Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน อังคาร เม.ย. 23, 2024 9:29 pm

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:34 pm

Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด


วันนี้เป็นวันโซลุม(Solum)ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหญิงอลาน่าและคณะซิสเตอร์ของซิสเตอร์โรซาน่าใช้เป็นวันสำหรับออกตรวจเยี่ยมและรักษาโรคทั่วไปให้แก่คนยากคนจนตามแหล่งสลัมและท่าเรือ และก็เหมือนกับวันลักษ์ที่เป็นวันแจกอาหาร เจ้าหญิงอลาน่ามักจะนำคณะไปตรวจเยี่ยมประชาชนแถวท่าเรือเป็นประจำ แต่การรักษานี้ก็ไม่ใช่ว่าบรรดาคนป่วยทุกคนจะได้รับการรักษาในทันที ทั้งนี้ก็เพราะไม่ใช่ซิสเตอร์ทุกคนจะมีพลังในการรักษา ซิสเตอร์ที่มีพลังพิเศษนี้จึงต้องหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปให้ทั่วถึง ซิสเตอร์ที่ไม่มีพลังในการรักษาก็จะช่วยวิเคราะห์โรค ทำความสะอาดแผล แนะนำการดูแลรักษาร่างกายเบื้องต้นให้แก่คนยากคนจน และแจกจ่ายยารักษาโรค แต่ก็ไม่ค่อยเพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยเพราะยาที่ใช้รักษาอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ นั้นมีราคาแพงมากนั่นเอง

แน่นอนว่าการออกไปรักษาโรคให้กับคนยากจนของเจ้าหญิงอลาน่านั้นถูกคัดค้านจากราชองครักษ์อองเดรเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดโรคจากพวกคนจนสกปรกเหล่านั้น ซึ่งเจ้าหญิงก็ให้เหตุผลว่าประเทศชาติจะเข็มแข็งมั่นคงได้อย่างไรหากประชาชนอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหญิงผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่จะดูแลประชาชนให้มีสุขภาพดีแข็งแรง เพื่อประชาชนจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถมาพัฒนาแอนดิซองได้อย่างเต็มที่ ทว่าเหตุผลของเจ้าหญิงก็ไม่ได้ทำให้ราชองครักษ์ยอมรับหรือเข้าใจอะไรมากขึ้น เขายังคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางเจ้าหญิงไม่ให้ทำตามที่ปรารถนาได้ จึงได้แต่ส่งทหารตามไปอารักขาและเตรียมหมอหลวงให้ตรวจสุขภาพเจ้าหญิงทุกครั้งที่กลับจากการรักษาโรคพวกคนจน

วันนี้คณะของเจ้าหญิงก็มาที่ท่าเรือตามเวลาปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง เต็นท์ที่ให้การรักษาถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยความรวดเร็วโดยเหล่านายทหารที่ติดตามมาด้วย ทว่าวันนี้กลับดูแตกต่างไปจากทุกวัน เพราะบริเวณท่าเรือกลับคลาคล่ำไปด้วยคนต่างชาติมากมาย ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเจ้าหญิงก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียแน่นอน บางคนก็มองเข้ามาในเต็นท์ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นว่าพวกซิสเตอร์เหล่านี้กำลังทำอะไรกัน บางคนที่รู้ว่าซิสเตอร์เหล่านี้รักษาอาการป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก็มายืนเข้าแถวต่อคิวจนแถวยาวเหยียด

“ซิสเตอร์รู้ไหมคะว่าทำไมชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียถึงมาที่แอนดิซองมากมายขนาดนี้?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามซิสเตอร์โรซาน่าขณะที่พระหัตถ์ทั้งสองกำลังพันแผลที่แขนให้กับชายคนหนึ่ง


“อ้าว...ซิสเตอร์ไม่รู้หรือขอรับ คนพวกนี้เขาหนีภัยสงครามมา นี่เห็นว่ายังจะมีมากับเรือใหญ่อีกหลายร้อยเลยนะขอรับ คืนนี้คงมีคนนอนข้างถนนกันบานเลย” ชายที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงกำลังพันแผลให้พูดขึ้นยิ้มแห้ง ๆ เพราะคิดว่าคืนนี้คงต้องมีการแย่งที่นอนกันแน่ ๆ เขาลุกขึ้นเมื่อเจ้าหญิงอลาน่าทรงทำแผลเสร็จแล้วจึงกล่าวขอบคุณซิสเตอร์ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไป

“ซิสเตอร์คะ ซิสเตอร์คิดว่าอย่างไรถ้าหากฉันจะสร้างอาคารขึ้นหลังหนึ่งไว้สำหรับเป็นที่พักในยามค่ำคืนสำหรับผู้ยากไร้และผู้อพยพเหล่านี้? ฉันคิดว่าต่อให้เรารักษาอาการเจ็บไข้ของพวกเขา แต่ถ้าพวกเขายังนอนตากน้ำค้างและลมหนาวอย่างนี้ทุกวันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วผู้อพยพเหล่านี้” เจ้าหญิงอลาน่าทอดพระเนตรผู้อพยพที่มีทั้งเด็กเล็ก ๆ ผู้หญิง และคนแก่ “พวกเขาบางคนอพยพมาแบบแทบจะตัวเปล่าเลย แอนดิซองอากาศหนาวเย็นกว่าที่ที่เขาจากมามากนะคะ พวกเขาจะทนสภาพอากาศแบบนี้ได้หรือ? ”

“ฝ่าบาท พระองค์ไม่จำเป็นต้องถามหม่อมฉันเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยจะทำเพื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น” ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม “แต่พระองค์จะเอาทุนทรัพย์จากที่ไหนมาสร้างอาคารให้พวกเขาหรือเพคะ? ทั้งยังที่ดินที่ใหญ่พอจะสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อจุคนเหล่านี้อีก หม่อมฉันคิดว่าพวกสมาคมพ่อค้าเจ้าปัญหาต้องไม่อยู่เฉยแน่เพคะ”

“ใช่...ฉันก็คิดว่าพวกเขาไม่ยอมเสียผลประโยชน์แน่ ๆ เพราะที่ดินแถบนี้เป็นของพวกเขาทั้งนั้นเลยนี่คะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสอย่างครุ่นคิด

ซิสเตอร์โรซาน่ามองพระพักตร์ของเจ้าหญิงก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฝ่าบาท หม่อมฉันสังเกตว่าพระพักตร์ซีด ๆ ไปนะเพคะ พระองค์ประชวรรึเปล่า? ให้หม่อมฉันตรวจดูอาการสักหน่อยไหมเพคะ?”

“ไม่เป็นอะไรหรอกคะ ซิสเตอร์ใช้พลังช่วยรักษาพวกเขาดีกว่า ฉันแค่เพลีย ๆ นิดหน่อยเท่านั้นเองคะ เพราะช่วงนี้งานในวังมีมาก ฉันเลยต้องตรวจดูอะไรหลายอย่าง” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มปฏิเสธด้วยความสุภาพ

“ถ้าเช่นนั้นพระองค์กลับไปพักผ่อนก่อนดีไหมเพคะ? หม่อมฉันจะดูแลงานทางนี้เอง” ซิสเตอร์โรซาน่าเสนอเพราะความห่วงใย

“ฉันยังไหวคะ แล้ววันนี้คนป่วยมีมากกว่าทุกวันเกือบสามเท่าได้กระมัง ถ้าขาดใครไปสักคนที่นี่ต้องวุ่นวายแน่ ๆ ให้ฉันอยู่ต่อเถอะนะจ๊ะ” เจ้าหญิงอลาน่าทรงขอร้อง

ซิสเตอร์โรซาน่าเอียงคอเล็กน้อย มองสำรวจพระพักตร์ของเจ้าหญิงเพื่อประเมินอาการด้วยสายตาที่ฉายแววกังวล “ก็ได้เพคะ แต่ถ้าพระองค์รู้สึกแย่ลงเมื่อไหร่ พระองค์ต้องรีบบอกหม่อมฉันทันที และเมื่อกลับไปถึงปราสาทแล้วก็ต้องรีบพักผ่อนนะเพคะ”

“ตกลงค่ะ” เจ้าหญิงอลาน่าทรงรับคำยิ้มอย่างร่าเริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:35 pm

กว่าจะรักษาผู้ป่วยจนครบหมดทุกคนก็เป็นเวลาเกือบพลบค่ำแล้ว คณะของซิสเตอร์ต่างก็มุ่งกลับอารามที่พัก โดยคณะของเจ้าหญิงอลาน่าเข้าถึงที่พักเป็นคณะหลังสุด ก่อนจากกันซิสเตอร์โรซาน่าก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับให้เจ้าหญิงพักผ่อนทันที ซึ่งเจ้าหญิงอลาน่าก็ทรงรับปากแต่โดยดี ทว่าเมื่อกลับถึงปราสาทแล้วกลับมีราชกิจมากมายรออยู่ เพราะเกิดสงครามขึ้น แม้แอนดิซองมิได้เข้าร่วมในสงคราม แต่ผลกระทบต่าง ๆ ก็เริ่มจะส่อเค้าว่าจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อแอนดิซอง มีเอกสารมากมายที่เจ้าหญิงต้องทอดพระเนตร มีปัญหามากมายที่ต้องนำเข้าที่ประชุม

ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จถึงปราสาทก็ต้องรีบเข้าร่วมประชุมกับสภาขุนนาง สภาศาสนา และสภาพ่อค้าเรื่องการเพิ่มงบประมาณที่จะสำรองไว้ใช้ในราชสำนักและสภาทั้งสองสำหรับฤดูหนาวที่ปีนี้มาเร็วกว่าปกติ การประชุมที่เคร่งเครียดดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเพราะต่างก็หาข้อสรุปที่น่าพอใจไม่ได้ เนื่องจากเริ่มมีผู้อพยพเดินทางมาที่แอนดิซองมากขึ้น ทั้งยังอยู่ในภาวะสงครามจึงต้องสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ป้องกันอาณาจักรหากเกิดกรณีฉุกเฉิน กว่าที่ประชุมจะได้ข้อยุติเวลาก็ล่วงเลยเกือบถึงเที่ยงคืน

เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จออกจากห้องประชุมพร้อมเหล่านางกำนัลสี่นางมุ่งสู่เขตพระราชฐานชั้นในด้วยความเหนื่อยอ่อน ย่างก้าวของพระองค์ช้าลงเรื่อย ๆ จนเหล่านางกำนัลเริ่มมองหน้ากัน

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ?” นางกำนัลคนหนี่งถามขึ้นในที่สุด

เจ้าหญิงอลาน่าทรงหันมายิ้มน้อย ๆ พูดเสียงเบา “ฉันคิดว่าวันนี้ฉันคงจะเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นเองจ้ะ”

“ให้หม่อมฉันช่วยพยุงไหมเพคะ พระองค์ดูพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษเลยนะเพคะ” นางกำนัลอีกคนรีบพูดขยับตัวเข้าไปใกล้ด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของเจ้าหญิง

“ไม่เป็นไรจ้ะ อีกนิดเดียวก็ถึงห้องของฉันแล้ว” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มก่อนจะเลี้ยวตรงมุมตึก ทว่าทันใดนั้นก็เหมือนกับโถงทางเดินเหวี่ยงตัวหมุนเคว้ง เพดานและผนังดูเหมือนจะถูกบีบพับลงมากองกับพื้น เจ้าหญิงได้ยินแต่เสียงหวีดร้องของเหล่านางกำนัล เจ้าหญิงอลาน่าทรงรีบตรัสปลอบขวัญพวกนางทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นแค่เสียงพึมพำเบา ๆ เข่าทั้งสองของพระองค์อ่อนยวบแล้วทุกอย่างก็ค่อย ๆ พร่าเลือนไป คงไม่มีใครได้ยินเสียงปลอบขวัญของพระองค์เพราะพระองค์ยังรู้สึกได้ว่าเหล่านางกำนัลยังคงร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่รอบ ๆ ตัวพระองค์ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นมืดสนิท


***********************


เจ้าหญิงอลาน่าทรงรู้สึกถึงสายน้ำเย็นสดชื่นสะอาดบริสุทธิ์ไหลผ่านทั่วทั้งร่างของพระองค์อย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตัวเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆนุ่มขาวสะอาด นี่พระองค์มาบรรทมเล่นอยู่บนสรวงสวรรค์หรือไรนะ เมื่อคิดดังนั้นก็ปรารถนาอย่างเหลือเกินที่จะเห็นความงดงามของสรวงสวรรค์แห่งนี้ เจ้าหญิงจึงทรงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ แสงอรุณรุ่งรำไรที่แผ่ลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาเยี่ยมเยือนภายในห้องสีฟ้าอ่อนทำให้ทั่วทั้งห้องแลดูสดใสเหมือนท้องฟ้ายามเช้า ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างแสนจะธรรมดาและเรียบง่ายผิดกับห้องหับอื่น ๆ ในปราสาทที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาและการตกแต่งที่วิจิตรตระการตาจากบรรดาช่างฝีมือดีนับพันคน ห้องนี้ไม่มีเพชรพลอยประดับ ไม่มีเครื่องตกแต่งไร้สาระราคาแพง ไม่มีแม้แต่เครื่องเรือนหรูหราที่ประดับด้วยทองคำอย่างที่ขุนนางและชนชั้นสูงในแอนดิซองนิยมใช้กัน หากใครได้มาเห็นห้องบรรทมนี้คงไม่มีวันเชื่อแน่ว่าจะเป็นห้องบรรทมของเจ้าหญิงผู้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแห่งแอนดิซอง

แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามเช้าที่ทอแสงลอดตามช่องหน้าต่างเข้ามาอย่างอ่อนโยนทำให้เจ้าหญิงอลาน่าทรงเห็นว่าพระองค์อยู่บนแท่นบรรทมของพระองค์เองโดยมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำตาที่เอ่อคลอของซิสเตอร์ที่พระองค์รักไม่ต่างจากมารดาอีกคนหนึ่งอยู่ข้างแท่นบรรทมของพระองค์

“ซิสเตอร์ดูเหมือนนางฟ้าที่มากับแสงอรุณรุ่งเลยนะคะ” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสเสียงเบายิ้มน้อย ๆ

“ยังจะมาตรัสล้อหม่อมฉันเล่นอีกนะเพคะ พระองค์ทราบไหมว่าหม่อมฉันตกใจแค่ไหนตอนที่พวกมหาดเล็กวิ่งหน้าตาตื่นไปตามหม่อมฉันที่อารามแล้วบอกหม่อมฉันว่าพระองค์ทรงเป็นลม? พอหม่อมฉันมาถึง ทั้งพวกนางกำนัลและหมอหลวงก็วุ่นวายไปทั่วทั้งห้องเลย พระองค์บรรทมไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เชียว นี่ก็เข้าเช้าวันนิล(Nil)แล้วเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ามองเจ้าหญิงของเธออย่างอ่อนโยน

“ฉันเป็นลมรึคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสงง ๆ “ฉันคิดว่าปราสาทถล่มเสียอีก”

“ถ้าพระองค์ยังไม่ฟื้นปราสาทคงถล่มจริง ๆ นั่นแหละเพคะ ราชองครักษ์อองเดรแทบจะบีบคอหมอหลวงอยู่แล้วเพราะพระองค์ไม่ฟื้นเสียที ทั้งนางกำนัลและมหาดเล็กก็โดนหางเลขกันเป็นแถว ขนาดหม่อมฉันยังโดนไปด้วยเลยเพคะ โทษฐานที่ปล่อยให้พระองค์ตรากตรำทำงานมากเกินไป”

“โอ!ตายจริง แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรมากไหมคะ? แล้วซิสเตอร์ล่ะคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าอดตกพระทัยไม่ได้ที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องเดือดร้อน

“ไม่ต้องทรงวิตกกังวลหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร เขาไม่กล้าทำอะไรหม่อมฉันอยู่แล้วเพราะหม่อมฉันเคยช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็เรียกได้ว่าไม่พอใจหม่อมฉันเท่าไหร่นักหรอกเพคะ ที่ยอมสงบลงได้ก็เพราะหม่อมฉันยืนยันว่าจะใช้พลังรักษาช่วยเสริมกำลังให้พระองค์ และยืนยันกับเขาอีกว่าวันนี้พระองค์จะคืนสติ ที่พระองค์ยังไม่ฟื้นก็เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากและต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเท่านั้นเอง” ซิสเตอร์โรซาน่าตบหลังพระหัตถ์เจ้าหญิงเบา ๆ “หม่อมฉันบอกแล้วว่าให้พระองค์พักผ่อน ทำไมพระองค์ยังดื้อฝืนไปนั่งประชุมอีกละเพคะ?”

“ฉันแค่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงเลยคิดว่าถ้าอดทนอีกหน่อยก็จะได้กลับเข้าห้องบรรทมแล้ว ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นลมไปน่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้ซิสเตอร์ต้องลำบาก” เจ้าหญิงอลาน่าทรงเอื้อมพระหัตถ์มาจับมือซิสเตอร์โรซาน่าที่เกาะกุมพระหัตถ์ซ้ายของพระองค์อยู่

“ไม่เป็นไรเพคะ แต่ตอนนี้พระองค์นอนพักอีกสักหน่อยดีไหมเพคะ? หม่อมฉันจะไปแจ้งราชองครักษ์และคนอื่น ๆ ว่าพระองค์ฟื้นแล้ว พวกเขาจะได้คลายกังวลกัน นี่พวกเขาเตรียมโอสถไว้ให้พระองค์มากมายจนจะเสวยได้ทั้งปีเลยกระมังเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าพูดขำ ๆ ในขณะที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ก็ดีสิคะ ฉันจะได้มียาไว้แจกประชาชนของฉัน” เสียงหัวเราะของสตรีทั้งสองดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน แต่จู่ ๆ เจ้าหญิงอลาน่าก็ตรัสด้วยสีพระพักตร์จริงจังยิ่งขึ้น “ซิสเตอร์คะ อย่าแจ้งไปทางเสด็จพ่อกับเสด็จแม่นะคะ ฉันไม่อยากให้ทั้งสองพระองค์เป็นกังวล”

“เพคะ” ซิสเตอร์มองตอบอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูลงเบา ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:36 pm

เช้าวันลักษ์เจ้าหญิงอลาน่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระฉับกระเฉง พระองค์ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับวันนี้ที่พระองค์จะได้แจกอาหารให้แก่คนยากจนอย่างมีความสุข ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จไปถึงบริเวณลานกว้างหน้าประตูทิศตะวันออกที่ที่เหล่าซิสเตอร์ใช้เป็นจุดนัดพบประจำก่อนออกช่วยเหลือคนยากจน เจ้าหญิงทรงเห็นซิสเตอร์กลุ่มใหญ่ยืนรออยู่ก่อนแล้วจึงรีบตามไปสมทบทันที ทว่าบรรยากาศวันนี้กลับดูตึงเครียดหม่นหมองกว่าทุก ๆ วัน

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะซิสเตอร์?” เจ้าหญิงตรัสถามซิสเตอร์โรซาน่าด้วยความสงสัยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน

“ราชองครักษ์อองเดรนำกำลังทหารหลายร้อยนายตั้งด่านสกัดตามถนนสายต่าง ๆ เพื่อกันคนยากคนจนไม่ให้เข้ามาในเขตเมืองท่าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะ รวมทั้งกวาดต้อนคนยากจนและผู้อพยพขึ้นเกวียนออกไปนอกพื้นที่ที่เราจะแจกจ่ายอาหารในวันนี้ทั้งหมด วันนี้จึงไม่มีคนยากจนและผู้อพยพอยู่ในเมืองเลยแม้แต่คนเดียวเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวทูลด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

“เขาทำอย่างนั้นทำไมคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามอย่างตกพระทัย พระทัยของพระองค์เต้นแรงขึ้นด้วยความตระหนก

“เขาบอกว่า เพราะคนจนเหล่านี้ทำให้พระองค์เหน็ดเหนื่อยจนถึงกับประชวร และถึงแม้ว่าพระองค์ประชวรอยู่อย่างนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้จักสำนึกยังคิดจะเดินทางเข้ามารับบริจาคทำให้พระองค์ไม่ได้พักผ่อน”

“ไม่มีเหตุผลเลย ดีละ...ถ้าเช่นนั้นฉันจะออกไปแจกอาหารพวกเขาที่นอกเมืองเอง” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสจบก็เสด็จขึ้นรถม้าอย่างเด็ดเดี่ยว

“ฝ่าบาท” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลทัดทานสีหน้ายังไม่คลายความวิตกเพราะรู้แน่ว่าอองเดรคงแทบคลั่งที่เจ้าหญิงจะเสด็จออกนอกเมืองเช่นนี้

“ถ้าท่านราชองครักษ์ไม่พอใจก็ให้เขามาพูดกับฉันเองคะ ฉันจะไม่ยอมให้ประชาชนของฉันต้องหิวโหยและหนาวสั่นอยู่นอกเมืองอย่างนั้น” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสอย่างเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงภาพคนยากจนและผู้อพยพนับพันที่แออัดอยู่นอกเมืองโดยไม่มีอาหารกิน

“ฝ่าบาท!!”

เสียงเย็นยะเยือกเปี่ยมด้วยพลังอย่างนายทหารดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เหล่าซิสเตอร์ตกใจหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียว ทุกคนต่างยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอกับสายตาแข็งกร้าวที่ตรึงทุกคนไว้กับที่ ราชองครักษ์อองเดรยืนนิ่งอยู่ที่กาบประตูปราสาทฝั่งตะวันออกดวงตาเย็นยะเยือกฉายแววตระหนกอยู่เพียงชั่ววูบก่อนจะกลายเป็นไร้อารมณ์เช่นเดิม สายตาคมกริบของเขามองปราดเข้าไปบนรถม้าก่อนจะจ้องมองเขม็งไปทางซิสเตอร์โรซาน่า เขาสาวเท้าผ่านกลุ่มซิสเตอร์ที่เดินเลี่ยงหลบเป็นทางให้เขา
“เจ้าหญิงยังไม่ทรงหายประชวรดีทำไมท่านถึงยังให้พระองค์ออกมาข้างนอกเช่นนี้” อองเดรตำหนิซิสเตอร์อย่างกล่าวหาด้วยสายตาและน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ซิสเตอร์ห้ามแล้วจ้ะ แต่นี่เป็นความประสงค์ของฉันเองที่จะออกไปนอกเมือง”

อองเดรร่างกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แม้ใบหน้าจะยังคงนิ่งเฉยอยู่ “นอกเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ!? พระองค์จะออกไปนอกเมืองเพื่ออะไรกัน? พระองค์ไม่ควรออกมาตากลมอยู่เช่นนี้ด้วยซ้ำ”

“ฉันก็จะออกไปแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนของฉันอย่างที่ทำทุกวันลักษ์นะสิจ๊ะ ในเมื่อพวกเขาเข้ามารับอาหารไม่ได้ ฉันก็จะออกไปส่งอาหารให้พวกเขาเอง”

“ไม่ได้เด็ดขาด และพระองค์เองก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกมาข้างนอกอย่างนี้ด้วย” อองเดรยังคงดึงดันทูลเสียงเฉียบ ใบหน้าแข็งกร้าวขึ้น

“ใครจะรู้จักร่างกายของฉันได้ดีไปกว่าตัวฉันเองล่ะจ๊ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายดีมาก ๆ และตื่นเต้นมากจนแทบทนไม่ได้ที่จะได้ไปแจกอาหารให้ประชาชนที่น่าสงสารของฉัน ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันออกไปนอกเมืองก็แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาหาฉันที่นี่ละจ๊ะ”

อองเดรนิ่งเงียบไปทันทีรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมอีกครั้ง เขาจ้องพระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงด้วยดวงตาสีฟ้าอมเทาที่ไร้อารมณ์ทว่ากลับฉายแววประหลาดน้อย ๆ ขึ้นวูบหนึ่งที่หากไม่จับตาดูให้ดีคงไม่มีใครสังเกตเห็น

“ทำไมพระองค์ถึงต้องทำร้ายพระวรกายของพระองค์เองเช่นนี้” อองเดรทูลเสียงเย็นเบา ๆ เป็นเสียงที่ทำให้ซิสเตอร์โรซาน่าต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจในความรู้สึกที่เจือออกมาทางน้ำเสียงของราชองครักษ์หนุ่มวัยสามสิบสามปีผู้นี้

“ฉันไม่ได้ทำร้ายตัวเองจ้ะอองเดร แต่การช่วยเหลือผู้คนคือความสุขเพียงอย่างเดียวสำหรับฉัน ฉันยินดีที่จะลดราชกิจต่าง ๆ ลงเพื่อแลกกับการที่ฉันจะได้ช่วยเหลือประชาชนของฉันได้มากขึ้น” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสขึ้นแล้วก็ต้องทรงยิ้มออกมาในทันทีเมื่อทรงคิดถึงเวลาที่มากขึ้นหากพระองค์ลดงานราชการลง ทำไมเธอเพิ่งจะนึกวิธีนี้ได้นะ

“ถึงกระนั้น กระหม่อม...”

“ถ้าเธอกังวลเรื่องสุขภาพของฉัน ฉันก็ยินดีที่จะตั้งซุ้มแจกอาหารที่หน้าปราสาทนี้ และถ้าฉันรู้สึกอ่อนเพลียฉันก็จะได้เข้ามาพักผ่อนในปราสาทได้ทันที”

อองเดรขบกร้ามแน่น สีหน้าของเขายังคงราบเรียบแต่ทุกคนก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาเป็นริ้ว ๆ ซึ่งหมุนวนอยู่รอบ ๆ ร่างของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้

“สั่งยกเลิกด่านกักบริเวณ แล้วจัดการตั้งซุ้มที่หน้าปราสาทให้เจ้าหญิงเดี๋ยวนี้” อองเดร หันไปสั่งมหาดเล็กด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและเย็นยะเยือกจนผู้รับคำสั่งถึงกับขนลุกซู่ เมื่อพูดจบอองเดรก็โค้งให้เจ้าหญิง

“ถึงอย่างไรก็ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วย”

“ขอบใจจ้ะ” เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้มตรัสอย่างมีความสุข

อองเดรยืนนิ่งมองเจ้าหญิงอยู่ครู่หนึ่งดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นสนิทแต่ท่าทางของเขากลับดูเหมือนว่าเขามีความลังเลใจคล้ายกำลังตัดสินใจว่าจะกล่าวอะไรบ้างอย่างกับเจ้าหญิง ทว่าเพียงชั่วครู่เขาก็เปลี่ยนใจก่อนโค้งให้เจ้าหญิงอย่างสง่างามพลางหมุนตัวกลับก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโล่งใจของบรรดาซิสเตอร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:37 pm

อองเดรเดินจากไปพร้อมกับคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในใจของเขา เขาไม่เคยห้ามเจ้าหญิงได้สำเร็จเลยสักครั้ง เขาไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้าหญิงเลย ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องปฏิเสธความหวังดีของเขาทุกครั้ง? ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องทำเพื่อคนยากจนสกปรก ไร้ค่า และไม่มีอะไรเลยมากมายถึงขนาดนี้? เขาไม่เข้าใจว่าทำไมความสุขเพียงอย่างเดียวของเจ้าหญิงคือการช่วยเหลือคนเหล่านี้? ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงไม่ต้องการความสุขสบายและความร่ำรวยทั้ง ๆ ที่ทุกคนในอาณาจักรนี้ปรารถนาและขวนขวายหามันอย่างไม่เคยพอ? ทำไม?...ทำไม?


***********************************


ภายในงานชุมนุมหัวหน้าเผ่าใต้มหาพฤกษาอิกดราซิลที่ทางเผ่าฟูดินันได้จัดขึ้นหลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว(Harvest Spirit)หนึ่งวัน หัวหน้าเผ่าและผู้นำระดับสูงจากเผ่าต่าง ๆ ทั้งน้อยใหญ่ต่างเดินทางมาร่วมชุมนุมกันมากมาย รวมถึงผู้อาวุโสของเผ่าต่าง ๆ ก็ได้รับเชิญมาร่วมในงานชุมนุมในวันนี้เช่นกัน แต่เผ่าที่ดูโดดเด่นและเป็นที่น่าจับตามองคงไม่พ้นเผ่าฟูดินัน เผ่าเซนทอร์ เผ่าสมิง และ เผ่าป่าทมิฬ

เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่มากบริเวณตอนใต้ของเผ่าป่าทมิฬ ถิ่นอาศัยกินอาณาบริเวณกว้างตั้งแต่ตอนใต้ของป่าทมิฬจรดทะเลสาบนีรันดา ด้านซ้ายติดเทือกเขาที่เป็นที่ตั้งเมืองวอลเนียของฟีเลเซียส่วนด้านขวาติดกับเผ่าฟูดินัน เผ่าสมิงส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมทั้งสามตน คือ คาร์น(Karn, Leon Infantry) สมิงสายพันธุ์สิงโตผู้ซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์สูงใหญ่กำยำบึกบึน ใบหน้าเหมือนราชสีห์ดูองอาจน่าเกรงขามสมกับเป็นจอมทัพสมิงตัวแทนของผู้นำเผ่า ข้างกายคาร์นคือยอดฝีมือนามว่า แกสช์(Gash) สมิงสายพันธุ์เสือผู้มีเขายาวสีทองบิดเป็นเกลียวอยู่บนหน้าผาก ใบหน้าดุดัน ท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากพยัคฆ์ใหญ่ผู้เจนไพร มีอาวุธร้ายกาจถึงสองชิ้นเป็นอาวุธคู่กายคือขวานสองคมขนาดใหญ่และโซ่ที่ปลายมีตุ้มหนามเหล็ก ส่วนสมิงอีกตนหนึ่งคือผู้ที่มีฉายาว่าโทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ด(Tomahawk Leopard) สมิงสายพันธุ์เสือดาวรูปร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขี้ยวยาวคมกริบสีขาวทั้งสองยาวเกือบจรดอกแลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาแต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเขาว่าโทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ดตามฝีมือที่ร้ายกาจในการใช้อาวุธคู่กายของเขา ซึ่งก็คือขวานสองคมขนาดใหญ่ที่มีผ้าสีแดงราวกับเลือดผูกติดอยู่ที่โค่นขวานยักษ์นั่นเอง การปรากฏตัวของสมิงทั้งสามสร้างความครั่นคร้ามให้แก่หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ไม่น้อยทีเดียว เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนัก ไม่เคยเข้าร่วมสงครามหากไม่ถูกบีบบังคับ ดังนั้นการที่เผ่าสมิงมาร่วมในงานประชุมในครั้งนี้จึงทำให้หลาย ๆ เผ่าอดหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นไม่ได้

ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬนำโดยดามิก้า ผู้นำระดับสูงของเผ่าทมิฬที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้าได้แม้จะเป็นผู้หญิงและอายุยังน้อย ดามิก้ามีโทนิม่านักรบผู้ฝึกสัตว์ที่มากด้วยความสามารถเป็นผู้ติดตาม และ ฟูมิน(Fumin)นักรบระดับสูงอีกผู้หนึ่งของเผ่าป่าทมิฬ เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขนาดใหญ่ แต่งกายมิดชิดจนไม่เห็นผิวเนื้อ เขาซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากสีขาวที่เห็นเพียงดวงตาที่แข็งกร้าวของเขาเท่านั้น อาวุธคู่กายคือดาบสีแดงสองปลาย ฟูมินก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าร่วมในสงครามระหว่างเผ่าเมื่อสิบห้าปีก่อน หลายคนเชื่อว่าเขาถูกไฟคลอกตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่าในครั้งนั้นจนกลายเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาอัปลักษณ์ เป็นเหตุให้เขาต้องสวมหน้ากากและแต่งกายปกปิดผิวหนังที่ถูกไฟไหม้อย่างน่ากลัว ตั้งแต่นั้นมาจึงแทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาอีกเลยตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่แท้จริงแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่

ชาวเผ่าป่าทมิฬมักจะโดนตั้งข้อรังเกียจและถูกดูแคลนระคนหวาดกลัวจากเผ่าอื่น ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเพราะความน่ารักมโหดหรือฝีมือการรบที่รุนแรงร้ายกาจตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า การใช้เวทย์สายดำของเหล่าพ่อมดหมอผีในเผ่า และรวมไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างแปลกประหลาดและหลากหลายของคนต่างเผ่าต่างพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าต่าง ๆ สมิงที่หลากหลายสายพันธุ์ และรวมไปถึงเผ่าประหลาดอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมประสมปนเปกันไปหมด จนทุกเผ่าตราหน้าว่าเผ่าป่าทมิฬเป็นเผ่าที่ไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสามจะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก

ในขณะที่เผ่าเซนทอร์เองก็ส่งนายพลทราเฮิร์น(Trahern, the Centaur General) แม่ทัพเซนทอร์ผู้มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในเผ่าเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน อาวุธประจำกายของเขาคือทวนปลายแหลมขนาดใหญ่อันแข็งแกร่ง แม่ทัพทราเฮิร์นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยนำทัพเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฟูดินันเนื่องจากเผ่าเซนทอร์นั้นเป็นพันธมิตรที่เหนี่ยวแน่นของเผ่าฟูดินันมาช้านาน โดยนายพลทราเฮิร์นนั่งอยู่ไม่ไกลจากผู้เฒ่าวูจินนัก

เมื่อทุกเผ่ามาพร้อมหน้ากันแล้ว ฮารีซันจึงลุกขึ้นกล่าวต้อนรับด้วยเสียงอันดัง

“ขอบคุณท่านผู้นำเผ่า ผู้อาวุโส และตัวแทนเผ่าต่าง ๆ ทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานชุมนุมในวันนี้ เหตุที่ข้า ฮารีซันแห่งฟูดินันต้องเชิญทุกท่านมาร่วมชุมนุมเป็นการด่วนในวันนี้ ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าเพิ่งได้ข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างซาโลมและฟีเลเซียที่กำลังเกิดขึ้นอีกฟากของคีรีบันดา”

เสียงฮือฮาด้วยความตระหนกตกใจดังกระหึ่มขึ้นทันที เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งผู้อาวุโสและบรรดาผู้นำเผ่าต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสจากเผ่าหนึ่งเอ่ยถามขึ้นในที่สุด ฮารีซันจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากโจซานให้ฟังทั้งหมด ทุกคนที่ได้ฟังต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:40 pm

“ข้าเพิ่งรู้ว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันเชื่อลมปากช่างโม้ของเจ้าโจซานด้วย” ฟูมินพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่ก็ทำให้หลายคนที่ยังกังขาในความอ่อนเยาว์เกินไปของฮารีซันที่ได้เป็นหัวหน้าเผ่าใหญ่อย่างฟูดินันอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ดามิก้าซึ่งถือว่ามิตรที่สนิทสนมกับเผ่าฟูดินันโดยเฉพาะกับครอบครัวบันดาราจึงอดโมโหแทนไม่ได้ที่เพื่อนของตนถูกหักหน้ากลางที่ประชุม จึงตบโต๊ะเสียงดังหันไปมองฟูมินทันที พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะที่เงียบสนิทลงทันทีเช่นกัน ในขณะที่ฟูมินก็จ้องตอบดามิก้าอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ไม่เป็นไรหรอกดามิก้า ท่านฟูมินและคนอื่น ๆ ก็มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเช่นกัน และด้วยอุปนิสัยของโจซานก็เป็นไปได้ที่จะทำให้คิดเช่นนั้น”

คำพูดที่ไม่แม้แต่จะแสดงความโกรธเคืองหรือคิดถือสาหาความของฮารีซันนั้นทำให้ผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าหลายคนเกิดความประทับใจในความอดทนและใจกว้างของผู้นำเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้

ฮารีซันกล่าวต่อไปว่า “ทุก ๆ ท่าน แม้โจซานจะชอบคุยโม้คุยโตจนเกินจริงแต่ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมีพื้นฐานมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทั้งนั้น พวกเราทุกคนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ทราบดีว่าฝูงมังกรไฟที่บุกเผาทำลายป่าของพวกเราที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นฝีมือของอาณาจักรซาโลมเช่นกัน ซึ่งก็เป็นที่สิ่งยืนยันว่าอาณาจักรซาโลมได้ยกทัพมาทางตอนกลางของทวีปเมอรีเซียจริง พวกมันคงหวังจะขยายอาณาจักรจึงคิดทำลายล้างและขับไล่พวกเรา เพียงแต่ท่านมหาพฤกษาอิกดราซิลช่วยคายน้ำดับไฟป่าให้เรา ทำให้แผนการของพวกมันไม่สำเร็จจึงได้หันไปโจมตีอาณาจักรฟีเลเซียแทน แต่พวกเราก็คงเคยได้ยินกิตติศักดิ์ของอาณาจักรซาโลมมาแล้วว่า หากหมายตาสิ่งใดแล้วละก็จะไม่ยอมรามือง่าย ๆ ดังนั้นข้าจึงเห็นว่าเวลานี้พวกมันอาจจะแค่เปลี่ยนแผนไปบุกฟีเลเซียก่อนและอาจจะกำลังรอเวลาที่จะโจมตีพวกเราอีกครั้ง”

ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของฮารีซัน แม้จะมีบางคนที่ยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของฮารีซันมีความเป็นไปได้สูง

“แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ไม่ใช่รึว่าพวกมันอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว” ผู้อาวุโสจากเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่งกล่าวขึ้น สีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“เหลวไหลน่า พวกเราทุกคนก็เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรซาโลมกันมาแล้วว่าพวกมันร้ายกาจแค่ไหน” ผู้อาวุโสอีกเผ่าเอ่ยขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี?” ผู้นำเผ่าขนาดกลางคนหนึ่งถามด้วยความวิตก

“ถ้ามีสงครามอีก เผ่าของข้าคงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลูกเผ่าก็เหลือน้อยจนจะไม่เรียกว่าเผ่าแล้ว ข้าจะอพยพ” หัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ อีกเผ่ากล่าวเสียงสั่น

“ขี้ขลาด ถ้าเจ้าอ่อนแอขนาดนี้ก็ยุบเผ่าของเจ้าแล้วออกจากการประชุมไปซะเดี๋ยวนี้เลยสิ ที่นี่ไม่เหมาะให้หมาขี้แพ้อย่างเจ้ามานั่งให้พื้นสกปรกหรอก” ฟูมินกล่าวหยามดวงตาแข็งกร้าว เพราะสำหรับนักรบที่สู้ไม่เคยถอยอย่างเขาการถอดใจเป็นเรื่องที่น่าสมเพชที่สุด

สิ้นคำฟูมินก็เกิดการทุ่มเถียงกันในหมู่ผู้นำเป็นการใหญ่ หลายคนที่ไม่พอใจท่าทีของฟูมินก็กล่าวหาชาวป่าทมิฬอย่างรุนแรง ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสงครามก็ยิ่งทวีความหวั่นวิตกในหมู่ผู้ชุมนุมขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การประชุมระอุแทบจะลุกเป็นไฟ ฉับพลันนั้นจู่ ๆ หัวหน้าเผ่าผู้ถูกหยามก็ชักดาบพุ่งเข้าใส่ฟูมินอย่างรวดเร็ว ด้านฟูมินเองก็ตวัดดาบกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กริ่งเกรงท่ามกลางเสียงอุทานและความตระหนกตกใจของบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำเผ่า

เคร้ง!!

ที่กลางลานประชุมนั้นเองดาบของทั้งสองกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างจนต้องหยุดค้างอยู่ห่างจากกันเกือบวา ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงระคนโล่งใจของทุกคนเมื่อระหว่างบุคคลทั้งสองคือฮารีซันผู้นำแห่งเผ่าฟูดินันซึ่งพุ่งตัวออกไปขวางคนทั้งสองไว้ได้ทันท่วงที ฮารีซันยกโล่ที่แขนขึ้นรับแรงปะทะจากดาบทั้งสองไว้ได้อย่างมั่นคง เมื่อถูกฮารีซันขวางเช่นนี้ทั้งสองจึงชักอาวุธกลับแม้จะไม่ค่อยพอใจนัก

“ท่านทั้งสองและทุก ๆ ท่าน เวลานี้อยู่ในช่วงเวลาคับขัน ข้าศึกอาจจะบุกโจมตีเราได้ตลอดเวลา เราควรจะสามัคคีกันและมาช่วยกันหาทางรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดีกว่า”

“ท่านฮารีซันพูดถูกแล้ว พวกเราก็อยู่มานานแล้วแต่กลับลืมตัวปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิดเสียได้ช่างน่าละอายจริง ๆ ท่านวูจินคิดถูกแล้วที่มอบเผ่าฟูดินันให้ท่านดูแล” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเสียงสนับสนุนจากผู้นำอื่น ๆ มากมาย ซึ่งวูจินก็ยิ้มรับอย่างยินดี วันนี้ฮารีซันพร้อมจะเป็นผู้นำเต็มตัวแล้ว

ฟูมินซ่อนแววตาแห่งความชิงชังไว้ใต้เปลือกตาที่หรี่แคบ แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ที่ประทุจนเดือดไว้ได้ “ข้าไม่ยอมรับเจ้าหรอก เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เจ้ามันก็เหมือนกับพ่อของเจ้านั่นแหละ อวดดีทำเป็นนิ่งเงียบไม่ตอบโต้เหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง แล้วยังมาเจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นผู้นำเผ่าต่าง ๆ คนอย่างข้าจะก้มหัวให้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นไม่ใช่เด็กอ่อนแอขี้ขลาดแล้วยังอวดดีอย่างเจ้า” ฟูมินประกาศกร้าวเผยความในใจออกมาในที่สุด

“ที่ข้านิ่งเฉยใช่ว่าเพราะข้าโง่งม ที่ข้าอดกลั้นไม่ใช่เพราะข้าขลาดกลัว แต่การที่ข้าอดทนและปกป้องนั่นต่างหากคือความเข้มแข็งที่ประเสริฐสุด” ฮารีซันกล่าวชัดถ้อยชัดคำด้วยความสุภาพไม่เจืออารมณ์เคืองโกรธแม้สักนิด จึงยิ่งทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเกิดความนับถือในน้ำใจของผู้นำรุ่นเยาว์

“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ข้าจะคอยดูว่าคนอย่างเจ้าจะไปได้สักกี่น้ำ” กล่าวจบฟูมินก็สะบัดผ้าคลุมเดินออกจากที่ประชุมไปโดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น เมื่อฟูมินจากไปแล้วดามิก้าจึงลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุมด้วยเสียงเคร่งเครียด

“ขออภัยท่านผู้นำและผู้อาวุโสทุกท่านที่ฟูมินเสียมารยาท แต่เพราะเขาสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากรวมถึงครอบครัวของเขาตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่า แล้วยังการโจมตีของซาโลมครั้งที่ผ่านมา ก็เรียกได้ว่าเผ่าป่าทมิฬโดนโจมตีหนักที่สุด จึงทำให้เขายังมีความแค้นฝั่งลึกอยู่ในใจ เมื่อกลับไปถึงเผ่าข้าจะพูดกับเขาเอง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 27 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:41 pm

“ขอบใจมากดามิก้า ท่านฟูมินเองก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ข้าก็หวังว่าเขาจะใช้ความสามารถของเขาช่วยเหลือพวกเราได้ในอนาคต อย่าวิตกเลยข้าไม่ถือสาหาความหรอก เรามาหารือกันต่อเถอะว่าพวกเราจะเตรียมรับมือพวกซาโลมอย่างไรดี”

เป็นอีกครั้งที่แม้ตัวฮารีซันเองจะไม่ได้สังเกตเห็น แต่คำพูดของเขาที่แสดงถึงความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจไม่ถือโทษคนที่ร้ายกาจกับตนได้ทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเลื่อมใสในตัวของเขา

จากนั้นการประชุมจึงได้เริ่มดำเนินต่อไปด้วยความสงบ ทว่าก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมที่ราบรื่นนักเพราะเผ่าสมิงยืนกร้านที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้

“ข้าไม่เห็นว่าเผ่าสมิงจะมีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องเข้าร่วมในการเตรียมการครั้งนี้” คาร์นกล่าวด้วยเสียงคำรามต่ำคล้ายสิงโต

“แต่อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ร่วมป่าเดียวกัน หากเกิดภัยสงครามขึ้น ทั่วทั้งป่าก็ต้องลุกเป็นไฟและแม้เผ่าสมิงเองก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนมิใช่หรือ?” นายพลทราเฮิร์นออกความเห็น

“ผลกระทบพวกนั้นไม่เคยสร้างปัญหาให้เผ่าของเรา” คาร์นกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจนักเพราะตลอดมาเผ่าสมิงแทบจะปิดเผ่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าใด ๆ มาช้านานแล้ว ทำให้ผลกระทบต่าง ๆ ภายนอกเผ่าแทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าไปในเขตแดนของเผ่าสมิงเลย คาร์นกวาดดวงตาที่เป็นประกายคมดุอย่างสิงโตมองไปทางตัวแทนเผ่าต่าง ๆ ซึ่งก็มีทั้งคนที่หลบตาและผู้อาวุโสบางคนถึงกับตัวสั่น คาร์นหัวเราะในลำคอคล้ายเสียงคำรามแฝงแววยิ้มเยาะในแววตา “หึ หึ ท่านฮารีซัน ท่านคิดอย่างไรหรือถึงเชิญเผ่าสมิงให้ร่วมเตรียมการณ์ในครั้งนี้?”

ที่คาร์นกล่าวเช่นนี้ก็เพราะรู้ดีว่าเผ่าสมิงเองก็ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับของหลาย ๆ เผ่าเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเผ่าสมิงทำเรื่องร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะความกลัวพื้นฐานที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ในเผ่าต่าง ๆ นั่นเอง ใบหน้าที่ดุดันเยี่ยงสัตว์ร้ายของเผ่าสมิง ทำให้ผู้คนแค่เพียงต้องเผชิญก็หวาดกลัวด้วยเกรงจะถูกทำร้ายเยี่ยงสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพวกเขาก็มีความนึกคิดไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแค่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาทำให้มีรูปร่างแตกต่างไปเท่านั้น แต่ความหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลของพวกมนุษย์และการแสดงความรังเกียจที่ฉายชัดในแววตาของพวกมนุษย์ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเผ่าสมิงไม่น้อย จากความไม่เข้าใจกันนานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเบื่อหน่ายรำคาญใจ ในที่สุดเผ่าสมิงจึงตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับเผ่ามนุษย์อีก แต่ในครั้งนี้ที่เผ่าสมิงยอมมาเข้าร่วมประชุมหัวหน้าที่ฟูดินันจัดขึ้นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันตั้งแต่ครั้งกาลก่อน อีกทั้งผู้เฒ่าวูจินก็เคยมีบุญคุณกับแกสช์ สมิงสายพันธุ์เสือเขาทองเพราะเคยช่วยชีวิตแกสช์เอาไว้เมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า แกสช์ถูกลอบทำร้ายเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นสมิงจากเผ่าป่าทมิฬ ในครั้งนั้นวูจินได้ช่วยชีวิตเอาไว้และรักษาจนหายดี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันดีขึ้น แม้เผ่าสมิงยังคงปิดตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครแต่เมื่อฟูดินันเชื้อเชิญมาเผ่าสมิงจึงให้เกียรติยอมมาร่วมงานในครั้งนี้

“ข้าคิดว่าพวกเราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงามหาเทพพฤกษาอิกดราซิล ซึ่งก็เสมือนอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ดังนั้นพวกเราก็คือพี่น้องที่แม้จะไม่ได้ร่วมอุทรจึงย่อมต้องมีความแตกต่างกันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะต้องแบ่งแยกกันมิใช่หรือ?” ฮารีซันกล่าว

คาร์นเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ แม้ความคิดของหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้จะยังไม่อาจเปลี่ยนทัศนะคติของเผ่ามนุษย์และเผ่าสมิงในเวลานี้ได้ แต่ก็ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มมองเห็นประกายแห่งการปรองดองระหว่างเผ่าต่าง ๆ เปล่งออกมาจากเขา คาร์นมิได้พูดใด ๆ ต่อปล่อยให้การประชุมดำเนินต่อไปโดยเผ่าสมิงเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วยการร่วมออกความเห็นต่าง ๆ กระนั้นก็ดีเผ่าสมิงก็ยังคงไม่มีท่าทีใด ๆ ที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้แม้ฮารีซันจะพยายามพูดหว่านล้อม ที่สุดวูจินจึงลุกขึ้นหันหน้าไปเผชิญสมิงทั้งสามกล่าวแนะให้ทั้งสามได้คิด

“ข้ารู้ดีว่าพวกเรามนุษย์เคยสร้างความบาดหมางให้บรรพบุรุษของท่านมาตั้งแต่ครั้งกาลก่อน ทำให้พวกท่านเบื่อหน่ายและไม่อยากสุงสิงกับพวกมนุษย์อีก แต่นี่แน่ะท่านทั้งสาม ไม่มีใครสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ตลอดไปหรอกนะ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทุกชีวิตบนโลกนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึงพาอาศัยกันทั้งนั้น ท่านจะก่อกำแพงขังตัวเองไว้ตลอดกาลอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ใช้เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คืนดีและเรียนรู้เข้าใจกันและกันให้มากขึ้นล่ะ?”

เมื่อคาร์นและโทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ดยังคงนิ่งเงียบ แกสช์จึงกล่าวออกมาในที่สุด “ข้าเข้าใจดีว่าเผ่าของข้ายังไม่พร้อมที่จะคบค้ากับเผ่าอื่น ๆ ในทันที จึงเป็นการลำบากที่พวกข้าจะรับปากใด ๆ กับพวกท่าน” แกสช์กล่าวด้วยเสียงทุ้มดังเหมือนเสือคำราม “แต่สำหรับตัวข้า ในเมื่อท่านวูจินออกปาก ข้าก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือเท่าที่สามารถ ถือว่าเป็นการตอบแทนท่านที่เคยช่วยเหลือข้าอย่างดี”

โทมาฮอว์ค เลิพเพริ์ด เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบเสียงคำรามต่ำ “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้าเป็นการส่วนตัว ทางเผ่าก็คงไม่มีปัญหาหรือมีข้อขัดข้องใด ๆ ต่อการตัดสินใจของเจ้าในเรื่องนี้”

คาร์นเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน ทั้งวูจิน ฮารีซัน และคนอื่น ๆ ต่างก็ยินดีอย่างยิ่ง วูจินจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบใจมาก พวกเราได้ยอดฝีมืออย่างท่านมาช่วยก็เบาแรงไปได้มากเชียวล่ะ”

“อย่าเกรงใจไปเลยท่านผู้เฒ่า ข้ามีโอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านก็ยินดีแล้ว” แกสช์ตอบ

หลังจากนั้นการประชุมก็ยังคงดำเนินต่อไปจนเมื่อล่วงเข้าเวลาพลบค่ำทุกเผ่าจึงได้ข้อสรุปว่า เผ่าเซนทอร์จะส่งเซนทอร์เรนเจอร์(Centaur ranger)ออกดูแลความสงบเรียบร้อยและส่งเซนทอร์สเกาท์(Centaur scout)คอยออกสอดแนมพื้นที่โดยรอบ ในขณะที่เผ่าสมิงก็มีแกสช์ซึ่งอาสามาช่วยโดยแต่งตั้งแกสช์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าในการฝึกการรบให้ฟูดินัน (Gash, the Fudenun’s Warlord) โดยเผ่าน้อยใหญ่อื่น ๆ จะส่งกองกำลังมาฝึกกับแกสช์ร่วมกันที่เผ่าฟูดินัน ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬก็จะช่วยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยร่วมกับเผ่าเซนทอร์ รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการตั้งรับการโจมตีจากซาโลมด้วย เมื่อตกลงกันได้ดังนี้แล้วทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับที่พักที่ทางฟูดินันจัดไว้ต้อนรับก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับเผ่าของตนในวันรุ่งขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน

cron