Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 17, 2024 1:55 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:53 pm

Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง



เมืองท่าแอนดิซองขณะนี้ล่วงเข้าเดือนปีเตอร์(Peter) อันเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวจัดที่สุดในรอบปี เจ้าหญิงอลาน่าซึ่งเวลานี้ได้มอบหมายให้ราชองครักษ์อองเดรดูแลงานราชการเกือบทุกอย่าง ทั้งการออกว่าราชการ การร่วมงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลระบบระเบียบต่าง ๆ ภายในเมืองท่า แต่ถึงแม้ว่าอองเดรจะแบ่งเบางานราชการไปเกือบหมด แต่เจ้าหญิงกลับทรงออกทำงานช่วยเหลือพวกคนยากคนจนหนักขึ้นเป็นสามเท่า ทุก ๆ วันพระองค์จะทรงออกจากปราสาทก่อนดวงอาทิตย์ฉายแสงและกลับถึงปราสาทหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พระองค์ทรงโหมงานมากขึ้นจนพระวรกายของพระองค์บางครั้งดูอ่อนล้า แต่ครั้นวันรุ่งขึ้นพระองค์ก็ทรงกลับกระปรี้กระเปร่า สดใส และ เปี่ยมด้วยความสุขอีกครั้ง

ด้วยเพราะความทุ่มเทช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่หยุดหย่อนของพระองค์ ทำให้ความนิยมชมชอบในตัวเจ้าหญิงอลาน่าในหมู่ประชาชนพุ่งขึ้นสูงจนเรียกได้ว่าไม่เคยมีราชวงศ์องค์ใดในประวัติศาสตร์แอนดิซองจะได้รับเทียบเทียมเท่าพระองค์ กระนั้นความเกลียดชังพระองค์ในกลุ่มผู้เสียประโยชน์ก็พุ่งขึ้นจนน่าตกใจเช่นกัน


บ่ายวันหนึ่งขณะที่เจ้าหญิงอลาน่าในชุดนักบวชพร้อมกับซิสเตอร์โรซาน่าและคณะกำลังแจกผ้าห่มและเสื้อกันหนาวให้กับผู้ยากไร้ในเต็นท์บริจาคห่างจากท่าเรือพอสมควร ทั้งนี้ก็เพื่อหลบลมหนาวที่พัดมาจากทะเลในช่วงเวลานี้นั่นเอง พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้ยากไร้ที่อพยพมาจากดินแดนอื่นซึ่งบัดนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าเป็นห่วง หลายคนมีบาดแผลตามร่างกายมากมาย บางคนถึงขั้นพิการแขนขาขาดก็มี แต่จะว่าบาดเจ็บจากสงครามก็ไม่น่าใช่เพราะบาดแผลดูสดใหม่เกินไปเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน อีกทั้งจำนวนผู้บาดเจ็บที่มาให้เหล่าคณะซิสเตอร์รักษาก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน และก็ล้วนแต่เป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามทั้งสิ้น ครั้นเมื่อถามถึงสาเหตุจากคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครยอมตอบ คล้ายกับว่าพวกเขากลัวอะไรบางอย่าง บ้างก็มีท่าทีหวาดระแวงเหมือนไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าคนแปลกหน้านี้จะเป็นเหล่าซิสเตอร์ที่กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่ก็ตามที แม้แต่บรรดาคนจรจัดชาวแอนดิซองเองซึ่งดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างก็เอาแต่เงียบงำก้มหน้าไม่ยอมสบตาเวลาที่พระองค์ตรัสถาม
เจ้าหญิงทรงแจกผ้าห่มไปก็คิดหาสาเหตุแห่งความหวาดระแวงและปฏิกิริยาแปลก ๆ นี้ไปด้วยและตั้งใจว่าวันนี้พระองค์จะต้องรู้ให้ได้ว่าทุกคนกำลังปิดบังอะไรกันอยู่ เจ้าหญิงทรงคิดได้ดังนั้นก็พลันได้ยินเสียงเอะอะดังไล่มาจากทางท่าเรือ

“ซิสเตอร์คะ ซิสเตอร์! ช่วยด้วยคะ!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างร้อนรน ทำให้แถวของผู้ที่มารับบริจาคแหวกออกเป็นวงกว้างอย่างชุลมุนเพื่อหลีกทางให้ผู้ที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถวที่แหวกออกเป็นวงกว้างกีดขวางพวกทหารยามที่อยู่บริเวณนั้นจนไม่สามารถแทรกเข้ามาได้ กระนั้นแถวคนที่มารับบริจาคที่เบียดเสียดกันอยู่ทางด้านหน้าก็ทำให้การเข้าไปถึงภายในเต็นท์ยากลำบากเหลือเกิน

เจ้าหญิงทรงยืดองค์เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อมองหาตัวเจ้าของเสียงและก็ได้เห็นหญิงชาวฟีเลเซียคนหนึ่งซึ่งลี้ภัยมากับเรืออพยพลำแรก ๆ กำลังพยายามเบียดคนเข้ามา พระองค์ทรงจำนางได้เพราะนางมาช่วยพวกซิสเตอร์แจกอาหารในบางครั้ง นางนำชายร่างใหญ่ผิวเข้มที่ตัวเปียกโชกและเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลายที่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด ดวงตาบวมเป่งจนหนังตาปิดไปข้างหนึ่ง เขาใส่เสื้อผ้าแบบชาวฟูดินันซึ่งทั้งบางและไม่มีแขนเสื้อไว้ป้องกันความหนาว หน้าตาของเขาซีดเผือด ดวงตาตื่นตระหนกเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวชนิดจับจิตเลยทีเดียว เขาอุ้มห่อผ้าสีมอมซอขนาดไม่ใหญ่นักมาด้วย เจ้าหญิงอลาน่าและบรรดาซิสเตอร์จึงรีบเตรียมที่ทางเพื่อที่จะรักษาชาวฟูดินันคนนั้น แต่สิ่งที่พระองค์ได้ยินนั้นกลับทำให้พระองค์ใจหายวาบจนมือไม้เย็นเฉียบไปหมด

“เด็กไม่หายใจแล้วค่ะซิสเตอร์!” หญิงนางนั้นตะโกนขึ้นพร้อม ๆ กับที่ชายร่างใหญ่เบียดดันกลุ่มคนที่อยู่หน้าโต๊ะบริจาคอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจว่าใครจะหกล้มหน้าคว่ำลงไปบ้าง

“โอ พระเจ้า” เจ้าหญิงทรงรีบรับห่อผ้านั้นมาอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงชาวฟูดินันวัยสี่ขวบเนื้อตัวเย็นจัดและเปียกปอน ใบหน้าซีดขาวแทบไม่มีสีเลือด ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำแล้ว ซิสเตอร์โรซาน่ารีบจับชีพจรที่คอของเด็กน้อย

“ยังทัน เร็วเข้า! เอาผ้าห่มกับเตาผิงมา” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบตะโกนบอกซิสเตอร์คนอื่น ๆ ทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:54 pm

หลังจากที่เหล่าซิสเตอร์ช่วยกันพยาบาลเด็กหญิงอยู่เป็นครู่ใหญ่ เด็กน้อยก็เริ่มหายใจเป็นปกติและใบหน้ามีสีเลือดขึ้นอีกครั้ง เมื่ออาการของเด็กหญิงอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้วเจ้าหญิงอลาน่าจึงทรงอุ้มเด็กน้อยมาส่งคืนให้กับพ่อของแก ซึ่งเขายังยืนกรานจะไม่ไปไหนและจะไม่ยอมให้พวกซิสเตอร์ทำแผลให้จนกว่าเขาจะแน่ใจว่าลูกสาวของเขาปลอดภัยดีแล้ว ทันทีที่เขาเห็นซิสเตอร์อุ้มบุตรสาวเข้ามา เขาก็รีบอุ้มไปกอดแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า ปากก็พร่ำคำขอบคุณไม่หยุดปาก จนเมื่อเขาสงบใจลงได้แล้วซิสเตอร์โรซาน่าจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“ทีนี้ส่งเด็กน้อยมาให้พวกเราก่อนนะ พวกซิสเตอร์จะได้ทำแผลให้คุณได้”

เจ้าหญิงทรงยิ้มและยืนมือออกไปรับเด็กน้อย ซึ่งเขาก็ยอมส่งบุตรสาวให้แต่โดยดีแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก บรรดาซิสเตอร์รีบเข้ามาทำแผลให้เขาทันที โดยที่ซิสเตอร์โรซาน่าวางมือรักษาอาการบวมเป่งที่ดวงตาของเขา

“ขอโทษนะจ๊ะ ฉันขอถามอะไรเธอสักอย่างได้ไหมจ๊ะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามขึ้นหลังจากที่ทรงรีรออยู่นาน

“กี่อย่างก็ได้ขอรับ พวกท่านช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้ ซ้ำยังช่วยรักษาข้าอีก ข้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพวกท่านอย่างไรดี ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่มีน้ำใจเช่นนี้อยู่ในเมือง” เขายิ้มกว้างตอบด้วยสำเนียงแปร่งหู

“ฉันอยากรู้เรื่องเดียวเท่านั้นจ้ะ” เจ้าหญิงทรงรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของเขาแต่ก็ยังทรงยิ้มตอบ “ฉันแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอทั้งสอง? ใครทำร้ายเธอจนบาดเจ็บขนาดนี้?”

คำถามง่าย ๆ ของเจ้าหญิงดูจะเป็นคำถามประหลาดและน่าฉงนสำหรับเขา เพราะเขาขมวดคิ้วเข้าหากันทันที สายตาที่ผ่อนคลายเมื่อครู่หายวับไปกลายเป็นสายตาที่ดูหวาดระแวงและแคลงใจในพริบตา เจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่าจับสังเกตปฏิกิริยาเฉียบพลันนี้ได้ทันที จึงต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมถึงมองพวกเราอย่างนั้นล่ะ? พวกเราพูดอะไรผิดหรือ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปราณี
ชายคนนั้นมองใบหน้าของสตรีทั้งสองก่อนจะหันไปมองหาหญิงที่พาตนมาที่นี่ แต่นางก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว เขาหันกลับมามองสตรีทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง

“พวกท่านไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั้น?” เขาโบกมือไปทางท่าเรือ “พวกผู้อพยพตายอยู่ในทะเลน้ำแข็งนั้นเป็นร้อยเป็นพันคน ชาวแอนดิซองอย่างพวกท่านจะไม่รู้เรื่องอะไรเชียวหรือ?” เขาเชื่ออย่างเหลือเกินว่าชาวแอนดิซองทุกคนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผู้อพยพที่ไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างพวกเขา

“ไม่จ้ะ พวกเราตั้งเต็นท์ห่างจากท่าเรือเพื่อหลบลมหนาวจากทะเลมาเกือบเดือนแล้ว ฉันไม่คิดว่าฉันจะรู้เรื่องนี้แน่ ๆ ” เจ้าหญิงอลาน่าพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษ พระทัยเต้นแรงจนสั่นรั่วราวกับกลองรบ กลัวเหลือเกินกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน “ได้โปรดบอกฉันเถอะจ้ะว่าเกิดอะไรขึ้น”

“พวกท่านต้องเป็นคนกลุ่มเดียวในเมืองนี้แน่ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องโหดน่ารักมนั่น” เขามองเจ้าหญิงที่อยู่ในชุดนักบวชด้วยความฉงนเป็นที่สุด แต่เขารู้ว่าสีหน้าและแววตาเช่นนี้ไม่ได้โกหกเขา “ถ้าข้าเล่า...พวกท่านจะไม่ส่งข้ากับลูกให้พวกทหารใช่ไหม?”

“ไม่จ้ะ” เจ้าหญิงตรัสอย่างตกพระทัยและยิ่งสับสนมากขึ้น พวกทหารมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย “ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วยละจ๊ะ?”

เขายักไหล่ทีหนึ่งและถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าอย่างคับแค้นใจ “นอกท่าเรือนั่น...พวกทหารตั้งด่านสกัดเรือทุกลำที่มีผู้อพยพโดยสารมาด้วย เรือสินค้าบางลำที่จำเป็นต้องเทียบท่าก็ต้องเอาพวกผู้อพยพลงเรือเล็กแล้วปล่อยลอยลำอย่างไร้จุดหมายอยู่นอกอ่าว แต่เรือเล็กมีไม่พอพวกคนแก่ ผู้หญิงและเด็ก ๆ เท่านั้นที่จะได้นั่งเรือส่วนพวกที่เหลือก็ต้องลอยคออยู่กลางทะเล บางลำไม่มีเรือเล็ก...เขาก็จำเป็นต้องจับพวกผู้อพยพโยนลงทะเลทั้งอย่างนั้น เรือบางลำที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเทียบท่าก็จำเป็นต้องหันใบเรือกลับ แต่พวกเราทุกคนไม่มีใครต้องการกลับไปเสี่ยงชีวิตที่บ้านเกิดอีก กลับไปก็มีแต่ตายกับตาย ครอบครัวของข้าเองก็ถูกสังหารจนหมดเหลือแต่ลูกสาวคนนี้เท่านั้น...” เขาหยุดมองบุตรสาวที่เวลานี้นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เขายื่นมือออกไปรับบุตรสาวคืนจากเจ้าหญิงอลาน่าพลางกอดไว้แนบอก “ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจกระโดดลงทะเลเพื่อว่ายน้ำเข้าฝั่งกันเอง ถึงแม้ว่าจะหนาวแทบตายแต่พวกเราก็คิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง อย่างน้อยอาณาจักรนี้ก็ยังปลอดภัยจากสงคราม แต่พวกท่านก็คงนึกออกใช่ไหมว่าพวกเขาทำอย่างไรกับผู้ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ?...”

เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองสตรีทั้งสองคล้ายจะให้บาดแผลบนใบหน้าและตามร่างกายของเขาบอกคำพูดที่เหลือ

“โอ พระเจ้าทรงโปรด...” เจ้าหญิงตรัสได้แค่นั้นก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระโอษฐ์ หยาดน้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากดวงเนตรคู่งาม “ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้...ซิสเตอร์คะฉันต้องไปเดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงตรัสย้ำกับซิสเตอร์โรซาน่าอย่างตื่นตระหนกก่อนจะพลุนพลันวิ่งออกจากเต็นท์บริจาคทันที

“รอเดี๋ยวก่อนเพคะ!” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบฉวยไหล่อันบอบบางของเจ้าหญิงเพื่อรั้งพระองค์ไว้

“เรารอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ” เจ้าหญิงทรงหันกลับมาทอดพระเนตรด้วยพระเนตรที่แดงก่ำและยังคงแวววับด้วยน้ำตา พระพักตร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อซิสเตอร์พยายามห้ามพระองค์ แต่เมื่อทรงเห็นความหวั่นวิตกไม่แพ้กันบนใบหน้าของซิสเตอร์สูงวัยเจ้าหญิงอลาน่าจึงทราบว่าซิสเตอร์โรซาน่ามีเหตุผลที่ดีที่รั้งพระองค์ไว้

“ลำพังแค่พวกเราไม่อาจทำอะไรได้หรอกเพคะ จะต้องมีคนบาดเจ็บมากมายอยู่ที่นั่นแน่ ๆ ” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงเข้าพระทัยในทันทีก่อนจะหันไปทางกลุ่มซิสเตอร์ที่กำลังแจกจ่ายเสื้อกันหนาวให้คนยากจน ซิสเตอร์โรซาน่าออกคำสั่งเสียงดัง “ซิสเตอร์ทุกคนรีบเก็บของเร็วเข้า ช่วยกันขนเครื่องกันหนาวและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาให้มากที่สุดเราต้องย้ายที่กันแล้ว”

“เรากำลังจะไปไหนกันคะ? คุณแม่โรซาน่า” ซิสเตอร์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ถามขึ้น

“เรากำลังจะไป...” ซิสเตอร์โรซาน่าตอบ

“ท่าเรือ!” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นก่อนที่จะเสด็จออกจากเต็นท์มุ่งหน้าสู่ท่าเรือทันที

“พวกผมช่วยขอรับซิสเตอร์” บรรดาผู้ยากไร้ที่ได้ยินดังนั้นต่างก็รีบขันอาสาเฮโลกันช่วยขนข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ออกติดตามคณะซิสเตอร์ไปในทันใดนั้นเอง บ้างก็เพราะทนเห็นเพื่อนร่วมชาติถูกทำร้ายไม่ได้ บ้างก็เพราะความสงสารเพื่อนร่วมชะตากรรม หรือบ้างก็เพราะความอยากรู้ว่าคณะซิสเตอร์จะหยุดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร? บรรดาคนที่เห็นกลุ่มซิสเตอร์นำขบวนคนจรจัดมุ่งหน้าสู่ท่าเรือต่างก็ออกมายืนดูขบวนจนถนนเริ่มแออัดไปตลอดทั้งสาย เมื่อบางคนได้ทราบว่ากลุ่มซิสเตอร์กำลังจะไปหยุดเหตุการณ์รุนแรงที่ท่าเรือก็ทยอยออกมาสมบทเพื่อติดตามไปดูจนขบวนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:55 pm

“พระเจ้าข้า โปรดประทานพละกำลังให้กับลูกด้วย ขออย่าให้สายเกินไปเลย” เจ้าหญิงทรงพึมพำพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งหอบหายใจแข่งกับความหนาวเย็นไปตลอดทาง ปอดของพระองค์เจ็บจนเหมือนจะฉีกขาดเพราะไอเย็นจัดที่ถูกสูดเข้าไปหลายครั้ง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงคิดที่จะหยุดพักแม้สักวินาที

ยิ่งเข้าใกล้บริเวณท่าเรือมากขึ้นเท่าไหร่เสียงตะโกนโหวกเหวกเอ็ดตะโรและเสียงหวีดร้องก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น เจ้าหญิงอลาน่า บรรดาซิสเตอร์ และขบวนผู้ติดตามต่างก็รีบเร่งฝีเท้ากันเร็วขึ้น ทันทีที่ไปถึงท่าเรือด้วยความเหนื่อยหอบเจ้าหญิงก็ทรงแทบเข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่เพราะตกตะลึงกับความป่าเถื่อนอันน่าสยดสยองเบื้องหน้า

ไกลออกไปจากท่าเรือหลายร้อยเมตรเรือรบแอนดิซองหลายร้อยลำจอดทอดสมอเรือเรียงกันเป็นแถวยาวปิดกันหน้าอ่าวตลอดแนวทั้งหมด เรือพาณิชย์น้อยใหญ่ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยลำจอดออกันอยู่ด้านนอกจนแน่นขนัดไปหมด เรือบดลำเล็ก ๆ มากมายที่อัดแน่นไปด้วยผู้อพยพทั้งเด็กและผู้หญิงลอยกระจัดกระจายอยู่เต็มอ่าว เรือบางลำก็โคลงเคลงจนเหมือนจะพลิกคว่ำอยู่ตลอดเวลาเพราะพวกที่ลอยคออยู่กลางทะเลหลายคนพยายามปีนป่ายหนีน้ำทะเลที่เย็นยะเยือกขึ้นไปบนเรือ พวกที่อ่อนแรงไม่สามารถทนความหนาวได้ก็ค่อย ๆ จมหายไปทีละคนสองคน ร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ที่จมน้ำตายมาหลายวันจนอืดบวมทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว แม้กระทั่งทารกก็มีให้เห็นลอยกระจายอยู่ทั่วอ่าว

แต่คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าทหารแอนดิซองหลายร้อยหลายพันนายที่ยืนเรียงแถวตลอดแนวความยาวของท่าเรือ ต่างใช้ทั้งไม้พลองและหอกปลายแหลมฟาดตีและจ้วงแทงใส่บรรดาผู้อพยพหลายพันคนที่กำลังตะเกียกตะกายปีนขอบท่าเรือเพื่อหนีความหนาวยะเยือกของน้ำทะเลที่เย็นจัดจนใกล้จะจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างไร้ความปราณี เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงร้องวิงวอนขอความเมตตาดังสลับกับเสียงตะคอกด่าทอและขับไล่ไสส่งจนประสมปนเปกันแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำทะเลบริเวณโดยรอบท่าเรือกลายเป็นสีแดงเพราะเลือดของผู้อพยพที่ถูกทำร้าย หลายคนเห็นแค่เพียงแผ่นหลังที่ลอยโผล่พ้นน้ำเท่านั้น ซึ่งถ้ามิใช่เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็คงเพราะขาดใจตายด้วยความหนาว ใครที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็ถูกกลุ่มทหารที่ยืนคอยท่าอยู่ด้านหลังจับโยนลงทะเลไปอีกโดยไม่สนใจว่าเขาจะหล่นลงไปทับใครข้างล่างนั่น ส่วนใครที่โชคดีรอดจากการถูกจับได้ก็รีบวิ่งโซซัดโซเซหายเข้าไปตามซอกตึกต่าง ๆ แต่กระนั้นตามเนื้อตัวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเต็มไปหมด

เจ้าหญิงอลาน่าทรงพยายามมองหาแม่ทัพหรือใครก็ตามที่มีอำนาจพอที่จะสั่งให้ยุติการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ได้ แต่ท่ามกลางความสับสนอลหม่านเช่นนี้ การจะมองหาใครสักคนนั่นยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร พระองค์จึงทรงได้แต่ร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เจ้าหญิงทรงตะโกนจนสุดเสียง แต่อนิจจา...เสียงของพระองค์มิอาจสู้กับเสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่โดยรอบท่าเรือทำให้ไม่มีใครเลยที่ได้ยินเสียงของพระองค์

“เราคือเจ้าหญิงอลาน่า ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอสั่งให้พวกเจ้าหยุดการกระทำโหดร้ายนี้เดี๋ยวนี้” พระองค์ทรงพยายามตะเบ็งให้ดังยิ่งขึ้นน้ำเนตรแห่งความเจ็บปวดเอ่อคลอดวงเนตรคู่งามอีกครั้ง แต่จู่ ๆ ลมทะเลอันหนาวยะเยือกก็พัดจัดหอบเอาเสียงร้องของพระองค์ลอยหายไปทางเบื้องหลัง เหมือนลมหนาวนี้ได้หอบเอาความหวังอันริบหรี่ของพระองค์ไปด้วย ความหวังที่ว่าอาจมีทหารสักคนที่ได้ยินเสียงของพระองค์... เจ้าหญิงทรงซวนเซเล็กน้อยเมื่อทรงคิดถึงความไร้กำลังของตนเองจนซิสเตอร์โรซาน่ารีบเข้ามาประคองไว้

“พระเจ้าข้าพระองค์สดับฟังคำวิงวอนของลูกเสมอมา เวลานี้พระองค์อยู่ที่ไหน? ลูกกำลังร้องหาพระองค์…” เจ้าหญิงทรงครวญเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบด้วยความโศกเศร้าที่กำลังถาโถมเข้ามา แต่แล้วพระองค์ก็ทรงได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของพระองค์ด้วยเสียงเบาแผ่ว ๆ เหมือนเสียงของเด็กแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด เมื่อพระองค์ทรงพยายามตั้งพระทัยฟังให้ถนัดยิ่งขึ้น เสียงเด็กคนนั้นเงียบหายไปแล้วแต่กลับมีเสียงเรียกพระนามของพระองค์หลายเสียงดังประสานกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหญิงทรงค่อย ๆ หันพระพักตร์ไปทางเสียงเหล่านั้น และในวินาทีนั้นเองรอยยิ้มแห่งความหวังก็ปรากฏบนพระพักตร์อันอ่อนหวานและงดงามของเจ้าหญิง พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเสียงของพระองค์แล้ว


บรรดาคนยากจนที่ติดตามคณะซิสเตอร์มาด้วยนั้นต่างยืนจ้องมองสตรีร่างบางที่อยู่เบื้องหน้าของพวกตนด้วยอาการตะลึงงัน พยายามทบทวนสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่แล้วเสียงเอ่ยพระนามของเจ้าหญิงก็เริ่มดังกระซิบกระซาบในหมู่ขบวนผู้ติดตามจนดังกระหึ่มไปทั่ว ต่างเริ่มปรบมือและเป่าปากส่งเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีจนค่อย ๆ ดังขึ้นกลายเป็นเสียงร้องตะโกนด้วยความปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจในน้ำพระทัยของเจ้าหญิง ทุกคนต่างช่วยกันร้องตะโกนเพื่อหยุดการกระทำของเหล่าทหารอย่างไม่กลัวเกรง จนบรรดาทหารต้องหยุดชะงักหันกลับมามองดูกลุ่มผู้ร้องตะโกนเบื้องหลังตนด้วยความตกใจ
จังหวะนั้นเอง กลุ่มผู้อพยพก็ฉวยโอกาสนี้ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งดันแถวทหารจนถอยร่นออกมาจากสะพานเรือและริมขอบท่าเรือได้สำเร็จ และเริ่มไหลทะลักกินพื้นที่ท่าเรือเข้ามาเรื่อย ๆ จนเกิดการปะทะกันอย่างชุลมุนที่ท่าเรือนั้นนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของนายทหารวัยกลางคนรูปร่างท้วมใหญ่ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งแทรกเข้ามาไม่ไกลจากกลุ่มคณะของซิสเตอร์นัก ซึ่งถ้าดูจากตรายศที่ค่อนข้างหมองแล้วก็สามารถรู้ได้ว่ายศของเขาสูงกว่าพวกพลทหารที่อยู่ริมท่าเรือไม่มากนัก “โอ...ซวยกันหมดแล้ว รีบขอกำลังเสริมเร็วเข้า อย่าให้พวกมันเข้ามาในเขตท่าเรือชั้นใน...”

“ช้าก่อน!” เจ้าหญิงตรัสขัดจังหวะเสียงดัง ทำให้นายทหารหันขวับมาทันทีด้วยความขุ่นเคือง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:56 pm

“พวกซิสเตอร์มาทำอะไรกันที่นี่?” เขาตะวาดเสียงดังอย่างหัวเสีย มีกลิ่นเหล้ารัมโชยออกมาจากลมหายใจของเขาบอกให้รู้ว่าเขาคงแอบหลบไปดื่มเหล้าที่บาร์ใกล้ ๆ ท่าเรือนี้ เขากวาดตาเร็ว ๆ มองขบวนผู้ยากไร้เบื้องหลัง “นี่คิดจะมาก่อการประท้วงรึไง? พวกเจ้าใช่ไหมที่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้? ดีละข้าจะจับพวกเจ้าขังลืมในคุกใต้ดิน” พูดจบก็สาวเท้าอย่างเร็วตรงรี่เข้ามาหาเจ้าหญิงอลาน่าทันที

“นี่เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใครกัน?” ซิสเตอร์โรซาน่ารีบก้าวเข้ามายืนขวางหน้าเจ้าหญิง กล่าวตำหนิเสียงเข้มแม้จะไม่มีกิริยาที่รุนแรงก้าวร้าวแต่ก็เปี่ยมด้วยพลังของผู้ทรงภูมิและศักดิ์สิทธิ์จนทำให้นายทหารผงะไปชั่ววูบหนึ่ง แต่เพราะเหล้ารัมที่ทำให้ความชั่งใจของเขาลดลง ผนวกกับความรู้สึกอับอายที่เริ่มมีเสียงตะโกนต่อว่าเขาจากกลุ่มผู้ประท้วงทางเบื้องหลัง ใบหน้าที่แดงนิด ๆ เพราะฤทธิ์เหล้าค่อย ๆ สีจัดขึ้นทันตาเห็น

“จะเป็นใครข้าก็ไม่สนทั้งนั้น!” เขาตะคอกเสียงดังก่อนที่จะผลักไหล่ซิสเตอร์โรซาน่าเต็มแรงจนเซถลาล้มลง เจ้าหญิงอลาน่าทรงรีบเข้าไปรับตัวซิสเตอร์ไว้แต่เพราะแรงกระแทกทำให้พระองค์ล้มหงายลงไปด้วยเช่นกัน บรรดาซิสเตอร์ที่อยู่ข้างหลังต่างก็หวีดร้องโผเข้าไปรับร่างสตรีทั้งสองด้วยความตกใจจนล้มทับกันอยู่บนพื้น

“ซิสเตอร์เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เจ้าหญิงทรงถามอย่างร้อนรนโดยที่ไม่ได้คิดถึงพระองค์เองเลยสักนิด

“ไม่เพคะ ขอบพระทัยเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าจับไหล่ของตนและรู้ว่าคงแค่ช้ำนิดหน่อยเท่านั้น “พระองค์บาดเจ็บรึเปล่าเพคะ?”

ซิสเตอร์ถามได้เพียงเท่านั้น แต่แล้วในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเองทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนดูแทบไม่ทัน เมื่อมีเสียงกระพือของผ้าผืนใหญ่ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเหมือนไม้นวมฟาดใส่หมอนใบใหญ่ มีแสงสีขาวแวบผ่านสายตาไปก่อนที่ร่างของนายทหารคนนั้นจะลอยถลาไปกระแทกใส่เหล่าทหารและผู้อพยพที่กำลังชุลมุนกันอยู่จนต่างก็ล้มคว่ำลงไปกองกับพื้น เสียงหวีดร้องแตกตื่นด้วยความตกใจของทุกคนดังจนฟังไม่ได้ศัพท์พร้อม ๆ กับเงาใหญ่ทะมึนและแสงสะท้อนของผลึกทาบอยู่เหนือร่างนายทหารคนนั้น

“หยุดนะอองเดร!” เสียงอันตื่นตระหนกของเจ้าหญิงดังขึ้นในชั่วอึดใจนั้นเอง

ราชองครักษ์หนุ่มยืนตระหง่านค้ำร่างไร้สติของนายทหารร่างท้วมคนนั้น เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนอกพร้อมกับดาบผลึกน้ำแข็งอันคมกริบจ่อจรดลำคอของเขาอย่างน่ากลัว แต่เพียงแค่สัมผัสปลายดาบเบา ๆ ก็มีรอยเลือดจาง ๆ ซึมออกมารอบ ๆ ปลายดาบและแข็งตัวเป็นน้ำแข็งแทบจะในทันทีที่ซึมสัมผัสกับปลายดาบ ซึ่งหากอองเดรออกแรงกดอีกเพียงนิดเดียวคอของเขาก็คงขาดวิ่นพร้อมกับบาดแผลและเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในบัดดลนั่น

นายทหารผู้โชคดีในความโชคร้าย เพราะแรงเตะของราชองครักษ์ส่งให้เขาหมดสติในชั่ววินาทีนั้นโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ร้องแสดงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ทำให้เขาไม่เห็นสายตาคลั่งแค้นคมกร้าวดุดันและจิตสังหารที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของราชองครักษ์ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทำให้นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเข้มจัดขึ้นเหมือนสีของท้องทะเลอันเชี่ยวกราด กระทั่งบรรดาผู้อพยพและเหล่าทหารยังตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวาจนไม่มีใครแม้สักคนจะกล้าขยับตัว บรรยากาศโดยรอบท่าเรือที่หนาวเย็นอยู่แล้วยิ่งให้ความรู้สึกว่าอุณหภูมิลดลงต่ำเกินกว่าคำว่าเยือกแข็ง เพียงแค่ดวงตาคู่เดียวยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ แล้วใบหน้าภายใต้หมวกเกราะจะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน ต่างก็คิดอย่างหวาดหวั่นว่าหากพวกตนถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็คงจะขาดใจตายด้วยความหวาดกลัวไปเดี๋ยวนั้นเอง

ถึงแม้ว่าอองเดรจะยอมยั้งมือตามคำทัดทานของเจ้าหญิง กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวไปไหน อีกทั้งดาบผลึกก็ยังคงจรดจ่ออยู่ที่คอของนายทหารคนนั้นอย่างน่าหวาดเสียวเพราะแม้จะยังไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ แต่ดูเหมือนว่าในความคิดของราชองครักษ์ ดาบของเขาได้จมมิดเข้าไปจนคอขาดสะบั้นแล้ว ทุกคนยังคงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในตัวของราชองครักษ์ผู้เย็นชาราวกับน้ำแข็งผู้นี้ และดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะกดดาบให้จมลึกลงไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่งได้ตลอดเวลา

“เก็บดาบของเธอเดี๋ยวนี้ อองเดร” เจ้าหญิงตรัสอย่างร้อนรนอีกครั้ง

“หน้าที่ของมันคือปกป้ององค์กษัตริย์และราชวงศ์ด้วยชีวิต ดังนั้นโทษที่มันบังอาจทำร้ายเจ้าเหนือหัวของมันคือความตายเท่านั้น” อองเดรตอบเสียงเฉียบเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว

“อองเดรจ๊ะ” เจ้าหญิงทรงตรัสด้วยเสียงอ่อนโยนลง พระพักตร์เต็มไปด้วยความวิตกกังวลเนื่องจากเกรงว่าอองเดรจะชิงกดดาบลงไปเสียก่อน “เธอจะลงโทษเขาได้อย่างไร?ในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร และดูสิ...ฉันก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย เก็บดาบของเธอเสียเถอะจ้ะอองเดร ตอนนี้ฉันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการลงโทษเขาหลายร้อยเท่าที่อยากจะขอร้องเธอให้ทำ อองเดร เพื่อเห็นแก่พระเจ้า...หรืออย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่ฉัน”

อองเดรนิ่งไปหลายอึดใจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะยาวนานมากเลยทีเดียวสำหรับผู้คนที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่รวมถึงเจ้าหญิงและเหล่าซิสเตอร์ด้วยเช่นกัน ในที่สุดอองเดรก็ตวัดดาบเก็บอย่างรวดเร็วด้วยความไม่เต็มใจ ทำให้หลาย ๆ คนต้องสะดุ้งด้วยความตกใจและต่างก็ถอนหายใจกันเฮือกใหญ่

ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์ก้าวเข้ามาย่อเข่าลงต่อหน้าเจ้าหญิงอย่างรวดเร็ว “โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยที่มาอารักขาพระองค์ไม่ทัน”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 34 การสังหารโหด ณ ทะเลน้ำแข็ง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:57 pm

“ฉันอภัยให้เธอเหมือนที่ฉันอภัยให้นายทหารคนนั้นจ้ะอองเดร ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” อองเดรยืดตัวขึ้นก่อนจะทูลถาม “ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมทำสิ่งใดที่สำคัญกว่าการลงโทษเจ้าเศษ...นายทหารนั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เธอคิดว่าฉันและทุกคนมาที่นี่เพราะอะไรหรืออองเดร?” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย อองเดรเหลือบตาไปมองทะเลแวบหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่พระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงอีกครั้งโดยที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่

“ฉันต้องการให้เธอหยุดการกระทำอันโหดน่ารักมทารุณนี่เดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “พวกเขาเดือดร้อนและทุกข์ทรมานจากสงครามมามากพอแล้ว พวกเขาหวังจะมาพึ่งเรา แต่ทำไมเราถึงกลับซ้ำเติมพวกเขาอย่างไร้หัวใจเช่นนี้”

ทว่าอองเดรกลับยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เจ้าหญิงจึงทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของราชองครักษ์ด้วยดวงเนตรคาดคั้นและเจ็บปวดเมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยของเขา

“ถอนทหารเดี๋ยวนี้ อองเดร” เจ้าหญิงออกคำสั่ง

“กระหม่อมทำไม่ได้” อองเดรตอบเสียงเรียบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาหยาดหนึ่งไหลออกมาจากดวงเนตรคู่งามของเจ้าหญิงที่เขาแสนเทิดทูน ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจรีบคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาท...โปรดอย่ากรรแสงเช่นนี้ สิ่งเดียวที่กระหม่อมไม่ปรารถนาจะเห็นคือน้ำพระเนตรของพระองค์”

“ถ้าเช่นนั้นก็ถอนทหารของเธอเสียสิ อองเดร” เจ้าหญิงทรงยืนกรานเสียงสั่นเครือ

“กระหม่อมทำไม่ได้” อองเดรยังคงตอบเช่นเดิม แม้น้ำเสียงจะอ่อนลง

“ทำไม?” เจ้าหญิงทรงคาดคั้น

“เพราะมันเป็นความเห็นชอบจากทั้งสามสภาที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่ผู้อพยพอีก”

“แม้แต่สภาศาสนาหรือ?” เจ้าหญิงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นทาบอก ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ทรงได้ยิน “ฉันจะทำหนังสือถึงท่านมาร์สิลิโอ้”

อองเดรส่ายหน้าช้า ๆ “ท่านคาร์ดินัลเป็นผู้ลงนามอนุมัติด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่ท่านเดินทางมาถึงเมืองท่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน สภาพ่อค้าก็ผลักดันเรื่องปัญหาผู้อพยพในการประชุมสามสภา และทุกฝ่ายต่างก็เห็นชอบที่จะจำกัดจำนวนผู้อพยพไม่ให้มีมากไปกว่านี้”

เจ้าหญิงทรงสูดหายใจเข้าอย่างแรงและปิดเปลือกตาลงเพื่อเรียกกำลังใจจากทุกส่วนในร่างกาย สมองคิดหาทางแก้สถานการณ์อย่างว้าวุ่น

“ฉันจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสภาอีกครั้ง” เจ้าหญิงทรงลืมเนตรขึ้นด้วยแววเนตรที่มุ่งมั่น “ระหว่างนี้ฉันอยากให้เธอหยุด...สิ่งนี้ไว้ก่อน”

“ฝ่าบาท กระหม่อม...” อองเดรพยายามทัดทาน

“ฉันรู้ว่าเธอทำได้จ้ะ ได้โปรดเถอะจ้ะ อองเดร อย่างน้อยแค่ให้พวกเขาได้ขึ้นมาบนฝั่ง เธอจำกัดพื้นที่พวกเขาให้อยู่แต่บริเวณท่าเรือก็ได้ อย่าทรมานพวกเขาให้ลอยคออยู่กลางทะเลเช่นนี้ ให้คนบาดเจ็บได้รับการรักษา และ ให้ทุกคนได้มีอาหารตกถึงท้องบ้างเท่านั้น”

“ฝ่าบาท” ราชองครักษ์พยายามอีกครั้ง

“และถ้าทั้งสามสภายังยืนยันเช่นเดิม เราค่อยส่งพวกเขาขึ้นเรือกลับ หรืออาจไปส่งพวกเขาที่ดินแดนใกล้เคียงอื่น ๆ ก็ได้นี่จ๊ะ” เจ้าหญิงทรงเสนอทางเลือกที่ราชองครักษ์น่าจะยอมรับได้อย่างนักการทูตที่ดี โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้คัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น
อองเดรนิ่งเงียบอย่างคนใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ดวงตาจ้องมองพระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก เจ้าหญิงทรงมีวิธีประนีประนอมเพื่อประโยชน์ของคนยากจนเสมอ เขาไม่ชอบความคิดของเจ้าหญิงเลยสักนิด สิ่งที่พระองค์กำลังจะทำจะต้องทำให้พระองค์ตรากตรำงานหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า แต่เขาไม่อาจเสี่ยงที่จะเห็นพระองค์ต้องกรรแสงอีก เขาทนรับไม่ได้กับสิ่งนี้ น้ำตาของเจ้าหญิงทำให้เขาหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่เขาเคยคิดว่ามันหายไปจากชีวิตของเขาตั้งแต่วันที่เจ้าหญิงองค์น้อยผู้นี้ช่วยชีวิตของเขาไว้

“กระหม่อมหวังว่าพระองค์ทรงทราบว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” อองเดรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ แม่ทัพผู้คุมกองทหารก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางทำความเคารพด้วยอาการตกประหม่า อองเดรสั่งการเสียงเฉียบจนนายพลมือสั่นด้วยความตกใจ แต่ทว่าอองเดรไม่ได้หันไปมองนายพลผู้นั้นแม้แต่น้อย ดวงตาของเขายังคงตรึงอยู่ที่พระพักตร์ของเจ้าหญิง “ทำตามที่เจ้าหญิงรับสั่ง”

“ขอบใจมากจ้ะ อองเดร” เจ้าหญิงทรงยิ้มด้วยความดีพระทัยอย่างที่สุด

พระพักตร์ที่ดูโศกเศร้าและทุกข์ระทมเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความเบิกบานเปี่ยมสุขและงดงามสดใสชวนมองอย่างยิ่ง ทำให้ดวงตาของบุรุษน้ำแข็งหรี่แคบลงเล็กน้อย แม้จะพยายามฝืนตัวเองอย่างเต็มที่ คล้ายกับว่าภายใต้หน้ากากเหล็กนั้นมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏอยู่ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็หายไปกลายเป็นดวงตาที่เรียบเฉยและไร้ความรู้สึกดังเดิม ทั้งนี้ก็เพราะเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนโดยรอบที่ตะโกนแซ่ซ้องสรรเสริญเจ้าหญิงดังกระหึ่มก้อง จนเรียกสติของราชองครักษ์ผู้เย็นชากลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบโค้งลงกราบทูลเจ้าหญิงอย่างเร็ว

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะจัดราชรถมารับพระองค์กลับวัง เพราะที่นี่หนาวจัดและเป็นเวลาเย็นมากแล้ว”

“ตกลงจ้ะ” เจ้าหญิงทรงยอมรับปากแต่โดยดีแม้จะอยากอยู่ช่วยบรรดาผู้อพยพที่นี่ ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำให้ราชองครักษ์พอใจกับคำตอบที่ได้รับเพราะเขาโค้งคำนับก่อนจะสาวเท้าออกไปเพื่อจัดการเตรียมราชรถให้เจ้าหญิงแทบจะทันที โดยที่เจ้าหญิงยังคงประทับอยู่ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญพระองค์จากเหล่าคนยากคนจนและบรรดาผู้อพยพ ซึ่งแม้แต่ผู้อพยพที่เพิ่งมาใหม่ก็ยังเปิดใจต้อนรับเจ้าหญิงผู้ประเสริฐแห่งแอนดิซองเข้าไว้ในหัวใจทันทีเช่นกัน

เจ้าหญิงทรงเริ่มหันมาสนใจความตื่นเต้นยินดีของเหล่าผู้ยากไร้ เพราะมั่วแต่ทรงกังวลและพยายามที่จะช่วยบรรดาผู้อพยพ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าฐานะของพระองค์ถูกเปิดเผยแล้ว

“เจ้าหญิงอลาน่าจงเจริญ เจ้าหญิงผู้แสนประเสริฐจงเจริญ” เสียงซ้องสรรเสริญพระองค์ดังกึกก้อง

“ซิสเตอร์คะ ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันไม่ได้คิดจะเปิดเผยฐานะของตัวเองเพื่อรับการสรรเสริญเช่นนี้” เจ้าหญิงทรงหันไปตรัสเสียงเบากับซิสเตอร์สูงวัยผู้เป็นที่รักด้วยพระพักตร์วิตกกังวล

“หม่อมฉันทราบเพคะ” ซิสเตอร์ยิ้มให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน “พระองค์ทรงวิตกเรื่องอะไรหรือเพคะหากทุกคนจะรู้ว่าพระองค์เป็นใคร?”

“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบอย่างไม่มั่นคงนัก “ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้ได้รับการสรรเสริญเทิดทูน ฉันไม่อยากให้ทุกคนต้องหมอบคลานเข้ามารับของบริจาคจากเจ้าหญิงในคราวหน้าค่ะ ฉันอยากเป็นเพียงแค่คน ๆ หนึ่งที่ช่วยเหลือพวกเขาและมอบความรักของพระเจ้าให้พวกเขาเท่านั้น”

“อย่าทรงวิตกกังวลถึงวันข้างหน้าเลยเพคะ เวลานี้ก็มีเรื่องให้เราต้องกังวลมากมายพออยู่แล้ว พระเจ้าทรงทราบเจตนาของพระองค์ดีเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มให้อย่างเอ็นดูแต่ก็แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในตัวเจ้าหญิงอย่างเต็มเปี่ยม “เราเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตไม่ใช่หรือเพคะ? ในเมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็คงเพราะทรงตระเตรียมแผนการบางอย่างไว้ให้พระองค์แล้ว จะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ พระองค์ก็ยังจะช่วยเหลือบรรดาคนยากไร้อยู่เช่นนี้ไม่ใช่หรือเพคะ?”

“แน่นอนค่ะ ซิสเตอร์” เจ้าหญิงทรงรับคำเสียงหนักแน่น

“ถ้าเช่นนั้นก็ทรงทิ้งความวิตกกังวลไปได้แล้วเพคะ” ซิสเตอร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “จงวางใจในพระเจ้า พระองค์จะเป็นผู้นำทางฝ่าบาทเอง”

“ขอบคุณค่ะซิสเตอร์” เจ้าหญิงทรงยิ้มละไม เกิดความสุขใจขึ้นมาทันทีเหมือนพระเจ้าได้ทรงเติมเต็มความสุขลงในจิตใจของเจ้าหญิงอีกครั้ง “หากพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือวิตกกังวลกับสิ่งใด ๆ เพียงพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว ถ้าฉันมั่วแต่กลัวหรือวิตกกังวล ฉันคงทำอะไรไม่ได้สักอย่างแน่ ๆ “

แต่แล้วทหารองครักษ์นายหนึ่งก็เข้ามาทูลการมาถึงของรถม้าพอดี เจ้าหญิงทรงหันมายิ้มให้ซิสเตอร์โรซาน่าอีกครั้ง

“ซิสเตอร์พูดถูกที่สุดค่ะ วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำอีกมากมายเลยทีเดียว ฉันมีที่ที่หนึ่งที่จะต้องรีบไปในวันนี้ ซิสเตอร์ร่วมใจภาวนากับฉันนะคะ ขอให้ฉันทำสำเร็จ” ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงโผเข้ากอดซิสเตอร์เร็ว ๆ ก่อนจะรีบขึ้นรถม้าจากไปโดยมีสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มจาง ๆ ของซิสเตอร์โรซาน่ามองส่งรถม้าของพระองค์ไป แม้พระองค์จะไม่ได้บอกว่าจะเสด็จไปไหน แต่ซิสเตอร์ผู้สูงวัยรู้ดีกว่าเจ้าหญิงจะทรงไปที่ใด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน