Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พุธ เม.ย. 24, 2024 4:35 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:23 pm

Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้?



ชาวฟูดินันต่างก็หวีดร้องด้วยความอกสั่นขวัญแขวนรีบวิ่งออกมานอกตัวบ้านด้วยความแตกตื่นเนื่องเพราะพื้นที่แถบนี้ไม่เคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาก่อน ทุกคนออกมายืนจับกลุ่มกันที่บริเวณลานกว้างจนแออัดไปหมด ต่างก็ตัวสั่นงันงกเพราะความหวาดกลัว ทันทีที่ทุกคนเห็นครอบครัวบันดาราพวกเขาก็แทบถลาเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังจนแน่นขนัด ทุกสายตาต่างก็จับจ้องด้วยความคาดหวังว่าท่านผู้เฒ่าวูจินผู้ทรงภูมิที่สุดในเผ่าจะสามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้ แม้แต่ฮารีซันและวานาอันก็ยังแอบลอบมองปู่ของตนด้วยความหวังลึก ๆ อยู่ในใจเช่นกัน แต่ยังไม่ทันทีที่ท่านผู้เฒ่าจะเอ่ยปากสารภาพถึงความไม่รู้ของตนด้วยความจนใจ ฉับพลันนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องต่ำทุ้มกังวานดังแว่วสะท้อนมาจากป่าในเขตเผ่าสมิง ชาวบ้านหลายคนเริ่มห่อตัวลีบเพราะความกลัว วานาอันกระชับมือทั้งสองข้างที่เกาะแขนปู่ไว้แน่นด้วยความหวาดหวั่นจนวูจินต้องตบมือหลานสาวเบา ๆ เพื่อปลอบขวัญ ทว่าสายตานั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่ต่างจากฮารีซันเท่าใดนัก

“เสียงอะไรน่ะท่านผู้เฒ่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนถาม

“แล้วแผ่นดินไหวเมื่อกี้ล่ะ?” ชายอีกคนถามแทรก

“สวรรค์พิโรธใช่ไหม?” หญิงชราร้องถาม

ทันใดนั้นเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับการชี้มือชี้ไม้ไปบนฟ้าฝั่งตะวันตก

“ดูนั่นสิ! ดูนั่น!” นางละล่ำละลักพูดด้วยดวงตาเบิกโพลง ปากคอสั่น และเมื่อทุกคนหันไปตามทิศทางที่นางชี้นั้น เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกก็ดังระงมขึ้นทันทีเมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเต่ายักษ์ขนาดมหึมากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าเทือกเขาคีรีบันดา


หากความตระหนกตกใจและหวาดกลัวของชาวฟูดินันนั้นสร้างความแตกตื่นขึ้นในเผ่าแล้ว ทว่ากลับยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกของชาวเผ่าสมิงที่จู่ ๆ ภูเขาที่เคยเห็นมันตั้งตระหง่านสงบนิ่งมาหลายชั่วอายุคน ภูเขาที่ใช้เป็นที่ล่าสัตว์และหาอาหาร กลับกลายเป็นเต่าบินขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา แรงลมที่เกิดขึ้นจากการกระพือปีกของเต่ายักษ์ก็มหาศาลจนต้นไม้หักโค่นระเนระนาด ปีกที่กางแผ่ออกมากวาดบ้านเรือนพังราบ เป็นแถบ ๆ บ้านบางหลังที่ยังคงสภาพอยู่ได้ก็โงนเงนจนดูเหมือนจะพังลงมาได้ตลอดเวลา ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออกเพราะเหตุการณ์ที่เกิดนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครตั้งสติได้ทัน เพียงพริบตาเดียวทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลองเหลือเพียงที่ดินร้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา

เสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของบรรดาลูกสมิงและเสียงโอดโอยของเหล่าสมิงที่บาดเจ็บดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทันทีที่คลายความตื่นตระหนกลงได้พวกนางสมิงต่างต้องเร่งช่วยกันพยาบาลคนเจ็บ ฝ่ายสมิงที่ไม่บาดเจ็บก็เร่งรื้อซากปลักหักพังมองหาข้าวของที่ยังพอใช้การได้ออกมากองรวมกันไว้ภายนอกซากอาคาร

ระหว่างที่สมิงทุกตนกำลังสาระวนอยู่กับการซ่อมแซมบ้านเรือนและลำเลียงผู้บาดเจ็บนั้นเอง ทันใดนั้นสัญชาตญาณแห่งการระวังภัยของสัตว์ป่าก็ตื่นตัวขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อจู่ ๆ จิตสังหารจำนวนมหาศาลโถมทะลักผ่านพื้นที่ว่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเข้ามาราวกับลาวาเดือดที่ปะทุออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ บรรดาสมิงต่างก็คว้าอาวุธคู่กายของตนขู่คำรามไปยังพื้นที่ว่างโล่งเบื้องหน้า เหล่านางสมิงก็เร่งพาเด็ก ๆ และสมิงที่บาดเจ็บเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าลึก เสียงขู่คำรามของบรรดานักรบสมิงดังสนั่นก้องป่าราวกับฝูงจ้าวแห่งพงไพรกำลังกู่ร้องคำรามข่มขวัญศัตรู ด้วยแรงลมที่พัดมาจากฝั่งฟีเลเซียทำให้ลานกว้างเบื้องหน้าเกิดฝุ่นคลุ้งกระจายม้วนตัวขึ้นกลายเป็นกำแพงฝุ่นหนาทึบขนาดใหญ่ แต่ด้วยสัญชาตญาณแห่งสัตว์ป่าและดวงตาที่แหลมคมยาวไกลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปทำให้เหล่านักรบสมิงสามารถมองเห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกำแพงฝุ่นนั้น

ความเครียดก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเคราะห์กระหน่ำซ้ำเติมเผ่าสมิง ที่ทำมาหากินจู่ ๆ ก็กลายเป็นเต่ายักษ์บินจากไปเหลือไว้แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ความเสียหายของบ้านเรือนและผู้คนที่บาดเจ็บ แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ กลับต้องรีบลุกขึ้นมาจับอาวุธเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายยิ่งกว่า อนิจจานักรบสมิงไม่กี่พันตนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชุลมุนจากเต่ายักษ์ไปหยก ๆ ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับกองทัพกระหายเลือดนับแสนของจักรวรรดิซาโลมได้
ทันทีที่กองทัพเพลิงเคลื่อนทัพเข้าเขตเผ่าสมิงก็เข่นฆ่าฟาดฟันนักรบสมิงอย่างดุเดือด ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเผ่าสมิงก็ถูกปล้นสะดมและเผาทำลายที่อยู่อาศัยจนวอดวาย ศพสมิงนับร้อยนับพันนอนตายกระจัดกระจายไปทั่ว เพียงแค่พริบตาเดียวทั้งเผ่าก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว เผ่าสมิงที่ถูกรุกรานอย่างน่ารักมโหดต่างต้องรีบถอยร่นเข้าไปในป่าลึกใกล้เขตเผ่าฟูดินันเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทางเลือก

ทหารซาโลมได้รับคำสั่งให้กักตุนอาหารและทรัพย์สินมีค่าทันที กษัตริย์ซาดินเดินสำรวจรอบ ๆ ลานกว้างที่ดูเหมือนจะเป็นลานชุมนุมของเผ่าสมิงท่ามกลางร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่านักรบสมิง เมื่อแลเห็นความอุดมสมบูรณ์ที่ดูเหมือนเก็บเกี่ยวเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดก็มีแต่ความชุ่มชื่นและเขียวสด ทำให้ความโลภของกษัตริย์ซาดินยิ่งโหมกระพือแรงกล้าขึ้น เมื่อคิดว่ายิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็คงยิ่งมีอาหารและความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก พวกเผ่าประหลาดครึ่งสัตว์พวกนี้ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยนิดแค่หยิบมือ นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงผ่านเทือกเขาคีรีบันดามาได้ อะไร ๆ ก็เหมือนจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเช่นนี้ การจะครอบครองผืนป่าแห่งนี้คงไม่ยากเย็นอย่างที่คิด กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ผืนป่าก่อนที่จะไปหยุดลงตรงที่ต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้าพลางยิ้มอย่างท้าทาย

“ดูสิว่าคราวนี้เทพของพวกมันจะทำยังไง?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างเย้ยหยัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:23 pm

“ฝ่าบาท!” เสียงอุปราชเฒ่าดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจไว้อย่างชัดเจน เบลซ เซจที่เพิ่งจะตามมาสมบทกับกองทัพได้ทันก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างร้อนรน “เหตุใดพระองค์จึงเคลื่อนทัพมาโดยลำพังก่อนที่จะได้ปรึกษาหารือกับทุกคนเช่นนี้? ลืมความตั้งใจของพวกเราแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เรากำลังบุกฟีเลเซียและพวกมันก็กำลังจะถูกไล่ต้อนให้จนมุมอยู่แล้ว พระองค์กำลังจะทำให้เราเสียการณ์ใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ดูสิ เจ้าเคยเห็นความอุดมสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อนไหม เบลซ เซจ? “ กษัตริย์ซาดินตรัสถามเหมือนจะไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่อุปราชเฒ่าพูดสักนิด

“ฝ่าบาท!” เบลซ เซจ เรียกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและกระด้างเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น กษัตริย์ซาดินจึงทรงหันมาสนใจในที่สุด ดวงเนตรหรี่แคบเปล่งประกายกล้า

“ทำไม?! ความตั้งใจแรกของเราก็คือบุกผืนป่านี้เพื่อกักตุนเสบียงอาหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เสบียงของกองทัพก็ร่อยหรอเต็มทีแล้ว” กษัตริย์ซาดินตรัสกระแทกเสียงวาดพระหัตถ์ไปยังช่องเขาที่เปิดออก “ไอ้เต่าบินนั่นเปิดทางนี้ให้ข้า ให้กองทัพของข้า และนี่!” ทรงชี้นิ้วไปที่ผืนป่าเบื้องหน้า “เสบียงอาหารที่เราต้องการและข้าต้องการทั้งหมดด้วย งานแค่นี้หวังว่าเจ้าคงไม่พลาดอีกนะ จงไปจัดการซะ! ข้าจะรอดูผลงานของเจ้าอยู่ที่นี่”

กษัตริย์ซาดินทรงสั่งให้เบลซ เซจนำทัพทันทีโดยไม่สนพระทัยความขุ่นเคืองและเครียดขึงของอุปราชเฒ่า แล้วจึงหันไปให้สัญญาณพลกลอง รับสั่งเสียงห้วนห้าว “ทหารทั้งหลายฟังให้ดี เคลื่อนทัพถึงเผ่าใดเมืองใดก็ให้ชิงของมีค่าทุกอย่างและรวบรวมเสบียงอาหารมาให้มากที่สุดใครขวางทาง ฆ่าให้หมด!!”

เสียงขานรับจากบรรดาทหารแห่งเพลิงก็ดังกระหึ่มก้องป่า


รุ่งขึ้นของวันที่สามหลังเหตุการณ์เต่าบินยักษ์ ทันทีที่เหล่าเซนทอร์เรนเจอร์พาชาวเผ่าสมิงหลบหนีเข้ามาถึงเขตเผ่าฟูดินันพร้อม ๆ กับชาวป่าจากเผ่าต่าง ๆ บริเวณใกล้เคียงก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและระส่ำระสายขึ้นในฟูดินันทันที เสียงสัญญาณจากหอคอยทั้งสี่ของเผ่าก็ดังระรั่วก้องป่าพร้อม ๆ กับเสียงสัญญาณขานรับจากเผ่าต่าง ๆ ดังเป็นทอด ๆ อย่างรวดเร็ว บรรดาชาวบ้านต่างก็รีบหอบลูกจูงหลานโดยไม่มีแม้แต่เวลาที่จะเก็บทรัพย์สมบัติของตนมีเพียงทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะคว้าได้ติดตัวมานิดหน่อยเท่านั้น ทุกคนต่างไปรวมตัวกันที่บริเวณลานกว้างของเผ่าด้วยความพรั่นพรึง ซึ่งที่นั่นเองครอบครัวบันดาราก็ยืนรอคอยท่าอยู่แล้ว

“พี่น้องทุกท่าน เต่ายักษ์ที่พวกเราเห็นบินจากไปเมื่อไม่กี่วันมานี้คือภูเขาที่กั้นเผ่าสมิงและอาณาจักรฟีเลเซียไว้ อย่างที่เราทราบมาว่าเวลานี้จักรวรรดิซาโลมกำลังทำศึกกับอาณาจักรฟีเลเซียอยู่ และขณะนี้กองทัพเพลิงของจักรวรรดิซาโลมก็อาศัยพื้นที่ว่างที่เกิดขึ้นนั้นบุกทำลายเผ่าสมิงและเผ่าอื่น ๆ โดยรอบแล้ว และพวกมันกำลังจะเคลื่อนทัพมาทางนี้ ระหว่างนี้เราจะเร่งระดมพลเพื่อต้านกองทัพของซาโลมให้เร็วที่สุด ดังนั้นเราจึงต้องรีบอพยพทันที” ฮารีซันแจ้งสถานการณ์คร่าว ๆ ให้บรรดาชาวบ้านและผู้อพยพได้รับรู้ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกและเสียงหวีดร้องคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวของบรรดาชาวบ้าน
ฮารีซันหันไปหาปู่และน้องสาว “ท่านปู่กับวานาอันไปกับคาราวานชาวบ้านด้วยนะครับ”

“วานาอัน เจ้าไปกับพวกเขาเถอะ ปู่จะอยู่ที่นี่” วูจินกล่าวเสียงเรียบ

วานาอันเบิกตากว้างด้วยความตกใจรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างร้อนรนเพราะความเป็นห่วง “ถ้าท่านปู่อยู่ที่นี่ หลานก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”

“ไม่ได้นะ อยู่ที่นี่ไม่ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ ท่านปู่ได้โปรดเถอะครับ...มันอันตรายเกินไป” ฮารีซันก็รีบละล่ำละลักพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความเงียบที่น่าอึดอัดก็เกิดขึ้นทันทีในขณะที่ขบวนผู้อพยพเริ่มทยอยเคลื่อนแถวออกจากลานกว้างมุ่งหน้าสู่ป่าลึกทางทิศตะวันออกโดยมีจุดหมายอยู่ที่เชิงเขาปีกขวาของเทือกเขาคีรีบันดา ส่วนผู้อพยพอีกจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าลงใต้สู่ที่ลุ่มอีกฟากของทะเลสาบนีรันดาตอนใต้ ซึ่งแม่น้ำที่ไหลออกจากทะเลสาบนีรันดาได้กัดเซาะจนมีลักษณะเป็นทำนบสูงเหมาะแก่การตั้งค่าย ผู้เฒ่าวูจินมองใบหน้าของหลานทั้งสองอย่างชั่งใจพักหนึ่ง

“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นวานาอันอยู่กับปู่ก็ได้” วูจินกล่าวขึ้นในที่สุด ซึ่งวานาอันที่แม้ใบหน้างามจะขมวดมุ่นเพราะความหวั่นวิตกแต่ก็รีบคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจทันทีที่ปู่ยอมอนุญาตให้อยู่ด้วย

“ท่านปู่” ฮารีซันพยายามทักท้วง

ทันใดนั้นเองนักรบสมิงที่ถูกตีถอยร่นมาก็มาถึงฟูดินันพอดี นำโดยคาร์นและโทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ด เลือดของศัตรูแทบจะชุ่มโชกตัวสมิงทั้งสอง ใบหน้ายังคงแสยะแยกเขี้ยวอย่างดุดัน ทำเอาวานาอันซึ่งไม่ทันตั้งตัวอ้าปากอุทานด้วยความตกใจแต่ไม่กล้าให้เสียงรอดออกมา จึงได้ยินเพียงเสียงสูดอากาศเข้าไปและหยุดชะงักลมหายใจเสียดื้อ ๆ เพราะเผ่าสมิงแทบจะไม่เคยมาสุงสิงกับเผ่ามนุษย์มานาน แค่ได้พบเห็นธรรมดาก็สร้างความหวาดกลัวให้อยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นในสภาพที่เลือดโทรมกายเช่นนี้ หญิงสาวจึงถึงกับตัวสั่นใบหน้าซีดเผือดรีบเขยิบหลบไปอยู่หลังปู่และฮารีซันทันที ฮารีซันเห็นดังนั้นจึงก้าวขึ้นมาบังน้องสาวไว้ทำให้วานาอันคลายความตกใจและรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อคาร์นมายืนต่อหน้าหัวหน้าเผ่าฟูดินัน เขาก็คำรามเสียงต่ำด้วยความอึดอัดใจ
“ท่านผู้เฒ่า ท่านฮารีซัน ข้าละอายใจจริง ๆ ที่ไม่เคยให้ความร่วมมือใด ๆ เรื่องเตรียมการซ้อมรบ แต่สุดท้ายเผ่าเรากลับถูกโจมตีเป็นเผ่าแรกซ้ำยังกลับต้องมาพึ่งพวกท่าน”

“อย่าคิดเช่นนั้นเลยท่านคาร์น พวกเรายินดีที่พวกท่านมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย เวลานี้ถ้าเราได้นักรบสมิงมาช่วยเสริมอีกแรงก็จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กองทัพของพวกเรามากขึ้น” ฮารีซันกล่าวอย่างไม่ถือโทษโกรธเคืองพลางกระชับมือกับคาร์นที่ส่งมือมาให้ด้วยความยินดียิ่ง ซึ่งถือเป็นสัญญาว่าเผ่าสมิงจะเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าฟูดินันและเผ่าอื่น ๆ นั่นเอง

“พวกเราใช้ทางลัดเดินตัดป่าทั้งวันทั้งคืนจึงมาถึงที่นี่ได้เร็วขึ้น ข้าคิดว่ากองทัพซาโลมที่มีจำนวนมากมายขนาดนั้น ทั้งยังปล้นสะดมกวาดทรัพย์สินตามเผ่าต่าง ๆ ด้วย ก็น่าจะใช้เวลาในการเดินทัพอย่างเร็วคงก็ไม่เกินสามวัน เราคงยังพอมีเวลาเตรียมรับมือพวกมันได้” คาร์นประเมินเวลาให้ผู้นำรุ่นเยาว์และผู้อาวุโสได้ทราบ

“แล้วหัวหน้าเผ่าสมิงล่ะ?” วูจินถามขึ้นเมื่อไม่เห็นหัวหน้าเผ่าสมิงในกลุ่มนักรบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:24 pm

โทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ด ส่ายหน้า “หลังจากเผ่าของเราถูกโจมตีจนต้องถอยร่นมา พวกเรายังไม่พบท่านเลย ก็หวังว่าท่านจะปลอดภัย…”

พูดได้เพียงเท่านั้นแกสช์ก็ตามเข้ามาสมทบพร้อมกับนายพลทราเฮิร์นแห่งเผ่าเซนทอร์ ดามิก้า และ หัวหน้านักรบจากเผ่าต่าง ๆ ทุกคนต่างยินดียิ่งนักเมื่อได้ทราบว่าเผ่าสมิงจะช่วยรบอีกแรง แต่ทุกคนค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นวูจินและวานาอันยังคงอยู่ที่นั่นมิได้ร่วมเดินทางไปกับขบวนผู้อพยพ

“ทำไมท่านวูจินและท่านวานาอันยังอยู่ที่นี่ล่ะ? ข้าให้อลูปัส(Alupus, The Companion of Damica)พาไปส่งที่ขบวนอพยพดีไหม?” ดามิก้าอาสาให้สัตว์คล้ายหมาป่ายักษ์ขนสีขาวปรอดทั้งตัว ซึ่งสัตว์เลี้ยงคู่ใจของตนไปส่งทั้งสองยังที่ปลอดภัยทันที
“ขอบใจมาก ดามิก้า แต่ข้าและหลานตั้งใจจะอยู่ช่วยพวกเจ้าที่นี่อีกแรง” วูจินกล่าวเสียงหนักแน่น ใช้มือตบหลังมือของหลานสาวที่ประคองแขนของตนเบา ๆ เหมือนจะให้ความมั่นใจกับเธอ

“ท่านปู่”

“ท่านผู้เฒ่า”

“ท่านวูจิน”

เสียงทัดทานจากฮารีซันและบรรดาหัวหน้านักรบดังขึ้นแทบจะพร้อมกันด้วยความกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของบุคคลทั้งสอง
“พวกเจ้าอย่าวิตกกังวลนักเลย ข้าไม่เข้าไปยุ่งในการรบของพวกเจ้าหรอก ข้ากับวานาอันจะไปรอพวกเจ้าอยู่ที่ป่าด้านหลังนั่น” วูจินชี้มือไปทางป่าอีกด้านซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของมหาพฤกษาอิกดราซิล “ถ้าใกล้จะพลาดท่าเสียทีก็ให้รีบถอยไปที่ชายป่าด้านนั้น ข้าจะร่ายคาถากางม่านมิติ (Dimension Curse) ไว้คอยช่วยพวกเจ้า”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นจึงค่อยเบาใจ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าเมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเผ่า คาถาม่านมิติของผู้เฒ่าวูจินนั้นมีอานุภาพพรางตาศัตรูได้ดีเพียงใด

“ถ้าเช่นนั้นข้าฝากน้องด้วยนะครับท่านปู่ วานาอันดูแลท่านปู่ดี ๆ นะ” ฮารีซันยินยอมในที่สุด ซึ่งวานาอันก็พยักหน้ารับคำทันที สีหน้ายังคงดูซีดเซียวเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนสร้างความประหวั่นและตื่นตระหนกให้เด็กสาวไม่น้อย ฮารีซันกอดน้องเบา ๆ คล้ายจะปลอบให้คลายความกังวล ก่อนจะหันไปกอดปู่ที่รักและเคารพราวกับจะขอกำลังใจและความเข้มแข็งจากท่านผู้เฒ่า

เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ววูจินและวานาอันจึงออกเดินทางไปยังที่มั่นของพวกตน จากนั้นทุกคนจึงร่วมกันวางแผนการรบอย่างรวดเร็วโดยอาศัยความได้เปรียบจากความชำนาญในพื้นที่คอยดักซุ่มโจมตีกองทัพของจักรวรรดิซาโลม เพราะจำนวนกองทัพที่มากมายมหาศาลของซาโลมทำให้ต้องพึ่งพาพวกสิ่งมีชีวิตและสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบผืนป่าให้เป็นประโยชน์ ต่างตกลงกันแบ่งกำลังออกเป็นส่วน ๆ เพื่อหลอกล่อและตั้งรับกองทัพเพลิงจำนวนมหาศาลที่ทะลักเข้ามา โดยบางส่วนจะหลอกล่อให้กองทัพซาโลมตามเข้าไปในเขตถ้ำทมิฬของเผ่าป่าทมิฬซึ่งมีกิ้งก่าหิน(Stone Lizard) ขนาดใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ร่างกายที่มีหนามแข็งเหมือนหินโดยเฉพาะตุ้มหินที่หางนั้นสามารถสร้างความเสียหายให้เหยื่อชนิดที่แทบไม่เคยพลาด ทั้งยังมีแมลงมัจจุราชสวรรค์ (Death Paradise) แมลงสีสันฉูดฉาดสวยงามแต่มีพิษร้ายแรงขนาดฆ่าคนได้ทันทีด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียว และแม่ม่ายดำ(Dark Widow) ราชินีแมงมุมผู้เลือดเย็นคอยสร้างใยจ้องดักจับผู้บุกรุกเพื่อเป็นอาหารอีกด้วย ซึ่งหากไม่ใช่คนที่ชำนาญในพื้นที่และรู้ทางหนีทีไล่ภายในถ้ำเป็นอย่างดีก็จะตกเป็นเหยื่อของกิ้งก่าหิน แมลงมัจจุราชสวรรค์ และแม่ม่ายดำได้ง่าย ๆ และหากใครสามารถรอดชีวิตจากถ้ำทมิฬได้ ก็จะถูกจู่โจมจากนักรบฝีมือเยี่ยมของเผ่าป่าทมิฬอีก โดยหน้าที่นี้ดามิก้าและโทนิม่าอาสานำทัพเอง

อีกส่วนหนึ่งนำโดยหัวหน้าเผ่าย่อย ๆ ทางเหนือร่วมกับเผ่าย่อยอื่น ๆ ทำหน้าที่หลอกล่อกองทัพเพลิงไปทางทิศใต้ของมหาพฤกษาอิกดราซิลซึ่งมีป่าอยู่บริเวณหนึ่ง เป็นเขตป่าดงดิบหนาทึบที่ยังไม่ใครเข้าไปตั้งรกรากอยู่ มันถูกเรียกว่าเขตแดนรกร้าง ที่นี่มีผีคามอต(Kamot, the Ghost of Waste Land) ผีร้ายหวงที่ซึ่งมันจะจู่โจมผู้บุกรุกอย่างไม่ปราณี ปีศาจอคาทาร์ทอส(Akathartos)ปีศาจรูปร่างเหมือนคางคาวเผือกขนาดใหญ่ที่มักดักซุ่มโจมตีผู้ที่ย่างกรายเข้ามาในเขตแดนของตน ทั้งยังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายอาศัยอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นอารัคโน่ (Arachno) สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ผิวเนื้อสีแดงเลือดมีเข็มพิษแผ่เป็นพัดอยู่ทางด้านหลัง อารัคน่า(Arachna) ราชินีแมงมุมอีกพันธุ์หนึ่ง อารัคน่ามักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นในขณะที่แม่ม่ายดำชอบอาศัยอยู่ในถ้ำมืดและชื้นแฉะ และยังมีต่อพิษ (Delirious Warp)ที่อาศัยอยู่ในป่าเขตนี้อย่างชุกชุม มันจะต่อยเหยื่อแล้วปล่อยพิษร้ายที่ทำให้อวัยวะภายในของเหยื่อกลายเป็นของเหลวพร้อมวางไข่ไว้ในร่างของเหยื่อเพื่อให้ซากของเหยื่อกลายเป็นอาหารของลูก ๆ มัน ในขณะที่กองทัพอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นทัพใหญ่ประกอบด้วยเผ่าฟูดินัน เผ่าเซนทอร์ และ เผ่าสมิงก็เตรียมจัดการกับกองทัพที่เหลือของซาโลมโดยมีผู้เฒ่าวูจินกางอาคมม่านมิติไว้ค่อยช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง

ครั้นเมื่อตกลงกันได้ดังนี้แล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปจัดการตามแผนที่วางไว้ทันที เผ่าป่าทมิฬนำโดยดามิก้าและโทนิม่านำนักรบกว่าห้าพันคนประกอบไปด้วย นักล่าแห่งป่าทมิฬ(Black Wood Hunter) เหล่านักล่าผู้ชำนาญพื้นที่ป่าแถบเผ่าสมิงมากที่สุดอีกทั้งยังรู้จักวิธีการปราบสัตว์ร้ายแถบนี้เป็นอย่างดี, มนุษย์หมาป่า(Black Wood Werewolf) เผ่ามนุษย์หมาป่าสีดำสนิทรูปร่างใหญ่กำยำ อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ในเผ่าป่าทมิฬมีหอกยาวเป็นอาวุธ มีทักษะได้การดมกลิ่นและสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเป็นเลิศ ถนัดด้านการดักซุ้มโจมตีแบบกองโจร, ก๊อบลิน(Black Wood Goblin) เผ่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในป่าทมิฬ มีรูปร่างขนาดเล็กปราดเปรียว เล็บยาวแหลมคม และ หางยาว ชำนาญด้านการดักลอบโจมตีเป็นพิเศษ, เพชฌฆาตแห่งป่าทมิฬ (Black Wood Executioner) เหล่าหน่วยเพชฌฆาตของเผ่าที่มีพละกำลังมหาศาลและไร้ความปรานี, นักรบทวนแห่งป่าทมิฬ (Black Wood Lancer) นักรบที่สวมหน้ากากตกแต่งด้วยลวดลายสีแดงมีจะงอยคางแหลมยื่นดูน่ากลัว ใช้กะโหลกของศัตรูมาทำสนับเข่าทั้งสองข้าง อันเป็นการบ่งบอกถึงความเก่งกล้าสามารถของนักรบ, ซินิสเตอร์เซนทอร์ (Sinister Centaur) เซนทอร์เถื่อนที่มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าวและขี้หงุดหงิด มีหอกห้าแฉกเป็นอาวุธ และ ไวล์ด ไนท์ เซนทอร์ (Wild Night Centaur) นักรบเซนทอร์สายเสือดำที่ดุร้ายใช้โล่และหอกแหลมเป็นอาวุธ ทั้งหมดต่างมุ่งหน้าออกไปยังจุดที่กำหนดไว้ทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:25 pm

ด้านเผ่าฟูดินัน เผ่าสมิง และ เผ่าเซนทอร์ นำกองกำลังปกป้องฟูดินัน(Fudenun Guard) ที่ผ่านการฝึกจากแกสช์ นักล่าแห่งฟูดินัน(Fudenun Hunter), ผู้ฝึกสัตว์แห่งฟูดินัน (Fudenun Tamer) ที่สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าได้เป็นอย่างดี, เซนทอร์แพะภูเขา (Mountain Goat Centaur) ที่มีความทรหดสูงเพราะอาศัยอยู่บริเวณภูเขาที่ลาดชัน และรวมทั้งนักรบเผ่าสมิง ต่างก็เตรียมตั้งรับกับกองทัพของจักรวรรดิซาโลมอย่างเต็มที่ ในขณะที่นักรบจากเผ่าอื่น ๆ ที่เหลือก็แยกย้ายไปเตรียมรับมือทางฝั่งทิศเหนือ


กองทัพที่แสนโหดน่ารักมของซาโลมบุกจู่โจมเผ่าต่าง ๆ ราวกับมหาเพลิงพิโรธที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างจนมอดไหม้ภายในพริบตาเดียว ผนวกกับความขัดเคืองใจของอุปราชเฒ่าที่องค์กษัตริย์ไม่ทำตามแผนการที่ตนวางไว้ยิ่งทำให้การสั่งการจู่โจมในแต่ละครั้งของเบลซ เซจยิ่งทวีความอำมหิตขึ้นเรื่อย ๆ ชั่วเวลาเพียงหนึ่งวันเผ่าเล็ก ๆ ตามทางก็แทบไม่เหลือแม้แต่กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต การบุกจู่โจมเผ่าต่าง ๆ ช่างง่ายดายและแสนสะดวกโยธินเหมือนเผ่าต่าง ๆ ไม่มีการป้องกันใด ๆ เลยทั้งสิ้น เบลซ เซจจึงเริ่มแบ่งกองกำลังบางส่วนไว้เพื่อการเก็บทรัพย์สมบัติโดยนำกองทัพผีส่วนใหญ่ไปกับตนด้วย

เข้าวันที่สอง ขณะที่เบลซ เซจ นำกองทัพรุกคืบเข้าใกล้มหาพฤกษาอิกดราซิลเข้าไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ กองทัพเพลิงก็ถูกจู่โจมจากทุกทิศทุกทางด้วยฝูงธนูและกับดักที่กองกำลังปกป้องของฟูดินันวางไว้ เหล่าผู้ฝึกสัตว์จากเผ่าต่าง ๆ ต่างก็ส่งฝูงสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าที่ดุร้ายไม่ว่าจะเป็น เกรท บาซิลิส์ก (Great Basilisk), พังพอนดาบ (Saber Mongoose), เสือดิน (Ground Tiger), เสือหางดาบ(Saber Tail Tiger) และ เสือสามเขา(Tri Horn Tiger) เข้าจู่โจมกองทัพเถื่อน

ทว่าการลอบโจมตีกองทัพของจักรวรรดิซาโลมนั้นแทบจะไม่ทำให้การเคลื่อนทัพหยุดชะงักหรือล่าช้าลงสักเท่าไหร่เลย เพราะทัพหน้าของซาโลมคือเหล่าทหารผีนรกที่เป็นอมตะนั่นเอง อุปราชเฒ่าเงยหน้าหัวเราะด้วยความสะใจและสมเพชในความอ่อนด้อยทั้งด้านการรบและยุทโธปกรณ์ของพวกชาวป่า

แต่แล้วด้วยความไม่คาดฝันจู่ ๆ ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศอย่างรวดเร็วจากชายป่าฝั่งซ้ายเฉียดแขนของอุปราชเฒ่าไปอย่างไม่รู้ตัว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เปิดออกทันที ร่างของเบลซ เซจสั่นเทิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด และในทันใดนั้น ฝนธนูห่าใหญ่ก็พุ่งออกจากชายป่าด้านซ้ายโจมตีทัพกลางของซาโลมทันที เบลซ เซจ ทั้งเจ็บปวดและตกตะลึงที่ถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ตำแหน่งที่เขาอยู่เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ใจกลางของกองทัพรายล้อมด้วยทหารที่มีอาวุธครบมือหลายหมื่นนาย แต่กลับยังถูกพวกชาวป่าล้าหลังพวกนี้ทำร้ายอย่างน่าสมเพช ความโกรธจัดที่ปะทุออกจากความแค้นที่ถูกลูบคมส่งผลให้อุปราชเฒ่าแผดเสียงสั่งการแม่ทัพฝ่ายซ้ายจนน้ำเสียงแตกพร่า ดวงตาปูดโปนด้วยความโกรธแค้น นิ้วที่ผอมยาวจนกระดูกปูดโปนชี้ตรงไปยังป่าลึกด้านซ้ายอย่างสั่นเทา

“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”

ทัพปีกซ้ายกว่าสองหมื่นนายก็เคลื่อนเข้าสู่ป่าลึกทันทีพร้อมกับการถอยร่นของพวกชาวป่าที่หลบซ่อนอยู่ตามที่ซ่อนตามพุ่มไม้และยอดไม้สูง แต่เพียงชั่วอึดใจเสียงตีเกราะเคาะไม้และเสียงเฮโลก็ดังสนั่นจากทางป่าด้านขวาพร้อม ๆ กับหอกแหลมและลูกดอกอาบยาพิษที่พุ่งจู่โจมทัพซาโลมปักร่างทหารจนล้มคว่ำไปหลายร้อยนาย เพราะจุดที่อยู่ในที่แจ้งของทัพซาโลมทำให้ตกเป็นเป้าให้หอกและลูกดอกอาบยาพิษได้ง่าย อีกทั้งความชำนาญในการซ่อนตัวของพวกชาวป่าที่อาศัยภูมิประเทศที่คุ้นเคยเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้การซุ่มโจมตีเกิดผลค่อนข้างน่าพอใจอย่างยิ่ง เหล่าทหารซาโลมต่างรีบยกโล่ขึ้นป้องกันเป็นแนวยาว สายตาพยายามสอดส่ายหาที่มาของลูกดอกอาบยาพิษและหอกที่ระดมใส่พวกตน ความขึงโกรธที่สั่งสมมาหลายวันและความชะล่าใจในฝีมือเชิงยุทธ์ของพวกชาวป่าทำให้เบลซ เซจไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่านี่อาจจะเป็นกับดักของพวกชาวป่า

“หนอย...ไอ้พวกมดปลวกโสโครก ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกที่บังอาจมาต่อกรกับข้า ทัพปีกขวาไปจัดการมันให้สิ้นซาก” ทันทีที่เสียงสั่งการของอุปราชเฒ่าแผดกร้าว ทัพปีกขวากว่าสองหมื่นนายที่พุ่งทะยานเข้าสู่ป่าลึกอย่างรวดเร็ว อุปราชเฒ่าหันไปมองทางหน้าทัพที่บัดนี้เหล่าทหารผีร่างพรุนไปด้วยลูกธนูจนแทบไม่มีที่ว่าง เบลซ เซจกัดฟันกรอดก่อนจะให้สัญญาณเคลื่อนทัพไล่ล่าพวกชาวป่าที่ถอยร่นไปทางมหาพฤกษาอิกดราซิลทันที

กองทัพผีนรกออกวิ่งนำหน้าไล่ล่าพวกชาวป่าอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าพวกชาวป่าจะพยายามต่อต้านกองทัพผีสักเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล รังแต่จะเสียธนูและไพล่พลไปอย่างไร้ประโยชน์ ความเร็วของฝีเท้าพวกมันไม่มีตก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของพวกชาวป่าที่วิ่งไม่ทันจนถูกทหารผีฉีกทึ้งร่างทั้งเป็นดังเป็นระยะ ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นไปทั่วผืนป่าสร้างความหฤหรรษ์ให้กับอุปราชเฒ่าอย่างหาที่สุดไม่ได้ ยิ่งได้เห็นอาการทุรนทุรายของเหยื่อก็ยิ่งมีความสุข เหล่าทหารผีที่รุมกันเข้าฉีกกินเหยื่อทั้งเป็นราวกับเป็นงานเลี้ยงเลือดของปีศาจร้ายกระตุ้นให้เบลซ เซจยิ่งฮึกเหิมและก้าวร้าวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


นักรบฟูดินัน เซนทอร์ และสมิง ถูกรุกไล่จนใกล้เขตมหาพฤกษาเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่อาจต่อกรกับปีศาจที่ไม่มีวันเหนื่อย เจ็บ หรือ ตาย และมีจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ได้ เหล่านักรบเริ่มเสียขวัญเมื่อถูกไล่กัดกินโดยกองทัพที่เป็นอมตะอย่างไม่มีทางสู้

“ท่านฮารีซัน เราใกล้เขตมหาพฤกษาเข้าไปทุกทีแล้วนะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไอ้ปีศาจพวกนี้ต้องไปถึงค่ายอพยพแน่” นายพลทราเฮิร์น แห่งเผ่าเซนทอร์พูดด้วยความหวั่นวิตก

“ไอ้พวกขี้ขลาดนั่นเอาแต่หลบอยู่หลังกองทัพปีศาจ ถ้าเราจัดการเก็บไอ้พวกทัพมนุษย์ได้ เราก็คงจะสามารถบั่นทอนขุมกำลังพวกซาโลมได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ให้ทหารร่วมแสนวิ่งพล่านทั้งป่าอย่างนี้” คาร์นคำรามขณะที่เร่งฝีเท้าให้จัดขึ้น

“พวกเราวิ่งอย่างนี้กันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ พวกนักรบก็เริ่มอ่อนแรงแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปกองทัพของพวกเราคงไม่มีเหลือแน่ หนอย...ถ้าเพียงแต่เราสามารถอ้อมไปข้างหลังมันได้ละก็” แกสซ์แยกเขี้ยวคำรามอย่างดุดัน

“มีอยู่ทางเดียวที่เราจะไปอยู่ข้างหลังพวกมันได้” ฮารีซันพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ลดความเร็วของฝีเท้าลงแม้แต่น้อย โดยมีสายตาใคร่รู้ของเหล่าขุนพลมือฉกาจที่เหลือบมามอง “เราต้องไปหาท่านปู่”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยทันทีเพราะพอจะเดาความคิดของหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ได้ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นทุกคนจึงรีบเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู้เขตมหาพฤกษาอย่างรวดเร็ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 31 อิกดราซิลมอดไหม้? @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:27 pm

ทันทีที่กองทัพซาโลมรุกไล่เหล่านักรบชาวป่ามาถึงเขตใต้ร่มใบของมหาพฤกษาอิกดราซิล จู่ ๆ พวกนักรบชาวป่าก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา กองทัพของซาโลมถึงกับหยุดชะงักอยู่นอกเขตร่มใบของมหาพฤกษาจ้องมองพื้นที่เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา นักรบชาวป่าเป็นหมื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร? สายตาทุกคู่ต่างพยายามสอดส่ายหาที่ซ่อนที่น่าจะเป็นไปได้ของพวกชาวป่า แต่ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็มีแต่ที่โล่งแจ้งและความว่างเปล่า

“ไอ้พวกมดปลวกเจ้าเล่ห์ บังอาจเล่นกลอะไรกับข้านี่” เบลซ เซจ คำรามเสียงลอดไรฟัน ดวงตาที่แดงกำสอดส่ายไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองความใหญ่โตมโหฬารของต้นอิกดราซิล เพียงแค่จับจ้องกิ่งก้านที่วูบไหว เบลซ เซจก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังต้นคอแล้ว อุปราชเฒ่าเหยียดริมฝีปากอย่างชิงชัง “ค้นหาให้ทั่วทุกตารางนิ้ว พวกมันต้องซ่อนตัวอยู่แถว ๆ นี้แน่”
แต่ทันทีที่ทหารผีเริ่มก้าวเข้าเขตร่มใบของต้นไม้ยักษ์ร่างของพวกมันก็สั่นงันงก เพียงแค่เท้าของพวกมันเหยียบไปบนใบไม้สีเงินยวง ควันสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้องที่แหลมจนแสบแก้วหูจากเหล่าทหารผีนรก ใบไม้สีเงินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นกลับกลายเป็นกับดักที่มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์แผดเผาเท้าของเหล่าทหารผีให้เดือดพล่าน

“ข้านึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว” เบลซ เซจขบกรามแน่นกระแทกคทากับพื้นรถม้าด้วยความขัดเคืองก่อนจะรีบสั่งการให้ทหารผีเดินอ้อมชายป่าไป และให้ทหารมนุษย์ออกลุยทัพหน้าแทน

ทหารซาโลมกระจายกำลังกันค้นหานักรบชาวป่าทันที หลายคนสัมผัสได้ถึงสายตาจำนวนมากที่จับจ้องมองพวกเขาอยู่ บางครั้งหางตาของพวกเขาสามารถจับภาพบางอย่างได้คล้ายมีใครสักคนเคลื่อนไหว แต่แล้วมันก็อันตราธานหายไปในทันทีที่สายตาพยายามจับภาพให้ชัดเจนขึ้น

และในวินาทีนั้น กองทัพชาวป่าก็เฮโลออกมาจากชายป่าทางทิศเหนืออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คาร์น แกสช์ และ โทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ด นำกองทัพสมิงและนับรบชาวป่าบางส่วนเข้าจู่โจมจากทางปีกซ้าย ในขณะที่ฮารีซันและนายพลทราเฮิร์น นำกองทัพฟูดินันและนักรบเซนทอร์ตีขนาบทางปีกขวา ทัพซาโลมที่วางกำลังป้องกันอย่างหลวม ๆ เพราะการแยกย้ายกันค้นหาพวกชาวป่าทำให้เหล่านักรบชาวป่าสามารถต่อกรได้ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงฟาดฟันของศราตราวุธที่ตรงเข้าห้ำหั่นกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แต่ทันทีที่กองทัพเพลิงรวมตัวกันได้พวกชาวป่าก็รีบถอยร่นเข้าป่าลึกอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารทั้งชาวป่าและซาโลมที่ล้มตายเป็นจำนวนไม่น้อย เลือดสด ๆ ไหลชโลมพื้นอาบรากของมหาพฤกษา

“ไอ้พวกโง่เง่า หนีไปหาที่ตายแท้ ๆ “ เบลซ เซจ แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิต เพราะเขาเพิ่งจะสั่งการให้กองทัพผีนรกเดินอ้อมไปทางนั้นพอดี เมื่อเบลซ เซจมองเห็นธงซาโลมพลิ้วไหวอยู่ไกล ๆ ทางทิศที่พวกชาวป่ามุ่งไปเขาก็แทบจะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวพวกนับรบชาวป่าก็อันตราธานไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง อุปราชเฒ่าถึงกับเซถลาไปข้างหน้า มือกำขอบรถศึกไว้แน่น

“เป็นไปไม่ได้!” อุปราชเฒ่าคำราม ฟาดคทาใส่ขอบรถศึกอย่างเดือดดาล “บังอาจลองดีกับข้าใช่ไหม? ข้าจะทำให้พวกเจ้าสำนึกในความโอหังโง่ ๆ นี้ ตัดต้นไม้บริเวณนี้ให้หมด ข้าจะเผามันด้วยเพลิงเวทย์ที่น้ำไม่มีวันดับได้ ดูสิว่ามันจะหลบซ่อนตัวที่ไหนได้อีก?”

เหล่าทหารก็รุมกันตัดต้นไม้บริเวณชายป่าด้านหลังตามคำสั่งของท่านอุปราชเป็นการใหญ่ ต้นไม้ขนาดสามถึงสี่คนโอบต้นแล้วต้นเล่าเริ่มล้มระเนระนาด บางต้นล้มหักไปฟาดกับอีกต้นจนกิ่งก้านของต้นนั่นหักร่วงลงกราวพื้น ใบไม้สีเขียวสดปลิวว่อนไปทั่วบริเวณต้นไม้ที่กองทับกันสูงแทบมิดศีรษะ เสียงครวญลั่นของต้นไม้ดังสนั่นอื้ออึงราวกับใครบางคนกำลังครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส

แต่แล้วทุกคนก็พลันได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนดังแว่วออกมาจากต้นไม้ยักษ์เบื้องหลัง เสียงร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัวพร้อมกับที่ลำต้นและกิ่งก้านของมันเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนมีมือขนาดใหญ่กำลังเขย่าต้นไม้ยักษ์ทั้งต้นจนทุกคนสามารถสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนได้จากพื้นดินเลยทีเดียว

“ฤทธิ์มากนักหรือ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงมอดไหม้เป็นต้นแรกเสียเลย” อุปราชเฒ่าชูคทาขึ้นวาดเป็นวงเวทย์กลางอากาศ ปากก็ร่ายมนตร์ใส่ต้นไม้ยักษ์ด้วยความเกรี้ยวกราด เพียงอึดใจเดียววงเวทย์นั้นก็เรืองแสงวาวโรจน์ขึ้นก่อนจะเกิดเปลวไฟสีเขียวพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ยักษ์อย่างแรง เกิดเสียงดังลั่นราวกับสายฟ้าฟาด กลุ่มควันสีเขียวหม่นพวยพุ่งพร้อมกับเสียงปริแตกของเปลือกไม้ดังสนั่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron