Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. เม.ย. 25, 2024 11:02 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:19 pm

Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย


เวลานั้นสงครามที่เมืองวอลเนียและเอรีมกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองทัพซาโลมนำโดยราชินีเนริมอร์และแม่ทัพราโชยูกรีฑาทัพเรือนแสนรวมทั้งฝูงมังกรไฟกระหน่ำโจมตีเมืองเอรีม ในขณะที่เบลซ เซจนำกองทัพผีนรกกว่าเจ็ดหมื่นตัว ฝูงสัตว์ป่าและทัพมนุษย์กว่าแสนนายบุกเมืองวอลเนียอย่างหนัก โดยทางฟากทุ่งคีราก็วางกำลังทหารตรึงเขตแดนไว้อย่างเหนียวแน่น ซ้ำยังมีการลำเลียงซากศพจากสนามรบจำนวนมากกลับค่ายเพื่อให้แบล็ค ไวเซอร์เปลี่ยนร่างให้กลายเป็นทหารปีศาจตลอดทั้งกลางวันกลางคืน

ข้างฝ่ายฟีเลเซียเองก็ทุ่มเทกำลังปกป้องเมืองทั้งสองอย่างเต็มกำลัง จอมทัพชาร์ลถูกเรียกตัวกลับขึ้นมาบัญชาการทัพที่เมืองวอลเนียทันทีเช่นกัน แต่แม้จะมีกองทัพหลวงกว่าสี่หมื่นหกพันนายที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยกขึ้นมาช่วยเสริมแล้วก็ตาม ทว่าก็ดูเหมือนกองทัพฟีเลเซียจะเริ่มต้านกองทัพที่มากมายมหาศาลของซาโลมไม่ไหว โดยเฉพาะที่เมืองวอลเนีย เนื่องจากเมืองวอลเนียถูกโจมตีอย่างหนักจนทั้งเมืองแทบจะราบเป็นหน้ากลองตั้งแต่เมื่อคราวที่ราชินีเนริมอร์ เบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์นำทัพบุกเข้าโจมตีครั้งก่อน ทั้งกำแพงเมืองและบ้านเรือนก็ถูกทำลายและเผาจนแทบใช้การไม่ได้ ทำให้การป้องกันเมืองจากกองทัพผีเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด

ฟีเลเซียนั้น นอกจากจะต้องรับศึกหนักถึงสองด้านแล้ว กองทัพยังต้องแบ่งกำลังทหารบางส่วนเพื่อตรึงกำลังในเขตทุ่งคีราด้วยเช่นกัน ซ้ำซากศพของทหารที่ตายไปในสนามรบยังถูกพวกซาโลมนำกลับไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างกองทัพปีศาจจนปริมาณของกองทัพผีนรกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น


ณ โถงกว้างภายในปราสาทของเจ้าเมืองเอรีมซึ่งถูกใช้เป็นที่บัญชาการรบของกองทัพฟีเลเซีย บรรดาแม่ทัพนายกองล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดและขุ่นเคือง สถานการณ์ในขณะนี้ฟีเลเซียกำลังตกเป็นรองศัตรูและอาจจะต้องเสียเมืองวอลเนียไปนั้นยากนักที่ทุกคนจะทำใจยอมรับได้

บนบัลลังก์นั้นกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามและเจ้าหญิงเรจิน่าประทับอยู่ด้วยอารมณ์ที่ไม่แตกต่างจากเหล่าแม่ทัพนายกองเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกษัตริย์ซิกมันด์ดูจะทรงเคร่งเครียดและขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าใคร พระองค์ทรงนั่งอย่างไม่เป็นสุขอยู่บนที่ประทับ กรามขบกันแน่น ดวงเนตรแข็งกร้าว การที่ต้องยอมรับว่าพระองค์อาจไม่สามารถรักษาเมืองวอลเนียได้นั้นสร้างความอับอายและเคืองแค้นจนตัวสั่น เจ้าหญิงเรจิน่าเองก็ทรงอยู่ในอาการเคร่งเครียดจนแทบจะกลายเป็นคนเงียบขรึม ทรงเม้มริมพระโอษฐ์แน่นพยายามคิดหาวิธีที่จะรักษาเมืองวอลเนียไว้ให้ได้ ฝ่ายแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์ก็ดูมีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขาดูเหน็ดเหนื่อยและอิดโรยจากการสู้รบที่ต่อเนื่องยาวนานตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย เนื่องจากกองทัพซาโลมบุกเข้าโจมตีเมืองวอลเนียเกือบทั้งวันทั้งคืน

“หน่วยสอดแนมรายงานมาว่าฝ่ายซาโลมเตรียมส่งกองทัพปีศาจกว่าหกหมื่นตัวและทหารมนุษย์อีกกว่าแปดหมื่นนายเข้ามาเสริมทัพที่วอลเนียพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้กษัตริย์ซาดินยกทัพมาเอง อีกไม่เกินหนึ่งวันคงเข้าประชิดเมืองวอลเนียแน่” ทหารนายหนึ่งรีบเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว

“บ้าชะมัด!พวกมันเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วอย่างกับเชื้อโรคแหนะ” ชาร์ลสบถด้วยความหงุดหงิดและเคร่งเครียด

“ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราคงลำบาก ทหารที่เมืองวอลเนียแทบจะไม่ได้พักรบกันเลย ศึกที่เอรีมนี้ก็หนักหนาจนไม่สามารถแบ่งทัพไปช่วยเสริมกำลังได้อีกแล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสียงเครียด

“ไอ้แม่ทัพทมิฬนั่นก็หนังเหนียวเป็นบ้า ตกจากที่สูงขนาดนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้ ซ้ำยังเสนอหน้ามานำทัพบุกเมืองเอรีมอีก น่าโมโหจริง ๆ ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงกร้าว

“ฝ่าบาท กษัตริย์เถื่อนนำทัพมาเอง ดูท่าคราวนี้คงหมายจะยึดเอาเมืองวอลเนียให้ได้” เจ้าเมืองเอรีมกล่าวด้วยความหวั่นวิตก

“กษัตริย์ซาโลมนอกจากจะมีฝีมือร้ายกาจแล้วยังมีความทรหดอย่างยิ่งอีกต่างหาก ที่ทุ่งคีรากษัตริย์เถื่อนคนเดียวก็จัดการทหารเปกาซัสไปเกือบร้อยนาย ขนาดสู้กับแม่ทัพโรน่าเป็นชั่วโมง ๆ ยังไม่มีอาการเหนื่อยอ่อน ซ้ำยังสามารถทำร้ายนางได้ถึงขนาดนั้น” แม่ทัพมังกรวิเคราะห์

“ดีที่นางเอี้ยวตัวหลบกระบองได้ทันจึงแค่บาดเจ็บ มิฉะนั้นเราคงเสียแม่ทัพเปกาซัสฝีมือดีไปแล้ว” แม่ทัพผู้ฝึกมังกรหญิงกล่าว “หากกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ยกทัพมาถึงวอลเนียได้กองทัพเราคงเจอศึกหนักแน่”

“ฝ่าบาท ทหารของเราลดจำนวนลงเรื่อย ๆ แต่ทหารของพวกมันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ ข้าพระองค์เกรงว่าเราอาจจะไม่สามารถรักษาวอลเนียไว้ได้” แม่ทัพนกกล่าวทูลขึ้น

“เราจะสูญเสียวอลเนียไปไม่ได้” กษัตริย์ซิกมันด์คำรามเสียงลอดไรฟัน ทรงกระแทกกำปั้นลงบนที่เท้าแขนอย่างแรง ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครอยากเสียเมืองวอลเนียให้ศัตรู ต่างมองหน้ากันพยายามคิดหาวิธีที่จะป้องกันเมืองไว้ให้ได้ แต่ ณ เวลานี้ความหวังดูจะริบหรี่เต็มที

“อาจยังพอมีวิธี...” จอมทัพชาร์ลเปรยเสียงเบาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะเอ่ยให้ใครได้ยิน แต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบส่ายหน้าเร็ว ๆ เหมือนไม่คิดที่จะพูดต่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:20 pm

“อะไรหรือ ท่านแม่ทัพ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงกระตือรือร้น

“ไม่มีอะไรหรอก... มันไร้สาระ อย่าใส่ใจเลย” ชาร์ลบอกปัด

“ไม่หรอกท่านแม่ทัพ โปรดพูดมาเถิด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้” เจ้าเมืองเอรีมคะยั้นคะยอ แม่ทัพใหญ่จึงหันไปมองกษัตริย์แห่งสายลมเหมือนจะชั่งใจว่าตนควรพูดหรือไม่

“ลองว่ามาสิ” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงสนับสนุนด้วยอีกแรง ในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงพยักพระพักตร์เห็นด้วยเช่นกัน

“พ่ะย่ะค่ะ” ชาร์ลค้อมศีรษะน้อย ๆ รับคำ กล่าวไม่เต็มเสียงนักคล้ายมิเต็มใจที่จะกล่าวทูล “กระหม่อมคิดว่าหากเราสามารถยกวอลเนียขึ้น...”

“ยกวอลเนีย?!?” กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามและเจ้าหญิงเรจิน่าทรงอุทานออกมาแทบจะทันทีพร้อมกับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มไปทั่วห้อง

“ทูลฝ่าบาท” แม่ทัพที่ดูสูงวัยที่สุดวิเคราะห์ขึ้น “ตามประวัติศาสตร์การตั้งเมืองที่ชาวฟีเลเซียร่ำเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก มีบันทึกไว้ว่าเมืองวอลเนียนั้นตั้งอยู่บนหลังของเต่าบินยักษ์ที่จำศีลมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ถ้าหากเราสามารถยกวอลเนียขึ้นแล้วย้ายเมืองไปตั้งที่อื่นที่ปลอดภัยแทน เราก็จะสามารถรักษาเมืองไว้ได้โดยมิต้องเสียเลือดเนื้อเลย”

“ไม่มีทาง วิธีการที่ไม่ต่างอะไรกับการยกทัพหนีเช่นนี้” กษัตริย์แห่งสายลมตรัสเสียงแข็ง “วิธีการขี้ขลาดเช่นนี้ข้าไม่ทำเด็ดขาด”

“เราก็ไม่เห็นด้วย” เจ้าหญิงตรัส “มันเหมือนยอมรับว่ากองทัพของเราอ่อนแอจนต้องยกเมืองหนี แล้วอย่างนี้พวกทหารจะไปมีกำลังใจต่อสู้ได้อย่างไร?”

“มันก็แค่ความคิดหนึ่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับความคิดนี้เช่นกัน ถ้าเป็นไปได้กระหม่อมก็อยากให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เราจะทำ แต่กระหม่อมยังไม่เห็นทางไหนที่เราจะสามารถรักษาเมืองวอลเนียไว้ได้อย่างแน่นอนเท่ากับวิธีนี้เลย ถ้าเราเสียเมืองวอลเนียไป เหล่าทหารก็จะยิ่งไม่มีกำลังใจต่อสู้เพราะเมืองวอลเนียเป็นที่ตั้งของวิหารฟรานเชสก้า หากแม้วิหารของนางฟ้าแห่งดาบยังถูกล่วงละเมิด พวกทหารจะต้องคิดว่านางฟ้าแห่งดาบหันหลังให้พวกเขาแล้ว แล้วพวกเขาจะเอากำลังใจจากที่ไหนมาต่อสู้ได้อีกเล่า?” แม่ทัพใหญ่กล่าว ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย เวลานี้ขวัญและกำลังใจของทหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

“แต่ก็ไม่มีใครรู้วิธีปลุกเต่าบินให้ตื่นจากการจำศีลได้มิใช่หรือ?” แม่ทัพมังกรขมวดคิ้วถาม “มันไม่เคยมีบันทึกไว้ที่ไหนทั้งนั้น แล้วเราจะปลุกมันด้วยวิธีใดกัน?”

“ขออภัยท่านแม่ทัพ ท่านแน่ใจหรือว่าใต้เมืองวอลเนียเป็นเต่าบินจริง ๆ ? ข้าไม่เห็นหลักฐานใด ๆ บ่งชี้ว่าข้างใต้นั่นเป็นเต่ายักษ์เลย นอกจากความรู้ที่ร่ำเรียนและเรื่องเล่าที่ได้รับการบอกต่อ ๆ กันมา” แม่ทัพอีกคนหนึ่งถามด้วยความแคลงใจ

“ก็เพราะเหตุนี้ข้าจึงไม่คิดจะพูดถึงมันอย่างไรล่ะ” ชาร์ลถอนหายใจแรง “มันอาจจะเป็นแค่ตำนานโบราณก็ได้”
กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศที่ตั้งเมืองวอลเนีย สมองเหมือนจะขบคิดบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดวงเนตรดูแข็งกร้าว ฟันขบแน่นด้วยอารมณ์กรุ่น พระองค์ทรงระบายลมหายใจแรงด้วยความขัดเคืองก่อนจะทรงปิดเปลือกตาลงตรัสเสียงหนัก “ข้ารู้วิธี”

ทุกคนแทบจะหันมามองกษัตริย์ซิกมันด์เป็นตาเดียว ดวงตาทุกคู่เต็มไปด้วยคำถามที่ดูราวกับคิดออกมาจากสมองเดียวกัน เจ้าหญิงเรจิน่าผู้ชึ่งก็ทรงรู้คำตอบดีพอ ๆ กับกษัตริย์ซิกมันด์จึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้

“วิธีปลุกเต่ายักษ์เป็นความลับที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นเฉพาะคนในราชวงศ์เท่านั้น”

“เมืองวอลเนียตั้งอยู่บนหลังของเต่ายักษ์จริง ๆ รึนี่?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความพิศวง ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็อยู่ในอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าชาวฟีเลเซียทุกคนจะรู้และเคยได้ยินเรื่องตำนานเต่าบินยักษ์จำศีล แต่เพราะไม่เคยมีใครเห็นเต่าบินจริง ๆ เลยสักครั้ง หรือรู้สึกถึงความมีตัวตนของเต่ายักษ์ใต้ฝ่าเท้าของตน จึงไม่มีใครเชื่ออย่างหมดใจว่าจะเป็นเรื่องจริงและต่างก็คิดว่าเป็นเพียงตำนานเก่าแก่โบราณอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น

“ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงและข้าจะรู้วิธีปลุกเต่าบินจากการจำศีล แต่วิธีอ่อนแอและไร้เกียรติเช่นนี้...” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างหงุดหงิด

“ฝ่าบาท นี่อาจจะเป็นวิธีที่จะทำให้เรารักษาเมืองไว้ได้โดยเสียกำลังพลน้อยที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพนกทูลขึ้น

“กระหม่อมทราบดีว่าพระองค์รู้สึกเช่นไร แต่เวลานี้กองทัพซาโลมเคลื่อนทัพใกล้เข้ามาทุกที เมืองวอลเนียแทบจะไม่เหลือกำแพงไว้ป้องกันเมืองได้แล้ว หากการยกวอลเนียขึ้นจะสามารถรักษาวิหารนางฟ้าแห่งดาบและชีวิตทหารฟีเลเซียอีกนับหมื่นชีวิตไว้ได้ ข้าพระองค์เห็นว่ามันก็เป็นการสมควรอยู่” เจ้าเมืองเอรีมเสนอ

“นอกจากนั้น เหล่าทหารยังไม่ต้องถูกแบ่งกำลังไปเนื่องจากการรบทัพจับศึกหลายด้าน ทำให้การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกำลังพลในกองทัพทำได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นด้วย” แม่ทัพอีกนายกล่าวเสริม

“หากคิดในอีกแง่หนึ่ง การยกวอลเนียขึ้นจะทำให้เรามีที่โล่งแจ้งขนาดใหญ่ เราอาจจะสามารถใช้มันเป็นสนามรบและหลอกล่อให้กองทัพซาโลมมารบกับเราที่บริเวณนี้แทน ซึ่งมีโอกาสสูงที่เมืองอื่น ๆ จะปลอดภัยจากการรุกรานของจักรวรรดิซาโลม” ชาร์ลออกความเห็น

แม่ทัพทุกฝ่ายต่างก็เห็นด้วยกับผลประโยชน์ทางการทหารที่จะได้รับจากการยกวอลเนียขึ้น กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเงียบขรึมลงและอยู่ในอารมณ์เคร่งเครียดอีกครั้ง เจ้าหญิงเรจิน่าทรงถอนหายใจแรงก่อนจะรับสั่ง

“ที่พวกท่านกล่าวมาก็จริง สิ่งที่จะได้จากการยกวอลเนียขึ้นล้วนแต่เป็นประโยชน์กับกองทัพทั้งสิ้น เราไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ในเรื่องนี้” เจ้าหญิงทรงยอมรับในที่สุด แต่ก็ทรงมองไปทางน้องชายด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่น้องชายผู้หยิ่งทะนงของพระองค์จะยอมรับวิธีที่ดูเหมือนคนใจเสาะเช่นนี้

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหลือบดวงเนตรที่ฉายแววแข็งกร้าวมาสบเนตรพี่สาว ความเครียดดูจะก่อตัวเป็นกระแสลมพัดกระพืดเป็นระลอกอยู่รอบตัว พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรับสั่งออกมา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:20 pm

“เสด็จพี่คิดว่าข้าจะปฏิเสธได้หรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเหมือนจะเย้ยหยันตัวพระองค์เอง พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงไม่ให้กลายเป็นตะคอก “แม้ข้าจะไม่อยากยกวอลเนียขึ้น เพราะมันเหมือนกับเป็นการยอมรับว่าข้าไร้ความสามารถที่จะปกป้องวอลเนีย แต่การเสียวอลเนียนั้นน่าอดสูยิ่งกว่า”

เจ้าหญิงทรงทราบดีว่าน้องชายของพระองค์ต้องทนข่มความอับอายมากเพียงไหน พระองค์จึงทรงหันไปยิ้มให้กำลังใจ “น้องตัดสินใจได้กล้าหาญมากจ๊ะ”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์รับคำแม้จะไม่เต็มใจนัก ทรงสูดหายใจเข้าลึก รับสั่งเสียงเข้ม “สั่งการลงไป เตรียมเปกาซัสที่เร็วที่สุดไว้ให้ข้า ข้าจะเดินทางไปวอลเนียทันที”


กองทัพฟีเลเซียได้รับคำสั่งให้ระดมกำลังขนาดใหญ่ขับไล่ทหารปีศาจและทหารมนุษย์ของทัพซาโลมออกนอกเขตเมืองวอลเนียโดยเร็วที่สุด จอมทัพชาร์ลซึ่งนำทัพทั้งพลมังกร พลนก รถรบ อัศวินและเหล่านักบวช เข้ารุกไล่ฟาดฟันกองทัพปีศาจและทหารซาโลมอย่างดุเดือด ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามพร้อมกองทัพเปกาซัสกว่าสามร้อยนายก็เดินทางมาถึงเมืองวอลเนียด้วยความรวดเร็วปานสายลม กษัตริย์แห่งสายลมบนหลังบลู สกาย เปกาซัส(Blue Sky Pegasus)ม้าบินสีฟ้าขนแผงคอขาวสะอาดรูปร่างปราดเปรียวก็โผร่อนลงสู่ลานหน้าวิหารฟรานเชสก้าอย่างรวดเร็ว โดยมีกองกำลังเปกาซัสที่บินคุ้มกันร่อนตามมาติด ๆ

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ คอยระวังอย่าให้ไอ้พวกสวะนอกรีตเข้ามาในเขตวิหาร เมื่อเต่ายักษ์เริ่มทะยานขึ้น พวกเจ้าก็ขึ้นบินสำรวจรอบ ๆ เมืองได้ทันที ถ้าเจอทหารสวะที่ไหนก็กำจัดมันอย่าให้เหลือ แล้วก็โยนศพมันทิ้งไปด้วย ข้าไม่อยากเอาพวกขยะติดไปด้วยเมื่อถึงที่ตั้งของเมืองใหม่” กษัตริย์แห่งสายลมรับสั่งเสียงเฉียบก่อนจะทรงหมุนองค์เสด็จเข้าประตูวิหารไปทันทีโดยมีเสียงขานรับอันเข้มแข็งของทัพเปกาซัสกระหึ่มอยู่เบื้องหลัง

ทันทีที่เข้ามาในพระวิหาร กษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงตรงไปที่รูปปั้นของนางฟ้าแห่งดาบทันที ตรงฐานรูปปั้นทางด้านหลังนั้นกษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองหากระเบื้องหินอ่อนแผ่นหนึ่งซึ่งดูแทบไม่แตกต่างจากกระเบื้องแผ่นอื่น ๆ เลย เว้นแต่รอยจาง ๆ เล็ก ๆ คล้ายปีกนกตรงมุมกระเบื้องที่ดูเหมือนรอยขูดขีดธรรมดาทั่วไปเสียมากกว่า พระองค์ทรงใช้เวลาไม่นานก็สามารถยกกระเบื้องแผ่นนั้นขึ้นมาได้ ใต้กระเบื้องแผ่นนั้นมีช่องคล้ายรอยแตกเล็ก ๆ ขนาดยาวประมาณคืบหนึ่ง กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทอดพระเนตรรอยแยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หวังว่าพระองค์จะยังสามารถจดจำสิ่งที่บรรพกษัตริย์ถ่ายทอดกันมาได้อย่างถูกต้อง กษัตริย์แห่งสายลมทรงชักดาบของพระองค์ออกมาและเสียบดาบลงไปในช่องรอยแยกนั้นทันที ดาบประจำพระองค์นั้นเสียบเข้าได้กับรอยแยกพอดิบพอดี และทันใดนั้นเองรูปปั้นนางฟ้าฟรานเชสก้าก็เริ่มจมลงไปใต้พื้นวิหาร เกิดแรงสั่นสะเทือนไปรอบบริเวณพื้นวิหาร กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรีบขยับเท้าให้ยืนได้ถนัดขึ้นเพื่อให้สามารถทรงตัวอยู่ได้ จนเมื่อรูปปั้นนั้นจมลงเกือบครึ่งองค์จึงเผยให้เห็นบานประตูสีน้ำตาลที่มีสัญลักษณ์แห่งแสงขนาดใหญ่สีทองจรดขอบประตูทั้งสี่ด้านบานหนึ่งตรงผนังด้านในหลุมนั้น

กษัตริย์หนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ คว้าดาบคู่กายกระโดดลงไปพลางผลักประตูโดยแรง สงสัยนักว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกที่เปิดประตูบานนี้หลังจากการสร้างวิหารนางฟ้าแห่งดาบสิ้นสุดลงหรือไม่? กษัตริย์ซิกมันด์ทรงก้าวผ่านบานประตูเข้าไปอย่างระแวดระวัง ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่มีมากล้นในกายเท่านั้นที่เป็นพลังผลักดันให้พระองค์ยังคงมุ่งหน้าต่อไป เบื้องหลังบานประตูนั้นมีแสงน้อยและค่อนข้างมีกลิ่นอับคล้ายไม่เคยมีใครเข้าออกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี พระองค์ทรงปิดประตูตามหลัง และทันใดนั้นเสียงรูปปั้นขนาดใหญ่เขยื้อนก็ดังขึ้นคล้ายกับกำลังเคลื่อนที่กลับไปยังที่ที่มันเคยอยู่ พระทัยของพระองค์เต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ ทันทีที่มีเสียงกระแทกทางเบื้องหลังบอกให้รู้ว่ารูปปั้นได้เคลื่อนเข้าสู่ที่ของมันแล้ว จู่ ๆ ทั่วทั้งห้องก็พลันสว่างวาบขึ้นทันทีด้วยไฟเวทย์ตลอดความยาวของผนัง อากาศบริสุทธิ์เริ่มไหลเข้ามาทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น แสงสว่างทำให้มองเห็นบรรยากาศรอบตัวได้ชัดเจนจนพระองค์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจึงทรงเริ่มออกเดิน ภาพเบื้องหน้าขององค์กษัตริย์คือทางกว้างที่ทอดยาวไปไกลโดยจุดหมายคือจุดที่อยู่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดินใต้วิหารแห่งนี้นั่นเอง กำแพงทั้งสองข้างตลอดแนวทางเดินถูกวาดด้วยภาพศิลปะสมัยเก่าโดยการใช้สีที่เน้นหนักไปทางสีน้ำตาลและทอง ด้านหนึ่งบอกถึงเรื่องราวการบุกเบิกและตั้งรกรากของชาวฟีเลเซีย ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและนางฟ้าแห่งดาบ ฟรานเชสก้า

พระองค์ทรงเสด็จไปตามทางที่คดเคี้ยวและบันไดวนที่ค่อย ๆ ลึกลงไปผ่านชั้นใต้ดินชั้นต่าง ๆ ที่ดูเหมือนมีไว้สำหรับใช้งานบางอย่าง บางชั้นก็เหมือนเอาไว้ใช้สะสมเสบียงอาหาร บางชั้นก็เหมือนมีไว้เก็บหนังสือเก่าแก่โบราณ พระองค์ยังทรงดำเนินลงตามทางไปเรื่อย ๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าจนกระทั่งทางได้มาสิ้นสุดลงที่ประตูบานหนึ่ง ประตูนี้มีลักษณะคล้ายกับประตูบานแรกที่พระองค์เห็น ทว่าบานประตูนี้ทั่วทั้งบานทำจากเงินและทอง โดยสัญลักษณ์แห่งแสงทำจากเงินกางแผ่อยู่บนบานประตูทองคำ พระองค์ทรงผลักบานประตูเข้าไปและก็ได้เห็นบรรยากาศวิหารที่เหมือนกับวิหารข้างบนไม่มีผิด เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่าและตรงกลางวิหารก็ไม่มีรูปปั้นนางฟ้าแห่งดาบ หากแต่กลับมีก้อนทองคำขนาดหนึ่งคนโอบที่แกะเป็นรูปกระดองเต่าวางไว้อยู่แทน เมื่อทอดพระเนตรใกล้ ๆ จึงได้เห็นว่าบนกระดองเต่าทองคำนั้นมีรอยแยกคล้ายสลักขนาดหนึ่งคืบ พระองค์ทรงชักดาบคู่กายออกมาจากฝักอีกครั้ง ทรงเม้มพระโอษฐ์แน่น พระองค์กำลังจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงแผนที่อาณาจักรฟีเลเซียไปตลอดกาล พระหัตถ์ที่กำกระชับอยู่ที่ด้ามดาบดูจะสั่นน้อย ๆ เมื่อยกอยู่เหนือรอยแยกบนกระดองเต่าทองคำ พระองค์ทรงกลั้นพระทัยก่อนจะเสียบดาบลงไปที่สลักบนหลังเต่าทองคำเต็มแรง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 30 เต่าบินยักษ์วอลเนีย @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 1:21 pm

บริเวณชานเมืองวอลเนียฝั่งตะวันตก ขณะที่เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียกำลังทำการขับไล่กองทัพซาโลมอย่างหนัก การจู่โจมขนาบสามด้านพร้อมกันโดยไม่ให้ศัตรูได้ทันตั้งตัวดูจะได้ผลดี จอมทัพแห่งฟีเลเซียต้องเร่งทำเวลาให้ทันก่อนที่กษัตริย์ซิกมันด์จะยกวอลเนียได้สำเร็จและต้องก่อนที่ทัพหนุนของซาโลมจะมาถึงด้วย

“บุกเข้าไป ขับไล่พวกมันออกนอกเขตเมืองวอลเนียให้ได้!” เสียงตะโกนของจอมทัพฟีเลเซียบนหลังรถศึกดังกังวานพร้อมกับกองทัพแห่งสายลมที่ยังคงเข้าประหัตประหารศัตรูเต็มกำลัง สายตาอันคมปลาบกวาดตามองทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว กองทัพเสริมของซาโลมคงใกล้จะมาถึงแล้ว เขาเหลือเวลาอีกไม่มากนัก ความหวั่นใจก่อตัวอยู่ลึก ๆ เขาภาวนาว่ากษัตริย์ซิกมันด์จะสามารถยกวอลเนียขึ้นได้สำเร็จทันเวลา ดาบคูนิกุนเดในมือยังคงตวัดควงพุ่งผ่านกองทัพผีของซาโลมอย่างไม่คิดที่จะชะลอความเร็วลงเลย

แต่เพียงครู่เดียวเสียงร้องแหลมรัวของนกซอร์วิงก็ดังขึ้นเหนือสนามรบเลือดอันเป็นสัญญาณสำคัญที่แจ้งให้ทหารฟีเลเซียทั้งหลายทราบว่ากองทัพเสริมของซาโลมมาถึงแล้ว ชาร์ลขมวดคิ้วตวัดสายตาขึ้นมองนกส่งข่าวด้วยความประหวั่น ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงเป็นลำยาวขนาดใหญ่ก็พุ่งอาบร่างของนกซอร์วิงจนลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟร่วงลงสู่สนามรบเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว แม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียตวัดสายตามองหาที่มาของลำเพลิงนั้นทันที ไม่ไกลนักกษัตริย์เพลิงผู้โหดน่ารักมในชุดเกราะสีแดงมันวาวยืนผงาดบนหลังมังกรซาลามันเดอล่ายักษ์บินอยู่เหนือสนามรบ ไอควันกรุ่นพวยพุ่งจากปากเหมือนมีลาวาเดือดปะทุอยู่ภายในร่างของมัน ดวงเนตรของกษัตริย์เพลิงเป็นประกายกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างท้าทาย เนื้อตัวสั่นเทิ้มราวกับสัญชาตญาณแห่งนักล่ากำลังถูกปลุกกระชากออกมาจากร่างกายนั้น บางทีอาจจะเป็นครั้งนี้ที่เขาจะได้ประลองยุทธ์กับกษัตริย์เถื่อนแห่งจักรวรรดิซาโลม ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจลึก ๆ เขาแน่ใจอย่างที่สุดว่ากษัตริย์เถื่อนผู้นี้เก่งกาจกว่าแม่ทัพทมิฬราโชยูแน่ แต่จะแข็งแกร่งกว่าแค่ไหน? ความรวดเร็วของเขาจะสามารถเอาชนะกษัตริย์จากแดนเถื่อนผู้นี้ได้หรือไม่? ใครจะอยู่ใครจะม้วยวันนี้อาจจะเป็นวันชี้ชะตาที่สำคัญสำหรับเขา? ชาร์ลยืดอกขึ้นเหยียดตัวตรงก่อนจะจ้องตอบกษัตริย์ซาดินด้วยแววตาที่คมกล้ายิ่งกว่าเดิม ทั้งสองจ้องกันและกันอยู่เพียงครู่และวินาทีนั้นเองพื้นแผ่นดินทั่วทั้งสนามรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว


กษัตริย์ซาดินทรงบินอยู่เหนือกองทัพซาโลมอันเกรียงไกรขณะกวาดสายตามองคลื่นสงครามเบื้องล่าง เสียงนกซอร์วิงที่บินโฉบร้องเสียงแหลมอยู่ใกล้ยังความหงุดหงิดน่ารำคาญใจนัก พระองค์ทรงใช้กระบองกระทุ้งเบา ๆ เป็นสัญญาณก่อนจะบังคับซาลามันเดอล่าไปยังทิศทางที่ต้องการ เพียงพริบตาเดียวเจ้านกปากเปราะก็มอดไหม้ไปกับตา พระองค์ทรงเหยียดพระโอษฐ์ด้วยความขบขันระคนดูแคลนเจ้านกย่างนั่นก่อนจะทรงรู้สึกองค์ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของดวงตาคมกล้ามุ่งมั่นจากใครคนหนึ่งกลางสนามรบเบื้องล่าง พระองค์ไม่ต้องทรงมองหาเจ้าของสายตาอยู่นานเลย เพราะกลางสนามรบที่อบอวลไปด้วยจิตสังหารของทหารทั้งสองฝ่าย ความมุ่งมั่นแรงกล้าที่ส่งออกมาดูจะโดดเด่นจนรู้สึกได้แทบจะทันที กษัตริย์เถื่อนทอดพระเนตรจับจ้องไปที่จอมทัพแห่งฟีเลเซียผู้อ่อนวัยกว่าอย่างประเมินความคิดของอีกฝ่าย ก่อนจะทรงเหยียดพระโอษฐ์ยิ้ม หรี่เนตรมองจ้องตาแม่ทัพหนุ่มอย่างท้าทาย ลมหายใจถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจเริ่มเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

“อยากประลองกับข้านักหรือ? งั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย” กษัตริย์ซาดินตรัสแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
พระองค์ทรงควงกระบองอย่างเร็วด้วยพระหัตถ์เพียงข้างเดียวพลางยกชูขึ้นเหนือพระเศียร แต่แล้วจู่ ๆ ทั่วทั้งสนามรบก็ดูจะสะเทือนเลื่อนลั่นจนกองทัพเบื้องล่างดูระส่ำระสายไปหมด ทหารหลายนายถึงกับล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นดิน เสียงร้องแตกตื่นของทั้งคนและสัตว์ดังสนั่นไปทั่วสนามรบ กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรกองทัพที่กำลังสับสนอลหม่านเบื้องล่างด้วยความงุนงงและตื่นตระหนกไม่แพ้กัน แผ่นดินเริ่มเกิดรอยปริแยกยาวเป็นทางและกำลังขยายยาวออกไปไม่หยุด ดวงเนตรยิ่งเบิกโพลงยิ่งขึ้นเมื่อทรงเห็นเมืองทั้งเมืองกำลังเขยื้อนตัวเหมือนภูเขาทั้งลูกกำลังมีชีวิต

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีกนี่?” กษัตริย์ซาดินตรัสแทบจะไม่รู้องค์

เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของทหารดังไปทั่วสนามรบ เหล่าทหารต่างวิ่งหนีออกจากบริเวณที่พื้นดินเริ่มยุบตัวและค่อย ๆ แผ่ออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมืองวอลเนียกำลังยกตัวสูงขึ้นจนดูเหมือนเมืองทั้งเมืองลอยได้ เกิดเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวดังมาจากพื้นดินใต้เมืองนั้น ก่อนที่ทุกสายตาจะเบิกโพลงและอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นปีกสีขาวขนาดมหึมาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากใต้เมืองและเริ่มขยับไปมาอย่างเชื่องช้าแต่ก็มีกำลังแรงพอจะทำให้เกิดแรงลมมหาศาลพัดไปทั่วทั้งสนามรบ เมืองทั้งเมืองเริ่มเอียงตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนจะพลิกเมืองทั้งเมืองให้คว่ำไปอีกทาง ปลายแผ่นดินข้างที่ถูกยกสูงขึ้นค่อย ๆ ขยับยืดออกเหมือนว่าแผ่นดินกำลังงอกออกมาและยืดยาวออกไปเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัว เกิดรอยแยกบริเวณด้านข้างของแผ่นดินที่งอกมาใหม่ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นว่ามันคือดวงตาสีเขียวอมฟ้าขนาดมหึมาที่กำลังปรือขึ้นและกรอกกลิ้งมองไปรอบ ๆ ส่วนที่ดูคล้ายปากอ้าออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงร้องทุ้มต่ำเย็น ๆ ที่กังวานจนแก้วหูสะเทือนก็ดังก้องเขย่าหัวใจของทุกชีวิตให้กระตุกเต้นอย่างแรงจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดหู ดินที่พอกหนาเริ่มปริร้าว เศษดินเศษหินจำนวนมหาศาลร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ทันทีที่ฝุ่นดินจางลง ร่างแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตาทุกคนที่กำลังจ้องมองด้วยความตระหนกจนแทบไม่หายใจ เต่ายักษ์ขนาดเท่าภูเขายืนตระหง่านชูคอขึ้นสูงเสียดฟ้า เหยียดปีกสีขาวขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมเหนือสนามรบบังแสงแดดอันแรงกล้าจนดูเหมือนว่ายามเย็นมาถึงเร็วกว่ากำหนด เต่ายักษ์ส่งเสียงร้องทุ้มกังวานอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ ขยับกระพือปีกช้า ๆ บรรดาทหารที่อยู่ใต้ปีกคู่มหึมาต่างก็รีบวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต แรงลมมหาศาลเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับกำลังเกิดพายุทะเลทรายกลางป่าอันเขียวชอุ่ม และแล้วเมืองวอลเนียทั้งเมืองก็เริ่มลอยตัวสูงขึ้นและเคลื่อนผ่านน่านฟ้าฟีเลเซียไปท่ามกลางความพรั่นพรึงของสายตานับแสนคู่

กษัตริย์ซาดินทรงเกือบจะพลัดตกจากหลังมังกรซาลามันเดอล่าเมื่อเต่ายักษ์กระพือปีกผ่านเหนือพระองค์ไปเพียงไม่กี่เมตร แต่แรงโบกของลมใต้ปีกก็แรงพอจะทำให้มังกรซาลามันเดอล่าแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทันทีที่ทรงตั้งสติได้และก้มลงไปทอดพระเนตรเบื้องล่าง สิ่งที่ปรากฏแก่สายพระเนตรคือพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่แทบจะสุดลูกหูลูกตากินอาณาบริเวณกว้างจนสุดเขตที่เคยเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่งของเทือกเขาคีรีบันดา ที่ปลายสุดนั้นคือป่าเขียวขจีที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์จนถึงขีดสุดของพวกชาวป่า กษัตริย์ซาดินทรงเบิกพระเนตรขึ้นด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นป่าเขียวชอุ่มเบื้องหน้า ความเขียวสดมากมายบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลชนิดที่เรียกได้ว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็น แม้แต่ชาวซาโลมไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่เคยเห็นป่าไม้ที่หนาแน่นและกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวทะเลทรายทุกคนแสวงหากันมาตลอดชีวิตเวลานี้อยู่ต่อหน้าพระองค์ใกล้แค่เอื้อม ความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ แทบจะแย่งกันออกมาปรากฏบนพระพักตร์ของพระองค์หมุนเวียนกันไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งความตื่นตระหนกกับภาพเบื้องหน้า ความสับสนในจิตใจ ความโกรธแค้นชิงชังในโชคชะตา ความอิจฉาริษยาพวกชาวป่า ความอยากครอบครอง และความละโมบ พระองค์สู้รบมาตลอดทั้งชีวิตก็เพื่อสิ่งนี้มิใช่หรือ? ความอุดมสมบูรณ์ที่จะทำให้ชาวซาโลมไม่ต้องลำบากไปชั่วลูกชั่วหลาน กษัตริย์ซาดินทรงควงกระบองเป็นสัญญาณแปรขบวนทัพทันทีโดยไม่มีแก่ใจจะตรัสถามความเห็นของเบลซ เซจที่คุมทัพทหารผีนรกอยู่ที่เชิงผา เสียงกลองระรัวขึ้นในทันใดในขณะที่กองทัพฟีเลเซียก็เร่งแปรขบวนทัพเช่นกัน กษัตริย์แห่งเพลิงยืนผงาดเหนือมังกรยักษ์ชูกระบองไปยังป่าเขียวชอุ่มเบื้องหน้าโดยไม่สนใจแม่ทัพชาร์ล คลาแรนซ์และกองทัพฟีเลเซียอีกเลย

“บุก!!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน

cron