่าจบ

“เวลานี้กองทัพชาวป่ากว่าห้าหมื่นคนตั้งค่ายคอยท่าอยู่ที่นอกกำแพงเมืองเอรีมและพร้อมจะเคลื่อนพลทันทีพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านายทหารจากเอรีมทูลรายงาน

“นี่มันเป็นการดูถูกกันอย่างชั่วร้ายที่สุด พวกมันคิดว่าข้าจะก้มกราบขอบคุณพวกมันด้วยความซาบซึ้งหรือไงที่ยกโขยงกันมาเสนอหน้าช่วยรบอย่างนี้ ฟีเลเซียไม่จำเป็นต้องให้ไอ้พวกคนป่าชั้นต่ำอย่างพวกมันมาช่วยหรอก ไล่พวกมันกลับป่าไปให้หมด!” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงดุเดือด

“ฝ่าบาท...” ชาร์ลเอ่ยทูลขึ้น “กระหม่อมเห็นว่าเราควรรับน้ำใจของพวกชาวป่า”

“ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง!?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงแทบจะสำลักเสียงตะคอกออกมา ทรงจ้องหน้าชาร์ลราวกับเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปต่อหน้าต่อพระพักตร์

“มิได้ ฝ่าบาท” ชาร์ลยังคงใจเย็นแม้จะถูกตะคอกและจ้องมองเช่นนั้น เขารู้จักรับมือกับนิสัยและอารมณ์ของกษัตริย์ผู้อ่อนวัยกว่าตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยถวายการสอนเชิงยุทธ์ให้ “กระหม่อมเพียงแต่เห็นว่าเราไม่ควรจะสร้างศัตรูเพิ่มในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากเราปฏิเสธพวกเขา พวกเขาอาจจะรู้สึกโกรธที่ถูกหักหน้าแล้วหันมาแก้แค้นเอากับเราได้ เราไม่พร้อมที่จะรับศึกสองด้านในเวลานี้”

“หึ ไอ้คนป่าที่ขี้ขลาดพวกนั้นนะรึ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ตรัสเชิงดูแคลนเมื่อทรงนึกถึงพวกชาวป่าที่มักแอบลอบมองดูคณะล่าสัตว์ของพระองค์เมื่อสมัยที่มักข้ามไปล่าสัตว์ในเขตป่าทึบอีกฟากของวอลเนีย

“ก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างที่ท่านจอมทัพว่านะพ่ะย่ะค่ะ” นายทัพนายหนึ่งทูลสนับสนุนความคิดของชาร์ล ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะตามวิสัยของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซียที่เห็นเกียรติและศักดิ์ศรีสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากตนถูกปฏิเสธน้ำใจอย่างไม่มีเยื่อใยก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืน

“อย่างพวกมันจะมีปัญญาทำอะไรได้!” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระแทกเสียง

“แต่กำลังพลตั้งห้าหมื่นก็สร้างความเสียหายให้ได้ไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เป็นพวกล้าหลังเช่นนั้นก็เถอะ” นายทัพอีกคนเอ่ยทูล

“เมืองเอรีมเองก็ยังบูรณะซ่อมแซมไม่เรียบร้อย หากถูกจู่โจมขึ้นมาก็คงยากจะรับมือได้อย่างเต็มที่” แม่ทัพมังกรออกความเห็นบ้าง

“เรื่องนี้มันบ้าชัด ๆ “ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกระแทกองค์ใส่พนักเก้าอี้อย่างแรง พระพักตร์แดงจัดขึ้น “ชาตินักรบอย่างฟีเลเซียต้องพึ่งความช่วยเหลือของพวกชาวป่า ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบกับวิญญาณของเหล่าบรรพกษัตริย์กัน”

ที่ประชุมต่างก็พากันเงียบเสียงลง ต่างก็มีสีหน้าอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ฟีเลเซียยืนหยัดด้วยกำลังของตนเสมอมา ปราบทั้งผู้รุกรานและสัตว์ประหลาดน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน เป็นความภาคภูมิใจในความเก่งกล้าสามารถของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซีย แต่มาวันนี้เป็นการยากเหลือเกินที่ทุกคนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กษัตริย์ของพวกเขาเอง


************************


เป็นเวลาโพล้เพล้ ขณะที่ฮารีซันพร้อมกับเหล่าขุนพลจากเผ่าต่าง ๆ กำลังนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟภายในค่ายทหารของฟูดินัน เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเอรีม พวกเขามีโอกาสได้เข้าไปภายในกำแพงเมืองครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เพราะเป็นคำเชื้อเชิญของเจ้าหญิงเพื่อเลี้ยงต้อนรับพวกเขา เจ้าหญิงทรงแจ้งว่าเป็นการรับประทานอาหารธรรมดา ๆ เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม แต่ก็ดูหรูหราและมากไปด้วยพิธีการสำหรับเขาและเหล่าขุนพล หลายครั้งที่ฮารีซันสังเกตเห็นสายตาขบขันหรือไม่ก็สมเพชดูแคลนในความไม่รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารและมารยาทต่อเชื้อพระวงศ์ ซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ยิ่งคาร์นและดามิก้าซึ่งถูกจ้องมองมากเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะความเป็นสมิงของเขา ในขณะที่ดามิก้าถูกมองเพราะความที่เธอเป็นผู้หญิงแต่กลับมีรอยสักสีแดงตามตัวของเธอ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับชาวฟีเลเซียที่จะมีรอยสักบนส่วนใดของร่างกาย จนคาร์นและดามิก้าประกาศทันทีที่กลับมาถึงค่ายพักว่าจะไม่ร่วมโต๊ะกับพวกชนชั้นสูงของฟีเลเซียอีก

ฮารีซันนั่งมองกองไฟที่รุกโชติช่วงพลางหักเศษกิ่งไม้โยนเข้าไปในกองไฟ ท้องฟ้าเริ่มสลัวลงแล้วและอากาศก็เริ่มเย็นตัวลงเรื่อย ๆ เสียงพูดคุยหยอกล้อจากเหล่าขุนพลที่ดังอยู่รอบ ๆ กองไฟเงียบลงเมื่อนายทหารฟีเลเซียชั้นผู้น้อยสองนายเดินเข้ามาใกล้ ฮารีซันลุกขึ้นยืนช้า ๆ รับนายทหารทั้งสอง

“สารจากเจ้าหญิงเรจิน่า” นายทหารคนหนึ่งประกาศพลางหยุดรอให้ทุกคนลุกขึ้นรับสารของเจ้าหญิง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนั่งรอฟังอยู่กับที่ จึงได้แต่หันไปมองเพื่อนทหารอีกคนไม่รู้จะเอาอย่างไรดี

“สารว่าอย่างไรล่ะ?” ดามิก้านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เอาศอกวางบนเข่าขวาใช้มือเท้าคางรอฟัง ถามอย่างตั้งใจเมื่อเห็นว่าทหารยังคงไม่แจ้งสารเสียที

“เออ....” นายทหารตอบอึกอัก “พวกท่านต้องลุกขึ้นยืนฟังสารของเจ้าหญิงเพื่อเป็นการแสดงความให้เกียรติเจ้าหญิง “
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:07 pm

ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงง ๆ ก่อนจะยักไหล่และยันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อทุกคนยืนขึ้นแล้วนายทหารก็เริ่มกล่าวเสียงดังอย่างภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติอัญเชิญสารของเจ้าหญิง

“เจ้าหญิงเรจิน่า อรีธาทรงมีรับสั่งว่าให้กองทัพแห่งฟูดินันเตรียมตัวออกเดินทาง เนื่องจากกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทรงมีพระบัญชาให้กองทัพแห่งฟูดินันร่วมออกเดินทางพร้อมกับกองทัพแห่งฟีเลเซียมุ่งสู่เมืองคามินยาร์ดในเวลาย่ำรุ่งในอีกสองวันข้างหน้า” นายทหารกล่าวจบก็ทำความเคารพอย่างหนักแน่น

“นั่นหมายความว่าให้เราร่วมรบด้วย หรือให้เราร่วมเดินทางไปด้วยเฉย ๆ ล่ะ?” ดามิก้าโพล่งถามตามนิสัยที่มักชอบพูดทันทีตามที่คิด ซึ่งก็ทำให้ทหารทั้งสองเงียบอึ้งไปทันที

“ขอบใจที่มาแจ้งข่าวนะ” ฮารีซันกล่าวแทรกขึ้นเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ พร้อมกับยื่นไมตรีให้ “พวกเจ้ากินอะไรกันรึยังล่ะ? มานั่งกินมื้อค่ำกับพวกเราไหม?”

เมื่อนายทหารทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองกันไปมาด้วยความประหลาดใจ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่เคยร่วมโต๊ะกับทหารชั้นไปปลายแถวอย่างพวกเขา ทั้งสองจึงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อฮารีซันผู้นำทัพฟูดินันเอ่ยปากชวนอย่างไม่มีการเสแสร้ง

“ข้า...เออ...พวกเรา โอ๊ย!” นายทหารสะดุ้งเมื่อเพื่อนทหารใช้ศอกกระทุ้งเอวเข้าให้

“พวกเราอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ คงจะรับ...เออ...น้ำใจของท่านไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็...ขอบคุณที่ชวน” นายทหารอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประดักประเดิดก่อนจะทำความเคารพอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วเดินจากไป

“คนพวกนี้แก่มารยาทและมากพิธีการกันจริง ๆ “ ดามิก้าว่าอย่างเซ็ง ๆ

“ช่วยไม่ได้ พวกเขาก็มองว่าพวกเราไร้มารยาทเหมือนกันนี่” ทราเฮิร์นพูดติดตลกท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างขบขันจากคนอื่น ๆ

“ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะร่วมรบกับคนพวกนี้ไปตลอดช่วงสงครามด้วยความรู้สึกยังไง” คาร์นคำรามเสียงขึ้นจมูกพลางโบกมือเหมือนปัดรำคาญ แต่เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำว่าสงครามเสียงตลกขบขันก็เงียบหายไป

“ข้าคิดว่าเราแยกย้ายกันไปแจ้งให้ทุกคนเริ่มเก็บสัมภาระเตรียมเดินทัพดีกว่า” ฮารีซันกล่าวขึ้น ซึ่งทุกคนต่างคนก็ยักไหล่เหมือนหมดคำพูดเช่นกัน

“ก็ดี ข้าจะได้สั่งโทนิม่าให้บอกทุกคนในเผ่าให้เริ่มเก็บสัมภาระบางส่วนคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องวุ่นวายมากนัก” ดามิก้าเห็นดีด้วย

“มีมือขวาอย่างโทนิม่าติดตามมาด้วยมันสะดวกดีอย่างนี้นี่เอง” คาร์นพูดเรื่อย ๆ เหมือนบ่น

“อิจฉาข้าละสิที่มีผู้ช่วย ท่านไม่มีใครมาด้วยก็ต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ” ดามิก้ากอดอกพูดยิ้มร่า

“พอแล้ว พอแล้ว โต้กันไปโต้กันมาอย่างนี้เดี๋ยวก็มืดกันพอดี” ฮารีซันแสร้งเอ็ดยิ้ม ๆ ทั้งคู่จึงยักไหล่เหมือนยอมแพ้ขณะที่ทราเฮิร์นเอาแต่หัวเราะคนทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นแยกย้ายไปตามพักของเผ่าตน


การเดินทัพของทั้งสองฝ่ายนั้น แม้จะเคลื่อนทัพได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว แต่ก็ดูเหมือนเป็นการเดินทัพที่แปลกประหลาดที่สุด อีกทั้งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายจนไม่อาจจะบรรยายได้ถูกต้องและครบถ้วนเมื่อกองทัพของทั้งสองฝ่ายเดินเคียงข้างกันไปตลอดเส้นทาง ธงสีเขียวรูปเปกาซัสและธงสีน้ำตาลรูปมหาพฤกษาโบกสะบัดอยู่เคียงข้างกันอย่างสวยงามและเปี่ยมไปด้วยความหมายต่อวัฒนธรรมที่แทบจะเรียกได้ว่าต่างกันอย่างสุดขั้ว

ตลอดเส้นทางหลายวันที่ผ่านมา ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ลอบมองกันไปมาด้วยความรู้สึกต่าง ๆ สารพัดปนเปกันไปหมด ฝ่ายฟูดินันนั้นมองเห็นความมุ่งมั่น ความภาคภูมิในชาตินักรบของทหารฟีเลเซีย แต่ก็มากด้วยวินัยสารพัดของทหารที่ต้องปฏิบัติ ทั้งความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเดินทัพ การตั้งค่าย การเก็บกวาดพื้นที่ และที่สำคัญความถือดีในตัวที่ดูจะมากจนล้นปรี่ จนชาวฟูดินันต่างคิดกันไม่ออกเลยว่าคนพวกนี้เขาใช้ชีวิตประจำวันกันอย่างไร ในขณะที่ข้างฝ่ายฟีเลเซียเองก็มองเห็นถึงความไม่มีระเบียบวินัยของพวกคนป่า ความไร้วัฒนธรรม ชาวฟูดินันนอกจากจะเป็นคนป่าด้อยความรู้แล้วยังมีความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์มากเกินไป จนดูเหมือนว่า คน เซนทอร์ สมิง และ สัตว์ อยู่ร่วมกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ทหารฟีเลเซียบ้างก็มองดูพวกชาวป่าด้วยความรังเกียจ บ้างก็มองดูด้วยความสนใจใคร่รู้และตื่นตากับความแปลกประหลาดของชาวฟูดินัน ซึ่งคนที่ลอบมองดูด้วยความสนอกสนใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียนั่นเอง


เมื่อถึงเวลาเย็นของวันเดินทัพวันหนึ่งซึ่งก็ใกล้จะถึงจุดหมายเต็มทีแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายก็หยุดเดินทัพและเริ่มลงมือตั้งค่ายที่พักกัน ซึ่งแม้แต่การตั้งค่ายก็ยังดูแบ่งแยกและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กองทัพฟีเลเซียตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือในขณะที่กองทัพของฟูดินันตั้งอยู่ทางทิศใต้ ที่พักของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ มีการล้อมวงแบ่งยศตำแหน่งโดยทหารชั้นผู้น้อยจะอยู่รอบนอกคอยป้องกันอันตรายต่าง ๆ และอารักขานายทหารชั้นที่สูงกว่าที่อยู่ด้านใน แน่นอนว่ากระโจมที่พักของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียนั้นย่อมอยู่ ณ ใจกลางของค่ายและต้องมีการอารักขาที่แน่นหนาและรัดกุมที่สุดด้วย ทว่าข้างฝ่ายฟูดินันนั้นการตั้งค่ายกลับดูกระจัดกระจายไร้ระเบียบ กระโจมดูจะเป็นหย่อม ๆ เหมือนแบ่งไปตามเผ่าเสียมากกว่า สมาชิกจากแต่ละเผ่าต่างก็ตั้งที่พักอยู่ใกล้ ๆ กันแล้วใช้วิธีจัดเวรยามเดินตรวจตราเอาแทน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:09 pm

ขณะที่ฮารีซันกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบ ๆ ค่ายที่พักและออกแวะทักทายสมาชิกเผ่าต่าง ๆ อยู่นั้นเอง พลันสายตาก็ไปพบกับเงาตะคุ่ม ๆ ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ข้างหลังกระโจมที่ใช้เก็บเสบียงใกล้กับกองเกวียนที่ตั้งเรียงรายอยู่ในมุมอับของค่ายพัก เพราะเป็นเวลาที่ดวงตะวันเริ่มอับแสงแล้วจึงทำให้เขามองเห็นไม่ค่อยถนัดนัก เขากวาดตามองดูเจ้าของร่างจากทางด้านหลังแล้วก็คะเนเอาว่าคงจะเป็นสมาชิกจากเผ่าเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของฟูดินัน เนื่องจากผ้าคลุมที่ใช้ห่อหุ้มตัวซึ่งมีลวดลายค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ฮารีซันสงสัยจริง ๆ ว่าฝ่ายเสบียงแจกอาหารกันอย่างไรถึงทำให้มีคนไม่อิ่มท้องจนถึงขนาดจะมาขโมยอาหารถึงที่กระโจมเสบียง

ฮารีซันขยับเข้าไปช้า ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่รีบร้อนนัก แต่เพราะความช้านี้เองที่ทำให้เสียงฝีเท้าของเขาเงียบกริบจนเจ้าของร่างที่หลังกระโจมไม่ได้ทันรู้สึกตัว เมื่อเดินใกล้เข้าไปจนห่างไปอีกไม่กี่ก้าว เขาจึงสังเกตว่าเจ้าของร่างนั้นมีรูปร่างเล็กกว่าเขาอยู่ไม่น้อย ฮารีซันเอื้อมมือจนเกือบจะไปถึงไหล่เล็ก ๆ นั้นแล้ว แต่แล้วอย่างไม่ทันตั้งตัว ในชั่วพริบตานั้นเองที่เจ้าของร่างก็เอี้ยวตัวกลับมาพร้อมกับตวัดปลอกดาบเข้าประชิดถึงลำคอแกร่งของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่น่าตกใจเท่ากันสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว
ผู้นำเผ่าฟูดินันถึงกับอ้าปากค้างดวงตาเบิกขึ้นเหมือนกับต้องการจะดูให้แน่ใจว่าตาของตนนั้นไม่ฝาด ร่างกายแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ไปชั่วขณะ

“เจ้า...เจ้าหญิงเรจิน่า?!”

“โอ้!!” เจ้าหญิงทรงอุทานได้เพียงเท่านั้นก็ทรงรีบชักปลอกดาบกลับทันทีพลางยืดองค์ขึ้นตรงวางมาดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหญิงทรงยิ้มมุมปากอย่างหญิงสูงศักดิ์ผู้ไว้ตัวซึ่งไม่เข้ากันเลยกับผ้าคลุมซอมซ่อที่คลุมพระองค์อยู่ แต่ก็ทำให้คนมองสามารถมองเห็นภาพเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และผ้าคลุมผืนนั้นก็กลายเป็นผ้ากำมะหยี่ราคาแพงไปได้ชั่วขณะหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสทักทายด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ “สายัณห์สวัสดิ์ ท่านฮารีซัน”

“สะ สายัณห์สวัสดิ์” ฮารีซันงุนงงกับท่าทีที่ไม่รู้ไม่ชี้ของเจ้าหญิงที่แสร้งทำได้อย่างลื่นไหลจนตอบทักทายอย่างกระท่อนกระแท่น
“ท่านคงจะสงสัยว่าทำไมข้ามาอยู่ที่นี่!” เจ้าหญิงตรัสเสียงเรียบด้วยอาการนิ่งสงบ ทรงปัดผ้าคลุมออกให้พ้นองค์เผยให้เห็นชุดกระโปรงผ้าเนื้อดีราคาแพงที่ทรงสวมอยู่ แต่ในท้องนั้นเหมือนมีผีเสื้อสักสิบตัวบินว่อนเร็วจี๋เลยทีเดียว กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงวางท่าอย่างสง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นพระทัยในพระองค์เอง แต่ครั้นเมื่อทรงเห็นฮารีซันยังคงนิ่งเงียบและจ้องมองพระองค์ตรง ๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่แสดงทีท่าว่าจะถามหรือจะตอบให้พระองค์พอจะเดาความคิดของเขาได้ พระองค์ก็ทรงเริ่มรู้สึกไม่แน่พระทัยว่าควรจะบอกเหตุผลจริง ๆ หรือจะแต่งเรื่องขึ้นมากลบเกลื่อนพฤติกรรมที่น่าสงสัยนี้ดี คิดแล้วพระองค์ก็ทรงนึกโทษนิสัยกระตือรือร้นในการอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ของพระองค์ว่าเป็นความสอดรู้สอดเห็นที่มากเกินขนาดโดยแท้ จึงทำให้พระองค์ต้องมาพบกับสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้อยู่ในพระทัย

“ข้า... ข้ามา... ข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยรอบ ๆ ค่ายแล้วก็เผอิญหลงมาทางนี้” ตรัสจบก็ต้องทรงนึกอยากจะกัดลิ้นพระองค์เองที่หาเหตุผลได้พิลึกจริง ๆ

“ข้าพาท่านเดินชมรอบ ๆ ค่ายก่อนจะไปส่งที่ค่ายฝั่งฟีเลเซียดีไหม?” ฮารีซันเอ่ยยิ้ม ๆ

“ทำไมถึงเสนอพาข้าชมค่ายล่ะ?” เจ้าหญิงทรงอดที่จะตรัสถามไม่ได้ นี่พระพักตร์ของพระองค์แสดงออกมากเกินไปหรือ ว่าอยากจะชมภายในค่ายของฟูดินัน แต่พระองค์ทรงถูกฝึกมาอย่างดีเรื่องการระวังการแสดงอารมณ์ทางพระพักตร์และท่าทาง พระองค์มั่นพระทัยว่าไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางพระพักตร์หรือทางใดก็แล้วแต่แน่ ๆ

“ข้ารู้สึกว่าเจ้าหญิงคงจะอยากชมค่ายจึงได้เสนอเช่นนั้น” ฮารีซันตอบ

เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าพระพักตร์ร้อนวูบขึ้นเหมือนเด็กที่โดนผู้ใหญ่จับได้ว่าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นตามลำพัง แล้วก็นึกหมั่นไส้ที่ชาวบ้านป่าผู้นี้ช่างพูดตรง ๆ โดยไม่รักษาหน้าคนฟังเลย ทั้ง ๆ ที่คนทั่วไปคงจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อรักษาหน้าของเจ้าหญิง แต่ข้อเสนอที่จะพาชมค่ายโดยที่พระองค์ไม่ต้องมาลอบด่อม ๆ มอง ๆ อย่างนี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ขอให้พระองค์ได้แก้เผ็ดสักหน่อยเถอะ

“ท่านรู้สึกเอาเองรึ? แล้วทำไมข้าจะต้องอยากชมค่ายทหารของท่านด้วยล่ะ?” เจ้าหญิงทรงแกล้งขมวดคิ้วถามอย่างตกพระทัย ซึ่งก็ทำให้ผู้นำชาวป่าต้องประหม่าไปเหมือนกันที่ดูเหมือนตนเองจะเข้าใจผิดอย่างแรง

“ถ้าเช่นนั้น...”

“แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อท่านมีน้ำใจชวน ข้าจะปฏิเสธก็คงจะเป็นการเสียมารยาท เชิญท่านนำทาง” เจ้าหญิงตรัสอย่างรวดเร็วพร้อมกับผายพระหัตถ์ให้ฮารีซันนำทางทันที

ฮารีซันยืนนิ่งไปชั่วขณะเพราะตามความคิดอันปุบปับของเจ้าหญิงไม่ทัน ทีแรกดูเหมือนเจ้าหญิงจะอยากสำรวจค่ายพัก แต่แล้วก็ทำท่าราวกับไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในสมอง แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจอยากจะเดินชมขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ช่างเป็นเจ้าหญิงที่วูบไหวไปมาเหมือนสายลมที่ไม่ยอมหยุดนิ่งจริง ๆ ฮารีซันผ่อนลมหายใจน้อย ๆ เหมือนกับจะปัดเป่าความคิดเหล่านั้นออกไป เขายิ้มให้เจ้าหญิงอย่างเป็นมิตรก่อนจะผายมือให้เจ้าหญิงออกเดินนำ

สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันไปตามกระโจมที่พักหลังต่าง ๆ ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของบรรดานักรบชาวป่า ก็ใครเล่าจะไม่เหลียวดูหญิงสาวผู้งามสง่าและเดินเยื้องย่างราวพญาหงส์ผู้นี้ ฮารีซันแนะนำเจ้าหญิงให้รู้จักกับกระโจมของเผ่าต่าง ๆ และบอกวิธีการสังเกตสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อแยกสังกัดเผ่า เจ้าหญิงทรงมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงบแต่ดวงเนตรนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นและสนใจใคร่รู้ ทว่าก็ยังคงรักษากิริยาไว้ได้อย่างดี

ตลอดเส้นทางนั้นบรรดานักรบต่างก็ทักทายฮารีซันด้วยอัธยาศัยไมตรีอย่างดี แต่กับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ พวกเขาเพียงแค่ค้อมศีรษะลงและเลี่ยงหลบสายตา บ้างก็แสร้งหลบเข้ากระโจมก็มี

“ข้าสังเกตเห็นว่าทุกคนรู้จักท่านและทักทายท่านราวกับเป็นเพื่อนกัน ท่านรู้จักพวกเขาทุกคนหรือ?” เจ้าหญิงทรงอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้

“ไม่หรอก เพียงแต่พวกเรามีอุปนิสัยที่เข้ากับคนง่ายและอยู่กันเหมือนพี่น้อง” ฮารีซันตอบอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับยกมือขึ้นทักทายกับนักรบจากเผ่าหนึ่ง

“แต่ไม่มีใครกล้าสบตาข้า” เจ้าหญิงทรงตั้งข้อสังเกต ดวงเนตรยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ เหมือนพยายามสบตากับใครสักคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 36 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:10 pm

“พวกเขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไรมากกว่า” ฮารีซันตอบ

“ทำไม?”

ฮารีซันเหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ “เพราะท่านเป็นเจ้าหญิง”

“แต่ท่านก็เป็นถึงกษัตริย์ของคนพวกนี้มิใช่หรือ?”

“ไม่ใช่หรอก สำหรับข้าฐานะหัวหน้าเผ่าก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่หรอก เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่มีครอบครัวที่ใหญ่มากเท่านั้นเอง”

“น่าอิจฉาจริง ข้าก็อยากจะเป็นคนธรรมดาบ้าง...” เจ้าหญิงตรัสเพียงเท่านี้ก็ทรงหยุดฝีเท้าลง สายพระเนตรมองตรงไปที่ฮารีซันเหมือนทรงครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

“เจ้าหญิง?!” ฮารีซันเรียกอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าข้าเคยพูดอะไรที่คล้าย ๆ กับบทสนทนาเมื่อครู่นี้มาก่อนเท่านั้นเอง” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงใช้นิ้วมือข้างที่ถือดาบเคาะกับปลอกดาบเป็นจังหวะเพื่อเรียกความคิด “พูดกับใครที่ไหนสักแห่ง” เจ้าหญิงตรัสเหมือนกับจมอยู่ในความคิดของพระองค์เอง แต่แล้วก็ทรงรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจึงเงยพระเนตรขึ้นเพื่อพบกับดวงตาสีน้ำตาลของฮารีซันที่จ้องมองพระองค์เหมือนจะมีคำถามบางอย่าง

“อะไรหรือ?” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความไม่แน่ใจ

“ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนจะเคยสนทนากับใครแบบนั้น” ฮารีซันพยายามนึกบ้าง

“กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชายป่าเผ่าสมิง” / “กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งในป่า” ทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกันและก็ต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง

“เป็นท่านรึ!?!” ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกด้วยน้ำเสียงที่ตกใจไม่แพ้กัน ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีความบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกตน

“ท่านเป็นเด็กผู้ชายเมื่อตอนนั้นนั่นเอง ช่างบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ” เจ้าหญิงเรจิน่าที่ทรงตั้งสติได้ก่อนเปรยออกมาด้วยความประหลาดพระทัย

“ใช่ บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ” ฮารีซันตอบรับยังมีอาการงง ๆ อยู่

“แล้วเด็กหญิงขี้อายคนนั้นล่ะ? น้องสาวของท่านใช่ไหม? เธอเป็นอย่างไรบ้าง? ชื่ออะไรนะ?” เจ้าหญิงทรงเริ่มจำเรื่องราวและบุคคลต่าง ๆ ในเหตุการณ์ได้

“วานาอันนะรึ?” ฮารีซันยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงน้องสาว “เธอสบายดี แม้สงครามจะทำให้วานาอันสลดหดหู่ไปบ้าง... และก็ยังขี้อายเหมือนเดิม”

“แล้วนกตัวนั้นละ...หลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าหญิงยังทรงถามต่ออย่างใคร่รู้

“หลังจากที่ท่านปู่รักษาให้ มันพักฟื้นอีกประมาณเดือนหนึ่งก็บินจากไป”

“อืม ดีจริง” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงยินดีไม่น้อย

ฮารีซันมองเจ้าหญิงเรจิน่าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งสองต่างก็รู้สึกถึงมิตรภาพเมื่อวัยเยาว์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองหนุ่มสาวเดินมาถึงชายเขตของค่ายฟูดินันพอดี ซึ่งเหล่าทหารฟีเลเซียต่างตกใจเมื่อเห็นเจ้าหญิงอยู่ในเขตของค่ายฟูดินันเพียงลำพังโดยไม่มีองครักษ์และผู้ติดตาม จึงทำให้เกิดความแตกตื่นรีบออกมารับเสด็จกลับเป็นการใหญ่

“ข้ายินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ขอบใจนะที่พาข้าเดินชมค่ายพัก วันนี้สนุกดีทีเดียว” เจ้าหญิงตรัสก่อนที่เหล่าองครักษ์จะมาถึง ซึ่งฮารีซันก็ก้มหน้ารับคำขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มอย่างยินดีที่ได้พบเด็กหญิงที่เขารู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่ผ่านประสบการณ์น่าระทึกใจในวัยเด็กมาด้วย แม้ทั้งคู่เกือบจะลืมมิตรภาพในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นไปแล้ว

เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยืดองค์ขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้สูงศักดิ์เมื่อนายทหารมากันพร้อมหน้า

“ขอบใจที่พาข้าเดินชมค่ายพัก อีกหนึ่งวันเราก็จะเข้าเขตเมืองคามินยาร์ดแล้ว แล้วเราจะนำท่านเข้าพบกับน้องชายของเรา ซิกมันด์ที่ 3 กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย” ตรัสดังนั้นแล้วก็เอียงพระเศียรน้อย เป็นเชิงบอกลาก่อนจะดำเนินจากไปพร้อมกับเหล่าบรรดาองครักษ์

ฮารีซันมองตามหลังเจ้าหญิงไป แต่ในใจกลับเห็นภาพเด็กชายที่มองดูเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ในมือถือดาบกวัดไกวมาทางเขาและวานาอัน เด็กชายคนนั้นเติบโตจนได้เป็นกษัตริย์ของฟีเลเซียแล้วหรือนี่ เขาจะเติบโตมาเป็นกษัตริย์แบบไหนกันนะ? ฮารีซันคิดก่อนจะเดินกลับกระโจมที่พักท่ามกลางแสงดาวที่เริ่มส่องประกาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน