Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. เม.ย. 25, 2024 3:26 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:59 pm

Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต



หลังจากที่เจ้าหญิงทรงกลับถึงปราสาทแล้วก็ทรงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งองค์ใหม่อย่างรวดเร็ว ที่แท้แล้วพระองค์ยอมเสด็จกลับปราสาทในทันทีในขณะที่ซิสเตอร์โรซาน่าและคณะดูแลผู้อพยพโดยที่ไม่มีพระองค์ ก็เพราะพระองค์จะทรงรีบเดินทางไปพบคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้นั่นเอง หากพระองค์สามารถโน้มน้าวสภาศาสนาให้เห็นชอบกับพระองค์ได้ สภาพ่อค้าก็จะไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ อีก เนื่องจากแอนดิซองใช้ระบบเสียงข้างมากในการออกกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ เจ้าหญิงอลาน่าทรงมีเวลาเหลือไม่มากนักก่อนจะเข้าประชุมสภาครั้งใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นพระองค์จะทรงรอช้าอีกไม่ได้แล้ว เจ้าหญิงทรงรับสั่งกับนางกำนัลต้นห้องทันที

“เตรียมรถม้าให้ฉันอย่างเร็วที่สุดจ๊ะ ฉันจะไปพบท่านคาร์ดินัลที่โบสถ์หลวง”


ขณะที่คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้กำลังทำวัตรอยู่ในห้องภาวนาของพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวอยู่ทางปีกขวาฝั่งตะวันออกของโบสถ์หลวง จู่ ๆ บาทหลวงหนุ่มองค์หนึ่งก็เข้ามารายงาน

“พระคุณเจ้าครับ เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาขอพบท่านครับ”

มาร์สิลิโอ้ออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าหญิงเสด็จมาพบโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ ซ้ำตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาเมืองท่าเพื่อจำศีลภาวนาและมาดูแลจัดการงานต่าง ๆ ของสภาศาสนาในเมืองนี้จนจวนเจียนจะได้เวลาเดินทางกลับแล้ว เขาได้พบเจ้าหญิงเพียงครั้งเดียวคือเมื่อวันที่เดินทางมาถึงนั่นเอง ดังนั้นนี่คงจะเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญมากทีเดียว

“ไปทูลเจ้าหญิงว่าเราจะออกไปพบอีกสักครู่นี้”

ภายในห้องรับรองของโบสถ์หลวงประจำเมืองท่าแห่งแอนดิซอง ซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นของเหล่าบรรดานักบุญถูกประดับประดาด้วยอัญมณีสูงค่ามากมายอย่างงดงามยิ่ง ซึ่งหากใครได้มาเห็นสักครั้งก็จะต้องหาโอกาสที่จะเข้ามาชมอีกเป็นครั้งที่สอง

กระนั้นก็ดีความงดงามนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดจิตใจของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองได้ พระองค์ไม่ได้ทรงมองเห็นรูปปั้นนักบุญที่สวยงามอร่ามตา แต่พระองค์ทรงเห็นคุณงามความดี ความศักดิ์สิทธิ์ และความยากลำบากที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตต่างหาก พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้ารูปนักบุญทั้งหลายก่อนจะทรงหลับเนตรลงอธิษฐานภาวนาวิงวอนเหล่านักบุญทั้งหลายให้ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานปรีชาญาณแก่พระองค์ เจ้าหญิงทรงสวดภาวนาอยู่นานจนเหมือนอยู่ในภวังค์

แต่แล้วพระองค์ก็รู้สึกว่ามีมือเล็ก ๆ มาแตะตรงไหล่ของพระองค์อย่างแผ่วเบา พระองค์จึงทรงลืมพระเนตรขึ้นเพื่อพบกับความว่างเปล่า เจ้าหญิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ใครกันหนอที่สัมผัสพระองค์ แต่พระองค์มั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย เพราะพระองค์สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน คิดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบเก็บความคิดนั้นไว้เพราะทรงเห็นว่าท่านคาร์ดินัลยืนอยู่ที่หน้าประตู ซึ่งคงยืนอยู่ได้สักครู่ใหญ่แล้ว นักบวชสูงวัยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก พระผู้มากด้วยยศศักดิ์และอำนาจในสภาสูงค่อมศีรษะเล็กน้อย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้า

“เจ้าหญิง” มาร์สิลิโอ้เอ่ยทักทาย

“ท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงย่อตัวลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ ซึ่งด้วยยศตำแหน่งของพระองค์ เจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ย่อมได้ เพราะโดยยศศักดิ์แล้ว ตำแหน่งคาร์ดินัลเทียบเท่ากับเจ้าชายของพระศาสนจักร ศักดิ์ของทั้งสองจึงเท่ากัน แต่เจ้าหญิงก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ทุกครั้งตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อันเป็นการบ่งบอกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ ซึ่งคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ก็ชื่นชมเจ้าหญิงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“พระองค์จะต้องเป็นพระราชินีที่ทรงคุณธรรม และน่ายกย่องมากทีเดียว เพราะพระองค์อ่อนน้อม รักราษฎร และ ยึดมั่นในศาสนาเช่นนี้” คาร์ดินัลเอ่ยตั้งข้อสังเกตแกมชื่นชม

เจ้าหญิงทรงทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะบอกความปรารถนาสูงสุดของพระองค์ที่อยากจะออกบวชให้คาร์ดินัลทราบ แต่มาร์สิลิโอ้ก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบที่มีเพียงรอยยิ้มของพระองค์เมื่อออกปากเชื้อเชิญ

“เชิญที่เก้าอี้รับรองทางด้านนี้ก่อนเถิด เราจะได้คุยกันได้สะดวก” มาร์สิลิโอ้ผายมือออกไปยังชุดเก้าอี้บุบกำมะหยี่สีน้ำเงินสดที่ดูหนานุ่มน่าสบาย เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว มาร์สิลิโอ้จึงกล่าวขึ้น

“พระองค์มีเรื่องด่วนสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ?”

“ฉันกำลังจะนำเรื่องหนึ่งเข้าที่ประชุมสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ค่ะ และฉันอยากจะได้การสนับสนุนจากท่านคาร์ดินัล” เจ้าหญิงทรงเริ่มเข้าเรื่องทันที

“เรื่องที่สภาพ่อค้าจะต้องคัดค้านอย่างที่สุดสินะ ท่านถึงต้องมาคุยกับเราเป็นการส่วนตัวก่อน” นักบวชอาวุโสกล่าวอย่างรู้ทัน “เรื่องที่สภาพ่อค้าไม่ชอบ ถ้าไม่นับเรื่องการเสียผลประโยชน์ด้านการค้าก็ยังมีอีกสารพัดเรื่องเลยทีเดียว เป็นเรื่องอะไรล่ะ?”

“เรื่องผู้อพยพที่ท่าเรือค่ะ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:00 pm

มาร์สิลิโอหันมามองเจ้าหญิงด้วยแววตาสงสัยและตึงเครียดขึ้นในทันใด แต่ก็ยังคงมิกล่าวใด ๆ ออกมา เจ้าหญิงจึงตรัสต่อ

“ฉันอยากให้ท่านทบทวนเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้อพยพใหม่อีกครั้งค่ะ”

มาร์สิลิโอ้ส่ายหน้าช้า ๆ “เมื่อที่ประชุมต่างเห็นพ้องต้องกันแล้ว กฎก็ย่อมต้องเป็นกฎ จะให้เรากลับคำพูดไปมา วันนี้พูดอย่างหนึ่งอีกวันพูดอีกอย่างหนึ่งได้อย่างไร?”

“ถ้าเช่นนั้น ฉันอยากจะทราบว่าเหตุใดท่านจึงเห็นชอบที่จะไม่ช่วยเหลือบรรดาผู้อพยพล่ะคะ?”

“เรากังวลว่า การปล่อยคนเหล่านี้เข้ามาอาจเป็นอันตรายต่อพระศาสนจักรของแอนดิซอง” มาร์สิลิโอ้กล่าวเสียงเรียบแต่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความหนักใจ คาร์ดินัลส่ายหน้าช้าพลางผ่อนลมหายใจแรง ๆ “เราได้ทราบมาว่า คนต่างชาติเหล่านี้ นับถือผีสางนางไม้ และแม้แต่นับถือสัตว์ หนำซ้ำยังมีผู้รายงานมาว่าคนพวกนี้นอกจากจะไม่นับถือพระเจ้าแล้ว ยังมีการทำป่าเถื่อนเช่นการฆ่าสัตว์บูชายัญกันด้วย และเรายังเคยได้ยินอีกว่า อาจมีการฆ่ามนุษย์บูชายัญเลยทีเดียว ซึ่งเราจะปล่อยให้มีการกระทำอันเลวทรามแบบนี้ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้แก่พวกเราชาวแอนดิซองไม่ได้ รวมทั้งการนำเอาวิธีการบูชายัญอันป่าเถื่อนมาปฏิบัติกันให้แผ่นดินนี้อาจทำให้เกิดการเอาเยี่ยงอย่างหรือเผยแพร่การบูชาเทพแบบนั้นให้แก่ประชาชนของเรา ซึ่งอาจบังเกิดลัทธิเทียมเท็จและแตกแยกในกลุ่มชนภายในประเทศได้ เราไม่อาจปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้”

เจ้าหญิงอลาน่าทรงทอดพระเนตรไปยังรูปวาดทางศาสนาในห้องนั้น ก่อนจะตรัสช้า ๆ และหนักแน่นโดยไม่ละสายพระเนตรจากภาพนั้น

“แล้วการที่เราทำร้ายเข่นฆ่า หรือแม้แต่ปล่อยให้พวกเขาตายเพื่อความปลอดภัยของเราเอง มันจะแตกต่างจากการบูชายัญตรงไหนคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าทรงใช้เหตุผลเช่นนี้ คาร์ดินัลผู้คงแก่เรียนในศาสนาและได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูแลหลักศีลธรรมสูงสุดของแผ่นดิน ถึงกับนิ่งอึ้งหาคำตอบไม่ได้

เจ้าหญิงจึงเสริมต่อทันที “การบูชายัญอันป่าเถื่อนนั้น...นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างเหมาะสม แต่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้าและรู้วิธีที่จะปฏิบัติศาสนกิจให้เหมาะสมได้อย่างไรในเมื่อเราไม่ให้โอกาสพวกเขา และที่พวกเขาไม่นับถือพระเจ้าก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ พวกเขาจะรู้จักพระองค์ได้ก็โดยผ่านทางเรา หากเราเห็นว่าพวกเขาผิด และทางที่เราปฏิบัติกันนั้นถูกต้อง หรือดูมีอารยธรรมกว่า แต่เรากลับกระทำการป่าเถื่อน ไร้น้ำใจ ไร้ศีลธรรม ไร้เมตตา และไร้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เช่นนี้แล้วเรายังจะบอกเขาว่าสิ่งที่เรานับถือนั้นดี และประเสริฐ ใครจะเชื่อล่ะคะ? เพราะคุณค่าและความดีงามแท้จริงของศาสนา ไม่ใช่อยู่ที่พิธีกรรมที่ดูสง่างามหรือมีอารยธรรมกว่า แต่อยู่ที่ว่าศาสนานั้น ๆ สอนให้มนุษย์แสดงความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร และการพิสูจน์ที่ดีที่สุดก็คือการกระทำของศาสนิกชนในศาสนานั้น ซึ่งกระทำแต่สิ่งดีงามตามหลักคำสอนที่ศาสนาสอนไม่ใช่หรือคะ?”

นักบวชสูงวัยมีท่าทีประหลาดใจกับคำพูดของเจ้าหญิงที่ทรงใช้คำพูดที่รุนแรงประณามการตัดสินใจไม่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพของเขา เจ้าหญิงทรงเห็นดังนั้นจึงตรัสถามขึ้น

“ท่านทราบหรือไม่ว่าพวกทหารทำอย่างไรกับผู้อพยพที่ท่าเรือ?”

“ไม่” มาร์สิลิโอ้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เราไม่คิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายในกิจการของกองทัพ และอีกอย่างช่วงนี้เราอยู่ในช่วงจำศีลภาวนา จึงไม่ค่อยได้ติดตามเหตุการณ์ภายนอกนัก”

คาร์ดินัลมองเจ้าหญิงเป็นเชิงถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด เจ้าหญิงจึงทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือทั้งหมดให้มาร์สิลิโอ้ฟัง ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าของมาร์สิลิโอ้เคร่งขรึมและตึงเครียดขึ้นมาทันที เพราะแม้เขาจะไม่อยากให้ความช่วยเหลือผู้อพยพเนื่องจากเกรงผลกระทบด้านต่าง ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าการตัดสินใจของตนจะทำให้มีเหตุการณ์รุนแรงบานปลายจนมีคนตายมากมายเช่นนั้น

“แล้วท่านคิดจะทำเช่นไร?” มาร์สิลิโอ้ถอนหายใจแรงโน้มตัวมาข้างหน้าตั้งศอกทั้งสองข้างขึ้นบนโต๊ะมือประสานไขว้กันจรดริมฝีปากอย่างคนใช้ความคิด

“ธรรมชาติของน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แผ่ขยายกว้างใหญ่และให้ชีวิต แอนดิซองก็ควรเป็นเช่นนั้น” เจ้าหญิงตรัส ในพระทัยเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวังที่เริ่มจะเรืองรองเมื่อเห็นว่ามาร์สิลิโอ้เริ่มอ่อนข้อให้

มาร์สิลิโอ้พิจารณาคำพูดเจ้าหญิงอยู่นานหลายอึดใจก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด

“แต่ผู้อพยพมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างไร ณ วันใดวันหนึ่งผู้อพยพก็จะมากจนเกินกำลังของแอนดิซอง แอนดิซองไม่อาจหาเลี้ยงคนเกือบทั้งเมอร์ริเซียได้หรอก” มาร์สิลิโอ้ตั้งข้อสังเกต

เจ้าหญิงทรงหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะทรงยิ้มตอบ “ที่จริงแล้วฉันมีความคิดว่าจะสร้างอาคารสักหลังให้เป็นที่พักสำหรับผู้ยากไร้และผู้อพยพ แต่เวลานี้อาคารเพียงหลังเดียวคงไม่พอแล้ว แล้วถ้าฉันจะสร้างศูนย์จัดจ้างแรงงานให้ผู้ยากไร้เพิ่มขึ้นอีกก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ คนที่มีความรู้มีฝีมือด้านอาชีพต่าง ๆ อยู่แล้วก็จะได้มีงานทำหาเลี้ยงตนเองได้ ใครที่ไม่มีความรู้ ฉันก็จะขอให้พวกซิสเตอร์สอนอาชีพให้”

“แล้วพระองค์จะสร้างสิ่งเหล่านี้ที่ไหน?” คาร์ดินัลยังคงถามต่อ

“ความจริงก่อนหน้านี้ฉันได้ออกสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงและบริเวณโดยรอบท่าเรือไว้บ้างแล้ว ฉันได้พบที่หนึ่งซึ่งมีพื้นที่ว่างกว้างขวางมากและมีโกดังเก่าตั้งอยู่หลายหลัง ดูเหมือนเจ้าของจะใช้โกดังเหล่านั้นแค่บางช่วงของปีเท่านั้น ฉันจึงคิดว่าจะขอซื้อที่บริเวณนั้นจากเขา” เจ้าหญิงตรัสเจือความหนักพระทัยในน้ำเสียง

“เป็นที่ดินของใครหรือ?” มาร์สิลิโอ้ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ประธานสภาพ่อค้า รูฟัส ค่ะ”

เสียงมาร์สิลิโอ้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนหลังพิงพนักพลางส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์ พระองค์จะไม่มีวันได้ที่ดินผืนนั้นหรือไม่เช่นนั้น...ราคาก็คงสูงลิ่ว”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:01 pm

“ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ในวันนี้ยังไงเล่าคะ” เจ้าหญิงตรัสตอบ รอยยิ้มแห่งความหวังฉาบบนพระพักตร์ของพระองค์

“แล้วปัญหาในการแสดงออกทางศาสนาที่ป่าเถื่อน และน่ากลัวเหล่านั้นเจ้าหญิงจะแก้ไขอย่างไร?” มาสสิลิโอ้ถามขึ้น

เจ้าหญิงทรงนิ่งใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะตรัสตอบ “ในเบื้องต้น ฉันคิดว่าเราควรใช้กฎหมายค่ะ ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในประเทศไหนต้องเคารพกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ เรื่องนี้คนทุกคนไม่ว่าจะชนชาติไหนศาสนาใดย่อมรู้ธรรมเนียมดี เราจะออกกฎหมายห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และในส่วนของการห้ามฆ่าคน เราก็มีกฎหมายเรื่องนั้นอยู่แล้ว และฉันคิดว่าเป็นการดีที่เราจะจัดให้มีซิสเตอร์หรือนักบวชนอกจากเข้าไปสอนอาชีพแล้ว ยังเข้าไปสอนศาสนาของเราในชุมชนของผู้อพยพ ซึ่งฉันเห็นว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาจะเข้าใจเรามากขึ้น และเข้าใจในสิ่งดีที่ศาสนาของเรามี ดังนั้นแม้เขาจะไม่กลับใจมานับถือศาสนาของเรา แต่ก็ทำให้เขามีความรู้มากขึ้นและเข้าใจว่าควรทำ หรือไม่ควรทำอะไรในดินแดนของเรามากขึ้นนะคะ”

คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้พิจารณาข้อเสนอของเจ้าหญิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางลุกขึ้นช้า ๆ

“หวังว่าพวกผู้อพยพจะได้รู้จักพระเจ้าผ่านทางการกระทำของพระองค์จริงอย่างที่พระองค์ว่า เราปรารถนาว่าในอนาคตที่ไม่นานจนเกินไปนัก การกราบไหว้เทพเจ้า ผีสาง และสัตว์ หรือการบูชายัญอันน่าสยดสยองนั่นในเมืองท่าแห่งนี้น้อยลงหรือไม่มีอีกเลย”

ซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงได้แต่ทรงลุกขึ้นดำเนินตามไปเงียบ ๆ พระองค์ไม่ปรารถนาจะบังคับใครทั้งนั้นไม่ว่าในเรื่องใด ในส่วนลึกพระองค์ยังคงหนักพระทัยอยู่บ้างในสิ่งที่รับปากกับคาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ เพราะว่าการที่คนเรานั้นจะละทิ้งประเพณีหรือความเชื่อดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน ๆ นั้นคงจะทำได้ยาก แต่เพราะความห่วงใยที่จะช่วยชีวิตคนจำนวนมากในเวลานี้ มาก่อนการระวังปัญหาที่ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จนเมื่อดำเนินมาจวนจะถึงรถม้า

“ท่านจะช่วยฉันใช่ไหมคะ?” เจ้าหญิงทรงถามย้ำอีกครั้ง เพราะต้องการได้ยินคำพูดที่ชัดเจนจริง ๆ

มาร์สิลิโอ้พยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ

“ขอบคุณพระเจ้า!” เจ้าหญิงทรงร้องอย่างยินดียิ่ง “ขอบคุณคะท่านมาร์สิลิโอ้”

“เจ้าหญิงทรงทราบดีว่าเราเป็นคนที่เข้มงวดมาก อย่าลืมสิ่งที่เราบอกในวันนี้ การแสดงออกทางศาสนาที่ป่าเถื่อนนอกรีต และการบูชายัญต้องน้อยลงหรือไม่มีเลย” มาร์สิลิโอ้ กล่าวเสียงหนัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก้มศีรษะเป็นเชิงบอกลาพลางส่งเจ้าหญิงขึ้นรถม้าก่อนจะเปรยเสียงเข้ม “แล้วพบกับในสภา”

*****************************


ผ่านไปได้สองเดือนแล้วหลังจากการรบกับกองทัพเพลิงที่เมืองเอรีมสิ้นสุดลง การบูรณะซ่อมแซมเมืองเอรีมรุดหน้าไปมาก ทั้งนี้เพราะการแบ่งงานกันอย่างเป็นระบบนั่นเอง จึงทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหญิงเรจิน่าทรงคิดที่จะวางแนวคูเมืองใหม่ตามที่สถาปนิก (Architect) แนะนำ เพราะทรงเห็นว่าไหน ๆ ก็ต้องก่อกำแพงเมืองใหม่อยู่แล้วก็น่าจะทำให้แข็งแรงไปเลยเพื่อการป้องกันข้าศึกในภายภาคหน้า เพราะหลังจากที่ยกเมืองวอลเนียขึ้นแล้ว เมืองเอรีมก็กลายเป็นเมืองด่านของฟีเลเซียตะวันออกไปโดยปริยายนั่นเอง

ขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกำลังตรวจดูการซ่อมแซมกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือที่ถูกโจมตีอย่างหนักอยู่นั้น พลทหารนายหนึ่งก็รีบเข้ามารายงาน

“ฝ่าบาท มีกองทัพขนาดใหญ่กำลังพลหลายหมื่นนายกำลังเคลื่อนพลเขามาตามแนวช่องเขาวอลเนียพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าคงจะประชิดเมืองเอรีมไม่เกินย่ำรุ่งในวันพรุ่งนี้ เวลานี้ท่านเจ้าเมืองกำลังสั่งเร่งระดมพลแล้วและให้ข้าพระองค์มาเชิญเสด็จเจ้าหญิงพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกกองทัพซาโลมอย่างนั้นรึ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตื่นตระหนกมือไม้เย็นเฉียบขึ้นมาในทันใดเมื่อคิดได้ว่าสภาพเมืองเอรีมในเวลานี้ แม้จะบูรณะซ่อมแซมไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะรับศึกหนักอีกครั้ง ซ้ำกำลังพลส่วนใหญ่ก็อยู่ที่เมืองคามินยาร์ดไม่มีทางที่จะยกทัพกลับมาช่วยได้ทันการณ์แน่ ๆ

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนจะเป็นกองทัพของพวกชาวป่า”

“ชาวป่ารึ?” เจ้าหญิงทรงอุทานแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สิ่งสุดท้ายในโลกที่พระองค์จะนึกถึงในเวลานี้ก็คือการรุกรานจากพวกชาวป่านี่แหละ สมัยที่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อถึงฤดูล่าสัตว์ หลายครั้งที่พระองค์เลือกที่จะมาล่าสัตว์ที่เมืองวอลเนีย และทรงแอบลอบข้ามไปเที่ยวเล่นที่ป่าอีกฟากบ่อย ๆ พระองค์เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าชาวป่าอีกฟากนั้นรักสงบ มีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ทะเยอทะยานและค่อนข้างจะเก็บตัวด้วยซ้ำ ซึ่งอัศวินชาวฟีเลเซียหลายคนรวมทั้งน้องชายของพระองค์มักมองว่านี่คือความขี้ขลาดของพวกชาวป่าต่างหาก แล้วอะไรทำให้พวกชาวป่าเกิดอยากจะรุกรานฟีเลเซียขึ้นมาเอาตอนนี้นะ เจ้าหญิงทรงขมวดคิ้วแน่นด้วยความวิตกกังวลก่อนจะส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์แล้วจึงรีบขึ้นม้าฮ้อควบอย่างรวดเร็วมุ่งสู่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออกราวกับติดปีก


ใกล้รุ่งสาง กองทัพฟีเลเซียทั้งพลธนู เหล่าอัศวิน และบรรดาชาวเมืองทั้งหญิงชายที่มีฝีมือด้านเพลงดาบร่วมหมื่นเศษก็มาประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออก ทุกคนพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องเมืองสมกับเป็นชาตินักรบ เจ้าหญิงทรงอยู่ในชุดเสื้อเกราะเต็มยศสีเงินยวงขลิบทองพร้อมดาบคู่ใจในพระหัตถ์ พระองค์ทรงยืนอยู่บนป้อมกำแพงกับเจ้าเมืองเอรีม ต่างก็รอคอยการมาของกองทัพชาวป่าที่กำลังเคลื่อนทัพใกล้เมืองเอรีมเข้ามาทุกที

ลมหนาวที่พัดมาเป็นระลอกพัดไอหมอกที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบให้วูบไหวคล้ายกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลหมอกนั้นตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้นทุกที ทุกคนพากันจ้องมองเข้าไปยังทิศทางที่เคยเป็นเมืองวอลเนียราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในม่านหมอกนั้น

เมื่อแสงทองของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องทุกสรรพสิ่งแว่วเสียงเดินทัพก็เริ่มดังขึ้น ทำให้เหล่ากองทัพแห่งสายลมเริ่มตื่นตัวต่างก็กระชับอาวุธคู่กายอย่างห้าวหาญพร้อม ๆ กับเสียงเดินทัพที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งแสงแดดเผาไล่ไอหมอกและสายลมหนาวพัดผ่านช่องเขาจนม่านหมอกจางไป กองทัพของพวกชาวป่าก็ปรากฏแก่สายตาบรรดานักรบแห่งสายลม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:02 pm

เป็นเวลากว่าเดือนเศษหลังจากที่ฮารีซันได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำทัพชาวป่าในนามของกองทัพแห่งฟูดินันจนกระทั่งรวบรวมเหล่านักรบจากเผ่าต่าง ๆ ได้ถึงกว่าห้าหมื่นนายโดยยังไม่ได้รวมพวกสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ที่นำมาด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการรวบรวมนักรบได้มากทีเดียวในเวลาที่จำกัดเพียงเท่านี้ โดยเผ่าต่าง ๆ ได้ส่งยอดขุนพลของแต่ละเผ่ามาช่วยเป็นแม่ทัพในการนำกองกำลังของเผ่าของตนด้วย ด้านเผ่าใหญ่ทั้งสามเผ่า เผ่าสมิงได้ส่งคาร์นมาเป็นแม่ทัพ ในขณะที่เผ่าเซนทอร์ก็ส่งนายพลทราเฮิร์นมาร่วมรบ ส่วนเผ่าป่าทมิฬนั้นก็ส่งดามิก้ามาช่วยอีกแรง ทำให้กองทัพชาวป่าภายใต้การนำของเผ่าฟูดินันนั้นกลายเป็นกองทัพที่รวมสุดยอดฝีมือจากเผ่าต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันหมด

เมื่อฮารีซันนำกองทัพชาวป่ากว่าครึ่งแสนยืนต่อหน้ากำแพงเมืองอันสูงตระหง่านของเมืองเอรีม ถึงแม้ว่าจะยังมีร่องรอยของความเสียหายจากการโจมตีให้เห็นอยู่ แต่สำหรับพวกชาวป่าแล้ว นี่ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและสวยงามอย่างยิ่ง เพราะแทบจะไม่มีใครเคยเดินทางมาฟีเลเซียมาก่อน อย่าว่าแต่ข้ามเทือกเขามาเลย ส่วนใหญ่ก็แค่เดินทางไปมาระหว่างเผ่า เรื่องราวอาณาจักรอีกฟากของเทือกเขานั้นก็ล้วนแล้วแต่ได้ยินได้ฟังจากบรรดาพ่อค้าเร่เท่านั้น ทุกคนจึงต่างยืนจ้องสอดส่ายสายตาเข้าไปในกำแพงเมืองมองดูยอดอาคารวิหารต่าง ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ

“นี่หรือ...กองทัพที่จะมาบุกเรา?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงมองกองทัพเบื้องล่างอย่างไม่เชื่อสายพระเนตร “พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะมารบด้วยซ้ำ ดูสิ!ไม่มีใครชักอาวุธ ไม่มีใครเล็งธนู ไม่มีแม้แต่การชูดาบหรือหอก แม้แต่จิตสังหารก็ยังไม่รู้สึกถึงเลย พวกเจ้าต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ “

“นี่อาจจะเป็นกับดักที่จะหลอกพวกเราให้ชะล่าใจก็ได้ กระหม่อมคิดว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเอรีมท้วงขึ้น
เจ้าหญิงทรงมองลงไปที่กองทัพเบื้องล่างอีกครั้งพลางส่ายหน้าช้า ๆ

“ช่างเป็นกองทัพที่แปลกประหลาดจริง ๆ ทั้งมนุษย์ เซนทอร์...นั่น...สิ่งมีชีวิตที่เขาเรียกกันว่าสมิงใช่ไหม?” เจ้าหญิงเรจิน่าทอดพระเนตรสัตว์ดุร้ายหลากหลายชนิดที่กองทัพชาวป่านำมาด้วยอย่างอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ “ในป่าฟากนั้นมีสัตว์หน้าตาแปลก ๆ มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”

สักพักพระองค์ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากแถวทหาร ซึ่งดูจากอากัปกิริยาของทหารโดยรอบแล้ว เขาคงเป็นคนสำคัญทีเดียว อาจจะเป็นถึงแม่ทัพเลยก็ได้ แต่พระองค์ทรงอยู่สูงเกินกว่าจะเห็นใบหน้าเขาได้ถนัด

“ท่านคิดว่าเขาเป็นแม่ทัพของพวกชาวป่าหรือเปล่า?” เจ้าหญิงทรงอดถามไม่ได้

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเอรีมทูลตอบก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พลธนู

“รอเดี๋ยว!” เจ้าหญิงทรงห้ามไว้พลางทอดพระเนตรกิริยาท่าทางของเขาที่เดินตรงเข้ามายังประตูเมือง เขาค่อย ๆ ปลดอาวุธออกจากตัวและวางลงบนพื้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ประตูเมืองมากยิ่งขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นแม่ทัพของผู้รุกรานคนไหนที่จะมีท่าทางสุภาพนอบน้อมขนาดนี้มาก่อน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เขามาอย่างสันติ”

“เรามาอย่างสันติ!” เสียงชายหนุ่มดังก้องขึ้นผ่านความเงียบงันที่แสนตึงเครียด “ข้าคือหัวหน้าเผ่าฟูดินัน เป็นผู้นำกองทัพนี่ในนามของกองทัพแห่งฟูดินัน เรามาเพื่อมาช่วยพวกท่านรบกับกองทัพแห่งซาโลม”

เมื่อสิ้นเสียงของผู้นำทัพชาวป่า เหล่าทัพแห่งฟีเลเซียต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด บางคนก็ถึงกับหัวเราะขำอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ กองทัพประหลาดกำลังจะมาช่วยพวกเขารบกับกองทัพของจักรวรรดิซาโลมอย่างนั้นหรือ? แม้แต่เจ้าเมืองเอรีมก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจึงได้แต่ทวนคำมองพระพักตร์เจ้าหญิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายประเดประดังกันปรากฏบนสีหน้าของเขา

“ช่วยพวกเรารบกับกองทัพเถื่อนน่ะหรือ?”

“ข้าก็ได้ยินเช่นนั้นท่านเจ้าเมือง” ต่างกับเจ้าเมืองเอรีม เจ้าหญิงเรจิน่ากลับมีสีหน้าประหลาดใจเจือความยินดีเมื่อจะมีกำลังพลมาช่วยรบ

“นี่ต้องเป็นอุบายแน่ ๆ เขาดูหนุ่มเกินไปที่จะเป็นผู้นำทัพนี้” เจ้าเมืองตั้งข้อสังเกต

“จะแปลกอะไร? ซิกมันด์เองก็เป็นกษัตริย์ตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนกัน” เจ้าหญิงตรัสแย้งถึงความจริงที่เป็นไปได้ พระองค์ทรงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งทอดสายพระเนตรตากะประเมินระยะห่างของกองทัพและอากัปกิริยาของผู้นำชาวป่า

“ข้าจะลงไปพบเขา” ตรัสดังนั้นก็หมุนองค์ตรงไปที่บันไดทันที

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! นี่อาจจะเป็นกลลวงของข้าศึก” เจ้าเมืองร้องทัดทานอย่างตกใจ

“ข้าจะอยู่แค่ที่หน้าประตูเมือง เขาไร้อาวุธและกองทัพของเขาก็อยู่ไกลมากพอที่เราจะปิดประตูเมืองได้ทัน และที่สำคัญ ถ้าเราไม่คุยกับเขา เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือกลอุบายหรือความจริงใจที่พวกชาวป่าต้องการจะช่วยเราจริง ๆ ?”

“ฝ่าบาท”

“ถ้าเช่นนั้นท่านมีความคิดอื่นที่ดีกว่ายืนรอดูท่าทีเฉย ๆ อยู่บนป้อมนี้ไหมล่ะ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างอ่อนพระทัย

เมื่อเจ้าเมืองยังคงนิ่งเงียบเนื่องจากไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ทั้งตลอดมาฟีเลเซียยืนหยัดมาด้วยตนเองเสมอ ไม่เคยร่วมรบกับใครและไม่เคยมีใครมาขอร่วมรบด้วย จึงทำให้เจ้าเมืองลำบากใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเจ้าเมืองไม่มีคำตอบ เจ้าหญิงเรจิน่าจึงรับสั่งแก่เจ้าเมืองเอรีม

“ข้าจะลงไป เปิดประตูเมือง”

“ถ้าเช่นนั้น อย่างน้อยก็ให้กระหม่อมและเหล่าองครักษ์ออกไปอารักขาพระองค์”

“ท่านอยู่คุมสถานการณ์ต่าง ๆ บนนี้เถอะ คนไม่มีอาวุธแค่คนเดียวพวกทหารองครักษ์จัดการได้อยู่แล้ว และที่สำคัญ หากว่านี่เป็นกลอุบายจริง” เจ้าหญิงทรงเว้นจังหวะอึดใจหนึ่งพลางยกพระหัตถ์ขวาขึ้นช้า ๆ ในระดับอก ก่อนจะกำและคลายออกเร็ว ๆ สองสามครั้ง พระองค์ทรงกระตุกยิ้มที่มุมพระโอษฐ์อย่างเจ้าเหล่ “ข้ามั่นใจว่าข้าชักดาบได้เร็วพอ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 35 สายน้ำที่แผ่ขยายและให้ชีวิต @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 2:02 pm

ฮารีซันยืนห่างจากประตูเมืองไม่มากนัก เขายืนอยู่เป็นครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงถอดสลักประตู ทันทีที่ประตูขนาดใหญ่แง้มออก เหล่าอัศวินในชุดเกราะเต็มยศบนหลังม้าจำนวนสิบสองนายก็กรูกันออกมาล้อมกรอบตัวเขาไว้ กองทัพชาวป่าต่างพากันตกใจ แต่ก็ยั้งตัวไว้เพราะเกรงว่าฮารีซันจะเป็นอันตราย หัวหน้าเผ่าหนุ่มยังคงยืนนิ่งไม่หวั่นไหวกับแววตาเคลือบแคลงและสำรวจตรวจตราเขาอย่างไม่เป็นมิตร

จนเมื่อพวกทหารองครักษ์แน่ใจแล้วว่าฮารีซันไม่มีอาวุธจริง ๆ และไม่มีท่าทีที่น่าสงสัยใด ๆ จึงค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ท่ามกลางความโล่งใจของพวกชาวป่าเมื่อเห็นฮารีซันยังปลอดภัยอยู่ เวลานี้เหล่าอัศวินกระจายตัวออกไปตั้งแถวขนาบข้างทั้งซ้ายและขวาแทน และที่เบื้องหน้านั้นเอง เขาก็ได้เห็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เลอโฉมและสง่างามที่สุด เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้เห็นสตรีที่งามเลิศและสง่างามถึงเพียงนี้มาก่อน ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตมีเสน่ห์เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมองตรงมาที่เขาด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่วงท่าราวกับพญาหงส์แต่ก็เว้นระยะห่างระหว่างกันไว้อย่างถือตัว

ฮารีซันได้แต่ยืนตะลึงมองสตรีตรงหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่ แต่เสียงระบายลมหายใจอย่างแรงของม้าตัวหนึ่งเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา เขาโค้งให้สตรีสูงศักดิ์ผู้แสนสง่างามอย่างนอบน้อม

“ข้าชื่อ ฮารีซัน บันดารา เป็นหัวหน้าเผ่าแห่งเผ่าฟูดินันและเป็นนายทัพของกองทัพชาวป่าซึ่งได้รวบรวมมาจากเผ่าต่าง ๆ พวกเราประสงค์จะช่วยอาณาจักรฟีเลเซียต่อต้านการรุกรานจากกองทัพซาโลม”

“เราคือเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียและเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์กษัตริย์ซึ่งกำลังออกรบอยู่ที่เมืองหน้าด่าน นามของเราคือ เจ้าหญิง เรจิน่า อรีธา”

คำพูดของเจ้าหญิงทำให้ฮารีซันตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อได้ยินว่าเธอดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนองค์กษัตริย์ กิตติศัพท์ร่ำลือถึงความเก่งกล้าสามารถและห้าวหาญของสตรีชาวฟีเลเซียที่เขาเคยได้ยินมาคงไม่เกินความจริงเลย เพราะในเมื่อสตรีตรงหน้าได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการทั้ง ๆ ที่เธอดูเหมือนจะอยู่ในวัยเดียวกันกับเขาหรืออาจจะน้อยกว่านั้น กระนั้นน้ำเสียงของเธอนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น ความภาคภูมิใจในชาติและตระกูล แต่ก็ไพเราะน่าฟังอยู่ในที

แรกพบนั้นเขามั่วแต่ตกตะลึงในความงดงามและสูงสง่าของเจ้าหญิงจนลืมนึกไปว่า ผู้ที่เขาคาดว่าจะได้พบเมื่อประตูเมืองเปิดออกคือกษัตริย์ แม่ทัพ หรือใครสักคนที่มีตำแหน่งสำคัญ เพราะเหล่าอัศวินทั้งสิบสองนายที่ออกมาตรวจตราเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทำให้เขามั่นใจว่าเขากำลังจะได้พบกับคนที่สำคัญมาก ๆ แต่เขาไม่ได้คาดเลยว่าจะได้พบเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียที่แสนงดงามในชุดเกราะครึ่งท่อนพร้อมดาบเยี่ยงนักรบเช่นนี้

“ท่านพูดว่ากองทัพชาวป่าแห่งฟูดินันจะมาช่วยอาณาจักรของเรารบ” เจ้าหญิงตรัสย้ำคำพูดของเขา “ทำไม?”

“เพราะหลังจากที่ภูเขาวอลเนียกลายเป็นเต่ายักษ์บินขึ้นท้องฟ้าไป จู่ ๆ กองทัพเพลิงก็บุกเข้ามาจู่โจมเผ่าต่าง ๆ เหมือนไฟปีศาจที่เผาผลาญคราชีวิตพวกเราอย่างโหดน่ารักม”

“โอ้...นั่นเป็นจุดที่เราคาดไม่ถึงในตอนนั้น” เจ้าหญิงทรงพึมพำเบา ๆ เหลือบไปทอดพระเนตรที่ราบกว้างใหญ่เบื้องหลัง ความเป็นห่วงเมืองวอลเนียในตอนนั้นทำให้พระองค์ไม่ได้คิดถึงความจริงที่ว่าพวกชาวป่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างหากเมืองวอลเนียหายไป
“เจ้าหญิง?” ฮารีซันซึ่งได้ยินเจ้าหญิงไม่ถนัดนักจึงไม่เข้าใจปฏิกิริยาที่เจ้าหญิงแสดงออก

เจ้าหญิงทรงหันกลับมาขมวดคิ้วน้อย ๆ เหมือนเพิ่งได้สติ “ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

“ข้าหมายถึง เพราะเหตุนั้นเราจึงคิดว่าพวกเราต่างก็ถูกพวกซาโลมรุกรานเหมือนกัน ดังนั้นการต่อต้านกองทัพซาโลมจึงไม่ควรเป็นภาระของอาณาจักรฟีเลเซียเพียงอาณาจักรเดียว แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ด้วยเช่นกัน”

“พวกท่านมีน้ำใจมาก” เจ้าหญิงตรัสอย่างจริงใจ “ในเวลาเช่นนี้ ยิ่งมีกำลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ถึงอย่างไรเราก็จำเป็นต้องนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกับกษัตริย์แห่งฟีเลเซียและเหล่าแม่ทัพทุกฝ่ายเสียก่อน คงจะต้องใช้เวลาสักระยะ ระหว่างนี้ขอเชิญพวกท่านพักผ่อนตามสบาย แต่เมืองเอรีมขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างบูรณะซ่อมแซม พวกท่านคงไม่สะดวกนัก”

“เจ้าหญิงไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราจะตั้งค่ายข้างนอกกำแพงเมือง พวกเราชาวป่านอนกลางดินกินกลางทรายได้ไม่มีปัญหา”

เจ้าหญิงทรงมองหัวหน้าเผ่าชาวป่าอย่างประหลาดพระทัย “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่? เสบียงอาหาร? อุปกรณ์ยังชีพ?”

“เสบียงอาหารต่าง ๆ เราก็มีเตรียมมาพร้อมอยู่แล้ว หากขาดเหลืออะไร กองทัพเสริมของพวกที่กำลังจะตามมาสบทบในเร็ว ๆ นี้จะนำมาให้เอง” ฮารีซันกล่าวอย่างรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของเจ้าหญิง

เจ้าหญิงทรงเอียงพระพักตร์ ริมพระโอษฐ์แย้มขึ้นเล็กน้อย แต่แววเนตรเต็มไปด้วยความประหลาดพระทัย แม้เขาจะเป็นเพียงชาวป่า ไม่รู้แม้วิธีพูดคำราชาศัพท์ให้เหมาะสมกับฐานันดรของพระองค์ ใช้แต่เพียงคำพูดเรียบง่ายพื้น ๆ ธรรมดา แต่น้ำเสียง อากัปกิริยาท่าทาง สีหน้าและแววตาของเขากลับทำให้พระองค์รู้สึกถึงการยกย่องและให้เกียรติจากเขา พระองค์ไม่เคยเห็นใครที่มีลักษณะเหมือนผู้ชายคนนี้ในฟีเลเซียมาก่อน

“เอาเถิด ถ้าท่านขาดเหลืออะไรก็แจ้งให้เรารู้ได้ตลอดเวลา เมื่อเรากำหนดวันเดินทางที่จะไปพบกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้เมื่อไหร่ เราจะรีบให้คนมาแจ้งให้ท่านทราบ”

เจ้าหญิงตรัสจบก็ทรงก้มพระเศียรลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัว ซึ่งฮารีซันก็โค้งตอบมองส่งเจ้าหญิงไปพลางบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เจ้าหญิง เรจิน่า อรีธา เราเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อนรึเปล่านะ? แต่แล้วก็ต้องรีบปราบตัวเอง เหลวไหล! เราจะไปรู้จักเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียผู้สง่างามและเลอโฉมผู้นี้ได้อย่างไรกัน? เราคงจะเคยได้ยินชื่อนี้จากบรรดาพ่อค้าเร่ ก็เราเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่แต่ในป่าเท่านั้นมิใช่หรือ?...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน

cron