Welcome Guest: เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ มี.ค. 29, 2024 8:13 am

หน้าเว็บบอร์ด Wiser Summoner Novel @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@

อ่านนิยาย Summoner Master Episodeต่าง ๆ ได้ที่นี่

Moderator: Jinger Ginger


@@ นิยายSMN Epi8 Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 11:59 am

Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง


ที่บริเวณทุ่งราบคีรา การรบของอาณาจักรทั้งสองกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างโรมรันฟาดฟันใส่กันจนทั่วทั้งสนามรบแทบจะลุกเป็นไฟ กองทัพเพลิงที่มีทหารผีนรกนับหมื่นตัวเป็นกำลังสำคัญบุกตะลุยไล่ฆ่าฟันกัดกินฉีกทึ้งอัศวินฟีเลเซียอย่างโหดน่ารักม ทั้งกองกำลังนกโมฮา มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม นักรบเพลิงมาร นักรบเผ่ามอร์ ผู้ฝึกสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดนานาชนิดก็เข้าโรมรันพันตูเต็มกำลัง ในขณะที่กองทัพแห่งสายลมเองก็ยืนหยัดต่อกรพร้อมด้วยกำลังพลเต็มอัตราศึก ทั้งม้าศึก รถรบ ทัพนก ทัพมังกร พลธนู ทัพอัศวิน ผู้ฝึกสัตว์ป่าและมังกรหลากสายพันธุ์

พลม้าของฟีเลเซียทะยานรุกไล่ข้าศึก เสียงร้องคำรามของเหล่าทหารปีศาจดังสั่นอื้ออึงสลับกับเสียงศัตราวุธและพลสัตว์พลมังกรสนั่นทุ่ง รถศึกที่ควบตะลุยบุกอริราชศัตรูรวดเร็วปานพายุพัดกระหน่ำไอเปลวเพลิงอันร้อนฉ่า ฝ่ายทัพมือเพชฌฆาตต่างออกไล่ล่าบดขยี้หัวศัตรู นักรบเพลิงมารร่างยักษ์ก็วิ่งไล่เหวี่ยงสะบัดคมดาบใส่ทั้งมนุษย์ กริฟฟิน และ ฝูงวิหคไม่ยั้งจนดูเหมือนว่ายิ่งเห็นศัตรูก็ยิ่งคลั่งอาละวาด

บริเวณใกล้กับที่มั่นของทัพฟีเลเซียมีก้อนหินขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัวคนตั้งอยู่ บนก้อนหินนั้นจอมทัพแห่งสายลม ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนตระหง่านในมือกำกระชับดาบคูนีกุนเดที่อาบเลือดสีแดงฉาน ชุดเกราะของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนแทบชโลมไปทั้งตัว ทว่าหาใช่เลือดของเขาไม่หากแต่เป็นเลือดของเหล่าทหารปีศาจและทหารฝ่ายซาโลมต่างหาก สายตาจอมทัพหนุ่มกวาดไปทั่วทั้งสนามรบดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาใครสักคน

“ให้ตายเถอะ ตั้งแต่รบมานี่ก็หลายชั่วยามแล้วข้ายังไม่เห็นกษัตริย์ซาดินนั่นเลย” ชาร์ลขมวดคิ้วแน่นกวาดตาไปยังแนวหลังของทัพข้าศึก

“ท่านแม่ทัพ!” เสียงตะโกนเรียกของทหารฟีเลเซียจากทางปีกขวาทำให้เขารีบหันกลับโดยเร็ว ที่ทางปีกขวานั้นกองทัพผีนรกฝูงหนึ่งไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัวกำลังวิ่งรุกไล่ทัพอัศวินที่กำลังถอยร่นหนีมาทางชาร์ลอย่างคลั่งโหย ทันทีที่ชาร์ลตวัดดาบโจนตัวพุ่งออกจากก้อนหินยักษ์ เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อสักครู่ก็กลับพร้อมใจกันวิ่งกระจายตัวออกจากบริเวณนั้นทั้งทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงแล้วนี่คืออุบายของทัพฟีเลเซียที่จะตัดกำลังทัพปีศาจของซาโลมโดยการหลอกล่อทหารผีนรกให้เข้ามาในเขตทัพฟีเลเซียนั่นเอง

จอมทัพฟีเลเซียพุ่งตัวปานลมกรดตวัดดาบกวาดแถวผีร้ายทั้งซ้ายและขวา ดาบถูกสะบัดฟาดฟันใส่ไม่ยั้ง ลมที่เกิดจากคมดาบพัดพาเอากลิ่นสาบเน่าของซากศพและกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนจนแสบจมูกขจรขจาย แสงสะท้อนแวบวับของดาบคูนีกุนเดยามกวัดแกว่งแลดูเหมือนท้องฟ้ามืดทะมึนที่มีแสงแลบแปลบปลาบเมื่อพายุคะนอง เสียงหักกรอบของกระดูก เสียงเลือดปีศาจที่เดือดพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และเสียงร้องคำรามโหยหวนแหบแหลมของผีร้ายดังสนั่นก้อง ร่างของทหารปีศาจถูกตัดขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นดิน ไอควันจากเลือดปีศาจที่เดือดพล่านพวยพุ่งดั่งม่านหมอกกำมะถันที่แสบฉุน ไม่มีทหารฟีเลเซียคนไหนกล้าอยู่ใกล้รัศมีคมดาบคูนีกุนเดแม้สักคน ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพเผาผลาญอำนาจมืดเมื่อยิ่งเสริมด้วยความแข็งแกร่งและว่องไวปานลมกรดของจอมทัพแห่งสายลมแล้วทำให้พลังอำนาจในการทำลายล้างนั้นเข้าขั้นมหากาฬ ครั้นเมื่อการลงดาบครั้งสุดท้ายมาถึงก็ไม่มีร่างของทหารปีศาจหลงเหลืออยู่แม้สักตัว จะมีก็แต่เสียงฉู่ฉ่าของเลือดปีศาจที่เดือดพล่านและเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ปูเป็นพรมเลือดชโลมดิน

ชาร์ลสะบัดเลือดทหารผีออกจากดาบคูนีกุนเดแล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่อีกครั้งรอทัพอัศวินที่ออกไปหลอกล่อทหารปีศาจชุดต่อไป แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอุบายเช่นนี้คงใช้ได้อีกไม่นานแต่การจะกำจัดทหารปีศาจคราวละมาก ๆ เช่นนี้คงมีไม่กี่วิธีนัก สมองของเขายังคงคิดหาอุบายใหม่ ๆ ในขณะที่สายตาก็ยังคงค้นหาจอมกษัตริย์เถื่อน

รองแม่ทัพนายหนึ่งควบม้าเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ทัพ เรายังหาตัวกษัตริย์ฝ่ายโน้นไม่พบเลยครับ หรือว่ามันจะกลัวจนไม่กล้ามาพร้อมกับกองทัพ”

“ข่าวว่ากษัตริย์ฝ่ายโน้นเก่งกล้าสามารถนัก ปราบแว่นแคว้นทั้งน้อยใหญ่ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่น่าจะตาขาว...สั่งค้นหาต่อไป ดูสิว่ามันจะทนแอบซุ่มไปได้สักกี่น้ำ”

ทันใดนั้นเสียงแตรเงินแห่งกองทัพเปกาซัสก็แผดดังกังวานจากทางตะวันตกพร้อมกับฝูงทัพเปกาซัสที่เส้นขอบฟ้าบินแผ่เรียงรายราวกับปีกพญาอินทรีใหญ่ เสียงแตรก้านยาวนับร้อยก็ดังขานรับการมาของทัพเปกาซัสกระหึ่มทุ่งคีราแทบจะพร้อมกัน เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียต่างโห่ร้องก้องด้วยความปิติยินดี ชัยชนะที่เมืองเอรีมนำรอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้า สายลมแห่งความหวังและกำลังใจโหมพัดกระพืออยู่ในใจของทหารหาญทุกคน แม้แต่ชาร์ลเองก็ยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นทัพเปกาซัสผงาดอยู่กลางเวหา จอมทัพหนุ่มควงคูนีกุนเดเป็นสัญญาณพร้อมกับการบุกตีทัพเพลิงทมิฬหนักหน่วงยิ่งขึ้น เสียงเฮโลเข้าตะลุยบอนดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ต่างควบม้าและรถศึกไล่สังหารผู้รุกรานอย่างไม่กริ่งเกรง ทัพเปกาซัสเองก็ขานรับคำบัญชาของชาร์ลเช่นกัน เมื่อต่างพุ่งโฉบไล่ต้อนกองทัพซาโลมดั่งฝูงเหยี่ยวจู่โจมเหยื่อ กองทัพเพลิงดูจะผงะล่าถอยด้วยความตระหนกที่จู่ ๆ กองทัพแห่งลมก็โหมกระหน่ำรุกคืบเข้าต่อตีด้วยพลังใจที่หลั่งไหลท่วมท้น ทหารผีนรกก็ถูกทำลายล้างจนเหลือจำนวนไม่ถึงสองในสามจากเมื่อตอนยกทัพมา และกำลังลดจำนวนลงเรื่อย ๆ

ขณะที่ทัพฟีเลเซียกำลังรุกไล่หนักอย่างเป็นต่อ แต่แล้วในบัดดลนั้นทัพซาโลมที่ดูเหมือนกำลังเพลี่ยงพล้ำระส่ำระสาย ฉับพลันเสียงระรัวกลองรบก็ดังกังวานถี่รัวเร้าใจ เสียงไชโยโห่ร้องจากทัพซาโลมดังสั่นก้องจนพื้นสะเทือน ความฮึกเหิมส่งผลให้เกิดพลังตีโต้กลับด้วยแรงมหาศาล เสียงแผดคำรามทุ้มกังวานของมังกรซาลามันเดอล่าก้องสะท้อนไปทั่วสนามรบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:00 pm

ครั้นแล้วจากทิศทางใดมิอาจรู้ได้ จู่ ๆ กษัตริย์ซาดินในชุดศึกเต็มยศสีแดงเพลิงบนหลังมังกรซาลามันเดอล่าก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสนามรบโฉบมังกรบินผงาดอยู่เหนือกองทัพแห่งเพลิง มือข้างหนึ่งกระชับสายบังเหียนในขณะที่มืออีกข้างก็ชูกระบองคู่ใจขึ้นเหนือศีรษะรับเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับจากบรรดาทหารซาโลม เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียต่างก็เหลือบชำเลืองมองกษัตริย์แห่งเพลิงผู้นี้ เพราะต่างก็อยากจะเห็นโฉมหน้าของบุรุษผู้ที่ชื่อจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งเมอริเซียว่าเป็นผู้อาจหาญก่อมหาสงครามครั้งนี้

ชาร์ล คลาแรนซ์ ตวัดคูนีกุนเดชี้ตรงไปยังกษัตริย์ซาดินอย่างท้าทายหมายจะประลองกับกษัตริย์เมืองเถื่อนให้รู้ผลชี้ขาดกันในเพลงยุทธ์เดียว ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับมีทีท่าไม่สนใจการท้าทายของจอมทัพแห่งฟีเลเซียแม้แต่น้อย กษัตริย์เถื่อนเพียงแค่มองจ้องตอบด้วยดวงตาหรี่แคบที่อ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเบนสายตาไปยังกลุ่มนักรบเปกาซัสเบื้องหน้า

แม้การท้าทายจะไม่ได้รับการตอบสนองแต่จอมทัพหนุ่มก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ จึงให้สัญญาณทัพเปกาซัสทำการกดดันกษัตริย์ซาดินให้ลงมาต่อสู้บนพื้นดินให้ได้ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง โรน่า แม่ทัพเปกาซัสก็นำทัพเปกาซัสจำนวนหนึ่งเข้าล้อมกรอบซาดินทันที พร้อมกับประกาศด้วยเสียงอันดัง

“กษัตริย์แห่งซาโลม เราคือโรน่า แม่ทัพเปกาซัสแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย ท่านจอมทัพชาร์ล คลาแรนซ์หมายจะประลองยุทธกับเจ้าเพื่อชี้ขาดสงครามแห่งทุ่งคีรานี้ หากเจ้าไม่ยินยอมรับคำเชิญแต่โดยดี...” โรน่าควงตวัดหอกชี้หน้ากษัตริย์ซาดินอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกล้า “เราจะทำให้เจ้ารับคำเชิญเอง”

แต่แล้วคำท้าทายของเธอนอกจากกษัตริย์เถื่อนผู้นี้จะไม่แยแสแล้ว กลับหัวเราะในลำคออย่างคนถูกใจอะไรสักอย่าง ซ้ำยังหลิ่วตาพินิจพิจารณาเครื่องหน้าของเธออย่างเปิดเผยอีกด้วย แม่ทัพเปกาซัสผู้นี้มิใช่หญิงสาวที่มีดวงหน้าสวยงามเป็นเลิศ ทว่าเครื่องหน้าแต่ละส่วนของเธอเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลับดูมีเสน่ห์ชวนมองอยู่ไม่น้อย แต่เธอมิใช่หญิงที่ชอบหว่านเสน่ห์และออกจะเกลียดผู้ชายที่มีท่าทางเจ้าชู้เสียด้วย ดังนั้นแม่เสือสาวแห่งฟีเลเซียจึงโกรธจนแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่เมื่อถูกดูหมิ่นด้วยกริยากะลิ้มกะเหลี่ยหยาบคายเช่นนี้ โรน่าไม่รอช้าสั่งการให้ทัพเปกาซัสโจมตีทันที

ฝูงทัพอัศวินเปกาซัสต่างก็พุ่งโฉบบินฉวัดเฉวียนเวียนผลัดกันโจมตีใส่กษัตริย์ซาดินจากทุกทิศทุกทางด้วยความรวดเร็ว กษัตริย์ซาดินทรงใช้กระบองกระทุ้งที่หลังซาลามันเดอล่าเบา ๆ เป็นสัญญาณ มังกรซาลามันเดอล่าก็ส่ายสะบัดคอพ่นเปลวเพลิงร้อนฉ่าใส่ฝูงบินเปกาซัสทันทีเช่นกัน ทำให้วงล้อมของทัพเปกาซัสแตกกระจายออกเพราะหลบเปลวไฟ ครั้นแล้วกษัตริย์ซาดินก็ทรงโฉบมังกรพุ่งทะยานขึ้นฟ้าหมายจะสลัดให้พ้นจากการล้อมกรอบ โดยหลอกล่อให้เหล่าอัศวินเปกาซัสแตกกลุ่มและบินลุกไล่ตามเขาไป แต่แล้วจู่ ๆ กษัตริย์ซาดินก็ทรงกลับตัวขี่ซาลามันเดอล่าบินย้อนกลับในแนวดิ่งพลางควงกระบองฟาดใส่ฝูงเปกาซัสที่บินตามเขาขึ้นมาคนแล้วคนเล่าจนต้องชักเปกาซัสหลบเป็นพัลวัน ในขณะที่บางคนก็ต้องรีบโฉบเปกาซัสเข้าช่วยเหลือเพื่อนที่ถูกฟาดตกจากหลังเปกาซัสอย่างทุลักทุเล อัศวินเปกาซัสเคราะห์ร้ายบางคนถูกฟาดใส่อย่างจังจนร่างลอยละลิ่วไปไกลเกินกว่าจะช่วยไว้ได้ทัน ทำให้ร่างร่วงดิ่งหายไปในคลื่นสงครามเบื้องล่างอย่างน่าอนาถ

ในทันทีทันใดนั้น กษัตริย์ซาดินก็ทรงชักซาลามันเดอล่าตรงเข้าหาโรน่าทันที โรน่ารีบตวัดปลายหอกปัดป้องกระบองของกษัตริย์ซาดินพลางชักเปกาซัสคู่ใจหมุนอ้อมหลบอย่างรวดเร็ว บรรดาอัศวินเปกาซัสที่บินโฉบอยู่โดยรอบพยายามหาจังหวะเข้าจู่โจมกษัตริย์ซาดินอย่างเต็มกำลัง แต่ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับใช้ซาลามันเดอล่าพ่นเปลวเพลิงขับไล่ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ได้เลย แล้วการต่อสู้ระหว่างกษัตริย์ซาดินแห่งซาโลมและโรน่าแม่ทัพเปกาซัสแห่งฟีเลเซียจึงเริ่มขึ้น โรน่าซึ่งแม้พละกำลังจะเทียบเท่ากษัตริย์ซาดินไม่ได้เลย แต่ก็อาศัยความปราดเปรียวว่องไวกว่าคอยพุ่งโฉบเข้าจู่โจม ในขณะที่กษัตริย์ซาดินทรงแทบจะไม่เป็นฝ่ายบุกเอาเสียเลยเพียงคอยแต่ตั้งรับการจู่โจมในแต่ละครั้งเท่านั้น ความว่องไวของโรน่าดูจะทำให้กษัตริย์ซาดินเกือบเพลี่ยงพล้ำและเปิดช่องให้แม่เสือสาวสามารถเข้าโจมตีในระยะประชิดอยู่หลายครั้ง แต่แล้วกษัตริย์ซาดินก็ทรงกลับสามารถรับการโจมตีได้ทุกครั้งเช่นกัน

จอมทัพ ชาร์ล คลาแรนซ์ ผู้ซึ่งจับตาดูการประมือของทั้งสองอยู่ตั้งแต่ต้นกลับมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความฉงน อากัปกริยาทั้งท่วงท่าในการออกอาวุธในแต่ละครั้งของกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ดูช่างไม่ต่างกับนักล่าที่กำลังสนุกสนานกับการหยอกล้อเหยื่อของตน

**************************


ภายในเมืองเอรีมเวลานี้ทุกฝ่ายต่างก็กำลังสาละวนอยู่กับการพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ และเร่งซ่อมแซมเมืองเป็นการด่วน ทุกคนดูจะวุ่นวายและไม่มีเวลาหยุดพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือแม้จะพักมือจากหน้าที่การงานของตน ชาวฟีเลเซียมีลักษณะโดดเด่นที่ดีอีกอย่างก็คือพวกเขาจะฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วเพราะพวกเขาไม่ยอมให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งหญิงและชายจะแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบและลงมือปฏิบัติทันทีที่ได้รับมอบหมายงาน

ขณะที่กษัตริย์ซิกมันด์ทรงออกตรวจงานต่าง ๆ ภายในเมืองเรียบร้อยแล้ว และกำลังทรงม้ากลับเข้าวังที่ประทับ มหาดเล็กนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน

“ฝ่าบาท หน่วยค้นหาแจ้งว่ายังไม่พบซากของแม่ทัพฝ่ายซาโลมเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“สั่งค้นหาต่อไป ต่อให้ต้องพลิกสนามรบก็ต้องหาให้เจอ” กษัตริย์ซิกมันด์ ทรงขมวดคิ้วเข้าหากัน สั่งเสียงเฉียบทันที ก่อนจะชักม้าบ่ายหน้าเข้าที่พัก

“ฝ่าบาท” มหาดเล็กร้องทัดทาน ซึ่งทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ต้องทรงชักม้าหยุดและหันมาทอดพระเนตรอย่างสงสัย

“หน่วยสอดแนมจากเมืองวอลเนียมาขอเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวด่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“เขาอยู่ที่ไหน?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามอย่างรวดเร็ว แม้ความประหวั่นจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

“รออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ฟังเพียงเท่านั้นกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงรีบควบม้ามุ่งหน้ากลับเข้าปราสาททันที

เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์เสด็จไปถึงท้องพระโรงก็ได้พบว่าบรรดาแม่ทัพระดับสูงอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเคร่งเครียด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:01 pm

“เกิดอะไรขึ้น?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามขณะที่หย่อนองค์ลงบนบัลลังก์

“ทูลฝ่าบาท เวลานี้กองทัพผีนรกครึ่งแสน พร้อมทั้งฝูงมังกรไฟนับพันตัว และทหารซาโลมอีกเกือบแสน กำลังยาตราทัพเข้าประชิดเมืองวอลเนียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างตรัสอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ดวงเนตรเบิกกว้างขึ้น แววแห่งความตื่นตระหนกฉายชัดก่อนที่จะรีบเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็ว

“ทำไมถึงเพิ่งแจ้งข่าว?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสออกมาในที่สุด

“ท่านบิชอปส่งคนเดินสารมาสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ทุกคนล้วนเงียบหาย คาดว่าคงโดนกำจัดระหว่างเดินทางมาที่นี่ ข้าพระองค์ใช้เส้นทางอ้อมเมืองมาทางทิศใต้จึงสามารถมาแจ้งข่าวแก่พระองค์สำเร็จ ตอนที่ข้าพระองค์ออกเดินทาง กองทัพซาโลมก็ยกทัพมาเกือบประชิดเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”

“สั่งการลงไป ทัพนก และทัพมังกรทั้งหมด จงเร่งยกทัพไปช่วยเมืองวอลเนียเดี๋ยวนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ประกาศก้อง
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท” แม่ทัพมังกรเอ่ยขึ้น “ข้าพระองค์เห็นว่าเราไม่สามารถยกทัพไปได้ทั้งหมด เพราะเวลานี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราไม่พบศพของแม่ทัพซาโลม มีเพียงแค่ซากมังกรดำที่ถูกตัดหัวขาดเท่านั้น ดังนั้นหากคิดในแง่ดี พวกทหารซาโลมคงจะนำศพแม่ทัพของตนกลับไปด้วย แต่หากในแง่ร้ายละก็ แม่ทัพทมิฬยังมีชีวิตอยู่และอาจกำลังหาโอกาสโจมตีครั้งใหม่ ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องแบ่งกำลังไปเพียงบางส่วนเท่านั้น มิฉะนั้นกำลังพลทางนี้อาจจะไม่เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทุบที่เท้าแขนอย่างแรง พระหัตถ์กำแน่นจนเส้นเลือดปรากฏขึ้นชัดเจน ทำไมซาโลมจึงโจมตีเมืองวอลเนีย เมืองนี้ไม่มีความสำคัญใด ๆ ในทางการเมืองหรือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาณาจักรแม้แต่น้อยมีแต่สถานที่สำคัญทางศาสนาเท่านั้น ทั้งยังไม่ใช่เมืองที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการรุกเข้าเมืองหลวงเลยเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ที่กองทัพฟีเลเซียวางกำลังไว้ หากแต่การบุกเมืองวอลเนียนั้นเปรียบเสมือนการโจมตีหัวใจของฟีเลเซียเพราะเป็นเมืองสำคัญทางศาสนา ดังนั้นจึงทั้งน่าตกใจและน่าประหลาดใจมิใช่น้อยที่ซาโลมยกทัพใหญ่ไปที่เมืองวอลเนีย กษัตริย์ซิกมันด์ทรงคำรามเสียงกร้าวด้วยความขุ่นเคือง
“ข้าน่าจะฆ่าแม่ทัพนั่นได้สำเร็จแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้มังกรสารเลวนั่นมาทำให้ข้าเสียจังหวะ และต้องหันไปบั่นคอมันแทน” กษัตริย์แห่งสายลมทรงขมวดคิ้วแน่น สีพระพักตร์ครุ่นคิดอย่างหนัก ความลำบากพระทัยหนักอึ้งอยู่เต็มอกด้วยว่าการตัดสินพระทัยของพระองค์จะชี้เป็นชี้ตายให้แก่เมืองอีกหลายเมืองในอาณาจักรทีเดียว กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสแก่คนนำสาร “เจ้าไปพักผ่อนได้ มหาดเล็กจะจัดที่พักให้เจ้าเอง เมื่อข้าหารือกับแม่ทัพทั้งหลายแล้วจะเร่งแบ่งกำลังพลและส่งไปช่วยเหลือทันที”

***********************************


กองทัพเพลิงของซาโลมบุกโจมตีเมืองวอลเนียในเวลากลางดึกสงัด การบุกในครั้งนี้รวดเร็ว รุนแรง และป่าเถื่อนอย่างที่สุด เพราะผู้นำกองทัพซาโลมคือ ราชินีเนริมอร์ เบลซเซจ และ แบล็คไวเซอร์นั่นเอง ทั้งสามยึดที่มั่นบริเวณเชิงผาสูงซึ่งสามารถมองเห็นเมืองวอลเนียได้ทั้งเมืองเป็นที่บัญชาการรบ แม้องค์ราชินีจะไม่ทรงลงรอยกับอุปราชเฒ่า และจอมเวทย์ดำนัก แต่การทำลายล้างเมืองวอลเนียของทั้งสามก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นมหาวินาศ เพราะมีทั้งฝูงมังกรไฟและกองทหารผีนรกที่ทำการบุกพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ฝูงมังกรไฟบินโฉบเผาทำลายบ้านเรือน ในขณะที่กองทัพทหารผีนรกไล่ฆ่าฟันกวาดล้างสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดในเมือง เพียงพริบตาเดียวเมืองทั้งเมืองก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง

สภาพเมืองวอลเนียขณะนี้แทบจะไม่เหลือสภาพความเจริญรุ่งเรือง และทัศนียภาพอันสวยงามให้เห็นแม้แต่น้อย แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ทั่วทั้งเมืองกลับสว่างจ้าด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกลามเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยฝีมือกองทัพเพลิง บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันไฟหนาทึบพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา ฝูงมังกรไฟนับพันบินว่อนเหนือน่านฟ้าวอลเนีย ตามท้องถนนกราดเกลื่อนไปด้วยศพของชาวเมือง บรรดาอัศวินทั้งหญิงชาย และนักบวช ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวน้อยก็ยังถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี

“ท่านบิชอปรีบออกจากที่นี่ไปหลบภัยที่วิหารฟรานเชสก้าก่อนเถิด” นักบวชสูงวัยรูปหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อเข้ามาภายในที่พักของบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ “พวกอัศวินแจ้งมาว่าพวกเขาอาจจะต้านพวกซาโลมไว้ได้อีกไม่นาน เพราะพวกมันดูเหมือนจะแรงไม่ตกกันเลย พอเหมือนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำจู่ ๆ พวกมันก็มีกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างประหลาดทุกครั้ง”

“แล้วพวกท่านละ?” เกรเกอรี่เอ่ยถามอย่างร้อนรนเช่นกัน

“พวกเราจะอยู่ช่วยทางนี้อีกแรงเพราะพวกทหารปีศาจจำเป็นต้องใช้พลังของนักบวชในการกำจัดจิตชั่วร้าย ท่านบิชอปอย่าเป็นห่วงพวกเราเลย ชีวิตของท่านสำคัญที่สุดรีบไปก่อนเถิด ตอนนี้บรรดาพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปพร้อมหน่วยคุ้มกันทั้งอัศวินและนักบวชเตรียมพร้อมคอยท่าอยู่ทางด้านหลังนี่แล้ว”

“เราอยู่ช่วยพวกท่านด้วยอีกแรงจะไม่ดีกว่าหรือ? อย่างน้อยพลังของเราก็คงจะมากพอที่จะกำจัดทหารปีศาจได้หลายพันตัว” เกรเกอรี่กล่าวด้วยความเป็นห่วง

“ท่านบิชอป พลังและชีวิตของท่านนั้นสำคัญต่อฟีเลเซียอย่างที่สุด พวกเราไม่กล้าให้ท่านเสี่ยงอันตรายในขณะที่เรายังสามารถปกป้องท่านได้อยู่หรอกครับ อีกอย่างวิหารฟรานเชสก้าจะให้พวกศัตรูล่วงละเมิดมิได้ หากท่านอยู่ที่นั่นพวกเราจะวางใจได้มากกว่า เราไม่มีเวลามากนักรีบไปเถิดท่านเกรเกอรี่”

“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยนะ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน” บิชอปเกรเกอรี่จำต้องตัดใจไปในที่สุด

“ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน” พระสูงวัยกล่าวก่อนจะรีบตามไปสมทบกับเหล่าอัศวินคนอื่น ๆ

เมื่อเกรเกอรี่ออกมาถึงลานกว้างนอกตัวอาคารที่พักก็พบว่ากองทัพอัศวินและนักบวชกว่าร้อยชีวิตกำลังรอคอยเขาอยู่ เสียงการสู้รบและเสียงอาวุธกระทบกันดังกระหึ่มอยู่นอกกำแพง เขาสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบด้วยแสงสว่างจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ท้องฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงจนดูเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงเป็นสีเลือด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)

Re: @@ นิยายSMN Epi8 Chapter 24 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@

โพสต์โดย Jinger Ginger เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 20, 2009 12:02 pm

“เชิญทางนี้ครับท่านบิชอป พวกทหารปีศาจกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” หัวหน้าอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ เขานำเกรเกอรี่มาอยู่ตรงกลางก่อนจะล้อมเกรเกอรี่เป็นวงกลมโดยมีบรรดาอัศวินป้องกันอยู่รอบนอกต่อด้วยบรรดานักบวช เพื่อว่าบรรดาอัศวินจะเป็นผู้ปกป้องนักบวชและบิชอป ส่วนนักบวชที่อยู่วงในจะช่วยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กำจัดทหารปีศาจและเสริมกำลังด้านการรักษาให้บรรดาอัศวินไปด้วย

“ทุกท่านฟังให้ดี ทหารปีศาจมีหัวถึงสามหัว การมองของมันจึงได้เปรียบกว่าเรามาก แขนของมันก็ยาวและคมกริบ ต่อให้ตัดหัวทั้งสามแล้วมันก็ยังมีชีวิต ดังนั้นการที่จะกำจัดมันมีวิธีเดียวคือฟันมันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือใช้พลังของนักบวชสังหารมันเท่านั้น สำหรับบรรดานักบวชที่อยู่ด้านใน พวกท่านต้องช่วยสอดส่องทหารปีศาจจากทุกทิศทางแม้แต่จากด้านบนเพราะมันอาจจะกระโดดลงมาจากอาคารหลังใดหลังหนึ่งได้ตลอดเวลา ทันทีที่เปิดประตูเราจะเคลื่อนกำลังมุ่งสู่วิหารโดยเร็วที่สุด”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมีคำถามและทุกคนก็พร้อมออกเดินทางแล้วหัวหน้าอัศวินจึงให้สัญญาณอัศวินสองนายที่เฝ้าระวังอยู่ที่บานประตู อัศวินทั้งสองจึงกระชากบานประตูออกคนละข้างพร้อม ๆ กับหน่วยคุ้มกันที่วิ่งบุกตะลุยทะลวงฟันทหารปีศาจนอกตัวอาคารอย่างรวดเร็ว ตลอดเส้นทางคณะของเกรเกอรี่ต้องพบกับทหารปีศาจมากมาย เหล่าอัศวินก็ต่อสู้อย่างสุดกำลังทั้งบรรดานักบวชก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ทำลายทหารปีศาจไปก็มาก มีอยู่ถึงสี่ครั้งที่ทหารผีกระโดดลงมาจากตึกสูงแต่นักบวชที่อยู่วงในก็สามารถกำจัดมันได้ทันการณ์ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นพอดี ทว่าในครั้งที่สี่นั้นทหารผีนรกกระโดดลงมาในช่วงที่ทุกคนกำลังฟาดฟันกับทหารผีกว่าสิบตัวที่อยู่ข้างหน้าทำให้ไม่ทันระวังด้านบน กว่าจะรู้ตัวทหารผีก็กระโดดลงมากลางวงล้อมไม่ไกลจากเกรเกอรี่มากนัก มันสังหารนักบวชไปถึงหกรูปก่อนที่มันจะถูกสังหารด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้งหนึ่งที่อัศวินเคราะห์ร้ายไม่ทันเห็นทหารปีศาจที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดทำให้โดยจะงอยแขนของมันกระชากคอจนศีรษะหลุดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาเกรเกอรี่และผู้ร่วมคณะคนอื่น ๆ เกรเกอรี่สังเกตเห็นเหมือนอย่างที่พระสูงวัยบอกเช่นกันคือทหารปีศาจเหล่านี้หลายครั้งที่จู่ ๆ ก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างประหลาดทำให้การต่อสู้ยากลำบากมากขึ้น คณะของเกรเกอรี่มีกำลังใจมากขึ้นเมื่อมองเห็นยอดวิหารอยู่อีกไม่ไกล ต่างเร่งฝีเท้ากันเร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงที่หมาย

ทันใดนั่นเองก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงคนหนึ่งดังออกมาจากตรอกแคบ ๆ ทางขวามือ เมื่อเกรเกอรี่หันไปมองจึงได้เห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาทางคณะของเกรเกอรี่ ทั้งคณะแทบจะหยุดระวังไปชั่วขณะเมื่อเห็นเด็กทั้งสองวิ่งตรงมา เด็กชายที่โตกว่าจูงน้องสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัยเตาะแตะมาไม่กี่ปีวิ่งหน้าตาตื่นร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว เพียงพริบตาเดียวทหารผีสองตัวก็พุ่งตัวพ้นซอกตึกออกมา แขนข้างหนึ่งของทหารผีทางขวามีร่างของผู้หญิงที่ถูกจะงอยแหลมเสียบทะลุอกห้อยติดอยู่ ทันทีที่พวกมันเห็นเด็กทั้งสองพวกมันก็กระโจนเข้าใส่ทันที ทว่าเหล่าอัศวินอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้ทัน แต่เพียงพริบตาเดียวก็มีลำแสงสว่างจ้าพุ่งกระแทกทหารปีศาจทั้งสองก่อนจะเผาร่างปีศาจจนมอดไหม้ไปในชั่ววินาทีนั้น เมื่อคลายความตระหนกแล้วทุกคนจึงเห็นว่าบิชอปเกรเกอรี่นั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเด็ก ๆ ไว้ เด็กชายวิ่งมาจนถึงคณะของเกรเกอรี่ก็ล้มคะมำลงต่อหน้าจึงได้เห็นว่าที่หลังของเด็กน้อยมีบาดแผลฉกรรจ์ทีเดียว เด็กน้อยคงต้องกัดฟันทนความเจ็บปวดพาน้องที่ยังเล็กหนีทหารปีศาจที่เพิ่งฆ่ามารดาของตนไปต่อหน้าต่อตา อัศวินนายหนึ่งรีบอุ้มเด็กทั้งสองเข้าไปอยู่ในวงอารักขา เกรเกอรี่รับเด็กหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทามาดูแลในขณะที่เด็กชายที่หมดสตินั้นให้พระผู้ใหญ่ที่มีพลังรักษาดูแล

ยิ่งเข้าใกล้วิหารก็ยิ่งได้พบพ่อแม่จำนวนมากที่กำลังพาลูก ๆ ของตนมุ่งหน้าไปที่วิหารแห่งฟรานเชสก้าด้วยเช่นกัน บางครอบครัวโชคร้ายไปไม่ถึงวิหารนอนตายเกลื่อนอยู่ข้างถนนก็มาก ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนเจ็บปวดและเวทนาสงสารยิ่งนัก คณะของเกรเกอรี่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบรรดาอัศวินที่นำเด็ก ๆ ที่ได้ช่วยไว้มาฝากกับคณะ หรือไม่ก็เป็นพ่อแม่เด็กที่นำลูก ๆ ของตนหนีมาและได้ฝากลูก ๆ ของตนไปกับคณะด้วย ยิ่งกลุ่มขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายในการดักซุ่มโจมตีได้ง่าย ทำให้การปกป้องคุ้มกันทำได้ลำบากมากขึ้นทุกที

เหนือขึ้นไปบริเวณเนินสูงใจกลางเมืองวอลเนียคือที่ตั้งของวิหารแห่งฟรานเชสก้า คณะของเกรเกอรี่ซึ่งสามารถฝ่าวงล้อมของทหารปีศาจเข้ามาในลานหน้าวิหารได้สำเร็จต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ทำภารกิจที่ได้รับมอบสำเร็จแม้จะเสียกำลังพลไปถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ทุกคนมองไปรอบนอกเขตวิหารจึงได้เห็นว่าทหารปีศาจค่อย ๆ มาสมทบกันอยู่โดยรอบจนทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกทหารปีศาจไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ยืนล้อมและจ้องมองกลุ่มคณะของเกรเกอรี่อยู่รอบนอกวิหาร บานประตูขนาดใหญ่สีทองอร่ามค่อย ๆ เปิดออกโดยผู้ปกป้องวิหาร(Sanctuary’s Guard)สองนายในชุดสีแดงเลือดหมูสวมเกราะขาวประกายทองพร้อมทวนดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธเป็นผู้เปิดประตูวิหารรับคณะของบิชอปเกรเกอรี่


ณ บริเวณเชิงผาที่ราชินีเนริมอร์ เบลซ เซจ และแบล็คไวเซอร์ เลือกเป็นที่มั่น เบลซ เซจได้ตั้งโต๊ะทำพิธีสังเวยเพื่อเสริมกำลังให้ทหารผีนรกอยู่ นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังของทหารปีศาจเหล่านี้เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ แต่สิ่งที่พิเศษในพิธีนี้ก็คือเครื่องบูชายัญที่เบลซ เซจใช้ในการสังเวยนั้นคือนกฟีนิกซ์ (Phoenix) ไม่มีใครรู้ว่าเบลซ เซจได้นกฟีนิกซ์มาจากไหนหรือใช้วิธีใดในการจับฟีนิกซ์มา รู้เพียงแต่ว่าการสังเวยด้วยฟีนิกซ์นั้นทำให้เกิดผลต่อเนื่องที่คุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะเมื่อสังเวยฟีนิกซ์ ฟีนิกซ์ก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านก่อนจะถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วเบลซเซจก็จะทำการสังเวยเจ้านกฟีนิกซ์อีกเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ นกฟีนิกซ์ในกรงอาคมเวทย์ถูกสังเวยครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสริมกำลังให้ทัพผีนรกแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว

ทั้งสามต่างยืนอยู่ริมผามองเมืองวอลเนียที่ใกล้จะแตกอย่างปรีดิ์เปรม เปลวเพลิงเผาผลาญทั้งเมืองจนลุกโชติช่วงสว่างไสวราวกับเวลากลางวันแม้จะมองจากที่ไกล ๆ อย่างบนเชิงผาแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบล็คไวเซอร์ผู้ที่มักนิ่งเงียบและวางตัวเย็นเฉย ทว่าขณะนี้ใบหน้ากลับฉาบรอยยิ้มแห่งความหฤหรรษ์ เนื้อตัวเกร็งสั่นเทิ้มด้วยความยินดีจนแม้แต่เจ้านกปีศาจคู่ใจก็ยังรับรู้ความรู้สึกของนายได้เพราะมันขยับตีปีกอย่างร่าเริงดวงตาทั้งสี่จ้องเขม็งไปทางตัววิหารฟรานเชสก้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาสูงใจกลางเมืองวอลเนีย แบล็ค ไวเซอร์แสยะยิ้ม อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าเขาจะได้ตัวศัตรูคู่อาฆาตมาอยู่ในกำมือแล้ว

“อย่าลืมว่าเกรเกอรี่เป็นของข้า ข้าต้องได้ตัวมันมาเป็น ๆ ... แต่ถ้ามันฤทธิ์มากนักจะหักแขนหักขาก่อนนำมาให้ข้าก็ได้” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มุมปากแสยะขึ้นอย่างชั่วร้ายเมื่อนึกถึงภาพหักแขนหักขาบิชอปแห่งฟีเลเซีย

เบลซเซจ เหลือบไปมองแบล็ค ไวเซอร์ ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งอย่างร้ายกาจตอบว่า “แน่นอน ต่อให้มันตาย ศพมันก็จะเป็นของเจ้า”

ทันใดนั้นมหาดเล็กนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน

“ฝ่าบาท ทัพมังกร และทัพนกของฟีเลเซียกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”

บุคคลทั้งสามต่างมองหน้ากัน ก่อนที่องค์ราชินีจะทรงยิ้มเยาะ เหยียดพระโอษฐ์เหน็บแนม

“ไหนว่าพวกเจ้าวางกำลังจัดการกับพวกส่งสารไว้หมดแล้วไงล่ะ ทำไมพวกมันยังสามารถส่งกองทัพมาช่วยได้อีก หึ!แต่ก็นั่นแหละนะพวกเจ้าก็ไม่ได้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ ข้าไม่อยู่ตั้งสามเดือนยังไม่เห็นจะตีเมืองเพิ่มได้สักเท่าไหร่ แม้แต่เวลานี้ก็ยังต้องเดือดร้อนข้าอยู่ดี ”ราชินีเนริมอร์ทรงหัวเราะชอบพระทัยทอดพระเนตรเมืองวอลเนียที่ถูกเผาจนวอดวายโดยไม่สนพระทัยสายตาที่มาดร้ายของชายทั้งคู่ อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าเมืองวอลเนียต้องแตกแน่ ราชินีแห่งซาโลมจึงทรงส่งสัญญาณให้เหล่าผู้คุมมังกรไฟ ก่อนจะสั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“จงนำฝูงมังกรไฟไปยันทัพของฟีเลเซียเดี๋ยวนี้ ต้านไว้ให้นานที่สุด”

ในทันใด ฝูงมังกรไฟนับพันก็บ่ายหน้ามุ่งไปทางทิศตะวันออกทันที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jinger Ginger
0
 
โพสต์: 572
Cash on hand: 0.00
Medals: 1
Elder-Gold (1)


ย้อนกลับไปยัง Summoner Novel

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน

cron