Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 6:41 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 25 อัศวินสวรรค์ @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 25 อัศวินสวรรค์ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:12 pm

Chapter 25 อัศวินสวรรค์


ใกล้รุ่งสางแล้วในขณะที่วิหารแห่งฟรานเชสก้าถูกรายล้อมไปด้วยทหารผีนรกครึ่งแสนและเหล่าทหารเรือนแสนของซาโลมจนบริเวณโดยรอบแน่นขนัดไปหมด เนื่องจากเพราะวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้บรรดาผีร้ายแทบจะมอดไหม้ด้วยพลังแห่งสวรรค์ จึงถึงคราวที่ทัพมนุษย์ของซาโลมจะทำหน้าที่กวาดล้างต่อ ทั่วลานหน้าวิหารจึงดาษดื่นไปด้วยศพของบรรดานักบวช ผู้ปกป้องวิหารและอัศวิน เลือดของบรรดาผู้กล้าและผู้ศักดิ์สิทธิ์ไหลอาบชโลมไปทั่วลาน ขณะนี้ในวิหารฟรานเชสก้าแทบไม่เหลือทหารหรือแม้แต่บรรดานักบวชที่จะปกป้องวิหารอีกแล้ว

ภายในวิหารฟรานเชสก้าแสงสว่างจากเปลวเพลิงภายนอกสาดส่องผ่านกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าและมนุษย์ แสงหลากสีทอประกายสะท้อนเครื่องใช้ทองคำนานาชนิดจนเกิดประกายแวววาวไปทั้งวิหาร โทนสีน้ำตาลทองที่ใช้ตกแต่งภายในวิหารช่วยให้ผู้ที่เข้ามาในวิหารแห่งนี้รู้สึกจิตใจสงบเยือกเย็นขึ้นอย่างประหลาด ความใหญ่โตและแน่นหนาของกำแพงวิหารช่วยสกัดกั้นเสียงรบราฆ่าฟันภายนอกจนเหมือนเสียงดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ

บริเวณโดยรอบพระแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์เด็ก ๆ กว่าร้อยชีวิตกำลังอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนและหวาดกลัวเพราะเพิ่งประสบชะตากรรมที่น่าสยดสยอง ต่างร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทา บางคนมีผ้าพันแผลตามร่างกายที่ขาบ้าง แขนบ้าง ศีรษะบ้างเพราะบาดเจ็บจากการถูกโจมตี บ้างก็สวดภาวนาด้วยน้ำตานองหน้า บ้างก็เกาะกอดมารดาร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่ง พ่อแม่ของเด็ก ๆ ส่วนมากถูกสังหารในระหว่างสู้รบกับกองทัพปีศาจไปจนหมดสิ้น เด็ก ๆ หลายคนรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิดด้วยความช่วยเหลือจากอัศวินหรือนักบวช แล้วจึงถูกพามารวมกันไว้ที่วิหารแห่งนี้เพื่อรอคอยความช่วยเหลือของกองทัพใหญ่จากเมืองเอรีม แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าพวกเขารอดตายมาเพื่อพบกับความสยดสยองยิ่งกว่า ความหวาดกลัวจนแทบเสียสติกำลังบีบคั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เหล่านี้ บิชอปเกรเกอรี่เองก็คุกเข่าอยู่หน้าพระแท่นศักดิ์สิทธิ์และยังคงสวดภาวนาด้วยใจร้อนรนอย่างไม่ย่อท้อ

“ท่านบิชอป” หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารเดินเข้ามากระซิบเรียกเสียงเบา “ผู้ปกป้องวิหารและนักบวชที่เราจะส่งออกไปชุดนี้เป็นแปดสิบคนสุดท้ายแล้ว พวกเราจะพยายามต้านไว้ให้นานที่สุด เผื่อว่าทัพหลวงจะมาทันการณ์”

เกรเกอรี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง บิชอปหนุ่มลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยเสียงมาดมั่น “ถ้าเช่นนั้น เราก็จะออกไปกับพวกท่านด้วย”

“ไม่ได้นะท่านบิชอป หากท่านออกไปใครจะปกป้องวิหารอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนี้เล่า แล้วยังเด็ก ๆ เหล่านี้อีก หากท่านไม่อยู่ที่นี่พวกเขาคงไม่รอดแน่”

ในกลุ่มนั้นมีมารดาที่ยังมีลูกเล็ก ๆ อยู่เกือบสิบคน เมื่อพวกนางได้ยินดังนั้นก็ส่งลูกให้เด็กที่โตกว่าอุ้มไว้แม้เด็กน้อยหลายคนจะร้องไห้จ้าเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยที่กำลังถาโถมเข้ามา พวกนางก้าวออกมาสมทบกับหัวหน้าผู้ปกป้องวิหาร หญิงแต่ละคนมีดาบติดตัวมาด้วย นางหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น แม้ดวงตาจะยังคงชื้นหมาดด้วยน้ำตา

“พวกเราจะร่วมรบกับพวกท่านด้วย”

“พวกเจ้า...”

“หากพวกเราสามารถถ่วงเวลาได้แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีพวกเราก็จะทำ ขอแค่มีโอกาสเพียงน้อยนิดเพื่อให้พวกเขาอยู่รอด พวกเราก็เต็มใจสละชีวิตคะ” นางปรายตามองลูกน้อยและเด็ก ๆ นับร้อยที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารเม้มปากแน่น พูดอะไรไม่ออก เขาพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วจึงหันไปหาบิชอปเกรเกอรี่ “ท่านบิชอป ระบบกลไกการเปิดปิดประตูของวิหารแห่งนี้ถูกออกแบบมาอย่างดี เมื่อพวกเราออกไปและผลักบานประตูปิดสนิทแล้ว ไม้คานจะหล่นลงมาสับขวางบานประตูพอดี ประตูวิหารของเราแข็งแกร่งมากคงจะพอต้านพวกมันไว้ได้นานทีเดียว แต่เพื่อความไม่ประมาทข้าเห็นว่าท่านควรจะเคลื่อนย้ายเด็ก ๆ ขึ้นไปบนห้องลับใต้ยอดโดมของวิหาร ทางขึ้นอาจจะลึกลับซับซ้อนอยู่บ้างแต่ก็เป็นที่หลบซ่อนตัวได้อย่างดีทีเดียว เผื่อว่าหากพวกซาโลมสามารถบุกเข้ามาได้ พวกมันก็ยังต้องเสียเวลาอีกไม่ใช่น้อยในการตามหาพวกท่าน”

หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารกล่าวเสียงเครียด สีหน้าอิดโรยเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการปกป้องวิหารและรู้ดีว่าในครั้งนี้เขาและคนอื่น ๆ จะไม่ได้กลับมาอีก เขากวาดตามองวิหารที่เขากำลังจะใช้ชีวิตปกป้องอย่างภาคภูมิใจ

“ท่านบิชอปวันนี้พวกเราได้ปกป้องวิหาร ท่าน และเด็ก ๆ เหล่านี้ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง วันนี้เองเราจะได้มองและสวดภาวนาช่วยเหลือพวกท่านในสวรรค์” เขาสูดหายใจลึก กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “นี่ก็ได้เวลาแล้วท่านบิชอปโปรดอวยพรให้พวกเราด้วย”

ทันทีที่พูดจบกองทัพย่อยชุดสุดท้ายก็เดินมาสมทบด้วยจนครบทุกคนพอดี เกรเกอรี่มองใบหน้าของทุกคนราวกับจะพยายามจดจำใบหน้าของเหล่าวีรบุรุษวีรสตรีเหล่านี้ไว้ในใจตลอดไป ดวงตาของเขาปวดร้าวจนแสบร้อน การกล่าวอวยพรให้กับผู้ที่จะออกไปสละชีวิตเพื่อตนเองนั้นช่างเจ็บปวดทรมาน หัวใจรวดร้าวอย่างที่สุดที่ต้องส่งพวกเขาออกไปเพื่อไปตายอย่างทรมานข้างนอกนั่น ทุกข์ระทมที่ไม่สามารถร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนพี่น้องได้ ทั้งเวทนาสงสารเด็ก ๆ ที่ต้องพลัดพรากและกำพร้า หัวใจของเขาหนักอึ้ง ความรู้สึกต่าง ๆ ประดังเข้าจู่โจมเขาจนแทบจะล้มทั้งยืน แต่เขาต้องเข้มแข็งและยืนหยัดเพื่อผู้ที่ยังเหลืออยู่ เกรเกอรี่กล่าวอย่างยากลำบาก

“พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อาจบรรยายความทุกข์โศกเสียใจที่ไม่สามารถร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่าน ไม่สามารถบรรยายความซาบซึ้งใจและสำนึกในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกท่านให้ออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เรารู้ว่าการกระทำของพวกท่านในวันนี้จะไม่สูญเปล่า ความกล้าหาญและเสียสละของพวกท่านจะตราตรึงอยู่ในจิตใจของประชาชนชาวฟีเลเซียตลอดไป เราสัญญาว่าจะปกป้องวิหาร และเด็ก ๆ จนสุดความสามารถแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก” คำพูดของบิชอปทำให้เหล่าบรรดาผู้กล้าต้องหลั่งน้ำตา รอยยิ้มแห่งความเชื่อมั่นฉาบอยู่บนใบหน้าของเขาทุกคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 25 อัศวินสวรรค์ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:13 pm

“ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดพิทักษ์ดูแลพวกท่าน เสริมกำลังกายกำลังใจให้เข็มแข็ง ขอพระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาปกป้องคุ้มครองจิตวิญญาณของพวกท่านมิให้มารร้ายมาแย่งชิงไป และเมื่อท่านจากร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ไปก็ขอพระองค์ทรงรับดวงวิญญาณของพวกท่านให้ได้รับการพักผ่อนตลอดนิรันดรในสวรรค์กับพระองค์”

เมื่อสิ้นคำบิชอปแห่งฟีเลเซียทุกคนก็อยู่ในอาการนิ่งสงบ ไม่มีคำพูดใด ๆ ต่อกันอีกแล้ว มีเพียงสายตาที่มุ่งมั่นและจิตใจแน่วแน่ที่จะต่อสู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย กองทัพทำความเคารพต่อหน้าพระแท่นศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะตบเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังประตูใหญ่ของวิหารโดยมีสายตาที่เจ็บปวดของเกรเกอรี่มองส่งพวกเขา มือของเกรเกอรี่กำรอบไม้เท้าประจำตำแหน่งแน่นจนสั่นเกร็ง กรามขบแน่นเต็มไปด้วยความทุกข์ ได้แต่ยืนนิ่งมองดูแผ่นหลังของพวกเขาจนลับสายตาไปแล้วจึงหันกลับมามองเด็ก ๆ สายตาของเด็ก ๆ ที่มองตอบกลับมานั้นเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกลัว และไม่มั่นคง บิชอปหนุ่มจึงผายมือออกพยายามยิ้มให้เด็ก ๆ ซึ่งก็ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกมีความหวังขึ้นมาแม้เพียงน้อยนิด

“มาเด็ก ๆ เราจะขึ้นไปชั้นบนกันนะ เด็กคนไหนที่โตแล้วช่วยจูงน้องที่เล็กกว่าด้วย มา...เดินมาทางนี้” เกรเกอรี่ออกเดินนำและช่วยจูงเด็ก ๆ มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นวิหาร ซึ่งบรรดาเด็ก ๆ ก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เด็กหญิงอายุประมาณเก้าปีวิ่งตามเกาะชายเสื้อของเกรเกอรี่โดยที่อีกมือจูงน้องชายวัยหกปีมาด้วย พลางเอ่ยถามอย่างร้อนรน

“พวกปีศาจน่ากลัวนั่นจะเข้ามาได้ไหมคะ? แล้วพ่อแม่ของพวกหนูจะตามหาพวกหนูพบไหมคะ?”


“ไม่ต้องห่วงหนูน้อย ฉันจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำร้ายทุก ๆ คนเด็ดขาด แต่สำหรับพ่อแม่ของหนู...” เกรเกอรี่เงียบไปชั่วอึดใจไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดีว่าภายนอกวิหารแทบจะไม่มีใครรอดชีวิตแล้ว เขามองเด็กน้อยยกมือลูบศีรษะเบา ๆ “เรามาช่วยกันสวดให้พวกท่านปลอดภัยกันเถอะ”

“พวกเราจะตายไหมครับ?” เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีคนหนึ่งถามขึ้น ใบหน้าดูมอมแมมที่สองแก้มยังคงมีรอยคราบน้ำตาปรากฏอยู่ เสื้อของเขามีรอยเลือดกระเซ็นเป็นทาง คงจะเป็นคราบเลือดของพ่อและแม่ที่พยายามปกป้องเขานั่นเอง คำถามของเขาพาลทำให้เด็กคนอื่น ๆ ใจเสีย ทุกคนมองบิชอปอย่างคาดหวัง เกรเกอรี่จึงโอบไหล่เด็กชายเขย่าเบา ๆ

“ไม่หรอก พวกเราจะต้องปลอดภัย พระเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเรา”

เสียงเฮโลและเสียงศัตราวุธกระทบกันดังแววมาจากที่ไกล ๆ ก่อนที่เสียงบานประตูกระแทกปิดจนดังสะท้อนก้องไปทั้งวิหาร ทำเอาเด็ก ๆ สะดุ้งกันสุดตัวและเหลียวหลังหันกลับไปมองยังทิศทางที่ตั้งของประตูใหญ่ แม้จะมองไม่เห็นที่มาของเสียงแต่ก็ทำให้เด็ก ๆ ห่อไหล่จนตัวลีบรีบก้าวเดินกันเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ ถึงจะเหนื่อยหอบและเหงื่อไหลจนเสื้อผ้าชื้นแฉะไปทั้งตัวแต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นหรือชะลอฝีเท้าลงเลย เกรเกอรี่เดินนำเด็ก ๆ เลี้ยวลดไปตามบันไดเวียนที่ซับซ้อนจนกระทั่งขึ้นมาถึงห้องชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องที่อยู่ใต้โดมของวิหาร ห้องลับนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัยชั่วคราวของบุคคลสำคัญต่าง ๆ เพราะดูภายนอกจะมองเห็นเป็นเพียงแค่โดมที่สวยงามธรรมดา ๆ ไม่ต่างจากโดมอื่น ๆ ของวิหารแห่งนี้ ห้องนี้โออ่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นอย่างครบครัน แต่ก็ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย ที่มุมห้องด้านหนึ่งมีพระแท่นเล็ก ๆ ไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย ผนังห้องทุกด้านตั้งแต่พื้นจรดเพดานถูกวาดเป็นลวดลายที่เกี่ยวกับศาสนาอย่างสวยงาม ความสูงของห้องลับนี้ทำให้เสียงการสู้รบอย่างดุเดือดดังขึ้นไปไม่ถึง บรรดาเด็ก ๆ จึงค่อยสงบใจลงได้ บางคนเริ่มมองสำรวจรูปภาพและเครื่องใช้ในห้อง เกรเกอรี่นำเด็ก ๆ สวดอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าโดยมอบหมายให้เด็กที่โตที่สุดในกลุ่มดูแลเด็ก ๆ และนำสวดแทนเขา จากนั้นจึงออกเดินลัดเลาะทางแคบ ๆ ที่นำไปสู่ระเบียงเล็ก ๆ ของโดมหนึ่งบนยอดวิหาร


ทันทีที่มาถึงระเบียงนั้นและมองเห็นสภาพเบื้องล่างบริเวณลานหน้าวิหาร เกรเกอรี่ก็แทบล้มทั้งยืนเมื่อเห็นทั่วทั้งลานอาบชโลมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน ร่างแหลกเหลวแทบไม่เหลือชิ้นดีของบรรดาอัศวิน นักบวชและผู้ปกป้องวิหารนอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวเลือดโชยพัดขึ้นมาราวกับจะร้องหาความเมตตาจากสวรรค์ กองทัพที่ออกไปเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งและกำลังจะไม่เหลือแม้สักคน เกรเกอรี่คุกเข่าลงและเริ่มสวดภาวนาต่อพระเจ้าอย่างร้อนรน แม้เขาจะไม่สามารถร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคนได้ แต่เขายังสามารถสวดภาวนาวิงวอนพระเจ้าเพื่อพวกเขา บิชอปหนุ่มสวดภาวนาอย่างร้อนรนมากยิ่งขึ้นเมื่อสายตาของเขามองเห็นนักบวชสององค์ต้องหันหลังชนกันสู้เพราะถูกล้อมด้วยทหารนับร้อยของซาโลม ไม่ไกลนักผู้ปกป้องวิหารคนหนึ่งกำลังถูกอาวุธนานาชนิดประเคนใส่อย่างน่ารักมโหด นักรบหญิงคนหนึ่งซึ่งเกรเกอรี่จำได้ว่าเป็นแม่ของเด็กทารกคนหนึ่งที่อาสาออกไปร่วมรบด้วยเมื่อสักครู่ก็กำลังถูกไล่ต้อนไปทางทหารปีศาจที่กำลังหิวโซ บริเวณหน้าประตูวิหารกองทัพซาโลมหลายร้อยคนรายล้อมชายคนหนึ่งก่อนที่บิชอปจะเห็นถนัดตาว่าคือหัวหน้าผู้ปกป้องวิหารนั่นเอง เลือดของเขานั้นไหลโทรมกาย ทั่วทั้งตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง แต่เขาก็ยังสู้อย่างไม่คิดชีวิตและไม่ยอมให้ทหารซาโลมแม้สักคนเดียวเข้าใกล้ประตูวิหาร หลาย ๆ คนที่ยังเหลืออยู่แม้จะเก่งกาจและสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตซึ่งก็สามารถปลิดชีพทหารซาโลมไปได้ไม่น้อย ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานกับกองกำลังที่มากมายเรือนแสนของทัพซาโลมได้เลย

เมื่อเสียงศัตราวุธค่อย ๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิท เกรเกอรี่รับรู้ได้ทันทีว่าบรรดาผู้กล้าทั้งหลายล้วนพลีชีพของตนจนไม่มีใครเหลืออีกแล้ว บิชอปหนุ่มเข่าอ่อนทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องในชัยชนะของทหารซาโลมที่ดังกระหึ่มเหมือนจะเขย่าทั้งวิหารให้พังทลาย น้ำตาแห่งความขมขื่นของเกรเกอรี่ไหลร่วงลงสู่พื้น บิชอปร้องตะโกนขึ้นอย่างปวดร้าว

“ข้าแต่พระเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งลูก ๆ ของพระองค์เล่า?” เกรเกอรี่ซบหน้าลงกับพื้นร้องหาพระเมตตาจากพระเจ้าอย่างขมขื่น

เสียงโห่ร้องอย่างยินดีของทหารซาโลมยังคงดังสนั่นก้องราวกับจะเย้ยหยามความเชื่อมั่นของเกรเกอรี่ ทุกข์ใจแสนสาหัสเกินกว่าที่จิตใจจะรับได้ บิชอปหนุ่มสะอื้นไห้อย่างขมขื่น ภาพการตายของเหล่านักบวช ผู้ปกป้องวิหาร และบรรดาอัศวินผู้กล้าทั้งหลายยังคงแจ่มชัดอยู่ในมโนจิต จนเมื่อเกรเกอรี่รู้สึกว่าเสียงไชโยโห่ร้องเบื้องล่างเงียบหายไป ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้ของตนที่ยังคงดังอยู่จึงได้ลืมตาขึ้น แล้วเขาก็ได้พบว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าลอดผ่านหมวกทรงสูงและช่องแขนของเขาเข้ามา เกรเกอรี่รู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นมองเพื่อพบกับแสงที่สว่างเจิดจ้าจนดวงตาของเขาพร่าเลือนไปในทันที เกรเกอรี่รีบยกมือขึ้นป้องบังสายตาด้วยความตื่นตระหนกระคนประหลาดใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 25 อัศวินสวรรค์ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:14 pm

ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือวิหารแหวกออกพร้อมกับลำแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วเมืองวอลเนียแข่งกับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายสีเงินยวงจับอยู่ที่ขอบฟ้า เมื่อมองลงไปยังทัพซาโลมเบื้องล่างก็เห็นทั้งทหารปีศาจและทหารมนุษย์ถูกย้อมด้วยแสงเจิดจ้านั้นจนทั้งกองทัพแทบจะกลายเป็นสีขาว ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกโพล่งตื่นตระหนกและหวาดหวั่น กองทัพเพลิงได้แต่ยืนนิ่งตะลึงจ้องมองดวงไฟเจิดจรัสนั้น บิชอปหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือวิหารฟรานเชสก้าและเห็นว่าจุดกำเนิดของลำแสงเจิดจ้านั้นค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลงมาเรื่อย ๆ จนเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสงจ้านั้นเขาก็ต้องตกตะลึงอย่างที่สุด แขนทั้งสองยกชูขึ้น โดยไม่รู้ตัวริมฝีปากของเขาก็ขยับพูดเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ

“อัศวินสวรรค์(Heaven Knight)”

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือวิหารใจกลางแห่งลำแสงนั้น ปรากฏร่างของอัศวินสวรรค์องค์หนึ่งในชุดเกราะสีทองขลิบเงินเปล่งประกายเจิดจ้าไม่ต่างกับแสงแห่งดวงอาทิตย์ ปีกสีขาวบริสุทธิ์อันใหญ่โตทั้งสี่กางแผ่ทอแสงสีเงินพราวระยิบระยับปกคลุมตัววิหารแห่งฟรานเชสก้าจนหมด ในมือขวาถือหอกปลายแหลมขนาดใหญ่สีทองอร่าม ดวงตาของอัศวินสวรรค์นั่นปิดสนิทอย่างผู้มีจิตสงบนิ่ง สรรพสิ่งต่าง ๆ ดูจะนิ่งสงบลงทันทีเมื่ออัศวินแห่งสวรรค์ปรากฏกายขึ้น ก้อนเมฆบนท้องฟ้าหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แม้แต่สายลมที่เคยพัดวูบไหวผ่านเมืองวอลเนียเป็นประจำก็ยังเงียบหายไป เหมือนกาลเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ

ราชินีเนริมอร์ เบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์ต่างตกตะลึงและประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ดวงเล็กที่สว่างสุกใสอีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือเมืองวอลเนีย

“นั่นมันอะไรกัน? เมืองนี้มีดวงอาทิตย์ประหลาดขึ้นด้วยอย่างนั้นรึ?” ราชินีเนริมอร์ตรัสดวงเนตรยังคงจับจ้องดวงไฟกลมโตสว่างจ้านั้นด้วยความฉงน ในขณะที่เบลซ เซจเองก็มองดวงไฟนั่นด้วยความงงงวยเพราะไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

“มีทางเดียวที่เราจะรู้ได้” แบล็ค ไวเซอร์พูดออกมาในที่สุดหลังจากนิ่งอึ้งไปนานเช่นกัน จอมเวทย์ดำพูดด้วยเสียงแหบต่ำสั่งเจ้านกปีศาจให้บินไปสังเกตการทันทีโดยที่สายตาของเขายังคงจับจ้องดวงไฟประหลาดไม่วางตา แต่เจ้านกปีศาจกลับหรี่ตาจ้องมองรี ๆ รอ ๆ อย่างไม่วางใจจนทำให้แบล็ค ไวเซอร์ต้องออกคำสั่งอีกครั้งด้วยเสียงดุเจ้านกปีศาจจึงยอมบินไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ทว่ามันบินยังไม่ทันถึงไหนก็รีบบินกลับมาพร้อมกับตีปีกร้องเสียงโหยหวนอย่างหวาดกลัว ในขณะที่แบล็ค ไวเซอร์เองก็กลับซวนเซจนต้องก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อทรงตัว ซึ่งทำให้ทั้งราชินีเนริมอร์และเบลซ เซจยิ่งงงงวยและประหลาดใจขึ้นเป็นทวีคูณ
“แม้พระเจ้าก็ยังเข้าข้างมันรึนี่” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างยากลำบาก


อัศวินสวรรค์ยังคงลอยอยู่เหนือพระวิหารอย่างสงบนิ่งท่ามกลางสายตานับแสนคู่ที่จับจ้องด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เพียงแค่อัศวินแห่งสวรรค์ขยับปลายปีกเบา ๆ ก็ทำให้เหล่าทหารปีศาจสะดุ้งโหยง ครั้นแล้วดวงตาที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นดวงตาสีทองประกายคมกล้าที่แทบจะหยุดลมหายใจของเหล่าปีศาจร้ายด้วยเพียงแค่การจ้องมองเท่านั้น บรรดากองทัพปีศาจเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแต่ก็มิได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหนเหมือนหนึ่งว่าขาทุกคู่ถูกตรึงยึดไว้กับพื้นดิน ส่วนทหารมนุษย์ของซาโลมเล่า บางคนที่ยังพอมีสติก็เริ่มวิ่งออกจากบริเวณลานหน้าพระวิหารกันจ้าละหวั่นเมื่อเห็นอัศวินสวรรค์เงื้อแขนข้างที่ถือหอกขึ้น ฉับพลันนั้นอัศวินสวรรค์ก็ตวัดหอกใส่กองทัพเพลิงเบื้องล่าง เกิดลำแสงเจิดจ้าสีทองเป็นวงโค้งเสี้ยวพระจันทร์ตัดผ่านลำแสงสีเงินยวงฟาดกระแทกลงไปยังบริเวณหน้าพระวิหารจนพื้นสะเทือน แล้วจึงแตกตัวแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างสีทองอย่างรวดเร็วโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ลานหน้าพระวิหาร วงแหวนแสงสีทองที่เหมือนกับลำแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องผ่านไปถูกทหารคนใดร่างของทหารคนนั้นก็แตกสลายราวกับถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

ทันทีที่แสงสีทองนั้นกลืนร่างทหารปีศาจแถวหน้าไปพร้อม ๆ กับเสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานของทหารปีศาจที่บาดแหลมลึกเข้าไปถึงในโสตประสาท เพียงเท่านั้นเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดของเหล่าทหารปีศาจตัวอื่น ๆ ก็แผดดังสลับกับเสียงร้องของทหารมนุษย์จนสนั่นลั่นเมือง ในขณะที่ทัพซาโลมทั้งทหารผีนรกและทัพมนุษย์ต่างก็วิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่สนใจว่าใครจะหกล้มหรือว่าตนได้เหยียบย่ำร่างของเพื่อนร่วมทัพคนใดไปบ้าง

ทั้งทหารผีนรกและทหารมนุษย์ต่างวิ่งสุดชีวิตเพื่อหนีวงแสงสีทองที่แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็วแต่แค่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกแสงสีทองนั้นกลืนหายไปจนหมดสิ้น วงแหวนสีทองขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วแสงและแผ่ขยายเข้าใกล้กับบริเวณเชิงผาที่มั่นของซาโลมเข้ามาเรื่อย ๆ ผู้ทรงอำนาจทั้งสามต่างเบิกตาโพลงยืนตะลึงงันจับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกจนแทบจะลืมหายใจ สมองสั่งการให้รีบหนีออกจากบริเวณเชิงผาเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนขยับตัวไม่ได้ จนเมื่ออีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแสงทองจะแผ่กระจายมาถึงบริเวณเชิงผา แสงสีทองนั้นก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ และเมื่อลำแสงแผ่มาถึงบริเวณเชิงผาแสงสีทองก็จางหายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงสายลมแรงที่พัดกรรโชกใส่ร่างบุคคลทั้งสามจนล้มหงายลงไปนอนนิ่งกับพื้น ทั้งสามเนื้อตัวเย็นยะเยือกราวกับถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง หัวใจแกว่งกระตุกจนเหมือนกับจะหยุดเต้นเสียให้ได้ กว่าทั้งสามจะได้สติพอจะมีกำลังลุกขึ้นก็ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ เมื่อลุกขึ้นได้ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้ทั้งสามต้องเข่าอ่อนยวบลงอีกครั้ง ดวงไฟเจิดจ้าเหนือวิหารหายไปแล้ว แสงทองของดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเมืองวอลเนียเพื่อให้บุคคลทั้งสามเห็นได้ถนัดตาว่ากองทัพเรือนแสนอันเกรียงไกรแห่งซาโลมได้อันตรธานไปพร้อมกับแสงทองของดวงอาทิตย์


***************************


“นี่มันเรื่องงี่เง่าบ้าบออะไรกัน!!” กษัตริย์ซาดินทรงคำรามเสียงกร้าวพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด พระองค์แทบจะคลั่งอาละวาดอยู่บนบัลลังก์ แก้วเหล้าถูกเขวี่ยงออกไปยังบุคคลทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ถูกแม่ทัพร่างยักษ์จนเหล้าสีอำพันสาดกระจายไปทั่ว “ข้าส่งพวกปัญญาอ่อนไปนำทัพรึไง?”

กษัตริย์ซาดินทรงไล่สายตามองหน้าบุคคลทั้งสี่ตั้งแต่องค์ราชินีเนริมอร์ อุปราชเบลซ เซจ จอมเวทย์ดำ แบล็ค ไวเซอร์ จนถึงจอมทัพทมิฬราโชยูด้วยอารมณ์เดือดดาลอย่างที่สุด อุณหภูมิภายในห้องร้อนระอุจนแทบจะลุกเป็นไฟ

“พวกเจ้าคุมทัพกันประสาอะไร? ถึงทำให้ข้าเสียไพร่พลไปเป็นแสน พวกเจ้าคิดว่าข้าเสียเวลาฝึกพวกมันมาเป็นปี ๆ เพื่อให้พวกมันมาตายในวันเดียวรึ?” กษัตริย์ซาดินตวาดใส่ราชินีเนริมอร์ เบลซ เซจและแบล็ค ไวเซอร์ ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ราโชยูพร้อมกับใช้พระหัตถ์ปัดโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ จนคว่ำกระจาย “แล้วเจ้า...เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่กลับพ่ายแพ้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นอย่างน่าอับอายขายหน้าที่สุด”
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 25 อัศวินสวรรค์ @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:18 pm

ราโชยูก้มหน้านิ่งไม่กล้ากล่าวคำใด ๆ รู้สึกอัปยศอดสูใจยิ่งนัก ร่างกายบอบช้ำเพราะตกจากที่สูงแต่จิตใจกลับเจ็บแค้นยิ่งกว่า หากไม่ได้ร่างของมังกรดำช่วยรับแรงกระแทกไว้เขาก็คงจะตายไปแล้ว ทว่าแรงกระแทกนั้นก็ทำให้เขาหมดสติลงทันทีเช่นกัน หากเหล่ารองแม่ทัพผู้ภักดีไม่ตามหาเขาจนพบแล้วรีบพาหลบหนีออกจากสนามรบ เขาก็คงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้อีกแน่

ทั้งสี่ต่างมองหน้ากันพยายามคิดหาวิธีหยุดความเกรี้ยวกราดของกษัตริย์ซาดินให้ได้ก่อนจะลุกลามจนห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงเงียบอยู่ เบลซ เซจ จึงตัดสินใจเป็นผู้เจรจาในที่สุด

“ฝ่าบาท...”

“หุบปาก!” กษัตริย์เพลิงทรงตวาดกลับทันทีด้วยความเดือดดาลจนทำให้ผู้พูดต้องผงะด้วยความตกใจ

“ซาดิน พวกเราก็โกรธ ผิดหวังและเสียใจไม่ต่างกับท่านที่เราต้องเสียทหารไปมากมายขนาดนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้จริง ๆ ” ราชินีเนริมอร์ทรงกล่าวขึ้นด้วยนำเสียงวิงวอน

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดได้อีกรึ?” กษัตริย์ซาดินคำราม “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าทำพลาดและครั้งนี้เจ้าพลาดอย่างร้ายแรงด้วย”

คราวนี้ราชินีเนริมอร์ทรงเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างเมื่อถูกจี้ด้วยความผิดพลาดครั้งเก่า ทั้ง ๆ ที่พระนางก็ได้ทำการชดเชยความผิดไปแล้ว “แล้วทีท่านละ อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านเองก็มั่วแต่สนุกกับการหยอกล้อแม่ทัพสาวนั่น”

กษัตริย์ซาดินทรงลุกขึ้นพรวดยืนจ้องมเหสีของพระองค์ด้วยความโกรธจัดที่ถูกจี้จุดเข้าบ้าง เมื่อสถานการณ์เริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ เจ้านกปีศาจก็หวีดร้องเสียงดังจนบุคคลทั้งสองต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจก่อนที่ แบล็ค ไวเซอร์จะรีบฉวยโอกาสกล่าวแทรกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ

“ถ้าเช่นนั้นขอฝ่าบาททรงทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเถิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า!” กษัตริย์ซาดินทรงตวาดเสียงดังจ้อง แบล็ค ไวเซอร์ ด้วยสายพระเนตรแข็งกร้าวดุดันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะทรงทบทวนคำพูดของจอมเวทย์ดำที่ผ่านสมองเข้ามา แล้วจึงยอมอ่อนข้อลงในที่สุด

“จะทำอะไรก็รีบ ๆ จัดการซะ” กษัตริย์ซาดินทรงกระชากเสียงตอบก่อนจะกระแทกองค์ลงนั่งอย่างหงุดหงิด

ทุกคนแทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แบล็ค ไวเซอร์ รีบสั่งให้ทหารจัดเตรียมอ่างน้ำขนาดใหญ่ทันที เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว แบล็ค ไวเซอร์ก็จัดแจงสะกดนกปีศาจและควักเอาลูกตาข้างหนึ่งออกมา แบล็ค ไวเซอร์นำลูกตาที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดปีศาจของมันใส่ลงไปในอ่างน้ำพร้อมกับท่องคาถาวาดมือเหนืออ่างน้ำ เพียงครู่เดียวก็เกิดน้ำวนขยายตัวกว้างจนทั่วอ่าง มีควันสีแดงจาง ๆ ลอยหมุนคว้างตามการวาดมือของพ่อมดดำ เพียงชั่วครู่ก็ค่อย ๆ ปรากฏภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นที่ใจกลางน้ำวนนั้น โดยเริ่มตั้งแต่ภาพบุกโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพของทัพซาโลม การจนมุมของชาวเมืองวอลเนียที่วิหารฟรานเชสก้า จนไปถึงภาพการทำลายล้างทัพซาโลมทั้งกว่าแสนนายด้วยการตวัดหอกเพียงครั้งเดียวของอัศวินสวรรค์ จนเมื่อแม้ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ จะจางหายไปจนหมดสิ้นแล้วแต่กษัตริย์ซาดินก็ยังทรงเงียบอึ้งจ้องมองอ่างน้ำที่ว่างเปล่าอยู่อีกพักใหญ่ทีเดียว กระทั่งราชินีเนริมอร์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้เรียกสามีให้รู้สึกตัว

“ซาดิน” ราชินีเนริมอร์ ตรัสเรียกสามีด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นพระทัยนัก

“นี่มันวิชาบ้าอะไรกัน?” กษัตริย์ซาดิน ทรงย้อนถามมองหน้าภรรยาด้วยสีหน้างุนงงอย่างที่สุด

“ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่วิชาอะไรอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ แต่นี่คืออัศวินแห่งสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาช่วยฟีเลเซียต่างหาก ต้องเป็นไอ้เจ้าเกรเกอรี่แน่ที่เรียกอัศวินสวรรค์ลงมาทำลายกองทัพของเรา” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวทูลด้วยความเคียดแค้นที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังฟังเสียงของเกรเกอรี่

“เกรเกอรี่อย่างนั้นรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถาม

“ผู้นำศาสนาของอาณาจักรนี้พ่ะย่ะค่ะ ดำรงตำแหน่งเป็นบิชอปแห่งฟีเลเซีย” เบลซ เซจไขข้อข้องใจ

“ทำไมนะ ไม่ว่าจะพวกเทพเจ้าหรือแม้แต่พระเจ้าก็ยังเข้าข้างศัตรูของข้าทั้งนั้น ทำไม...ทีซาโลมแร้นแค้นอย่างแสนสาหัสจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่กลางทะเลทรายนั่นกลับไม่มีเทพหน้าไหนหรือพระเจ้ายื่นมือออกมาช่วยสักองค์ แล้วทีพวกมันที่มีความสุขอยู่ดีกินดีจนเหลือล้นแต่ก็ยังช่วยปกป้องพวกมันอยู่ได้ พวกท่านมันลำเอียง! ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรม!” กษัตริย์เพลิงทรงตะโกนจนสุดเสียงด้วยความคับแค้นและเดือดดาล

“ฝ่าบาท ข้าพระองค์มีวิธีที่จะทำให้เกรเกอรี่สิ้นฤทธิ์และไม่สามารถเรียกอัศวินสวรรค์ลงมาช่วยฟีเลเซียได้อีกต่อไป” แบล็ค ไวเซอร์ ทูลเสนอด้วยแววตามาดร้าย

“วิธีอะไรของเจ้า?” กษัตริย์ตรัสถามด้วยความใคร่รู้

“ขอเวลาข้าพระองค์ตระเตรียมการอีกสักระยะหนึ่ง ข้าพระองค์จะจัดส่งของขวัญไปให้เพื่อนเก่าคนนี้สักหน่อย” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

********************************


“ท่านบิชอปเป็นอย่างไรบ้าง?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามแทบจะทันทีที่เกรเกอรี่ก้าวลงจากหลังมังกร

“กระหม่อมปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ เพราะความเสียสละอย่างกล้าหาญของบรรดาอัศวิน นักบวช ผู้ปกป้องวิหาร และพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงส่งอัศวินสวรรค์มาช่วย กระหม่อมและพวกเด็ก ๆ กว่าร้อยคนจึงรอดชีวิตมาได้” เกรเกอรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกในบุญคุณ

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองดูทัพมังกรและทัพนกที่ค่อย ๆ ลำเลียงเด็ก ๆ มาส่ง “เหลือผู้รอดชีวิตเพียงเท่านี้เองหรือ?...” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยน้ำเสียงสลดลง “ข้าน่าจะส่งกองทัพไปเร็วกว่า”

“อย่าทรงโทษพระองค์เองเลย เราต่างก็รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ข่าวเมืองวอลเนียถูกโจมตีมาถึงล่าช้า...” เกรเกอรี่เงียบเสียงลงครู่หนึ่ง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง หากเพียงแค่การแจ้งข่าวมาถึงเมืองเอรีมเร็วขึ้นอีกเพียงแค่วันเดียว บรรดาอัศวิน นักบวช และ ชาวเมืองวอลเนียคงมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่านี้ บิชอปเปรยขึ้นเสียงเบา “สงครามครั้งนี้เราสูญเสียมากเหลือเกิน”

กษัตริย์ซิกมันด์ และคนอื่น ๆ ที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าสลดลง “ข้าหวังว่าเราจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้โดยเร็ว...”กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสตอบก่อนจะตัดบท “มาเถอะ วันนี้ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอเชิญท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด”

เมื่อตรัสจบก็ออกเดินนำเกรเกอรี่ไปยังที่พัก ระหว่างทางที่เดินกันไปเพียงลำพังกษัตริย์แห่งสายลมก็หันไปตรัสกับบิชอปเสียงเบา

“ท่านบิชอป อย่าคิดว่าข้าเสียมารยาทที่ถามคำถามไม่สมควรกับท่านในเวลาเช่นนี้เลยนะ แต่เวลานี้ภายในกองทัพโดยเฉพาะทัพมังกรกำลังมีเสียงร่ำลือกันจนหนาหูว่าท่านอัญเชิญอัศวินสวรรค์ลงมาทำลายล้างกองทัพเรือนแสนของซาโลมจนราบเป็นหน้ากลองภายในพริบตาเดียวอย่างนั้นหรือ”

เกรเกอรี่มีสีหน้าตกใจ ขมวดคิ้วด้วยความฉงน “มิใช่เช่นนั้นเลยฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้มีอำนาจในการอัญเชิญเทวทูตของพระเจ้าได้ หากแต่เป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ลงมาช่วยเหลือพวกเราต่างหาก นี่พวกเขาร่ำลือกันเกินความจริงไปแล้ว เห็นทีกระหม่อมคงต้องชี้แจ้งเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”

“ช้าก่อนท่านบิชอป ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าข้าก็อยากจะปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดอย่างนี้ไปก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยข่าวลือนี้ก็สร้างขวัญและกำลังใจอย่างมากมายให้แก่กองทัพ ตอนนี้เราเสียกำลังพลจากการสู้รบไปไม่น้อย ยิ่งทางทุ่งราบคีรา...แม้เราจะสามารถป้องกันการโจมตีของทัพซาโลมไว้ได้ แต่ก็สูญเสียไพร่พลไปมิใช่น้อยเลย เหมือนกับว่าพวกมันตั้งใจจะตัดกำลังกองทัพของเราให้น้อยลงเรื่อย ๆ มากกว่าที่คิดจะยึดเมืองจริง ๆ ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”

เกรเกอรี่มีสีหน้าลำบากใจอยู่มากทีเดียวเมื่อกษัตริย์แห่งสายลมขอให้ตนร่วมปกปิดความจริงที่เกิดขึ้น แต่ทว่าเหตุผลที่พระองค์ทรงขอร้องนั้นก็ทำให้เกรเกอรี่ต้องจำยอมในที่สุด

“ถ้าเช่นนั้นหากถึงเวลาอันควรแล้วกระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหลายและทำให้เกิดความกระจ่างโดยเร็วที่สุดด้วย”

“ได้ ข้าให้สัญญา” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทรงยิ้มอย่างโล่งพระทัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน

cron