Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อังคาร เม.ย. 16, 2024 11:08 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:28 pm

Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา


“จงมอดไหม้ไปซะ!” เบลซ เซจ หัวเราะด้วยความสะใจประกาศเสียงกร้าวท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารซาโลม กลุ่มควันสีเขียวหม่นยังคงพวยพุ่งอย่างหนาทึบพร้อม ๆ กับเสียงไม้ปริแตกดังสนั่น

“ก๊าซซซซซซซ์”

จู่ ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องดังกึกก้องกัมปนาท ทั่วทั้งกองทัพก็บังเกิดความเงียบสนิทลงในฉับพลันทันที เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงแตกของเปลือกไม้ที่ไหม้ไฟ ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเสียงร้องที่ดังแว่วออกมาจากต้นไม้ยักษ์กลับกลายเป็นเสียงดังสนั่นเข้าไปถึงโสตประสาท คนที่ยืนอยู่ใกล้ต้นอิกดราซิลถึงกับหูอื้อไปชั่วขณะ ทหารบางนายเริ่มขยับเท้าถอยห่างจากต้นไม้ยักษ์คนละก้าวสองก้าว แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แรงลมกรรโชกมหาศาลก็พัดออกมาเป็นระลอก ๆ จากต้นไม้ยักษ์ ทำให้กลุ่มควันฟุ้งไปทั่วบริเวณจนทุกคนต้องยกมือขึ้นป้องดวงตาจากฝุ่นควันฟุ้งกระจายและไอความร้อนที่พัดออกมาเป็นระลอก ๆ เมื่อลมสงบลงพร้อม ๆ กับกลุ่มควันที่เริ่มจางลงอันเป็นสัญญาณว่าไฟถูกลมพัดจนดับหมดแล้ว พลันสายตาทุกคู่ก็ต้องเบิกกว้างด้วยความพรั่นพรึง

ท่ามกลางกลุ่มควันที่ค่อย ๆ สลายไป ปรากฏร่างของมังกรยักษ์เหยียดตัวขึ้นสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับต้นไม้โดยรอบแล้วตัวของมังกรยักษ์นี้สูงกว่าถึงสองช่วงตัว ร่างกายช่วงล่างของมันยังคงมีรากอ่อนของต้นอิกดราซิลพันเกี่ยวพันธนาการมันอยู่ แต่แล้วรากอ่อนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ คลายตัวออกอย่างน่าพิศวงราวกับมีชีวิต ดวงตาสีเหลืองอำพันอันใหญ่โตของมันยามกวาดตามองกองทัพซาโลมแลดูเบิกกว้างจนแทบจะปูดโปน ปีกสีเขียวเข้มกางแผ่ปรกคลุมเหนือยอดไม้จนทำให้ร่างของมันยิ่งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น มันแหงนเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องดังสนั่นกึกก้องอีกครั้งก่อนที่จะเหวี่ยงแขนขาอันใหญ่โตใส่กองทัพเพลิงเบื้องล่าง หางของมันส่ายสะบัดไปมาสร้างความอลหม่านไปทั่ว

ภายในม่านมิติที่เป็นเหมือนโดมอากาศซึ่งไหววูบด้วยรูปร่างไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา ทุกคนต่างเงียบกริบเกือบจะลืมหายใจ ปากอ้าค้างจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าดวงตาไม่กระพริบ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าตื่นตะลึงเกินว่าที่ใครจะจินตนาการได้

เสียงครางต่ำด้วยภาษาสมิงของคาร์นที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนทุกคนดังขึ้นจนทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกตัว

“ท่านปู่ครับ!?!...” ฮารีซันย่อเข่าลงข้างวูจินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น แขนของผู้เฒ่าแห่งฟูดินันขนาบข้างลำตัวโดยที่ฝ่ามือทั้งสองข้างวางแนบกับพื้นดินจนดูเหมือนฝ่ามือจมลึกลงไปในดินและแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว รอบตัวนั้นมีวงอาคมขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยอักขระโบราณล้อมรอบมีไม้เท้าประจำกายปักอยู่ที่ยอดสุดของวงเวทย์นั้น แม้ดวงตาของผู้เฒ่าจะปิดสนิททั้งสองข้าง แต่ก็ดูเหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก รวมไปถึงความคิดของผู้คนที่อยู่ในม่านมิติด้วย เพราะยังไม่ทันที่ฮารีซันจะกล่าวใด ๆ ต่อ วูจินก็เอ่ยขึ้นมาก่อนโดยที่ยังไม่ลืมตาขึ้น

“นั่นคือ มารัค (Marag, Yggdrasil’s Guardian) มังกรยักษ์ในตำนานที่ถูกมหาพฤกษาผนึกไว้ยังไงล่ะ”

ได้ยินเพียงเท่านั้นก็เกิดเสียงพึมพำกระซิบกระซาบดังระงมไปทั้งโดมม่านมิติ นายพลทราเฮิร์นมองมังกรยักษ์ที่เริ่มอาละวาดฟัดฟันกองทัพเพลิงอย่างบ้าคลั่ง เห็นทหารซาโลมหลายร้อยนายในรูปร่างที่ไม่ชัดเจนวิ่งผ่านม่านมิติและทะลุร่างของพวกเขาไปจึงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงทุกคนขึ้นมา แต่เพียงแค่หันหน้าไปทางท่านผู้เฒ่า เขาก็ได้รับคำตอบแทบจะทันที

“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทุกคนจะปลอดภัยถ้ายังอยู่ภายในม่านมิตินี้” วูจินตอบเสียงเรียบ ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ภายในม่านมิติต่างก็ฉงนสนเท่ห์ที่วูจินสามารถรับรู้ความคิดของพวกตนได้อย่างน่าประหลาด วานาอันซึ่งนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวูจินนักหยิบผ้าสะอาดซับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดซึมขึ้นทั่วใบหน้าของวูจิน คิ้วของเด็กสาวขมวดแน่นและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“ไม่เป็นไรวานาอัน ปู่ยังไหว” วูจินพูดทั้ง ๆ ที่ดวงตายังคงปิดสนิท ใบหน้าที่เครียดขรึมปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ให้เด็กสาว “อีกประเดี๋ยวพวกเผ่าครุฑที่อาศัยอยู่บนมหาพฤกษาคงจะเริ่มการโจมตีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แน่ เพราะการที่มังกรมารัคหลุดออกจากผนึกทำให้อิกดราซิลเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งต้นตั้งแต่ปลายรากที่อยู่ลึกที่สุดจรดยอดที่สูงที่สุด พวกเผ่าครุฑถูกรบกวนโดยตรงเช่นนี้คงไม่ยอมอยู่เฉยและคงจะโจมตีโดยไม่เลือกหน้าแน่ ๆ พวกเขาไม่รู้จักพวกเรา ดังนั้นกางม่านมิติไว้อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า ตอนนี้ข้างบนนั้นก็เกิดความระส่ำระส่ายไปทั่วแล้ว” สิ้นคำของวูจินทุกคนก็เงยหน้ามองสูงขึ้นไปเหนือมหาพฤกษา และเริ่มเห็นอะไรบางอย่างเป็นจุดเล็ก ๆ คล้ายนกหลายร้อยหลายพันตัวบินว่อนอยู่เหนือยอดอิกดราซิล

“ใช่ เผ่าครุฑที่ไม่เคยลงมาสุงสิงกับพวกบนพื้นดินอย่างเรา จนดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในนิยายปรัมปราเสียมากกว่า วันนี้แหละที่เราจะได้เห็นพวกเขาด้วยตาตัวเอง” วูจินเอ่ยตอบความคิดของใครคนหนึ่ง

เพียงอึดใจเดียวฝูงธนูที่เร็วยิ่งกว่าลูกธนูใด ๆ ที่พวกชาวป่าเคยเห็นก็กระหน่ำใส่กองทหารของซาโลมราวกับห่าฝน เสียงหวีดหวิวของลูกธนูแหวกอากาศดังแหลมจนพวกเผ่าสมิงที่มีประสาทรับเสียงดีกว่ามนุษย์หลายเท่าต้องรีบปิดหูและข่มเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด ลูกธนูบางลูกพุ่งผ่านร่างของทหารซาโลมผู้กำลังวิ่งผ่านม่านมิติจนทะลุเสื้อเกราะปักลงพื้นดินอย่างแรงก่อนที่ร่างของทหารนายนั้นจะถลาคว่ำลงต่อหน้าทุกคนพร้อม ๆ กับลูกธนูอีกหกดอกพุ่งปักหลังอย่างรวดเร็วและมีถึงสามดอกที่ปักตรงตำแหน่งของหัวใจพอดี วานาอันถึงกับกลั้นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวไม่อยู่ ผวาซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ชายด้วยความตื่นตระหนกเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ฮารีซันกอดน้องไว้แน่นเงยหน้าขึ้นมองเหล่าครุฑผู้ใช้ธนูเป็นอาวุธ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:38 pm

บรรดาชาวป่าต่างก็นิ่งเงียบตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกคือการได้เห็นมังกรมารัคและครั้งที่สองก็คือได้เห็นฝีมือการโจมตีของเผ่าครุฑในตำนานที่ทำให้ทุกคนต้องตาค้าง

“เป็นไปไม่ได้ พวกนั้นเล็งเป้าที่อยู่ห่างขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” แกสซ์พึมพำอยู่ในลำคอด้วยความฉงนอย่างที่สุดเมื่อมองสูงขึ้นไปจนคอตั้ง “ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเล็งเป้าหมายได้แม่นยำด้วยความสูงถึงขนาดนั้น ไม่มีทาง!”

“นี่มันสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกัน?” โทมาฮอว์ค เลิพเพิร์ด คำรามถามเสียงแผ่ว เพราะแม้เขาจะเคยเห็นสมิงที่สายตาเฉียบคมที่สุดในเผ่าเล็งธนูมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นนี้

“นั่นคงจะเป็นอีเกิ้ลการูด้า(Eagle Garuda) ครุฑสายพันธุ์อินทรีที่มีสายตาเฉียบคมกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายร้อยเท่า” วูจินตอบ

จากนั้นไม่นานเหล่าเกลการูด้า(Gale Garuda) หน่วยจู่โจมของเผ่าครุฑ ผู้มีหอกปลายแหลมสามคมเป็นอาวุธ ซึ่งนอกจากปลายยอดที่แหลมคมแล้ว ที่คมด้านข้างทั้งสอง ฝั่งหนึ่งมีรูปร่างคล้ายฟันปลาและอีกฝั่งหนึ่งเป็นโลหะคมโค้งยกปลายขึ้นด้านหนึ่ง หากโดนหอกลักษณะนี้ทำร้ายแล้วละก็เนื้อบริเวณที่ถูกแทงจะฉีกยุ่ยยากแก่การสมานแผล ผนวกกับความรวดเร็วปานลมกรดของหน่วยจู่โจม ดังนั้นใครที่ถูกจู่โจมโดยเหล่าเกลการูด้าจึงแทบจะไม่เหลือโอกาสรอดชีวิต

ฝูงเกลการูด้าบินหลบหลีกต้นไม้และการคลั่งอาละวาดของมังกรมารัคได้อย่างว่องไวและง่ายดาย เหล่าครุฑต่างโฉบปักหอกงัดร่างทหารซาโลมเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ และทันใดนั้นเองฝูง การาสุ (Garasu) ครุฑสายพันธุ์อีกาที่บินคอยท่าอยู่แล้วก็ควงเคียวสองปลายอันแหลมคมสะบัดตัดร่างทหารซาโลมขาดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทหารซาโลมที่กำลังระส่ำระส่ายต่างก็แตกทัพวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปกันคนละทิศละทาง เมื่อเห็นว่าทัพซาโลมเริ่มถอยร่นออกไปจากบริเวณเขตมหาพฤกษาอิกดราซิลแล้ว เสียงร้องที่แหลมสูงอย่างพญาเหยี่ยวของพญาเกลการูด้า(Elite Gale Garuda)ซึ่งมีขนาดปีกใหญ่กว่าหน่วยเกลการูด้าทั่วไปถึงเกือบสองเท่าก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณสั่งการถอนกำลัง

ฝูงเกลการูด้าและการาสุต่างโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนืออิกดราซิลทันที และในทันใดนั้นพลหอกครุฑ(Garuda Lancer)หลายพันนายก็โฉบลงมาจากกิ่งก้านของมหาพฤกษาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าพวกพลหอกเหล่านี้มาซุ่มเกาะอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่? และแล้วฝูงพลหอกก็บินโฉบไล่ล่าตามทหารซาโลมเข้าไปในป่าลึก
เพียงพริบตาเดียวทั่วทั้งบริเวณก็แทบจะไม่เหลือร่องรอยของเผ่าครุฑให้เห็นอีกเลย แม้แต่ซากของเหล่าครุฑบางตัวที่พลาดท่าจากการต่อสู้ก็ยังถูกโฉบหายลับเข้าไปในร่มใบอันหนาทึบของต้นอิกดราซิล เหลือไว้แต่เพียงศพของทหารซาโลมและชาวป่าที่นอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นที่รกไปด้วยเศษซากต้นไม้ ใบไม้ และ ร่องรอยของการทำลายจากมารัคเท่านั้น

“ช่างเป็นการรบที่ดุเดือด รุนแรง และ รวดเร็วที่สุด” ฮารีซันพึมพำเสียงเครียด

“ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่ได้เห็นการรบแบบนี้ที่ไหนอีกแน่” แกสซ์พูดหลังจากยืนตะลึงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นาน

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นเลิศด้านการรบเช่นนี้อาศัยอยู่ในป่าเดียวกับพวกเรา” คาร์นเอ่ยพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำของแกสซ์ ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหากพวกเราเป็นผู้ถูกโจมตีในวันนี้ พวกเราจะต่อกรกับเผ่าครุฑอย่างไร?”

“เราโชคดีแล้วที่ไม่ต้องรบกับพวกเขา” นายพลทราเฮิร์นเปรยด้วยความโล่งใจ

“แล้วเจ้ามังกรนั่นล่ะ?” โทมาฮอว์ค เอ่ยถามขึ้นพลางเหลือบไปมองหลังมังกรยักษ์ที่ดูเหมือนจะยังคงไล่ตามทหารซาโลมอย่างไม่ลดละ โดยมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ใกล้เขตเผ่าฟูดินันเข้าไปเรื่อย ๆ

“เผ่าของเรา!?!” วานาอันอุทานด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองมังกรมารัค ในขณะที่ฮารีซันนั้นกำหมัด ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” วูจินผ่อนลมหายใจหนัก ๆ กล่าวเสียงเรียบ แต่ใบหน้ากลับดูเครียดขึงยิ่งกว่าเดิม “ข้าคงม่านมิติไว้ได้อีกไม่นานแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นให้พวกเรารีบย้ายไปหลบยังที่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วงมารัค เมื่อมันเห็นว่าพวกซาโลมออกไปไกลจากมหาพฤกษามากพอแล้วมันจะกลับมาที่นี่เอง เพราะการที่มันอยู่ร่วมกับเทพอิกดราซิลมานานเหลือเกิน ทำให้มันซึมซับจิตวิญญาณของเทพพฤกษาและมีจิตผูกพันจนแยกจากมหาพฤกษาไม่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก” วูจินกล่าวถึงมารัคเพื่อตอบคำถามในใจของใครหลาย ๆ คนในม่านมิตินั้น

หลังจากนั้นอีกเป็นครู่ใหญ่กว่าที่ม่านมิติจะค่อย ๆ หดตัวลงและจางหายไปในที่สุด พร้อม ๆ กับร่างที่อ่อนปวกเปียกของท่านผู้เฒ่าที่หงายล้มลงไปกับพื้น ดีที่ฮารีซันยื่นมือออกไปรับไว้ได้ทัน

“ท่านผู้เฒ่า!” “ท่านวูจิน!” เสียงตื่นตระหนกของบรรดาหัวหน้านักรบดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน

“ท่านปู่คะ! ท่านปู่” วานาอันน้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้มนวลด้วยความกลัวจับใจว่าปู่ของตนจะเป็นอันตราย

“ไม่เป็นไรวานาอัน ท่านปู่เพียงแต่เสียพลังไปมาก และต้องการการพักผ่อนอย่างมากเท่านั้น” ฮารีซันปลอบน้องสาวเพราะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเธอ เนื่องจากเธอเพิ่งจะเคยเห็นท่านปู่วูจินใช้อาคมนี้เป็นครั้งแรก ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ แต่ลึก ๆ ในจิตใจแล้ว เขาเองก็มีความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เนื่องเพราะรู้ดีว่าการร่ายคาถากางม่านมิติขนาดใหญ่เป็นเวลานานหลายชั่วยามเช่นนี้ต้องใช้พลังเวทย์จำนวนมหาศาล ด้วยวัยที่ชราของวูจินทำให้ขณะนี้ท่านผู้เฒ่าถึงกับหมดสติไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และคงต้องใช้เวลาพักผ่อนเพื่อฟื้นกำลังเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:39 pm

ฮารีซันจัดแจงแบกปู่ของตนขึ้นหลังโดยใช้แขนเพียงข้างเดียวก็สามารถแบกวูจินไว้ได้อย่างสบาย ๆ ส่วนมืออีกข้างก็จูงมือน้องสาวไว้หลวม ๆ เพราะหลังจากที่วานาอันพลัดหลงกับพวกตนเมื่อตอนฝูงมังกรไฟบุกทำลายป่า ทั้งวูจินและฮารีซันจะระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้สาวน้อยที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจต้องพลัดหลงและอาจต้องผจญกับอันตรายถึงชีวิตเมื่อต้องอพยพเป็นขบวนใหญ่เหมือนครั้งนั้นอีก จากนั้นจึงรีบสั่งเคลื่อนกำลังออกจากเขตร่มใบของมหาพฤกษาอิกดราซิล มุ่งหน้าไปยังที่มั่นที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะมุ่งหน้าสู่ค่ายอพยพทางทิศตะวันออกพอดี ทำให้สามารถแปรทัพเป็นด่านหน้าคอยป้องกันศัตรูที่อาจเล็ดรอดไปถึงเขตค่ายได้

ระหว่างที่กำลังเร่งเคลื่อนทัพมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเขตป่าฝั่งตะวันออกนั้นเอง วานาอันซึ่งเดินเคียงข้างพี่ชายและคอยเหลือบดูท่านปู่วูจินอยู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นระยะ ๆ จู่ ๆ เด็กสาวก็ชะงักฝีเท้ายืนนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าสีเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด มือเล็กบางเลื่อนหลุดจากการจูงของพี่ชาย ทำให้ฮารีซันต้องหยุดเดินหันกลับมามองน้องสาวของตนด้วยความสงสัยและเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ

“เป็นอะไรหรือวานาอัน? เกิดอะไรขึ้น?” ฮารีซันขมวดคิ้วก้าวเข้าไปใกล้

วานาอันหันหน้าไปยังทิศที่มั่นของค่ายผู้อพยพทางใต้ชั่วอึดใจหนึ่ง และเริ่มตัวสั่นเหมือนลูกนกที่ถูกคุมคาม พี่ชายได้แต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อสังเกตเห็นความตื่นกลัวนี้ เธอยืนเหมือนช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าวิ่งออกไปยังทิศทางนั้น ฮารีซันรีบคว้ามือน้องสาวไว้แทบจะทันที เมื่อหันกลับมามองหน้าพี่ชายอีกครั้ง น้ำตาเป็นสายก็ไหลอาบสองแก้ม ริมฝีปากสั่นระริกพยายามจะพูดแต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงสะอื้นด้วยความเศร้าโศกและเจ็บปวดจนสุดบรรยาย ขาทั้งสองอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งพับกับพื้น ฮารีซันใจหายวาบรีบพยุงวานาอันขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น จึงได้ย่อเข่าลงข้างหนึ่งแทน
“วานาอัน น้องเป็นอะไรไป? บาดเจ็บตรงไหน?” สาวน้อยได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ฮารีซันรีบกวาดตาสำรวจหารอยแผลที่อาจจะเล็ดรอดจากการป้องกันของเขาเข้ามาทำร้ายวานาอันได้ เมื่อแน่ใจว่าวานาอันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสอดส่ายสายตาไปทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูอยู่ในบริเวณนั้น

ทุกคนต่างหยุดฝีเท้าเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของสองพี่น้องบันดารา นายทัพครึ่งม้าซึ่งไปถึงสองพี่น้องก่อนใคร

“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านฮารีซัน? ท่านวานาอันบาดเจ็บหรือ?” นายพลทราเฮิร์นมองไปทางเด็กสาวที่พยายามหยุดสะอื้นไห้อย่างยากลำบาก แต่แล้วก็กลับปล่อยเสียงโฮออกมาอีกครั้ง ทุกคนเมื่อเห็นวานาอันร้องไห้เช่นนี้ต่างก็เป็นห่วงและเศร้าใจไปกับเด็กสาวผู้แสนบอบบางตรงหน้า

“วานาอันบอกพี่ อะไรทำให้น้องเสียใจและเจ็บปวดถึงขนาดนี้?” น้ำเสียงของฮารีซันกึ่งปลอบโยนกึ่งเศร้าสร้อยด้วยความสงสารน้องสาวจับใจ วานาอันเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายดวงตายังคงฉายแววแห่งความเจ็บปวดและสิ้นหวัง น้ำตาไหลไม่ขาดสาย เด็กสาวสะอื้นจนตัวโยนพยายามพูดอย่างยากลำบาก

“พวกนั้น... พวกซาโลม...กำลังโจมตีค่ายทางใต้...พี่คะ...พวกเขากำลังฆ่าทุกคน!” วานาอันระเบิดเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดไม่อาจพูดอะไรได้อีก ได้แต่กอดคอพี่ชายแน่นซบหน้าร้องไห้ลงกับไหล่ ในขณะที่ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี สารพัดความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ประเดประดังกันเข้ามา ทั้งใจหาย เย็นสันหลังวาบ เจ็บปวด โกรธเคือง หวาดหวั่น ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก พวกเขาประมาทพวกซาโลมมากไปหรือนี่?

****************************



หลังจากที่เบลซ เซจยกทัพไปไม่นาน กษัตริย์ซาดินที่ทอดพระเนตรการรวบรวมทรัพย์สมบัติและเสบียงต่าง ๆ ของเผ่าสมิง ทอดพระเนตรความอุดมสมบูรณ์ที่เย้ายวนตรงหน้า ความอยากที่จะครอบครองทุก ๆ อย่างในผืนป่าแห่งนี้ก็ยิ่งโหมกระพือรุนแรงเสียจนมิอาจอดใจได้อีกต่อไป จึงทรงคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะนั่งเฝ้าสมบัติและรอคอยการกลับมาของกองทัพที่นำโดยเบลซ เซจ ก็ในเมื่อป่าทางใต้ก็อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน ทำไมจะต้องเสียเวลารอกองทัพกลับมาด้วยเล่า? แค่ลำพังพระองค์เองกับทหารไม่กี่พันก็สามารถพิชิตพวกชาวป่าที่อ่อนแอพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ทรงสั่งเคลื่อนทัพทันที โดยทิ้งทหารไว้เพียงส่วนหนึ่งในการเฝ้าสมบัติและคอยรวบรวมสมบัติที่ทยอยลำเลียงมาจากทัพใหญ่

กษัตริย์ซาดินเคลื่อนทัพผ่านเผ่าต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็แทบจะไร้ผู้ต่อต้านและร้างผู้คนตลอดแนวการเดินทัพ ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนล้วนอพยพออกจากเผ่าไปจนหมดแล้ว ยิ่งเคลื่อนทัพต่อไปอารมณ์ของพระองค์ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เมื่อทรงคิดว่าพวกชาวป่าขนทรัพย์สมบัติหนีพระองค์ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางป่าอันหนาทึบนี้

ล่วงเข้าวันที่สาม ทันทีที่พระองค์ข้ามทำนบสูงของแม่น้ำสายใหญ่ไปได้ พระองค์ก็ทรงได้กลิ่นอายของชีวิตที่โชยมาพร้อม ๆ กลิ่นแผ่ว ๆ ของอาหารที่กำลังสุกส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งมาตามลมเป็นระยะ ๆ ซึ่งก็คงจะมีจำนวนมากมายเลยทีเดียว เพราะกลิ่นที่ชัดเจนในระยะไกลเช่นนี้ย่อมหมายความว่ามีการร่วมกลุ่มกันขนาดใหญ่มากนั่นเอง

กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มด้วยใบพระพักตร์ที่ค่อย ๆ น่ารักมเกรียมขึ้นทุกที ๆ ยิ่งเคลื่อนทัพลึกเข้าไป สรรพเสียงและกลิ่นต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

“แอบมาหลบกันอยู่ที่นี่เองรึ? หึ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอที่แสดงออกถึงความโหดน่ารักมและกระหายการเข่นฆ่าอย่างไม่คิดจะปิดบังของพระองค์ ทำให้คนที่ได้ยินต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ความหงุดหงิด ความขุ่นเคือง และ ความโกรธเกรี้ยวที่สะสมมาตลอดตั้งแต่เริ่มเคลื่อนทัพจากจักรวรรดิซาโลมจนถึงบัดนี้อัดแน่นอยู่ในร่างจนใกล้ระเบิดออกมาเต็มทีแล้ว หากพระองค์ไม่ได้ระบายมันออกมาภายในวันนี้ พระองค์คงต้องคลุ้มคลั่งจนถึงขั้นเสียสติเป็นแน่ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการฆ่าเพื่อระบายความคลั่งแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกอีกแล้ว พระองค์ทรงควงกระบองคู่กายด้วยความฮึกเหิม ไม่ทรงต้องการได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด

ทันทีที่พระองค์ทรงเริ่มมองเห็นยอดหลังคาของหอสูงอยู่ลิบ ๆ ซึ่งใครสักคนบนนั้นก็คงจะสังเกตเห็นความผิดปกติของบรรดานกน้อยใหญ่ที่แตกตื่นบินกระพือขึ้นด้วยความตกใจตามทางที่กองทัพเดินผ่านเช่นกัน เพราะหลังจากที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรยอดของหอสูงเพียงชั่วอึดใจ เสียงแตรเขาสัตว์ที่ทุ้มกังวานก็ดังขานรับเป็นทอด ๆ ในทันใด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 32 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:40 pm

“แบบนี้สิถึงจะน่าตื่นเต้นหน่อย” โลหิตทั่วพระวรกายของพระองค์สูบฉีดเร็วและแรงขึ้นทันทีที่ทรงได้ยินเสียงควบของม้า และฝีเท้าจำนวนหนึ่งดังใกล้เข้ามาซึ่งคงเป็นหน่วยลาดตระเวนที่ถูกวางกำลังอยู่รอบ ๆ บริเวณนี้ กษัตริย์ซาดินทรงตวัดกระบองเป็นสัญญาณ กองทัพเพลิงต่างก็รีบเตรียมอาวุธของตนเองกระจายทัพออกเป็นวงกว้างรูปครึ่งวงกลมคล้ายจะล้อมกรอบผู้ที่กำลังจะมาถึง พระองค์ทรงเหลือบมองไปทางหลังคาของหอสูงอีกครั้ง อันเป็นเป้าหมายต่อไปของพระองค์ “มาเลย...รีบเข้ามากันเลย หึ หึ”

ทันทีที่ทรงเห็นเซนทอร์ในชุดเกราะตัวแรก...การเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนก็เริ่มขึ้น


บริเวณที่ตั้งค่ายผู้อพยพทางทิศใต้ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความวังเวง โศกสลด และแสนหดหู่ เลือดแห้งกรังที่ไหลชโลมพื้นหญ้าและสาดกระเซ็นไปทั่วตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงต้นไม้บ่งบอกถึงการเข่นฆ่าอย่างบ้าเลือดของกองทัพโฉด กลิ่นซากศพที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นแสบฉุนคละคลุ้ง เศษเครื่องประดับที่กระจายเป็นหย่อม ๆ ฟ้องว่าเหล่าทหารโหดไม่สนใจจะค่อย ๆ ถอดเครื่องประดับออกจากเหยื่อที่ตนสังหาร คงจะกระชากออกมาเหมือนหมดความอดทนใด ๆ ทั้งสิ้นโดยไม่สนใจว่าเหยื่อจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? บางศพก็เนื้อตัวขาดวิ่นด้วยถูกคมดาบที่ฟาดฟันใส่นับไม่ถ้วน ซากศพหลายร้อยที่แข้งขาบิดเบี้ยวจนผิดรูปนอนกระจัดกระจายเต็มเนินหินแคบ ๆ ซึ่งเป็นตะปุ่มตะป่ำใต้ทำนบสูงคล้ายกับว่าพวกเขาถูกผลักดันให้กระโดดหนีผู้รุกรานแสนอำมหิต แต่เพราะทำนบที่สูงเกินไปและพื้นรองรับที่ไม่เรียบทำให้ขาของพวกเขาหักและต้องตายอย่างช้า ๆ ด้วยความทรมานแสนสาหัส ใกล้ทำนบนั้นมีร่างของเด็กน้อยที่ไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดห่างจากร่างที่ฉีกขาดและเริ่มเน่าเปื่อยของผู้เป็นมารดาเกือบสองช่วงแขน ซึ่งคงเพราะถูกกระชากออกมาจากอ้อมแขนของมารดาและถูกฆ่าอย่างน่ารักมโหด ภาพตรงหน้ายังความสะเทือนใจให้แก่ทุกคนที่ได้พบเห็น
ฮารีซันบรรจงอุ้มร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยอย่างทะนุถนอมแล้วค่อย ๆ นำไปวางไว้บนอกของผู้เป็นมารดา ดวงตาแดงก่ำแวววับไปด้วยหยาดน้ำใส ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอดกลั้นฝืนข่มความสะเทือนใจจนมือที่กำแน่นนั้นสั่นเกร็ง

“ถ้าเรามาถึงเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย...” พูดได้เพียงเท่านั้นเสียงคำรามอย่างโกรธเคืองของแกสซ์ก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับแสยะเขี้ยวดุดัน
ในขณะที่โทมาฮอว์คก็จามขวานใส่พื้นโครมใหญ่ด้วยความเจ็บใจ ทุกคนมีแต่ความเงียบ ไม่มีคำพูดใด ๆ จะมาบรรยายความรู้สึกในเวลานี้ได้อีกแล้ว นายพลทราเฮิร์นใช้ทวนแหลมตวัดตะขาบร้าย(Fierce Centipede) ซึ่งเป็นตะขาบกินศพที่เริ่มมากัดกินร่างของพวกบรรดาชาวป่า เขากระทำอย่างเบามือตวัดตะขาบร้ายออกจากร่างของเซนทอร์เรนเจอร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะย่อเข่าลงข้างหนึ่ง อันเป็นการแสดงความเคารพต่อศพเพื่อนร่วมเผ่าหนึ่งในผู้ปกป้องค่ายแห่งนี้

แม้ว่าฮารีซันพร้อมด้วย แกสซ์ โทมาฮอร์ค และ ทราเฮิร์น จะแบ่งทัพมาเพื่อช่วยเหลือค่ายทิศใต้ทันทีที่วานาอันแจ้งข่าวร้าย ทว่าทั้ง ๆ ที่ทุกคนเดินทัพอย่างเร่งรีบโดยแทบจะไม่ได้หยุดพัก แต่ก็ใช้เวลาไปถึงสี่วันเต็ม ๆ กว่าที่ทัพชาวป่าจะเดินทางมาถึงก็ไม่มีใครเหลือรอดชีวิตแม้เพียงสักคนเดียว

ทัพชาวป่าต้องใช้เวลาถึงสองวัน กว่าจะรวบรวมซากร่างที่แหลกเหลวของเหล่าชาวป่าได้ครบเพื่อทำพิธีเผาส่งวิญญาณพวกเขา เมื่อขบวนญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องของผู้ที่จากไปจากเผ่าต่าง ๆ เดินทางมาถึง เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ที่สูญเสียผู้เป็นที่รักก็ดังระงมไปทั่วด้วยความโศกสลด หวาดกลัว และสิ้นหวัง ชีวิตของพวกชาวเผ่าน้อยใหญ่ทั้งหลายในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
************************


หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลงซึ่งกินเวลานานกว่าสองอาทิตย์ กองทัพของจักรวรรดิซาโลมที่กระจัดกระจายไปนำโดยเบลซ เซจ ผู้ซึ่งรอดพ้นจากการทำลายล้างของมังกรมารัคและนักรบเผ่าครุฑมาได้อย่างหวุดหวิด แม้จะได้รับบาดเจ็บบ้างแต่ก็สามารถกลับมารวมทัพกับกษัตริย์ซาดินที่บริเวณเผ่าสมิงได้สำเร็จ กองทัพเพลิงเวลานี้แม้จะสูญเสียทหารไปจำนวนไม่น้อยจากการนำทัพของเบลซ เซจ ซึ่งเพราะการแตกทัพออกไปถึงสามทัพ ทำให้กองทัพเพลิงเปิดช่องโหว่ให้พวกชาวป่าจนสูญเสียกำลังพลหลายหมื่นนาย ทั้งยังถูกโจมตีจากพวกเผ่าครุฑและมังกรมารัค กระนั้นสมบัติและเสบียงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่มีมากมายมหาศาลก็ทำให้กษัตริย์ซาดินลืมการสูญเสียครั้งนี้ไปได้ไม่ยากนัก ครั้นแล้วเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ในป่าทึบนี้อีกต่อไปแล้ว จึงทรงตัดสินใจนำทัพออกไปสมทบกับทัพใหญ่ที่ฝั่งฟีเลเซียทันที เพราะเมื่อทางเข้าเปิดโล่งเช่นนี้พระองค์จะนำทัพเข้ามาขนเสบียงอาหารอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นกองทัพซาโลมจึงจากไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมายและเสบียงอาหารจำนวนมหาศาล ในขณะที่เผ่าน้อยใหญ่ทั้งหลายภายในป่าต่างก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวกับการบุกปล้นสะดมที่แสนจะโหดน่ารักมอำมหิตของกองทัพเพลิงในครั้งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน